บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันพฤหัสบดีที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2554

แจกแท็บเลตพีซี ...เครื่องมือปฏิรูปการเรียนรู้ของเด็ก หรือ เป็นความสิ้นเปลือง และการหาประโยชน์ของพรรคเพื่อไทย?

Permalink

เทคโนโลยีด้านแท็บเลตพีซี(Tablet PC) ยังถือว่าเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น รูปแบบการใช้งานของแท็บเลตพีซียังถูกใช้ เพื่อ ทดแทนการใช้งานพีซีเป็นหลัก เช่น การท่องเว็บ อ่านอีเมล โซเชียลเน็ตเวิร์ค ดูหนังออนไลน์ ฯลฯ และมีข้อมูลระบุว่า เรายังไม่เห็นการนำแท็บเลตพีซีมาใช้เปลี่ยนกระบวนการทำงานแบบเดิมๆ (ที่ถูกเซ็ตโดยพีซีธรรมดา)ไปมากเท่าไรนัก  ในด้านตลาดผู้บริโภค ก็เพิ่งจะเริ่มเห็นแท็บเลตพีซีถูกใช้งานเพราะรูปแบบที่แปลกใหม่ โดยเฉพาะเกมและความบันเทิงที่ใช้วิธีการสั่งงานด้วยการสัมผัสผ่านหน้าจอได้ง่ายกว่า (ซึ่งเป็นจุดต่างสำคัญของแท็บเลตพีซีกับคอมพิวเตอร์พีซี) และในภาคธุรกิจแล้วนั้น ก็ยังไม่เห็นการใช้งานนอกเหนือจากการอ่านอีเมล อ่านเอกสาร และอ่านเว็บ  
จึงถือว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ยังต้องอาศัยการออกแบบเพื่อให้ใช้งานอย่างเกิดประโยชน์และการยอมรับจากผู้บริโภค  แม้เราจะเห็นว่ามีประโยชน์ต่อการสื่อสารและรูปแบบการเรียนรู้ในโลกยุคใหม่ จนทำให้พรรคเพื่อไทยนำมาชูเป็นนโยบายหนึ่งในการหาเสียงก็ตาม
ตามนโยบายด้านการศึกษาที่พรรคเพื่อไทยได้เคยหาเสียงเอาไว้นั้น  ในปีการศึกษาหน้า(๒๕๕๕) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ( ป.๑)ทุกคนจะได้รับแจกแท็บเลตพีซี (ซึ่งมีหน้าตาคล้ายๆ กับเครื่อง iPad) จำนวนราวๆ ๘ แสนคนทั่วประเทศ ใช้จำนวนเครื่องเท่ากับจำนวนเด็ก(One Tablet per Child)  โครงการนี้จะใช้เงินงบประมาณประเทศราวๆ ๕,๐๐๐ ล้านบาท
และเมื่อจะมีการนำมาสู่การปฏิบัติจริงในเร็วๆ นี้ ก็เกิดการกังวลใจถึงความคุ้มค่าหรือประสิทธิภาพ ประสิทธิผลจากการใช้เครื่องแท็บเลตพีซี ทั้งในภาพรวมและภาพย่อยที่จะเกิดขึ้นทั่วทั้งประเทศ

 พรรคเพื่อไทยเคยระบุถึงแท็บเลตพีซีว่า จะเป็นเหมือนกับ “อีบุ๊ก”(E-Book)ที่มาพร้อมกับโปรแกรมการเรียนการสอน หรือ คอร์สแวร์(Courseware) สามารถใช้กับเครือข่ายไร้สายไว-ไฟ(ฟรี)  การลงทุนแจกแท็บเลตให้กับเด็กครั้งนี้ หากคิดค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ  ๑.๘๒ บาทต่อวัน  ถือเป็นการลงทุนในการพัฒนาบุคลากรที่คุ้มค่าเป็นการเพิ่มศักยภาพคน เพื่อรองรับการเปิดประชาคมอาเซียน ปี ๒๕๕๘ 
และ อาจจะมีการสั่งเครื่องแท็บเลตพีซีเหล่านี้มาจากประเทศจีนหรืออินเดียนำเข้า มาประกอบในเมืองไทยก่อนที่จะได้แจกจ่ายไปยังเด็กนักเรียนชั้น ป.๑ ทั่วประเทศ โดยราคาเครื่องที่จะสั่งมาจากอินเดียนั้นอยู่ที่ประมาณ ๑,๕๐๐ บาท แต่หากเครื่องที่นำเข้ามาจากประเทศจีนจะอยู่ที่ ๓ - ๔,๐๐๐ บาท (นโยบายนี้พรรคเพื่อไทยตั้งงบประมาณไว้เครื่องละไม่เกิน ๕,๐๐๐ บาท)  แต่ก็เป็นที่ทราบกันดีว่า เครื่องไม้เครื่องมือที่นำเข้าจากบางประเทศนั้นมีคุณภาพต่ำ มีความคงทนน้อย เพราะสินค้าที่ผลิตจากประเทศเกล่านั้นต่างก็เน้นใช้ต้นทุนต่ำในการผลิต และเมื่อนำไปใช้กับเด็กๆ ที่ยังไม่สามารถดูแลรักษาเครื่องไม่เครื่องมือที่มีราคาแพงด้วยแล้ว ก็น่าจะมีปัญหาได้  
ปัญหา มากมายก็กำลังจะตามมา เช่น โปรแกรมที่จะใส่บรรจุลงไปในเครื่องนั้น การเชื่อมต่อกับระบบอินเทอร์เน็ต แม้กระทั่งการเปิดปิดเครื่อง การเก็บรักษาเครื่อง การเตรียมความพร้อมของเด็กก่อนการใช้งาน การใช้งานที่ไม่คุ้มค่า ซึ่งครูน่าจะมี “ข้อห้าม”มากมาย โดยเฉพาะการอนุญาตให้เด็กนำกลับไปใช้ทำการบ้านหรือเพื่อให้ผู้ปกครองได้มี ส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนของลูกหลานอีกด้วย  แม้จะมีบริษัทเอกชนหลายแห่งเตรียมตัวเข้ามาเสนอบริการแบบ “โททัลโซลูชัน” (Total Solution) ด้วยการให้บริการครบวงจรทั้งด้านฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์การเรียนการสอน(เนื้อหา) ซอฟต์แวร์การจัดการการเรียนการสอน การควบคุม การกระจายสื่อ   รวมถึงการบริการดูแลบำรุงรักษาเครื่องก็ตาม
แต่ดูเหมือนจะมีความกังวลใจกันมากขึ้น เมื่อต้องพิจารณาถึงประเด็นประสิทธิภาพ ความคุ้มค่า คุ้มทุน(Cost Effectiveness)   เพราะมิใช่เพียงแค่เด็กในเมืองเท่านั้นที่จะได้รับการแจกแท็บเลตพีซีเหล่านั้น เด็กๆ ในชนบทที่ห่างไกลก้จะได้รับการแจกจ่ายเช่นเดียวกัน  ทุกๆ โรงเรียนต่างก็อยากได้เครื่องแท็บเลตพีซีมาให้นักเรียนและครูใช้ในการเรียนการสอน และเพราะว่าเป็นหน้าตาให้แก่ผู้บริหารสถานศึกษาอีกประการหนึ่งด้วย

แต่เมื่อเราจะทำโครงการใดๆ เกี่ยวกับการลงทุนทางการศึกษา เราจะต้องให้มีการประเมินประสิทธิภาพของการลงทุนนั้นให้ครอบคลุมทั้ง ๔ ด้าน ได้แก่ ๑) ด้านปริมาณ (Quantity) ๒) คุณภาพ (Quality) ๓) เวลา (Times) และ ๔)ค่าใช้จ่าย(Expenses)
  โครงการแจกแท็บเลตพีซีก็ควรจะต้องถูกประเมินประสิทธิภาพอย่างรอบด้านเช่นเดียวกัน จึงจะแสดงให้เห็นได้ว่าเป็นโครงการที่เหมาะสมแก่เด็กๆ (ป.๑)  ได้แก่ 
๑) ปริมาณแท็บเลตพีซี ความครอบคลุมของเครื่องฯ ที่แจกจ่ายลงไปให้แก่เด็กๆ อย่างทั่วถึง ครอบคลุมเด็กนักเรียนตามที่พรรคเพื่อไทยเคยหาเสียงไว้ 
๒) คุณภาพของเครื่องแท็บเลตพีซี ซึ่งต้องพิจารณากันอย่างครอบคลุมถึงคุณภาพทางด้านกายภาพของเครื่อง(ฮาร์ดแวร์) และซอฟท์แวร์(โปรแกรมที่ใส่ไว้ในเครื่องฯ)
   ๓) จำนวนเวลาของการใช้งาน ต้องมีการเก็บข้อมูลว่า เด็กมีจำนวนชั่วโมงการใช้งานมากน้อยแค่ไหน ใช้เวลาเหล่านั้นไปทำอะไรกับมันบ้าง และ
๔) ค่าใช้จ่ายทางตรง ที่สามารถคิดเป็นตัวเงินได้ เช่น งบประมาณในการจัดซื้อ เงินเดือน ค่าจ้าง ค่าตอบแทนของผู้ที่เกี่ยวข้อง ค่าเพิ่มหรือถอดโปรแกรม ค่าซ่อมบำรุงรักษา  และระบบศูนย์รวมของการบำรุงรักษาในแต่ละพื้นที่  และค่าใช้จ่ายทางอ้อม(ได้แก่ ต้นทุนในการเสียโอกาส) นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาถึงการได้รับการยอมรับจากสังคมร่วมด้วย เช่น ความคาดหวังและความคิดเห็นที่ประชาชนที่มีต่อโครงการนี้ โดยเฉพาะพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็ก ซึ่งเกี่ยวข้องทั้งที่เป็นผู้ใกล้ชิดตัวเด็กและมีส่วนเป็นเจ้าของเงินภาษีนั้นด้วย
หรืออีกวิธีหนึ่ง โดยวิธีวัด “ผลิตภาพ”(Productivity)ก็ได้ โดย “ผลิตภาพ เท่ากับ ผลลัพธ์(Output + Outcome) หารด้วยปัจจัยนำเข้า(Input)”  ถ้าหาก “ผลลัพธ์”น้อยกว่าปัจจัยนำเข้าก็ถือว่า ขาดทุน หรือ ไม่คุ้มค่า  หรือถ้าเกิดผลลัพธ์สูง เด็กนักเรียนได้ประโยชน์มาก จนเกิดการเปลี่ยนแปลงระบบการเรียนการสอนอย่างมากมายขึ้นในสังคมไทย เด็กๆ มีความฉลาดมากขึ้น ไม่เพียงแค่ผู้กุมนโยบายจะได้ลงมือใช้เงินจัดซื้อ และเด็กๆ ได้รู้จักและสัมผัสเครื่องมือสุดยอดไฮเทคที่สุดเท่านั้น  
ผลิตภาพจึงหมายถึง ความคุ้มกับไม่คุ้มเท่านั้น



(ภาพ เด็กในประเทศจีนกำลังใช้แท็บเลตพีซีในการเรียน)

ด้วยวิธีการประเมินอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๒ วิธีการนี้ของกระทรวงศึกษาธิการจะเป็นตัวบ่งบอกได้ว่า การแจกแท็บเลตพีซีมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล เกิดความคุ้มทุน หรือไม่เกิดความสูญเสียงบประมาณ สิ้นเปลืองทรัพยากรประเทศชาติ
หากพรรคเพื่อไทยทำได้ดีในนโยบายนี้  ก็อาจหมายความว่า เงินงบประมาณเพียง ๕,๐๐๐ ล้านบาทนั้นมันได้ส่งผลให้ระบบการศึกษาเกิดการเปลี่ยนแปลงมากกว่าการปฏิรูปการศึกษาทีใช้ความพยายามมาอย่างยาวนานก็เป็นได้  

(ภาพหน้าตาแท็บเลตพีซีของบริษัท Bharat Electronics ผู้ผลิตจากอินเดีย ราคา ๒,๑๐๐ บาท)

 เมื่อได้ออกมาเป็นนโยบายโดยพรรคเพื่อไทยแล้ว การแจกแท็บเลตพีซีน่าจะเป็นปัญหาที่น่าหนักใจอยู่ไม่น้อย  เพราะยังไม่มีใครการันตีได้ว่า จะเกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผลแค่ไหน  
เมื่อนโยบายนี้ได้กำหนดกลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับการแจกจ่ายแท็บเลตพีซีเป็นเด็กนักเรียนชั้น ป.๑  จึงมีคำถามว่า เมื่อให้นักเรียนชั้น ป.๑ ได้ใช้เรียนหนังสือแล้วจะเกิดผลอะไรขึ้นบ้าง แน่นอนว่า เครื่องแท็บเลตพีซีนั้นหากนำเอาไปใช้กับคนรุ่นไหนก็ย่อมเกิดมีการเปลี่ยนแปลงแก่คนในรุ่นนั้น เพราะคนเหล่านั้นก็จะได้ใช้เครื่องมือการเรียนรู้ที่มีทั้งสาระและบันเทิงอยู่ในตัวครบครันในรูปแบบที่ทันสมัย
 ในคำถามที่ว่านั้น หากเราปรับเปลี่ยนโจทย์กันเสียใหม่ ด้วยการนำเอาเครื่องแท็บเล็ตพีซีมาใช้กับเด็กนักเรียนอีกกลุ่มหนึ่ง เปลี่ยนระดับของสติปัญญาของเด็ก ก็ย่อมได้รับผลลัพธ์แตกต่างกันออกไปอย่างไม่ต้องสงสัย เช่น  หาดนำเครื่องแท็บเลตพีซีเครื่องเดียวกันนี้ไปให้เด็กนักเรียนในช่วงชั้นที่ ๒ (ชั้น ป. ๔ )ได้ใช้เรียน ย่อมได้รับผลลัพธ์ ต่างออกไป ซึ่งน่าจะได้ผลดีกว่าเด็กชั้น ป.๑  เพราะอย่างน้อยๆ เด็กก็มีความพร้อมในการเรียนรู้มากกว่า ใช้งานได้เป็นผลมากกว่า
เช่น เดียวกัน หากรัฐบาลลงทุนในจำนวนเครื่องต่อหัวเท่าๆ กัน แล้วนำไปให้เด็กนักเรียนในช่วงชั้นที่ ๓ (ม.๑ )ก็ย่อมได้รับผลลัพธ์ดีกว่าการใช้งานกับเด็ก ป.๔ อย่างแน่นอน และถ้าหากเรานำเครื่องแท็บเล็ตพีซีไปให้เด็กนักเรียนชั้น ม.๔ ได้เกิดการเรียนรู้และค้นหาวิทยาการความก้าวหน้าของเทคโนโลยี และความงดงามที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ของวัฒนธรรมไทยก็ย่อมเกิดภูมิปัญญาแก่ เด็กนักเรียนเหล่านั้นมากกว่า ๓ กลุ่มแรกนั้นเสียอีก
ทำไมพรรคเพื่อไทยจึงไม่ทำเช่นนั้น...?



ในเรื่องนี้จึงไม่มีอะไรสะท้อนมากเกินไปกว่า ความต้องการเอาชนะในการเลือกตั้งมากกว่าการใช้เหตุผลในการคิดหาวิธีการเพิ่มสติปัญญาให้แก่เด็กนักเรียน และยังสะท้อนลึกไปถึงนิสัยของคนไทยที่ต้องการ “การได้หน้า”กันเสียมากกว่า แล้วก็เชื่อเหลือเกินว่า เมื่อนโยบายแจกแท็บเลตพีซีออกมาใช้เป็นการจริงจังแล้ว ปัญหาจะเกิดขึ้นอย่างมากมาย แล้วคนที่ทำนโยบายนี้มาใช้ก็ต้อง “รักษาหน้า”ตัวเอง  เกรงก็แต่ว่าจะมีการแก้ผ้าเอาหน้ารอดกันอีก เหมือนหลายๆ โครงการที่แล้วๆ มา
คุณค่าทางเศรษฐกิจของการศึกษา  หมายถึง การที่ประเทศมีเศรษฐกิจดี อันเนื่องจากประชาชนมีการศึกษาที่ดี  ถึงแม้ว่าจะมีการลงทุนในมนุษย์คิดเป็นรายหัวสูงแล้วก็ตาม  แต่ก็ได้ส่งผลให้ประชาชนเป็นพลเมืองดี มีทักษะที่ดีในการทำงาน ได้แรงงานที่มีคุณภาพ มีสินค้าบริการที่เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจสืบเนื่องต่อๆ กันไป ประชาชนได้รับการบริการที่สะดวกสบาย มีประสิทธิภาพ จนกระทั่งมีคุณภาพชีวิตที่ดี เกิดการผลิตเองในประเทศมากกว่าการนำเข้าจากต่างประเทศ จนกระทั่งประเทศไทยมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมั่นคง เราจึงจะเชื่อได้ว่า นโยบายนี้มี “คุณค่าทางเศรษฐกิจของการศึกษา”
   เพื่อให้เรื่องแท็บเลตพีซี จะไม่ใช่เพียงเพื่อเอาเงินภาษีของเรา ไปซื้อ “ของเล่น”แจกให้แก่เด็กๆ  เป็น “เครื่องทดลองให้แก่คนออกนโยบาย” และเป็น  “การหาประโยชน์จากการจัดซื้อเครื่องแท็บเลตพีซีของนักการเมือง”

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง