บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2555

กองทุนตั้งตัว

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่มหาวิทยาลัยราชภัฎสุรินทร์ จ.สุรินทร์ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทาง “กองทุนตั้งตัวได้” โดยอนุมัติงบ 5,000 ล้านบาทให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการดูแล

ตั้งคณะกรรมการ 2 ระดับ คือ คณะกรรมการนโยบาย (นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน) และ คณะกรรมการบริหาร
ตั้งสำนักงานกองทุน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษาฯ
กลุ่มเป้าหมายผู้ขอรับทุน คือ นักศึกษาระดับอุดมศึกษาและอาชีวศึกษา ทั้งที่ศึกษาอยู่หรือจบการศึกษาไม่เกิน 5 ปี
คัดเลือก บ่มเพาะ รวมระยะเวลาโครงการทั้งหมด 4 ปี
เงินทุนจากงบประมาณประจำปีรวม 40,000 ล้านบาท ตลอด 4 ปี
ปี 2556 – 5,000 ล้านบาท
ปี 2557 – 5,000 ล้านบาท
ปี 2558 – 10,000 ล้านบาท
ปี 2559 – 20,000 ล้านบาท

นางสาวศันสนีย์ นาคพงศ์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวการประชุม ครม.สัญจร
สาระสำคัญของ “กองทุนตั้งตัวได้” ตามที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีดังนี้ (ตัวเน้นโดย SIU)

1. เห็นชอบให้จัดตั้งทุนหมุนเวียนเป็นกองทุนตั้งตัวได้ภายใต้การกำกับดูแล ของกระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และหลักการการดำเนินการกองทุนตั้งตัวได้ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ

2. เห็นชอบให้ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 วงเงิน 5,000 ล้านบาท เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับกองทุนตั้งตัวได้ โดยให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการขอปรับลดงบประมาณจากสำนักเลขาธิการนายก รัฐมนตรีมาตั้งไว้ที่กระทรวงศึกษาธิการ และให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำข้อเสนอเปลี่ยนแปลงการตั้งกองทุนฯ ให้อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงศึกษาธิการต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 ตามข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ

3. งบประมาณที่ตั้งไว้ที่กองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการและสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาด ย่อมหารือแนวทางการบริหารจัดการเงินดังกล่าวตามข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ และ

4. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยกองทุนตั้งตัวได้ พ.ศ. …. และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้

สาระสำคัญของร่างระเบียบและร่างหลักการฯ

1. ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วย กองทุนตั้งตัวได้ พ.ศ. ….

1.1 กำหนดให้จัดตั้ง “กองทุนตั้งตัวได้” ในกระทรวงศึกษาธิการ ประกอบด้วย เงินทุนประเดิมและเงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี และเงินหรือทรัพย์สินที่ตกเป็นของกองทุนหรือที่กองทุนได้รับตามกฎหมายอื่น เป็นต้น และให้การใช้จ่ายเงินกองทุนเป็นไปเพื่อกิจการตามที่กำหนด (ร่างข้อ 5 ถึงร่างข้อ 7)

1.2 กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายกองทุนตั้งตัวได้ ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรีหรือผู้ที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นประธานกรรมการ กรรมการโดยตำแหน่ง และให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด (ร่างข้อ 8 ร่างข้อ 10 และร่างข้อ 20)

1.3 กำหนดให้มีคณะกรรมการบริหารกองทุนตั้งตัวได้ ประกอบด้วยประธานกรรมการที่คณะกรรมการแต่งตั้ง กรรมการโดยตำแหน่ง และผู้ทรงคุณวุฒิที่คณะกรรมการแต่งตั้งจากผู้มีคุณสมบัติตามที่กำหนด กำหนดอำนาจหน้าที่ วาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่ง (ร่างข้อ11 ถึงร่างข้อ 16)

1.4 กำหนดให้มีสำนักงานกองทุนตั้งตัวได้ เป็นหน่วยงานภายในสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา โดยให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด (ร่างข้อ 17) (เดิมให้จัดตั้งเป็นหน่วยงานอิสระภายใต้การกำกับของรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ศึกษาธิการ)

1.5 กำหนดให้คณะกรรมการ คณะกรรมการบริหารกองทุน ที่ปรึกษา คณะอนุกรรมการและคณะทำงาน ได้รับเบี้ยประชุมหรือค่าตอบแทน โดยเบิกจ่ายจากเงินของกองทุนตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง (ร่างข้อ 19)

1.6 กำหนดให้กองทุนสนับสนุนทางการเงินแก่นักศึกษาที่ประสงค์จะเป็นผู้ประกอบการ ภายใต้วัตถุประสงค์กองทุน และนโยบายของคณะกรรมการ และให้ขอบเขตการสนับสนุนทางการเงิน และหลักเกณฑ์และวิธีการขอรับและการพิจารณาการสนับสนุนทางการเงิน เป็นไปตามที่คณะกรรมการบริหารกองทุนกำหนดโดยต้องเป็นไปตามนโยบายของคณะ กรรมการ และกำหนดแนวทางการดำเนินการการสนับสนุนทางการเงินของคณะกรรมการบริหารกอง ทุน (ร่างข้อ 21 และร่างข้อ 22)

1.7 กำหนดให้การรับเงิน การจ่ายเงิน และการเก็บรักษาเงินของกองทุน ตลอดจนการนำส่งเงิน การบริหารกองทุนและการจัดหาผลประโยชน์ เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามที่กำหนด (ร่างข้อ 23 ถึงร่างข้อ 25)

1.8 กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจัดทำบัญชีกองทุน การรายงานผลการตรวจสอบงบการเงิน และการจัดทำรายงานการเงินในภาพรวม (ร่างข้อ 26 ถึงร่างข้อ 28)

1.9 กำหนดบทเฉพาะกาลเกี่ยวกับการใช้จ่ายเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินการของกองทุน (ร่างข้อ 29)

2. ร่างหลักการกองทุนตั้งตัวได้ ประกอบด้วย

2.1 วัตถุประสงค์ของกองทุน และเป้าหมายในเชิงปริมาณและคุณภาพ (ร่างหัวข้อ 2 และร่างหัวข้อ 3)

2.2 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักศึกษาจากสถาบันอุดมศึกษาและอาชีวศึกษาที่ศึกษาอยู่ หรือสำเร็จการศึกษาแล้วไม่เกิน 5 ปีการศึกษา และสถาบันการศึกษาที่สนับสนุนการบ่มเพาะวิสาหกิจ หรือการให้การช่วยเหลือด้านการเงิน (ร่างหัวข้อ 4)

2.3 หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องในเชิงนโยบายและการประสานงานจำนวน 10 หน่วยงาน และทุนหมุนเวียนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และกองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (ร่างหัวข้อ 5)

2.4 ระยะเวลาเบื้องต้นในการดำเนินการ 4 ปี โดยจะเป็นการฝึกอบรม คัดเลือก และการบ่มเพาะในมหาวิทยาลัย ร่วมกับการวิจัยศึกษากรณีความสำเร็จร่วมกับการปล่อยสินเชื่อและทุนหมุนเวียน โดยอาจมีระยะเวลาปลอดดอกเบี้ย (ร่างหัวข้อ 6)

2.5 โครงสร้างการบริหารงานทุนหมุนเวียน ประกอบด้วย คณะกรรมการนโยบาย คณะกรรมการบริหารกองทุน คณะกรรมการพิจารณากองทุน (กองทุนร่วมทุน) และกรรมการบริหารความเสี่ยง (ร่างหัวข้อ 7)

2.6 แผนการดำเนินงาน และแนวทางวิธีดำเนินการ (ร่างหัวข้อ 8 และร่างหัวข้อ 9)

2.7 แหล่งเงินทุนของกองทุน ประกอบด้วย เงินทุนประเดิมและเงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี และเงินหรือทรัพย์สินที่ตกเป็นของกองทุนหรือที่กองทุนได้รับตามกฎหมายอื่น เป็นต้น (ร่างหัวข้อ 10)

2.8 ประมาณการรายรับ ได้แก่ ทุนประเดิมจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 จำนวน 5,000 ล้านบาท เงินอุดหนุนจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 พ.ศ. 2558 และ พ.ศ. 2559 จำนวน 5,000 ล้านบาท 10,000 ล้านบาท และ 20,000 ล้านบาท ตามลำดับ

ประมาณการรายจ่าย ได้แก่ รายจ่ายสนับสนุนสถาบันการศึกษาที่เข้าร่วมโครงการสถาบันละไม่เกิน 1,000 ล้านบาทในการดำเนินการด้านการบ่มเพาะ การพิจารณาสนับสนุนการลงทุนและสินเชื่อ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการและบริหารกองทุน (ร่างหัวข้อ 11)

2.9 การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม การวิเคราะห์ความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจ สังคม และการเงิน และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ (ร่างหัวข้อ 13 ถึงร่างหัวข้อ 15)

ข้อมูลจาก เว็บไซต์รัฐบาลไทย



เปิดมติคณะรัฐมนตรี 30 ก.ค. 55 อนุมัติโครงสร้างพื้นฐานอีสานใต้หลายจังหวัด

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2555 ที่ จ.สุรินทร์ เห็นชอบข้อเสนอของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจภูมิภาคอีสานใต้หลายโครงการ เช่น


ศึกษาความเป็นไปได้โครงการ “นครราชสีมา : เมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ในอนุภาค” และ เขตเศรษฐกิจพิเศษอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตรชายแดน ที่อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์
โครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟทางคู่ จังหวัดนครราชสีมา – บุรีรัมย์ – สุรินทร์ – ศรีษะเกษ – อุบลราชธานี ให้แล้วเสร็จในปี 2562
โครงการยกระดับสนามบินอุบลราชธานี เพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางการบินในอินโดจีน
โครงการพัฒนาและขยายเส้นทางการจราจร ประกอบด้วย 10 โครงการ
โครงการอ่างเก็บน้ำและเขื่อนบริเวณลุ่มน้ำชีตอนบน จ.ชัยภูมิ
พัฒนาและยกระดับจุดผ่อนปรนตามชายแดนหลายจุด


เนื้อหาจากสรุปการประชุมคณะรัฐมนตรี

สาระสำคัญของผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 6/2555 ในวันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม 2555 เวลา 18.10 – 20.00 น. ณ โรงแรมทองธารินทร์ จังหวัดสุรินทร์ มีรายละเอียดข้อเสนอเพื่อพิจารณาของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย รวม 4 ด้าน 16 เรื่อง สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้

1. การส่งเสริมการค้าและการลงทุน (เสนอโดย กกร.)

1.1 ข้อเสนอ

ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการศึกษาวิจัยโครงการ “นครราชสีมา : เมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ในอนุภาค” จำนวน 20 ล้านบาท เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่ในด้านการกระจายความเจริญ และฟื้นฟูบูรณะศูนย์กลางเดิม ยุทธศาสตร์กลุ่มเมือง ยุทธศาสตร์เมืองสร้างสรรค์ ยุทธศาสตร์การพัฒนาที่สมดุลยั่งยืน ยุทธศาสตร์เมืองและชนบทพอเพียง
ขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลด้านนโยบายและงบประมาณเพื่อศึกษาความเป็นไปได้โครงการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตรชายแดน ที่อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ เพื่อรองรับการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ การท่องเที่ยว และการลงทุนภาคอุตสาหกรรมที่จะเกิดขึ้นได้อย่างเสรีในอนาคต
1.2 มติที่ประชุม

มอบหมายกระทรวงมหาดไทย โดยกรมโยธาธิการและผังเมือง รับข้อเสนอโครงการศึกษาวิจัยโครงการ “นครราชสีมาเป็นเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ในอนุภาค” ไปพิจารณาดำเนินการ โดยให้มีผู้แทนภาคเอกชนเข้าร่วมในคณะกรรมการกำกับการศึกษาโครงการฯ ด้วย
มอบหมายกระทรวงอุตสาหกรรม โดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานหลัก ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ศึกษาเป็นไปได้ของโครงการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตรชายแดนที่อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์
2. การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ (เสนอโดย กกร.)

2.1 ข้อเสนอ

ขอรับการสนับสนุนการพัฒนาและขยายเส้นทางการจราจร ประกอบด้วย 10 โครงการ ได้แก่ (1) โครงการก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข 304 สาย อำเภอกบินทร์บุรี-อำเภอปักธงชัย (2 ช่วง) (2) การเร่งรัดโครงการสร้างเส้นทางถนนเลี่ยงเมือง จังหวัดสุรินทร์ ระยะทาง 7.6 กิโลเมตร (3) โครงการขยายเส้นทางจราจรทางหลวงหมายเลข 205 (โนนไทย – หนองบัวโคก ระยะทาง 31 กิโลเมตร เป็น 4 ช่องจราจร (4) โครงการขยายทางหลวงหมายเลข 201 ช่วง อำเภอสีคิ้ว – อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา – บ้านแปรง ตำบลหนองบัวโคก อำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ ระยะทาง 52 กิโลเมตร เป็น 4 ช่องจราจร (5) การเร่งรัดโครงการขยายทางหลวงหมายเลข 24 (อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ – อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี เป็น 4 ช่องจราจร ตลอดทั้งเส้น (6) โครงการขยายช่องทางจราจร ของจังหวัดสุรินทร์ จาก 2 ช่องจราจร เป็น 4 ช่องจราจร จำนวน 3 เส้นทาง เพื่ออำนวยความสะดวกการเชื่อมโยงระหว่างจังหวัด และกับประเทศเพื่อนบ้าน (กัมพูชา) (7) การขยายทางหลวงหมายเลข 226 (อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครราชสีมา – บ้านหนองกระทิง จังหวัดบุรีรัมย์) ช่วงกิโลเมตร 22+100 ถึงกิโลเมตร 78+700 (8) โครงการก่อสร้างวงแหวนรอบเมือง จังหวัดนครราชสีมา ตอน 2 (ด้านเหนือ) (9) โครงการพัฒนาเส้นทางคมนาคมแบบ 4 ช่องจราจร จาก อำเภอเสนางคนิคม ถึง อำเภอชานุมาน จังหวัดอำนาจเจริญ (ชายแดนสปป. ลาว) ระยะทาง 50 กิโลเมตร และ (10) โครงการปรับปรุงช่องการจราจร เส้นทางหมายเลข 2201 (บ้านนาเจริญ – บ้านละลม – บ้านแซร์ไปร์ อำเภอภูสิงห์ – ช่องสะงำ จังหวัดศรีสะเกษ (เพื่อเชื่อมโยงไปยังประเทศเพื่อนบ้าน)
โครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟทางคู่ จังหวัดนครราชสีมา – บุรีรัมย์ – สุรินทร์ – ศรีษะเกษ – อุบลราชธานี ให้แล้วเสร็จในปี 2562 เพื่อลดความหนาแน่น ประหยัดเวลา และลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โครงการยกระดับสนามบินอุบลราชธานี เพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางการบินในอินโดจีน และผลักดันให้มีเที่ยวบินและสายการบินต่างประเทศในอินโดจีนมาลงที่สนามบินอุบลราชธานี และบินไปยังเมืองสำคัญๆ ของกลุ่มอินโดจีนโดยตรง (ไม่ต้องผ่านสนามบินสุวรรณภูมิ) เพื่อส่งเสริมด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว และเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ในปี 2558
2.3 มติที่ประชุม

มอบหมายกระทรวงคมนาคม รับไปพิจารณาดำเนินการ ดังนี้

ศึกษาความเหมาะสมและจัดลำดับความสำคัญของการขยายเส้นทางและช่องจราจรในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง โดยให้ความสำคัญกับเส้นทางและช่องจราจรที่เชื่อมโยงระหว่างภาคและประเทศเพื่อนบ้านในการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนต่อไป โดยคำนึงถึงข้อจำกัดด้านขีดความสามารถในการลงทุนของภาครัฐ สำหรับเส้นทางที่ไม่อยู่ในแผนงานการขยายแนวเส้นทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองของกรมทางหลวงให้ไปศึกษาในรายละเอียดพิจารณาศึกษาความเหมาะสมและจัดลำดับความสำคัญของเส้นทางการก่อสร้างถนนสายใหม่ในการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอน ทั้งนี้ การพิจารณาให้คำนึงผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ
พิจารณาความเป็นไปได้ในการเร่งรัดแผนการพัฒนารถไฟทางคู่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยคำนึงถึงข้อจำกัดด้านขีดความสามารถในการลงทุนของภาครัฐ และขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของโครงการควบคู่ไปด้วย
ศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาท่าอากาศยานอุบลราชธานีในเชิงพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อให้เป็นศูนย์กลางการบินในอินโดจีน โดยคำนึงถึงปริมาณความต้องการเดินทาง ความได้เปรียบในเชิงพื้นที่ รวมทั้งโอกาสและข้อจำกัดในการรองรับการเดินทางของผู้โดยสารที่เดินทางจากประเทศเพื่อนบ้านเพื่อมาใช้บริการที่ท่าอากาศยานดังกล่าว
3. การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (เสนอโดย กกร.)

3.1 ข้อเสนอ

ขอรับการสนับสนุนก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำโป่งขุนเพชร บริเวณบ้านแก่งกระจวนตำบลโคกสะอาด อำเภอหนองบัวระเหว จังหวัดชัยภูมิ ให้แล้วเสร็จภายในปี 2557 เพื่อเป็นแหล่งน้ำให้กับการใช้น้ำตามลำน้ำชี โดยเฉพาะลำน้ำชีตอนบนตั้งแต่บริเวณท้ายน้ำของโครงการฯ ผ่านอำเภอบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ จนถึงอำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น
ขอให้เร่งรัดการก่อสร้างโครงการพัฒนาลุ่มน้ำชีตอนบน เขื่อนชีบน และเขื่อนยางนาดี จังหวัดชัยภูมิ ให้แล้วเสร็จ เนื่องจากผ่านมติคณะรัฐมนตรี รวมทั้งการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเชิงยุทธศาสตร์ และการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพแล้ว โดยขอให้มีการพิจารณาทบทวนค่าเวนคืนที่ดินที่เหมาะสมแก่ราษฎรในพื้นที่
3.2 มติที่ประชุม

มอบหมายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รับไปพิจารณา ดังนี้

เร่งรัดการก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำโป่งขุนเพชร จังหวัดชัยภูมิ ให้แล้วเสร็จภายในปี 2557 และนำเสนอคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยต่อไป
ประสานกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในเรื่องการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ เพื่อเร่งรัดการก่อสร้างโครงการพัฒนาลุ่มน้ำชีตอนบน เขื่อนชีบน และเขื่อนยางนาดี จังหวัดชัยภูมิ และนำเสนอคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยต่อไป
ร่วมกับคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย และกลุ่มจังหวัด พิจารณาการเชื่อมโยงพื้นที่ในการจัดหาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรและการอุปโภคบริโภคแบบบูรณาการในภาพรวมทั้งระบบ โดยคำนึงถึงความพร้อมของพื้นที่และการยอมรับของประชาชน ทั้งนี้ให้ขอความร่วมมือภาคเอกชนได้ร่วมสนับสนุนข้อมูลที่จำเป็นในพื้นที่ด้วย
4. การส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริการ (เสนอโดย สทท.)

4.1 ข้อเสนอ

ขอให้สนับสนุนและส่งเสริมการดำเนินโครงการ “นำช้างคืนถิ่น” และ “คชอาณาจักร” โดยให้มีการจัดสรรงบประมาณอย่างต่อเนื่อง และเร่งรัดการขออนุญาตใช้พื้นที่ป่าเสื่อมโทรมดังกล่าวให้แก่โครงการฯ เพื่อให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศ
ขอให้พัฒนาพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมในเขตอำเภอวังน้ำเขียวให้เป็นสวนพฤกษศาสตร์เพื่อการเรียนรู้ภายใต้ความร่วมมือของภาครัฐและเอกชน โดยขอให้รัฐพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ได้มาตรฐาน และให้เอกชนเข้าร่วมทุนในการปรับปรุงเป็นสวนพฤกษศาสตร์ขนาดใหญ่ที่จะกลายเป็นแหล่งเรียนรู้ในลักษณะเดียวกับพืชสวนโลกของจังหวัดเชียงใหม่แต่ปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินการและบริหารจัดการในลักษณะร่วมทุน
ขอให้ส่งเสริมเส้นทางการท่องเที่ยวเชื่อมโยงอีสานใต้กับประเทศเพื่อนบ้าน โดยพิจารณาเร่งประชาสัมพันธ์เส้นทางการท่องเที่ยวที่ผู้ประกอบการได้จัดทำขึ้น รวมถึงขอให้แก้ไขปัญหาและอุปสรรคหลักของการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชื่อมโยงดังกล่าว ได้แก่ (1) ปรับปรุงเส้นทาง สายโชคชัย – เดชอุดม – แยกไปด่านช่องสะงำ ต้องผ่านหมู่บ้าน ระยะทาง 36 กิโลเมตร ให้สะดวกขึ้น และ (2) เร่งรัดการเจรจาข้อตกลงความร่วมมือในการส่งเสริมการท่องเที่ยวกับประเทศเพื่อนบ้านใน 2 ประเด็นหลัก คือ การอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการไทยที่จะนำรถโดยสารปรับอากาศเข้าไปยังประเทศกัมพูชา และเวียดนาม ตามเส้นทางท่องเที่ยว และขอให้ผ่อนปรนค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการนำนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ รวมถึงการให้ผู้ประกอบการไทยสามารถนำนักท่องเที่ยวเข้าประเทศได้ตรง ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการลาวและกัมพูชาสามารถนำนักท่องเที่ยวเข้าไทยได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย รวมถึงไม่ต้องมีใบอนุญาตประกอบกิจการนำเที่ยวได้ด้วย
4.2 มติที่ประชุม

มอบหมายกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รับไปหารือกับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เพื่อพิจารณาดำเนินการแก้ไขปัญหาช้างเร่ร่อน การอนุรักษ์ช้างและอาชีพควาญช้าง โดยบูรณาการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชน มูลนิธิ และองค์กรการกุศล เพื่อให้การดูแลอนุรักษ์ช้างเป็นไปอย่างเป็นระบบและสามารถแก้ไขปัญหาช้างได้อย่างยั่งยืน
มอบหมายกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา บูรณาการพัฒนาพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมในเขตอำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา เพื่อใช้ประโยชน์จากพื้นที่โดยเน้นการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ โดยไม่กระทบต่อพื้นที่ป่าสงวน
มอบหมายกระทรวงคมนาคมรับข้อเสนอของภาคเอกชนเรื่องการส่งเสริมเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงอีสานใต้กับประเทศเพื่อนบ้าน ไปผนวกไว้ในแผนการเชื่อมโยงระบบคมนาคมและโลจิสติกส์ เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 โดยพิจารณาใช้ประโยชน์จากความตกลงที่ไทยได้จัดทำร่วมกับกัมพูชา สปป. ลาว และเวียดนาม เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการขนส่ง คมนาคม และการท่องเที่ยวระหว่างกัน
มอบหมายกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยรับไปพิจารณาความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวจากประเทศไทยเดินทางไปประเทศเพื่อนบ้าน และการบังคับใช้ใบอนุญาตประกอบกิจการนำเที่ยวในประเทศสำหรับบริษัทนำเที่ยวจากประเทศเพื่อนบ้าน และให้นำเสนอผลการดำเนินการต่อรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) พิจารณาตามขั้นตอนต่อไป
5. รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามมติการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค (กรอ.ภูมิภาค) (เสนอโดย เลขาธิการ สศช.)

5.1 ข้อเสนอ

เลขาธิการ สศช. รายงานที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานตามมติ กรอ.ภูมิภาค ที่ได้มีการประชุมไปแล้ว 5 ครั้งที่ผ่านมา โดยภาคเอกชนได้มีการเสนอเรื่องที่มีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ได้แก่ การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ การส่งเสริมการค้าและการลงทุน การส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริการ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ รวมทั้งหมด 79 ประเด็น มีหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายตามมติ กรอ.ภูมิภาค ได้รายงานความคืบหน้าผลการดำเนินงานมาจำนวน 35 หน่วยงาน ซึ่งได้มีการดำเนินการไปแล้ว 71 ประเด็นจาก 79 ประเด็น ส่วนอีก 8 ประเด็นอยู่ระหว่างหน่วยงานที่รับผิดชอบจัดทำรายงาน 7 ประเด็น และหน่วยงานภาคเอกชนขอถอนเรื่อง 1 ประเด็น ซึ่งประเด็นที่ได้มีการดำเนินการแล้วเสร็จและเรื่องที่อยู่ระหว่างดำเนินการ สรุปตัวอย่างได้ ดังนี้

เรื่องที่ดำเนินการแล้วเสร็จ อาทิ การยกระดับจุดผ่อนปรนบ้านฮวก จังหวัดพะเยา เป็นจุดผ่านแดนถาวร กระทรวงมหาดไทยได้จัดตั้งคณะทำงานร่วมไทย – สปป.ลาว แล้ว (มติคณะรัฐมนตรีวันที่ 15 มกราคม 2555 ได้อนุมัติวงเงิน 110 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานบริเวณจุดผ่อนปรนบ้านฮวกแล้ว) การเปิดจุดผ่านแดนชั่วคราวที่บ้านพุน้ำร้อน จังหวัดกาญจนบุรี กระทรวงมหาดไทยได้ออกประกาศเปิดจุดฯ แล้ว เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2555 การศึกษาเพื่อปรับปรุงช่องทางจราจรเลียบแม่น้ำโขงเส้นทางหมายเลข 211 และ 212 กรมทางหลวงได้ศึกษาความเหมาะสมแล้ว ซึ่งกรมทางหลวงจะเร่งดำเนินการตามผลการศึกษาดังกล่าว และการเพิ่มทักษะภาษาต่างประเทศให้กับกลุ่มแรงงาน เพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน กระทรวงศึกษาธิการได้พัฒนาโรงเรียน 68 แห่ง ให้เป็นศูนย์อาเซียนศึกษา โดยจัดสอนภาษาอังกฤษและภาษาอาเซียน กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงแรงงาน และกระทรวงศึกษาธิการจัดทำหลักสูตรภาษาอังกฤษและภาษาอาเซียนในสาขาการโรงแรมและการท่องเที่ยว รวม 32 ตำแหน่ง
เรื่องที่อยู่ระหว่างดำเนินการ เช่น การเร่งรัดรถไฟทางคู่ กรุงเทพ – เชียงใหม่ กรุงเทพ – หนองคาย กรุงเทพ – ปาดังเบซาร์ กระทรวงคมนาคมอยู่ระหว่างดำเนินการ การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน จังหวัดมุกดาหาร นครพนม และหนองคาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาอยู่ระหว่างการยกร่างกฎหมายเขตเศรษฐกิจฯ โครงการพัฒนาแหล่งน้ำตามแผนการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี 2558 พื้นที่ภาคตะวันออก กระทรวงเกษตรและสหกรณ์อยู่ระหว่างดำเนินการ และการเร่งรัดดำเนินการเรื่องแนวทาง/มาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมไม้ยางพารา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอยู่ระหว่างนำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมลงนามพิจารณาออกระเบียบภายใต้พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 เป็นต้น
5.2 มติที่ประชุม

รับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามมติการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค (กรอ.ภูมิภาค) ตามที่เลขาธิการ สศช. เสนอ และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานฯ มารายงานให้ทราบเป็นระยะ

6. เรื่องอื่นๆ ที่ภาคเอกชนเสนอเพิ่มเติม

(เสนอโดย กกร./สภาธุรกิจตลาดทุนไทย) รวม 6 เรื่อง ดังนี้

6.1 ผลการประชุม 3rd Asian Business Summit (ABS) (เสนอโดย กกร.)

ข้อเสนอ ขอให้พิจารณารับประเด็นข้อเสนอแนะจากการประชุม 3rd Asian Business Summit (ABS) ประกอบด้วย (1) การสนับสนุนการเจริญเติบโตในเอเชียอย่างยั่งยืน (2) การกระชับความร่วมมือภูมิภาคเอเชีย (3) การส่งเสริมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (4) การส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และนวัตกรรม (5) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และ (6) การสร้างความเข้มแข็งในโซ่ห่วงอุปทานภายในภูมิภาคเอเชีย เพื่อนำไปใช้ประกอบการประชุมผู้นำในเวทีระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง เช่น APEC และ East Asia Summit เป็นต้น และขอรับทราบความก้าวหน้าของข้อเสนอแนะเหล่านั้นในโอกาสที่เหมาะสมต่อไป
มติที่ประชุม รับทราบตามที่ กกร. เสนอผลการประชุม 3rd Asian Business Summit (ABS) และมอบหมายกระทรวงการต่างประเทศรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
6.2 การส่งเสริมการค้าชายแดน โดยการยกระดับจุดผ่อนปรนเป็นด่านถาวร (เสนอโดย กกร.)

ข้อเสนอ ขอให้พิจารณายกระดับ “จุดผ่อนปรนชั่วคราว” เป็น “ด่านถาวร” เพื่อส่งเสริมอำนวยความสะดวกการค้าชายแดน ระหว่างไทย – กัมพูชา/สปป. ลาว และรองรับการเคลื่อนย้ายของสินค้าและคนภายใต้กรอบประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ดังนี้ (1) “ช่องสายตะกู” ตำบลจันทบเพชร อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ – บ้านจุ๊บโกกี อำเภออัมปึล จังหวัดอุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา ซึ่งปัจจุบันเปิดทุกวันศุกร์และเสาร์ เวลา 09.00 – 16.00 น. (2) “จุดผ่อนปรนบ้านยักษ์คุ” อำเภอชานุมาน จังหวัดอำนาจเจริญ – บ้านเหล่าหมากหูด เมืองไซพูทอง แขวงสะหวันนะเขต สปป.ลาว ซึ่งปัจจุบันเปิดทุกวันพุธและวันอาทิตย์ เวลา 06.00 – 18.00 น. และ (3) “จุดผ่อนปรนช่องตาอู” บ้านหนองแสง อำเภอบุณฑริก จังหวัดอุบลราชธานี – บ้านเหียง เมืองสุขุมา แขวงจำปาสัก สปป. ลาว
มติที่ประชุม รับทราบตามที่ กกร. เสนอ และมอบหมายกระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงมหาดไทยติดตามรายงานความก้าวหน้าการยกระดับจุดผ่านแดนให้คณะรัฐมนตรีรับทราบต่อไป
6.3 โครงการปรับปรุงพื้นที่ด่านชายแดนช่องจอม อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ (เสนอโดย กกร.)

ข้อเสนอ ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการปรับปรุงพื้นที่ด่านชายแดนช่องจอม อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ จำนวนเงิน ประมาณ 350 ล้านบาท เพื่อรองรับผู้ที่มาใช้งานที่มีจำนวนมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันด่านชายแดนช่องจอมยังเป็นอาคารชั่วคราว ไม่สะดวกต่อการติดต่อประสานงานและการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ อีกทั้งยังรองรับนโยบายภาครัฐเกี่ยวกับการค้าเสรีอาเซียน รวมถึงการจัดเก็บข้อมูล เพื่อเป็นสถิติในการพัฒนาและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศต่อไป
มติที่ประชุม รับทราบตามที่ กกร. เสนอ และมอบหมายกระทรวงการคลัง ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย โดยจังหวัดสุรินทร์ รับไปพิจารณาในรายละเอียดของข้อเสนอต่อไป
6.4 การเร่งรัดจัดตั้งสถาบันพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางและไม้ยางพารา (เสนอโดย กกร.)

ข้อเสนอ ขอให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมได้ตั้งขอไว้สำหรับการจัดตั้งและบริหารสถาบันพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางและไม้ยางพารา เพื่อให้สามารถดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2554
มติที่ประชุม รับทราบตามที่ กกร. เสนอ และมอบหมายรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล) ร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม ประสานสำนักงบประมาณ รับไปพิจารณาในรายละเอียดการขอรับการสนับสนุนงบประมาณดังกล่าว ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2554
6.5 ข้อเสนอโครงการจัดตั้ง Northeastern Food Valley จังหวัดนครราชสีมา (เสนอโดย กกร.)

ข้อเสนอ ขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลในการดำเนินโครงการจัดตั้ง Northeastern Food Valley จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 947,400,000 บาท ระยะเวลาดำเนินการ 3 ปี (ภายในปีงบประมาณ 2556 – 2558)
มติที่ประชุม เห็นชอบในหลักการ โดยมอบหมายกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นหน่วยงานหลักในการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษารายละเอียดโครงการ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมเป็นคณะทำงาน อาทิ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สภาอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เป็นต้น เพื่อศึกษาความเหมาะสมในการกำหนดเขตพื้นที่ดำเนินการในภาพรวมทั้งประเทศ โดยคำนึงถึงการเพิ่มมูลค่าของผลิตผลการเกษตรด้วย
6.6 โครงการให้ความรู้ด้านการเงินแก่ประชาชนในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง (เสนอโดย สภาธุรกิจตลาดทุนไทย)

ข้อเสนอ ผู้แทนสภาธุรกิจตลาดทุนไทย รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เล็งเห็นถึงความสำคัญที่ผู้ประกอบการในจังหวัดต่าง ๆ ควรได้รับการส่งเสริมให้มีความรู้ความเข้าใจประโยชน์ของตลาดทุน และสามารถใช้เครื่องมือที่มีในตลาดทุนได้อย่างเหมาะสม เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการมีทางเลือกของแหล่งเงินทุนที่จะใช้ในการขยายกิจการ และช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน สร้างธุรกิจให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน และเตรียมความพร้อมที่จะรองรับการเปิดเสรีของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 จึงมุ่งหวังให้จังหวัดต่างๆ มีความตื่นตัวเรื่องการลงทุน เสริมสร้างให้ผู้ประกอบการทั่วประเทศมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดทุน และหากสามารถนำหุ้นของบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ นับเป็นการสร้างความภาคภูมิใจให้แก่จังหวัดได้อีกทางหนึ่ง
มติที่ประชุม รับทราบตามที่สภาธุรกิจตลาดทุนไทยเสนอ และมอบหมายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพิจารณาให้การสนับสนุนการดำเนินงานตามที่เสนอ




inShare



โพสต์โดย …
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง