บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555

เปิดข้อมูลลับ “แก๊งฆ่า-เปิบช้างแก่งกระจาน”


แก๊งฆ่าช้าง-เปิบพิสดาร ที่แท้เป็นนายทุนนอกพื้นที่จับมือข้าราชการ คนมีสี พราน ฯลฯ ล่าช้างเอาอวัยวะส่งภัตตาคารหรูในภูเก็ต ขายนักท่องเที่ยวต่างชาติ ระบุใช้อาหารล่อ ก่อนใช้ไรเฟิลเลือกยิง อธิบดีอุทยานฯโอดงบน้อย คนน้อย ปืนน้อย เปิดรายงานลับแฉขบวนการล่าช้างแก่งกระจาน กุยบุรี ฯลฯ จากป่าถึงปางช้าง ยิงลูกช้างสลบรอแม่เดินหนี ก่อนหลอกไปขายในภาคเหนือ-กลาง
โดย ชุลีพร บุตรโคตร ศูนย์ข่าว TCIJ
ข่าวช้างป่า เพศผู้ ถูกคนร้ายฆ่าตายก่อนจะตัดงวง  งา อวัยวะเพศไป และเผาจนเหลือซากทิ้งไว้ บริเวณลำห้วยแห้ง หมู่ 3 ต.ป่าเด็ง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี เมื่อตืนเดือนม.ค.ที่ผ่านมา
ล่าแก๊งฆ่าช้างแก่งกระจาน
หลังเกิดเหตุนายดำรง พิเดช อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม เดินทางลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงทันที พร้อมเปิดเผยว่า จากข้อมูลที่เราได้รับค่อนข้างมั่นใจว่า ผู้ที่ลงมือยิงช้างพร้อมตัดอวัยวะทั้งหมดออกไปครั้งนี้ เป็นคนในพื้นที่อย่างแน่นอน แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ ทั้งหมดมีการทำเป็นขบวนการ โดยมีกลุ่มนายทุนจากนอกพื้นที่ ร่วมมือกับ ข้าราชการ  คนมีสี เพื่อล่าช้างป่า เอาอวัยวะไปทำอาหารส่งให้กับภัตตาคารหรูหราในจ.ภูเก็ต
นายดำรงกล่าวว่า ขณะนี้ในทางลับ เจ้าหน้าที่รู้ตัวหมดแล้วว่าขบวนการนี้เป็นใคร หากแต่ยังหาหลักฐานมัดตัวไม่ได้ ขณะนี้จึงเป็นหน้าที่ของทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ที่จะต้องสืบสวนหาข้อเท็จจริงทั้งหมด เพื่อนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ และเป็นการกำจัดขบวนการล่าช้างป่า ที่เกิดมายาวนานแล้ว หากแต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะผิดธรรมชาติ เมื่อทราบว่ามีการนำอวัยวะต่างๆ ของช้างไปทำเป็นอาหารตามความเชื่อของคนกลุ่มหนึ่งด้วย
คนยิงเป็นคนในพื้นที่ แต่มีคนต่างถิ่นที่เป็นนายทุนจากจ.ภูเก็ต เข้ามาว่าจ้างมาล่า และพวกนี้ทำเป็นขบวนการด้วย ทำธุรกิจเกี่ยวกับช้างทั้งหมด มีการพาเข้ามาเที่ยวพามานั่งช้าง พอมาแล้วก็อาจจะมีการพูดคุยกันว่าอยากจะกินช้างมั้ย ถ้าอยากกินก็ตกลงราคากันแล้วก็เริ่มกระบวนการ พอได้แล้วก็ส่งชิ้นส่วนไปทำอาหารที่ จ.ภูเก็ต ถือว่าเป็นเรื่องผิดมนุษย์ คนไทยไม่กินกันหรอกช้าง จะมีก็แต่คนต่างชาติกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ไม่อยากจะพูดว่าเป็นชาติไหนแต่เราก็รู้ๆ กันอยู่ ตอนนี้เราจะต้องจับคนยิงมาก่อน ต้องหาตัวให้ได้ ซึ่งผมมั่นใจว่าไม่ใช่คนของอุทยานฯ แน่นอน เพราะถ้าพวกนี้จะเอา มันไม่มายิงตรงริมถนนอย่างนี้หรอก สู้ไปยิงในป่าลึกๆ ไม่ดีกว่าหรือ แต่ไอ้เรื่องเผานี่เราตั้งคณะกรรมการสอบแล้ว
ระบุใช้อาหารล่อก่อนใช้ไรเฟิลยิง

ส่วนความคืบหน้าของคดี นายดำรงค์กล่าวว่า อยู่ในกระบวนการสืบสวนของตำรวจ ตำรวจเขาก็ทำคดีของเขาไป แต่ทางเราก็สืบในทางของเรา คือต้องรู้ก่อนว่าใครฆ่า ฆ่าแล้วเผาทำไม ส่วนที่บอกว่าเจ้าหน้าที่มีส่วนและเป็นคนเผา เราก็ตั้งคณะกรรมการสอบสวนขอ้เท็จจริงลงไปตรวจสอบ แต่นั่นคือเป็นการเผาหลังจากที่พบซากช้างแล้ว อย่างที่ผมว่าจะต้องหาตัวคนฆ่าก่อน เท่าที่ได้ข้อมูลมาตอนนี้รู้แน่ชัดแล้วว่า เป็นคนในพื้นที่ แล้วมาฆ่าช้างก่อนแล้วจึงเผา ทราบว่าเป็นคนพม่า เป็นลูกจ้างที่มาจากเมืองมะริด แต่นายพม่าคนนี้ก็เป็นแค่ตัวประกอบเท่านั้น มันจะต้องมีขบวนการใหญ่อีก ไม่ใช่แค่นายคนนี้เท่านั้น แล้วจะต้องตรวจสอบไปอีกว่างาช้างหายไปก่อนหรือหลังถูกฆ่า
พวกพรานมี 2 ทีม ทำกันเป็นขบวนการ ตั้งแต่ล่อด้วยอาหารมาก่อน แล้วจึงยิงด้วยปืนติดกล้องอินฟาเรดเจาะเป็นตัวๆ ไปเลย เพราะจากที่ลงไปดูในพื้นที่ เราเห็นซากอาหารแห้งอยู่ใกล้ๆ กับจุดที่ช้างถูกยิง ซึ่งการล่อมานี่เหมือนว่าเลือกแล้วและยิงทีเดียว 2 ตัว เพราะมันเป็นไปไม่ได้ว่ายิงจากในฝูง เพราะพวกนี้ถ้ายิงตัวนึงมันจะกระเจิดกระเจิง แสดงว่าต้องล่อมาก่อนแล้วใช้ปืนยิงตรงๆ เลย  แก๊งนี้มีทั้งคนไทย ชนกลุ่มน้อย ข้าราชการท้องถิ่น มีส่วนเกี่ยวข้องหมด ช่วยเหลือกัน และทำมานานแล้ว เมื่อก่อนก็เอานักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวในพื้นที่พาเดินป่าด้วย
สลดเปิบพิสดารล่ามาทำอาหาร

เมื่อถามว่าสถานการณ์แบบนี้นับว่ารุนแรงมากขึ้นหรือไม่ อธิบดีกรมอุทยานฯกล่าวว่า คิดว่ารุนแรงมาตลอดนะ เพราะช้างตอนนี้ ไม่ได้ตายเพราะเกิดจากการล่าอย่างเดียว แต่จะมีอุบัติเหตุ ตกเหวตาย ออกลูกตาย ตายที่ไม่ใช่เพราะคนล่าก็มีอยู่แล้ว ยังมาถูกคนล่าอีกยิ่งรุนแรงไปกันใหญ่
การล่าปัจจุบันเป็นการล่าที่ผิดมนุษย์เขาทำกัน เอาไปปรุงอาหาร คนไทยเขาไม่กินกันอยู่แล้ว มันอันตรายจะมีก็แต่พวกต่างชาติกลุ่มหนึ่งอยู่แล้ว เราไม่อยากจะพูดว่าเป็นชาติไหนก็รู้ๆ กันอยู่ พวกนี้มาล่า เอางา ตอนนี้ยังเอางวง เอาอวัยวะ เอาไอ้จู๋ ไปตุ๋นกิน มันเป็นความเชื่อที่ผิดๆ จะกินแบบไหนไม่รู้ มีใบสั่งมา ก็ต้องมีคนล่า อย่างที่แก่งกระจานพวกนี้ทำเป็นธุรกิจเลย พาคนมาเที่ยวนั่งช้างในป่า แล้วก็ชักชวนกันว่าจะกินมั้ย ถ้ากินก็จิ้มเลย สั่งเลย พวกนี้เลวร้ายมาก แล้วไม่ใช่ว่าร้านอาหารป่าลับๆ นะ ทำกันเป็นธุรกิจใหญ่ภัตตาคารทัวร์ลง ขนาดนี้
ป้องกันยาก-งบน้อย-คนน้อย-ปืนน้อย
เมื่อถามว่าขณะนี้สถานการณ์สัตว์ป่าของไทยอะไรน่าเป็นห่วงที่สุด อธิบดีกรมอุทยานฯกล่าวว่า ช้างนี่แหละ อันตรายที่สุด จะล่าเอางา ของช้างตัวผู้ ตอนนี้มีล่าเอาอวัยวะเพศ ถ้าล่าตัวผู้ตายหมดช้างก็สูญพันธุ์หมด สิ่งที่มันทำให้เป็นปัญหาก็คือว่าเรามีจุดพิทักษ์ป่าน้อยเกินไป ขาดไปอีกตั้ง 1,000 กว่าจุด เพื่อป้องกันไม่ให้คนเข้ามาประชิดป่ามากเกินไป แต่ตอนนี้เรามีน้อยมาก เราก็พยายามขอไปว่าเราควรจะต้องเพิ่มจุดพิทักษ์ป่า แต่ก็ถูกตัดไปหมด สำนักงบประมาณตัดไม่ให้ ไม่เคยได้มาเลย หากเราต้องการที่จะรักษาป่าก็ต้องมีศูนย์พิทักษ์ให้มาก ตอนนี้เชื่อไหมว่าอุทยานใหญ่ๆ พื้นที่ป่ามากๆ ควรจะมีสัก 20-30 จุด แต่ตอนนี้มีเท่าไหร่ 6 จุด แต่ละจุดห่างกัน 200-300 กิโลเมตร มันจะไปรักษายังไงกันไหว ก็ต้องระดมกันเต็มที่แต่ก็ดูไม่ทั่วถึงหรอก ไม่แค่เรื่องสัตว์ป่าเท่านั้นเรื่อง ตัดไม้ทำลายป่าก็เยอะแยะจะตายแล้วไม่มีทาง แล้วจะยังเรื่องของอาวุธอีก ของเราไม่มีอาวุธเลย มีแต่ปืนลูกซองยิงได้ 50 เมตร แต่คนร้ายใช้ปืนไรเฟิลยิงได้ 300 เมตร เด็กมันก็หมดกำลังใจแล้ว บอกไปเลยว่าเราขาดแคลนอาวุธมากตอนนี้ มีกำลังแต่ไม่มีปืน
รายงานลับแฉเส้นทางล่า-ค้าช้าง
นอกจากนี้ ศูนย์ข่าว TCIJ ยังได้รับเอกสาร ซึ่งเป็นรายงานลับที่มีมาถึงกรมอุทยานแห่งชาติฯ โดยตรง หลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวระบุว่า ขบวนการล่าช้างป่ามีมาไม่น้อยกว่า 10 ปี ส่วนใหญ่จะล่าอยู่ระหว่างชายแดนไทย-พม่า ในประเทศไทยฝั่งผืนป่าตะวันตก ตั้งแต่ทุ่งใหญ่นเรศวร จนถึงชุมพร ซึ่งจะเน้นที่ป่ากุยบุรี-ป่าแก่งกระจาน-ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร จนถึงชุมพร ซึ่งจะเน้นที่ป่ากุยบุรี-ป่าแก่งกระจาน-ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร หากย้อนหลังไป ประมาณ 5 ปี พื้นที่ที่มีการล่ามากที่สุด คืออยู่อุทยานแห่งชาติ กุยบุรี เนื่องจากเจ้าหน้าที่ไม่เข้มงวดและบริเวณป่าละอู อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน
ลักษณะการล่า จะฆ่าเอางา และเอาลูกช้าง การฆ่าเอางา จะเดินเที่ยวป่า ติดตามช้างตัวผู้ที่มีงาลักษณะดี เมื่อมีโอกาสก็จะยิงช้างโดยใช้อาวุธปืนคาร์บิน ไรเฟิล หรือ ปลย. 88 เมื่อช้างล้มแล้ว ตัดงวง ตัดงา โดยจะใช้เวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมง ส่วนการเอาลูกช้างนั้น จะสังเกตตามโขลงช้างป่าว่า มีลูกช้างหรือไม่ และติดตามโขลง พอลับตา ก็ใช้ปืนยิงยาสลบลูกช้าง เมื่อลูกช้างล้มก็ไล่แม่ช้าง หรือช้างพี่เลี้ยง โดยการยิงปืนขู่ ถ้าไม่ไปก็ยิงทิ้งเลย
จากนั้นก็ดูลูกช้างจนฟื้น และเลี้ยงดูให้มันคุ้นเคย ให้อาหารกิน ลูกช้างจะมีพฤติกรรมคุ้นเคยกับคนเลี้ยงง่ายมาก เพียง 2 วัน ก็จะเดินตามคนเลี้ยงทันที ต่อจากนั้นก็พาเดิน ส่งสายโทรศัพท์บอกจุดรับช้าง โดยการใช้รถยนต์โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ใส่ท้ายรถวิ่งออกไปจ.ราชบุรี โดยมีต้นทางหลายคนด้วยกัน
ข่าวแจ้งว่า ขบวนการมีหลายคนด้วยกัน มีทั้งคนมีสี นักการเมืองระดับชาติ นักการเมืองท้องถิ่น (ผู้ใหญ่บ้าน) ข้าราชการ (ตำรวจ-ปศุสัตว์) สนับสนุนอาวุธปืน กระสุนปืน และปืนยิงยาสลบ
ขบวนการล่าช้างป่าในพื้นที่เป็นชาวกระเหรี่ยง .... ใน ต.ป่าเด็ง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี และชาวกระหร่าง โป่งลึก-บางกลอย (ส่วนน้อย มีไม่กี่คน) หมู่....และหมู่.... ต.ห้วยเพรียง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี  และชนกลุ่มน้อยที่อพยพมาตามแนวชายแดนไทย-พม่า โดยมีผู้นำชาวกระเหรี่ยงเป็นผู้รับคำสั่งมาอีกทอด

ล่าช้างป่าแก่งกระจานปี 51
สายข่าวแจ้ง สอดคล้องกับเจ้าหน้าที่ว่า “มีกระบวนการล่าช้างป่าประมาณ 7-8 คน แต่ละคนมีหน้าที่เช่น คนยิง แม่ช้าง คนนำลูกช้างเดิน คนดูต้นทาง ซึ่งเป็นชาวกระหร่างโป่งลึก-บางกลอย ยิงบริเวณบ้านกร่าง แล้วนำลูกช้างเดินจากบ้านกร่าง เข้าห้วยสะเลียง ข้ามมาพักบริเวณพุไทร เข้าร่องห้วยมะเร็ว ใช้เวลาเดินประมาณ 2 ชั่วโมง นำช้างออกอ่างเก็บน้ำพุไทร ในช่วงเดือนส.ค.-ก.ย.2551
เมื่อแม่ช้างถูกยิงตาย ก็เข้าจับตัวลูกช้างและทำให้คุ้นเคย โดยใช้กล้วย อ้อย มาให้กินลูกช้างจะเดินตามทันที
การขนส่งจะใช้รถยนต์บรรทุกขนาดเล็ก ปิดทึบ ขนเวลากลางคืน แล้วนำไปขายราคาประมาณ 200,000 บาท ซึ่งขบวนการล่าช้างในพื้นที่มาสร้างศาล 2 ศาล เพื่อแก้บนอยู่บริเวณก.ม.27 ห่างจากหน่วยแม่มะเร็ว อยู่ตรง-แม่สะเลียง
ปี53ช้างแก่งกระจานถูกล้มอีก3ตัว
เอกสารดังกล่าวระบุอีกว่า มีกระบวนการล่าช้างป่า เข้าไปเอาลูกช้าง บริเวณป่าละอู โดยมีทีมงานใหญ่มากมีปศุสัตว์ สัตวแพทย์ ร่วมขบวนการด้วย โดยการยิงยาสลบลูกช้าง แล้วใช้รถยนต์ห้องเย็นขนาดเล็ก บรรทุกออกนอกพื้นที่โดยวิ่งผ่านด่านตรวจของตชด.ด่านป่าละอู โดยพรานแก๊งนี้มีปืนยิงเร็วและปืนไรเฟิล ต่อมาเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานได้แจ้งเจ้าหน้าที่ป่าไม้เขต 5 เข้าตรวจ และเดินเท้าเข้าพื้นที่ เพื่อป้องกัน และตรวจรถยนต์ที่มีลักษณะดังกล่าวและสังเกตบุคคลแปลกหน้า แต่ก็ไม่พบแต่อย่างใด โดยปัญหาที่สำคัญคืออัตรากำลังเจ้าหน้าที่ของกรมอุทยานฯ น้อยมาก รถยนต์ไม่มีอุปกรณ์อื่นๆ เช่น ไม่มีปืน วิทยุสื่อสารเสียหายใช้การไม่ได้
จากนั้นประมาณ 1 เดือน วันที่ 10 มิถุนายน 2553 มีคนพบช้างตายบริเวณ หมู่ 3 ต.ป่าเด็ง อ.แก่งกระจาน นอนตายมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 วัน เป็นช้างเพศผู้ อายุประมาณ 20-25 ปี ถูกยิงตาย เข้าที่บริเวณหัว กกหู และลำตัว หลายที่จากบาดแผล ถูกยิงมานานไม่น้อยกว่า 20 วัน เนื่องจากบาดแผลที่ถูกยิงเน่าสันนิษฐานว่า ช้างตัวที่ตายอาจจะเป็นจ่าฝูง หลังจากแม่ช้างถูกยิงแล้ว ไม่ยอมให้พรานเข้าไปเอาลูกช้าง เกิดการต่อสู้ขัดขวาง จึงถูกขบวนการล่าช้างยิง แต่ยังไม่ตาย ในขณะนั้น และคิดว่าไม่น่าจะได้ลูกช้างไป เพราะช่วงนั้นเจ้าหน้าที่เข้มงวดและกำชับตรวจตราเป็นพิเศษ
ต่อมาวันที่ 9 ธันวาคม 2553 พบช้างป่าตายบริเวณหุบปลากั้ง หมู่ 5 ต.ห้วยสัตว์ใหญ่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขัน เป็นซากช้าง ถูกปาดงวง และงาไป นอนตายเป็นซากแห้งนานประมาณไม่น้อยกว่า 2 เดือน ก็ประมาณปลายเดือนกันยายน 2553 ตรวจสอบพบลูกปืน และกระสุนปืนคาร์บินที่กะโหลกช้าง โดยช้างตัวนี้ถูกตัดงวงและงาไปขาย และวันที่ 20 ตุลาคม 2553 ช้างป่ากุยบุรี ถูกยิงตายที่หุบฝาก หมู่ 7 ต.ไร่เก่า อ.สามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์ ก่อนที่คนยิงจะตัดงาไปขาย
ยิงยาสลบลูกถ้าแม่ขวางยิงแม่ทิ้ง
รายงานข่าวแจ้งว่า  การทำงานของแก๊งล่าลูกช้างไปขาย จะใช้ยาสลบยิงลูกช้าง และปล่อยไว้จนแม้ช้างทิ้ง แต่ถ้าแม่ช้างไม่ทิ้งก็ยิงแม่ช้างให้ตาย ต่อจากนั้นก็ดูแลลูกช้างและให้อาหารประมาณ 2 วัน จนลูกช้างคุ้นเคย และชินกับคนเลี้ยง แล้วพาเดินออกนอกอุทยานฯ มีผู้ใหญ่บ้าน หมู่.....เป็นคนประสานดูต้นทาง ติดต่อช้างไปขายต่อกับผู้สั่งอีกทอด โดยจะจ้างคนขี่มอเตอร์ไซคล์ดูต้นทางให้
ปะทะเดือดกลางป่า จนท-กลุ่มล่าช้าง
ต่อมาวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2554 มีขบวนการล่าช้างป่าไม่น้อยกว่า 4 คน เข้าไปในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จากห้วยสัตว์เล็ก-ห้วยคมกฤต-ห้วยตะนะ โดยเดินตามโขลงช้าง เมื่อแม่ลูกแยกเดินหากินออกห่างจากฝูง ก็จะยิงลูกช้างด้วยปืนยิงยาสลบ แล้วคอยให้แม่ช้างทิ้งลูก ถ้าไม่ทิ้งก็ยิงแม่ช้างให้ตาย ต่อจากนั้นเลี้ยงลูกช้าง ประมาณ 2 วันแล้วใช้รถโตโยต้าฟอร์จูนเนอร์ ขนส่งลูกช้างออกจากพื้นที่
ส่งลูกช้างป่าเข้าปางภาคกลาง-เหนือ
รายงานระบุด้วยว่า ลูกช้างและงาช้าง ที่ถูกล่าออกไป จะไปอยู่ที่ปางช้างในจ.ภาคเหนือและจังหวัดภาคกลาง ซึ่งมีนักการเมืองระดับชาติอยู่เบื้องหลัง ลูกช้างนำไปขายราคาประมาณ 300,000 บาท (สามแสนบาท) โดยผู้นำไปจะมีตั๋วรูปพรรณ ออกกำกับไปให้ทุกครั้ง ขบวนการล่าช้างป่าครั้งนี้ มีนาย ส. เป็นคนรับคำสั่ง คนติดต่อ และเป็นคนลงมือล่าเองด้วย ชาวกระเหรี่ยงเป็นผู้ล่า ผู้ขนย้าย ผู้ประสานติดต่อ ล่าช้างทั้งป่ากุยบุรี และป่าแก่งกระจานทั้งหมด ซึ่งประสานคนในพื้นที่ซึ่งมีข้าราชการท้องถิ่น ระดับผู้ใหญ่บ้าน ภายใน อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี เป็นผู้ติดต่อพรคานและกลุ่มคนล่าช้างทั้งหมดในป่า
ขบวนการล่าช้างมี 3 ทีม พร้อมอาวุธสงคราม คือ ปืนคาร์บิน ปืนไรเฟิล และปืนอาก้าพับฐาน และปืนยิงยาสลบ ปืนแก๊ป แต่ละทีม มีประมาณ 4-5 คน

ขอบคุณภาพจาก www.krobkruakao.com,www.dailynews.co.th,www.thairath.co.th


 
ศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง
ศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง

หมอประเวศ : รวมศูนย์อำนาจต้นตอชาติวุ่น

การปาฐกถาพิเศษล่าสุดของ ศ.นพ.ประเวศ วะสี ทั้งๆ ที่มีอาการป่วยรุมเร้า ชี้เปรี้ยงการรวมศูนย์อำนาจคือต้นตอปัญหาชาติ ทั้งขัดแย้งทางวัฒนธรรม ทุจริตคอร์รัปชั่น โดยมีชายแดนใต้เป็นตัวอย่างที่ดี แนะชุมชนท้องถิ่นแสดงบทบาท สร้างพลังขับเคลื่อนสู่จุดเปลี่ยน "ใต้สันติสุข"
          การปาฐกถาดังกล่าวเกิดขึ้นบนเวทีสมัชชาปฏิรูปชายแดนใต้ ครั้งที่ 1 "ชายแดนใต้ไม่ทอดทิ้งกัน" ที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อสัปดาห์แรกของปี 2555 ที่หอประชุมมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ซึ่งจัดโดยสภาประชาสังคมชายแดนใต้กับข่ายงานชุมชนท้องถิ่นและประชาสังคม จังหวัดชายแดนใต้ โดยการสนับสนุนของสมัชชาปฏิรูป มีประชาชนและนักศึกษาในพื้นที่สนใจเข้าร่วมรับฟังอย่างหนาแน่น

คนทอดทิ้งกันเพราะ "อำนาจ-เงิน"
          ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ในฐานะประธานสมัชชาปฏิรูป กล่าวว่า แนวคิดไม่ทอดทิ้งกัน ถือเป็นหลักการที่ใหญ่มาก เพราะว่าสังคมทั่วโลกวิกฤติอย่างมาก นั่นเป็นเพราะไปถือหลักการอื่น คือ หลักการเรื่องอำนาจและเงินเป็นสำคัญ ทำให้เกิดการทอดทิ้งกัน เกิดการแบ่งแยก เกิดเหตุความขัดแย้ง ทำลายสังคม ทำลายเศรษฐกิจ การเอาเปรียบกันต่างๆ นานาทั่วโลก เกิดวิกฤตการณ์ไปทั่ว ทั้งวิกฤติธรรมชาติ เศรษฐกิจ สังคม และการเมืองที่มาบรรจบ เป็นวิกฤตการณ์ระดับโลกเลยทีเดียว และไทยก็เป็นส่วนหนึ่งของวิกฤตการณ์นั้นด้วย เพราะเราไม่ถือหลักเคารพพระผู้เป็นเจ้าหรือเคารพหลักธรรมชาติที่ว่ามนุษย์ และธรรมชาติล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน จะทอดทิ้งอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ จะทำอะไรต้องคิดถึงทั้งหมด การถืออำนาจและเงินเป็นใหญ่ นอกจากเป็นการไม่เคารพหลักการตัวนี้แล้ว ทำให้เกิดการทอดทิ้งกันด้วย
          ฉะนั้นหลักการ "ชายแดนใต้ไม่ทอดทิ้งกัน" จึงเป็นหลักการที่ใหญ่มาก จากนี้ไปจึงเป็นรูปธรรมของการที่จะทำงานต่อไป ก็คือการ "รวมตัว ร่วมคิด ร่วมทำ" ของ ทุกองค์กรในพื้นที่ ในทุกเรื่องและทุกระดับ ตั้งแต่ครอบครัวจนถึงระดับชาติ  ถ้าเรามีการรวมตัว ร่วมคิด ร่วมทำ นอกจากจะเป็นหลักการประชาธิปไตยแล้ว ยังเป็นหลักการที่สร้างจิตสำนึกใหม่ด้วย นั่นคือการใช้หลักธรรม เคารพศักดิ์ศรีคุณค่าความเป็นคนของคนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ใช้อำนาจและเงินเป็นใหญ่ และไม่ใช่ใช้อำนาจสั่งการโดยคนอื่นไม่ได้มีส่วนร่วม

"รวมศูนย์อำนาจ" ต้นตอขัดแย้งวัฒนธรรม
          ศ.นพ.ประเวศ กล่าวต่อว่า สิ่งที่เป็นปัญหาร้ายแรงที่สุดในประเทศคือ "การรวมศูนย์อำนาจ" และการรวมศูนย์อำนาจเป็นต้นตอของความชั่วร้ายทั้งหลายที่เกิดขึ้นในประเทศนี้ มี 5 ประการ คือ
          ประการที่ 1 การรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลางทำให้เกิดความขัดแย้งกับวัฒนธรรมท้องถิ่น ทั้งนี้ วัฒนธรรมท้องถิ่น เป็นเรื่องสำคัญ เพราะเป็นวิถีชีวิตร่วมกันของกลุ่มชนที่สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมหนึ่งๆ โดยมีคุณค่าร่วมกัน มีความเชื่อ มีขนบธรรมเนียมประเพณี วิธีปฏิบัติต่างๆ นานาร่วมกัน เป็นวิถีชีวิตที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลและสงบสุข แต่การรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลางนั้น อยากให้เหมือนๆ กันไปหมด ทั้งด้วยอำนาจของกฎหมาย การบังคับใช้กฎหมาย หรือการใช้พละกำลังตำรวจทหารก็ตาม ก็เกิดความขัดแย้งไปทั่วประเทศ เป็นการขัดแย้งกับวัฒนธรรมท้องถิ่น และอาการต่างๆ นานาที่ออกมาชัดเจนที่สุดก็คือที่ชายแดนใต้ที่เกิดเป็นความรุนแรงขึ้น
          ประการที่ 2 การรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลางทำให้ส่วนกลไกของรัฐต่างๆ ทำงานโดยใช้อำนาจ ไม่ได้ใช้ความรู้และปัญญา การใช้อำนาจสั่งการไปทั่วในสังคมที่ซับซ้อนและยากในปัจจุบันนั้น นอกจากจะไม่เกิดผลแล้ว กลับทำให้เกิดสิ่งแทรกซ้อนมากขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าเราไปดูกลไกของรัฐทั้งทางราชการและทางการเมืองจะเห็นว่ามี สมรรถนะน้อยที่จะแก้ปัญหาต่างๆ อาจจะเรียกว่าแก้ปัญหาอะไรไม่ได้เลย ทั้งความยากจน สิ่งแวดล้อม หรือความรุนแรง เพราะกลไกของรัฐที่ใช้อำนาจ แต่ไม่ใช้ความรู้ ไม่ใช้ปัญญา

ต้นเหตุของทุจริต ความรุนแรง และรัฐประหาร
          ประการที่ 3 การรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลางทำให้กลไกของรัฐจะมีการทุจริต คอร์รัปชั่นมาก อัน นี้เป็นหลักสากล เป็นสัจธรรม เพราะถ้าอำนาจเข้มข้นที่ไหน คอร์รัปชั่นหรือการทุจริตก็จะมากที่นั่น เป็นการบ่อนทำลายประเทศเป็นอย่างยิ่ง
          ประการที่ 4 การรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลางทำให้เกิดการแย่งอำนาจกันอย่างรุนแรง ต้นเหตุให้เกิดความรุนแรงทางการเมืองก็เพราะการรวมศูนย์อำนาจ แต่ถ้าอำนาจกระจายไปสู่ชุมชนท้องถิ่นทั้งหมดโดยทั่วถึง ก็ไม่มีใครอยากมาแย่งอำนาจอะไร ผลประโยชน์ก็หาไม่ได้ คนที่จะเข้ามาทำงานก็ทำเพื่อบ้านเมือง มีความสามารถและมีความสุจริต ไม่ใช่มาเพื่อหาผลประโยชน์กันอย่างทุกวันนี้
          ประการที่ 5 การรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลางทำให้ทำรัฐประหารได้ง่าย เพราะอำนาจมันรวมศูนย์อยู่ การยึดอำนาจก็ใช้กำลังแค่ไม่กี่คน แต่ถ้าอำนาจกระจายไปหมด ก็จะไม่มีทางยึดอำนาจได้ เพราะไม่รู้จะยึดที่ตรงไหน เพราะฉะนั้น ประเทศที่เขากระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่นโดยทั่วถึงจะไม่มีการรัฐประหาร เพราะมันทำไม่ได้ มันยึดไม่ได้

ยกสวิตเซอร์แลนด์ "กระจายอำนาจแก้โกง"
          "ดูอย่างประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เราอาจคิดว่าเป็นประเทศที่ดีและน่าอยู่ แต่ย้อนหลังไปร้อยกว่าปีเขาเต็มไปด้วยคอร์รัปชั่น โคตรโกง โกงทั้งโคตร เพราะอำนาจรวมศูนย์อยู่อย่างเราทุกวันนี้ เมื่อเขารู้ตรงนี้ เขาก็ทำการกระจายอำนาจไปสู่ชุมชนท้องถิ่นโดยทั่วถึง มีประชากร 6 ล้านคน แต่อำนาจนั้นกระจายไปสู่ 26 ท้องถิ่น เป็นแคนตอน (canton) 23 แคนตอน กับอีก 3 ที่เป็นเซมิออโตเมติก หรือกึ่งอัตโนมัติ รวมเป็น 26 แห่ง ประชาชนเข้ามามีบทบาทได้โดยตรง เข้ามาควบคุมการบริหารท้องถิ่นได้ หลายเรื่องประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมเป็นประชาธิปไตยโดยตรง คอร์รัปชั่นก็หายไป"
          "ปัญหาใหญ่ของประเทศไทยอยู่ตรงนี้  ตลอดเวลาเกือบ 80 ปีที่เรียกว่าประชาธิปไตย มันไม่ใช่ประชาธิปไตยที่แท้จริงและยังไม่ได้เกิดขึ้น แต่เป็นเพียงการแย่งชิงอำนาจที่ระดับบนเท่านั้น ฉะนั้นสมัชชาสภาประชาสังคม ชื่อก็บอกแล้ว “ประชาสังคม” แปลว่า สังคมเข้ามามีส่วนร่วม เพราะฉะนั้นเรื่องกระจายอำนาจไปสู่ชุมชนท้องถิ่นโดยทั่วถึงจึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่สุดที่จะทำให้เกิดสันติสุขขึ้น" ประธานสมัชชาปฏิรูป กล่าว

ชูจัดการ "นโยบาย-พัฒนาอย่างบูรณาการ"
          ศ.นพ.ประเวศ กล่าวอีกว่า ได้ชูประเด็นการปฏิรูปประเทศไทย คือ ชุมชน ท้องถิ่น และจังหวัดมีการจัดการตัวเอง จังหวัดที่มีวัฒนธรรมใกล้เคียงก็เป็นกลุ่มจังหวัดที่ควรจะจัดการตัวเอง ถ้าถามว่าจัดการตัวเอง จัดการอะไร คำตอบคือจัดการ 2 อย่าง ได้แก่ 1.การจัดการพัฒนาอย่างบูรณาการ และ 2.การจัดการเชิงนโยบาย
          การจัดการพัฒนาอย่างบูรณาการ มีทั้งเรื่องเศรษฐกิจ จิตใจ สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม สุขภาพ การศึกษาและประชาธิปไตยไปด้วยกัน เมื่อชุมชนจัดการตนเอง มีสภาผู้นำชุมชนที่มีผู้นำตามธรรมชาติรวมตัวกัน ซึ่งในชุมชนที่เราเห็นก็มีอยู่ (หมายถึงชายแดนใต้) ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะครู อิหม่าม และผู้นำตามธรรมชาติจะมีคุณสมบัติสูงกว่าผู้นำโดยการเลือกตั้งและโดยการแต่ง ตั้ง คือ 1.เป็นคนเห็นแก่ส่วนรวม 2.เป็นคนสุจริต 3.เป็นคนฉลาด มีสติปัญญา เป็นคนรอบรู้ 4.เป็นผู้ที่สื่อสารเก่ง
          เมื่อมีคุณสมบัติต่างๆเหล่านี้ การยอมรับของคนทั่วไปก็จะเกิดอัตโนมัติ ซึ่งจะแตกต่างกับผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งหรือโดยการแต่งตั้งที่ขาดใน เรื่องความสุจริตหรือการมีสติปัญญา หรือการใช้อำนาจ ใช้เงินทองเพื่อให้ได้ตำแหน่งมา
          "ฉะนั้น ผู้นำธรรมชาติที่มีอยู่ในชุมชนเป็นผู้นำที่มีคุณภาพสูง ซึ่งแต่ละหมู่บ้านอาจจะมี 40-50 คน ลองคิดดูเรามี 80,000 หมู่บ้าน (หมายถึงทั่วประเทศ) ถ้าเอา 50 คูณ ก็ประมาณ 4-5 ล้านคน ถือเป็นจำนวนที่มาก ถ้าเรามองข้างบนไปที่นักการเมือง เราเกือบจะมองไม่เห็นเลยว่ามีคนที่สุจริต มีสติปัญญาสูง มีคนที่เห็นแก่ส่วนรวมมาก ขณะที่ชุมชนนั้นมีจำนวนมากเป็นธรรมชาติ เพราะฉะนั้นถ้าเราจับตรงนี้ให้ได้ว่าชุมชนเข้มแข็ง ชุมชนจัดการตัวเอง เราจะมีผู้นำที่มีคุณภาพเรียกว่าสูงสุด" ศ.นพ.ประเวศ ระบุ
          ราษฎรอาวุโส กล่าวอีกว่า การจัดการเชิงนโยบายเป็นการดูว่านโยบายไหนบ้างที่จะมาส่งผลกระทบหรือรบกวน ความสงบสุขของประชาชน ต้องรบกวนหรือกระทบน้อยที่สุดจึงจะสามารถขับเคลื่อนได้ เพราะว่าการจัดการพัฒนาอย่างมีบูรณาการนั้น นำไปสู่สังคมแห่งการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข

แนะขับเคลื่อนต่อเนื่องจนถึง "จุดเปลี่ยน"
          ศ.นพ.ประเวศ กล่าวด้วยว่า สำหรับสมัชชาเฉพาะประเด็นที่ชายแดนใต้ จุดใหญ่จะเป็นการสร้างประชาธิปไตยชุมชนท้องถิ่น สร้างความร่วมมือกัน เป็นการรวมตัว ร่วมคิด ร่วมทำกันอย่างที่ว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด ซึ่งจะสะท้อนกลับไปทำให้การเมืองระดับชาติดีขึ้น ระบบกลไกของรัฐดีขึ้น คอร์รัปชั่นน้อยลง สมรรถนะทางกลไกรัฐจะเพิ่มมากขึ้น เพราะว่ามีฐานที่แข็งแรง ที่ฐานของประเทศคือชุมชนท้องถิ่น ชุมชนท้องถิ่นนั้นเหมือนเป็นฐานปิรามิดของสังคม หรือฐานพระเจดีย์ของสังคม ถ้าฐานแข็งแรงแล้ว ก็จะรองรับสังคมทั้งหมดให้มั่นคง
          กระบวนการสมัชชาปฏิรูปเฉพาะประเด็น หรือว่ากระบวนการสภาประชาสังคมต้องทำอย่างต่อเนื่อง เราไม่ใช่ทำครั้งเดียวและมีข้อเสนอไป แต่เราต้องทำอย่างต่อเนื่องตลอดไปเลย กระบวนการนี้เมื่อขับเคลื่อนไปจะทำให้เกิดพลังมากขึ้น เป็นการสะสมพลังตัวเองเป็นพลังทางสังคมและพลังทางปัญญา จริงๆแล้วเป็นพลังทางจิตวิญญาณด้วย เมื่อถึงจุดเปลี่ยนที่เรียกว่า เทิร์นนิ่งพอยท์ (Turning Point) พอถึงจุดเปลี่ยนแล้ว จะไม่หันกลับไปจุดเดิม
          และจุดเปลี่ยนนั้นคือเกิดสังคมสันติสุขในชายแดนใต้!


 ISRA Institute Thai Press Development Foundation
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง