เปิด ‘HIA ทวาย’ เดชรัต สุขกำเนิด ชี้ผลกระทบอื้อ
ซัลเฟอร์ฯอ่วมปีละกว่า 4 แสนตัน ป่าตะวันตกถูกตัดขาด ถนนบางใหญ่-กาญจน์
ทำน้ำท่วมหนัก
นักวิชาการดังคณะเศรษฐศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ ‘เดชรัต
สุขกำเนิด’เปิดงานวิจัย HIA กับการลงทุนข้ามพรมแดน :
กรณีศึกษาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย
ประเทศพม่าหวังชี้ให้เห็นผลกระทบที่มีเพียบ ระบุ 6 ประเด็นหลักที่น่าห่วง
ตั้งแต่ก๊าซคาร์บอนฯปีละ 30 ล้านตัน ที่จะเกิดจากโรงไฟฟ้า ก๊าซซัลเฟอร์ฯ
จากนิคมอุตสาหกรรม ปีละกว่า 4 แสนตัน ใช้น้ำจืดวันละ 5.9 ล้านลบ.ม.
เถ้าถ่านหินปีละ 1.3 ล้านตัน ขยะอุตสาหกรรมกว่าปีละ 7 แสนตัน
ชุมชนชาวพม่าได้รับผลกระทบกว่า 20 หมู่บ้าน 3.2 หมื่นคน ส่วนในฝั่งไทย
ผืนป่าตะวันตกอาจถูกตัดขาด และแนวถนนสายใหม่จากบางใหญ่
จ.นนทบุรี-นครปฐม-กาญจนบุรี จะขวางทางน้ำหลาก
หวั่นเกิดน้ำท่วมหนักอีกในอนาคต
โดย วรลักษณ์ ศรีใย ศูนย์ข่าว TCIJ
ดร.เดชรัตน์ สุขกำเนิด อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้สัมภาษณ์ศูนย์ข่าว TCIJ ถึงงานวิจัย เรื่อง HIA
กับการลงทุนข้ามพรมแดน : กรณีศึกษาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย
ประเทศพม่า ว่า จุดประสงค์ของการทำงานวิจัยชิ้นนี้
เพื่อเป็นข้อมูลให้กับภาคประชาสังคมในประเทศพม่า
ซึ่งก่อนหน้านี้ภาคประชาสังคมของพม่าเคยมาอบรมที่เสมสิกขาลัย ประเทศไทย
และมีการหารือกันในประเด็นนี้อีกหลายครั้ง
ว่าจะทำอย่างไรจึงจะมีการศึกษาถึงผลกระทบบ้าง
พร้อมทั้งขอให้ช่วยทำงานวิจัยชิ้นนี้ขึ้นมา
และจากนี้ต่อไปตนจะมีการแปลเป็นภาษาอังกฤษและส่งให้ภาคประชาสังคมของพม่าต่อ
ไป
งานวิจัยชิ้นนี้นับว่าเป็นต้นแบบการจัดทำ HIA (Health Impact Assessment) ได้
ในระดับหนึ่ง มีองค์ประกอบการศึกษาเกือบทุกด้าน แต่อาจจะขาดในเรื่องพื้นที่
เนื่องจากไม่ได้เห็นพื้นที่จริง
แต่การศึกษาได้ใช้พื้นที่ในประเทศไทยที่ใกล้เคียง เป็นตัวอย่างในการศึกษา
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทางการของประเทศพม่าจะเชื่อถืองานวิจัยฉบับนี้หรือไม่
ดร.เดชรัตน์กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ภาคประชาสังคมพม่าต้องทำงานต่อไป
โดยการนำเสนอกับรัฐบาลพม่า ส่วนบริษัทของไทยที่เข้าไปลงทุนในโครงการนี้
คงจะได้รับทราบเนื้อหาของงานวิจัย จากการเผยแพร่ผ่านสื่อต่างๆ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับงานวิจัยดังกล่าว มีทั้งหมด 15 หน้า
โดยเบื้องต้นเป็นการกล่าวถึงข้อมูลเบื้องต้นของโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำ
ลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย ในประเทศพม่า
พร้อมคำสัมภาษณ์นักลงทุนและผู้เกี่ยวข้องจากประเทศไทย
พร้อมทั้งผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
จากนั้นเป็นบทสรุปและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
(ฉบับเต็ม)
HIA กับการลงทุนข้ามพรมแดน : กรณีศึกษาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย ประเทศพม่า
บทนำ
ในขณะที่ประเทศทั้ง 10
ประเทศในสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือ ASEAN
กำลังนับถอยหลังเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปีพ.ศ.2558
การเชื่อมโยงกันของระบบเศรษฐกิจ การค้า
และการลงทุนในประเทศเหล่านี้ก็กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ตัวเรา
และเริ่มปรากฏเป็นรูปเป็นร่างแจ่มชัดขึ้นทุกทีเช่นกัน
การลงทุนทางโครงสร้างพื้นฐานและการลงทุนของภาคอุตสาหกรรมเริ่มปรับตัวสู่การ
ลงทุนแบบข้ามพรมแดน ซึ่งนำไปสู่การขยายโอกาสใหม่ๆ ทางการค้าและทางเศรษฐกิจ
แต่ผลกระทบทางสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่จะเกิดขึ้นจากการขยายพรมแดนการค้าและ
การลงทุนในกลุ่มอาเซียน ทั้งทางบวกและทางลบ
กลับยังไม่ได้มีการหารือและศึกษากันอย่างจริงจังแต่อย่างใด
โครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย ประเทศพม่า
เป็นหนึ่งในรูปธรรมของการขยายการลงทุนข้ามพรมแดนจากประเทศไทยสู่ประเทศพม่า
เพื่อที่จะนำทรัพยากรพลังงานและผลผลิตต่างๆ
กลับมาหล่อเลี้ยงการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศไทย
ทั้งยังมีแนวคิดที่จะเชื่อมโยงเส้นทางการคมนาคมจากประเทศพม่า ผ่านประเทศไทย
ไปสู่ประเทศกัมพูชาและเวียดนามอีกด้วย
โครงการนี้จึงเป็นเสมือนรูปธรรมที่ชัดเจนอย่างหนึ่งของการเปิดประชาคม
เศรษฐกิจอาเซียน โครงการนี้จึงได้รับความสนใจจากผู้ร่วมลงทุนหลายประเทศ
และได้รับการสนับสนุนทางนโยบายจากรัฐบาลพม่าและรัฐบาลไทย
ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลที่ผ่านมา (รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ)
หรือรัฐบาลปัจจุบัน (รัฐบา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ก็ตาม
บทความนี้จะเริ่มต้นด้วยการประมวลข่าวความคืบหน้าในการลงทุนในโครงการนี้
ทั้งในเชิงภาพรวมของโครงการ และในโครงการย่อยที่สำคัญต่างๆ
รวมไปถึงการขยายแนวคิดเรื่องเส้นทางคมนาคมเชื่อมโยงภูมิภาค
และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในมุมมองของเจ้าของโครงการ จากนั้น
บทความนี้จะเริ่มต้นฉายภาพให้เห็นถึงผลกระทบทางลบที่อาจจะเกิดขึ้น
และจำเป็นที่จะต้องได้รับการประเมินความเสี่ยงและการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวด
ล้อมและสุขภาพในภาพรวมหรือในระดับยุทธศาสตร์
ก่อนที่จะดำเนินการโครงการตามแผนที่วางไว้
สุดท้ายบทความนี้จะเสนอข้อเสนอแนะที่น่าจะเป็นประโยชน์การคุ้มครองและการ
สร้างเสริมสุขภาพของประชาชนทั้งสองประเทศ
ผ่านกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันที่เรียกว่า การประเมินผลกระทบทางสุขภาพหรือ
HIA นั่นเอง
รูปแบบการลงทุนในภาพรวมของโครงการ
เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2554 นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหาร บริษัท
อิตาเลียนไทย ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน)
เปิดเผยความคืบหน้าโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย
พื้นที่ 250 ตร.กม.ในประเทศพม่ากับสื่อมวลชนว่า บริษัท ทวาย ดีเวลล็อปเมนท์
จำกัด หรือ ดีดีซี ซึ่งปัจจุบันอิตาเลียนไทยฯ ถือหุ้น 100%
จะเป็นผู้ดำเนินโครงการพัฒนา และจัดหาผู้ร่วมลงทุนในแต่ละโครงการ
โดยขณะนี้นักลงทุนพม่าแสดงความจำนงถือหุ้นดีดีซีแล้ว 25% และในระยะต่อไป
บ.อิตาเลียนไทยฯ จะลดสัดส่วนหุ้นในดีดีซีเหลือ 51% [1]
บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) อ้างว่าได้ใช้เวลา 16
ปี
ในการศึกษาโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวายในประเทศพม่า
เพราะเห็นว่าเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่เหมาะต่อการลงทุน
รองรับการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในอนาคต กระทั่งเมื่อวันที่ 2 พ.ย. 2553
รัฐบาลพม่าได้ลงนามสัญญากับอิตาเลียนไทยฯ
เพื่อให้สิทธิในการพัฒนาพื้นที่เป็นเวลา 75 ปี ซึ่งบ. อิตาเลียนไทยฯ
ได้จัดตั้งบริษัท ทวาย ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ทุนจดทะเบียน 100 ล้านดอลลาร์
เพื่อพัฒนาโครงการนี้ [2]
นายสมเจตน์ ทิณพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทวาย ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด
ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจว่า
บริษัทได้รับอนุญาตจากรัฐบาลพม่าให้พัฒนาโครงการดังกล่าวบนพื้นที่ 250
ตร.กม. หรือประมาณ 2 แสนไร่ ใหญ่กว่านิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด 10 เท่า[3]
ปัจจุบันรัฐบาลพม่าได้ประกาศให้พื้นที่โครงการเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ (Dawei
Special Economic Zone) หรือ DSEZ แล้ว
ส่งผลให้เป็นพื้นที่ส่วนราชการแบบเบ็ดเสร็จ (One-Stop Service)
เพื่อลดขั้นตอนการดำเนินงานให้เกิดความคล่องตัวมากที่สุด
รวมทั้งการให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ รวมทั้งมาตรการด้านภาษี
เพื่อจูงใจนักลงทุน [4]
การลงทุนโครงการระยะแรก ดีดีซีจะก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกในพื้นที่ 6,100
ไร่ ก่อสร้างถนนจากทวายมายังชายแดนไทย-พม่า บริเวณ จ.กาญจนบุรี ระยะทาง 132
กม. ขนาด 4 ช่องจราจร รวมทั้งก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน ขนาด 4,000
เมกะวัตต์ ในพื้นที่ 2,300 ไร่ และระบบสาธารณูปโภคต่างๆ [5]
ทั้งนี้ การพัฒนาโครงการระยะแรกจะใช้เงินลงทุน 2.4 แสนล้านบาท
ใช้เวลาดำเนินการ 4 ปี 6 เดือน ประกอบด้วย
โครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกที่ใหญ่ที่สุดในโลก
รองรับสินค้าคอนเทนเนอร์ปีละ 20 ล้านตัน หรือ 2 เท่าของท่าเรือแหลมฉบัง
ระยะต่อไปจะพัฒนาให้รองรับได้ถึงปีละ 100 ล้านตัน [6]
ที่ผ่านมา นายสมเจตน์เล่าว่า
บริษัทได้สำรวจพื้นที่โครงการทั้งบนบกและในทะเลแล้ว
ทั้งพื้นที่แนวราบและแนวตั้ง ได้ก่อสร้างถนนชั่วคราว
เพื่อใช้ขนส่งวัสดุอุปกรณ์และเครื่องมือในการก่อสร้างจากกาญจนบุรีไปยังทวาย
ในอนาคตจะพัฒนาเป็นถนนขนาด 4 ช่องจราจร
รวมทั้งการสำรวจพื้นที่เพื่อก่อสร้างอ่างเก็บน้ำ ขนาด 500 ล้านลูกบาศก์เมตร
อยู่ห่างจากนิคมฯ 18 กม. ทั้งนี้ SCB เป็นผู้ให้กู้เบื้องต้น 4,000
ล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับสนับสนุนการดำเนินงานปัจจุบันทั้งศึกษาและจ้างที่ปรึกษา [7]
การลงทุนข้ามพรมแดนในโครงการย่อยต่างๆ
การลงทุนโครงการท่าเรือและนิคมฯทวาย
ถือเป็นการลงทุนในต่างประเทศของนักลงทุนไทย หรือ Offshore Investment
ซึ่งเป็นแนวนโยบายที่รัฐบาลไทยส่งเสริมและสนับสนุนมาตลอด
และยิ่งให้ความสำคัญมากขึ้น เพราะเป็นส่วนหนึ่งของการนำรายได้เข้าประเทศ
จะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
เช่นเดียวกับประเทศที่มีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น จีน
ก็สนับสนุนให้มีโครงการลงทุนในต่างประเทศเช่นกัน ดังนั้น
การลงทุนในโครงการย่อยต่างๆ ในโครงการนิคมอุตสาหกรรมทวาย
จึงเป็นการร่วมลงทุนของนักลงทุนรายใหญ่จากหลากหลายประเทศ
ดังที่จะนำเสนอรายละเอียดของโครงการย่อยที่สำคัญ ดังนี้
โครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกและถนน มูลค่าเงินลงทุน 3,500
ล้านเหรียญสหรัฐ
ที่ได้รับการสนับสนุนเงินกู้จากธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่ง
ญี่ปุ่น (เจบิก) 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ระยะ 20 ปี อัตราดอกเบี้ย 12.3%
ผ่านธนาคารขนาดใหญ่ของไทย คือ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไทยพาณิชย์
ธนาคารกรุงไทย และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย [8]
โครงการท่าเรือดังกล่าว DDC ถือหุ้นทั้งหมด มีพื้นที่ 6,000 ไร่
ขณะนี้ตั้งบริษัทลูกแล้ว
โดยการแปลงที่ดินเป็นทุนและอยู่ระหว่างการหาผู้ร่วมทุน คาดว่าจะเป็นญี่ปุ่น
โดยมีต่างชาติ 3 รายแสดงความสนใจเข้ามาแล้ว ส่วนโครงการสร้างรถไฟ มูลค่า
2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ DDC กำลังตัดสินใจว่าจะกู้เงินจากจีนหรือญี่ปุ่น [9]
โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 4 พันเมกะวัตต์ พื้นที่ 2,300 ไร่
มูลค่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ จะส่งเข้ามาจำหน่ายในไทยประมาณ 3,600 เมกะวัตต์
ส่วนที่เหลือใช้ในพม่า [10] ล่าสุดบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด
(มหาชน) ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ของประเทศไทย ยืนยันจะร่วมถือหุ้น 30%
เพื่อลงทุนโรงไฟฟ้า DDC ถือหุ้น 40 %
ที่เหลือเป็นผู้ร่วมทุนเชิงกลยุทธ์ที่คาดว่าจะเป็นญี่ปุ่น [11]
ส่วนแหล่งถ่านหิน จะนำมาจากเกาะสุมาตราในอินโดนีเซีย [12]
นายนพพล มิลินทางกูร กรรมการผู้จัดการใหญ่
บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง(RATCH) กล่าวว่า
ในระยะแรกบริษัทจะลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้า SPP ขนาดโรงละ 130 เมกะวัตต์ รวม 3
โรง หรือราว 400 เมกะวัตต์ เพื่อจำหน่ายภายในนิคมฯ
โดยคาดว่าจะผลิตเชิงพาณิชย์ได้ปี 57 ใช้ถ่านหินเป็นพลังงาน ดังนั้น
บริษัทคาดว่าธุรกิจการจัดหาถ่านหินและท่าเทียบเรือในอนาคตน่าจะมีความร่วม
มือกันเพิ่มเติม [13]
ส่วนโครงการก่อสร้างโรงเหล็กขนาดใหญ่ 1.3 หมื่นไร่
มีการจดทะเบียนจัดตั้งแล้วเช่นกัน [14] โดยการแปลงที่ดินเป็นทุน
และมีบริษัทผู้ผลิตเหล็กชั้นนำของโลกสนใจเข้าร่วมทุนหลายราย อาทิ กลุ่ม
Posco จากเกาหลี กลุ่ม Mittal จากอินเดีย และกลุ่ม Nippon Steel จากญี่ปุ่น
ปัจจุบัน อยู่ในระหว่างการเจรจารายละเอียด [15]
ขณะที่โครงการก่อสร้างปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์
กำลังเจรจากับนักลงทุนหลายราย เช่น กลุ่มมิตซูบิชิ กลุ่มโตโย กลุ่มโตคิว
รวมทั้งบริษัทในคูเวต และกาตาร์ การก่อสร้างโรงงานต่างๆ
จะแล้วเสร็จและเปิดดำเนินการภายใน 3 ปี นับจากเดือนม.ค. 2555 [16]
เช่นเดียวกับบริษัทร่วมทุนโรงกลั่นน้ำมันและก๊าซ ประมาณ 4,000-5,000 ไร่
ก็เริ่มมีบริษัทสนใจแล้วเช่นกัน [17]
นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ปตท.
จำกัด (มหาชน) บริษัทพลังงานที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย
เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า “ปตท.สนใจการลงทุนในพม่า
เพราะมีศักยภาพด้านพลังงานน้ำและถ่านหิน
รวมถึงพม่ากำลังมีโครงการนิคมอุตสาหกรรมทวาย
ที่จะมีการลงทุนในท่าเรือน้ำลึก ขนส่งทางถนน ขนส่งทางท่อ และโรงไฟฟ้า
โดยจะมีรูปแบบการลงทุนเช่นเดียวกับโครงการเซาท์เทิร์นซีบอร์ดของไทย ซึ่ง
ปตท.สนใจลงทุนเกี่ยวกับธุรกิจพลังงานในนิคมเหล่านี้” [18]
นายสมเจตน์ ทิณพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทวาย ดีเวล้อปเมนท์ จำกัด
เจ้าของโครงการย้ำว่า
สิ่งที่รัฐบาลไทยควรเร่งจัดหาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้นักลงทุนไทย
ที่ต้องการลงทุนโครงการในนิคมฯทวาย
และการให้สิทธิประโยชน์หรือการส่งเสริมการลงทุน
ซึ่งคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอ ต้องเร่งออกกฎหมาย
เพื่อให้นักลงทุนไทยสามารถลงทุนในต่างประเทศได้ดียิ่งขึ้น [19]
ท่าเรือชั่วคราวเพื่อใช้ในการขนส่งระหว่างก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย
ยุทธศาสตร์โลจิสติกส์ของภูมิภาค
นายเปรมชัย กรรณสูตร ประธานกรรมการบริหารบริษัท อิตาเลี่ยนไทย
ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน)
เปิดเผยถึงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกทวายและนิคมอุตสาหกรรมว่า
โครงการดังกล่าวคิดและพัฒนาโดยประเทศญี่ปุ่น เรียกว่า GMS southern
corridor เพื่อเชื่อมโยงการพัฒนาประเทศในภูมิภาคเอเชีย ทั้งประเทศจีน
เวียดนาม สปป.สาว และ กัมพูชา นายเปรมชัยเชื่อว่า
โครงการที่เรือนำลึกทวายจะเป็นฮับคอนเทนเนอร์
ที่สามารถกระจายสินค้าไปยังภูมิภาคต่างๆได้ เช่น ประเทศอินเดีย บังคลาเทศ
จนถึงแอฟริกาใต้ได้ ซึ่งสามารถประหยัดเวลา 4-5 วัน
จากเดิมที่ต้องผ่านประเทศสิงคโปร์ [20]
นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหาร บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์
จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สาเหตุที่เลือกเขตพื้นที่ทวายเป็นเขตนิคมอุตสาหกรรม
คือ ระบบคมนาคมทางถนนจากกรุงเทพมหานครมายังเขตทวายมีระยะทางประมาณ 300
กิโลเมตร ซึ่งใช้ระยะเวลาในการเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง
ซึ่งสอดคล้องกับแผนการพัฒนาระบบทางของรัฐบาล
และมีพื้นที่เพื่อสร้างเขื่อนอ่างเก็บน้ำ บริเวณแม่น้ำทวาย รองรับน้ำได้ถึง
400 ล้านลิตร สามารถใช้ได้ทั้งปี [21]
ประเทศไทยจะมีเส้นทางขนส่งออกสู่ทะเลอันดามันเพิ่มขึ้น
โดยระยะเวลาการขนส่งจะลดลง
เพราะพม่าจะก่อสร้างถนนจากท่าเรือผ่านนิคมฯทวายมายังบ้านพุน้ำร้อน
จ.กาญจนบุรี สอดรับกับแผนงานของกรมทางหลวง
ซึ่งมีแผนก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหรือมอเตอร์เวย์จากบาง
ใหญ่-นครปฐม-กาญจนบุรี เชื่อมต่อกับเส้นทางดังกล่าว
และเส้นทางนี้สามารถเชื่อมต่อไปยังกัมพูชา ผ่านเมืองศรีโสภณ เสียมเรียบ
พนมเปญ และเชื่อมต่อไปยังเวียดนาม โดยผ่านโฮจิมินห์
เพื่อออกสู่มหาสมุทรแปซิฟิก [22]
นายสมเจตน์ ทิณพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทวาย ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด
ย้ำว่าสิ่งที่รัฐบาลไทยควรเร่งดำเนินการคือ
ผลักดันโครงการก่อสร้างมอเตอร์เวย์บางใหญ่-นครปฐม-กาญจนบุรี
เพื่อเชื่อมต่อไปยังท่าเรือและนิคมฯทวาย
สร้างระบบโลจิสติกส์รองรับการค้าการลงทุนและการขนส่งในอนาคต [23]
ล่าสุด นายวันชัย ภาคลักษณ์ อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า
กรมทางหลวงได้สำรวจและออกแบบรายละเอียดโครงการ โดยแล้วเสร็จตั้งแต่ปี 2552
และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้ให้ความเห็นชอบรายงานผลกระทบสิ่งแวด
ล้อมในช่วงบางใหญ่-บ้านโป่ง ตั้งแต่ปี 2541 ส่วนช่วงบ้านโป่ง-กาญจนบุรี
ได้รับความเห็นชอบตั้งแต่ปี 2546 ปัจจุบันกรมทางหลวง
อยู่ระหว่างศึกษาแนวทางและรูปแบบการลงทุนโครงการในรูปแบบ Public Private
Partnership หรือ PPPs โดยให้เอกชนร่วมลงทุน
ซึ่งได้รับการสนับสนุนด้านวิชาการในการศึกษาจากธนาคารพัฒนาเอเชียหรือเอดีบี
คาดว่าผลการศึกษาจะแล้วเสร็จภายในปี 2555 [24]
ทั้งนี้ เพื่อให้การเชื่อมต่อมอเตอร์เวย์สายบางใหญ่-นครปฐม-กาญจนบุรี
สามารถเชื่อมต่อไปถึงชายแดนพม่าได้ นายวันชัย ภาคลักษณ์ อธิบดีกรมทางหลวง
ระบุว่า กรมทางหลวงได้จ้างบริษัทศึกษาความเหมาะสมทางด้านเศรษฐกิจ วิศวกรรม
และผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการมอเตอร์เวย์สายกาญจนบุรี-ชายแดนไทย-พม่า
ที่บ้านพุน้ำร้อน ระยะทางประมาณ 70 กม. ตามที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณปี
2555 คาดว่าจะใช้เวลาศึกษาประมาณ 1 ปี
ผลกระทบในมุมมองของผู้ลงทุน
นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหาร บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์
จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงผลกระทบในด้านบวกจากโครงการดังกล่าวว่า
โครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวายมีแผนการสร้างที่อยู่อาศัยภายใน
โครงการกว่า 2 แสนยูนิต สำหรับประชากร 2 ล้านคน
ซึ่งหากโครงการแล้วเสร็จท่าเรือน้ำลึกทวายและนิคมอุตสาหกรรม
จะสามารถรองรับแรงงานได้ถึง 6 แสนคน [25]
อย่างไรก็ตาม นายสมเจตน์ ทิณพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทวาย
ดีเวล้อปเมนท์ จำกัด ได้ชี้ให้เห็นข้อควรระวังของการลงทุนในพม่าว่า
การลงทุนจะต้องไม่มีผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
ซึ่งเป็นประเด็นที่รัฐบาลและประชาชนพม่าให้ความสำคัญมาก
นักลงทุนจึงต้องดำเนินการตามกฎระเบียบและกติกาต่างๆ อย่างเคร่งครัด
โดยเฉพาะการลงทุนอุตสาหกรรมหนัก แม้ต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้นก็ตาม
จะเห็นว่าที่ผ่านมาพม่าสั่งระงับโครงการก่อสร้างเขื่อนมูลค่า 1.2
แสนล้านบาทในแม่น้ำอิระวดี เป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน
เพราะการสร้างเขื่อนจะมีผลต่อกระแสน้ำในแม่น้ำอิระวดี
จึงได้รับการต่อต้านจากประชาชนที่ได้รับผลกระทบ เพราะฉะนั้น
นายสมเจตน์จึงย้ำว่า นักลงทุนและบริษัทจะต้องทำตามกติกาโลก เช่น กลุ่ม
Posco ของเกาหลีใช้เวลากว่า 7 ปี
กว่าจะได้ก่อสร้างโรงงานเหล็กในนิคมฯโอริสสาของประเทศอินเดีย [26]
ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับทวาย
ทวายหรือ Dawei (เดิมเรียกว่า Tavoy)
ในภาษาอังกฤษเป็นเมืองหลวงของแคว้นตะนาวศรี (หรือ Tanintharyi region)
ในประเทศพม่า มีจำนวนประชากรราว 5 แสนคน มีกลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่มได้แก่
ทวาย มอญ กระเหรี่ยง และอื่นๆ ภาษาหลักที่ใช้คือ ภาษาทวาย [27]
พื้นที่ที่เป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมเรียกว่า Nabule แขวง Yebyu
เขตเมืองทวาย ในพื้นที่ 250 ตร.กม. ที่มาทำเป็นนิคมอุตสาหกรรม
จะต้องเวนคืนที่ดินและอพยพประชาชนกว่า 20 หมู่บ้าน ประมาณ 4,000
หลังคาเรือน และมีจำนวนประชากรที่จะต้องอพยพประมาณ 32,000 คน
ประชาชนเหล่านี้ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมและประมง เช่น สวนผลไม้ สวนยาง
คล้ายกับภาคใต้ของประเทศไทย
ประชาชนในพื้นที่อพยพส่วนใหญ่ทราบเรื่องที่จะต้องอพยพออกจากพื้นที่
แต่จากการบอกเล่าของผู้แทนประชาชนจากประเทศพม่าที่มาประชุมในประเทศไทย
เมื่อเดือนธ.ค. 2554 ที่ผ่านมา พบว่า
ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่ทราบเรื่องการจ่ายค่าชดเชย
และความพร้อมของสถานที่รองรับการอพยพ
ขณะเดียวกัน
ประชาชนและภาคประชาสังคมในพม่าก็เริ่มแสดงความห่วงกังวลกับผลกระทบทางสิ่ง
แวดล้อมและสุขภาพที่จะเกิดขึ้นจากโครงการนี้
และเรียกร้องให้มีการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคมตามาตรฐานสากล
และผ่านกระบวนการปรึกษาหารือกับประชาชนในพื้นที่ [28]
ผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น
การสร้างนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่มักจะก่อให้เกิดผลกระทบในหลายด้าน
เพื่อที่จะช่วยชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากการพัฒนานิคม
อุตสาหกรรมทวาย
ผู้เขียนจึงได้จำลองอัตราของผลกระทบแต่ละด้านเมื่อเทียบกับพื้นที่และขนาด
การผลิต
โดยเทียบเคียงจากเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตและการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมมาบตา
พุด
ดังนั้น
การประมาณการณ์ผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นในบทความนี้จึงเป็นการประมาณอย่าง
คร่าวๆ
เพื่อจุดประเด็นและจุดประกายให้เห็นถึงความสำคัญในการประเมินผลกระทบทาง
สุขภาพในเชิงยุทธศาสตร์อย่างจริงจัง ก่อนที่จะพัฒนาโครงการย่อยต่างๆ
ตามที่บริษัทเจ้าของโครงการได้วางแผนไว้
เพื่อป้องกันมิให้เกิดผลกระทบเช่นเดียวกับที่ประชาชนในเขตนิคมอุตสาหกรรมมาบ
ตาพุด (ซึ่งมีพื้นที่เล็กกว่านิคมอุตสาหกรรมทวายมาก)
ต้องแบกรับมาเป็นเวลานาน
1) การปล่อยก๊าซเรือนกระจก
การก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาดใหญ่ ในเขตนิคมอุตสาหกรรมทวาย
ย่อมส่งผลกระทบทางลบอย่างมากต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
อันเป็นต้นเหตุของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก
เพราะถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงที่เมื่อเผาไหม้แล้วจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศมากกว่าเชื้อเพลิงอื่นๆ
ทั้งนี้ ประมาณการณ์ในเบื้องต้นว่า
เมื่อโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งนี้เดินเครื่องเต็มกำลังการผลิต 4,000
เมกะวัตต์แล้ว โรงไฟฟ้าแห่งนี้จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากถึง 30
ล้านตัน/ปี[29]
ซึ่งเป็นปริมาณที่มากกว่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของประเทศพม่าทั้ง
ประเทศในปีพ.ศ. 2551 ถึง 2 เท่า (ปีพ.ศ. 2551
ประเทศพม่าปล่อยก๊าซเรือนกระจก 12.8
ล้านตันเทียบเท่าคาร์บอนไดออกไซด์/ปี[30]) และเนื่องจากประมาณร้อยละ 90
ของไฟฟ้าที่ผลิตได้จะถูกส่งมายังประเทศไทย
โครงการนี้จึงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการผลักภาระทางด้านสิ่งแวดล้อมให้กับ
ประเทศเพื่อนบ้าน
ทั้งนี้ ยังไม่รวมถึงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากอุตสาหกรรมอื่นๆ
ที่ใช้พลังงานเข้มข้นและเป็นต้นเหตุหลักของก๊าซปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น
อุตสาหกรรมถลุงเหล็ก อุตสาหกรรมผลิตปุ๋ยเคมี และอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้สูงว่า
ประเทศพม่าจะมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 4-5
เท่าของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปัจจุบัน
ภายหลังจากการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมทวายเต็มรูปแบบ
2) มลภาวะทางอากาศ
นอกเหนือจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้ว
การพัฒนานิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ยังนำมาซึ่งการปลดปล่อยมลสารหลายชนิดที่กลาย
เป็นมลภาวะทางอากาศด้วย
หากเทียบเคียงจากประสบการณ์ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด
การพัฒนาพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ถึง 194 ตร.กม.[31] ในเขตทวาย
อาจนำไปสู่การปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ได้มากถึง 442,560 ตัน/ปี[32]
ก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจนได้มากถึง 354,000 ตัน/ปี[33]
และฝุ่นละอองขนาดเล็กอีกไม่น้อยกว่า 88,500 ตัน/ปี[34]
ทั้งนี้ ยังไม่นับรวมถึงการปล่อยมลสารของโรงไฟฟ้าถ่านหิน 4,000
เมกะวัตต์ ซึ่งในการเผาไหม้ถ่านหินประมาณ 11 ล้านตัน/ปี
ก็อาจจะปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ได้มากถึง 118,000 ตัน/ปี
ก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจนได้มากถึง 119,000 ตัน/ปี รวมทั้ง
ฝุ่นละอองขนาดเล็กอีกไม่น้อยกว่า 10,300 ตัน/ปี[35]
การเพิ่มขึ้นของมลสารที่เป็นต้นเหตุของภาวะฝนกรดประมาณ 1 ล้านตัน/ปี
และฝุ่นละอองขนาดเล็กอีกกว่า 1 แสนตัน/ปี
จะกลายเป็นแรงกดดันสำคัญให้เกิดปัญหามลภาวะทางอากาศขึ้นในพื้นที่
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ด้วยสภาพภูมิประเทศของทวายที่มีเทือกเขาตะนาวศรีเป็นภูเขาสูงขนาบทางทิศ
ตะวันออก ทำให้สภาพมลภาวะทางอากาศสะสมอยู่ในพื้นที่
และอาจจะส่งผลกระทบทางลบอย่างมาก
ทั้งต่อการทำการเกษตรและสุขภาพของประชาชนในพื้นที่
นอกจากมลสารที่ทำให้เกิดฝนกรดแล้ว การปล่อยมลสารประเภทโลหะหนักเช่น ปรอท
จากโรงไฟฟ้าถ่านหิน ซึ่งอาจจะมีปริมาณสูงถึง 10,000 กิโลกรัมในแต่ละปี
โลหะหนักเหล่านี้จะถูกฝนชะล้างลงสู่แหล่งน้ำ
และสะสมในสัตว์น้ำและในห่วงโซ่อาหาร
เมื่อมนุษย์นำสัตว์น้ำมาบริโภคก็จะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาการทางสมอง
โดยเฉพาะของเด็ก และทารกในครรภ์
สิ่งหนึ่งซึ่งเป็นห่วงสำหรับการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เช่นนี้คือ
การกำหนดและการรักษาพื้นที่กันชนระหว่างเขตอุตสาหกรรมกับเขตชุมชน (หรือ
buffer zone) เพื่อป้องกันมลพิษทางอากาศและอุบัติสารเคมี
ดังเช่นที่ทราบกันดีในกรณีของนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดว่า
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงพื้นที่กันชนไปเป็นพื้นที่อุตสาหกรรม
และพื้นที่อุตสาหกรรมก็ขยายมาติดพื้นที่ชุมชน
จนทำให้มลพิษคุกคามชุมชนโดยตรง
และต้องมีการย้ายโรงเรียนและโรงพยาบาลในที่สุด
ส่วนในกรณีของนิคมอุตสาหกรรมทวาย จากการศึกษาแผนแม่บทของบริษัท
อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)
ยังไม่ปรากฏพบการจัดเตรียมพื้นที่กันชนไว้แต่อย่างใด
ถนนจากบริเวณชายแดนจ.กาญจนบุรี ไปยังทวาย ประเทศพม่า
3) ทรัพยากรน้ำ
แรงกดดันทางด้านทรัพยากรน้ำ
จะเกิดขึ้นทั้งจากความต้องการใช้น้ำของภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น
การปล่อยมลสารลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ
รวมถึงจากมลภาวะทางอากาศที่ถูกฝนชะล้างลงสู่แหล่งน้ำด้วย
และภาวะการขาดแคลนน้ำในแง่ของนิคมอุตสาหกรรม
หากนิคมอุตสาหกรรมทวายมีการเติบโตเต็มพื้นที่ 194 ตร.กม. ตามแผนที่วางไว้
ก็อาจจะมีความต้องการน้ำจืดสูงถึง 5.9 ล้านลบ.ม./วัน [36] หรือประมาณ 2,150
ล้านลบ.ม./ปี เพราะฉะนั้น อ่างเก็บน้ำขนาด 400-500 ล้านลบ.ม. ที่บริษัท
ทวาย ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด วางแผนก่อสร้างไว้จึงยังคงไม่เพียงพอ
และคงต้องมีการสร้างแหล่งกักเก็บน้ำขนาดใหญ่อื่นๆ อีกไม่น้อยกว่า 2 แห่ง
การสร้างเขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ในพื้นที่รอบๆ
ก็จะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศ และสังคมตามมา นอกจากนั้น
ยังอาจเกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำในบางช่วงเวลาด้วย
ในส่วนของน้ำเสีย
หากเทียบเคียงจากอัตราการปล่อยน้ำเสียที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด
นิคมอุตสาหกรรมทวายที่มีขนาดใหญ่กว่าก็จะปล่อยน้ำเสียมากถึง 1.5
ล้านลบ.ม./วัน หรือประมาณ 550 ล้านลบ.ม./ปี
เมื่อรวมกับความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะฝนกรดจากมลภาวะทางอากาศที่ได้กล่าวไป
แล้วข้างต้น
ผลกระทบทางด้านคุณภาพน้ำก็นับเป็นความเสี่ยงสำคัญที่ต้องมีการประเมินและ
ศึกษาให้รอบคอบก่อนที่จะดำเนินโครงการจริง
ประกอบกับสภาพภูมิศาสตร์ที่พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมทวายแห่งนี้จะตั้งอยู่
ทางตอนเหนือของเมืองทวาย ฉะนั้น หากเกิดภาวะน้ำเสีย หรือโลหะหนักปนเปื้อน
หรือภาวะน้ำขาดแคลนจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชน
ในเมืองทวาย
ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับทรัพยากรน้ำในพื้นที่จึงเป็นประเด็นปัญหาที่จะต้อง
ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก
นอกเหนือแหล่งน้ำจืดแล้ว
โรงไฟฟ้าถ่านหินยังมีการนำน้ำทะเลเข้ามาใช้ในการหล่อเย็นอีกไม่น้อยกว่า 20
ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน หรือประมาณ 6,700 ล้านลบ.ม./ปี [37] แม้ว่า
การนำน้ำทะเลเข้ามาใช้ในการหล่อเย็นจะไม่ทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำ
แต่ก็อาจส่งผลกระทบต่อทรัพยากรประมงทางชายฝั่ง
ซึ่งเป็นฐานทรัพยากรหลักของอาชีพประมงได้เช่นกัน
4) กากของเสีย
ผลกระทบอีกประการหนึ่งที่ติดตามมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้คือ
กากของเสียจำนวนมหาศาลจากภาคอุตสาหกรรม
โดยในการเผาไหม้ถ่านหินของโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 4,000 เมกะวัตต์
จะทำให้เกิดเถ้าถ่านหินถึงประมาณ 1.3 ล้านตัน/ปี นิคมอุตสาหกรรมขนาด 194
ตร.กม. จะทำให้เกิดกากของเสียอุตสาหกรรมถึง 757,000 ตัน/ปี [38]
และมีกากของเสียอันตรายที่จะต้องกำจัดอีกประมาณ 45 ตัน/ปี[39] นอกจากนั้น
ยังมีของเสียครัวเรือนในพื้นที่พักอาศัยอีกไม่น้อยกว่า 101,000
ตันต่อปี[40] รวมแล้วมีกากของเสียที่จะต้องจัดการไม่น้อยกว่า 2
ล้านตันในแต่ละปี
หากการจัดการกากของเสียไม่เป็นไปอย่างรอบคอบ และเข้มงวด
ก็จะเกิดการลักลอบทิ้งกากของเสีย และเกิดการปนเปื้อนสู่สิ่งแวดล้อม
เช่นน้ำใต้ดิน ดังที่เคยเกิดขึ้นในพื้นที่อุตสาหกรรมมาบตาพุด
5) ผลกระทบต่อชุมชนและวิถีชีวิต
จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินขนาดใหญ่จะส่งผลกระทบโดยตรงกับชุมชนไม่น้อยกว่า
20 หมูบ้าน และประชากรกว่า 32,000 คน ที่จะต้องโยกย้ายถิ่นฐาน
และเริ่มต้นอาชีพเกษตรกรรมในพื้นที่ใหม่
โดยเฉพาะชาวสวนที่ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าที่ต้นไม้จะให้ผลผลิตที่เป็นราย
ได้แก่ครัวเรือน
นอกจากนั้น
การพัฒนานิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ยังอาจส่งผลกระทบกับชุมชนที่อยู่รอบๆ นิคม
ทั้งโดยตรง (เช่น มลภาวะทางอากาศและมลภาวะทางน้ำ) และทางอ้อม (เช่น
การขาดแคลนทรัพยากรน้ำ การปนเปื้อนของมลสารในห่วงโซ่อาหาร
ความแตกต่างทางวัฒนธรรมของประชากรในพื้นที่กับประชากรที่อพยพเข้ามา
และความไม่เพียงพอของบริการสาธารณะในพื้นที่)
ทั้งยังอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงเมืองทวายที่อยู่ทางตอนล่างด้วยเช่นกัน
โดยเฉพาะหากเกิดความเสื่อมโทรมของทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำทวาย
จุดก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกทวาย
6) ผลกระทบในฝั่งประเทศไทย
แน่นอนว่า เนื่องจากนิคมอุตสาหกรรมนั้นตั้งขึ้นที่ชายฝั่งประเทศพม่า
ประกอบกับพรมแดนระหว่างประเทศไทยกับพม่าในบริเวณนี้
มีเทือกเขาตะนาวศรีเป็นภูเขาสูงกั้นอยู่
ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับทางฝั่งไทยจึงน้อยมาก
เมื่อเทียบกับที่ประชาชนชาวพม่าที่จะต้องกลายเป็นผู้แบกรับความเสี่ยงที่จะ
เกิดผลกระทบทางลบขึ้นในพื้นที่
อย่างไรก็ดี การสร้างเส้นทางคมนาคมขนส่งขนาดใหญ่ทั้งถนน ทางรถไฟ
ท่อน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และสายส่งไฟฟ้าแรงสูงพาดจากกรุงเทพ ผ่านนครปฐม
กาญจนบุรี ไปยังทวาย
ก็ทำให้มีผู้ห่วงกังวลกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในฝั่งไทยอย่างน้อย 2
ประเด็นด้วยกันคือ
• การตัดขาดพื้นที่ผืนป่าตะวันตก
ที่เคยเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ทอดยาวจากอ.อุ้มผาง จ.ตาก
ไปจนถึงเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ด้วยเส้นทางขนส่งขนาดใหญ่
ทำให้ความสมบูรณ์ของทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าอาจลดน้อยลงไป
• แนวทางหลวงใหม่ที่จะตัดผ่านจากบางใหญ่ไปจนถึงนครปฐม
อาจกั้นขวางเส้นทางการไหลของน้ำในพื้นที่ทุ่งพระพิมลในยามที่น้ำหลาก
และกลายเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับการจัดการน้ำในช่วงที่มีน้ำมากหรือเกิด
อุทกภัย
สรุปและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
เนื่องจากโครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวายเป็นโครงการขนาด
ใหญ่ ที่มีประเทศผู้ลงทุนและผู้ได้รับผลประโยชน์ในหลายประเทศ ขณะเดียวกัน
ก็เป็นโครงการที่มีโครงการย่อยๆ หลายโครงการ
ซึ่งอาจสร้างผลกระทบทางลบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนเป็นอย่างมาก
เช่นกัน
การเติบโตและความเชื่อมโยงของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจึงไม่ควรมุ่งหวังแต่ผล
ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และเพิกเฉยต่อข้อห่วงกังวลของประชาชน
รวมถึงไม่ควรละเลยความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจจะเกิดผลกระทบทางลบขึ้นในพื้นที่
ดังนั้น ก่อนที่จะดำเนินโครงการนี้ในลำดับต่อไป
ผู้ลงทุนและรัฐบาลทุกประเทศที่เกี่ยวข้องกับโครงการนี้
โดยเฉพาะรัฐบาลและผู้ลงทุนจากประเทศไทย
ซึ่งมีบทเรียนที่ชัดเจนเกี่ยวกับปัญหามลภาวะและสุขภาพที่มาบตาพุด
จึงควรให้ความสำคัญกับการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
โดยในเบื้องต้น
ผู้เขียนจะขอเสนอแนะแนวทางเบื้องต้นดังต่อไปนี้
1) การประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของโครงการนี้
จะต้องกระทำในลักษณะของการประเมินผลกระทบทางยุทธศาสตร์หรือ Strategic
Environmental Assessment (SEA) มิใช่การประเมินผลกระทบเป็นรายโครงการย่อย
เนื่องจากการประเมินผลกระทบเป็นรายโครงการย่อยจะแยกส่วน
และมองไม่เห็นผลกระทบสะสมหรือผลกระทบภาพรวม (หรือ cumulative impacts)
ที่เกิดขึ้นจากโครงการทั้งหมด
ที่มีต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในพื้นที่เลย
การประเมินผลกระทบทางยุทธศาสตร์ที่ดีจะช่วยให้เกิดการปรับปรุงแผนแม่บทของ
โครงการนี้ (รวมถึงการเลือกโครงการย่อยต่างๆ) ให้สอดคล้องกับสภาพทรัพยากร
ระบบนิเวศ และระบบวัฒนธรรมของพื้นที่ได้
2) การศึกษาเรื่องขีดความสามารถของทรัพยากรในการรองรับการขยายตัวทาง
เศรษฐกิจ และขีดความสามารถในการรองรับมลพิษ (หรือ Carrying capacity)
ทั้งทางทรัพยากรที่ดิน ทรัพยากรน้ำ คุณภาพอากาศ และทรัพยากรป่าไม้
เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก
ในการวางแผนและประเมินผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนในพื้นที่ มิฉะนั้น
จะเกิดปัญหาที่ตามมา คือ มีความต้องการใช้ทรัพยากร และมีการปล่อยมลสาร
จนเกินกว่าขีดความสามารถที่จะรองรับได้ ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นที่มาบตาพุด
3) เพื่อมิให้ประชาชนในพื้นที่เสียโอกาสในการพัฒนาที่ยั่งยืน
การประเมินผลกระทบต่างๆ ทั้งการประเมินผลกระทบในระดับยุทธศาสตร์
และการประเมินผลกระทบในโครงการย่อยควรพิจารณาแนวทางเลือกต่างๆ
ที่มีอยู่ให้รอบด้าน ตั้งแต่การเลือกพื้นที่โครงการ
การเลือกประเภทของอุตสาหกรรม (เช่นอุตสาหกรรมเหล็ก หรืออุตสาหกรรมอาหาร)
การเลือกเทคโนโลยีที่ใช้ (เช่น โรงไฟฟ้าถ่านหิน
หรือโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน)
มิใช่เป็นการประเมินผลกระทบตามกรอบของแผนแม่บทหรือแนวทางที่เจ้าของโครงการ
พัฒนาขึ้นแต่เพียงด้านเดียว
4) การดำเนินโครงการย่อยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับประเทศไทย
หรือที่เป็นประเทศไทยเป็นผู้รับประโยชน์โดยตรง เช่น โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน
ควรเป็นไปตามมาตรฐานเดียวกับที่ถือปฏิบัติในประเทศไทยเช่น
มีการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่เปิดให้ประชาชนในพื้นที่เข้า
ถึงข้อมูลและนำเสนอความคิดเห็นได้โดยตรง
เพื่อป้องกันมิให้เกิดผลกระทบทางลบกับประชาชนในประเทศเพื่อนบ้าน
จากโครงการที่ทำขึ้นเพื่อผลประโยชน์ของประเทศไทย
5) การประเมินผลกระทบจะต้องพิจารณาถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ทางสังคม
และทางสุขภาพที่จะเกิดขึ้น จากการอพยพโยกย้ายของประชาชน
ทั้งการโยกย้ายประชาชนในพื้นที่เดิม
และการอพยพของแรงงานและสมาชิกในครัวเรือนเข้ามาทำงานในนิคมอุตสาหกรรม
โดยจะต้องมีแผนพัฒนาชุมชนที่สอดคล้องกับระบบนิเวศและระบบวัฒนธรรม
รวมถึงวิถีการดำเนินชีวิตสำหรับประชากรทั้งสองกลุ่ม ขณะเดียวกัน
ก็ต้องเตรียมแผนป้องกันผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากมลภาวะและอุบัติภัยที่
ชัดเจน
และควรมีการกำหนดพื้นที่กันชนระหว่างนิคมอุตสาหกรรมและพื้นที่ชุมชนให้
ชัดเจน
6) เพื่อให้การประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม สังคม และสุขภาพตามข้อ 5)
เป็นไปอย่างถูกต้องและรัดกุม
รวมถึงสามารถให้ประชาชนได้เข้าถึงและนำเสนอข้อมูล ความคิดเห็นต่างๆ ตามข้อ
4) เจ้าของโครงการจะต้องเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับโครงการ
ทั้งในภาพรวมและในแต่ละโครงการย่อย
โดยข้อมูลที่เปิดเผยจะต้องครอบคลุมถึงความเสี่ยงและผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม
สังคม และสุขภาพที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการดังกล่าวด้วย
7) ภาคประชาชนในพื้นที่และภาคประชาสังคมในพม่าจะมีบทบาทสำคัญในการผลัก
ดันข้อห่วงกังวลและข้อเสนอแนะต่างๆ
ให้แปลงเป็นรูปธรรมในการดำเนินการที่จะคุ้มครองและสร้างเสริมสุขภาพของ
ประชาชนในพม่า
ภาคประชาชนในพื้นที่จึงควรศึกษาและเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับวิถีชีวิตและความ
ห่วงกังวลของประชาชนในพื้นที่
รวมถึงความมุ่งหวังและทางเลือกในการพัฒนาของประชาชนในพื้นที่
เพื่อให้ประชาคมอาเซียนได้รับทราบ
และร่วมกันสนับสนุนแนวทางการพัฒนาที่จะเอื้อต่อการมีสุขภาพที่ดีของประชาชน
ในทุกๆ ประเทศ และทุกๆ พื้นที่
โดยอาจดำเนินการในลักษณะของการประเมินผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชน (หรือ
Community HIA) ที่มีการดำเนินการในประเทศไทย ในการนี้
ภาคประชาชนและภาคประชาสังคมในประเทศไทย
ซึ่งมีประสบการณ์ในการพยายามแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและสุขภาพมาเป็นเวลากว่า
สองทศวรรษแล้ว
จะมีส่วนสำคัญในการแลกเปลี่ยนบทเรียนและประสบการณ์กับภาคประชาชนในพื้นที่
และภาคประชาสังคมในพม่า
8) การดำเนินโครงการขนาดใหญ่เช่นนี้อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและ
สุขภาพในระยะยาว
หน่วยงานของรัฐบาลกลางและหน่วยงานท้องถิ่นในพื้นที่จึงจำเป็นต้องเตรียมความ
พร้อมรับมือกับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นไว้ล่วงหน้า
ไม่ว่าจะเป็นการประเมินผลกระทบ การเฝ้าระวังมลพิษและอุบัติภัย
การเฝ้าระวังผลกระทบต่อสุขภาพ การตอบโต้อุบัติภัย
ความพร้อมของโรงพยาบาลและสถานบริการสุขภาพต่างๆ ดังนั้น
หากรัฐบาลไทยเห็นว่าโครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่างรัฐภายใต้กรอบของ
ประชาคมอาเซียนจริง
ก็ควรให้การสนับสนุนรัฐบาลพม่าในการสร้างกลไกและทรัพยากรบุคคลที่เพียงพอต่อ
การรับมือความเสี่ยงและผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นดังกล่าว
กรณีศึกษาการพัฒนาโครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวายเป็น
ตัวอย่างสำคัญที่บ่งชี้ให้เห็นว่า
การลงทุนในโครงการพัฒนาในอนาคตจะเป็นไปในลักษณะข้ามพรมแดน
ไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านในประชาคมอาเซียนมากยิ่งขึ้น ดังนั้น
การคุ้มครองและสร้างเสริมสุขภาพของประชาชนในอาเซียนก็จำเป็นต้องก้าวข้าม
พรมแดนด้วยเช่นกัน ผ่านกลไกการเรียนรู้ร่วมกัน
โดยใช้การประเมินผลกระทบทางสุขภาพเป็นเครื่องมือสำคัญ
ทั้งในระดับยุทธศาสตร์การพัฒนาในภาพรวม
ไปจนถึงยุทธศาสตร์การพัฒนาในแต่ละพื้นที่
ความท้าทายจึงขึ้นอยู่กับว่า
การพัฒนาการประเมินผลกระทบทางสุขภาพของภาคประชาชนในกลุ่มประเทศอาเซียน
ปัจจุบัน จะก้าวทันย่างก้าวอันรวดเร็วของผู้ลงทุนข้ามชาติได้มากน้อยเพียงใด
และสามารถประสานข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่างๆ
เข้าสู่การปรับทิศทางการพัฒนา
หรือแนวทางการวางแผนในโครงการลงทุนข้ามชาติเหล่านี้ได้มากน้อยเพียงใด
เป็นสำคัญ
________________________________________
[1] กรุงเทพธุรกิจ. 27 ธันวาคม 2554. “เจบิคเล็งปล่อยกู้3พันล.ดอลล์ สร้างท่าเรือ-นิคมฯทวายพม่า”
[2] กรุงเทพธุรกิจ. 27 ธันวาคม 2554. “ทุนข้ามชาติทะลักเข้าทวาย”
[3] พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด 5 นิคมรวมกัน 31 ตร.กม.
[4] กรุงเทพธุรกิจ. 27 ธันวาคม 2554. “ทุนข้ามชาติทะลักเข้าทวาย”
[5] กรุงเทพธุรกิจ. 27 ธันวาคม 2554. “เจบิคเล็งปล่อยกู้3พันล.ดอลล์ สร้างท่าเรือ-นิคมฯทวายพม่า”
[6] กรุงเทพธุรกิจ. 27 ธันวาคม 2554. “ทุนข้ามชาติทะลักเข้าทวาย”
[7] โพสต์ทูเดย์ 27 ธันวาคม 2554 . “ITDทุนอื้อไม่เพิ่มทุน”
[8] โพสต์ทูเดย์ 27 ธันวาคม 2554 . “ITDทุนอื้อไม่เพิ่มทุน”
[9] โพสต์ทูเดย์ 27 ธันวาคม 2554 . “ITDทุนอื้อไม่เพิ่มทุน”
[10] กรุงเทพธุรกิจ. 27 ธันวาคม 2554. “ทุนข้ามชาติทะลักเข้าทวาย”
[11] โพสต์ทูเดย์ 27 ธันวาคม 2554 . “ITDทุนอื้อไม่เพิ่มทุน”
[12] กรุงเทพธุรกิจ. 27 ธันวาคม 2554. “ทุนข้ามชาติทะลักเข้าทวาย”
[13] สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) 14 พฤศจิกายน 2554. “RATCH เซ็น MOU ร่วมมือ ITD สร้างโรงไฟฟ้ารวม 4 พันเมกะวัตต์ในนิคมฯทวาย”
[14] โพสต์ทูเดย์ 27 ธันวาคม 2554 . “ITDทุนอื้อไม่เพิ่มทุน”
[15] กรุงเทพธุรกิจ. 27 ธันวาคม 2554. “ทุนข้ามชาติทะลักเข้าทวาย”
[16] กรุงเทพธุรกิจ. 27 ธันวาคม 2554. “ทุนข้ามชาติทะลักเข้าทวาย”
[17] โพสต์ทูเดย์ 27 ธันวาคม 2554 . “ITDทุนอื้อไม่เพิ่มทุน”
[18] ไทยรัฐออนไลน์ 22 ธันวาคม 2554. “ปตท.เล็งลงทุนธุรกิจพลังงานนิคมอุตฯทวายในพม่า”
[19] กรุงเทพธุรกิจ. 27 ธันวาคม 2554. “ทุนข้ามชาติทะลักเข้าทวาย”
[20] กรุงเทพธุรกิจออนไลน์. 26 ธันวาคม 2554 “อิตาเลี่ยนไทยเชื่อนิคมฯทวายเป็นฮับคอนเทนเนอร์”
[21] กรุงเทพธุรกิจออนไลน์. 26 ธันวาคม 2554 “อิตาเลี่ยนไทยเชื่อนิคมฯทวายเป็นฮับคอนเทนเนอร์”
[22] กรุงเทพธุรกิจ. 27 ธันวาคม 2554. “ทุนข้ามชาติทะลักเข้าทวาย”
[23] กรุงเทพธุรกิจ. 27 ธันวาคม 2554. “ทุนข้ามชาติทะลักเข้าทวาย”
[24] กรุงเทพธุรกิจ. 26 ธันวาคม 2554 “ทล.เล็งผุดมอเตอร์เวย์4.5หมื่นล.เชื่อมทวาย”
[25] กรุงเทพธุรกิจออนไลน์. 26 ธันวาคม 2554 “อิตาเลี่ยนไทยเชื่อนิคมฯทวายเป็นฮับคอนเทนเนอร์”
[26] กรุงเทพธุรกิจ. 27 ธันวาคม 2554. “ทุนข้ามชาติทะลักเข้าทวาย”
[27] Dawei Development Association. 15 December 2011. Press Release
Disclosing the Desires of Local People on the Dawei Deep Seaport and
Special Economic Zone.
[28] Dawei Development Association. 15 December 2011. Press Release
Disclosing the Desires of Local People on the Dawei Deep Seaport and
Special Economic Zone.
[29] คำนวณจากค่าสัมประสิทธิ์มาตรฐานของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการผลิตไฟฟ้าโดยใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง เท่ากับ 0.96 กก./kWh
[30] ข้อมูลจาก
http://en.wikipedia.org/wiki/List_of_countries_by_carbon_dioxide_emissions
[31] ไม่รวมพื้นที่ชุมชนและพื้นที่อยู่อาศัย
[32] คำนวณจากอัตราการปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ของภาคอุตสาหกรรมที่
6.25 ตัน/ตร.กม./วัน (มูลนิธินโยบายสุขภาวะ, 2554, ฝัน ร่าง สร้าง ทำ:
ผังเมืองทางเลือกเพื่อสุขภาวะ)
[33] คำนวณจากอัตราการปล่อยก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจนจากภาคอุตสาหกรรมที่ 5.0 ตัน/ตร.กม./วัน (มูลนิธินโยบายสุขภาวะ, 2554, อ้างแล้ว)
[34] คำนวณจากอัตราการปล่อยฝุ่นละอองขนาดเล็กของภาคอุตสาหกรรมที่ 1.25 ตัน/ตร.กม./วัน (มูลนิธินโยบายสุขภาวะ, 2554, อ้างแล้ว)
[35] คำนวณจากค่าสัมประสิทธิ์มาตรฐานของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการผลิตไฟฟ้าโดยใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง
[36] คำนวณจากอัตราการใช้น้ำของภาคอุตสาหกรรมที่ 30,000 ลบ.ม./ตร.กม./วัน (มูลนิธินโยบายสุขภาวะ, 2554, อ้างแล้ว)
[37] คำนวณจากข้อมูลรายการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของโครงการ Gheco-one
[38] คำนวณจากอัตราการเกิดกากของเสียอุตสาหกรรมที่ 10.69 ตัน/ตร.กม./วัน (มูลนิธินโยบายสุขภาวะ, 2554, อ้างแล้ว)
[39] คำนวณจากอัตราการเกิดกากของเสียอันตรายที่ 0.64 ตัน/ตร.กม./วัน (มูลนิธินโยบายสุขภาวะ, 2554, อ้างแล้ว)
[40] คำนวณจากอัตราการเกิดขยะชุมชนที่ 1.43 ตัน/ตร.กม./วัน (มูลนิธินโยบายสุขภาวะ, 2554, อ้างแล้ว)
ขอบคุณภาพจาก Google, Greenpeace, salweennews.org,
ปรากฏในหน้าแรกที่:
ข่าวเจาะพาดหัว (สไลด์โชว์)
เปิด ‘HIA ทวาย’ เดชรัต สุขกำเนิด ชี้ผลกระทบอื้อ
ซัลเฟอร์ฯอ่วมปีละกว่า 4 แสนตัน ป่าตะวันตกถูกตัดขาด ถนนบางใหญ่-กาญจน์
ทำน้ำท่วมหนัก
นักวิชาการดังคณะเศรษฐศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ ‘เดชรัต
สุขกำเนิด’เปิดงานวิจัย HIA กับการลงทุนข้ามพรมแดน :
กรณีศึกษาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย
ประเทศพม่าหวังชี้ให้เห็นผลกระทบที่มีเพียบ ระบุ 6 ประเด็นหลักที่น่าห่วง
ตั้งแต่ก๊าซคาร์บอนฯปีละ 30 ล้านตัน ที่จะเกิดจากโรงไฟฟ้า ก๊าซซัลเฟอร์ฯ
จากนิคมอุตสาหกรรม ปีละกว่า 4 แสนตัน ใช้น้ำจืดวันละ 5.9 ล้านลบ.ม.
เถ้าถ่านหินปีละ 1.3 ล้านตัน ขยะอุตสาหกรรมกว่าปีละ 7 แสนตัน
ชุมชนชาวพม่าได้รับผลกระทบกว่า 20 หมู่บ้าน 3.2 หมื่นคน ส่วนในฝั่งไทย
ผืนป่าตะวันตกอาจถูกตัดขาด และแนวถนนสายใหม่จากบางใหญ่
จ.นนทบุรี-นครปฐม-กาญจนบุรี จะขวางทางน้ำหลาก
หวั่นเกิดน้ำท่วมหนักอีกในอนาคต
โดย วรลักษณ์ ศรีใย ศูนย์ข่าว TCIJ
ดร.เดชรัตน์ สุขกำเนิด อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้สัมภาษณ์ศูนย์ข่าว TCIJ ถึงงานวิจัย เรื่อง HIA
กับการลงทุนข้ามพรมแดน : กรณีศึกษาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย
ประเทศพม่า ว่า จุดประสงค์ของการทำงานวิจัยชิ้นนี้
เพื่อเป็นข้อมูลให้กับภาคประชาสังคมในประเทศพม่า
ซึ่งก่อนหน้านี้ภาคประชาสังคมของพม่าเคยมาอบรมที่เสมสิกขาลัย ประเทศไทย
และมีการหารือกันในประเด็นนี้อีกหลายครั้ง
ว่าจะทำอย่างไรจึงจะมีการศึกษาถึงผลกระทบบ้าง
พร้อมทั้งขอให้ช่วยทำงานวิจัยชิ้นนี้ขึ้นมา
และจากนี้ต่อไปตนจะมีการแปลเป็นภาษาอังกฤษและส่งให้ภาคประชาสังคมของพม่าต่อ
ไป
งานวิจัยชิ้นนี้นับว่าเป็นต้นแบบการจัดทำ HIA (Health Impact Assessment) ได้
ในระดับหนึ่ง มีองค์ประกอบการศึกษาเกือบทุกด้าน แต่อาจจะขาดในเรื่องพื้นที่
เนื่องจากไม่ได้เห็นพื้นที่จริง
แต่การศึกษาได้ใช้พื้นที่ในประเทศไทยที่ใกล้เคียง เป็นตัวอย่างในการศึกษา
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทางการของประเทศพม่าจะเชื่อถืองานวิจัยฉบับนี้หรือไม่
ดร.เดชรัตน์กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ภาคประชาสังคมพม่าต้องทำงานต่อไป
โดยการนำเสนอกับรัฐบาลพม่า ส่วนบริษัทของไทยที่เข้าไปลงทุนในโครงการนี้
คงจะได้รับทราบเนื้อหาของงานวิจัย จากการเผยแพร่ผ่านสื่อต่างๆ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับงานวิจัยดังกล่าว มีทั้งหมด 15 หน้า
โดยเบื้องต้นเป็นการกล่าวถึงข้อมูลเบื้องต้นของโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำ
ลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย ในประเทศพม่า
พร้อมคำสัมภาษณ์นักลงทุนและผู้เกี่ยวข้องจากประเทศไทย
พร้อมทั้งผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
จากนั้นเป็นบทสรุปและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
(ฉบับเต็ม)
HIA กับการลงทุนข้ามพรมแดน : กรณีศึกษาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย ประเทศพม่า
บทนำ
ในขณะที่ประเทศทั้ง 10
ประเทศในสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือ ASEAN
กำลังนับถอยหลังเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปีพ.ศ.2558
การเชื่อมโยงกันของระบบเศรษฐกิจ การค้า
และการลงทุนในประเทศเหล่านี้ก็กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ตัวเรา
และเริ่มปรากฏเป็นรูปเป็นร่างแจ่มชัดขึ้นทุกทีเช่นกัน
การลงทุนทางโครงสร้างพื้นฐานและการลงทุนของภาคอุตสาหกรรมเริ่มปรับตัวสู่การ
ลงทุนแบบข้ามพรมแดน ซึ่งนำไปสู่การขยายโอกาสใหม่ๆ ทางการค้าและทางเศรษฐกิจ
แต่ผลกระทบทางสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่จะเกิดขึ้นจากการขยายพรมแดนการค้าและ
การลงทุนในกลุ่มอาเซียน ทั้งทางบวกและทางลบ
กลับยังไม่ได้มีการหารือและศึกษากันอย่างจริงจังแต่อย่างใด
โครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย ประเทศพม่า
เป็นหนึ่งในรูปธรรมของการขยายการลงทุนข้ามพรมแดนจากประเทศไทยสู่ประเทศพม่า
เพื่อที่จะนำทรัพยากรพลังงานและผลผลิตต่างๆ
กลับมาหล่อเลี้ยงการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศไทย
ทั้งยังมีแนวคิดที่จะเชื่อมโยงเส้นทางการคมนาคมจากประเทศพม่า ผ่านประเทศไทย
ไปสู่ประเทศกัมพูชาและเวียดนามอีกด้วย
โครงการนี้จึงเป็นเสมือนรูปธรรมที่ชัดเจนอย่างหนึ่งของการเปิดประชาคม
เศรษฐกิจอาเซียน โครงการนี้จึงได้รับความสนใจจากผู้ร่วมลงทุนหลายประเทศ
และได้รับการสนับสนุนทางนโยบายจากรัฐบาลพม่าและรัฐบาลไทย
ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลที่ผ่านมา (รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ)
หรือรัฐบาลปัจจุบัน (รัฐบา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ก็ตาม
บทความนี้จะเริ่มต้นด้วยการประมวลข่าวความคืบหน้าในการลงทุนในโครงการนี้
ทั้งในเชิงภาพรวมของโครงการ และในโครงการย่อยที่สำคัญต่างๆ
รวมไปถึงการขยายแนวคิดเรื่องเส้นทางคมนาคมเชื่อมโยงภูมิภาค
และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในมุมมองของเจ้าของโครงการ จากนั้น
บทความนี้จะเริ่มต้นฉายภาพให้เห็นถึงผลกระทบทางลบที่อาจจะเกิดขึ้น
และจำเป็นที่จะต้องได้รับการประเมินความเสี่ยงและการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวด
ล้อมและสุขภาพในภาพรวมหรือในระดับยุทธศาสตร์
ก่อนที่จะดำเนินการโครงการตามแผนที่วางไว้
สุดท้ายบทความนี้จะเสนอข้อเสนอแนะที่น่าจะเป็นประโยชน์การคุ้มครองและการ
สร้างเสริมสุขภาพของประชาชนทั้งสองประเทศ
ผ่านกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันที่เรียกว่า การประเมินผลกระทบทางสุขภาพหรือ
HIA นั่นเอง
รูปแบบการลงทุนในภาพรวมของโครงการ
เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2554 นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหาร บริษัท
อิตาเลียนไทย ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน)
เปิดเผยความคืบหน้าโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย
พื้นที่ 250 ตร.กม.ในประเทศพม่ากับสื่อมวลชนว่า บริษัท ทวาย ดีเวลล็อปเมนท์
จำกัด หรือ ดีดีซี ซึ่งปัจจุบันอิตาเลียนไทยฯ ถือหุ้น 100%
จะเป็นผู้ดำเนินโครงการพัฒนา และจัดหาผู้ร่วมลงทุนในแต่ละโครงการ
โดยขณะนี้นักลงทุนพม่าแสดงความจำนงถือหุ้นดีดีซีแล้ว 25% และในระยะต่อไป
บ.อิตาเลียนไทยฯ จะลดสัดส่วนหุ้นในดีดีซีเหลือ 51% [1]
บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) อ้างว่าได้ใช้เวลา 16
ปี
ในการศึกษาโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวายในประเทศพม่า
เพราะเห็นว่าเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่เหมาะต่อการลงทุน
รองรับการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในอนาคต กระทั่งเมื่อวันที่ 2 พ.ย. 2553
รัฐบาลพม่าได้ลงนามสัญญากับอิตาเลียนไทยฯ
เพื่อให้สิทธิในการพัฒนาพื้นที่เป็นเวลา 75 ปี ซึ่งบ. อิตาเลียนไทยฯ
ได้จัดตั้งบริษัท ทวาย ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ทุนจดทะเบียน 100 ล้านดอลลาร์
เพื่อพัฒนาโครงการนี้ [2]
นายสมเจตน์ ทิณพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทวาย ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด
ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจว่า
บริษัทได้รับอนุญาตจากรัฐบาลพม่าให้พัฒนาโครงการดังกล่าวบนพื้นที่ 250
ตร.กม. หรือประมาณ 2 แสนไร่ ใหญ่กว่านิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด 10 เท่า[3]
ปัจจุบันรัฐบาลพม่าได้ประกาศให้พื้นที่โครงการเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ (Dawei
Special Economic Zone) หรือ DSEZ แล้ว
ส่งผลให้เป็นพื้นที่ส่วนราชการแบบเบ็ดเสร็จ (One-Stop Service)
เพื่อลดขั้นตอนการดำเนินงานให้เกิดความคล่องตัวมากที่สุด
รวมทั้งการให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ รวมทั้งมาตรการด้านภาษี
เพื่อจูงใจนักลงทุน [4]
การลงทุนโครงการระยะแรก ดีดีซีจะก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกในพื้นที่ 6,100
ไร่ ก่อสร้างถนนจากทวายมายังชายแดนไทย-พม่า บริเวณ จ.กาญจนบุรี ระยะทาง 132
กม. ขนาด 4 ช่องจราจร รวมทั้งก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน ขนาด 4,000
เมกะวัตต์ ในพื้นที่ 2,300 ไร่ และระบบสาธารณูปโภคต่างๆ [5]
ทั้งนี้ การพัฒนาโครงการระยะแรกจะใช้เงินลงทุน 2.4 แสนล้านบาท
ใช้เวลาดำเนินการ 4 ปี 6 เดือน ประกอบด้วย
โครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกที่ใหญ่ที่สุดในโลก
รองรับสินค้าคอนเทนเนอร์ปีละ 20 ล้านตัน หรือ 2 เท่าของท่าเรือแหลมฉบัง
ระยะต่อไปจะพัฒนาให้รองรับได้ถึงปีละ 100 ล้านตัน [6]
ที่ผ่านมา นายสมเจตน์เล่าว่า
บริษัทได้สำรวจพื้นที่โครงการทั้งบนบกและในทะเลแล้ว
ทั้งพื้นที่แนวราบและแนวตั้ง ได้ก่อสร้างถนนชั่วคราว
เพื่อใช้ขนส่งวัสดุอุปกรณ์และเครื่องมือในการก่อสร้างจากกาญจนบุรีไปยังทวาย
ในอนาคตจะพัฒนาเป็นถนนขนาด 4 ช่องจราจร
รวมทั้งการสำรวจพื้นที่เพื่อก่อสร้างอ่างเก็บน้ำ ขนาด 500 ล้านลูกบาศก์เมตร
อยู่ห่างจากนิคมฯ 18 กม. ทั้งนี้ SCB เป็นผู้ให้กู้เบื้องต้น 4,000
ล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับสนับสนุนการดำเนินงานปัจจุบันทั้งศึกษาและจ้างที่ปรึกษา [7]
การลงทุนข้ามพรมแดนในโครงการย่อยต่างๆ
การลงทุนโครงการท่าเรือและนิคมฯทวาย
ถือเป็นการลงทุนในต่างประเทศของนักลงทุนไทย หรือ Offshore Investment
ซึ่งเป็นแนวนโยบายที่รัฐบาลไทยส่งเสริมและสนับสนุนมาตลอด
และยิ่งให้ความสำคัญมากขึ้น เพราะเป็นส่วนหนึ่งของการนำรายได้เข้าประเทศ
จะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
เช่นเดียวกับประเทศที่มีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น จีน
ก็สนับสนุนให้มีโครงการลงทุนในต่างประเทศเช่นกัน ดังนั้น
การลงทุนในโครงการย่อยต่างๆ ในโครงการนิคมอุตสาหกรรมทวาย
จึงเป็นการร่วมลงทุนของนักลงทุนรายใหญ่จากหลากหลายประเทศ
ดังที่จะนำเสนอรายละเอียดของโครงการย่อยที่สำคัญ ดังนี้
โครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกและถนน มูลค่าเงินลงทุน 3,500
ล้านเหรียญสหรัฐ
ที่ได้รับการสนับสนุนเงินกู้จากธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่ง
ญี่ปุ่น (เจบิก) 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ระยะ 20 ปี อัตราดอกเบี้ย 12.3%
ผ่านธนาคารขนาดใหญ่ของไทย คือ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไทยพาณิชย์
ธนาคารกรุงไทย และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย [8]
โครงการท่าเรือดังกล่าว DDC ถือหุ้นทั้งหมด มีพื้นที่ 6,000 ไร่
ขณะนี้ตั้งบริษัทลูกแล้ว
โดยการแปลงที่ดินเป็นทุนและอยู่ระหว่างการหาผู้ร่วมทุน คาดว่าจะเป็นญี่ปุ่น
โดยมีต่างชาติ 3 รายแสดงความสนใจเข้ามาแล้ว ส่วนโครงการสร้างรถไฟ มูลค่า
2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ DDC กำลังตัดสินใจว่าจะกู้เงินจากจีนหรือญี่ปุ่น [9]
โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 4 พันเมกะวัตต์ พื้นที่ 2,300 ไร่
มูลค่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ จะส่งเข้ามาจำหน่ายในไทยประมาณ 3,600 เมกะวัตต์
ส่วนที่เหลือใช้ในพม่า [10] ล่าสุดบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด
(มหาชน) ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ของประเทศไทย ยืนยันจะร่วมถือหุ้น 30%
เพื่อลงทุนโรงไฟฟ้า DDC ถือหุ้น 40 %
ที่เหลือเป็นผู้ร่วมทุนเชิงกลยุทธ์ที่คาดว่าจะเป็นญี่ปุ่น [11]
ส่วนแหล่งถ่านหิน จะนำมาจากเกาะสุมาตราในอินโดนีเซีย [12]
นายนพพล มิลินทางกูร กรรมการผู้จัดการใหญ่
บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง(RATCH) กล่าวว่า
ในระยะแรกบริษัทจะลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้า SPP ขนาดโรงละ 130 เมกะวัตต์ รวม 3
โรง หรือราว 400 เมกะวัตต์ เพื่อจำหน่ายภายในนิคมฯ
โดยคาดว่าจะผลิตเชิงพาณิชย์ได้ปี 57 ใช้ถ่านหินเป็นพลังงาน ดังนั้น
บริษัทคาดว่าธุรกิจการจัดหาถ่านหินและท่าเทียบเรือในอนาคตน่าจะมีความร่วม
มือกันเพิ่มเติม [13]
ส่วนโครงการก่อสร้างโรงเหล็กขนาดใหญ่ 1.3 หมื่นไร่
มีการจดทะเบียนจัดตั้งแล้วเช่นกัน [14] โดยการแปลงที่ดินเป็นทุน
และมีบริษัทผู้ผลิตเหล็กชั้นนำของโลกสนใจเข้าร่วมทุนหลายราย อาทิ กลุ่ม
Posco จากเกาหลี กลุ่ม Mittal จากอินเดีย และกลุ่ม Nippon Steel จากญี่ปุ่น
ปัจจุบัน อยู่ในระหว่างการเจรจารายละเอียด [15]
ขณะที่โครงการก่อสร้างปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์
กำลังเจรจากับนักลงทุนหลายราย เช่น กลุ่มมิตซูบิชิ กลุ่มโตโย กลุ่มโตคิว
รวมทั้งบริษัทในคูเวต และกาตาร์ การก่อสร้างโรงงานต่างๆ
จะแล้วเสร็จและเปิดดำเนินการภายใน 3 ปี นับจากเดือนม.ค. 2555 [16]
เช่นเดียวกับบริษัทร่วมทุนโรงกลั่นน้ำมันและก๊าซ ประมาณ 4,000-5,000 ไร่
ก็เริ่มมีบริษัทสนใจแล้วเช่นกัน [17]
นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ปตท.
จำกัด (มหาชน) บริษัทพลังงานที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย
เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า “ปตท.สนใจการลงทุนในพม่า
เพราะมีศักยภาพด้านพลังงานน้ำและถ่านหิน
รวมถึงพม่ากำลังมีโครงการนิคมอุตสาหกรรมทวาย
ที่จะมีการลงทุนในท่าเรือน้ำลึก ขนส่งทางถนน ขนส่งทางท่อ และโรงไฟฟ้า
โดยจะมีรูปแบบการลงทุนเช่นเดียวกับโครงการเซาท์เทิร์นซีบอร์ดของไทย ซึ่ง
ปตท.สนใจลงทุนเกี่ยวกับธุรกิจพลังงานในนิคมเหล่านี้” [18]
นายสมเจตน์ ทิณพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทวาย ดีเวล้อปเมนท์ จำกัด
เจ้าของโครงการย้ำว่า
สิ่งที่รัฐบาลไทยควรเร่งจัดหาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้นักลงทุนไทย
ที่ต้องการลงทุนโครงการในนิคมฯทวาย
และการให้สิทธิประโยชน์หรือการส่งเสริมการลงทุน
ซึ่งคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอ ต้องเร่งออกกฎหมาย
เพื่อให้นักลงทุนไทยสามารถลงทุนในต่างประเทศได้ดียิ่งขึ้น [19]
ท่าเรือชั่วคราวเพื่อใช้ในการขนส่งระหว่างก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย
ยุทธศาสตร์โลจิสติกส์ของภูมิภาค
นายเปรมชัย กรรณสูตร ประธานกรรมการบริหารบริษัท อิตาเลี่ยนไทย
ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน)
เปิดเผยถึงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกทวายและนิคมอุตสาหกรรมว่า
โครงการดังกล่าวคิดและพัฒนาโดยประเทศญี่ปุ่น เรียกว่า GMS southern
corridor เพื่อเชื่อมโยงการพัฒนาประเทศในภูมิภาคเอเชีย ทั้งประเทศจีน
เวียดนาม สปป.สาว และ กัมพูชา นายเปรมชัยเชื่อว่า
โครงการที่เรือนำลึกทวายจะเป็นฮับคอนเทนเนอร์
ที่สามารถกระจายสินค้าไปยังภูมิภาคต่างๆได้ เช่น ประเทศอินเดีย บังคลาเทศ
จนถึงแอฟริกาใต้ได้ ซึ่งสามารถประหยัดเวลา 4-5 วัน
จากเดิมที่ต้องผ่านประเทศสิงคโปร์ [20]
นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหาร บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์
จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สาเหตุที่เลือกเขตพื้นที่ทวายเป็นเขตนิคมอุตสาหกรรม
คือ ระบบคมนาคมทางถนนจากกรุงเทพมหานครมายังเขตทวายมีระยะทางประมาณ 300
กิโลเมตร ซึ่งใช้ระยะเวลาในการเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง
ซึ่งสอดคล้องกับแผนการพัฒนาระบบทางของรัฐบาล
และมีพื้นที่เพื่อสร้างเขื่อนอ่างเก็บน้ำ บริเวณแม่น้ำทวาย รองรับน้ำได้ถึง
400 ล้านลิตร สามารถใช้ได้ทั้งปี [21]
ประเทศไทยจะมีเส้นทางขนส่งออกสู่ทะเลอันดามันเพิ่มขึ้น
โดยระยะเวลาการขนส่งจะลดลง
เพราะพม่าจะก่อสร้างถนนจากท่าเรือผ่านนิคมฯทวายมายังบ้านพุน้ำร้อน
จ.กาญจนบุรี สอดรับกับแผนงานของกรมทางหลวง
ซึ่งมีแผนก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหรือมอเตอร์เวย์จากบาง
ใหญ่-นครปฐม-กาญจนบุรี เชื่อมต่อกับเส้นทางดังกล่าว
และเส้นทางนี้สามารถเชื่อมต่อไปยังกัมพูชา ผ่านเมืองศรีโสภณ เสียมเรียบ
พนมเปญ และเชื่อมต่อไปยังเวียดนาม โดยผ่านโฮจิมินห์
เพื่อออกสู่มหาสมุทรแปซิฟิก [22]
นายสมเจตน์ ทิณพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทวาย ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด
ย้ำว่าสิ่งที่รัฐบาลไทยควรเร่งดำเนินการคือ
ผลักดันโครงการก่อสร้างมอเตอร์เวย์บางใหญ่-นครปฐม-กาญจนบุรี
เพื่อเชื่อมต่อไปยังท่าเรือและนิคมฯทวาย
สร้างระบบโลจิสติกส์รองรับการค้าการลงทุนและการขนส่งในอนาคต [23]
ล่าสุด นายวันชัย ภาคลักษณ์ อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า
กรมทางหลวงได้สำรวจและออกแบบรายละเอียดโครงการ โดยแล้วเสร็จตั้งแต่ปี 2552
และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้ให้ความเห็นชอบรายงานผลกระทบสิ่งแวด
ล้อมในช่วงบางใหญ่-บ้านโป่ง ตั้งแต่ปี 2541 ส่วนช่วงบ้านโป่ง-กาญจนบุรี
ได้รับความเห็นชอบตั้งแต่ปี 2546 ปัจจุบันกรมทางหลวง
อยู่ระหว่างศึกษาแนวทางและรูปแบบการลงทุนโครงการในรูปแบบ Public Private
Partnership หรือ PPPs โดยให้เอกชนร่วมลงทุน
ซึ่งได้รับการสนับสนุนด้านวิชาการในการศึกษาจากธนาคารพัฒนาเอเชียหรือเอดีบี
คาดว่าผลการศึกษาจะแล้วเสร็จภายในปี 2555 [24]
ทั้งนี้ เพื่อให้การเชื่อมต่อมอเตอร์เวย์สายบางใหญ่-นครปฐม-กาญจนบุรี
สามารถเชื่อมต่อไปถึงชายแดนพม่าได้ นายวันชัย ภาคลักษณ์ อธิบดีกรมทางหลวง
ระบุว่า กรมทางหลวงได้จ้างบริษัทศึกษาความเหมาะสมทางด้านเศรษฐกิจ วิศวกรรม
และผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการมอเตอร์เวย์สายกาญจนบุรี-ชายแดนไทย-พม่า
ที่บ้านพุน้ำร้อน ระยะทางประมาณ 70 กม. ตามที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณปี
2555 คาดว่าจะใช้เวลาศึกษาประมาณ 1 ปี
ผลกระทบในมุมมองของผู้ลงทุน
นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหาร บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์
จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงผลกระทบในด้านบวกจากโครงการดังกล่าวว่า
โครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวายมีแผนการสร้างที่อยู่อาศัยภายใน
โครงการกว่า 2 แสนยูนิต สำหรับประชากร 2 ล้านคน
ซึ่งหากโครงการแล้วเสร็จท่าเรือน้ำลึกทวายและนิคมอุตสาหกรรม
จะสามารถรองรับแรงงานได้ถึง 6 แสนคน [25]
อย่างไรก็ตาม นายสมเจตน์ ทิณพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทวาย
ดีเวล้อปเมนท์ จำกัด ได้ชี้ให้เห็นข้อควรระวังของการลงทุนในพม่าว่า
การลงทุนจะต้องไม่มีผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
ซึ่งเป็นประเด็นที่รัฐบาลและประชาชนพม่าให้ความสำคัญมาก
นักลงทุนจึงต้องดำเนินการตามกฎระเบียบและกติกาต่างๆ อย่างเคร่งครัด
โดยเฉพาะการลงทุนอุตสาหกรรมหนัก แม้ต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้นก็ตาม
จะเห็นว่าที่ผ่านมาพม่าสั่งระงับโครงการก่อสร้างเขื่อนมูลค่า 1.2
แสนล้านบาทในแม่น้ำอิระวดี เป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน
เพราะการสร้างเขื่อนจะมีผลต่อกระแสน้ำในแม่น้ำอิระวดี
จึงได้รับการต่อต้านจากประชาชนที่ได้รับผลกระทบ เพราะฉะนั้น
นายสมเจตน์จึงย้ำว่า นักลงทุนและบริษัทจะต้องทำตามกติกาโลก เช่น กลุ่ม
Posco ของเกาหลีใช้เวลากว่า 7 ปี
กว่าจะได้ก่อสร้างโรงงานเหล็กในนิคมฯโอริสสาของประเทศอินเดีย [26]
ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับทวาย
ทวายหรือ Dawei (เดิมเรียกว่า Tavoy)
ในภาษาอังกฤษเป็นเมืองหลวงของแคว้นตะนาวศรี (หรือ Tanintharyi region)
ในประเทศพม่า มีจำนวนประชากรราว 5 แสนคน มีกลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่มได้แก่
ทวาย มอญ กระเหรี่ยง และอื่นๆ ภาษาหลักที่ใช้คือ ภาษาทวาย [27]
พื้นที่ที่เป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมเรียกว่า Nabule แขวง Yebyu
เขตเมืองทวาย ในพื้นที่ 250 ตร.กม. ที่มาทำเป็นนิคมอุตสาหกรรม
จะต้องเวนคืนที่ดินและอพยพประชาชนกว่า 20 หมู่บ้าน ประมาณ 4,000
หลังคาเรือน และมีจำนวนประชากรที่จะต้องอพยพประมาณ 32,000 คน
ประชาชนเหล่านี้ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมและประมง เช่น สวนผลไม้ สวนยาง
คล้ายกับภาคใต้ของประเทศไทย
ประชาชนในพื้นที่อพยพส่วนใหญ่ทราบเรื่องที่จะต้องอพยพออกจากพื้นที่
แต่จากการบอกเล่าของผู้แทนประชาชนจากประเทศพม่าที่มาประชุมในประเทศไทย
เมื่อเดือนธ.ค. 2554 ที่ผ่านมา พบว่า
ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่ทราบเรื่องการจ่ายค่าชดเชย
และความพร้อมของสถานที่รองรับการอพยพ
ขณะเดียวกัน
ประชาชนและภาคประชาสังคมในพม่าก็เริ่มแสดงความห่วงกังวลกับผลกระทบทางสิ่ง
แวดล้อมและสุขภาพที่จะเกิดขึ้นจากโครงการนี้
และเรียกร้องให้มีการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคมตามาตรฐานสากล
และผ่านกระบวนการปรึกษาหารือกับประชาชนในพื้นที่ [28]
ผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น
การสร้างนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่มักจะก่อให้เกิดผลกระทบในหลายด้าน
เพื่อที่จะช่วยชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากการพัฒนานิคม
อุตสาหกรรมทวาย
ผู้เขียนจึงได้จำลองอัตราของผลกระทบแต่ละด้านเมื่อเทียบกับพื้นที่และขนาด
การผลิต
โดยเทียบเคียงจากเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตและการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมมาบตา
พุด
ดังนั้น
การประมาณการณ์ผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นในบทความนี้จึงเป็นการประมาณอย่าง
คร่าวๆ
เพื่อจุดประเด็นและจุดประกายให้เห็นถึงความสำคัญในการประเมินผลกระทบทาง
สุขภาพในเชิงยุทธศาสตร์อย่างจริงจัง ก่อนที่จะพัฒนาโครงการย่อยต่างๆ
ตามที่บริษัทเจ้าของโครงการได้วางแผนไว้
เพื่อป้องกันมิให้เกิดผลกระทบเช่นเดียวกับที่ประชาชนในเขตนิคมอุตสาหกรรมมาบ
ตาพุด (ซึ่งมีพื้นที่เล็กกว่านิคมอุตสาหกรรมทวายมาก)
ต้องแบกรับมาเป็นเวลานาน
1) การปล่อยก๊าซเรือนกระจก
การก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาดใหญ่ ในเขตนิคมอุตสาหกรรมทวาย
ย่อมส่งผลกระทบทางลบอย่างมากต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
อันเป็นต้นเหตุของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก
เพราะถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงที่เมื่อเผาไหม้แล้วจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศมากกว่าเชื้อเพลิงอื่นๆ
ทั้งนี้ ประมาณการณ์ในเบื้องต้นว่า
เมื่อโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งนี้เดินเครื่องเต็มกำลังการผลิต 4,000
เมกะวัตต์แล้ว โรงไฟฟ้าแห่งนี้จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากถึง 30
ล้านตัน/ปี[29]
ซึ่งเป็นปริมาณที่มากกว่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของประเทศพม่าทั้ง
ประเทศในปีพ.ศ. 2551 ถึง 2 เท่า (ปีพ.ศ. 2551
ประเทศพม่าปล่อยก๊าซเรือนกระจก 12.8
ล้านตันเทียบเท่าคาร์บอนไดออกไซด์/ปี[30]) และเนื่องจากประมาณร้อยละ 90
ของไฟฟ้าที่ผลิตได้จะถูกส่งมายังประเทศไทย
โครงการนี้จึงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการผลักภาระทางด้านสิ่งแวดล้อมให้กับ
ประเทศเพื่อนบ้าน
ทั้งนี้ ยังไม่รวมถึงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากอุตสาหกรรมอื่นๆ
ที่ใช้พลังงานเข้มข้นและเป็นต้นเหตุหลักของก๊าซปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น
อุตสาหกรรมถลุงเหล็ก อุตสาหกรรมผลิตปุ๋ยเคมี และอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้สูงว่า
ประเทศพม่าจะมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 4-5
เท่าของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปัจจุบัน
ภายหลังจากการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมทวายเต็มรูปแบบ
2) มลภาวะทางอากาศ
นอกเหนือจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้ว
การพัฒนานิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ยังนำมาซึ่งการปลดปล่อยมลสารหลายชนิดที่กลาย
เป็นมลภาวะทางอากาศด้วย
หากเทียบเคียงจากประสบการณ์ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด
การพัฒนาพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ถึง 194 ตร.กม.[31] ในเขตทวาย
อาจนำไปสู่การปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ได้มากถึง 442,560 ตัน/ปี[32]
ก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจนได้มากถึง 354,000 ตัน/ปี[33]
และฝุ่นละอองขนาดเล็กอีกไม่น้อยกว่า 88,500 ตัน/ปี[34]
ทั้งนี้ ยังไม่นับรวมถึงการปล่อยมลสารของโรงไฟฟ้าถ่านหิน 4,000
เมกะวัตต์ ซึ่งในการเผาไหม้ถ่านหินประมาณ 11 ล้านตัน/ปี
ก็อาจจะปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ได้มากถึง 118,000 ตัน/ปี
ก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจนได้มากถึง 119,000 ตัน/ปี รวมทั้ง
ฝุ่นละอองขนาดเล็กอีกไม่น้อยกว่า 10,300 ตัน/ปี[35]
การเพิ่มขึ้นของมลสารที่เป็นต้นเหตุของภาวะฝนกรดประมาณ 1 ล้านตัน/ปี
และฝุ่นละอองขนาดเล็กอีกกว่า 1 แสนตัน/ปี
จะกลายเป็นแรงกดดันสำคัญให้เกิดปัญหามลภาวะทางอากาศขึ้นในพื้นที่
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ด้วยสภาพภูมิประเทศของทวายที่มีเทือกเขาตะนาวศรีเป็นภูเขาสูงขนาบทางทิศ
ตะวันออก ทำให้สภาพมลภาวะทางอากาศสะสมอยู่ในพื้นที่
และอาจจะส่งผลกระทบทางลบอย่างมาก
ทั้งต่อการทำการเกษตรและสุขภาพของประชาชนในพื้นที่
นอกจากมลสารที่ทำให้เกิดฝนกรดแล้ว การปล่อยมลสารประเภทโลหะหนักเช่น ปรอท
จากโรงไฟฟ้าถ่านหิน ซึ่งอาจจะมีปริมาณสูงถึง 10,000 กิโลกรัมในแต่ละปี
โลหะหนักเหล่านี้จะถูกฝนชะล้างลงสู่แหล่งน้ำ
และสะสมในสัตว์น้ำและในห่วงโซ่อาหาร
เมื่อมนุษย์นำสัตว์น้ำมาบริโภคก็จะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาการทางสมอง
โดยเฉพาะของเด็ก และทารกในครรภ์
สิ่งหนึ่งซึ่งเป็นห่วงสำหรับการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เช่นนี้คือ
การกำหนดและการรักษาพื้นที่กันชนระหว่างเขตอุตสาหกรรมกับเขตชุมชน (หรือ
buffer zone) เพื่อป้องกันมลพิษทางอากาศและอุบัติสารเคมี
ดังเช่นที่ทราบกันดีในกรณีของนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดว่า
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงพื้นที่กันชนไปเป็นพื้นที่อุตสาหกรรม
และพื้นที่อุตสาหกรรมก็ขยายมาติดพื้นที่ชุมชน
จนทำให้มลพิษคุกคามชุมชนโดยตรง
และต้องมีการย้ายโรงเรียนและโรงพยาบาลในที่สุด
ส่วนในกรณีของนิคมอุตสาหกรรมทวาย จากการศึกษาแผนแม่บทของบริษัท
อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)
ยังไม่ปรากฏพบการจัดเตรียมพื้นที่กันชนไว้แต่อย่างใด
ถนนจากบริเวณชายแดนจ.กาญจนบุรี ไปยังทวาย ประเทศพม่า
3) ทรัพยากรน้ำ
แรงกดดันทางด้านทรัพยากรน้ำ
จะเกิดขึ้นทั้งจากความต้องการใช้น้ำของภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น
การปล่อยมลสารลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ
รวมถึงจากมลภาวะทางอากาศที่ถูกฝนชะล้างลงสู่แหล่งน้ำด้วย
และภาวะการขาดแคลนน้ำในแง่ของนิคมอุตสาหกรรม
หากนิคมอุตสาหกรรมทวายมีการเติบโตเต็มพื้นที่ 194 ตร.กม. ตามแผนที่วางไว้
ก็อาจจะมีความต้องการน้ำจืดสูงถึง 5.9 ล้านลบ.ม./วัน [36] หรือประมาณ 2,150
ล้านลบ.ม./ปี เพราะฉะนั้น อ่างเก็บน้ำขนาด 400-500 ล้านลบ.ม. ที่บริษัท
ทวาย ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด วางแผนก่อสร้างไว้จึงยังคงไม่เพียงพอ
และคงต้องมีการสร้างแหล่งกักเก็บน้ำขนาดใหญ่อื่นๆ อีกไม่น้อยกว่า 2 แห่ง
การสร้างเขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ในพื้นที่รอบๆ
ก็จะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศ และสังคมตามมา นอกจากนั้น
ยังอาจเกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำในบางช่วงเวลาด้วย
ในส่วนของน้ำเสีย
หากเทียบเคียงจากอัตราการปล่อยน้ำเสียที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด
นิคมอุตสาหกรรมทวายที่มีขนาดใหญ่กว่าก็จะปล่อยน้ำเสียมากถึง 1.5
ล้านลบ.ม./วัน หรือประมาณ 550 ล้านลบ.ม./ปี
เมื่อรวมกับความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะฝนกรดจากมลภาวะทางอากาศที่ได้กล่าวไป
แล้วข้างต้น
ผลกระทบทางด้านคุณภาพน้ำก็นับเป็นความเสี่ยงสำคัญที่ต้องมีการประเมินและ
ศึกษาให้รอบคอบก่อนที่จะดำเนินโครงการจริง
ประกอบกับสภาพภูมิศาสตร์ที่พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมทวายแห่งนี้จะตั้งอยู่
ทางตอนเหนือของเมืองทวาย ฉะนั้น หากเกิดภาวะน้ำเสีย หรือโลหะหนักปนเปื้อน
หรือภาวะน้ำขาดแคลนจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชน
ในเมืองทวาย
ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับทรัพยากรน้ำในพื้นที่จึงเป็นประเด็นปัญหาที่จะต้อง
ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก
นอกเหนือแหล่งน้ำจืดแล้ว
โรงไฟฟ้าถ่านหินยังมีการนำน้ำทะเลเข้ามาใช้ในการหล่อเย็นอีกไม่น้อยกว่า 20
ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน หรือประมาณ 6,700 ล้านลบ.ม./ปี [37] แม้ว่า
การนำน้ำทะเลเข้ามาใช้ในการหล่อเย็นจะไม่ทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำ
แต่ก็อาจส่งผลกระทบต่อทรัพยากรประมงทางชายฝั่ง
ซึ่งเป็นฐานทรัพยากรหลักของอาชีพประมงได้เช่นกัน
4) กากของเสีย
ผลกระทบอีกประการหนึ่งที่ติดตามมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้คือ
กากของเสียจำนวนมหาศาลจากภาคอุตสาหกรรม
โดยในการเผาไหม้ถ่านหินของโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 4,000 เมกะวัตต์
จะทำให้เกิดเถ้าถ่านหินถึงประมาณ 1.3 ล้านตัน/ปี นิคมอุตสาหกรรมขนาด 194
ตร.กม. จะทำให้เกิดกากของเสียอุตสาหกรรมถึง 757,000 ตัน/ปี [38]
และมีกากของเสียอันตรายที่จะต้องกำจัดอีกประมาณ 45 ตัน/ปี[39] นอกจากนั้น
ยังมีของเสียครัวเรือนในพื้นที่พักอาศัยอีกไม่น้อยกว่า 101,000
ตันต่อปี[40] รวมแล้วมีกากของเสียที่จะต้องจัดการไม่น้อยกว่า 2
ล้านตันในแต่ละปี
หากการจัดการกากของเสียไม่เป็นไปอย่างรอบคอบ และเข้มงวด
ก็จะเกิดการลักลอบทิ้งกากของเสีย และเกิดการปนเปื้อนสู่สิ่งแวดล้อม
เช่นน้ำใต้ดิน ดังที่เคยเกิดขึ้นในพื้นที่อุตสาหกรรมมาบตาพุด
5) ผลกระทบต่อชุมชนและวิถีชีวิต
จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินขนาดใหญ่จะส่งผลกระทบโดยตรงกับชุมชนไม่น้อยกว่า
20 หมูบ้าน และประชากรกว่า 32,000 คน ที่จะต้องโยกย้ายถิ่นฐาน
และเริ่มต้นอาชีพเกษตรกรรมในพื้นที่ใหม่
โดยเฉพาะชาวสวนที่ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าที่ต้นไม้จะให้ผลผลิตที่เป็นราย
ได้แก่ครัวเรือน
นอกจากนั้น
การพัฒนานิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ยังอาจส่งผลกระทบกับชุมชนที่อยู่รอบๆ นิคม
ทั้งโดยตรง (เช่น มลภาวะทางอากาศและมลภาวะทางน้ำ) และทางอ้อม (เช่น
การขาดแคลนทรัพยากรน้ำ การปนเปื้อนของมลสารในห่วงโซ่อาหาร
ความแตกต่างทางวัฒนธรรมของประชากรในพื้นที่กับประชากรที่อพยพเข้ามา
และความไม่เพียงพอของบริการสาธารณะในพื้นที่)
ทั้งยังอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงเมืองทวายที่อยู่ทางตอนล่างด้วยเช่นกัน
โดยเฉพาะหากเกิดความเสื่อมโทรมของทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำทวาย
จุดก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกทวาย
6) ผลกระทบในฝั่งประเทศไทย
แน่นอนว่า เนื่องจากนิคมอุตสาหกรรมนั้นตั้งขึ้นที่ชายฝั่งประเทศพม่า
ประกอบกับพรมแดนระหว่างประเทศไทยกับพม่าในบริเวณนี้
มีเทือกเขาตะนาวศรีเป็นภูเขาสูงกั้นอยู่
ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับทางฝั่งไทยจึงน้อยมาก
เมื่อเทียบกับที่ประชาชนชาวพม่าที่จะต้องกลายเป็นผู้แบกรับความเสี่ยงที่จะ
เกิดผลกระทบทางลบขึ้นในพื้นที่
อย่างไรก็ดี การสร้างเส้นทางคมนาคมขนส่งขนาดใหญ่ทั้งถนน ทางรถไฟ
ท่อน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และสายส่งไฟฟ้าแรงสูงพาดจากกรุงเทพ ผ่านนครปฐม
กาญจนบุรี ไปยังทวาย
ก็ทำให้มีผู้ห่วงกังวลกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในฝั่งไทยอย่างน้อย 2
ประเด็นด้วยกันคือ
• การตัดขาดพื้นที่ผืนป่าตะวันตก
ที่เคยเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ทอดยาวจากอ.อุ้มผาง จ.ตาก
ไปจนถึงเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ด้วยเส้นทางขนส่งขนาดใหญ่
ทำให้ความสมบูรณ์ของทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าอาจลดน้อยลงไป
• แนวทางหลวงใหม่ที่จะตัดผ่านจากบางใหญ่ไปจนถึงนครปฐม
อาจกั้นขวางเส้นทางการไหลของน้ำในพื้นที่ทุ่งพระพิมลในยามที่น้ำหลาก
และกลายเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับการจัดการน้ำในช่วงที่มีน้ำมากหรือเกิด
อุทกภัย
สรุปและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
เนื่องจากโครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวายเป็นโครงการขนาด
ใหญ่ ที่มีประเทศผู้ลงทุนและผู้ได้รับผลประโยชน์ในหลายประเทศ ขณะเดียวกัน
ก็เป็นโครงการที่มีโครงการย่อยๆ หลายโครงการ
ซึ่งอาจสร้างผลกระทบทางลบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนเป็นอย่างมาก
เช่นกัน
การเติบโตและความเชื่อมโยงของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจึงไม่ควรมุ่งหวังแต่ผล
ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และเพิกเฉยต่อข้อห่วงกังวลของประชาชน
รวมถึงไม่ควรละเลยความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจจะเกิดผลกระทบทางลบขึ้นในพื้นที่
ดังนั้น ก่อนที่จะดำเนินโครงการนี้ในลำดับต่อไป
ผู้ลงทุนและรัฐบาลทุกประเทศที่เกี่ยวข้องกับโครงการนี้
โดยเฉพาะรัฐบาลและผู้ลงทุนจากประเทศไทย
ซึ่งมีบทเรียนที่ชัดเจนเกี่ยวกับปัญหามลภาวะและสุขภาพที่มาบตาพุด
จึงควรให้ความสำคัญกับการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
โดยในเบื้องต้น
ผู้เขียนจะขอเสนอแนะแนวทางเบื้องต้นดังต่อไปนี้
1) การประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของโครงการนี้
จะต้องกระทำในลักษณะของการประเมินผลกระทบทางยุทธศาสตร์หรือ Strategic
Environmental Assessment (SEA) มิใช่การประเมินผลกระทบเป็นรายโครงการย่อย
เนื่องจากการประเมินผลกระทบเป็นรายโครงการย่อยจะแยกส่วน
และมองไม่เห็นผลกระทบสะสมหรือผลกระทบภาพรวม (หรือ cumulative impacts)
ที่เกิดขึ้นจากโครงการทั้งหมด
ที่มีต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในพื้นที่เลย
การประเมินผลกระทบทางยุทธศาสตร์ที่ดีจะช่วยให้เกิดการปรับปรุงแผนแม่บทของ
โครงการนี้ (รวมถึงการเลือกโครงการย่อยต่างๆ) ให้สอดคล้องกับสภาพทรัพยากร
ระบบนิเวศ และระบบวัฒนธรรมของพื้นที่ได้
2) การศึกษาเรื่องขีดความสามารถของทรัพยากรในการรองรับการขยายตัวทาง
เศรษฐกิจ และขีดความสามารถในการรองรับมลพิษ (หรือ Carrying capacity)
ทั้งทางทรัพยากรที่ดิน ทรัพยากรน้ำ คุณภาพอากาศ และทรัพยากรป่าไม้
เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก
ในการวางแผนและประเมินผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนในพื้นที่ มิฉะนั้น
จะเกิดปัญหาที่ตามมา คือ มีความต้องการใช้ทรัพยากร และมีการปล่อยมลสาร
จนเกินกว่าขีดความสามารถที่จะรองรับได้ ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นที่มาบตาพุด
3) เพื่อมิให้ประชาชนในพื้นที่เสียโอกาสในการพัฒนาที่ยั่งยืน
การประเมินผลกระทบต่างๆ ทั้งการประเมินผลกระทบในระดับยุทธศาสตร์
และการประเมินผลกระทบในโครงการย่อยควรพิจารณาแนวทางเลือกต่างๆ
ที่มีอยู่ให้รอบด้าน ตั้งแต่การเลือกพื้นที่โครงการ
การเลือกประเภทของอุตสาหกรรม (เช่นอุตสาหกรรมเหล็ก หรืออุตสาหกรรมอาหาร)
การเลือกเทคโนโลยีที่ใช้ (เช่น โรงไฟฟ้าถ่านหิน
หรือโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน)
มิใช่เป็นการประเมินผลกระทบตามกรอบของแผนแม่บทหรือแนวทางที่เจ้าของโครงการ
พัฒนาขึ้นแต่เพียงด้านเดียว
4) การดำเนินโครงการย่อยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับประเทศไทย
หรือที่เป็นประเทศไทยเป็นผู้รับประโยชน์โดยตรง เช่น โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน
ควรเป็นไปตามมาตรฐานเดียวกับที่ถือปฏิบัติในประเทศไทยเช่น
มีการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่เปิดให้ประชาชนในพื้นที่เข้า
ถึงข้อมูลและนำเสนอความคิดเห็นได้โดยตรง
เพื่อป้องกันมิให้เกิดผลกระทบทางลบกับประชาชนในประเทศเพื่อนบ้าน
จากโครงการที่ทำขึ้นเพื่อผลประโยชน์ของประเทศไทย
5) การประเมินผลกระทบจะต้องพิจารณาถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ทางสังคม
และทางสุขภาพที่จะเกิดขึ้น จากการอพยพโยกย้ายของประชาชน
ทั้งการโยกย้ายประชาชนในพื้นที่เดิม
และการอพยพของแรงงานและสมาชิกในครัวเรือนเข้ามาทำงานในนิคมอุตสาหกรรม
โดยจะต้องมีแผนพัฒนาชุมชนที่สอดคล้องกับระบบนิเวศและระบบวัฒนธรรม
รวมถึงวิถีการดำเนินชีวิตสำหรับประชากรทั้งสองกลุ่ม ขณะเดียวกัน
ก็ต้องเตรียมแผนป้องกันผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากมลภาวะและอุบัติภัยที่
ชัดเจน
และควรมีการกำหนดพื้นที่กันชนระหว่างนิคมอุตสาหกรรมและพื้นที่ชุมชนให้
ชัดเจน
6) เพื่อให้การประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม สังคม และสุขภาพตามข้อ 5)
เป็นไปอย่างถูกต้องและรัดกุม
รวมถึงสามารถให้ประชาชนได้เข้าถึงและนำเสนอข้อมูล ความคิดเห็นต่างๆ ตามข้อ
4) เจ้าของโครงการจะต้องเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับโครงการ
ทั้งในภาพรวมและในแต่ละโครงการย่อย
โดยข้อมูลที่เปิดเผยจะต้องครอบคลุมถึงความเสี่ยงและผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม
สังคม และสุขภาพที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการดังกล่าวด้วย
7) ภาคประชาชนในพื้นที่และภาคประชาสังคมในพม่าจะมีบทบาทสำคัญในการผลัก
ดันข้อห่วงกังวลและข้อเสนอแนะต่างๆ
ให้แปลงเป็นรูปธรรมในการดำเนินการที่จะคุ้มครองและสร้างเสริมสุขภาพของ
ประชาชนในพม่า
ภาคประชาชนในพื้นที่จึงควรศึกษาและเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับวิถีชีวิตและความ
ห่วงกังวลของประชาชนในพื้นที่
รวมถึงความมุ่งหวังและทางเลือกในการพัฒนาของประชาชนในพื้นที่
เพื่อให้ประชาคมอาเซียนได้รับทราบ
และร่วมกันสนับสนุนแนวทางการพัฒนาที่จะเอื้อต่อการมีสุขภาพที่ดีของประชาชน
ในทุกๆ ประเทศ และทุกๆ พื้นที่
โดยอาจดำเนินการในลักษณะของการประเมินผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชน (หรือ
Community HIA) ที่มีการดำเนินการในประเทศไทย ในการนี้
ภาคประชาชนและภาคประชาสังคมในประเทศไทย
ซึ่งมีประสบการณ์ในการพยายามแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและสุขภาพมาเป็นเวลากว่า
สองทศวรรษแล้ว
จะมีส่วนสำคัญในการแลกเปลี่ยนบทเรียนและประสบการณ์กับภาคประชาชนในพื้นที่
และภาคประชาสังคมในพม่า
8) การดำเนินโครงการขนาดใหญ่เช่นนี้อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและ
สุขภาพในระยะยาว
หน่วยงานของรัฐบาลกลางและหน่วยงานท้องถิ่นในพื้นที่จึงจำเป็นต้องเตรียมความ
พร้อมรับมือกับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นไว้ล่วงหน้า
ไม่ว่าจะเป็นการประเมินผลกระทบ การเฝ้าระวังมลพิษและอุบัติภัย
การเฝ้าระวังผลกระทบต่อสุขภาพ การตอบโต้อุบัติภัย
ความพร้อมของโรงพยาบาลและสถานบริการสุขภาพต่างๆ ดังนั้น
หากรัฐบาลไทยเห็นว่าโครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่างรัฐภายใต้กรอบของ
ประชาคมอาเซียนจริง
ก็ควรให้การสนับสนุนรัฐบาลพม่าในการสร้างกลไกและทรัพยากรบุคคลที่เพียงพอต่อ
การรับมือความเสี่ยงและผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นดังกล่าว
กรณีศึกษาการพัฒนาโครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวายเป็น
ตัวอย่างสำคัญที่บ่งชี้ให้เห็นว่า
การลงทุนในโครงการพัฒนาในอนาคตจะเป็นไปในลักษณะข้ามพรมแดน
ไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านในประชาคมอาเซียนมากยิ่งขึ้น ดังนั้น
การคุ้มครองและสร้างเสริมสุขภาพของประชาชนในอาเซียนก็จำเป็นต้องก้าวข้าม
พรมแดนด้วยเช่นกัน ผ่านกลไกการเรียนรู้ร่วมกัน
โดยใช้การประเมินผลกระทบทางสุขภาพเป็นเครื่องมือสำคัญ
ทั้งในระดับยุทธศาสตร์การพัฒนาในภาพรวม
ไปจนถึงยุทธศาสตร์การพัฒนาในแต่ละพื้นที่
ความท้าทายจึงขึ้นอยู่กับว่า
การพัฒนาการประเมินผลกระทบทางสุขภาพของภาคประชาชนในกลุ่มประเทศอาเซียน
ปัจจุบัน จะก้าวทันย่างก้าวอันรวดเร็วของผู้ลงทุนข้ามชาติได้มากน้อยเพียงใด
และสามารถประสานข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่างๆ
เข้าสู่การปรับทิศทางการพัฒนา
หรือแนวทางการวางแผนในโครงการลงทุนข้ามชาติเหล่านี้ได้มากน้อยเพียงใด
เป็นสำคัญ
________________________________________
[1] กรุงเทพธุรกิจ. 27 ธันวาคม 2554. “เจบิคเล็งปล่อยกู้3พันล.ดอลล์ สร้างท่าเรือ-นิคมฯทวายพม่า”
[2] กรุงเทพธุรกิจ. 27 ธันวาคม 2554. “ทุนข้ามชาติทะลักเข้าทวาย”
[3] พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด 5 นิคมรวมกัน 31 ตร.กม.
[4] กรุงเทพธุรกิจ. 27 ธันวาคม 2554. “ทุนข้ามชาติทะลักเข้าทวาย”
[5] กรุงเทพธุรกิจ. 27 ธันวาคม 2554. “เจบิคเล็งปล่อยกู้3พันล.ดอลล์ สร้างท่าเรือ-นิคมฯทวายพม่า”
[6] กรุงเทพธุรกิจ. 27 ธันวาคม 2554. “ทุนข้ามชาติทะลักเข้าทวาย”
[7] โพสต์ทูเดย์ 27 ธันวาคม 2554 . “ITDทุนอื้อไม่เพิ่มทุน”
[8] โพสต์ทูเดย์ 27 ธันวาคม 2554 . “ITDทุนอื้อไม่เพิ่มทุน”
[9] โพสต์ทูเดย์ 27 ธันวาคม 2554 . “ITDทุนอื้อไม่เพิ่มทุน”
[10] กรุงเทพธุรกิจ. 27 ธันวาคม 2554. “ทุนข้ามชาติทะลักเข้าทวาย”
[11] โพสต์ทูเดย์ 27 ธันวาคม 2554 . “ITDทุนอื้อไม่เพิ่มทุน”
[12] กรุงเทพธุรกิจ. 27 ธันวาคม 2554. “ทุนข้ามชาติทะลักเข้าทวาย”
[13] สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) 14 พฤศจิกายน 2554. “RATCH เซ็น MOU ร่วมมือ ITD สร้างโรงไฟฟ้ารวม 4 พันเมกะวัตต์ในนิคมฯทวาย”
[14] โพสต์ทูเดย์ 27 ธันวาคม 2554 . “ITDทุนอื้อไม่เพิ่มทุน”
[15] กรุงเทพธุรกิจ. 27 ธันวาคม 2554. “ทุนข้ามชาติทะลักเข้าทวาย”
[16] กรุงเทพธุรกิจ. 27 ธันวาคม 2554. “ทุนข้ามชาติทะลักเข้าทวาย”
[17] โพสต์ทูเดย์ 27 ธันวาคม 2554 . “ITDทุนอื้อไม่เพิ่มทุน”
[18] ไทยรัฐออนไลน์ 22 ธันวาคม 2554. “ปตท.เล็งลงทุนธุรกิจพลังงานนิคมอุตฯทวายในพม่า”
[19] กรุงเทพธุรกิจ. 27 ธันวาคม 2554. “ทุนข้ามชาติทะลักเข้าทวาย”
[20] กรุงเทพธุรกิจออนไลน์. 26 ธันวาคม 2554 “อิตาเลี่ยนไทยเชื่อนิคมฯทวายเป็นฮับคอนเทนเนอร์”
[21] กรุงเทพธุรกิจออนไลน์. 26 ธันวาคม 2554 “อิตาเลี่ยนไทยเชื่อนิคมฯทวายเป็นฮับคอนเทนเนอร์”
[22] กรุงเทพธุรกิจ. 27 ธันวาคม 2554. “ทุนข้ามชาติทะลักเข้าทวาย”
[23] กรุงเทพธุรกิจ. 27 ธันวาคม 2554. “ทุนข้ามชาติทะลักเข้าทวาย”
[24] กรุงเทพธุรกิจ. 26 ธันวาคม 2554 “ทล.เล็งผุดมอเตอร์เวย์4.5หมื่นล.เชื่อมทวาย”
[25] กรุงเทพธุรกิจออนไลน์. 26 ธันวาคม 2554 “อิตาเลี่ยนไทยเชื่อนิคมฯทวายเป็นฮับคอนเทนเนอร์”
[26] กรุงเทพธุรกิจ. 27 ธันวาคม 2554. “ทุนข้ามชาติทะลักเข้าทวาย”
[27] Dawei Development Association. 15 December 2011. Press Release
Disclosing the Desires of Local People on the Dawei Deep Seaport and
Special Economic Zone.
[28] Dawei Development Association. 15 December 2011. Press Release
Disclosing the Desires of Local People on the Dawei Deep Seaport and
Special Economic Zone.
[29] คำนวณจากค่าสัมประสิทธิ์มาตรฐานของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการผลิตไฟฟ้าโดยใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง เท่ากับ 0.96 กก./kWh
[30] ข้อมูลจาก
http://en.wikipedia.org/wiki/List_of_countries_by_carbon_dioxide_emissions
[31] ไม่รวมพื้นที่ชุมชนและพื้นที่อยู่อาศัย
[32] คำนวณจากอัตราการปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ของภาคอุตสาหกรรมที่
6.25 ตัน/ตร.กม./วัน (มูลนิธินโยบายสุขภาวะ, 2554, ฝัน ร่าง สร้าง ทำ:
ผังเมืองทางเลือกเพื่อสุขภาวะ)
[33] คำนวณจากอัตราการปล่อยก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจนจากภาคอุตสาหกรรมที่ 5.0 ตัน/ตร.กม./วัน (มูลนิธินโยบายสุขภาวะ, 2554, อ้างแล้ว)
[34] คำนวณจากอัตราการปล่อยฝุ่นละอองขนาดเล็กของภาคอุตสาหกรรมที่ 1.25 ตัน/ตร.กม./วัน (มูลนิธินโยบายสุขภาวะ, 2554, อ้างแล้ว)
[35] คำนวณจากค่าสัมประสิทธิ์มาตรฐานของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการผลิตไฟฟ้าโดยใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง
[36] คำนวณจากอัตราการใช้น้ำของภาคอุตสาหกรรมที่ 30,000 ลบ.ม./ตร.กม./วัน (มูลนิธินโยบายสุขภาวะ, 2554, อ้างแล้ว)
[37] คำนวณจากข้อมูลรายการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของโครงการ Gheco-one
[38] คำนวณจากอัตราการเกิดกากของเสียอุตสาหกรรมที่ 10.69 ตัน/ตร.กม./วัน (มูลนิธินโยบายสุขภาวะ, 2554, อ้างแล้ว)
[39] คำนวณจากอัตราการเกิดกากของเสียอันตรายที่ 0.64 ตัน/ตร.กม./วัน (มูลนิธินโยบายสุขภาวะ, 2554, อ้างแล้ว)
[40] คำนวณจากอัตราการเกิดขยะชุมชนที่ 1.43 ตัน/ตร.กม./วัน (มูลนิธินโยบายสุขภาวะ, 2554, อ้างแล้ว)
ขอบคุณภาพจาก Google, Greenpeace, salweennews.org,
ปรากฏในหน้าแรกที่:
ข่าวเจาะพาดหัว (สไลด์โชว์)