บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554

ตะลึง!ใช้เงิน 15 ล้านล้าน เปิดแผนบริหารแผ่นดิน 4 ปีรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์


Pic_199596 ตะลึงแผนบริหารแผ่นดิน 4 ปี “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ยอดใช้เงินทะลุ 15 ล้านล้านบาท เกินกว่าประมาณการรายได้ 6.5 ล้านล้านบาท สศช.ติงกระทบข้อจำกัดด้านงบประมาณและขีดความสามารถในการก่อหนี้ แนะให้พิจารณาความเหมาะสมทางเศรษฐกิจของโครงการเพื่อรักษาวินัยการคลัง

ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า นายอำพน กิตติอำพล เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้เตรียมเสนอแผนบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2555-58 ให้ ครม.พิจารณาวันที่ 6 ก.ย.นี้ โดยมีสาระสำคัญ ด้านวงเงินสนับสนุนนโยบาย ที่ได้ประมาณการความต้องการใช้เงินเบื้องต้นตามข้อเสนอที่เป็นความต้องการ ของส่วนราชการ เพื่อดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล รวม 4 ปี มีความต้องการใช้เงิน 11,485,517 ล้านบาท และเมื่อรวมค่าใช้จ่ายดำเนินการภาครัฐอีก 3,952,000 ล้านบาท รวมเป็นความต้องการใช้เงินทั้งสิ้น 15,437,517 ล้านบาท ขณะที่ประมาณการรายได้สุทธิทั้ง 4 ปีของรัฐบาลอยู่ที่ 8,901,000 ล้านบาท ส่งผลให้ความต้องการใช้เงินมากกว่าประมาณการรายได้สุทธิรวม 4 ปีทั้งสิ้น 6,536,517 ล้านบาท

สำหรับประมาณการความต้องการใช้เงินตามนโยบาย รัฐบาล 4 ปี วงเงิน 11,485,517 ล้านบาท แยกเป็น 8 ด้านดังนี้ นโยบายเร่งด่วนที่จะเริ่มดำเนินการในปีแรกวงเงิน 2,778,268 ล้านบาท, นโยบายความมั่นคงแห่งรัฐ 1,283,994 ล้านบาท, นโยบายด้านเศรษฐกิจ 2,760,215 ล้านบาท, นโยบายสังคมและคุณภาพชีวิต 2,669,352 ล้านบาท, นโยบายที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 752,233 ล้านบาท, นโยบายวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การวิจัยและนวัตกรรม 144,077 ล้านบาท, นโยบายการต่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ 28,581 ล้านบาท และนโยบายการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี 1,068,797 ล้านบาท

ขณะที่ แหล่งเงินที่จะนำมาใช้ตามนโยบายของรัฐบาลในรอบ 4 ปี มาจากแหล่งเงินที่สำคัญดังนี้คือ จากเงินงบประมาณ 10,626,159 ล้านบาท ที่เหลือเป็นเงินนอกงบประมาณ 859,358 ล้านบาท มาจากรายได้ 198,124 ล้านบาท, เงินกู้ในประเทศ 272,601 ล้านบาท, เงินกู้ต่างประเทศ 64,922 ล้านบาท และแหล่งเงินอื่นอีก 323,710 ล้านบาท

ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนช่วงปี 2555-58 จะเป็นการลงทุนที่เน้นการพัฒนาคุณภาพการศึกษา และสาธารณสุข รวมทั้งขยายโอกาสการเข้าถึงระบบการศึกษาและระบบสาธารณสุข การพัฒนาเพื่อวางรากฐานการพัฒนาและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ระยะยาว ทั้งด้านขนส่งและโลจิสติกส์ พลังงาน เทคโนโลยีสารสนเทศ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เพื่อนำไปสู่การเตรียมความพร้อมการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (เออีซี) ในปี 58

อย่าง ไรก็ตาม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ให้ความเห็นประกอบว่า ประมาณการความ ต้องการใช้เงิน 4 ปี วงเงิน 15,437,517 ล้านบาท อาจมีข้อจำกัดด้านงบประมาณและขีดความสามารถในการก่อหนี้ของภาครัฐ ภายใต้กรอบการรักษาวินัยการคลัง จำเป็นที่ต้องพิจารณาความเหมาะสมทางเศรษฐกิจของโครงการลงทุนต่างๆ รวมทั้งพิจารณาแหล่งเงินทุนและรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสมเพื่อลดภาระงบประมาณ และรักษาวินัยการคลัง

นอกจากนี้ ประเด็นที่ควรให้ความสำคัญ ในการดำเนินตามแผนการบริหารราชการแผ่นดิน คือการบูรณาการ ซึ่งพบว่ามีหลายแผนงานที่มีหลายหน่วยงานดำเนินการในลักษณะเดียวกัน ดังนั้น ขั้นตอนการขอรับการจัดสรรงบประมาณ ควรมีการบูรณาการแผนการดำเนินงานและงบประมาณของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การขับเคลื่อนแผนงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพดังนี้ แผนงานด้านการบริหารจัดการน้ำ เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยทั้งในพื้นที่เกษตรและพื้นที่เมือง ซึ่งรวมถึงกรุงเทพมหานคร การแก้ปัญหาภัยแล้ง และการจัดหาน้ำเพื่อการผลิตในภาคเศรษฐกิจ ทั้งเกษตร อุตสาหกรรม บริการ และการอุปโภคบริโภคให้เพียงพอ จำเป็นต้องมีการบูรณาการงานของหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, กระทรวงมหาดไทยและกรุงเทพมหานคร เป็นต้น เพื่อให้ดำเนินการร่วมกันเป็นระบบ ไม่ซ้ำซ้อน และใช้งบอย่างมีประสิทธิภาพ

ขณะ ที่แผนงานที่ควรบูรณาการด้านที่เหลือคือ แผนงานเตรียมความพร้อมของทุกภาคส่วนในการเข้าสู่เออีซี ทั้งส่วนกลางและภูมิภาค ทั้งภาครัฐและเอกชน สำหรับการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ ควรบูรณาการแผนดำเนินการทั้งด้านการพัฒนาระบบราง และการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบให้มีความสอดรับกัน ขณะเดียวกัน การจัดการภัยพิบัติก็ควรบูรณาการแผนงานเช่นกัน เพื่อให้การดำเนินการเป็นระบบและลดความซ้ำซ้อน ส่วนนโยบายการสร้างโอกาสทางการศึกษาในโครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาที่ผูกพัน กับรายได้ในอนาคต ซึ่งเป็นของกระทรวงศึกษาธิการที่มีความต้องการใช้เงินปีละ 27,000 ล้านบาท กับความต้องการใช้เงินของกระทรวงการคลังปีละ 43,000 ล้านบาท สำหรับกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาควรกำหนดให้มีความชัดเจน.

ไทยรัฐ

ในหลวงเตือนสติคนไทย “เศรษฐกิจพอเพียง” ไม่ใช่ของเล่น

เมื่อเวลา 17.58 น. วันที่ 5 ก.ย. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ ห้องประชุมสมเด็จพระเจ้าพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ชั้น 14 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นาย สุเมธ ตันติเวชกุล ประธานกรรมการกิตติมศักดิ์สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร นำคณะผู้บริหารสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร เจ้าหน้าที่และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าเฝ้าฯกราบบังคมทูลรายงานความก้าวหน้าการสนองพระราชดำริด้านงานวิจัยของ สถาบันฯ สรุปสถานการณ์น้ำประเทศไทย ปี 53 และม.ค.-ส.ค.54 การคาดการณ์สภาพอากาศประเทศไทย ปี 54 ผลการประกวดจัดการทรัพยากรธรรมชาติชุมชนตามแนวพระราชดำริ ครั้งที่ 4 และการจัดการทรัพยากรน้ำชุมชนด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โอกาส นี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานพระราชดำรัส เกี่ยวกับประโยชน์ของเศรษฐกิจพอเพียง ความว่า ที่คนทั่วๆไปยังมีความสงสัยในคำเศรษฐกิจพอเพียง ท่านทั้งหลายมีความคิดว่าอย่างไร เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงได้ศึกษามา แต่ว่าอย่างที่ย้ำว่า มีประโยชน์เพราะว่าโดยมากเศรษฐกิจพอเพียงนี้ก็คิดแบบเล่นๆ เกินไป แต่ว่าเป็นการรอคำว่า เศรษฐกิจแล้วก็พอเพียง ก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าพอเพียงอะไร ถ้าถามความคิดในตัวพอเพียงก็แปลว่า ทำอะไรไม่ฟุ่มเฟือย ไม่ฟุ้งซ่านแล้วก็ทำด้วยเหตุผล อันนี้ผู้เชี่ยวชาญก็ต้องพยายามที่จะอธิบายว่า เป็นเศรษฐกิจ ความพอเพียงก็คือ ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่ทำอะไรให้มันเกินไป เมื่อทำอะไรให้ เมื่อทำแล้วได้ผลในการทำ ถ้าได้ผลก็หมายความว่า ประหยัด สำหรับชาวบ้าน สำหรับคนที่ทำเศรษฐกิจนี้เอง
ส่วนสำหรับผู้ที่เป็นหลักทฤษฎีหรือผู้ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญก็ต้องหาเหตุผล ของเศรษฐกิจพอเพียงนี้ ถ้าหาเหตุผลได้ก็เชื่อว่าจะได้ประโยชน์ เมื่อได้ประโยชน์ชาวบ้านในประเทศก็จะได้ประโยชน์ เมื่อได้ประโยชน์แล้วก็จะมีความร่ำรวยขึ้นโดยที่ไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย ถ้าทำได้แล้วก็จะเป็นการช่วยประเทศชาติให้อยู่อย่างดี ถ้าไม่เอาใจใส่ในความคิดเหล่านี้งานทั้งหลายที่เราทำก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เลย แต่ก็ต้องมีบกพร่อง เพราะว่าเศรษฐกิจพอเพียงถ้าคิดแบบชาวบ้าน ไม่มีอะไรที่ฝรั่งเรียก เซอร์ฟิซิเคส มันไม่ใช่แบบธรรมดาๆ ไม่ใช่ทำอะไรแบบธรรมดาก็ดูท่าทางไม่มีประโยชน์ใหญ่โตมโหฬาร ถ้าทำไม่เซอร์ฟิซิเคส ชาวบ้านก็ทำเองได้เพราะเท่าที่ฟังดู ชาวบ้านได้ค้นพบการทำเศรษฐกิจพอเพียงได้ตนเองก็ดีใจเป็นอย่างนั้น ฉะนั้นก็ผู้เชี่ยวชาญผู้ที่มีความรู้ก็น่าจะไปค้นดูว่า ชาวบ้านค้นพบว่าอะไรในเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อได้ค้นหาว่าเขาได้จริงๆ หรือไม่จริง ถ้าได้จริงก็จะต้องติดต่อในผลงานที่ชาวบ้านได้ ซึ่งจะทำให้สามารถที่จะทำให้เศรษฐกิจพอเพียงนี้มีประโยชน์มากขึ้น จนกระทั่งช่วยชีวิตให้ชาวบ้านมีความก้าวหน้าจริงๆ จังๆ
ที่ถามว่า เศรษฐกิจพอเพียงท่านทั้งหลายมีความคิดว่าอย่างไร เศรษฐกิจพอเพียงมีความดีหรือไม่ ก็เพราะว่าจะได้ช่วยชาวบ้านให้ ขยายประโยชน์ของเศรษฐกิจพอเพียงในชีวิตประจำวัน แต่ต้องไม่หัวเราะเยาะว่า เศรษฐกิจพอเพียงนี้เป็นของเล่น ไม่ใช่ของเล่น แต่เอาจริงบางทีเอาจริงคนอื่นไม่เข้าใจ แต่ต้องเข้าใจว่า ที่พูดเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ได้เป็นเศรษฐกิจที่หรูหรา แต่ว่าเป็นเศรษฐกิจที่ได้ผลจริง
ที่มา เดลินิวส์, ภาพประกอบจาก เว็บไซต์สำนักพระราชวัง

รัฐมนตรีเงา ของ ประชาธิปัตย์

  สรุปการแต่งตั้ง ครม.เงา ดังนี้

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีเงา ควบ รมว.กลาโหม

รองนายกฯ ได้แก่ นายกรณ์ จาติกวณิช นายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ นายเกียรติ สิทธีอมร และ นายกษิต ภิรมย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ

รมต.ประจำสำนักฯ ได้แก่ นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช นายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ นายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง
       
รมว.การคลัง นายจุติ ไกรฤกษ์ ส.ส.พิษณุโลก นายสรรเสริญ สมะลาภา ส.ส.กทม. เป็น รมช.คลัง

รมว.มหาดไทย คือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และมี นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง และ นายเจะอาหมิง โตะตาหยง ส.ส.ปัตตานี เป็นรมช.มหาดไทย
       
รมว.คมนาคม ได้แก่ นายวิฑูรย์ นามบุตร ส.ส.อุบลราชธานี ส่วน รมช.คมนาคม คือ นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ

รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา คือ นางอัญชลี วานิช เทพบุตร ส.ส.ภูเก็ต โดยมี นายนราพัฒน์ แก้วทอง ส.ส.พิจิตร เป็น รมช.ท่องเที่ยว
       
รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ คือ นายอิสสระ สมชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ

รมว.ต่างประเทศ คือ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ

รมว.ยุติธรรม คือ นายถาวร เสนเนียม

รมว.เกษตรและสหกรณ์ คือ นายชินวรณ์ บุญยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช มี นายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.ระนอง และนายนิพนธ์ บุญญามณี ส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็น รมช.เกษตรฯ
       
รมว.สาธารณสุข คือ นายวิทยา แก้วภราดัย ส.ส.นครศรีธรรมราช

รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศคื อ นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา

รมว.วิทยาศาสตร์ฯ คือ คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ

รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ คือ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง

รมว.พลังงาน คือ นายอลงกรณ์ พลบุตร บัญชีรายชื่อ

รมว.แรงงาน คือ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์
       
รมว.พาณิชย์ คือ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ส.ส.บัญชีรายชื่อ ส่วน รมช.คือ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก รมว.วัฒนธรรมมี นายธีระ สลักเพชร ส.ส.ตราด

รมว.ศึกษาธิการ คือ นายกนก วงษ์ตระหง่าน ส.ส.บัญชีรายชื่อ ส่วน รมช.คือ นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู ส.ส.บัญชีรายชื่อ

รมว.อุตสาหกรรม มี นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ ส.ส.ตาก
       
ตำแหน่งเลขาธิการนายกฯ ได้แก่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ผู้ช่วยฯ คือ นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ

โฆษก ครม.เงา คือ นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส.กทม.และมีรองโฆษก คือ ดร.รัชดา ธนาดิเรก ส.ส.กทม.
       
   

Happy ending

  by mata ,  
HAPPY ENDING  ครับ สำหรับการหางานใหม่ ให้กับ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร.คนที่ 7  ศักดิ์ศรี เท่าเทียมกับตำแหน่ง ผบ.ตร. ทำให้องค์กรตำรวจ ลื่นไหล (ไม่ต้องรอกันนาน) ระดับรอง ๆ ผู้ช่วย ผู้บัญชาการ และทุกคน ก็แฮปปี้ ครับ เลยฉลองไวน์สีแดง หน้าแดง  /   DRINK กันหน่อย ????
ตำรวจกับการเมืองตัดกันไม่ขาด
รอยยิ้มครั้งแรก ของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร.คนที่ 8
 เราก็ดื่มน้ำชา กันน๊ะเทพ ฯ เมื่อวันที่ 5 ก.ย. ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฝ่ายความมั่นคง ฐานะผู้กำกับการดูแลตร. ได้เดินทางมามอบนโยบาย พร้อมกำชับให้ตำรวจปฏิบัติตามมาตรการ 6 ข้อ ได้แก่ ข้อ 1 ปิดตะเข็บแนวชายแดน ป้องกันดูแลรักษาความปลอดภัย รวมทั้งมีการปรึกษาหารือร่วมกันเพื่อพุดคุยปัญหาร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน อาจจะกำหนดให้กลุ่มที่ผลิตยาเสพติดมีงานทำ ข้อ 2 เปลี่ยนแหล่งผลิตยาเสพติดให้มาเป็นที่ทำการเกษตรกรรมเพื่อปลูกพืช ข้อ 3 เข็มงวดกวดขันในการตั้งด่านแบบสลับฟันปลา เพื่อที่จะสามารถตรวจสอบรถต้องสงสัยและเพิ่มความระมัดระวังความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ข้อ 4 มาตรการป้องกันวาดล้างยาเสพติด ข้อ 5 เป็นการรณรงค์ให้สังคมรู้จักโทษภัยทางกฎหมายของยาเสพติด ข้อ 6 ให้ทำการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดตามดุลยพินิจของตำรวจในสถานการณ์นั้น คือไม่จำเป็นต้อนนิ่มนวลหรือใช้ความรุนแรงมากเกินไป หลังมอบนโยบาย ร.ต.อ.เฉลิม ร่วมงานงานเลี้ยง ซึ่งตร.จัดรับรอง โดยมีการติดป้ายที่เวที ข้อความว่า “ยินดีพี่กลับมา ร่วมพัฒนา ตำรวจไทย” โดยมีภาพ ร.ต.อ.เฉลิม สมัยยังเป็นข้าราชการตำรวจและสมัยปัจจุบันประกอบด้วย  โดยในงานเป็นการจัดเลี้ยงแบบค็อกเทล มีการเล่นดนตรี ดื่มไวน์ ร้องเพลงอย่างเป็นกันเอง โดยตอนท้าย ร.ต.อ.เฉลิม ได้ชวนคณะนายตำรวจ ทั้ง พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผบ.ตร. ผู้ช่วยผบ.ตร. ผบช. หลายคน ขึ้นไปร่วมร้องเพลงมาร์ชพิทักษ์สันติราษฎร์ หรือมาร์ชตำรวจ อย่างครึกครื้น โดยเมื่อจบรอบหนึ่งแล้ว พล.ต.อ.วิเชียร ได้ขอให้ร้องเพลงเดิมต่ออีกรอบ พร้อมนำไวน์มาดื่มและชนแก้วกันบนเวทีด้วยความสนุกสนาน เมื่อจบเพลง ทั้งหมดได้ร่วมกัน ท่องอุดมคติตำรวจ  โดยร.ต.อ.เฉลิม และความดีใจและภูมิใจที่ได้มากำกับดูแล ตร.    จากนั้น ร.ต.อ.เฉลิม ขอขึ้นร้องเพลง โดยระบุว่า “เพลงนี้ร้องให้ พล.ต.อ.วิเชียร น้องรัก คนเดียว สมมติว่าพล.ต.อ.วิเชียร ต้องจากไป ก็ต้องไปในตำแหน่งที่ใหญ่กว่า” ก่อนร้องเพลง “นึกเสียว่าสงสาร” โดยบางท่อนได้แปลงเพลง ใส่ชื่อของพล.ต.อ.วิเชียร และตัวเองเข้าไป  “เพราะโลกนี้มีเชียร เพียงคนเดียว  เหลิมจึงเสียเชียรไม่ได้ ถ้าเธออยากทำร้ายก็เชิญ แต่อย่าเดินหนีไปจากฉัน นึกเสียว่าสงสาร อย่าลงทัณฑ์ด้วยการลาจาก” ขณะที่พล.ต.อ.วิเชียร ยืนฟังตรงหน้าเวที สีหน้ายิ้มน้อยๆ     ทั้งนี้ ในงาน ร.ต.อ.เฉลิม จับวงพูดคุย3 คน กับพล.ต.อ.วิเชียร และพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ หลายครั้ง และชนแก้วกับ พล.ต.อ.วิเชียรบ่อยๆ โดยก่อนกลับ ยังกำชับห้ามนายตำรวจคนอื่นเดินไปส่งขึ้นรถ ให้เพียง พล.ต.อ.วิเชียร และพล.ต.อ.เพรียวพันธ์มาส่งเท่านั้น โดยร.ต.อ.เฉลิมบอกว่า “ต่อไปมาห้ามรับ กลับห้ามส่ง เดี๋ยวหนังสือพิมพ์จะไปเขียนว่าผมบ้าอำนาจ ต่อไปกองเกียรติยศก็ไม่ต้องจัดต้อนรับ ก่อนหน้านี้ ในวันเดียวกัน เวลา 11.25 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงขั้นตอนการย้ายพล.ต.อ.วิเชียร ไปเป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติแทนนายถวิล ที่จะถูกย้ายไปในตำแหน่งอื่นว่าเลขาธิการนายกฯจะเป็นผู้ทำเรื่อง เสนอเข้าที่ประชุมครม.เพื่อพิจารณาในวันที่ 6 ก.ย. ซึ่งหลังจากครม.อนุมัติแล้วจะให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.เป็นต้นไป และเมื่อตำแหน่งผบ.ตร.ว่างลง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) จะนัดประชุม ก.ต.ช.เพื่อเลือกผบ.ตร.คนใหม่ ระหว่างนั้นหากพล.ต.อ.วิเชียร ลากิจหรือลาพักร้อน รองผบ.ตร. อาวุโสที่สุดจะมาเป็นรักษาการผบ.ตร.
 เอวัง ด้วยประการละฉะนี้ ???

แรงงานเล็งล่าชื่อ 5 ล้าน ฟ้องรัฐเบี้ยวขึ้นค่าจ้าง 300 บ.ทั่ว ปท.


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 กันยายน 2554 18:05 น.
ภาพประกอบข่าวจากอินเทอร์เน็ต
       องค์กรแรงงาน รวมพลังจี้รัฐบาลปรับขึ้นค่าจ้าง 300 บาทต่อวัน ทุกจังหวัดพร้อมทั่วประเทศ ภายในเดือน ม.ค.นี้   ชี้ ราคาสินค้าพุ่งแซงค่าจ้าง   ตบเท้าเข้าพบ “ยิ่งลักษณ์” 7  ต.ค.นี้   ขู่เมินข้อเรียกร้องแรงงานทุกจังหวัดแจ้งความรัฐบาลทำผิดสัญญาหาเสียง พร้อมล่า 5 ล้านชื่อ ฟ้องศาลปกครอง ด้าน “เผดิมชัย” อ้อนขอนำร่อง 7 จังหวัดก่อน ตั้งเป้าไม่ถึง 2 ปี ได้ครบทุกจังหวัด
                    
     
       วันนี้ (5 ก.ย.) ที่โรงแรมเซ็นจูรี่ปาร์ค ดินแดง กทม. นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวเปิดงานและปาฐกถาเรื่อง “นโยบายค่าจ้างและแรงงานของรัฐบาลใหม่” ในการสัมมนาเรื่อง “นโยบายค่าจ้าง : แนวคิดร่วมสมัย มุมมองและประสบการณ์” จัดโดยเครือข่ายองค์กรแรงงาน โซลิดาริตี้ เซ็นเตอร์ และมูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท ว่า ปัจจุบันมีแรงงานในระบบและนอกระบบรวมทั้งสิ้นประมาณ 38 ล้านคน และในช่วงเดือนมกราคม-มิถุยายน ปีนี้ มีผู้ว่างงาน 1.6 แสนคน หรือคิดเป็น 0.7% ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่ต่ำมาก ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายเพิ่มรายได้ให้แก่แรงงานให้มีรายได้เพิ่มขึ้น และยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น การที่รัฐบาลใช้คำว่าให้มีรายได้ไม่ต่ำกว่าวันละ 300 บาท ไม่ได้บิดเบือนนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ แต่มีเจตนาที่บริสุทธิ์ที่ต้องการให้แรงงานทุกกลุ่มทั้งในระบบและนอกระบบ เช่น แรงงานภาคเกษตร ผู้ที่รับงานไปทำที่บ้าน มีโอกาสได้มีรายได้เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่าวันละ 300 บาท โดยไม่รวมค่าทำโอที ซึ่งรัฐบาลจะทำทันทีโดยให้ทั้งฝ่ายลูกจ้างและนายจ้างอยู่ได้ ไม่มีใครบอบช้ำ ได้เปรียบเสียเปรียบ ยุติธรรม และพอใจทั้งสองฝ่าย
              
       “ผมยืนยันว่า ไม่พลิกลิ้น จะเพิ่มรายได้ให้แรงงานและดูแลสวัสดิการให้ดีขึ้น  จะเริ่มนำร่องเพิ่มรายได้ขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท ในจังหวัดที่มีความพร้อมก่อน 7 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ สมุทรปราการ สมุทรสาคร นครปฐม ปทุมธานี นนทบุรี และ ภูเก็ต โดยอาจนำร่องในจังหวัดที่มีความพร้อมก่อนและนำอัตราที่เพิ่มขึ้นไปบวกกให้ กับจังหวัดอื่นๆ ก่อน เพื่อปรับฐานค่าจ้างสูงขึ้นก่อนดำเนินการให้มีอัตรา 300 บาทเท่ากันทั่วประเทศใน 77 จังหวัด  ผมจะเร่งทำทันที และทำในเวลากระชับ ทุกอย่างจะไม่ใช้เวลายาวถึง 2 ปี  จะดำเนินการผ่านคณะกรรมการไตรภาคี 3 ฝ่าย ทั้งฝ่ายรัฐ ลูกจ้าง และนายจ้าง ซึ่งจะดำเนินการให้เป็นที่พอใจของทุกฝ่าย โดยจะให้ทั้งฝ่ายนายจ้างและลูกจ้างมาหารือร่วมกันเพื่อหาข้อสรุปเป็นที่พอใจ ของทั้งสองฝ่าย นายจ้างอยู่ได้และลูกจ้าง” รมว.แรงงาน กล่าว
                    
       นายเผดิมชัย กล่าวอีกว่า  การปรับเพิ่มรายได้เป็นวันละ 300 บาท จะมีการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน เพื่อให้ผู้ประกอบการสบายใจ และรู้สึกคุ้มค่าที่จะปรับรายได้เป็นวันละ 300 บาท โดยมีนโยบายจะพัฒนาสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน และศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดรวม 77 แห่ง ให้สามารถพัฒนาฝีมือแรงงานได้อย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพ โดยมีการปรังปรุงหลักสูตรและการอบรมอาชีพให้มีศักยภาพสอดคล้องกับความต้อง การของแต่ละท้องถิ่น และจะพัฒนาแรงงานไทย จากแรงงานไร้ฝีมือไปสู่แรงงานกึ่งฝีมือ และมีฝีมือในที่สุด ขณะนี้ได้เสนอของบประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลได้ขานรับแนวทางนี้แล้ว
              
       รมว.แรงงาน กล่าวด้วยว่า ส่วนมาตรการดูแลผู้ประกอบการที่จะได้รับผลกระทบจากการปรับเพิ่มรายได้เป็น วันละ 300 บาทนั้น ได้มอบให้กระทรวงแรงงานไปสำรวจค่าใช้จ่ายของนายจ้างและผู้ประกอบการธุรกิจ ต่างๆ เพื่อนำผลสำรวจนั้นมาวางแนวทางช่วยเหลือ โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอี จะใช้มาตรการทางภาษี เช่น ลดภาษีนิติบุคคลให้แก้ผู้ประกอบการในปีแรกจาก 30% เหลือ 23% และปีที่สองจาก 23% เหลือ 20% ขณะเดียวกัน การที่รัฐบาลมีนโยบายเพิ่มรายได้ให้แก่แรงงานเพื่อเพิ่มกำลังซื้อภายใน ประเทศ และกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ
              
       นอกจากนี้ ไทยยังต้องเตรียมรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ที่จะเกิดขึ้นในปี 2558 ซึ่งจะต้องมีการปรับตัวจากการใช้แรงงานด้วยค่าจ้างถูก ไปเป็นการใช้ฐานความรู้และการลงทุน รวมทั้งเร่งพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน ซึ่งการที่แรงงานไทยมีทักษะฝีมือดีขึ้นจะช่วยจูงใจนักลงทุนจากต่างประเทศ เข้ามาลงทุนในไทย รวมทั้งจะต้องมีการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าว ดูแลการเข้าออกของแรงงานต่างชาติทุกประเภทที่เข้ามาทำงานในไทยอย่างเข้มงวด เนื่องจากเชื่อว่าจะมีแรงงานไร้ฝีมือต่างชาติไหลเข้ามาทำงานในไทยจำนวนมาก และจัดระเบียบเขตเศรษฐกิจพิเศษด้านแรงงาน
              
       “ผมมีนโยบายดูแลด้านสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานให้มีประสิทธิภาพและ เป็นธรรม จะมีการดูแลแรงงานให้มีความมั่นคง ปลอดภัยในการทำงาน และเพิ่มสิทธิประโยชน์ประกันสังคม  ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการแก้ไขกฎหมาย เช่น พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518  เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่น คล่องตัวเป็นประโยชน์ต่อแรงงาน และแก้ไขให้สอดคล้องกับหลักการของอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ไอแอลโอ) ฉบับที่ 87 และ 98 และแก้ไข พ.ร.บ.รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ.2543 เพื่อให้สอดรับกับหลักการของอนุสัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าว การจัดตั้งสถาบันความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน
                    
       นพ.สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า การปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทจะเริ่มนำร่องใน 7 จังหวัดก่อน แต่ทุกจังหวัดก็จะได้รับการเพิ่มค่าจ้างใกล้เคียงกัน เพราะนำสัดส่วนการปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันใน 7 จังหวัด ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 40 มาเป็นฐานในการเพิ่มค่าจ้างให้แก่จังหวัดอื่นๆ ซึ่งคาดว่า จะมีผลภายในเดือนมกราคม 2555 ทั้งนี้ คาดว่า ภายใน 1 ปีทุกจังหวัดจะได้รับการปรับเพิ่มค่าจ้างเป็น 300 บาท โดยขณะนี้ได้มอบให้อนุกรรมการค่าจ้างจังหวัด ไปสำรวจค่าครองชีพเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการค่าจ้างกลาง ทั้งนี้ในวันที่ 14 ก.ย.นี้ คณะกรรมการค่าจ้างกลางจะมีการประชุมกัน แต่คาดว่า อาจจะยังไม่ได้ข้อสรุป เพราะหลายเรื่องอยู่ในระหว่างดำเนินการ
                    
       นายชาลี ลอยสูง ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) กล่าวว่า ตอนนี้ ราคาสินค้าในบางจังหวัดปรับขึ้นสูงกว่าค่าจ้างขั้นต่ำไปแล้ว และสถานประกอบการบางจังหวัด ก็มีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวันไปแล้ว ดังนั้น แรงงานไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐมนตรีแรงงานในการปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทที่จะเริ่มนำร่องใน 7 จังหวัด ก่อนนำสัดส่วนการปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันใน 7 จังหวัดซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 40 มาเป็นฐานในการเพิ่มค่าจ้างให้แก่จังหวัดอื่นๆ โดยอยากให้ปรับค่าจ้างขั้นต่ำทุกจังหวัดพร้อมกันทั่วประเทศในเดือนมกราคมปี หน้า
      
       นายชาลี กล่าวอีกว่า จากการที่องค์กรแรงงานได้สำรวจค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของผู้ใช้แรงงานใน 16 จังหวัด เช่น กรุงเทพฯ ปทุมธานี อยุธยา อ่างทอง ปราจีนบุรี จำนวนกลุ่มตัวอย่าง 3,660 คน พบว่า ในจำนวนนี้ 68.1% ได้รับค่าจ้างไม่ถึงวันละ 300 บาท และอีก 19.86% ได้รับค่าจ้างเกินวันละ 300 บาท ส่วนค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เช่น ค่าอาหารเช้า-เย็น ค่าเช่าบ้าน ค่าสาธารณูปโภค ค่าสินค้าอุปโภค เช่น สบู่ ยาสีฟัน หากคิดเป็นต่อ 1 คนอยู่ที่ 348.39 บาทต่อวัน และหากคิดเป็นต่อครอบครัว 3 คน อยู่ที่ 561.79 บาทต่อวัน ทั้งนี้ ไม่รวมค่าใช้จ่ายในส่วนค่าเล่าเรียนบุตร
      
       “ขณะนี้แรงงานทั่วประเทศมีรายได้ไม่เพียงพอต่อค่าครองชีพ แรงงานจึงอยากได้ค่าจ้างที่เป็นธรรม โดยอยากให้รัฐบาลปรับปรุงโครงสร้างค่าจ้างโดยคนที่ทำงานมาแล้ว 1 ปี ก็ควรได้รับการปรับค่าจ้างประจำปี รวมถึงผู้ที่จบปริญญาตรี ก็ควรได้เงินเดือน 15,000 บาทต่อเดือนตามที่รัฐบาลหาเสียงไว้ และองค์กรแรงงานจะร่วมกันรณรงค์ให้รัฐบาลปรับค่าจ้างเป็น 300 บาทพร้อมกันทั่วประเทศ ทั้งนี้ ในวันที่ 7 ต.ค. คสรท.จะร่วมกับกลุ่มองค์การแรงงาน จะไปพบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเพื่อขอความชัดเจนในเรื่องการปรับค่าจ้าง 300 บาท หากในเดือนมกราคม รัฐบาลยังไม่ดำเนินการปรับ ค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาทให้แก่แรงงานทุกจังหวัดทั่วประเทศ จะแจ้งความว่ารัฐบาลทำผิด มาตรา 53  พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว.พ.ศ.2550 ในเรื่องทำผิดสัญญาหาเสียงโดยสัญญาว่าจะให้แล้วไม่ทำตามที่หาเสียงไว้  โดยจะมีการรวบรวมรายชื่อแรงงานที่ไม่ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท จำนวน 5 ล้านคน ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองด้วย” ประธาน คสรท.กล่าว
              
       นายมนัส โกศล  ประธานสภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย กล่าวว่า นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่กลุ่มแรงงานมารวมตัวกันมากที่สุด แต่การเคลื่อนไหวเรียกร้องอยากให้ทำในนามของกลุ่มแรงงานทั่วประเทศ ไม่ใช่ในนามขององค์กรใดองค์กรหนึ่งเท่านั้นเพื่อจะได้เกิดพลังในขับเคลื่อน ให้ได้ค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท  ซึ่งสาเหตุแรงงานต้องรวมตัวเรียกร้องเช่นนี้เพราะค่าครองชีพถีบตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาสินค้อุปโภคบริโภคขายราคาเท่ากันในห้างใหญ่ๆที่กระจายอยู่ตาม ภูมิภาค แต่เหตุใดจะนำร่องปรับค่าจ้างแค่ 7 จังหวัดไม่ดำเนินการพร้อมกันทั่วประเทศ
                    
       นายสาวิทย์  แก้วหวาน  เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ กล่าวว่า ค่าจ้างเป็นประเด็นทางการเมือง เมื่อรัฐบาลหาเสียงที่จะปรับค่าจ้างซึ่งเป็นการส่งสัญญาณทำให้สินค้าปรับ ราคาสูงขึ้น หากรัฐบาลไม่สามารถควบคุมราคาสินค้าได้การปรับค่าจ้างก็จะไม่เกิดประโยชน์  ซึ่งรัฐบาลที่ผ่านมาไม่สามารถควบคุมราคาสินค้าได้  จึงอยากให้รัฐบาลชุดนี้ควบคุมีราคาสินค้าให้ได้ ทั้งนี้ ค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท จะต้องใช้บังคับกับแรงงานภาคเกษตรและแรงงานข้ามชาติด้วย  แต่หากรัฐบาลทำไม่ได้ก็ขอให้ลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบ
              
       ทั้งนี้  นายชาลีได้อ่านแถลงการณ์ซึ่งออกร่วมกันโดยคสรท. สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจแห่งประเทศไทย สหพันธ์แรงงานกิจการต่างๆ โดยเรียกร้องให้ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันพร้อมกันทั่วประเทศ เนื่องจากในเรื่องนี้พรรคเพื่อไทยได้รณรงค์หาเสียงไว้ หากได้จัดตั้งรัฐบาลจะปรับค่าจ้าง เนื่องจากแรงงานเลือกพรรคเพื่อไทย เพราะนโยบายนี้ แต่ขณะนี้กลับมีกระแสกดดันจากนายทุนทำให้รัฐบาลมีท่าทีเปลี่ยนไป  ซึ่งล่าสุดเรื่องนี้กลายเป็นการนำร่องปรับค่าจ้าง 300 บาท ใน 7 จังหวัด จึงเรียกร้องให้รัฐบาลกล้าที่จะยืนยันตามนโยบายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และทำให้ลูกจ้างมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในทุกพื้นที่
      
       นายรูดี้ พอร์เตอร์ ผู้อำนวยการโซลิดาริตี้เซ็นเตอร์ กล่าวว่า ในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ตั้งแต่ พ.ศ.2520 เป็นต้นมา ยังไม่มีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ทั้งที่นายจ้างทำธุรกิจได้กำไรดีและแรงงานมีผลิตภาพที่ดี ทำให้ชาวยุโรปและอเมริกาไม่มีกำลังซื้อ ดังนั้น ประเทศในเอเชีย เช่น ไทย ควรจะหันมาขยายตลาดและเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศมากกว่าหวังพึ่งตลาดในยุโรป และอเมริกา

@ ด่วน! US - ผบ.ลิเบีย..แฉปี 2004 ทักษิณโกหกว่าไม่มีคุกลับ!..ที่จริงมีหลักฐาน VDO ทรมานชาวมุสลิม

@ ด่วน! US - ผบ.ลิเบีย..แฉปี 2004 ทักษิณโกหกว่าไม่มีคุกลับ!..ที่จริงมีหลักฐาน VDO ทรมานชาวมุสลิมกลุ่มอัลกออิดะห์ ด้วยวิธีป่าเถื่อน!@@~  by ลูกหินฮะ๛ ,

โลกยังมีคำถามค้างคาใจ..

ทักษิณ ได้ผลประโยชน์ ลับซับซ้อน

อะไร..
จาก จอร์จ ดับเบิลยู บุช ?

ในปฎิบัติการ ป่าเถื่อน.. 

ละเมิดสิทธิมนุษยชน ในครั้งนั้น!



สหรัฐแฉไทยมี'คุกลับยุคทักษิณ




  สหรัฐฉีกหน้าประเทศไทย  ระบุอเมริกาเคยมีคุกลับในสมัยรัฐบาลทักษิณไว้กักขัง-ทรมานกลุ่มอัลกออิดะห์   ด้วยวิธี  "วอเตอร์บอร์ดดิง"   เพื่อบังคับให้คายความลับ  เผยซีไอเอสั่งทำลายหลักฐานซึ่งเป็นวิดีโอเทปกว่า   92  ม้วน 
ย้อน กลับปี  2548  พบวอชิงตันโพสต์เคยตีแผ่เรื่องนี้แล้ว   แต่รัฐบาลไทยปฏิเสธพัลวัน  เปิดคำพูด  "แม้ว"  โจมตีสื่อดังกล่าวเชื่อถือไม่ได้   "อภิสิทธิ์"  ปิดปากไม่พูดถึง  อ้างรอข้อมูลจากสหรัฐ  "อนุพงษ์"  ยันไม่มีแน่นอน  ลั่นเอาตำแหน่งเป็นเดิมพัน
     สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า  รัฐบาลสหรัฐได้ยอมรับเป็นครั้งแรกว่าอเมริกาเคยมีคุกลับในประเทศไทยในสมัย ของรัฐบาล  พ.ต.ท.ทักษิณ   ชินวัตร  ซึ่งพวกผู้ต้องสงสัยเป็นสมาชิกอัลกออิดะห์จากประเทศต่างๆ  ได้ถูกส่งมากักขังและทรมานเพื่อรีดข่าวกรอง
     อัยการของรัฐบาลกลางสหรัฐได้เปิดเผยรายละเอียดดังกล่าวในเอกสารที่ส่งไปยัง ศาลในนครนิวยอร์ก   ตามคำร้องของสหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกัน  ซึ่งได้ยื่นเรื่องกับศาลเพื่อขอดูเอกสารเหล่านี้ตามกฎหมายเสรีภาพในการรับ รู้ข้อมูลข่าวสาร   อัยการยังเปิดเผยด้วยว่า  ผู้อำนวยการซีไอเอในเวลานั้น  โฮเซ  เอ.  โรดริเกซ  จูเนียร์  ได้สั่งการเป็นการส่วนตัวให้ทำลายวิดีโอเทป   92  ม้วนที่ถ่ายภาพและเก็บรักษาอยู่ในประเทศไทย  ซึ่งเป็นภาพเหตุการณ์ขณะใช้วิธี  "วอเตอร์บอร์ดดิง"  ขู่บังคับให้ผู้ถูกกักขังยอมคายความลับต่างๆ



http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9540000112297



อับเดล-ฮาคิม เบลฮัจ ผู้บัญชาการกองกำลังกบฏประจำกรุงตริโปลี เคยถูกสหรัฐฯ และอังกฤษร่วมมือจับกุมในฐานะสมาชิกกลุ่มมุสลิมลิเบียหัวรุนแรง ซึ่งถูกทรมานร่างกายในเรือนจำลับที่กรุงเทพฯ เมื่อปี 2004 วันนี้ (5) เขาออกมาเรียกร้องให้ทั้งสองประเทศแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
       เอเอฟพี/บีบีซี - ผู้บัญชาการกองกำลังกบฏลิเบียประจำกรุงตริโปลีประกาศวันนี้ (5) ว่าต้องการคำขอโทษจากทางการสหรัฐฯ และอังกฤษ หลังจากเอกสารลับที่พบภายในสำนักงานหน่วยข่าวกรองของมูอัมมาร์ กัดดาฟี ระบุว่าทั้งสองประเทศสมรู้ร่วมคิดกันกักขังหน่วงเหนี่ยวเขาในฐานะสมาชิกกลุ่มมุสลิมลิเบียหัวรุนแรง และส่งตัวเขามาทรมานร่างกายที่เรือนจำลับในกรุงเทพฯ เมื่อปี 2004 
----------------------------------------------------------------------------------
จากข่าว ประเมินได้ว่า เจ้าหน้าที่และทหารไทย

ไม่มีใครทราบปฎิบัติการ

ละเมิดสิทธิมนุษยชน ในครั้งนั้น! 

นอกจาก ทักษิณ และ บุช ที่ต้องตอบ!






-----------------------------------------------------------------------------------
มารู้จักกับ


"วอเตอร์บอร์ดดิง" WATER BORADING 


WASHINGTON - Vice President Dick Cheney has confirmed that U.S. interrogators subjected captured senior al-Qaida suspects to a controversial interrogation technique called "water-boarding," which creates a sensation of drowning.

Cheney indicated that the Bush administration doesn't regard water-boarding as torture and allows the CIA to use it. "It's a no-brainer for me," Cheney said at one point in an interview.

Cheney's comments, in a White House interview on Tuesday with a conservative radio talk show host, appeared to reflect the Bush administration's view that the president has the constitutional power to do whatever he deems necessary to fight terrorism.

The U.S. Army, senior Republican lawmakers, human rights experts and many experts on the laws of war, however, consider water-boarding cruel, inhumane and degrading treatment that's banned by U.S. law and by international treaties that prohibit torture. Some intelligence professionals argue that it often provides false or misleading information because many subjects will tell their interrogators what they think they want to hear to make the water-boarding stop.

Lee Ann McBride, a spokeswoman for Cheney, denied that Cheney confirmed that U.S. interrogators used water-boarding or endorsed the technique.

"What the vice president was referring to was an interrogation program without torture," she said. "The vice president never goes into what may or may not be techniques or methods of questioning."

http://2politicaljunkies.blogspot.com/2006/10/cheney-confirms-that-us-is-water.html

กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง…เข้าข่ายเลือกปฏิบัติขัดรัฐธรรมนูญ

  จาก การที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติให้ชะลอการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯในส่วนของเบนซิน 95 เบนซิน 91 และน้ำมันดีเซล ซึ่งจะส่งผลให้ราคาน้ำมันขายปลีกหน้าปั๊มเมื่อรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ราคาน้ำมันเบนซิน 95 ลดลง 8.02 บาทต่อลิตร เบนซิน 91 ลดลง 7.17 บาทต่อลิตร และดีเซลลดลง 3 บาทต่อลิตร ซึ่งมีผลตั้งแต่เวลา 06.00 น. ของวันที่ 27 สิงหาคม 2554 ที่ผ่านมา ทำให้ราคาน้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซลลดลงชนิดฮวบฮาบทันที ในทางการเมือง "ถือว่าได้กับได้" ยิ่งทำในช่วงที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกทรงๆ อย่างนี้ ทั้งรัฐบาลและผู้บริโภคได้เนื้อๆ แต่ประเด็นดังกล่าวเป็นเพียงแค่พฤติการณ์ผักชีของรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อ ไทยเท่านั้น เพราะนโยบายดังกล่าวอย่างเก่งก็ทำได้แค่ไม่เกิน 6 เดือน มิได้ทำจริงตามที่ได้หาเสียงไว้ว่าจะต้อง “ยกเลิกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง” ทันทีหลังจากได้เป็นรัฐบาล
     แต่ประชาชนทั่วไปผู้ใช้รถใช้ถนนอาจจะระริกระรี้ดีใจคิดว่าเป็นฝีมือของ รัฐบาลนี้จึงทำให้ได้ใช้น้ำมันราคาถูกลง แท้ที่จริงแล้ว “ส่วนต่าง” ของราคาน้ำมันที่แท้จริงนั้นเป็นของผู้ใช้รถใช้น้ำมันมาตั้งแต่ต้นนานแล้ว แต่รัฐบาลใช้อำนาจทางปกครองยึดเอาของพวกเราไปตั้งนานแล้วต่างหาก ตั้งแต่มีการจัดตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้นมาตั้งแต่ปี 2516 แต่ในช่วงนั้นไม่มีการเก็บเงินเข้ากองทุนแบบถาวร จนกระทั่งมีคำสั่งนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2546 เป็นต้นมาจึงมีการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันอย่างถาวร โดยผู้ใช้รถนั่งทำตาปริบ ๆ ทำอะไรไม่ได้ ปล่อยให้รัฐบาลใช้อำนาจเอาเงินจากกระเป๋าผู้ใช้รถไปใช้เพื่อประโยชน์ทางการ เมืองโดยพละการ
     แม้ตามพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2516 ได้ให้อำนาจนายกรัฐมนตรี ในการออกคำสั่งในการแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อจัดตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในช่วงวิกฤตการณ์น้ำมันของโลก ครั้งที่ 1 (พ.ศ. 2516-2517) แต่ก็ควรดำเนินการในช่วงสั้น ๆ ที่มีปัญหาวิกฤตการณ์น้ำมัน มิใช่ปล่อยให้มีการเก็บกันยาวเอาเงินของผู้ใช้รถไปปู้ยี่ปู้ยำได้ตามอำเภอใจ ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 2/2546 ลงวันที่ 29 ธันวาคม 2546 (สมัยนายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี)
     คิดกันง่าย ๆ เงินส่วนต่างของน้ำมันเบนซินกว่า 8 บาทที่ลดลงมา ในสมัยก่อนรัฐบาลยึดเอาของผู้ใช้รถที่เติมน้ำมันเบนซินไปทุกลิตรที่เติมกว่า 28 ล้านคัน เพื่อนำไปเกลี่ยให้กับผู้ใช้รถที่เติมน้ำมันดีเซล ได้ผลาญน้ำมันกันได้อย่างย่ามใจ เพราะมีพวกรถที่เติมน้ำมันเบนซินคอยออกเงินส่วนต่างให้ และชดเชยให้กับรถที่เติมก๊าซธรรมชาติทั้ง LPG และ NGV โดยอ้างว่าเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการช่วยลดต้นทุนการผลิต จะได้ไม่ต้องทำให้สินค้าอุปโภคบริโภคแพงขึ้น ทั้ง ๆ ที่รถบรรทุกที่เติมน้ำมันดีเซลนั้นมีจำนวนเพียง 2,419 คน (ไม่รวมรถตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งอีก 9.7 แสนคัน) เมื่อเปรียบเทียบกับรถที่เติมน้ำมันดีเซลที่เป็นรถยนต์ส่วนบุคคลที่มีถึง 5 ล้านกว่าคัน หรือรถบรรทุกที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ กับรถที่ใช้ก๊าซธรรมชาติที่เป็นรถยนต์ส่วนบุคคล จึงถือได้ว่านโยบายการมีกองทุนน้ำมันเป็นการนำเงินของผู้ใช้รถเบนซินไป ประเคนให้คนใช้รถดีเซลและก๊าซธรรมชาติ อย่างไร้ความเป็นธรรมโดยชัดแจ้ง
     ปัญหาความไม่เท่าเทียมและไม่เป็นธรรมเหล่านี้ ถ้าจะถามรัฐบาลว่ารู้ไหม คำตอบคือ รู้แต่เพราะรัฐบาลถืออำนาจรัฐอยู่ จึงผยองที่จะใช้อำนาจทางปกครองดำเนินการใด ๆ ก็ได้ หากทำไปแล้วได้ประโยชน์ทางการเมือง เป็นที่พอใจของนายทุนเจ้าของรถขนส่ง รถบรรทุก แม้จะละเมิดกฎหมาย ก็คงคิดว่าไม่มีใครกล้ามาแตะต้องอำนาจรัฐเป็นแน่แท้ หรืออาจจะไม่มีปัญญาที่จะจัดการแก้ไขได้ เพราะมีข้อยุ่งยากเยอะและอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเมืองก็เลยไม่ บริหารจัดการเสียเลยดีกว่า
     ในรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 30 บัญญัติไว้ว่า “การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม” จะกระทำมิได้ แต่หลังจากที่รัฐธรรมนูญ 2550 ประกาศใช้ รัฐบาลทุกสมัยที่ผ่านมาต่างก็รู้แต่แสร้งเอาหูทวนลม เพราะไม่มีใครกล้าท้วงติง จึงได้ใจเสมอมา ล่าสุดยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือให้กับนักการเมือง ที่เป็นนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของไทย ใช้เป็นเครื่องมือประกาศ วิสัยทัศน์ 2020 ณ สนามกีฬาราชมังคลากีฬาสถานว่า หากได้เป็นรัฐบาลจะประกาศ “ยกเลิกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงทันที” แต่ ณ วันนี้สัจจะวาจาดังกล่าวกลายเป็นโอละแม่ไปแล้ว เมื่อกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงกลายเป็นเครื่องมือหาเสียงให้กับนักการเมือง ฝ่ายรัฐบาลไปแล้ว เพื่อสร้างประชานิยมบนความเดือดร้อนและเสียหายของประชาชนหลายประการ
     เรื่องดังกล่าว นอกจากจะเป็นการสร้างความไม่เป็นธรรมให้กับผู้ใช้รถเบนซินตลอดระยะเวลาที่ ผ่านมาเนิ่นนานแล้วก็ตาม แต่การใช้นโยบายลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยไม่ยกเลิกกองทุนฯ ดังคำหาเสียง กำลังกลายเป็นปัญหาใหม่ให้รัฐบาลต้องแก้ไขเหมือนลิงแก้แหอีกครั้ง เพราะต้องแลกกับความสูญเสียอีกหลายๆ อย่างตามมา
     ประการแรก "นโยบายประหยัดพลังงาน" ที่รัฐบาลและหน่วยงานต่าง ๆ สู้อุตส่าห์รณรงค์กันมาเป็นสิบๆ ปีต้องพังทลายลงอย่างไม่เป็นท่า ถือว่าสูญเปล่า เพราะถ้าราคาน้ำมันราคาถูกลงเท่ากับยิ่งส่งเสริมให้คน "ไม่ประหยัด" อีกต่อไป ซึ่งยิ่งใช้รถมากก็ยิ่งก่อมลพิษ ก่อโลกร้อนมากตามมา ที่สำคัญเราต้องนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศเกือบ 100% สูญเสียเม็ดเงินนำเข้าปีละเกือบล้านล้านบาท หรือครึ่งหนึ่งของงบประมาณประจำปีเลยทีเดียว ดังนั้น เกือบทุกประเทศทั่วโลกใช้นโยบายราคาน้ำมันให้แพงกว่าความเป็นจริง เพื่อประหยัดพลังงาน แต่เขาจะใช้วิธีเก็บ "ภาษีสรรพสามิตสูงๆ" แทนการหักเงินเข้ากองทุนเหมือนบ้านเราที่รั่วไหลเข้ากระเป๋านักการเมืองได้ ง่าย
     ประการต่อมา น่าเสียดายนโยบายพลังงานทดแทน "แก๊สโซฮอล์" ที่ส่งเสริมกันมากว่าทศวรรษต้องสูญเปล่า เมื่อราคาแก๊สโซฮอล์ใกล้เคียงเบนซินคนจะหันไปใช้เบนซินเหมือนเดิมเพราะคุ้ม ค่ากว่า เคยมีผลวิจัยระบุว่าตราบใดที่ราคาแก๊สโซฮอล์ถูกกว่าเบนซินไม่ถึง 2.50 บาท/ลิตร ใช้เบนซินคุ้มกว่าจึงเป็นที่มาของราคาแก๊สโซฮอล์ถูกกว่าเบนซินมากๆ เป็นการจูงใจให้คนมาใช้ สัดส่วนการใช้แก๊สโซฮอล์เทียบกับเบนซินที่เคยสูงถึง 70% แต่วันนี้ลดลงฮวบฮาบ ทุกปั๊มต่างยืนยันว่าทันทีที่นโยบายนี้มีผลคนเลิกเติมแก๊สโซฮอล์หันมาเติม เบนซินกันทันที แม้ "ปั๊มบางจาก" ที่เป็นหัวหอกพลังงานทดแทนและบริษัทน้ำมันค่ายอื่นๆ จะเสียหายแต่ก็ยังพอปรับตัวได้ทันอีกสักพักก็หันมาขายเบนซินเหมือนเดิม แต่ที่เสียหายและกลับลำได้ลำบากหนีไม่พ้นบรรดาผู้ผลิตเอทานอลที่เป็นวัตถุ ดิบสำหรับผลิตแก๊สโซฮอล์ และบรรดาชาวไร่ที่ปลูกพืชพลังงานทั้งหลาย ทั้งชาวไร่มันสำปะหลัง ข้าวโพด ชาวไร่อ้อย นับแสนๆ รายทั่วประเทศที่ส่วนใหญ่ลงคะแนนเลือกพรรคเพื่อไทย ต้องพลอยมาเจ๊งตามไปด้วย คนพวกนี้น่าสงสารปรับตัวไม่ทัน เพราะไม่รู้ว่าก่อนว่านโยบายเหล่านี้จะทำร้ายประชาชนและประเทศชาติทาง อ้อมอย่างไร เพราะเวลาหาเสียงคนพวกนี้ไม่เคยอรรถาธิบายให้ประชาชนรู้ทั้งหมด นอกจากชูนิ้วชี้แล้วตะโกนผ่านไมโครโฟนว่า “รักไหมค๊ะๆๆๆ”
     เรื่องนี้สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ไม่อาจนิ่งเฉยปล่อยให้ข้าราชการและนักการเมืองทำอะไรไปโดยพละการอย่างย่ามใจ ต่อไปได้แล้ว ในเมื่อประเทศนี้มีกฎหมาย มีรัฐธรรมนูญให้การคุ้มครองสิทธิของประชาชนอย่างเท่าเทียมกัน เราคงจะไม่ปล่อยให้นักการเมืองใช้กองทุนน้ำมันมาแสวงหาผลประโยชน์กันในทาง การเมืองได้อีกต่อไป สมาคมฯ จะทำทุกวิถีทางในการให้นำไปสู่การยกเลิกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างถาวรต่อ ไป หรืออาจแปลงไปสู่การเก็บภาษีสรรพสามิตนำเงินไปพัฒนาประเทศโดยรวมดีเสียกว่า เอาเงินมาประเคนให้คนใช้รถดีเซลและก๊าซธรรมชาติ บนผลประโยชน์ของนักการเมืองที่ชอบประชานิยม...

มองต่างมุม แก้รธน.โละทิ้งองค์กรอิสระ

ปมเด่นประเด็นร้อนเรื่องการ เสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญปี 50 กลายเป็นระเบิดเวลารอวันจุดชนวนความขัดแย้งทางการเมืองให้เกิดขึ้นในบ้านนี้ เมืองนี้อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี  พึงระมัดระวังเอามากว่าจะสั่นสะเทือนเสถียรภาพรัฐบาลให้มีอายุสั้นลง       ล่าสุดมีกระแสข่าวว่า  นพ.เหวง  โตจิราการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย มีแนวคิดเสนอไม่ให้แก้รัฐธรรมนูญ โดยยกเลิกองค์กรอิสระที่เกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญฉบับปี 50 เท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงองค์กรอิสระที่เกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญฉบับปี 40 ซึ่งเป็นปัญหาทางการเมืองต่อพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะองค์กรอิสระที่ประกอบด้วยศาลทางการเมือง เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งที่ผ่านมาเคยเกิดเหตุการณ์ตุลาการภิวัฒน์จนกระทบต่อพ.ต.ท.ทักษิณ ชินตวัตร รวมทั้งมีการยุบพรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชนด้วย
      ประเด็นร้อน วันนี้เรามาฟังความคิดเห็นของอดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(สรร.)ฉบับปี 40-50และนักวิชาการต่อข้อเสนอของนพ.ดหวง โตจิราการว่าเป็นอย่างไร ดังต่อไปนี้
                                                             .......................................

พนัส ทัศนียานนท์
อดีตสสร.ปี 40

0ขอทราบความคิดเห็นกรณีที่มีข้อเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยยกเลิกองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญปี 40และ50
      เขามีเหตุผลอะไรที่เสนอยกเลิก ถ้าพูดตามตรงตอนนั้นผมก็เป็นสสร.ปี 40 ผมก็ไม่เห็นด้วยอยู่แล้วที่จะให้มีองค์กรอิสระ เพราะว่ามันขัดกับหลักการประชาธิปไตย เพราะเป็นองค์กรที่นอกเหนือจากระบอบประชาธิปไตย คือเท่ากับตั้งอค์กรเหล่านี้ขึ้นมาคุมระบอบประชาธิปไตยอีกทีหนึ่ง
      ในแต่ละองค์กรนั้นมีอำนาจกึ่งตุลาการ สุดท้ายมันก็ให้คุณให้โทษกับประชาชนที่เขาเลือกมา พวกนี้มีอำนาจเหนือนักการเมือง  เหนือสมาชิกรัฐสภา เหนือคณะรัฐมนตรี และส่วนตัวที่มาขององค์กรพวกนี้มันค่อนข้างจะ ยังไงละให้ส.ว.เป็นคนเลือกเข้ามา แต่กรรมการสรรหานี่คือใคร คือที่มานั้นแตกต่างจากคนที่ราษฎรเข้าเลือกเข้ามา แล้วมามีอำนาจเหนือทั้งหมดเลย
      เขามีอำนาจตรวจสอบอะไรได้ทั้งสิ้น แต่ไม่มีใครไปตรวจสอบเขาได้เลย แต่ถ้าหากว่าจะให้มีต่อไปในบางองค์กร ผมก็ไม่ขัดข้อง  แต่ควรจะทำหน้าที่ตามที่ควรจะเป็น อย่างเช่นกรรมการสิทธิมนุษยชนนี้ ควรจะไปคอยตรวจสอบผู้มีอำนาจรัฐที่ไปรังแกประชาชน ไม่ใช่ไปทำหน้าที่เหมือนผู้สนับสนุนให้ความชอบธรรมกับผู้ใช้อำนาจรัฐกับ ประชาชน ขณะนี้กรรมการสิทธิฯกลายเป็นอย่างนั้นไปแล้ว
     ถึงยังไง ถ้าเรายึดถือการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย ตามระบอบรัฐสภา อำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคืออำนาจของประชาชน คืออำนาจของรัฐสภา อำนาจที่มาจากอย่างอื่นที่ไม่ได้มาจากการแต่งตั้ง การเลือกตั้งของประชาชน  ไม่ควรมีอำนาจเหนือรัฐสภา ถ้าเราเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยนะครับ ยกเว้นแต่ว่าคุณคิดว่าการปกครองระบอบอื่นดีกว่าประชาธิปไตย นั้นอีกเรื่องหนึ่ง

0เหตุผลที่รัฐธรรมนูยปี 40 ให้มีการจัดตั้งองค์กรอิสระ
      ฝ่ายที่เขาวางแผนกันขึ้นมา ความคิดเขาเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว คนที่เป็นตัวตั้งตัวตีให้มีการปฏิรูปและให้มีรัฐธรรมนูญปี 40 ขึ้นมา อย่างที่บอกว่าเป็นประชาธิปไตยนี่มันเป็นเรื่องของการแหกตากันมากกว่า อย่างหมอประเวศ วะสี แกไม่เชื่อระบบนี้อยู่แล้ว รัฐธรรมนูญปี 40 คนที่ผลักดันคนสำคัญคือหมอประเวศ การที่ไปเข้าใจว่ารัฐธรรมนูญปี 40 เป็นประชาธิปไตยที่สุด เป็นความเข้าใจที่ผิด ผิดอย่างร้ายแรงเลยด้วย ไม่ใช่ผิดอย่างธรรมดา

0 ความคิดของการตั้งองค์กรอิสระเป็นของหมอประเวศและใครบ้าง
      หมอประเวศมีความเห็นด้วยกับการจัดตั้งองค์กรอิสระ 100 % และเป็นความคิดของคนพวกนี้เป็นของหมอประเวศ เป็นของคุณอานันท์ ปันยารชุน ที่เข้าไปเป็นประธานยกร่าง โดยที่ไม่เป็นประธานสภาฯเขาก็ยังยอมรับ ให้คุณอุทัย พิมพ์ใจชน เป็นประธานสภาฯ แต่ที่สำคัญคือกรรมการยกร่าง
      ผมนี่พยายามคัดค้าน เพราะว่ามันขัดกับหลักประชาธิปไตย แต่ทีนี้เสียงข้างมากเขามากันแบบนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วไง หลังจากนั้นมาผมก็พูดอยู่ตลอดเวลาว่าไม่เห็นด้วยกับระบบองค์กรอิสระ เพราะขัดกับหลักของประชาธิปไตย

0 คุณพนัสได้เคยพูดคุยกับนพ.เหวง โตจิราการ เรื่องการเสนอยกเลิกองค์กรอิสระหรือไม่
      คุณหมอเหวงเคยโทรศัพท์มาคุยกับผม ตั้งแต่ก่อนที่แกจะติดคุก ประเด็นอะไรต่อะไรนี่ครับ ผมว่าบางส่วนแกได้ความคิดมาจากผมด้วยซ้ำไปมั้ง

0 ขอให้ยกตัวอย่างอค์กรอิสระไหนที่สมควรยกเลิกไป
      องค์กรอย่างศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจมากเกินไป ถ้ายกเลิกไปเสียได้ผมก็เห็นว่าเหมาะสมที่สมควรยกเลิก เราไม่ต้องมีศาลทางการเมืองอย่างศาลรัฐธรรมนูญนี่   ถ้าคุณจะให้มีศาลรัฐธรรมนูญ คุณต้องให้มีหน้าที่เดียวคือรับเรื่องราวร้องทุกข์จากประชาชนที่ถูกอำนาจรัฐ ข่มเหงรังแกเท่านั้นเอง
      แต่นี่ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจไปชี้ว่าใครผิดใครถูกอยู่ในตำแหน่งได้อยู่ใน ตำแหน่งไม่ได้ มันเท่ากับว่าให้มีอำนาจเหนือการเมือง แล้วคำตัดสินนี้ยังให้ไปผูกพันกับคนอื่นทั้งหมดนั้นมันสูงยิ่งกว่ารัฐ ธรรมนูญอีก ตัดสินอะไรมาแล้วให้ผูกพันทั้งหมดเลยก็เท่ากับว่าเป็นตัวรัฐธรรมนูญเอง เป็นกฎหมายสูงสุด ซึ่งไม่ควรที่จะเป็นอย่างนั้น ถ้าหากว่าเขาจะให้มีก็ให้มีต่อไปได้แต่ไม่ควรให้มีอำนาจมากมายขนาดนี้ ควรมีอำนาจพิจารณาเฉพาะกรณีประชาชนเขาเดือดร้อนจากผู้มีอำนาจรัฐข่มเหงรังแก เท่านั้นเอง

คมสัน โพธิ์คง
อดีตสสร.ปี50,อาจารย์นิติศาสตร์ ม.สุโขทัยธรรมาธิราช

0 มีความเห็นอย่างไรที่นพ.เหวง โตจิราการ เสนอให้ยกเลิกองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญปี 40 กับ 50
      เหตุผลคืออะไรละ เหตุผลที่ว่ามีอำนาจเยอะเกินไป ผมคิดว่ายังทำอะไรฝ่ายบริหารไม่ได้เลย ประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนั้นมั้ง ประเด็นอยู่ที่ประสิทธิภาพหรือเปล่า ถ้าอยู่ตรงนี้คำถามก็คือใครคือคนที่ทำลายประสิทธิภาพขององค์กรอิสระ คือองค์กรอิสระนี้มีประโยชน์   ทำให้ฝ่ายบริหารระมัดระวังการใช้อำนาจ เพราะฉะนั้นการมีองค์กรอิสระนั้นก็มีข้อดี ในแง่ของการป้องปรามไม่ให้เกิดการใช้อำนาจโดยมิชอบ
      อันที่สองก็มีเรื่องของการใช้อำนาจมิชอบเกิดขึ้น ก็จำเป็นต้องมีองค์กรที่มีหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจของฝ่ายบริหารเกิดขึ้น เพราะหากว่าจะให้องค์ในฝ่ายบริหารตรวจสอบเองมันมีการให้คุณให้โทษกับเจ้า หน้าที่ๆดำเนินการได้ จึงไม่มีใครกล้าที่จะไปดำเนินการอะไรกับข้าราชการการเมืองหรือข้าราชการ ระดับสูง ฉะนั้นการมีองค์กรอิสระนั้นจึงมีประโยชน์ในเรื่องนี้
      แต่การมีความเหมาะไม่เหมาะนั้นเป็นอีกประเด็นหนึ่ง  การได้มาหรือการสรรหานี่ไม่เหมาะสม การมีความเป็นอิสระหรือไม่ นี่เป็นอีกประเด็นหนึ่ง  โดยที่หาเหตุผลไม่ได้ว่าอำนาจเกินไปก็ยุบครม.สิ คือฝ่ายบริหารเขามีอำนาจสูงสุด เขามีอำนาจมากเลยตอนนี้

0 หากให้มีการเสนอให้แก้ไขประสิทธิภาพการทำงานขององค์กรอิสระจะเหมาะสมกว่า
      ก็ดี  หรือวิธีการได้มา และมีความเป็นอิสระอย่างแท้จริงนะ นั้นเป็นประเด็นที่น่าคุย ซึ่งองค์กรอิสระนั้นสมควรจะมีจำเป็นต้องมีเอาไว้ตรวจสอบ แม้แต่คณะกรรมการการเลือก(กกต.)ก็ยังต้องมี เพียงแต่ว่าอำนาจก็อาจจะต้องมาพูดคุยกันใหม่ มันควรจะมีการถ่วงดุลไหม คือสุดท้ายอย่างน้อยถึงแม้จะเป็นองค์กรอิสระ สุดท้ายไปตกที่ศาลยุติรรม คือมีการกลั่นกรองตรวจสอบความเป็นอิสระของฝ่ายบริหาร มันก็จะมีความเหมาะสมกว่าให้ฝ่ายบริหารนั้นเอาลูกน้องของฝ่ายบริหารมาตรวจ สอบฝ่ายบริหารเอง ก็คงไม่ทำให้มีอะไรเกิดขึ้นในแง่ของประเทศไทยที่มีระบบอุปถัมภ์แรง
      หมอเหวงเองก็คงรู้ว่าระบบอุปถัมย์แรง ถึงรังเกียจระบบอำมาตย์แต่มาใช้วิธีการของอำมาตย์เสียเอง
                                                                 .......................................
 


สยามรัฐ
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง