บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2554

งามไส้อีกแล้วกองทัพบกถึงคิวเรือเหาะร่วงตามฮ.







เมื่อวันพฤหัสบดี ที่ 11 สิงหาคม เรือเหาะชือ " มังกรผงาดฟ้า" เรือเหาะแสนอื้อฉาว ได้ร่วงอีกหนึ่งลำที่อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี โดยไม่มีการรายงานข่าวใดๆ ทั้งสิ้นในสื่อมวลชนกระแสหลัก ยกเว้น มีรายงานข่าวภาษาอังกฤษ หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์

เหตุเกิดตอนราว 11.00 น.เมื่อเกิดเหตุขัดข้องกะทันหันและต้องนำลงจอดฉุกเฉิน จนใบพัดกับเครื่องยนต์และส่วนท้องเรือเหาะกระแทกกับพื้นได้รับความเสียหาย บางส่วน

แม่ทัพภาคที่ 4 พลโทอุดมชัย ธรรมสาโรจน์ ยอมรับเพียงว่าเรือเหาะลำดังกล่าว"ลงจอดฉุกเฉิน"ไม่มีใครบาดเจ็บจากการนี้ และเรือเหาะเสียหายไปเพียงเล็กน้อย ประเดี๋ยวช่างของกองทัพก็จะซ่อมได้

แต่กองทัพบกต้องจ่ายเงินซ่อมเอง เพราะประกันหมดอายุไปแล้วตั้งแต่วันที่ 23 กรกฎาคมที่ผ่านมา
ภาพขำๆ ที่เด็กปัตตานี เรียก ..ขี่ UFO จับตั๊กแตน (ภาพ:Internet Freedom)

กองทัพบกซื้อเรือเหาะมาใช้บินตรวจการณ์เหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และมีปัญหาอื้อฉาวมาตั้งแต่ต้นนับตั้งแต่ว่ามันบินขึ้นไปไม่ได้ หรือไร้ประสิทธิภาพ จากนั้นก็เต็มไปด้วยข่าวอื้อฉาวการคอรัปชั่นในการจัดซื้อ

คุณดวงจำปา ได้วิพากษ์วิจารณ์กรณีดังกล่าวใน บอร์ดInternet Freedomว่า เราไม่สามารถสะกัดกั้น การโพสต์สั้นๆ อีกเรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับ เรือเหาะอันแสนอาภัพของกองทัพบกไทย มันได้ “ร่วง” ลงมาอีกหนึ่งลำแล้ว

เอาละ, มันเป็นการลงจอดสู่พื้นดินแบบฉุกเฉินซึ่งมีการควบคุม, เนื่องจากความเสียหายต่อตัวเรือเหาะ

แต่สำหรับผู้สังเกตการณ์เกือบทุกคนนั้น มีความเห็นว่า มันก็คือ การ “ร่วง” นั่นเอง

หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ได้ ลงข่าวในเรื่องนี้ไว้ เรื่องของความล้มเหลวและความสิ้นหวังนี้ได้เกิดขึ้นมานานพอสมควรแล้ว เป็นการเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์เหมือนกับการตำน้ำพริกไปละลายในแม่น้ำ

เรือเหาะที่เรียกชื่อว่า “มังกรผงาดฟ้า” นั้น ดูเหมือนว่า มันจะไม่สามารถใช้งานได้อีกมากน้อยเท่าไรแล้ว

สรรพากรเผยคืนภาษี “โอ๊ค-เอม” ไปตั้งแต่ มี.ค. 54 ยัน “กรณ์” รู้ดี



โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์


รายงานข่าวในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันนี้ (11 ส.ค.)
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
นายกรณ์ จาติกวนิช อดีต รมว.คลัง

สรรพากรเผยคืนเงินสด-หุ้น-ที่ดินมูลค่า 11,000 ล้านบาท ให้ พานทองแท้-พินทองทา ชินวัตร ไปตั้งแต่ 26 มี.ค. 54 สมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์แล้ว โดยนายกรณ์ อดีต รมว.คลังก็ทราบเรื่อง อ้างคำพิพากษาศาล 26 ก.พ. 53 ชี้เป็นนิติกรรมอำพราง “ทักษิณ” เป็นเจ้าของหุ้นตัวจริง แถต่อขายหุ้นให้เทมาเส็กไม่ต้องเสียภาษี
      
       วันนี้ (11 ส.ค.) หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ หมวดข่าวเศรษฐกิจ หน้า 8 รายงานว่า กรณีที่กรมสรรพากรไม่ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลภาษีเกี่ยวกับการเรียกเก็บภาษีนายพาน ทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เนื่องจากกระทรวงการคลังได้เห็นชอบให้กรมสรรพากรไม่ต้องยื่นอุทธรณ์ ที่สำคัญกรมสรรพากรได้รายงานความคืบหน้าเรื่องดังกล่าวให้นายกรณ์ จาติกวนิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง รับทราบอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งในวันที่ 26 มี.ค. 2554 กรมสรรพากรจึงได้คืนเงินสด หุ้น และที่ดินรวมเป็นเงินกว่า 11,000 ล้านบาท ให้แก่นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา เรียบร้อยแล้ว
      
       ทั้งนี้ การที่กรมสรรพากรไม่ยื่นอุทธรณ์ดังกล่าว ได้พิจารณาตามกรอบของกฎหมาย เพื่อป้องกันข้อครหาที่จะตามมาในภายหลัง ซึ่งเป็นที่รู้กันภายในกรมสรรพากรว่า หากไม่ดำเนินการอย่างรอบคอบจะถูกตราหน้าว่า ช่วยคนในตระกูลชินวัตร ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ อดีตอธิบดีกรมสรรพากร ถูกไล่ออกพร้อมลูกน้อง
      
       สำหรับเหตุผลที่กรมสรรพากรไม่อุทธรณ์ต่อศาลภาษีอากรกลาง เนื่องจากเมื่อวันที่ 26 ก.พ. 2553 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเจ้าของหุ้นตัวจริงในคดีโอนหุ้น บริษัท ชิน คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือชินคอร์ป ผ่านทางบริษัท แอมเพิล ริช อินเวสเมนต์ นอกตลาดหลักทรัพย์เพื่อเลี่ยงการเสียภาษี โดยถูกศาลฎีกาฯ สั่งยึดทรัพย์ไปแล้ว 46,000 ล้านบาท ซึ่งต่อมาศาลภาษีอากรกลางได้นำเรื่องดังกล่าวมาพิจารณา เพื่อประเมินภาษีนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ตามกระบวนการของกฎหมาย
      
       โดยศาลภาษีอากรกลางมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2553 ว่า ว่า นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทามิใช่บุคคลที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในหุ้นบริษัทชินคอร์ป จำนวน 164,600,000 หุ้น เงินได้ที่เกิดขึ้นจากการขายหุ้นจึงเป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ บุตรทั้งสองคนจึงมิใช่ผู้ที่ได้รับประโยชน์ที่อาจคิดคำนวณเป็นเงินอันเป็น เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 และมิใช่ผู้มีเงินได้พึงประเมินที่จะมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคล ธรรมดาตามมาตรา 41 แห่งประมวลรัษฎากร นอกจากนี้ ศาลภาษีอากรกลางยังระบุว่า กรมสรรพากรจะอุทธรณ์หรือไม่ยื่นอุทธรณ์ก็ได้ แต่หากยื่นอุทธรณ์จะมีค่าธรรมเนียม 23 ล้านบาท กรมสรรพากรจึงทำหนังสือถึงกระทรวงการคลัง
      
       ส่วนกรณีที่มีการซื้อขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปฯ ระหว่างนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา กับบริษัทเทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ กองทุนจากประเทศสิงคโปร์ในตลาดหลักทรัพย์นั้น กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของฝ่ายกฎหมายของกรมสรรพากร แต่ในเบื้องต้นประมาณว่า การซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไม่มีภาระภาษี

กรณีคืนเงินภาษีให้ลูก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ใช่ปัญหา... แต่คือหายนะ

  by กนิษฐ์ ,

นายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร
สรรพากรโมเดล (สารส้ม)



กรณีคืนเงินภาษีให้ลูก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ใช่ปัญหา...

แต่ถ้าไม่เก็บภาษีหมื่นล้านจากลูกของทักษิณทั้งสองคน แล้วก็ดันผ่าไม่เก็บภาษีจากใครเลย...

ทั้งๆ ที่ มีรายได้ก้อนโตเกิดขึ้นจากการขายหุ้นชินฯ นอกตลาดหลักทรัพย์ ปรากฏทนโท่อยู่ขนาดนั้นละก็ มันคงไม่ใช่ปัญหาสำหรับสรรพากร แต่จะกลายเป็น หายนะ เลยทีเดียว...

ประเด็นของเรื่อง... คุณกรณ์ จาติกวนิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อธิบายความไว้อย่างกระชับ ชัดเจน และตรวจสอบแล้วเห็นว่าแม่นยำในข้อเท็จจริง แถมยังตอบข้อสงสัยด้วยว่า สมัยตัวแกเป็นรัฐมนตรีคลังนั้น ได้ละเลยหรือซูเอี๋ยกับเขาด้วยหรือเปล่า?

ใจความสำคัญ คุณกรณ์ว่า
1.การ ซื้อขายหุ้น 'ชินคอร์ป' ที่เป็นปัญหานั้นเนื่องมาจากการที่ผู้ขาย (บริษัท Ample Rich Investment Limited ซื่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นเจ้าของ) ได้ขายให้ผู้ซื้อ (โอ๊ค-เอม) ในราคาหุ้นละ 1 บาท สามวันก่อนที่จะมีการขายต่อให้เทมาเซคจากสิงคโปร์ โดยที่มูลค่าหุ้นจริงในตลาดขณะนั้น ราคาอยู่ที่ 49 บาท

2. กรมสรรพากร ในชั้นแรกได้ยื่นฟ้องต่อศาลภาษีว่า โอ๊ค-เอมมีภาระภาษี โดยมิได้เกิดจากกรณีที่ขายให้ เทมาเซค แต่เป็นรายได้ที่ได้จากการรับซื้อหุ้นมาจากการตกลงกัน นอก ตลาดหลักทรัพย์ ในราคา 1 บาท เมื่อเทียบกับราคาตลาดที่ 49 บาท ส่วนต่าง 48 บาท ตามกฎหมายนั้นถือเป็นรายได้

3. ต่อมา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาว่า หุ้นดังกล่าวนั้นไม่ได้เป็นของโอ๊ค-เอม แต่เจ้าของตัวจริงคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และให้ถือว่าเป็นการกระทำ นิติกรรมอำพราง (คำพิพากษาลงวันที่ 26 ก.พ. 2553)

4. เมื่อศาลพิพากษาว่ากรณีนี้ถือว่าเป็น 'นิติกรรมอำพราง ตัวผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้น มีความเห็นขัดแย้งกับกรมสรรพากร โดยผมเห็นว่าเราควรจะตามไปเก็บภาษีจากเจ้าของบัญชีตัวจริงคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในขณะที่เบื้องต้น กรมสรรพากรมีความเห็นว่า กรณีนี้ควรถือว่า เป็น โมฆะ ทั้งหมด เพราะศาลได้ชี้ชัดแล้วว่าเป็น นิติกรรมอำพราง ดังนั้น จึงไม่ควรไปตามเก็บภาษีจากใครอีก

5. สิ่งที่ผมบอกกับ กรมสรรพากร คือ การขายหุ้นจาก Ample Rich กลับมาที่ พ.ต.ท.ทักษิณ (โดยมีโอ๊ค-เอมเป็นตัวแทน)นั้น เป็นการขายระหว่าง บริษัท กับ ตัวบุคคล ซึ่งถึงแม้ว่าบุคคลคนนั้นเป็นผู้ถือหุ้นบริษัท การซื้อขายก็ยังมีผลอยู่ดี และถ้าจะถือว่าความเกี่ยวข้องต่างๆ กับ นิติกรรมอำพราง จะต้องเป็น โมฆะ ทั้งหมด การซื้อขายหุ้นให้เทมาเซค จากบัญชีนั้นก็จะต้องเป็น โมฆะ ไปด้วย แต่นี่การซื้อขายหุ้นดังกล่าว ก็เป็นไปอย่างเสร็จสมบูรณ์ทุกประการ ผู้ซื้อได้หุ้น ผู้ขายได้เงิน และเป็นการซื้อขาย นอกตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งมีกฎระบุชัดเจนว่า จะต้องมีการจัดเก็บภาษี

6. ถ้ากรมสรรพากร จะไม่เรียกเก็บภาษีจากกรณีนี้ โดยอ้างว่าเป็น นิติกรรมอำพราง นั้น ก็จะต้องตอบคำถามด้วยว่า เหตุใดกรณีนี้จึงเป็น โมฆะ เฉพาะในส่วนของเรื่องการ จัดเก็บภาษี ในขณะที่ การ ซื้อขายหุ้นให้เทมาเซคในกรณีนี้ ไม่ได้เป็น โมฆะ ไปด้วย

ในส่วนคำ ถามที่มีต่อตัวผมว่า ช่วงที่ผมดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ดำเนินการอย่างไรในเรื่องนี้บ้าง ก็ขอเรียนว่า เมื่อความเห็นของผมและทางกรมสรรพากรไม่ตรงกัน กรมสรรพากรจึงต้องพิจารณาหาข้อเท็จจริง และคดีก็ยังอยู่ในอายุความ แต่ทางกรมสรรพากรก็ต้องระวังไม่ให้มีการถ่วงเวลา จนหมดอายุความ มิเช่นนั้น เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง อาจติดคุกติดตะรางกันได้...

ประการที่หนึ่ง... ใจความสำคัญของข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ เป็นไปตามข้างต้นทุกประการ

ประการที่สอง... เห็นด้วยกับความเห็นของคุณกรณ์ ที่ว่าจะต้องเรียกกเก็บภาษีจากเจ้าของหุ้นตัวจริง คือ ทักษิณ ชินวัตร เพราะเมื่อบริษัทแอมเพิลริชขายหุ้นให้ทักษิณ โดยที่ทักษิณเอาชื่อลูกมาบังหน้า (โอ๊ค-เอม) คนที่มีรายได้แท้จริงคือทักษิณ ทักษิณก็ควรจะต้องเป็นผู้เสียภาษี มิใช่ผลักภาระไปให้ลูก และสรรพากรก็ไม่ควรจะไปเก็บจากโอ๊ค-เอม

ประการที่สาม... เป็นที่น่าเสียดาย หากคุณกรณ์พ้นตำแหน่งไปในขณะที่ยังมีความเห็นไม่ตรงกันกับกรมสรรพากร โดยไม่ได้สั่งสอนให้เจ้าหน้าที่รัฐผู้รับผิดชอบได้ตระหนักถึงความสำคัญของ การเรียกเก็บภาษีก้อนนี้ หรือแม้แต่จะโยกย้ายตำแหน่งเจ้าหน้าที่ผู้อ่อนวินิจฉัย ไร้ประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษี เพื่อให้คนเก่งกล้าสามารถ วินิจฉัยดำเนินการในทางที่ถูกที่ควรตามแนวทางข้างต้นต่อไป

ประการที่สี่... อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้รับฟังได้ว่า ยังอยู่ในอายุความ หรืออยู่ในระหว่างการพิจารณาดำเนินการต่อไปได้ ซึ่งผู้บริหารกรมสรรพากรพึงสำเหนียกให้จงดี ตระหนักให้ถ้วนถี่ เพราะถ้าหากวินิจฉัย ดำเนินการ หรือปล่อยปละละเลย กระทั่งคลังแผ่นดินสูญเสียผลประโยชน์อันพึงมีพึงได้มูลค่าหมื่นกว่าล้านบาท งานนี้ก็จะต้องมีคนเอาคอมาพาดเขียง เพื่อรับผิดชอบอย่างแน่นอน หวังว่าคงไม่คิดอยากได้ดิบได้ดีอย่างอดีตเลขาฯ กลต. เพราะเรื่องนี้ สุ่มเสี่ยงเอามากๆ

ประการที่ห้า... กรณีที่เกิดขึ้นในกรมสรรพากรข้างต้น นับเป็นกรณีแรกรับการเข้ามามีอำนาจของคนตระกูลชินฯ อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งสังคมไทยจะต้องเฝ้าระวัง และจับตามองว่าจะมีกรณีอื่นๆ ตามมาอีกหรือไม่

อย่าให้ สรรพากรโมเดล เยี่ยงนี้ กลายเป็นแบบอย่างสำหรับหน่วยงานรัฐที่มีหน้าที่ต้องปกป้องผลประโยชน์แผ่นดิน อีกหลายๆ แห่ง โดยเฉพาะกรณีซึ่งยังเป็นประเด็นปัญหาพัวพันกับผลประโยชน์ของชินฯ อีกหลายเรื่อง ในหลายหน่วยงาน เช่น กรณีดาวเทียมสำรองของไทยคม และดาวเทียมไอพีสตาร์ ซึ่งอยู่ในความดูแลของกระทรวงไอซีที เป็นต้น

กรณีไอซีที เท่าที่ติดตามตลอดมา พบว่า รัฐมนตรีไอซีทีคนก่อนได้เดินหน้าทวงคืนผลประโยชน์ของแผ่นดินอย่างเต็มที่ คืบหน้าไปไกลแล้ว โดยมีการประเมินออกมาหมดว่ารัฐต้องเรียกค่าเสียหายเท่าใด แถมดำเนินการให้หน่วยงานรัฐฟ้องร้องเอกชนไปแล้วด้วยซ้ำ หรืออย่างกรณีดาวเทียม ก็เจรจาตกลงกับเอกชนแล้วว่าจะต้องชดเชยความเสียหายแก่รัฐเท่าใด อย่างไร ฯลฯ 

หวังว่า พอเปลี่ยนรัฐบาล จะไม่กลับตาลปัตรกันไปหมด
อย่า ลืมว่า นักการเมืองนั้นมาแล้วก็ไป... ถ้าเจ้าหน้าที่รัฐรายใด ยอมทำเพื่อรับใช้ผลประโยชน์ของส่วนตัวของใคร ก็อย่าหวังว่าหนีผลกรรมพ้น!

วันที่ 12/8/2011

ขอขอบคุณ : http://www.naewna.com/news.asp?ID=274974

ข่าวด่วนจากโตเกียว ผ่านสำนักข่าว kyodo

สุทธิชัย หยุ่น



ด่วนเร่งร้อนจากโตเกียว ผ่านสำนักข่าว Kyodo บอกว่ารัฐมนตรีต่างประเทศไทยคนใหม่ คุณสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุลได้ขอให้เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประทศไทย Seiji Kojima ออกวีซ่าให้คุณทักษิณ ชินวัตรเข้าญี่ปุ่น

Kyodo รายงานเป็นภาษาอังกฤษอย่างนี้

"Multiple sources said the Japanese government is apparently considering whether to have its Justice Ministry issue Thaksin a special entry permit...."

แปลว่าแหล่งข่าวหลายกระแสบอกตรงกันว่ารัฐบาลญี่ปุ่นกำลังพิจารณาว่าจะให้กระทรวงยุติธรรมออกวีซ่าพิเศษให้เข้าประเทศหรือไม่

ข่าวบอกว่าคุณทักษิณมีแผนจะไปเยี่ยมญี่ปุ่นระหว่างวันที่ 22-28 สิงหาคมนี้ เพื่อไปจังหวัดมิย่ากิ ทางเหนือของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายจุดที่ถูกแผ่นดินไหวและสึนามิก่อความเสียหายเมื่อวันที่ 11 มีนาคม

ตามข่าวนี้, ทักษิณจะกล่าวคำปราศรัยในงานใดงานหนึ่งในญี่ปุ่นด้วย

ตามกฎหมายเข้าเมืองของญี่ปุ่น คนต่างด้าวที่ถูกศาลตัดสินว่าได้ทำผิดกฎหมายและให้จำคุกหนึ่งปีหรือมากกว่านั้นจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเมือง

แต่กฎหมายยกเว้นให้ผู้ถูกลงโทษด้วยเหตุผลการเมือง

และกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่นจะเป็นผู้ตัดสินท้ายสุดในแต่ละกรณีว่าจะให้วีซ่าหรือไม่

นี่ต้องถือว่ารัฐมนตรีต่างประเทศไทยคนใหม่เห็นปัญหาของการที่คุณทักษิณจะได้วีซ่าเข้าญี่ปุ่นหรือไม่เป็น "วาระเร่งด่วนพิเศษ" ทีเดียว เพราะท่านยังไม่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาพด้วยซ้ำไป

และข่าวบอกว่าการพบปะของทูตญี่ปุ่นกับรัฐมนตรีต่างประเทศไทยคนใหม่เกิดขึ้นเพียงหนึ่งวันหลังจากที่ ครม. ยิ่งลักษณ์เข้าถวายสัตย์ฯเท่านั้น

คอป.'ฉบับที่2ซัดฝ่ายรัฐ กดดันตร.ยัดเยียดข้อหา! ก่อการร้ายเกินจริง53คน

พยาน-หลักฐานยังไม่ชัด

 
คอ ป. จัดรับฟังความเห็นจัดทำร่างรายงาน ฉบับที่ 2 "สมชาย" จวกระดับนโยบายกดดันเจ้าหน้าที่ตำรวจ-อัยการ ตั้งข้อหารุนแรงเกินจริง ยัดเยียดเป็นผู้ก่อการร้าย จำนวนผู้ร่วมชุมนุม 53 ราย ทั้งที่หลักฐาน-พยานไม่ชัดเจน เสนอแนะรบ.เบื้องต้น 8 ข้อดำเนินการ
วันที่ 11 ส.ค.2554 โรงแรมรามาการ์เดน คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดอง (คอป.) ได้จัดเวทีเสวนารับฟังความเห็นจากภาคนักวิชาการ ผู้แทนองค์กรด้านการต่างประเทศ เรื่อง การเยียวยาและฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความนรุนแรงตามหลักสากล ก่อนนำข้อมูลไปจัดทำรายงาน คอป.ฉบับที่ 2 นำเสนอต่อรัฐบาลต่อไป
น.พ.รณชัย คงสกนธ์ ประธานอนุกรรมการการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความรุนแรง คอป. กล่าวว่า จากการลงพื้นที่สำรวจผู้ที่เป็นเหยื่อของเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง รวมถึงประชาชนและเจ้าหน้าที่ พบว่าส่วนใหญ่ยังมีความเครียดสูง อีกทั้งยังไม่ได้รับการเยียวยา และการชดเชย เช่น ตำรวจและทหารที่เข้าร่วมการปฏิบัติงานในช่วงการชุมนุม ปัจจุบันยังคงฝันถึงภาพเหตุการณ์, ผู้ค้าในพื้นที่การชุมนุม เข้าขอรับการเยียวยาจากศูนย์ประสานงานเยียวยาฯ ทั้งหมด 643 ราย ซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับการชดเชย, สถานที่ราชการ เช่น โรงเรียนในพื้นที่การชุมนุมอาทิ โรงเรียนปลูกจิต, โรงเรียนวัดปทุมวนาราม, โรงเรียนวัดชัยมงคล และโรงเรียนลุมพินี ที่พบว่ามีค่าใช้จ่ายเป็นค่าไฟ และค่าน้ำ รวมเป็นเงินกว่า 300,000 บาท ขณะนี้ยังไม่ได้ชำระ และหน่วยงานของรัฐยังไม่ได้เข้าไปช่วยเหลือ สำหรับผู้ที่ร่วมชุมนุมและเกี่ยวข้องที่ถูกคุมขัง จำนวน 105 คนนั้น จากการเข้าไปสำรวจ ล่าสุดเมื่อวันที่ 22 ก.ค. 54 พบว่า ร้อยละ 10 มีอาการเครียดสูงมาก ซึ่งในจำนวนดังกล่าวมี 2 คนที่มีแนวโน้มจะฆ่าตัวตาย
น.พ.รณชัย กล่าวต่อว่า จากผลสำรวจดังกล่าว ทางอนุกรรมการฯ มีข้อเสนอแนะเบื้องต้นไปยังรัฐบาล จำนวน 8 ข้อ ได้แก่ 1. เร่งเยียวยาและฟื้นฟูจิตใจเหยื่อการชุมนุมให้มีความเข้มแข็งในใช้ชีวิต 2. รัฐบาลต้องเร่งรัดตั้งองค์กรเฉพาะกิจ เป็นศูนย์กลางด้านงบประมาณพื่อเยียวยาอย่างต่อเนื่องเป็นระบบ เพราะจากการสำรวจพบว่าครอบครัวผู้ที่ถูกคุมขัง ต้องไปกู้เงินนอกระบบจำนวนมากเพื่อนำมาประกันตัว
3.รัฐบาลควรประเมินตัวเลขความสูญเสียทางด้านเศรษฐกิจ กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์รวมถึงครอบครัว 4.รัฐบาลควรขยายขอบเขตการเยียวยา ฟื้นฟู ไปยังสังคมด้านอื่นๆ เช่น แหล่งที่อยู่ , แหล่งการค้า 5. ต้องจัดทำข้อเท็จจริง เผยแพร่ไปยังผู้ที่ได้รับผลกระทบ เพื่อให้เกิดทัศนคติที่ดี ให้อภัย เกิดความเห็นใจ รวมถึงจัดกิจกรรมเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ให้กับทุกฝ่าย 6. เร่งช่วยเหลือผู้ที่ถูกคุมขัง ตามแนวทางของกฎหมาย เพราะบางรายมีภาวะของความเครียด ซึมเศร้า และมีแนวโน้มฆ่าตัวตาย 7. รัฐบาลต้องเร่งรัดการประกันสิทธิ์ผู้ที่ถูกคุมขัง รวมถึงตรวจสอบ จำแนกโทษที่แท้จริง และ 8. ควรประสานความร่วมมือไปยังองค์กร หน่วยงานและทุกภาคส่วน และร่วมกับบูรณาการการทำงานภายใต้องค์กรกลางที่ดูแลข้อพิพาททางการเมืองที่ อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต เพี่อให้การทำงานเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง
ด้านนายสมชาย หอมละออ ประธานอนุกรมการค้นหาข้อเท็จจริง ในงานด้านกฎหมาย พบว่าผู้ที่ถูกคุมขังนั้น ส่วนใหญ่ถูกตั้งข้อหาที่เกินเลยจากความเป็นจริง ซึ่งมีมากถึง 53 คน ที่ถูกตั้งข้อหาก่อการร้ายและวางเพลิง ซึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามีโทษถึงประหารชีวิต ทั้งนี้จากการสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการตั้งข้อกล่าวหากับพนักงานสอบสวนและ พนักงานอัยการ พบว่าการตั้งข้อหาดังกล่าวนั้นเกิดจากแรงกดดันของผู้บริหารระดับนโยบาย อีกทั้งการจับกุมและตั้งข้อกล่าวหายังเป็นในลักษณะของการเหวี่ยงแห ซึ่งเกิดขึ้นในพื้นที่ต่างจังหวัดและกรุงเทพฯ ทั้งนี้พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการยังไม่สามารถพิสูจน์พยานหลักฐาน
"จากการตรวจสอบพบว่ามูลเหตุสำคัญที่ทำให้ความรุนแรงดำรงอยู่ คือ ความรู้สึกของผู้ที่ชุมนุมที่เห็นว่าตนเองตกเป็นเหยื่อของการกระทำ และกระบวนการยุติธรรมเพียงฝ่ายเดียว ส่วนเจ้าหน้าที่รัฐ ที่เชื่อว่ามีส่วนกระทำความผิดทางอาญาไม่มากก็น้อย ยังไม่ได้ถูกดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม" นายสมชาย กล่าว

รับสั่ง ครม.ปู ทำตามปฏิญาณ ซื่อสัตย์สุจริต


ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ครม.ยิ่งลักษณ์

นายกฯ นำ ครม.ร่วมถ่ายภาพหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล



นายกฯ นำ ครม.ร่วมถ่ายภาพหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล



นายกฯ นำ ครม.ร่วมถ่ายภาพหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล


โลกนี้วุ่นวายพอแล้ว รับสั่งครม.ปูทำตามปฏิญาณ‘ซื่อสัตย์สุจริต’เพื่อบ้านเมือง (ไทยโพสต์)ขอขอบคุณภาพประกอบจาก พรรคเพื่อไทย

          "ยิ่ง ลักษณ์" พา ครม.ถวายสัตย์ปฏิญาณตน ในหลวงพระราชทานพระบรมราโชวาท ขอให้ทำงานตามที่ปฏิญาณ ปฏิบัติด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โลกนี้มีความวุ่นวายพอแล้ว ขอให้ในประเทศไทยมีความเรียบร้อย

          วันที่ 10 สิงหาคม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ ห้องประชุมสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ชั้น 14 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรี ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง รวม 36 คน เฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ต่อจากนั้นพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เฝ้าฯ

          ในโอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราโชวาทเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน ความว่า "ขอ แสดงความยินดีกับคณะรัฐมนตรีที่ได้ตั้งขึ้นมาใหม่ และที่มากล่าวคำปฏิญาณว่าจะทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อความเจริญมั่นคงของประเทศ ประเทศชาตินี้จะต้องมีผู้ที่ปกครอง ผู้ที่ทำหน้าที่สูงสุด เพื่อให้ทุกส่วนของการงานของประเทศดำเนินไปด้วยดี

          ขอให้ท่านได้ทำตามที่ได้กล่าว เพื่อที่จะให้งานของประเทศดำเนินไปด้วยดี และทั้งสามารถปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้กล่าว การทำงานของประเทศสำคัญที่ผู้ใหญ่จะแสดงตัวอย่างให้กับทุกคนในประเทศ เพื่อที่จะให้งานต่าง ๆ ดำเนินไปด้วยดี

          ขอให้ท่านทำงานตามที่กล่าวปฏิญาณ และสามารถทำตามความตั้งใจ ถ้าท่านได้แล้วท่านต้องมีความพอใจที่ได้ปฏิบัติเพื่อประเทศชาติและความ สำเร็จของท่านในทุกวันที่ท่านทำงานเป็นผลสำเร็จ ที่ดี สำหรับประเทศและทุกคนในประเทศ ที่ต่างคนต่างพยายามที่จะให้มีความสำเร็จในทุกสาขา

          ขอให้ท่านได้สามารถ ปฏิบัติด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ด้วยความมีผลสำเร็จ ในส่วนตัวของท่านก็จะมีความพอใจ ถ้าทำได้ตามที่ท่านตั้งใจไว้ ขอให้ท่านมีความสำเร็จในงานการและทำให้บ้านเมืองมีความสำเร็จตามที่ต้องการ ซึ่งถ้าประเทศไทยนั้นน่าจะมีได้

          ในปัจจุบันนี้ ในโลกนี้ มีความวุ่นวายอย่างยิ่ง เมืองไทยเมืองนี้มีความวุ่นวายน้อย การรักษาความสงบสุข รักษาความสำเร็จที่ได้ทำมาแต่ปางก่อน ก็เชื่อมั่นว่าท่านมีความสำเร็จได้แล้ว ก็มีความพอใจ ก็ขอให้ทุกท่านทำงานด้วยความตั้งใจอย่างดีที่สุด เพื่อผลสำเร็จของบ้านเมืองและทุกสาขาและทุกด้าน ขอให้ท่านมีความพอใจในงานการและมีความสำเร็จในงานการ ทำให้ประเทศชาติเป็นที่อยู่ที่สบายในโลก"

          "ซึ่งในโลกนี้มีความวุ่นวายพอแล้ว ขอให้ในประเทศไทยมีความเรียบร้อย ขอให้ท่านประสบความสำเร็จในงานการที่ได้ทำไว้ ท่านควรจะมีความพอใจที่ได้ทำเพื่อประเทศชาติ เพื่อความสำเร็จของประเทศชาติ ขอให้ท่านประสบความสำเร็จในงานการ และมีความพอใจในงานที่ตนทำอยู่ เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของประเทศชาติ ขอให้ท่านมีความสำเร็จในงานการและความพอใจในกิจการทุกอย่าง" พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระบรมราโชวาท

          ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีกล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณตน ถ้อยความว่า "ข้าพระพุทธเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ"




นายกฯ นำ ครม.ร่วมถ่ายภาพหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล



นายกฯ นำ ครม.ร่วมถ่ายภาพหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล



นายกฯ นำ ครม.ร่วมถ่ายภาพหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล



นายกฯ นำ ครม.ร่วมถ่ายภาพหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล



          ก่อนหน้านั้น ในช่วงเช้า คณะรัฐมนตรีต่างทยอยเดินทางมายังทำเนียบรัฐบาลเพื่อทำการถ่ายภาพเดียวและภาพ หมู่ชุดปกติขาว ที่ห้องสีเหลือง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยทางสำนักโฆษกสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้บันทึกภาพ ซึ่งภาพทั้งหมดจะถูกเก็บไว้ใช้ในภารกิจของรัฐมนตรี และเพื่อจัดทำปฏิทิน ครม.แจกจ่ายไปยังหน่วยงานราชการ สื่อมวลชน และประชาชน ทำบัตรประจำตัวรัฐมนตรี ซึ่งทุกคนต่างมีสีหน้ายิ้มแย้มแสดงความยินดีซึ่งกันและกัน บางคนแต่งตัวมาพร้อม ขณะที่บางคนมาเปลี่ยนชุดที่ทำเนียบรัฐบาล

          จากนั้น ร่วมถ่ายรูปกับ ครม.ทั้งคณะหน้าตึกไทยคู่ฟ้า โดยจัดเป็น 2 แถว แถวนั่งและแถวยืน โดยแถวนั่งเป็นนายกฯ, รองนายกฯ, รมต.ประจำสำนักนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการ ส่วนแถวหลังเป็นรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วย

          ทั้งนี้ การเตรียมสถานที่ในตึกไทยคู่ฟ้าซึ่งเป็นที่ทำงานของนายกรัฐมนตรี มีเจ้าหน้าที่หน่วยทำลายล้างวัตถุระบิด (EOD) ได้มาตรวจความเรียบร้อยทั้งภายในและภายนอกอาคารบริเวณโดยรอบทำเนียบฯ ด้วย ขณะที่ในช่วงเย็นได้มีการทยอยนำเฟอร์นิเจอร์ขึ้นไปบนตึกไทยคู่ฟ้าเป็นจำนวน มาก เพื่อจัดห้องใหม่เตรียมต้อนรับนายกรัฐมนตรี

          สำหรับ งานแรกของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ วันที่ 11 สิงหาคม นัดประชุมคณะรัฐมนตรีในเวลา 09.00 น. เพื่อพิจารณาเรื่องเร่งด่วนเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม พร้อมกันนี้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติจะเข้าชี้แจงการยื่นบัญชี ทรัพย์และหนี้สินของคณะรัฐมนตรีที่จะต้องยื่นภายใน 30 วัน หลังเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ

รัฐบาล หุ่น กระบอก..ออก ฉากแล้ว !!

\
ผม ตื่นเช้ากว่าทุก ๆ วัน เพราะวันนี้แหละจะเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งของตำนาน นายเม็ดฝุ่น ตัวกระจ้อยอย่างผมจะมีส่วนร่วมในประวัติศาสตร์การเมืองและการปกครองของ ประเทศไทย ภารกิจที่ได้รับจากที่ประชุม แกนนำฝุ่น2011‘ เมื่อ วานนี้ หลังจากที่มีการคัดสรรกรรมการชุดใหม่ตามวาระที่มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งนายก รัฐมนตรี อันเป็นรูปแบบที่เป็นจารีตของชาวฝุ่นทำเนียบมาเกือบ 5 ทศวรรษ อย่างนั้นก็ตาม ลุงฝุ่นโปรเฟสเซ่อร์ ก็ได้รับฉันทามติท่วมท้นจากมวลสมาชิกที่จะต้องเป็น ประธานชาวฝุ่นทำเนียบนายกรัฐมนตรีในสมัยที่3 ซึ่งก็เป็นไปตามความคาดหมาย ของแกนนำที่ได้คาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้านั้น
“พรุ่ง นี้ จะมีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้า คณะรัฐมนตรีของคุณยิ่งลักษณ์ ที่ศิริราช เอ็งตามไปเก็บข่าว เก็บข้อมูล มาให้พวกเราหน่อยละกัน..ดูทีรึว่า..ในหลวงท่านจะตรัสว่าอย่างไร?” ลุงฝุ่นโปรเฟสเซ่อร์มอบหมายภารกิจให้ผม หลังจากที่การประชุมชาวฝุ่นจบสิ้นลงในช่วงบ่าย
หลายครั้งมาแล้วที่ลุงแกจะอาศัยให้ผมทำงานลักษณะนี้ แกเคยบอกว่า ผมมีคุณลักษณะที่เหมาะสมจะเป็น Dust Reporter เพราะ สามารถเก็บรายละเอียดมานำเสนอได้ครบถ้วนเสมอ ๆ ตะแกคงจำได้ ครั้งที่ผมปลิวไปเก็บข้อมูล การกินก๊วยเตี๋ยวผ่านวิดิโอลิงค์ของนายแม้วจากดูไบ สู่เครือข่ายเสื้อแดงร้านก๊วยเตี๋ยวดงมูลเหล็ก ซึ่งก็วันนั้นแหละที่ผมแวะปลิวลงไปที่บ้านสี่เสา แลนดิ้งที่ดาวบนบ่าของ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ แล้วได้ยินวลีจากปาก ประธานองค์มนตรี พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ ที่กล่าวกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติว่า “ยืนตรงนี้ร้อนหน่อยนะ” ซึ่งเป็นคำกล่าวที่โยงสถานการณ์ ณ นาทีนั้นไปสู่นัยยะสำคัญทางการเมืองที่เป็นแรงเสียดทาน ผบ.ตช. ในห้วงขณะนั้น
อีกครั้งหนึ่งที่ผมปลิวไปตามวิภาวดีรังสิต ถนนที่ข้างทางรถไฟ มี สโตนเฮ้นจ์ โฮปเวลล์ เรียงรายอยู่นับร้อย เพื่อมุ่งไป โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ ตั้งใจจะเข้าร่วมงานด้านสิ่งแวดล้อม แต่ให้บังเอิญไปพบ เจ้า ไข่มุกดำ วีระ มุสิกพงษ์ แกนนำ นปช.ที่เพิ่งประกันตัวออกมาจากคุก นั่งคุยหารือกับ เขย เจ้าสัว ซีพ๊ เข้า ก็เลยเปลี่ยนแผนภารกิจ หวังจะฟังว่า เขาคุยอะไรกันแน่..แต่ก็พลาดจนได้ เพราะยัยแม่บ้านโรงแรมเข็นเครื่องดูดฝุ่น ใกล้เข้ามาตรงที่ผมหลบอยู่..ถ้าไม่เผ่นหนีก็จะกล้าเกินฝุ่นไปซักหน่อย !!
..ด้วย ภารกิจที่ประธานมอบหมาย ผมจึงต้องตื่นเช้ากว่าปกติเพื่อเตรียมการ กล้อง เทป สมุดโน้ต โทรศัพท์ ครบถ้วน อาศัยเป้สะพายหลังใบเล็กบรรจุทั้งหมดลงไป ก็ทำให้คล่องตัวมากขึ้น โดยแผนการเดินทางที่วางไว้ ผมจะต้องโน้มโมเมนตั้มตัวเองขึ้นไปบนความสูงระดับ 800 ฟุต แล้วอาศัยสายลมที่พัดมาจากสนามม้านางเลิ้ง มุ่งพิกัด 15 องศา ตะวันตกเฉียงใต้ ผ่านสี่แยกวิสุทธิ์กษัตริย์ มุ่งสู่ริมเจ้าพระยา แล้วจับกระแสลมชายน้ำข้ามไปฝั่งศิริราช ถ้าไม่มีฝนตกก็ใช้เวลาเดินทางแค่ไม่เกิน 10 นาที
ผม ออกจากที่พักผ่านมาหน้าสนามหญ้า จึงได้เห็นความคึกคักของเหล่ารัฐมนตรี ในชุดสีขาวเดินกันวุ่นวายไปมา ปลิวเข้าไปดูจึงรู้ว่า สำนักโฆษกของทำเนียบมาดำเนินการถ่ายภาพหมู่คณะรัฐมนตรี ภาพเดี่ยวทำบัตร ทะเบียนประวัติ ทั้งฟังว่าจะทำปฏิทินปีใหม่ ด้วย ฯ บางคนก็แต่งชุดขาวมาจากบ้าน บางคนก็มาเปลี่ยนที่ทำเนียบ สังเกตสีหน้าทุกคน ยิ้มแย้มแจ่มใส เริงร่า อาจจะเป็นเพราะ ผ่านภาวะ “กระแทกตกราง” เข้าสู่การเกาะกุมการบริหารรัฐกิจในตำแหน่งเสนาบดี อย่างเต็มภาคภูมิ มนุษย์มักจะกล่าวว่า..เพื่อเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูล..
แต่ผมจำได้ว่าลุงฝุ่นหมอหนวดฮิตเล่อร์ จะพูดเรื่องนี้ว่า..เกือบทั้งร้อย ไอ้พวกนี้ทำให้ตระกูลเสียชื่อเสียงเพราะการใช้อำนาจและความโลภ แล้วครั้งนี้จะยิ่งชัดเข้าไปอีกว่า..ในเมื่อต้องรับใช้คนม็อนเตรฯหนีคุก พวกเขาก็คงทำอะไรไม่ได้หรอก เพราะต้องฟังบัญชาจากนาย..ก็ขนาดนายกฯปู ก็แค่ puppet ยังต้องฟังคำสั่ง ดั่งชักใยอยู่เบื้องหลัง ของอดีตนายกฯหนีคุกผู้เป็นพี่ชาย แล้วไอ้เสนาบดีลูกกระจ๊อก ที่กำลังเดินแทบจะชนกัน วางท่าดั่งว่า สง่างามเหลือหลายถ่ายรูปหมู่บนสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ในความเป็นจริง ต่างก็รู้อยู่แก่ใจ จะไปยี่หระ ระคายเคืองอะไรนายแม้วได้..ใบลาออกไม่มีวันที่ก็อยู่ในมือเขาซะด้วยสิ !!
พอ ใกล้เที่ยง ความสาระวนบนสนามก็ค่อย ๆ ซาลง พวกพนักงานขับรถต่างก็เตรียมการเดินทางไปยัง รพ.ศิริราช นาทีนั้นผมเปลี่ยนแผนการเดินทางทันที จะปลิวให้เหนื่อยไปทำไม? แค่ก็ไปกับพวกเค้าก็ได้นี่หว่า ?..ผมคิดในใจ..และที่ดีที่สุด ก็คือ การเกาะไปกับนายกฯหญิงคนแรกของประเทศนี่แหละ เหมาะที่สุดแล้ว..แต่ก็ต้องมีศักดิ์ศรีหน่อย ลุงฝุ่นโปรเฟสเซ่อร์แกเคยบอกว่า..มนุษย์เขาถือมาก เรื่องการเกาะชายกระโปรงผู้หญิง..ความหมายมันก็เหมือนกับไอ้พวกชั่วพวกเลวหลายคนที่อาศัยเธอเพื่อไปกุมอำนาจรัฐนั่นแหละ..เอ??..แล้วอย่างงี้จะถือว่า นายแม้วเกาะชายกระโปรงน้องสาว มั้ยละเนี่ยะ?..ผมเอะใจขึ้นมานิด ๆ
แต่ สำหรับผมตอนนี้...มันเป็นเรื่องการปลิวไปเกาะเพื่อการเดินทาง ไม่เกี่ยวกับเรื่องอำนาจบาตรใหญ่ ประสบการณ์บอกผมว่า..จะ เห็น ได้ยิน เรื่องราวชัดเจนที่สุด ต้องอยู่บนบ่าเหมือนที่เคยเกาะ พล.ต.อ.พัชรวาท ครั้งโน้น..ผมไม่รีรอใด ๆ ทันทีที่นายกฯหญิงก้าวลงจากบันไดตึกสู่รถหุ้มเกราะกันกระสุน อันเป็นรถประจำตำแหน่งนายกฯ ผมปลิวข้ามหัวการ์ดร่างใหญ่ แล้วร่อนลงไปบนเครื่องหมายที่เป็นไหมสีทอง บนบ่าของยิ่งลักษณ์ แบบนุ่มนวลสำนวนที่ว่า..smooth as silk...ยังไงยังงั้นเลย..
 .................................                      
“สรุป ว่า ในหลวงท่านมีพระบรมราโชวาท ว่า.. ให้ทำงานให้ประเทศให้ดี ให้เจริญมั่นคง คนที่เป็นผู้ใหญ่ ผู้ปกครองประเทศต้องเป็นแบบอย่างต่อสังคม ขอให้ใช้ความสามารถและความซื่อสัตย์สุจริตในการปฏิบัติหน้าที่..ท่านทรงย้ำ ว่า ในโลกนี้มีความวุ่นวายอย่างยิ่ง ควรจะดำเนินการให้สำเร็จให้เมืองไทยเป็นประเทศที่อยู่สบายในโลก เพราะโลกมีความวุ่นวายพอแล้ว ขอให้ประเทศไทยมีความเรียบร้อย..ทั้งท่านยังทรงตรัสอวยพรทุกคนให้มีความ สำเร็จ และมีความสุข..จากนั้นคณะรัฐมนตรีก็กล่าวคำปฏิญานตนโดยพร้อมเพรียงกัน..”
ผม กล่าวรายงานจบในที่ประชุมหลังตึกสันติไมตรี ท่ามกลางเสียงปรบมือของเหล่าแกนนำ และพี่น้องชาวฝุ่นที่สนใจหลายหมื่นฝุ่น ในช่วงเย็น ก่อนจะแยกย้ายกลับไปยังที่พักอาศัยซึ่งอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้ ตามอัตภาพ
ผม กำลังจะกลับที่พัก ลุงฝุ่นโปรเฟสเซ่อร์ กับ ลุงหมอหนวดฮิตเลอ่ร์ปลิวเข้ามาหาทันที..ทั้งสองกล่าวชื่นชมผมในการปฏิบัติ ภารกิจ ดั่งเป็น ผู้อำนวยการสำนักข่าวชาวฝุ่น ก็ไม่ปาน..
“เป็น ไง? เดินทางราบรื่นไม่เหนื่อยเกินไปนะ?” ลุงฝุ่นโปรฯ ถามในท้ายการสนทนา..ทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่า ตอนกลับลงมาจากพิธีถวายสัตย์ นั้น ขณะกำลังจอแจ จะขึ้นรถ มีเสนาบดีชุดข่าว หัวล้านคนหนึ่ง เดินเลี่ยงออกไปรับโทรศัพท์ และผมปลิวตามติดไปฟัง..
“เออ ๆ ..เขาพูดว่าไงบ้าง?..” ลุงฝุ่นหนวดฮิตเล่อร์อยากรู้
“ได้ยินเขาตอบว่า..ได้ ครับ แน่นอนครับ ทั้งเรื่องพาสสปอร์ต วีซ่า..ครับ ๆ ไม่ต้องห่วง เรื่องท่านฮุนเซ็น เตรียมแล้วครับ เฉพาะเรื่องดินแดน เรื่องพลังงาน ผมไม่ต้องพูด..จำได้ครับ....เรื่องแดงเชียงใหม่..ครับกุมสภาพได้ครับ..ให้ ติดต่อท่านด้วยอีเมล์ใหม่.ลับเฉพาะ ได้ครับท่าน..ครับ ครับ ไม่ผลีผลาม..รับรอง ไม่พลาดครับท่าน..เชื่อมือได้ครับ..”
เมื่อผมกล่าวจบ ผู้อาวุโสทั้งสองต่างมองตากันอย่างเข้าใจว่า ..นั่นเป็นการสั่งการของผู้ใด? ลุงฝุ่นโปรเฟสเซ่อร์ กล่าวแบบเป็นนัย ๆว่า

 “..นับถอยหลังได้เลย..สำหรับ โคลนนิ่งนายกฯปู และ PUPPET FAMILY CABINET
   ......ถ้าไอ้นายแม้วเล่นแผนนี้...ก็คงไม่กี่ยก..นารีร่วงม้า .....หน้าแหก !!”
                                                     ..
.นายเม็ดฝุ่น เองครับ...

จลาจลที่อังกฤษ..มาร์ค ดักแกน เป็นใคร? มาจากไหน? แล้วทำไมถึงได้เกิดเรื่อง?


by market 


มาร์ค ดักแกน  ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับตำรวจ  มาร์ครู้ตัวว่าตำรวจกำลังแกะรอยเขาอยู่ 
เมื่อ วันพฤหัสที่ผ่านมา (4 ส.ค. 2011) มาร์คส่งข้อความจากมินิแคบ(แท๊กซี่)ไปหาแฟนของเขา(เซโมน วิลสัน)ว่า"พวกนักสืบกำลังตามตัวผมอยู่"  สิบห้านาทีต่อมา  มาร์คได้เสียชีวิตลงเพราะถูกยิงโดยกลุ่มตำรวจติดอาวุธ
ต่อไปนี้คือคำถามบางส่วนที่คณะกรรมการเพื่อการร้องทุกข์ตำรวจอิสระ(IPCC : Independent Police Complaint Commission) จะต้องให้คำตอบ
มาร์ค ดักแกนคือใคร? 
มาร์คเติบโตขึ้นมาในแถบบรอดวอเตอร์ฟาร์ม(Broadwater Farm)  ซึ่งว่ากันว่าเขาเป็นผู้ค้าโคเคนอันดับต้นๆที่มักพกปืนไปไหนมาไหนด้วยเสมอ
มาร์ คมีชื่อเล่นว่า "สตาร์ริช มาร์ค" เขาเคยเป็นลูกพี่ใหญ่ของกลุ่มที่รู้จักกันในชื่อ "สตาร์แก๊ง"  ที่เดินย่างกรายไปตามถนนในท๊อตแน่ม (Tottenham) เพื่อก่อความรุนแรง ขู่ขวัญ และซื้อขายยาเสพติด
ว่า กันว่ามาร์คใช้ชีวิตเมื่อเก้าปีที่แล้วในห้องคุมขัง  แต่ก็ไม่ได้รับการลงโทษอะไรที่รุนแรงนัก  ข้อความหนึ่งในทวิตเตอร์ได้กล่าวว่า "เขาใช้ชีวิตเคียงข้างกับปืน"
ใครแกะรอยเขาอยู่?
ทีม สก็อตแลนด์ยาร์ดไทรเดนท์  ซึ่งเป็นทีมที่ดูแลอาชญากรรมเกี่ยวกับปืนในตลาดมืด  ทีมนี้ได้รับการสนับสนุนจากหน่วย CO19 ผู้เชี่ยวชาญทางด้านอาวุธปืน  โดยมี Heckler & Koch MP5 เป็นอาวุธประจำกาย
(ข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้แปล......ประชาคม คนดำหรือคนสีผิวในกรุงลอนดอน จะถูกหน่วยสก็อตแลนด์ยาร์ดของอังกฤษเฝ้าตรวจตราระแวดระวังอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในด้านอาชญากรรมเกี่ยวกับอาวุธปืน(ประจำกาย)......CO19 คือ Central Operation Specialist Firearms Command หรือ หน่วยติดอาวุธที่มีความเชี่ยวชาญหน่วยหนึ่งของอังกฤษ CO คือ Central Operation หมายเลข 19 เป็นตัวเลขที่กำหนดขึ้นมา หมายถึง Specialist Firearms Command
MP5 คือ Machine Pistol รุ่นที่ 5 ของบริษัท Heckler & Koch ผลิต ขึ้นเมื่อปี 2509 มีลักษณะเป็นปืนสั้นกึ่งปืนยาว  ยิงอัตโนมัติ  ลูกกระสุนปืนออกเป็นชุด  ติดลำกล้อง  มีความแม่นยำสูงมาก  คล่องตัว สะดวกในการพกพามากกว่าปืนเล็กยาว......)
ทำไมถึงต้องการตัวเขา?
การ ปฎิบัติการได้ถูกวางแผนไว้แล้ว  แต่แผนการณ์อันล้ำลึกนั้นยังไม่ได้รับการเปิดเผย  ตำรวจได้อธิบายถึงมาร์คไว้ว่าเป็น"ตัวเอก"ของอาชญากรรมในท๊อตแน่ ม(Tottenham)  ที่เกี่ยวข้องกับปืนและยาเสพติด
อีก ทั้งยังมีข่าวว่ามาร์คได้วางแผนที่จะแก้แค้นให้กับญาติของเขา (เคลวิน อีสตัน อายุ 23 ปี) ที่เสียชีวิตจากการถูกแทงด้วยขวดแชมเปญ(แตกปากฉลาม)ในคลับที่อีสต์ ลอนดอน เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
ทำไมถึงต้องจับเขาบนท้องถนนล่ะ?
ที่ เฟอรี่เลน ในท๊อตแน่ม(Tottenham) มักจะมีการจราจรที่คับคั่งและถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนซึ่งเป็นสถานที่ที่ผิด ปกติในการที่จะเลือกเป็นสถานที่จับกุม  เจ้าพนักงานมักจะเลือกจับกุมที่บ้านหรือช่วงเวลาที่เป้าหมายเดินไปไหนมาไหน มากกว่า
อาจจะเป็นไปได้ว่ามาร์คกำลังจะไปก่ออาชญากรรมและกลุ่มเจ้าพนักงานไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากลงมือในทันที
แหล่ง ข่าวกล่าวว่ามาร์คได้เลือกที่จะใช้มินิแคบ(แท๊กซี่)ในการก่อเหตุ  เนื่องจากเขาสงสัยว่ารถของเขานั้นถูกจับตามอง  และอาจมีอุปกรณ์ดักฟัง  เขาบอกให้คนขับแท๊กซี่ขับรถไปที่ชิงฟอร์ด ในอีสต์ ลอนดอน
แล้วหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น?
นี่ คือจุดสำคัญหลักของปัญหาความคลุมเครือที่ IPCC จะต้องให้คำตอบว่าทำไมเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบจึงสามารถสกัดกั้นมินิ แคบโตโยต้า(แท๊กซี่)ให้หยุดได้?  พยานที่เห็นเหตุการณ์ให้การขัดแย้งกัน  พยานคนหนึ่งว่ารถ(แท๊กซี่)ที่ถูกตำรวจสะกดรอยตามประกบได้หยุดจอด  และก็มีเจ้าหน้าที่ติดอาวุธกระโดดออกมา(จากไหนไม่ทราบ-ผู้แปล)  แต่พยานอีกคนหนึ่งว่าตำรวจใช้รถ 2 คัน สกัดกั้นหน้าหลังรถ(แท๊กซี่)อย่างกระชั้นชิด
ไม่ ได้มีการยืนยันแน่นอนว่าเขาอยู่ในรถมินิแคบโตโยต้า(แท๊กซี่)เมื่อถูกสังหาร หรือไม่  ทว่าพยานในเหตุการณ์ให้ความว่า  ทั้งคนขับและเขาถูกดึงออกมาจากรถและถูกบังคับให้นอนราบลงบนพื้นถนน
พยาน วัย 20 ปี ได้กล่าวว่าตำรวจ 2-3 คน  ได้จับตรึงทั้งคู่ไว้กับพื้นถนนและอยู่ในท่าเตรียมยิง  ปืนพวกนั้นใหญ่มากและเขาได้ยินเสียงปืนสี่นัด  ตำรวจยิงเขาบนพื้นและหลังจากนั้นเขาก็ได้ยินว่าชายผู้นั้นเสียชีวิตลงแล้ว
เรื่องนี้ไม่สามารถให้การยืนยันแก่เราได้  และ IPCC ก็ปฎิเสธว่ามาร์คไม่ได้ถูกยิงหลายนัด  และมาร์คไม่ได้เป็นเหยื่อสังหาร......(ผู้แปล......ถ้าถูกยิงหลายนัด หมายถึง การถูกยิงอย่างโหดเหี้ยม และเป็นเหยื่อสังหาร......)
(ข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้แปล......IPCC คือ Independent Police Complaint Commission เป็นคณะกรรมการอิสระเพื่อการร้องทุกข์  ซึ่งจะทำหน้าที่ตามที่มีการร้องทุกข์จากประชาชน  เนื่องจากมีการร้องทุกข์ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบมีสิทธิอันชอบธรรม หรือไม่ที่จะหยุด/สกัดแท๊กซี่ที่มาร์ค นั่งอยู่  พร้อมกับรถตำรวจอีก 2 คัน ดักหน้าดักหลังแบบกระชั้นชิด/รวดเร็ว  ซึ่ง IPCC จะต้องตอบให้กระจ่าง......IPCC ปฎิเสธว่ามาร์คไม่ได้ถูกยิงหลายนัด  และไม่ได้เป็นเหยื่อสังหาร(แต่จากแหล่งขาวบางแหล่งรายงานว่า มาร์คถูกยิง 2 นัด ที่หน้าอก และ โคนแขนขวา......ถ้าเป็นดังนี้จริง  ทางการตำรวจอังกฤษก็คงยุ่งแล้วค่ะ......ซึ่งนั่นหมายถึงการถูกสังหารอย่าง โหดเหี้ยม และเป็นเหยื่อสังหาร......)
มาร์คได้พกอาวุธติดตัวหรือเปล่า?
จากรายงานดั้งเดิมได้รายงานว่าเขามีปืนพกและได้เริ่มยิงตำรวจก่อน  ซึ่งยิงเข้าไปถูกตัววิทยุในแจ๊กเก็ตของเจ้าหน้าที่นายหนึ่ง
แต่ จากการตรวจสอบวิถีกระสุนพบว่าเป็นกระสุนของตำรวจ  ดังนั้นจึงไม่น่าเป็นไปได้ที่มาร์คจะยิงตำรวจก่อน (แล้วตำรวจจึงยิงตอบโต้)  มีการยืนยันว่าพบปืนพกไม่มีใบอนุญาต(เลียนแบบของจริง)ในที่เกิดเหตุ  บรรจุกระสุนครบพร้อมยิง  แต่ไม่มีการเปิดเผยว่ามีการยิงจากปืนกระบอกนี้หรือไม่!!!
............................................................................................
มาดูรูปกันค่ะ
.
มาร์คและแฟนสาว
.
รูปนี้ได้มาจากทีวีที่ออกข่าว...หลังรั้วตำรวจกำลังปั๊มหัวใจมาร์ค
.
ที่ Hackney พวกปล้นสดมภ์ (Looters) บุกเข้าไปในร้านค้าทำลายข้าวของและหยิบฉวยสิ่งของ  ตู้กดเงินอัติโนมัติถูกทำลายเอาเงินออกไป
.
หัวข้อข่าวเค้าว่าตำรวจไร้น้ำยาปล่อยให้พวกม๊อบครองถนน...ในภาพช่างภาพกำลังโดนรุมหมอบอยู่กับพื้น...
.
วัยรุ่นใส่หน้ากากปิดบังใบหน้าขโมยทีวีออกมาจากร้านค้า  ในขณะที่คนอื่นๆช่วยกันเปิดแผงกั้นร้าน
.
รูปซ้าย...ทำลายแล้วหยิบฉวย  รูปขวา...วัยรุ่นหยิบฉวยสิ่งของ  รูปนี้มีออกทีวีแต่มีคาดหน้า...ข่าวบอกรูปนี้เอามาจากเฟสบุ๊คค่ะ!!!
.
ความโลภ...เด็กน้อยพร้อมตะกร้าใส่ของที่ขโมยมาจากห้าง
.....................................................................
จาก ผู้แปล : เรื่องจากบทความ Shootinging inquiry : The key questions โดย David Williams บรรณาธิการข่าวหนังสือพิมพ์ Daily Mail ฉบับวันที่ 9 สิงหาคม 2011 : รูปจากหนังสือพิมพ์ Daily Mail ฉบับวันที่ 9 สิงหาคม 2011 และ จากหน้าจอข่าวโทรทัศน์

เปิดบ้านนายกยิ่งลักษณ์


Image
Image
Image
Image
Image
Image
Image
Image
User avatar
ใต้หล้า
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง