บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ทรงยืนรับคลื่นลมการเมือง แทนประชาชนและบ้านเมือง

คนไทยทุก คนมีบุญที่ได้เกิดมาและอยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภารของในหลวง เพราะนอกจากพระองค์จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่สุดประเสริฐ ปกครองแผ่นดินด้วยทศพิธราชธรรม เป็น “ผู้ปกครอง” ที่ไม่มีผู้ปกครองคนใดในโลกเสมอเหมือน พระองค์ยังเป็น “พ่อของแผ่นดิน” ที่ทุ่มเทการทำงานเพื่อประชาชนอย่างที่ไม่มีผู้ปกครองคนใดในโลกทำได้ ด้วยความรักความห่วงใยในประชาชนอย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้หวังผลทางการเมืองหรืออย่างอื่นเช่นผู้ปกครองทั่วไป
     หาก 65 ปีที่ผ่านมา คนไทยไม่มีพระเจ้าแผ่นดินที่สุดประเสริฐอย่างพระองค์ บ้านเมืองและคนไทยจะเป็นอย่างไรจากปัญหาการเมืองที่รุมเร้าประเทศไทยมาตลอด
พระองค์ขึ้นครองราชย์ท่ามกลางการแย่งชิงอำนาจของ “คณะราษฎร” สองฝ่าย ที่ต่อสู้กันมาภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เป็นผลสำเร็จ

    บ้านเมืองระส่ำระสายเพราะการต่อสู้ทางการเมือง พระมหากษัตริย์หนุ่มต้องยืนอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดจาก การแย่งชิงอำนาจของผู้มีอำนาจในบ้านเมืองตอนนั้น พระองค์ต้องรับแรงถาโถมทางการเมืองมากมายเพราะคำสัญญาว่า “จะไม่ทอดทิ้งประชาชน”
    สถานการณ์บ้านเมืองในตอนนั้น คนไทยไม่รู้จะพึ่งใคร นอกจากพระเจ้าอยู่หัวของพวกเขา อันสะท้อนออกมาเป็นเสียงตะโกนของคนไทยผู้หนึ่งว่า “ในหลวงอย่าทิ้งประชาชน”
    นับแต่วันนั้นมา ในหลวงไม่เคยทั้งประชาชนเลย แม้ว่าภยันตรายทางการเมืองจะรายล้อมรอบตัวพระองค์ และ “อะไรก็เกิดขึ้นได้กับพระองค์” แม้แต่ถึงชีวิตถัดจากยุคคณะราษฎรสองฝ่าย พระองค์ต้องเผชิญหน้ากับเผด็จการทหารเบ็ดเสร็จครองเมืองที่ทั้งข่มขู่กดดัน พระองค์ แสดงอำนาจบาตรใหญ่เหนือพระองค์ และพร้อมที่จะเป็นภยันตรายต่อพระองค์ทุกเมื่อเช่นกัน
     พระองค์ต้องดำรงสถานะพระเจ้าแผ่นดินอยู่อย่างกล้ำกลืนเพื่อให้ประชาชนมีที่ ยึดเหนี่ยว และทรงแปรความกล้ำกลืนเป็นการออกบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่พสกนิกรทุกหัว ระแหงทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนรู้สึกว่า “พวกเขายังมีพระเจ้าอยู่หัวอยู่กับพวกเขา”
    ยุคลัทธิคอมมิวนิสต์แผ่เข้าสู่ประเทศไทย พระองค์ต้องเผชิญมรสุมทางการเมืองอีกครั้ง เพราะพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ซึ่งลัทธิคอมมิวนิสต์จะต้องทำลายและล้มล้าง ตามสูตรการปฏิวัติประชาชนที่ทำกันมาในหลายประเทศ ทั้งที่พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ควรถูกยกเว้นการโค่นล้มทำลายและ เพราะพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่อยู่นอกเหนือนิยามการถูกทำลายของลัทธิ คอมมิวนิสต์นี่เอง ที่ทำให้ในที่สุดลัทธิคอมมิวนิสต์ไม่สามารถชนะสงครามประชาชนในประเทศไทยได้
     เราคนไทยและประเทศไทยจึงรอดพ้นจากการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์มาได้เพราะ พระองค์ท่านหมดจากยุคลัทธิคอมมิวนิสต์ แทนที่ปัญหาการเมืองจะไม่ต้องไปกระทบพระองค์อีก กลับไม่เป็นเช่นนั้น การต่อสู้ระหว่างประชาชนที่ต้องการประชาธิปไตย กับเผด็จการที่ยังตกทอดมา ก่อให้เกิดวิกฤตการเมืองครั้งแล้วครั้งเล่า
    เหตุการณ์ 14 ตุลา เหตุการณ์ 6 ตุลา เหตุการณ์พฤษภาปี 35 บ้านเมืองวิกฤตและเสียหายอย่างหนัก ประชาชนเสียเลือดเสียเนื้อ ใครเล่าจะสามารถดับวิกฤตของบ้านเมืองได้ นอกจากพระองค์
     พระองค์ต้องลงมาแก้วิกฤตการเมืองของบ้านเมืองครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะไม่อาจทิ้งประชาชนและปล่อยบ้านเมืองให้ลุกลามเสียหายต่อไปได้ การเมืองยังคงวนเวียนอยู่กับพระองค์ทั้งที่ไม่ประสงค์จะเกี่ยวข้อง
     มีใครสำนึกบ้างว่า พระองค์ทรงยอมเปลืองตัวเพื่อแก้ไขปัญหาการเมืองที่ไม่รู้จักจบสิ้น เพื่อบ้านเมืองที่พระองค์ทรงฟูมฟักมา และเพื่อประชาชนที่พระองค์ไม่เคยทอดทิ้ง
    จนในที่สุด วิกฤตการเมืองก็ถาโถมเข้าสู่พระองค์ เมื่อ “การเมืองชั่วร้าย” หันไปเล่นงานพระองค์ เพราะต้องการอำนาจสูงสุดทางการเมืองโดยที่ไม่ต้องการให้มีใครหรือสถาบันใด อยู่เหนือกว่าและคอยทัดทาน
    การเมืองชั่วร้ายทำลายพระองค์ด้วยการสร้างความเข้าใจผิดต่อประชาชนที่มีต่อ พระองค์ ก่อเกิดวิกฤตในบ้านเมืองสองปีซ้อนด้วยการจลาจลในปี 2552 และ 2553 สร้างความทุกข์ให้กับพระองค์ที่ทรงห่วงบ้านเมืองและประชาชนมากยิ่งขึ้นในยาม ที่พระชนมายุมากแล้วและยังทรงพระประชวร แทนที่พระองค์จะได้พักผ่อนและสบายพระทัยหลังจากทรงงานหนักและทรงเผชิญกับ วิกฤตการเมืองมาตลอด 65 ปี
    ทั้งที่พระองค์สามารถเอาพระองค์รอดได้ด้วยการลอยตัวออกจากปัญหาการเมือง แต่เพราะพระองค์ไม่เคยทิ้งประชาชนและไม่อาจปล่อยบ้านเมืองให้เสียหายได้ ทำให้พระองค์ต้องเผชิญคลื่นลมทางการเมืองแทนประชาชนตลอดมา 

การเมือง 4เดือน 'ยิ่งลักษณ์'ให้ของขวัญ'ชินวัตร'ผูกปมขัดแย้งใหม่

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์ดอทคอม 
กลายเป็นประเด็นร้อนไม่จบสิ้น เมื่อ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ จุดกระแสเตรียมคืนหนังสือเดินทาง หรือพาสปอร์ต ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
หลังจากถูกยึดในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ติดคุก และมีความจำเป็นที่จะต้องนำตัวมารับโทษตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดีการซื้อขายที่ดินถนนรัชดาภิเษก
“คงไม่ต้องรอถึงปีใหม่แล้ว เพราะสามารถคืนพาสปอร์ตได้เร็วขึ้นกว่าเดิม เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อคืนสิทธิพื้นฐานของประชาชนไทยตามรัฐธรรมนูญ ที่จะช่วยให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระในต่างประเทศโดยถือพาสปอร์ตไทย”
เป็นท่าทีจากเจ้ากระทรวงบัวแก้ว ท่ามกลางข้อกังขาของคนทั้งประเทศอีกครั้งว่า รัฐบาลชุดนี้ภายใต้การนำของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กำลังดำเนินนโยบายรัฐเพื่อประโยชน์ของคนเพียงคนเดียว คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือไม่
ทั้งที่ประเทศไทยเวลานี้กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาน้ำท่วมขังอยู่ในหลาย พื้นที่ ประกอบกับรัฐบาลเคยประกาศว่าจะทำให้พื้นที่น้ำท่วมขังแห้งให้ทันก่อนวันมหา มงคล
กระทั่งสุดท้ายก็ออกมายอมรับว่าไม่สามารถทำได้ และทำท่าจะมีบางพื้นที่ที่ต้องทนกับสภาพน้ำท่วมต่อเนื่องยาวไปจนถึงเทศกาล ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ เลยทีเดียว
ปรากฏว่า พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังเป็นคนไทยคนแรกและคนเดียวที่กำลังได้ของขวัญที่เป็นรูปธรรมที่สุดจากรัฐบาลของน้องสาวตัวเอง
ใช่ว่ากรณีของการคืนหนังสือเดินทางจะเป็นของขวัญชิ้นแรกที่ครอบครัวชิน วัตรได้รับในช่วงการเมืองเปลี่ยนขั้วอำนาจจากพรรคประชาธิปัตย์มาเป็นพรรค เพื่อไทย แต่ตลอด 45 เดือนที่ผ่านมาของรัฐบาลยิ่งลักษณ์นั้น ครอบครัวชินวัตรได้รับอานิสงส์ไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งดูสวนทางกับผลงานของรัฐบาลตามที่ได้ประกาศหาเสียงเอาไว้ก่อนหน้านี้
เดือน ก.ย. พานทองแท้-พินทองทา หลานรักของยิ่งลักษณ์ กลายเป็นบุคคลกลุ่มแรกที่ได้รับอานิสงส์จากรัฐบาลใหม่ ภายหลังกรมสรรพากรตัดสินใจไม่ยื่นเรื่องอุทธรณ์ศาลภาษีในการเก็บภาษีหุ้นชิน คอร์ป 1.2 หมื่นล้านบาท จากพานทองแท้และพินทองทา โดยอ้างว่าศาลฎีกาตัดสินว่าไม่ใช่เจ้าของหุ้นตัวจริง
ในเดือนเดียวกัน อัยการสูงสุด ไม่ยื่นฎีกาต่อศาลฎีกาให้พิจารณาคดีการเลี่ยงภาษีหุ้นบริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น หลังศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร และรอลงอาญา บรรณพจน์ ดามาพงศ์
นับได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่อัยการสูงสุดเผชิญกับคำถามมากที่สุดว่า ทำไมเหตุใดถึงไม่ยื่นให้ศาลฎีกาพิจารณาเพื่อให้มีคำพิพากษาเป็นบรรทัดฐานแก่ สังคม แต่สุดท้ายอัยการก็ไม่ได้ให้ความชัดเจน นอกจากคำว่า “พิจารณารอบคอบแล้ว”
พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ พี่ชายคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร เป็นอีกคนที่ได้รับของขวัญจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในช่วงเดือน ก.ย.เช่นกัน ด้วยตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ถือว่าถึงฝั่งฝันเสียทีกับตำแหน่งนี้ เพราะถูกดองในตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. มาเป็นเวลานาน ตั้งแต่รัฐบาลคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ เรื่อยมาจนถึงรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์
การได้ตำแหน่งมาของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ต้องแลกกับแรงเสียดทานและข้อครหาเป็นอย่างมาก เพราะรัฐบาลได้บีบ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ให้ออกจากตำแหน่ง โดยโยกไปเป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ แทน ถวิล เปลี่ยนศรี
แต่วาระที่ดูจะสร้างความขัดแย้งได้รุนแรงที่สุด หนีไม่พ้นความพยายามช่วยเหลือเอื้อประโยชน์ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ผ่านรูปแบบต่างๆ
เริ่มตั้งแต่แนวทางออก พระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ขอพระราชทานอภัยโทษ ด้วยตัดเงื่อนไขบางประการออกไปเพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ารับการขอพระราชทานอภัยโทษในโอกาสครบ 7 รอบ 84 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
จนเกิดกระแสต่อต้านรุนแรงขึ้นเสียก่อนจากเครือข่ายคัดค้านการนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ โดยระบุว่ารัฐบาลทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง ควรเอาสมาธิไปแก้ไขปัญหาน้ำท่วมก่อนแก้ไขปัญหาให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ จนที่สุด พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องออกแถลงการณ์ไม่ขอรับการอภัยโทษ เพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐบาลเอาไว้
แม้ว่ารัฐบาลจะถอยไม่เป็นท่ากับการออก พ.ร.ฎ. แต่ก็มีความพยายามครั้งใหม่ โดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ประกาศว่าจะออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ให้ทุกกลุ่ม รวมถึง พ.ต.ท.ทักษิณ เพียงแต่รอดูจังหวะความเหมาะสมเท่านั้น โดยพร้อมใช้เสียงข้างมากให้สภาผู้แทนราษฎรผลักดันกฎหมายฉบับนี้
แน่นอนว่าต้องมีบทบัญญัติที่นำไปสู่การตีความสร้างประโยชน์ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ด้านใดด้านหนึ่ง
ทั้งหมดนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์กำลังดำเนินนโยบายรัฐที่เร่ง เอื้อประโยชน์ให้เฉพาะคนในเครือข่ายชินวัตร เป็นพฤติกรรมที่ดูสวนทางกับคำแถลงรับตำแหน่งของนายกฯ เมื่อวันที่ 8 ส.ค. อย่างสิ้นเชิง
“ดิฉันจะมุ่งมั่น สร้างสุข สลายทุกข์ ให้แก่พี่น้องประชาชนอย่างสุดกำลังความสามารถ ดิฉันจะไม่ทำเพื่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่จะทำเพื่อประเทศชาติและคนไทยทุกคน”
พฤติกรรมของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ จึงสร้างเงื่อนไขความขัดแย้งในสังคมอีกรอบ
เริ่มต้นก็ออกตัวแรง เมื่อเกิดปัญหาน้ำท่วมใหญ่ ผู้คนเดือดร้อนจำนวนมาก และรอการเยียวยาจากรัฐบาล รัฐบาลก็หาช่องช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างไม่ลดละ และเมื่อน้ำกำลังลด ก็ยังเดินหน้าเร่งคืนพาสปอร์ตเป็นของขวัญปีใหม่ให้
ถ้ายังเร่งช่วยเหลือวงศ์ตระกูล มากกว่าสนใจปัญหาปากท้องและความเดือดร้อนของชาวบ้านก็ยิ่งปลุกให้เกิดความวุ่นวายตามมาไม่รู้จบ...
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง