บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

กระบวนการโหวตโน Vote No Process

กระบวนการโหวตโน Vote No Process

ความสำคัญ และความสัมพันธ์ของโหวตโน ต่อการเมืองในอนาคต -

1.ในส่วนของโครงสร้างทางการเมือง(ส่วนบน)

 -โหวตโน คือ ตัว input ข้อเรียกร้องที่แสดงถึง"การปฏิเสธ+การไม่ยอมรับ"
นักการเมือง และวิธีการที่จะเข้าสู่อำนาจในกล่องที่(1)และ (2)
-ผลของการโหวตโน จะเป็นเช่นไร จะออกมาที่ตัว output โดย
จะมี "ความมีหรือไม่มีความชอบธรรมทางการเมือง" เป็นตัวกำหนด

>>>>>>>>>>[สถาบันพระมหากษัตริย์]<<<<<<<<<<
                                   - รัฐธรรมนูญ -

                                โครงสร้างส่วนบน

input >      1.[บริหาร] 2.[นิติบัญญัติ] 3.[ตุลาการ]    > out put
ข้อเรียกร้อง           4. [ข้าราชการส่วนกลาง]             1.นโยบาย
ข้อสนับสนุน                           |                           2.พรบ /พรก/พรฏ
                   [ทหาร]               |                          3.คำพิพากษา
                                            |                          4.กฏกระทรวง/กรม
                              โครงสร้างส่วนกลาง

              [กลุ่มกดดัน] [กลุ่มผลประโยชน์] [สื่อมวลชน]
                              [ข้าราชการส่วนภูมิภาค]
                                             |
                                             |
                                      [ประชาชน]
                [องค์กรปกครอง/ข้าราชการส่วนท้องถิ่น]

                            โครงสร้างสร้างส่วนล่าง


2.รัฐธรรมนูญ มาตรา๓.
- อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้
- อำนาจที่ฝ่ายการเมืองคืนให้ประชาชน จึงกลับมาอยู่ที่พระมหากษัตริย์ เพื่อทรงใช้กับ โครงสร้างส่วนบน
กล่องที่(1 - 3)ทั้งแบบในระบบ และบางเหตุการณ์ที่มีการเข้าสู่อำนาจ แบบนอกระบบ(รัฐประหาร)

3.ความชอบธรรมทางการเมือง
หมายถึง ความชอบธรรมที่เกี่ยวพันกับความสามารถของระบบที่จะก่อให้เกิด และรักษาไว้ซึ่งความเชื่อที่ว่า การคงอยู่ของสถาบันในระบบเป็นความพึงพอใจสูงสุดของสังคม หรือ อีกนัยหนึ่งก็คือ ไม่ว่าในระบบการเมืองใดก็ตาม ที่สามารถสร้างประสิทธิภาพสูงสุดให้กับสังคมและประชาชน ระบบการเมืองนั้นก็ย่อมมีความชอบธรรมทางการเมืองทั้งสิ้น
โดยไม่ว่าจะเป็นระบบการปกครองแบบกษัตริย์ เผด็จการ คอมมิวนิสต์ หรือ ประชาธิปไตย ปัจจัยสำคัญในการคงอยู่ของความชอบธรรมทางการเมือง จึงมาจากการยอมรับในตัวระบอบการปกครองนั้นๆของประชาชน ซึ่งมีรากฐานมาจากประสิทธิภาพในการดำเนินงานและทำหน้าที่ของกลไกภายในตัว ระบบเอง


- หากผลของโหวตโน มีเกินกึ่งหนึ่ง ของผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ประชาชนก็จะสามารถใช้สิทธิ์ ปฏิเสธผลลัพธ์จากการเลือกตั้ง ตามความหมายข้างต้นนี้ได้ ทั้งในระบบ-จากการประท้วงกดดันinput และจากประเพณีปฏิบัติด้วยการถวายฎีกา ถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ทรงมีพระราชวินิจฉัย เพื่อเปิดทางสู่การนำใช้รัฐธรรมนูญ มาตรา๗

4.รัฐธรรมนูญ มาตรา๗.
- ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วนิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุข
- ที่ผ่านๆมา เมื่อเกิดปฏิวัติ รัฐประหารเพื่อยึดอำนาจจากฝ่ายการเมือง คณะผู้ยึดอำนาจจึงเป็นองค์รัฐาธิปัตย์แทนฝ่ายการเมือง และจัดตั้งรัฐบาลเอง ในรูปแบบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่มีอำนาจ 3 ฝ่าย กล่อง(1 - 3)คงเดิม และถือได้ว่ามีความชอบธรรมทางการเมือง หากปราศจากการต่อต้านใดๆ

5.ผลลัพธ์ของ "ความชอบและไม่ชอบธรรมทางการเมือง" -
-ในเมื่อคณะผู้ยึดอำนาจ จัดตั้งรัฐบาลภายใต้สภานิติบัญญัติได้ แล้วทำไมประชาชนจะร้องขอพระองค์ท่านให้ทรงมี รัฐบาลโดยภาคประชาชน สำหรับคนทั้งประเทศไม่ได้หล่ะครับ เพราะจะไม่มีความแตกต่างใน"รูปแบบ"กับสภานิติบัญญัติฯเลย และกลับจะอิงต่อความเป็นประชาธิปไตย ที่มาจากประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ได้เข้ามาปรับเปลี่ยน แก้ไขในทุกองคาพยพทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม เพื่อให้เป็น ให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง

บทสรุป -
- ความไม่ชอบธรรมทางการเมืองนั้น สะท้อนให้เห็นได้จากคะแนนโหวตโน เกินครึ่งจากผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง
- ความชอบธรรมทางการเมืองนั้น สะท้อนให้เห็นได้จากเหตุผลที่อ้างอิงจากโครงสร้างทางการเมือง ตัวบทกฎหมาย ตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา๓ และมาตรา๗
- การโหวตโน คือ เครื่องมือที่เป็นสันติวิธี ที่ประชาชนมีสิทธิ์ใช้ ตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา๖๙

จัดทำโดย : ศูนย์ปฏิบัติการณ์การเมืองภาคประชาชน บนFACEBOOK

ทำไงดีกลัวทักษิณจะกลับมา!!!!!

“อย่าโหวตโนเดี๋ยวทักษิณและพรรคเพื่อไทยจะกลับมา” วลีนี้ถูกงัดขึ้นมาต่อกรกับกระแส “โหวตโน-ไม่ประสงค์จะลงคะแนน” ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มันทำให้หลายคนชะงักไปนิดหนึ่ง และคิดในใจว่า ถ้าเพื่อไทยกลับมาแล้วจะทำอย่างไร
      
        “ถ้าเราไปกาช่องไม่เลือกใคร คนที่ชนะเลือกตั้งก็ได้เป็นรัฐบาลอยู่ดี” นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ถูกนำขึ้นมาตีโต้แคมเปญโหวตโนของพันธมิตรฯ
      
        ฟังน้ำเสียง 2 ประโยค และ 2 วลีนี้แล้ว นอกจากสะท้อนถึงความหวั่นไหวต่อกระแสโหวตโนของพันธมิตรฯ แล้ว ยังฟังเหมือนจะอ้อนวอนว่า อย่าไปโหวตโนเลย มากาให้ปชป.ดีกว่า เดี๋ยวทักษิณจะกลับมา
      
        แล้วรัฐบาล ปชป.ทำให้ทักษิณกลับมาเข้าคุกได้หรือไม่ คำตอบคือ ไม่ได้ ดังนั้นทักษิณกลับมาก็มาซิ มาแล้วก็เข้าคุก ใครจะมาลบล้างความผิดให้ทักษิณโดยไม่ผ่านขื่นแปของบ้านเมืองก็ลองดู
      
        ถามว่า คนที่พูด 2 วลีหรือ 2 ประโยคนี้ เชื่อว่า ถ้าไม่โหวตโนคะแนนเหล่านั้นจะเลือกพรรคประชาธิปัตย์เช่นนั้นหรือ คำตอบคือ ไม่ใช่ เพราะอย่างน้อยพันธมิตรฯ ซึ่งออกมาชุมนุมเรียกร้องรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์อยู่ในตอนนี้ย่อมไม่ เลือกพรรคประชาธิปัตย์อยู่แล้ว
      
        พันธมิตรฯ ไล่รัฐบาล ปชป.อยู่ทุกวัน เพราะปฏิเสธที่จะทำตามข้อเรียกร้อง 3 ข้อในการปกป้องดินแดน ถอนตัวจากมรดกโลก ยกเลิก MOU 2543 ผลักไล่ผู้รุกรานออกจากพื้นที่ 4.6 ตาราง กม. แต่รัฐบาล ปชป.ปฏิเสธทุกข้อจนต้องชุมนุมยืดเยื้ออยู่บนท้องถนน ใครจะไปลงคะแนนให้ก็บ้าแล้ว
      
        เมื่อพันธมิตรฯ ไม่เลือกพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทย คำตอบของพันธมิตรฯ ก็คือ การออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งกาช่องไม่เลือกใคร
      
        แล้วถามว่า มันจะเกี่ยวอะไรกับการทำให้ ปชป.แพ้ เพราะพูดอย่างนั้นเหมือนกับว่า คนทั้งประเทศนี้ต้องออกไปเลือกพรรคประชาธิปัตย์เพื่อป้องกันไม่ให้พรรคเพื่อ ไทยกลับมาเป็นรัฐบาลเช่นนั้นหรือ
      
        แล้วพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทยต่างกันตรงไหน ดีเลวกว่ากันอย่างไร
      
        คำถามนี้ตอบง่าย คุณคิดว่า รัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่บงการด้วยทักษิณ และรัฐบาล ปชป.ที่บงการด้วยสุเทพและเนวินต่างกันตรงไหน คำตอบเรารู้อยู่แล้วว่าผ่านการบริหารงานของรัฐบาลทั้งสองว่าไม่ได้แตกต่าง กันเลย
      
        ความจริงแล้วเมื่อฟังเสียงสะท้อนจากฟาก ปชป.ที่กำลังหวั่นไหวกระแสโหวตโนและบอกว่า โหวตโนจะทำให้ตัวเองแพ้ ก็เท่ากับ ปชป.ยอมรับว่า ถ้าพันธมิตรฯ โหวตโนตัวเองต้องแพ้เลือกตั้งอย่างแน่นอน เพราะย่อมรู้ดีว่าเที่ยวที่แล้วพันธมิตรฯ ลงคะแนนให้ ปชป.เกือบหมด ภายใต้การเลือกตั้งที่คุมโดยคณะปฏิวัติก็ยังแพ้พรรคของทักษิณไม่เป็นท่ามา แล้ว
      
        แต่ถามว่าปัญหานี้เกิดจากตัวพรรคประชาธิปัตย์เองไม่ใช่หรือ เพราะเมื่อเข้ามามีอำนาจแล้ว ก็ได้ทำลายมิตรของตัวเอง ปฏิเสธข้อเสนอของมิตร รับปากมิตรแต่ทำอีกอย่าง และพยายามเป็นกลางระหว่างเหลืองกับแดง แต่สุดท้ายนอกจากไม่สามารถซื้อใจมวลชนเสื้อแดงได้แล้ว ก็ยังทำลายมวลชนเสื้อเหลืองไปด้วย
      
        พรรคเพื่อไทยนั้นมีฐานมวลชนที่แน่นอน แต่พรรคประชาธิปัตย์นอกจากปฏิเสธฐานมวลชนเสื้อเหลืองแล้ว ทำไมไม่ถามตัวเองดูว่าตั้งพรรคมาหลายสิบปีเป็นพรรคเก่าแก่ที่สุดของประเทศ ทำไมไม่เคยมีฐานมวลชนของตัวเองเลย
      
        เราเห็นว่าในการเลือกตั้งแต่ละครั้งของพรรคประชาธิปัตย์นั้น มีฐานคะแนนที่ไม่แน่นอนเดี๋ยวแพ้เดี๋ยวชนะ เป็นรัฐบาลทีไร เลือกตั้งใหม่แล้วเจ๊งทุกที ก็เพราะไม่มีความสามารถในการบริหารประเทศ ดีแต่ปากซึ่งคุณสมบัตินี้เหมาะสมจะเป็นฝ่ายค้านที่สุด
      
        อีกด้านหนึ่งพยายามบอกว่า การไปเลือกตั้งควรเลือกคนที่เราคิดว่า เลวน้อยที่สุด เราคงต้องทบทวนว่า สังคมไทยมันอับจนคนดีจนต้องเลือกคนที่เลวน้อยที่สุดเช่นนั้นหรือ แล้วถามต่อไปว่า คนดีที่เข้าไปอยู่ในระบบที่เน่านั้นมีใครบ้างที่ใช้ความดีส่วนตัวเพื่อสร้าง ประโยชน์ให้กับประเทศหลังจากการเข้าสู่การเมืองได้ คำตอบคือ ไม่ดี เพราะระบบพรรคการเมืองตามรัฐธรรมนูญนี้นั้น ถูกครอบงำด้วยมติพรรค และมติพรรคนั้นตั้งอยู่บนผลประโยชน์ของพรรคและกลุ่มทุนที่สนับสนุนพรรคไม่ ใช่ของประเทศและประชาชน
      
        เรามีประชาธิปไตยมาเกือบ 80 ปี เราเคยเห็นนักการเมืองทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมบ้างไหม หรือถ้ามีคนที่ตั้งใจดีทำเพื่อสังคมหลุดเข้าไปบ้าง เราเคยเห็นระบบที่เป็นอยู่เปิดโอกาสให้เขาทำเพื่อส่วนรวมบ้างไหม คำตอบก็คือ ไม่มีเลย
      
        ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองจึงต้องเริ่มต้นที่ประชาชน เพราะเราจะรอให้นักการเมืองเปลี่ยนแปลงตัวเองนั้นคงรอให้งาช้างงอกออกจากปาก หมาเสียก่อน
      
        การไปใช้สิทธิเลือกตั้งและแสดงพลังให้เห็นว่า ประชาชนของประเทศนี้ทุกสีทุกกลุ่มต้องการที่จะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการ เมืองนั้น เป็นวจีที่ถูกต้องแน่ตามระบอบประชาธิปไตย แต่ถามว่าเราต้องการเปลี่ยนแปลงแค่พรรคการเมืองที่บริหารประเทศหรือต้องการ สร้างระบบการเมืองที่ดี คำถามนี้เราต้องถามใจตัวเอง
      
        ถ้าถามว่า เมื่อไม่มีกฎหมายรองรับถ้าเราไปใช้สิทธิไม่เลือกใคร ก็ต้องมีคนชนะการเลือกตั้งอยู่ดี คะแนนของเราก็จะสูญเปล่า ผมถามกลับว่า แล้วเรายอมรับระบบการเมืองที่เป็นอยู่ซึ่งเต็มไปด้วยกลุ่มคนที่เข้ามาหาผล ประโยชน์นี้หรือไม่ ถ้าเรายอมจำนนกับสิ่งที่มันเป็นอยู่เราก็ไปใช้สิทธิแค่ว่าเลือกคนที่เลวน้อย ที่สุดต่อไป
      
        แต่ถ้าเราคิดว่า ระบบการเมืองต้องถูกเปลี่ยนแปลง เราจะไม่จำนนกับการปล่อยให้นักการเมืองเข้ามาโกงบ้านกินเมืองอีกต่อไป เราก็ต้องกล้าที่จะแสดงพลังไม่เลือกผู้สมัครคนใดหรือพรรคใดเลย เพราะถ้าเราเลือกพรรคใดพรรคหนึ่ง คะแนนเสียงของเราก็จะกลายเป็นคะแนนเสียงที่ไปสร้างความชอบธรรมให้กับคนโกง บ้านโกงเมือง และเราก็เป็นส่วนหนึ่งของความชั่วร้ายนี้
      
        การตัดสินใจไปลงคะแนนในช่องไม่เลือกใครนั้น เราต้องบอกตัวเองว่า เราจะไม่เป็นเครื่องมือให้กับนักการเมืองที่เข้ามาและคดโกงทุจริตคอร์รัปชัน อีกต่อไป ถ้าเราทำได้และเลิกกลัวว่าคนเลวน้อยกว่าจะแพ้คนเลวมากกว่า ต่อไปคนเลวก็ไม่กล้าเข้ามาสู่การเมือง แต่ถ้าเราคิดแต่จะเลือกคนที่เลวน้อยที่สุด เราก็ไม่มีวันได้คนดีเข้ามาสู่ระบบการเมือง
      
        ระหว่าง “เลวมาก” กับ “เลวน้อย” และ “การไม่เลือกใคร” ผมคิดว่าทุกคนน่าจะมีคำตอบอยู่ในใจแล้วว่า เราจะเลือกสิ่งไหน และสิ่งที่เราเห็นได้ชัดและน่าตั้งคำถามต่อตัวเองก็คือว่า พรรคการเมืองที่อยู่ในขั้วของการช่วงชิงอำนาจนั้น “เลวมาก” และ “เลวน้อย” ต่างกันจริงๆ หรือ
      
        ดังนั้นระหว่างกลัวว่า “คะแนนที่ไม่ประสงค์จะเลือกใคร” จะกลายเป็นคะแนนที่สูญเปล่านั้น เราต้องถามตัวเองว่า เราจะปล่อยให้หนึ่งเสียงของเราเป็นคะแนนที่สร้างความชอบธรรมให้กับระบบการ เมืองที่ชั่วร้ายซึ่งดำรงอยู่เช่นนี้หรือ
      
        และถ้าเราไม่กล้าลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงด้วยการออกมาโหวตโน เราจะปล่อยให้ระบบการเมืองที่ชั่วร้ายดำรงอยู่และสืบทอดไปในรุ่นลุกรุ่นหลาน ของเราใช่หรือไม่
      
        คะแนนเสียงโหวตโนอาจจะเริ่มจาก 1 ล้าน 2 ล้าน หรือ 3 ล้านเสียง แต่ถ้าเราสามารถเพิ่มคะแนนนี้ให้สูงขึ้นเรื่อยๆ ผมคิดว่าเราจะสามารถต่อต้านระบบการเมืองที่ชั่วร้ายได้
      
        เราต้องตอบตัวเองให้ได้ว่า เราจะเป็นส่วนหนึ่งของระบบการเมืองที่เลวร้าย หรือจะกล้าบอกว่า เราไม่ประสงค์จะเลือกใคร เพราะต้องการปฏิรูปและล้างบางระบบการเมืองเก่า ทั้งหมดนี้อยู่ที่การตัดสินใจของเราเอง

จดหมายเปิดผนึกถึงทักษิณ โดย ศ.นพ. ประเวศ วะสี

                                            จดหมายเปิดผนึกถึงมักษิณ
                                   คุณทักษิณคุณมีศักยภาพพอที่จะทำเรื่องใหญ่นี้


คุณทักษิณที่รัก ใครๆ ก็ลงความเห็นว่า คุณทักษิณเป็นคนที่มีศักยภาพยิ่งกว่าใครๆ ในแผ่นดิน ที่จะบันดาลให้เกิดความปั่นป่วนก็ได้หรือความสงบก็ได้ นายกรัฐมนตรีคนก่อนๆ ที่ถูกรัฐประหารแล้วจะไปลับแต่คุณเป็นนายกรัฐมนตรีคนเดียวที่รัฐประหารก็กินไม่ลง คุณยังบันดาลให้เกิดอะไรๆ ในประเทศไทยได้เช่น ทำให้ สมัคร สุนทรเวช และสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้ สั่งให้พรรคเพื่อไทยซ้ายหัน ขวาหันก็ได้ ทำให้มวลชนคนเสื้อแดงคึกคักหรือซบเซาก็ได้ ไม่มีใครมีศักยภาพที่จะทำได้เท่าคุณทักษิณเมื่อพบกันครั้งสุดท้ายในงานศพภรรยาอาจารย์หมอเสม พริ้งพวงแก้ว ขณะนั้นคุณเป็นนายกรัฐมนตรี คุณกล่าวถึงผมว่า มาตรฐานของผมสูงเกินคุณยังทำไม่ได้ ผมว่ามาตรฐานของผมไม่สูงหรอกแต่คนั่นแหละมีศักยภาพสูงมาก ที่จะทำเรื่องใหญ่ๆ ใหญ่กว่าเรื่องที่คุณกำลังทำอยู่ขณะนี้

ผมคิดว่าขณะนี้ประเทศติดอยู่ในหลุมดำแห่งวิกฤตการณ์ที่เสี่ยงต่อการเกิดมิคสัญญีกลียุค เพราะกรรมร่วมหลายอย่างบรรจบกัน ซึ่งรวมเรียกว่าปัญหาเชิงโครงสร้าง ในช่วง ๘๐ ปีที่ผ่านมา แนวคิดทางการเมืองอยู่ในเรื่องการโค่นล้มและการแก้แค้นกันไปมา เมื่อคณะราษฎรโค่นล้มเจ้า พวกเจ้าก็โค่นล้มคณะราษฎร หลัง ๑๔ ตุลาเมื่อเห็นว่าขบวนการนักศึกษาชักจะมีอำนาจมากก็เกิดการฆ่านักศึกษากลางเมืองเมื่อ ๖ ตุลาคม แนวทางกระทำและปฏิกิริยาต่อการกระทำดำเนินเรื่อยมา และก่อให้เกิดความแตกแยกในหมู่คนไทยมากขึ้นเรื่อยๆ

จริงอยู่ คุณทักษิณ สามารถ shake loose หรือเขย่าให้ทุกองค์กรและสถาบันในประเทศไทยหลวมหมด ซึ่งอาจมองว่ามีข้อดีที่จะประกอบเครื่องไปสู่การพัฒนาระดับใหม่ (New Order) แต่ก็สุ่มเสี่ยงเกินไปที่จะหลุดเข้าไปสู่มิคสัญญีกลียุค เพราะในยามที่สังคมมีอารมณ์รุนแรง ย่อมเกิดการรับรู้ผิดๆ และคิดผิดๆ ไม่มีปัญญาพอที่จะใช้วิกฤตเป็นโอกาสที่จะพัฒนาไปสู่จุดลงตัวใหม่ได้ผมไม่คิดว่าการต่อสู้ตอบโต้กันไปมาอย่างที่เป็นไปขณะนี้จะสามารถพาสังคมไทยออกจากหลุมดำแห่งวิกฤตการณ์ได้ วิกฤตการณ์ของเราใหญ่และลึกเกินกว่าที่การต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันจะมีพลังพอที่จะขยับ
สังคมไทยออกจากมหาวิกฤตการณ์ครั้งนี้ได้

เราต้องการอะไรที่ใหญ่กว่านั้น
แล้วไอ้ที่ว่าใหญ่กว่านั้นมันคืออะไร
เรื่องใหญ่ที่สุดคือ จิตสำนึกใหม่ (New Consciousness)

คนไทยเรามีจิตสำนึกเล็กๆ แคบๆ มองไม่เห็นทั้งหมด ทำเฉพาะส่วนอย่างแยกส่วน ทำเพื่อตนและพวกตน นำไปสู่การเสียดุลยภาพอย่างรุนแรงทั้งหมดทั้งสิ้น คือ เสียดุลระหว่างกายกับใจ เสียดุลทางสังคมเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม การเมือง การเสียดุลยภาพคือความเจ็บป่วย และนำไปสู่การล่มสลาย

วิถีดุลยภาพ คือ ทางไป
แต่วิถีดุลยภาพเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าเรายังมีจิตสำนึกเล็กๆ แคบๆ เราต้องการจิตสำนึกใหม่ที่เป็นจิตสำนึกที่เห็นความเป็นหนึ่งเดียวของทั้งหมด (The Same Oneness) ของคนทั้งหมดและธรรมชาติทั้งหมด
 

จิตสำนึกใหม่ที่เข้าถึงความเป็นทั้งหมดจะทำให้เป็นอิสระ มีความสุขอันลึกซึ้ง เกิดความรักอันไพศาลต่อเพื่อนมนุษย์และธรรมชาติทั้งหมด ทำให้ดำเนินไปบนวิถีดุลยภาพได้

จิตสำนึกใหมที่ว่านี้เกิดขึ้นได้จริงๆ คุณลองไปอ่านเรื่องของมนุษย์อวกาศที่ชื่อ Edgar Mitchell เมื่อเขายืนบนดวงจันทร์ มองมาเห็นความเป็นหนึ่งเดียวของโลกทั้งใบ จิตเขาเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง เขากล่าวว่า “I came back to Earth, a totally changed man” เขารู้ว่าจิตสำนึกใหม่เกิดขึ้นได้ และเมื่อเกิดขึ้นแล้วมันมหัศจรรย์เพียงใด จึงตั้งสถาบันที่เรียกว่า Institute of Noetic Sciences ที่แคลิฟอร์เนีย เพื่อค้นคว้าวิจัยและเผยแพร่เรื่องจิตสำนึกใหม่ ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องไปนอกโลก แต่มีวิธีอันหลากหลายที่ทำให้เกิดขึ้น ขณะนี้หนังสือกลุ่มที่ขายดีที่สุดในโลกคือ กลุ่มที่เกี่ยวกับจิตสำนึกใหม่ เพราะในตะวันตกเกิดตระหนักกันมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ว่าวิกฤตโลกคราวนี้เป็นวิกฤตอารยธรรม หรือแบบแผนการดำรงชีวิต ไม่มีทางที่มนุษย์จะดำเนินไปในอารยธรรมเดิม โดยไม่ทำลายดุลยภาพของการอยู่ร่วมกัน ลาสโล โกรฟ และรัสเซลล์ ในหนังสือของเขาชื่อ Consciousness Revolution เห็นวา่ ทางเดียวเท่านั้นที่มนุษยชาติจะอยู่รอดได ้ คือ การปฏิวัติจิตสำนึก

หนังสืออีกเล่มหนึ่งที่ปีเตอร์ รัสเซลล์ เขียนคนเดียว ชื่อ Waking up in time ก็ทำนองเดียวกันที่ไม่เห็นว่าโลกจะรอดได้เพราะเทคโนโลยีใหม่หรือเศรษฐกิจใหม่ใดๆ นอกจากจิตสำนึกใหม่วิถีทางใหม่ที่มนุษยชาติ คือ วิถีดุลยภาพซึ่งจะเป็นไปได้ด้วยจิตสำนึกใหม่เท่านั้นวิกฤตการณ์ประเทศไทยก็เช่นเดียวกับวิกฤตการณ์โลก ที่เกิดจากการดำเนินไปบนวิถีที่ขาดดุลยภาพไม่มีทางออกด้วยการแก้เล็กแก้น้อย หรือด้วยการทะเลาะวิวาทแบบเด็กตีกัน แต่เราต้องการวิถีทางใหม่ซึ่งเป็นวิถีดุลยภาพ ซึ่งจะเป็นไปได้ต่อเมื่อคนไทยมีจิตสำนึกใหม่ถ้าคนไทยมีจิตสำนึกใหญ่ เข้าถึงความเป็นหนึ่งเดียวของประเทศไทยทั้งหมด จะเกิดความเป็นอิสระเกิดความสุขอย่างลํ้าลึก เกิดความรักอันไพศาลต่อเพื่อนมนุษยแ์ ละธรรมชาติทั้งหมด นำไปสู่วิถีชีวิตใหม่ที่ก้าวข้ามความขัดแย้งและความติดขัด

คุณทักษิณ คุณเป็นคนมีศักยภาพสูงที่จะทำเรื่องใหญ่ ปล่อยความแค้นหรือการคิดแก้แค้นใดๆเพราะมันอยู่ในอกุศลภูมิแห่งโลภะ โทสะ โมหะ เท่านั้นเอง คุณต้องไปทำเรื่องใหญ่กว่านั้น คือเรื่องการสร้างจิตสำนึกใหม่ของคนไทยทั้งหมด และมนุษย์ในโลกด้วย ด้วยศักยภาพของคุณผมคิดว่าคุณสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้

ถ้าคุณเปลี่ยนแปลงจากการทำเพราะแรงแค้น อันเป็นเรื่องในระดับต่ำๆ ไปสู่การทำงานใหญ่เรื่องสร้างจิตสำนึกใหม่ คุณจะพบความสงบและความสุขที่ไม่เคยได้พบมาก่อน ใครๆ ก็จะหันมารักคุณ และในที่สุดอย่าว่าแต่เรื่องเงิน 70,000 กว่าล้านของคุณเท่านั้นเลย ใครๆ ก็อยากจะเห็นคุณมีมากๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพของคุณในการทำเพื่อเพื่อนมนุษย์คุณมีหลานสาวคนหนึ่งที่มีความรู้ความชำนาญเรื่องจิตสำนึกใหม่ ถ้าคุณสนใจเรื่องนี้ เขาคงยินดีเดินทางมาพบคุณที่ดูไบ หรือที่อื่นใด ผมขออธิษฐานให้คุณเป็นพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐาน(Transformation) ของมนุษยชาติ

ด้วยความระลึกถึง
ประเวศ วะสี
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง