บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

    “ยิ่งลักษณ์” ต้องแถลงด้วยตัวเองอีกครั้ง ว่า “จะไม่ทำเพื่อคน ๆ เดียว”


                                                                                  



     ภาณุมาศ ทักษณา

    “ยิ่งลักษณ์” ต้องแถลงด้วยตัวเองอีกครั้ง ว่า “จะไม่ทำเพื่อคน ๆ เดียว” วันนี้ชาวบ้านข้องใจ ค.ร.ม.ออกกฎหมายช่วย พี่ชายของคุณ   



ข่าวน้ำท่วมที่เคยเป็นข่าวใหญ่ประจำวันมาหลายวัน ถูกเบียดด้วยข่าว

ค.ร.ม.พิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกา(พ.ร.ฎ)ขอพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ……ซึ่งมีการกำหนดเงื่อนไขของนักโทษที่จะขอรับพระราชทานอภัยโทษในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา 5 ธันวาคม 2554

        สาเหตุที่ถูกเบียดเพราะ ค.ร.ม.ทำลับ ๆ ล่อ ๆ กับ พ.ร.ฎ.นี้ ตั้งแต่ก่อนประชุมได้ไล่คนที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากห้อง และเมื่อประชุมเสร็จ ก็ดันดึงร่าง พ.ร.ฎ.ซึ่งเป็นผลการประชุมของ ค.ร.ม.ออกเพื่อไม่ให้ใครเห็น

        20.35 น.นักข่าวถาม ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีถึงเรื่องนี้ ก็ถูกเลี่ยงว่า ยังไม่ทราบรายละเอียด แล้วโบ้ยให้ไปถาม ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีที่เป็นประธานในที่ประชุมแทน

ตกดึกคืนเดียวกัน นักกฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์ จึง “ตีความ” ว่า น่าจะมีการ “ยัดชื่อ” ทักษิณ ชินวัตร นักโทษที่กำลังหนีคดีเข้าไปในกฎหมายนี้ด้วย เท่านั้นเอง “ข่าวนี้” กลายเป็น ไฟลามทุ่งอินเตอร์เน็ต

        เที่ยงวันนี้ นักข่าวไปถาม ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่รัฐสภาว่าในสาระของ พ.ร.ฎ.มีการเอื้อประโยชน์ให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ โดยเฉพาะเงื่อนที่ระบุว่าไม่จำเป็นต้องรับโทษ

ร.ต.อ.เฉลิม ตอบว่า ตนไม่ตอบเรื่องนี้เพราะเป็นความลับ ยังไม่ได้บทสรุป

เมื่อถามย้ำว่าขณะนี้ขั้นตอนการพิจารณาอยู่ในขั้นไหน

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า การพิจารณาเป็นเรื่องลับ ตนจะชี้แจงเมื่อได้บทสรุปแล้ว ทั้งนี้เห็นว่าคนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ไม่รู้จักกาลเทศะ ของอย่างนี้ไม่ใช่เอามาพูดเล่นๆ และคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมา 20 คนรัฐบาลไปสั่งให้เขาทำผิดกฎหมายไม่ได้

ส่วนที่ฝ่ายค้านจะนำเรื่องนี้มาตั้งกระทู้ถามสดในวันที่  17 พ.ย. ตนก็มีสิทธิตอบและไม่มีสิทธิตอบ เพราะไม่รู้จะเอาอะไรไปตอบ เนื่องจากยังไม่บรรลุผลสำเร็จ และตนก็ยืนยันในเนื้อหาไม่ได้ เพราะสุดท้ายแล้วก็ไม่ได้เป็นอำนาจของ ครม. แต่เป็นพระราชอำนาจ

อย่างไรก็ตาม ก่อนถึงวันที่ 17 พ.ย.54 ผมขอตั้งกระทู้นอกสภา ถาม นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ เพราะจำได้ว่า หลังรู้ผลว่าพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งและมีการฟอร์ม ค.ร.ม.อยู่นั้น สำนักข่าว CNN ได้ขอสัมภาษณ์ คุณยิ่งลักษณ์ เกี่ยวกับ ทักษิณ ชินวัตร ว่า

โดยสำนักข่าว CNN ได้รายงานข่าวว่า หากจะนำ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับประเทศจะต้องมีการรื้อฟื้นคดีใหม่ นั้น แม้คุณยิ่งลักษณ์จะกล่าวว่า ไม่ได้ให้สัมภาษณ์ในลักษณะเช่นนั้น

โดยการว่า การนำ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาไม่ใช่ประเด็นหลัก และพรรคเพื่อไทยมีนโยบายไม่ได้ทำเพื่อคนๆเดียว ทั้งหมดต้องรอคณะกรรมการอิสระตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) โดยจะทำอย่างไรให้เกิดความปรองดอง และให้การทำงานของ คอป.เป็นอิสระ

           เมื่อถามว่า สื่อต่างประเทศแนะนำว่าถ้าพรรคเพื่อไทยแก้ปัญหาเรื่องนิรโทษกรรมเป็นอันดับแรก หรือตั้งครม.ที่สังคมไม่ยอมรับจะบริหารงานได้ไม่เกิน 3 เดือน น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ขอให้รอประกาศนโยบายก่อน ยืนยันจะไม่ทำเพื่อคนๆ เดียว”

        แต่วันนี้ ประชาชนกำลังคลางแคลงใจกับการกระทำของรัฐบาลนี้ ที่ทำลับ ๆ ล่อ ๆ กับการร่างกฎหมายอภัยโทษที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีอ้างว่าเป็นความลับนั้น ในฐานะที่ คุณยิ่งลักษณ์เป็น หัวหน้ารัฐบาล จะต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้

        การปฏิเสธว่ายังไม่ทราบรายละเอียดนั้น ฟังไม่ขึ้นครับ

        เป็นไปได้อย่างไรที่ วาระการประชุมคณะรัฐมนตรี คนเป็นนายกรัฐมนตรีจะไม่รู้เรื่อง หรือเมื่อประชุมกันเสร็จแล้ว นายกรัฐมนตรีก็ยังไม่รู้เรื่องอีก..

        หากวานนี้ ค.ร.ม.มีมติ “ปลดนายกรัฐมนตรี” ออกจากตำแหน่ง คุณยิ่งลักษณ์จะทำอย่างไรหรือ ?

        การปฏิเสธครั้งนี้มองได้สองอย่างคือ หนึ่งการไม่ยอมรับรู้ผล ค.ร.ม.ที่อาจทำให้การประชุมในวันนั้นเป็นโมฆะ และ สองหากไม่โมฆะ คุณยิ่งลักษณ์ ก็ต้องการหนีข้อครหาจากประชาชนว่า ออกกฎหมายช่วยพี่ชาย ทั้งที่เคยพูดว่าจะไม่ช่วยคน ๆ เดียว

        ส่วนกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม บอกว่าการร่าง พ.ร.ฎ.เรื่องอภัยโทษเป็นความลับนั้น ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล คุณยิ่งลักษณ์ ต้องถาม ร.ต.อ.เฉลิม เพื่อเอามาตอบชาวบ้านด้วยว่า การออกกฎหมายอภัยโทษทักษิณ ชินวัตร อยู่ใน “ชั้นความลับ” ไหนของทางราชการ

        ระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ.2544 กำหนดชั้นความลับไว้เป็น 3 ลำดับคือ

1.ลับที่สุด (TOP SECRET)

2. ลับมาก (SECRET) และ

3.ลับ (CONFIDENTIAL)

        ในระเบียบเดียวกันมีคำขยายความว่า

ลับที่สุด หมายความถึง ข้อมูลข่าวสารซึ่งหากเปิดเผยทั้งหมด หรือเพียงบางส่วนจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์แห่งรัฐอย่างร้ายแรงที่สุด ,

ส่วน ลับมาก ข้อความเหมือนกันแต่ตัดคำว่า ที่สุด ออกจาก อย่างร้ายแรง และ ลับ เหลือเพียงท่อนท้ายว่า เสียหายแก่ประโยชน์แห่งรัฐ..

        ผมจึงมองไม่เห็นว่า การเปิดเผยว่า ค.ร.ม.กำลังออกกฎหมายเพื่อช่วยทักษิณให้ได้รับการอภัยโทษจะนำความความเสียหายแก่ประโยชน์แห่งรัฐสักแค่ไหน จนต้องอ้างคำว่าความลับ มาปิดปากตัวเอง

        ขณะที่ชาวบ้านกำลังทุกข์ยากจากภัยน้ำท่วม แทนที่รัฐบาลจะหาทางแก้ปัญหาทุกวิถีทาง คือไม่เพียงแต่ตั้งคณะกรรมการ ร้อยชุด พันคณะ มาประชุมหารือเท่านั้น แต่ควรสดับตรับฟังด้วยว่า ชาวบ้านเขาช่วยตัวเองกันอย่างไร

        วันนี้มี BG ของ OKNATION หลายคนได้นำเอาแนวความคิดของชาวบ้าน ที่จะช่วยเหลือตัวเองให้พ้นจากน้ำท่วมมาบันทึกไว้ รัฐบาลควรให้ข้าราชการมาคัดลอกไปศึกษาแล้วหาทางสนับสนุนภาคเอกชนหรือชาวบ้านอย่างเต็มที่

        ไม่ใช่ฉวยโอกาสที่ชาวบ้านกำลังทุกข์ทรมานกับน้ำท่วมทั้งร่างกายและจิตใจ ลักลอบออกกฎหมายเพื่อช่วยพี่ชายของตัวเองเยี่ยงนี้

        อยากเตือน คุณยิ่งลักษณ์ และรัฐบาลชุดนี้ว่า อย่าทำอะไรให้สะเทือนใจที่บอบช้ำของประชาชนให้มากไปกว่านี้เลยนะครับ เพราะทุกคนมีขีดจำกัดของความอดทนไม่เหมือนกัน..

        หากชาวบ้านคิดว่า รัฐบาลนี้ไม่ใช่ที่พึงของเขา แต่เป็นที่พึงของทักษิณ ชินวัตร แล้วออกมาขับไล่รัฐบาลด้วยเสียงตะโกนว่า

        ยิ่งลักษณ์ออกไป

        ยิ่งลักษณ์ออกไป

        ยิ่งลักษณ์ออกไป

        ไม่เพียงทักษิณ ชินวัตร จะไม่ได้กลับบ้านเท่านั้น

        แต่ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็อาจไม่มีแผ่นดินอยู่เหมือนกัน !

 





วิเคราะห์เจาะลึก ! รับมือน้ำท่วมสมุทรสาคร



กระปุกด็อทคอม
เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา มหาชัยเคเบิลทีวี ได้จัดรายการสนทนาเตรียมรับมือน้ำท่วมสมุทรสาคร โดยเชิญอาจารย์ศศิน เฉลิมลาภ เลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร, ผู้ ช่วยศาสตราจารย์จิตศักดิ์ พุฒจร นักวิชาการเครือข่ายอาสาฝ่าน้ำท่วม และนายกุลวัชร หงษ์คู นายกเทศมนตรีนครสมุทรสาคร มาร่วมวิเคราะห์สถานการณ์น้ำท่วมสมุทรสาครและแนวทางการรับมือในขณะนี้
โดย อาจารย์ศศิน ระบุว่า จากภาพถ่ายดาวเทียมจะเห็นว่า มวลน้ำจำนวนมหาศาลย้อยลงมาทางตะวันตก และก็เป็นดังคาดคือ น้ำข้ามคลองมหาสวัสดิ์ คลองภาษีเจริญ ปิดถนนบรมราชนนี ถนนเพชรเกษม และตอนนี้น้ำกำลังท่วมจอมทอง เอกชัย ซึ่งเป้าหมายต่อไปคือถนนพระราม 2 และคงท่วมแน่ ๆ
สำหรับ จังหวัดสมุทรสาคร จะได้รับผลกระทบเพียงใดนั้น อาจารย์ศศิน ระบุว่าขอให้ทำความเข้าใจก่อนว่า จังหวัดสมุทรสาครเป็นเมืองชายฝั่งทะเล และอยู่บนที่ราบที่น้ำขึ้นถึง ทั้งน้ำจากทะเล และน้ำในคลองที่จะเอ่อขึ้นมาจากตัวเมือง ดังนั้น พื้นที่แถบนี้จะไม่ค่อยกลัวน้ำท่วม เพราะเวลาน้ำมาน้ำจะเข้าไปในคลองย่อย ๆ และหายไปเลย ยิ่งมีร่องสวน น้ำก็ยิ่งสลายได้เร็ว แต่ปีนี้ไม่เหมือนเดิม เพราะมวลน้ำจากกรุงเทพฯ ที่เดิมทีพยายามจะผันลงทางตะวันออก เพื่อให้ลงสมุทรปราการอย่างทุกปี แต่ปีนี้น้ำมาทางตะวันตกเยอะ เลยกลายเป็นสมุทรสาครที่ต้องระบายน้ำลงทะเล ดังนั้น สมุทรสาครต้องเตรียมพร้อมระบายน้ำ เพื่อให้น้ำที่ท่วมทางนครสวรรค์ อ่างทอง สิงห์บุรี พระนครศรีอยุธยา นนทบุรี ปทุมธานี น้ำลดเร็ว
สิ่งที่เป็นห่วงก็คือ ในช่วง 20 ปี มานี้ สภาพพื้นที่แถบนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ทางฝั่งดำเนินไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่ทางฝั่งกระทุ่มแบน ไล่ลงมาสมุทรสาคร พื้นที่ถูกถมขึ้นเยอะ ทำให้สภาพพื้นที่เปลี่ยนไป สภาพภูมิคุ้มกันของสมุทรสาครซึ่งไม่เคยถูกน้ำเหนือท่วมมาก่อนเลยเปลี่ยนแปลง ไป นี่คือสิ่งที่น่าเป็นห่วงข้อที่ 1 ส่วนข้อที่ 2 คือ วันนี้แม่น้ำท่าจีนไม่เหมือนเดิม สภาพตอนนี้เป็นแม่น้ำท่าจีนที่ถูกผันน้ำมาจากเจ้าพระยามากมาย ดังนั้น ฝั่งตะวันออกของมหาชัยจะน่าเป็นห่วง ส่วนฝั่งดำเนิน ผมไม่ค่อยเป็นห่วงเท่าไหร่”
ขณะ ที่ผู้ช่วยศาสตราจารย์จิตศักดิ์ ระบุว่า จากการเดินทางไปดูพื้นที่น้ำท่วมแถบทุ่งรังสิต บางบัวทอง บางใหญ่ จึงได้ประมาณการว่า น้ำคงจะเทมาทางฝั่งตะวันตกแน่นอน และภาครัฐก็ไม่ได้มีการประเมินว่า น้ำจะมาถึงเมื่อไหร่อย่างไร ทั้งนี้ ฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ แม้จะมีคูคลองเยอะ แต่ไม่มีคลองแนวตั้งที่จะช่วยแผ่น้ำออกไปตามเส้นเลือดฝอย ซึ่งจะช่วยให้สถานการณ์น้ำท่วมเบาบางลง และเป็นทางรอด อย่างไรก็ตาม หากทำเช่นนี้ก็คงมีปัญหาเรื่องมวลชน ที่คงไม่ยอมให้บ้านถูกน้ำท่วมเป็นแน่
ทั้ง นี้ อ.จิตศักดิ์ ยังกล่าวต่อว่า ในกลุ่มอาสาฝ่าน้ำท่วมได้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ เพื่อหาคลองที่จะผลักน้ำลงทะเลให้เร็วที่สุด โดยมองไว้ว่าในฝั่งตะวันตก จะต้องจัดการผันน้ำให้เลี้ยวลงไปตามคลองหมาหอน เพื่อลงไปยังคลองแนวตั้งให้เร็วที่สุด โดยอาศัยจังหวะที่น้ำทะเลไม่หนุน ส่วนฝั่งตะวันออก เท่าที่สำรวจพบว่า ชาวบ้านได้ช่วยกันกำจัดผักตบชวาออกไปหมดแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมากเพราะจะช่วยให้น้ำระบายลงทะเลได้เร็วขึ้น จากนั้นจะต้องระดมผันน้ำลงทะเลตามร่องตามคลองต่าง ๆ ซึ่งหากทำได้ดี ถนนพระราม 2 ก็อาจจะท่วมไม่มาก
อย่าง ไรก็ตาม อ.จิตศักดิ์ ยังระบุว่า ได้รับข้อมูลมาว่า มีการกักน้ำเอาไว้อยู่ด้านบน เพื่อให้น้ำไหลลงมาช้าเพื่อที่ชาวสมุทรสาครจะได้เตรียมตัวทัน ซึ่งก็ต้องช่วยกันระบายน้ำลงทะเล แต่ถ้าหากประตูน้ำชำรุดเมื่อไหร่ หรือแนวกั้นน้ำตรงคลองมหาสวัสดิ์ แนวทางรถไฟชำรุดเมื่อไหร่ ทีนี้น้ำจะยิ่งไหลลงมาสมุทรสาครเร็วขึ้น
ถึง ตรงนี้ อ.ศศิน กล่าวเสริมว่า ปกติแล้วจังหวัดสมุทรสาครเป็นจังหวัดที่น้ำไม่ท่วม เพราะน้ำมาเท่าไหร่ก็จะลงคลองหมด ดังนั้นอย่าเพิ่งกลัวว่าน้ำจะท่วมสมุทรสาครแน่ เพราะถ้าเราช่วยกันจัดการให้น้ำทั้งหมดไหลลงคลองแล้วไปลงแก้มลิงที่คลองสนาม ชัยต่อมหาชัย รวมทั้งคลองหมาหอน หรือพื้นที่ราบน้ำขึ้นถึงให้มากที่สุด น้ำก็อาจจะไม่ท่วมได้ ปัจจัยสำคัญคือ “ทำอย่างไรให้คลองเป็นที่เก็บน้ำ”
ที่ บ้านผมคือจังหวัดอยุธยาเป็นที่ราบน้ำท่วมถึงจากแม่น้ำเจ้าพระยา แต่จังหวัดสมุทรสาครเป็นที่ราบน้ำขึ้นถึงจากทะเล ดังนั้นน้ำจะท่วมจากทะเลเท่านั้น ไม่ได้ท่วมจากแม่น้ำจากน้ำเหนือ แต่ปีนี้น้ำมาเยอะ และสภาพพื้นที่เปลี่ยนแปลง แต่เราสามารถจัดการดันน้ำลงคลองได้ ไม่ให้น้ำเอ่อมาสองข้าง จะช่วยรักษาสมุทรสาครไว้ได้” อ.ศศิน แนะนำ
ขณะ ที่ นายกเทศมนตรีนครสมุทรสาคร กล่าวว่า ทางจังหวัดได้ประเมินไว้ว่า สมุทรสาครน่าจะเกิดน้ำท่วมบางพื้นที่ โดยขณะนี้น้ำท่วมทางตอนเหนือแล้ว เช่นที่บริเวณอ้อมน้อย สวนหลวง คลองมะเดื่อ แคลาย ทางจังหวัดจึงได้มีการขุดลอกคูคลองไว้เรียบร้อยแล้ว พร้อมกับตั้งเครื่องสูบน้ำเพิ่ม เพื่อช่วยกันยันน้ำไว้ที่คลองภาษีเจริญ ซึ่งสูบน้ำไว้ได้มาก อย่างไรก็ตาม ตอนนี้น้ำในแม่น้ำท่าจีนสูงกว่าคลองภาษีเจริญ 1.5 เมตร ทำให้การระบายน้ำทำได้ยากขึ้น
ที่ น่าเป็นห่วงจริง ๆ คือช่วงปลายเดือนนี้ที่น้ำทะเลจะหนุนสูงอีกครั้ง และคาดว่าเป็นเวลาที่น้ำเหนือจะลงมาถึงสมุทรสาครพอดี ซึ่งถ้ามีพายุเข้ามาด้วย เราจะหนัก ดังนั้นเราจึงระดมเครื่องสูบน้ำไว้ และหากรัฐบาลเข้ามาช่วยดูแลมีเครื่องไม้เครื่องมือมาช่วยจัดการ จังหวัดสมุทรสาครน่าจะกระทบน้อย โดยตอนนี้ทางจังหวัดระดมเครื่องสูบน้ำไปดันน้ำอยู่ที่คลองภาษีเจริญ แต่หากเห็นว่าไม่ไหวเมื่อไหร่ น้ำล้นมา เราก็ยังมีคลองสี่วาพระสวัสดิ์ช่วยยันอีก เช่นเดียวกับซีกตะวันออกที่ยังมีคลองสองสามคลองช่วยยันไว้อยู่ ที่แน่ ๆ คือ ตอนนี้ในตัวเมืองยังรอด เพราะเรายันกันอยู่นอกกำแพง โดยตอนนี้เราผลักดันน้ำไว้ได้มาก ถือเป็นความสำเร็จอันหนึ่ง” นายกฯ เล็กเมืองสมุทรสาคร ระบุ
สำหรับ ในพื้นที่ของเทศบาลนครที่หลายคนวิตกกังวลว่า แนวเขื่อนที่มีอยู่จะยิ่งกันน้ำเหนือไม่ให้ออกทะเล จะยิ่งทำให้น้ำขังในเทศบาลนครนานหรือไม่นั้น อ.จิตศักดิ์ ยอมรับว่าเป็นไปได้ที่จะเป็นเช่นนั้น แต่ตอนนี้ต้องตั้งหลักก่อน คือ ถ้าน้ำเหนือลงมาเมื่อไหร่ น้ำจะตรงมายังเทศบาลนครเลย และยิ่งถ้าน้ำทะลักท่วมพระราม 2 เทศบาลนครก็จะโดนน้ำอีกด้าน ดังนั้นต้องรีบดักน้ำให้ออกไปก่อนจะเข้าเทศบาล เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา รวมทั้งพื้นที่ท่าฉลอมที่ควรเฝ้าระวัง แต่ก็ไม่อยากให้ตื่นตระหนก
ใน ส่วนของท่าฉลอมซึ่งมีน้ำโอบทั้งสองด้าน จะได้รับผลกระทบมากน้อยแค่ไหนนั้น อ.ศศิน มองว่า ที่ท่าฉลอมเป็นที่ดอนกว่าจุดอื่นเล็กน้อย เพราะเป็นคันดินธรรมชาติของแม่น้ำท่าจีนโบราณ และเป็นโค้งท่าจีนที่แทบจะตัดขาดโค้งน้ำคล้ายกับที่บางกระเจ้า ซึ่งจากประสบการณ์บางกระเจ้าไม่ถูกน้ำท่วม ดังนั้น จุดนี้เป็นภูมิประเทศใกล้ ๆ กับบางกระเจ้า แต่ก็ไม่ควรประมาท ส่วนที่บางหญ้าแพรก ซึ่งมีคลองมหาชัย อ.ศศิน มองว่า จุดนี้มีโอกาสจะถูกน้ำท่วมมากกว่า เพราะน้ำมาทางนี้มากกว่า และอาจได้รับผลกระทบจากน้ำจืดที่ลงมาปะทะน้ำเค็มในเรือกสวนไร่นา
ที่ กระทุ่มแบนต้องเฝ้าระวังคลองภาษีเจริญ ถ้าน้ำข้ามคลองภาษีเจริญได้จริง ๆ น้ำจะหลากท่วมแบบตลิ่งชัน พุทธมณฑลแน่นอน แต่ถ้าข้ามคลองไม่ได้ น้ำจะเอ่อตามท่อค่อย ๆ ไหลมาแทน และหากน้ำท่วมกระทุ่มแบนแล้ว ตอนล่างจะมีคลองสี่วาฯ รับไว้อยู่ หากจัดการน้ำลงคลองสี่วาฯ ได้ โซนใต้คลองสี่วาฯ คืออำเภอเมืองก็จะปลอดภัย แต่ถ้าข้ามคลองสี่วามาได้ เราต้องมาดูโซนพระราม 2 ซึ่งเป็นตัวกั้นใหญ่ ถ้าข้ามพระราม 2 มาอีก น้ำจะถึงฝั่งเทศบาลอีก แต่ผมคิดว่าในเขตเทศบาลที่น่าห่วงคือ น้ำที่ย้อยลงมาจากข้างบนคือ กทม. มากกว่า เพราะหากน้ำไหลมาถนนเอกชัยเมื่อไหร่ น้ำจะไหลเร็วและพุ่งมา ซึ่งน่าจะทะลักข้ามมาถนนพระราม 2 ถึงเทศบาลนครได้” อ.ศศิน ระบุ
อย่าง ไรก็ตาม อ.ศศิน ยังแนะนำด้วยว่า หากเรารู้ว่า น้ำมาถึงตรงนี้แล้ว ข้ามคลองนี้มาแล้ว ตรงไหนจะโดนบ้าง เราจะเตรียมรับมือได้ทัน และลดความเสียหายได้ ให้ตั้งสมมติฐานว่ามีโอกาสท่วมไว้ก่อนจะดีที่สุด
ทั้ง นี้ อีกหนึ่งปัญหาที่น่าห่วงคือ น้ำที่ท่วมขังนานซึ่งกำลังเดินทางลงทะเล จะทำให้น้ำทะเลมีปัญหา เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายกเทศมนตรีสมุทรสาคร ระบุว่า ตอนนี้เริ่มมีตะกอนมาสะสมที่ก้นอ่าวไทยแล้ว และจะส่งผลเสียต่อการประมง โดยเฉพาะอีกสองสามเดือนน้ำเน่าจะเริ่มไหลลงมาถึงสมุทรสาคร ซึ่งถ้าน้ำเน่ามาเมื่อไหร่ แม่พันธุ์ ลูกพันธุ์ของสัตว์น้ำ กุ้ง หอยแครง ปลาทูแม่กลอง ปู ฯลฯ คงตายหมด ซึ่งจะเป็นปัญหาอีกนานแน่นอน และคนจะไม่ค่อยสนใจ ไปให้ความสนใจฟื้นฟูเรือกสวนไร่นา แต่ไม่มองเรื่องการประมง
ขณะ ที่ อ.ศศิน แนะนำว่า วิธีที่จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้บ้างก็คือ ทำอย่างไรก็ได้ให้น้ำอยู่ในคลองย่อยให้นานกว่าผันลงแม่น้ำท่าจีน แล้วค่อย ๆ ใช้ระบบธรรมชาติผันลงสู่ทะเล เพราะหากน้ำลงแม่น้ำท่าจีนมาก ๆ โอกาสที่จะกระทบต่อทะเลจะยิ่งมีสูงไปด้วย
สุด ท้ายนี้ นายกเทศมนตรียังได้สร้างความมั่นใจให้ชาวสมุทรสาครว่า ทางจังหวัดเตรียมเครื่องสูบน้ำไว้พร้อมแล้ว และวางแผนการบริหารจัดการไว้เช่นกัน ดังนั้น ขอให้ประชาชนวางใจ และอย่ารื้อพังเขื่อนด้วยความกลัวว่าเขื่อนจะยิ่งทำให้น้ำท่วมสูงขึ้น เพราะถ้ายิ่งพังเขื่อนแล้วเกิดน้ำเหนือไหลลงมาอีก จะยิ่งเป็นปัญหาหนักขึ้นไปอีก พร้อมกันนี้ขอให้รัฐบาลเข้ามาช่วยรักษาถนนพระราม 2 เส้น เลือดใหญ่เอาไว้ และทำอย่างไรจึงจะช่วยท้องถิ่นให้ระบายน้ำลงทะเลได้เร็วลง เพราะอำนาจของจังหวัดเองมีไม่เพียงพอ และเชื่อว่าหากรัฐบาลเข้ามา การบริหารจัดการน่าจะดีขึ้น

ชงย้ายเมืองหลวง! หวั่น10ปีกทม.จม นครนายกเหมาะ

เพื่อไทยผวาภัย น้ำท่วม เสนอญัตติด่วนย้ายเมืองหลวง หวั่นอีก 10 ปี กทม.จมบาดาล ส.ส.ลำพูน เผย มีการเสนอย้ายเมืองหลวงมาแล้วหลายยุค ชี้นครนายกเหมาะสุด เหตุไม่ไกล กทม. เชื่อมรถไฟความเร็วสูงได้...

เมื่อเวลา 14.40 น. ที่รัฐสภา นายสถาพร มณีรัตน์ ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย พร้อมรายชื่อ ส.ส.พรรคเพื่อไทย 20 คน ได้ยื่นเรื่องถึงสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ผ่านไปยัง นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอเสนอญัตติด่วนเรื่องขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาศึกษาเพื่อขอย้ายเมืองหลวงจากกรุงเทพมหานคร ไป จ.นครนายก จ.เพชรบูรณ์ และจังหวัดอื่นๆ ที่เหมาะสม โดยในญัตติดังกล่าวระบุว่า ด้วยสภาวะแวดล้อมของโลกและประเทศไทย ที่เปลี่ยนแปลงไปหลายด้าน ส่งผลให้เกิดวิกฤติภัยธรรมชาติทั้งการเกิดน้ำท่วม แผ่นดินทรุด รอยเลื่อนแผ่นดินไหว ภัยสึนามิ และจะต้องใช้งบประมาณฟื้นฟูสภาพจำนวนมหาศาล สิ่งเหล่านี้สามารถพิสูจน์ได้ว่า กทม.ที่เป็นเมืองหลวงของไทย แผ่นดินทรุดโดยเฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 20 ซม. รวมถึงภาวะโลกร้อนทำให้น้ำทะเลหนุนสูงขึ้น จึงมีความเป็นไปได้ที่ กทม. จะกลายเป็นเมืองบาดาล อาจจะสร้างความเสียหาย และความเดือดร้อนแก่ประชาชนและบ้านเรือนที่อยู่อาศัยในเขต กทม.ได้ สภาพปัญหาที่เกิดขึ้นจึงเห็นได้ว่าควรพิจารณาศึกษาการย้ายเมืองหลวงจาก กทม.ไปยังพื้นที่ที่เหมาะสม เช่น จ.นครนายก เพชรบูรณ์ หรือจังหวัดอื่นที่มีความเหมาะสมต่อไป เพื่อเตรียมรับมือแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต


นาย สถาพร ให้สัมภาษณ์ว่า ญัตตินี้พรรคได้รับหลักการให้เสนอตามที่ ส.ส.ได้เข้าชื่อเสนอ ให้เป็นเรื่องของสภาฯ โดยแนวคิดย้ายเมืองหลวงเคยมีในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่จะย้ายไปยัง จ.นครนายก และสั่งการให้สภาพัฒน์ไปศึกษาข้อมูลเบื้องต้นแล้ว จ.นครนายก มีความเหมาะสมทั้งทางกายภาพและภูมิศาสตร์ พื้นที่เป็นแนวลาดชัน หากน้ำมาก็จะไหลระบายได้เร็ว ไม่เหมือนกับ กทม.ที่เป็นแอ่ง น้ำมาจึงเป็นพื้นที่รับน้ำอย่างเดียว ดังนั้น การย้ายเมืองหลวงไปแห่งใหม่ดีกว่าจะไปทำนิวไทยแลนด์อยู่แล้ว มองทั้งเชิงโครงสร้างและแผนงานยังไงก็คุ้มค่ากว่า กทม.จะมีอะไรเป็นนิวได้อีก เราควรวางแผนสร้างความหวังให้ประชาชนใหม่ จ.นครนายก เหมาะสม ไปถึงก็วางโครงสร้าง ผังเมืองใหม่ ทั้งส่วนราชการ ศูนย์กลางเศรษฐกิจ หรือแม้แต่การขนส่ง ระบบคมนาคม ก็ไปทำรถไฟความเร็วสูงเชื่อมไปภูมิภาคตะวันออก เหนือ อีสาน หรือแม้กระทั่งทำรถไฟความเร็วสูงมายังสนามบินสุวรรณภูมิก็ไม่ไกลมาก กลับมา กทม.ก็ห่างกันเพียง 40 กม.เท่านั้น

นาย สถาพร กล่าวต่อว่า ส่วนนิคมอุตสาหกรรมหากคิดระยะยาวก็กระจายให้มาอยู่รอบนอก ทั้งสระบุรี ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทราก็ได้ ส่วนแนวคิดในจังหวัดเพชรบูรณ์นั้นก็เหมาะสมเช่นกัน ทั้งทางภูมิศาสตร์และกายภาพ ไม่อย่างนั้นยุค จอมพล ป.พิบูลย์สงคราม คงไม่มีแนวคิดจะย้ายเมืองหลวง เช่นเดียวกันกับยุคคอมมิวนิสต์ถ้าไม่ดีจริง คงไม่ยึดเป็นฐานที่มั่น เราต้องสร้างแนวคิดใหม่ จุดให้เป็นประเด็นใหญ่ให้เป็นเรื่องทอล์ก ออฟ เดอะทาวน์ ไปเลย ใครไม่เชื่อก็อย่าเชื่อ มีคำทำนายว่า กทม.จะจมบาดาลภายใน 10 ปี ดังนั้นต้องย้ายเมืองหลวงใหม่.

ไทยรัฐออนไลน์

บังคับในหลวง ลักไก่ผ่านร่างพระราชกฤษฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ

ครม.ปูเหิมเกริมหนัก เดินแผนชั่ว บังคับในหลวง  ลักไก่ผ่านร่างพระราชกฤษฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ ตัดต่อคุณสมบัติครบสูตร อายุเกิน 60-ต้องโทษไม่เกิน 3 ปี คอรัปชั่นก็ให้ ล็อกสเปกอุ้มคนโกงพา "ทักษิณ" กลับบ้าน 5 ธันวา. ขณะที่ผู้อพยพชาวไทยยังไม่ได้กลับเพราะน้ำท่วมบ้าน แยบยลกัน "ยิ่งลักษณ์" ออก ส่งไปค้างคืนสิงห์บุรีพร้อม "ยงยุทธ" อ้าง ฮ.บินกลางคืนไม่ได้ ให้ "เหลิม" รองนายกฯ ลำดับ 3 นั่งหัวโต๊ะรับงานช้างแทน
    การประชุมคณะรัฐมนตรีที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ลำดับที่ 3 ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมเมื่อวันอังคารที่  15 พ.ย.ที่ผ่านมา ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่ารัฐบาลใช้โอกาสที่ประชาชน กำลังเดือดร้อนจากมหาอุทกภัย  แอบช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นักโทษหนีคุกพ้นความผิด ด้วยการเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะ เดินทางไปตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจประชาชนที่ จ.สิงห์บุรี พร้อมมอบแผนฟื้นฟูเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบหลังน้ำลด และไม่สามารถเดินทางกลับ กทม.ได้ตามกำหนดการ ทำให้ต้องพักค้างคืนที่ จ.สิงห์บุรี เมื่อวันที่ 14 พ.ย. โดยอ้างว่าเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์เอ็มไอ 17 ของประเทศรัสเซีย ที่ใช้เป็นพาหนะในการเดินทางไม่สามารถบินตอนกลางคืนได้ เพราะไม่มีเรดาร์นำทางนั้น
    จากกรณีดังกล่าว แหล่งข่าวในกองทัพเปิดเผยโดยยืนยันว่า  เฮลิคอปเตอร์รุ่นดังกล่าวมีสมรรถภาพเพียงพอ และมีเรดาร์สามารถบินช่วงกลางคืนได้ แต่หากเรดาร์ไม่สามารถใช้การได้จริง นายกฯ สามารถประสานขอเครื่องลำอื่นไปทดแทนได้ ซึ่งกองทัพพร้อมที่จะจัดให้อยู่แล้ว แต่กลับไม่มีการร้องขอมา จึงคิดว่า นายกฯ น่าจะมีเจตนาที่จะไม่กลับ กทม. เพราะดูจากกำหนดการที่คณะของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ขึ้นเครื่องเมื่อวันที่ 14 พ.ย. ช้ากว่ากำหนดเดิมถึงเกือบ 1 ชั่วโมง เหมือนเป็นการถ่วงเวลาให้เข้าสู่ช่วงกลางคืนแล้วอ้างเรดาร์ทำให้ไม่สามารถ เดินทางได้
    ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อช่วงเช้าวันที่ 15 พ.ย.ว่า ทันทีที่คณะของนายกฯ และสื่อมวลชนเดินทางมาถึงกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล ม.2 รอ.) ทุกคนในคณะต่างสวมเสื้อยืดสีขาว สกรีนข้อความและตราสัญลักษณ์ของสำนักนายกรัฐมนตรีด้วยสีน้ำเงินชัดเจน แสดงให้เห็นว่ามีการเตรียมความพร้อมที่จะให้คณะพักค้างคืนที่ จ.สิงห์บุรี ไว้แล้ว
    เมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์เดินทางมาถึงในเวลา 11.00 น. และให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนประมาณ 20 นาที จากนั้นเดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่คณะรัฐมนตรียังคงประชุมอยู่ แต่ปรากฏว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์กลับไม่เข้าร่วมประชุม แต่ใช้เวลาช่วงดังกล่าวบันทึกเทปสัมภาษณ์พิเศษโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ  ก่อนเดินทางเข้าร่วมประชุมอาเซียน จากนั้นเมื่อเวลา 14.20 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์จึงได้เดินทางเข้าร่วมประชุมรัฐสภา
    แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ในการประชุม ครม.ที่มี ร.ต.อ.เฉลิมทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ได้มีวาระจร “ลับ” ในการพิจารณาและลงมติผ่านร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ขอพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ.... ซึ่งจะเป็นการกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับคุณสมบัติของนักโทษที่จะเข้าข่ายในการ เข้ารับพระราชทานอภัยโทษในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา 5 ธันวาคม 2554 โดยเป็นการประชุมลับ มีการเชิญเจ้าหน้าที่ที่ไม่เกี่ยวข้องออกทั้งหมด เหลือเพียงคณะรัฐมนตรีเท่านั้น รวมทั้งไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเนื้อหาพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว และยังมีการดึงเอกสารออก เพื่อป้องกันไม่ให้มีการเผยแพร่ตามระบบปกติอีกด้วย
ล็อกสเปกเพื่อนายใหญ่ 
    รายงานข่าวแจ้งว่า เนื้อหาที่คณะรัฐมนตรีไม่ยอมเปิดเผยต่อสาธารณะนั้น มีการกำหนดเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ โดยระบุหลักเกณฑ์ของนักโทษที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัวคือ เป็นผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี นอกจากนั้นยังมีการตัดคำแนบท้ายของ พ.ร.ฎ.อภัยโทษ พ.ศ.2553 ฉบับที่เขียนสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีเนื้อหาระบุว่า ผู้คนที่เข้าข่ายได้รับอภัยโทษจะต้องเป็นโทษที่ไม่เกี่ยวกับยาเสพติดและไม่ เกี่ยวกับการทุจริตคอรัปชั่นออก
    ทั้งนี้ ยังไม่มีการระบุถึงระยะเวลาการเข้ารับโทษ ซึ่งเท่ากับว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะเข้าข่ายได้รับการขอพระราชทานอภัยโทษ โดยที่ไม่ต้องเข้ารับการคุมขังแม้แต่วันเดียว ซึ่งเนื้อหาส่วนหนึ่งตรงกับที่ ร.ต.อ.เฉลิมเคยทำเอกสารแจกจ่ายให้กับสื่อมวลชนก่อนหน้านี้ และเขายืนยันมาตลอดว่าสามารถทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศโดยถูกกฎหมายได้
    ก่อนหน้านี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ให้ ร.ต.อ.เฉลิมเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องการออกกฎหมายอภัยโทษ ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าจะมีการกำหนดหลักเกณฑ์ที่เอื้อประโยชน์ให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ จากการขอพระราชทานอภัยโทษครั้งนี้ โดยในส่วนของกระทรวงยุติธรรม ได้มีการโยกย้ายอธิบดีกรมราชทัณฑ์ออกจากตำแหน่ง และแต่งตั้ง พ.ต.ท.สุชาติ วงศ์อนันตชัย มาดำรงตำแหน่งดังกล่าวแทน พร้อมกับยังมีการปรับปรุงโรงเรียนพลตำรวจบางเขน ให้เป็นสถานที่คุมขังนักโทษในคดีการเมือง เพื่อเตรียมใช้เป็นสถานที่คุมขัง พ.ต.ท.ทักษิณในระยะสั้นๆ อีกด้วย
    รายงานข่าวแจ้งว่า มีการวางแผนเป็นขั้นตอน ร.ต.อ.เฉลิมได้รับมอบหมายให้เป็นรองนายกฯ คนที่ 3 ต่อจากนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯ คนที่ 1 ซึ่งเดินทางร่วมคณะกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ คนที่ 2 ซึ่งติดภารกิจเดินทางไปร่วมประชุมสุดยอดผู้นำเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) ที่ฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อรองนายกฯ 2 ลำดับแรกไม่อยู่ หน้าที่การเป็นประธานในที่ประชุมจึงตกมาถึง ร.ต.อ.เฉลิม
    ก่อนหน้านี้ ในช่วงการจัดตั้งรัฐบาลได้มีการมอบหมายให้ ร.ต.อ.เฉลิมเข้ามาเป็นรองนายกฯ เพื่อดูแลเรื่องการขออภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณโดยตรง อีกทั้งรัฐบาลยังต้องการอาศัยช่วงชุลมุนที่พรรคฝ่ายค้านและประชาชนยังให้ ความสนใจเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ในการเดินหน้าเรื่องดังกล่าว รวมทั้งเห็นว่าหากรอให้สถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ การเดินเรื่องขออภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณจะกระชั้นชิดเกินไป และอาจไม่สำเร็จ รวมไปถึงการอาศัยช่วงที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่สามารถเข้าร่วมประชุมได้ทำการเดินหน้าเรื่องนี้ เพื่อพยายามกันไม่ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะหลีกเลี่ยงข้อครหาจากสังคมในการเอื้อประโยชน์ให้พี่ชายตัวเอง รวมถึงการฟ้องร้องที่อาจเกิดขึ้นหลังจากนี้
    ขณะที่แหล่งข่าวระบุว่า อยากให้มีคนมาทำงานเพิ่มขึ้น คนที่มีอยู่อาจขาดประสบการณ์ ดังนั้นถ้ามีคนที่ติดล็อกอยู่มาช่วยน่าจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ซึ่งคนที่เก่งส่วนใหญ่ก็ติดล็อกอยู่ ไม่ว่าจะทำ พ.ต.ท.ทักษิณ อดีต 111 กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย อดีต 109 กรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน ในการขอนิรโทษกรรม โดยอาศัยพระบารมีนำเรื่องขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายในวันที่ 5 ธันวาคม
วางแผนบีบในหลวง
          รัฐมนตรีคนหนึ่งใน ครม.กล่าวว่า มีการหารือเรื่องนี้จริง เพื่อเป็นการดำเนินการการอภัยโทษเนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา 5 ธันวาคม 2554 ที่มีการดำเนินการทุกช่วงเวลามหามงคลเสมอ ขณะที่รัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยรายหนึ่งกล่าวว่า ขณะมีการประชุมลับ ได้เดินออกจากห้องประชุมครม.เพื่อเตรียมตัวเดินทางไปรัฐสภา แต่กรณีดังกล่าวมีการสั่งกำชับห้ามเผยแพร่หรือให้ข่าวนักข่าวเด็ดขาด และเมื่อมาทราบข่าวภายหลัง รู้สึกแปลกใจที่ ร.ต.อ.เฉลิมผลักดันเรื่องดังกล่าว เพราะไม่ถึงเวลาที่จะต้องทำเรื่องนี้ ซึ่งจะทำให้รัฐบาลโดนวิจารณ์อย่างหนักว่าเอาเรื่องน้ำท่วมมาช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
    โดยระหว่างการประชุมมาถึงวาระจรลับ ร.ต.อ.เฉลิมได้เชิญให้เจ้าหน้าที่ที่ไม่เกี่ยวข้องออกนอกห้องประชุม จากนั้นได้พิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกา มีการหารือถึงการขอพระราชทานอภัยโทษให้นักโทษ 2.6 หมื่นคน ส่วนกระบวนการต่างๆ เป็นพระราชอำนาจ และกระบวนการกว่าจะไปถึงยังมีการกลั่นกรองอีกหลายอย่าง โดยเฉพาะต้องส่งไปยังทำเนียบองคมนตรีก่อนจะถึงพระองค์
    อย่างไรก็ดี หลังจากประชุมเรื่องดังกล่าวแล้วเสร็จ รัฐมนตรีส่วนใหญ่ต่างเดินมาประชุมที่รัฐสภาต่อตามรัฐธรรมนูญมาตรา 179 โดยไม่ลงมติ เพื่อหารือถึงคำสั่งศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ถึงข้อปฏิบัติกรณีปราสาทพระวิหาร โดยเป็นการประชุมลับ แต่ก่อนที่จะเข้าประชุมรัฐมนตรีหลายคนที่พบผู้สื่อข่าวต่างปฏิเสธที่จะให้ สัมภาษณ์ และมีท่าทีหลีกเลี่ยงอย่างเห็นได้ชัด และระบุไปในทำนองเดียวกันว่า ไม่มี ไม่ได้อยู่ในห้องประชุม หรือไม่ก็ไม่อยู่จนถึงวาระประชุมนี้
    หลังการประชุม ครม. ร.ต.อ.เฉลิมปฏิเสธที่จะพูดกับผู้สื่อข่าวที่โทรศัพท์เข้าไปสอบถาม โดยกล่าวด้วยน้ำเสียงอย่างมีอารมณ์ว่า “ไม่พูด ไม่คุย ไม่ต้องมาถาม แล้วก็ไม่ต้องมาหาด้วย”
    ด้านนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้แสดงความแปลกใจขณะที่เดินทางเข้าร่วมประชุมที่รัฐสภา โดยกล่าวเพียงว่า “รู้กันได้อย่างไร เดี๋ยวเขาตีปากเอา เขาไม่ให้พูด” เช่นเดียวกับนายปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า “ลูกเสือเสียชีพ อย่าเสียสัตย์ มันเป็นการประชุมลับ ไม่รู้เรื่อง ขออนุญาตนะครับ”
    ส่วน นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.อุตสาหกรรม ยกมือขึ้นทั้งสองข้างเหมือนยอมแพ้เมื่อเจอผู้สื่อข่าว แล้วพูดว่า “โนคอมเมนต์” ก่อนจะเดินหนีขึ้นรถออกไปทันที
    ขณะที่ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็น โดยออกตัวว่าไม่ได้เข้าร่วมประชุม เพราะร่วมคณะไปกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ลงพื้นที่ จ.สิงห์บุรี และเพิ่งกลับมาในช่วงสายวันนี้ ทั้งยังดึงผู้สื่อข่าวที่ร่วมคณะไปด้วยมายืนยันว่า ไปมาด้วยกัน ทำให้ไม่ทราบเรื่อง รวมทั้งยังไม่เห็นวาระการประชุมด้วย
    น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ไม่รู้รายละเอียด ให้ ร.ต.อ.เฉลิมเป็นคนชี้แจง
    นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค อดีต รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า เรื่องของ พ.ร.ฎ.อภัยโทษถือเป็นวาระทั่วไปที่จะพิจารณากันในช่วงที่มีวาระสำคัญ เช่น เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งการประชุม ครม.ที่ผ่านมาก็จะเป็นการพิจารณาแบบเปิดเผย แต่รัฐบาลชุดนี้กลับมีการพิจารณาที่ไม่มีความโปร่งใส เพราะเป็นการประชุมลับ นอกจากนี้ การตัดเงื่อนไขคุณสมบัติของนักโทษที่จะเข้าข่ายในการรับพระราชทานอภัยโทษ ก็ต้องถามว่ารัฐบาลตัดออกทำไม ทั้งที่สำนักงานกฤษฎีกาก็เคยคัดค้านมาก่อน สุดท้ายเมื่อฝ่ายการเมืองมีนโยบายออกมาแบบนี้ สำนักงานกฤษฎีกาก็คัดค้านไม่ได้
    เขาบอกว่า ในส่วนของคำแนบท้ายของ พ.ร.ฎ.อภัยโทษ พ.ศ.2553 ที่มีการระบุว่า ผู้ที่เข้าข่ายได้รับอภัยโทษจะต้องเป็นโทษที่ไม่เกี่ยวกับยาเสพติดและการ ทุจริตคอรัปชั่น แต่ใน พ.ร.ฎ.อภัยโทษฉบับดังกล่าว ครม.กลับให้มีการตัดคำแนบท้ายออกไปนั้น อยากถามกลับว่า หากรัฐบาลมีความจริงใจจะตัดในส่วนนี้ออกทำไม เพราะทำให้คิดได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พี่ชายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะได้ประโยชน์ในส่วนนี้
แฉกัน "ยิ่งลักษณ์" ออก
    “ผมทราบมาว่าการพิจารณา พ.ร.ฎ.อภัยโทษในวันนี้ไม่ได้อยู่ในวาระการประชุม ครม.ตามปกติ ทำไมอยู่ๆ ถึงเป็นวาระสอดแทรกเข้ามาประชุมได้อย่างไร ซึ่งพอดีกับที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ได้มาเข้าร่วมประชุม โดยอ้างว่าไม่สามารถเดินทางกลับมาจาก จ.สิงห์บุรีได้ทัน ผมเห็นว่าเป็นแผนการเพื่อให้นายกฯ ไม่ต้องมาเข้าร่วมประชุม เพราะหากนายกฯ มาประชุมและร่วมลงมติกับ ครม.ในเรื่องดังกล่าว จะเข้าข่ายผลประโยชน์ขัดกันและอาจมีความผิดได้” นายพีระพันธุ์กล่าว
    สำหรับการร่างพระราชกฤษฎีกา เป็นหน้าที่ของคณะรัฐมนตรี เมื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วจะต้องนำร่างพระราชกฤษฎีกาขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระมหากษัตริย์เพื่อทรงตราพระราชกฤษฎีกานั้นๆ นายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ จากนั้นจึงนำไปประกาศในราชกิจจานุเบกษาบังคับใช้ต่อไป
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 14 พ.ย.ที่ผ่านมา สำนักนายกรัฐมนตรีได้ทำหนังสือแจ้งมายังกองทัพบกเพื่อขอสนับสนุนยานพาหนะ รับ-ส่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ พร้อมคณะติดตามและสื่อมวลชนรวมเกือบ 20 คน เพื่อเดินทางไปปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ จ.สิงห์บุรี โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก มอบหมายให้ศูนย์การบินทหารบกจัดเฮลิคอปเตอร์สนับสนุน จึงได้จัดเฮลิคอปเตอร์แบบเอ็มไอ 17 จำนวน 1 ลำ ที่สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ 36 คน
    ซึ่งในช่วงเย็น สำนักนายกรัฐมนตรีแจ้งกับกองทัพบกว่า นายกรัฐมนตรีและคณะจะพักค้างคืนที่ จ.สิงห์บุรี  1 คืน และจะเดินทางกลับ กทม.ในวันที่ 15 พ.ย. เนื่องจากนายกรัฐมนตรีติดภารกิจอยู่จึงยังเดินทางกลับไม่ได้ นักบินจึงได้นำเครื่องกลับไปที่ศูนย์การบินทหารบกในเวลา 19.30 น. ก่อนที่จะมารับคณะนายกฯ เดินทางกลับในช่วงเช้า
          แหล่งข่าวระดับสูงของกองทัพบกเปิดเผยว่า แม้ ฮ.เอ็มไอ 17 จะไม่มีเครื่องช่วยบินเวลากลางคืนอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ ฮ.สามารถเปิดไฟนำทางการบินและนำเครื่องบินได้หากทัศนวิสัยอยู่ในขั้นที่ดี ซึ่งคืนดังกล่าวไม่มีเมฆฝนและลมกระโชกแรง อีกทั้งระยะทางใกล้กับ กทม.
    ทั้งนี้ เดิมนายกรัฐมนตรีจะเดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์ของตำรวจ แต่ได้มีการเปลี่ยนมาใช้ ฮ.เอ็มไอ 17 แทน ซึ่งการที่กองทัพบกเลือกส่ง ฮ.เอ็มไอ 17 ไปสนับสนุนภารกิจคณะนายกฯ เนื่องจากทางกรมยุทธการทหารบกพิจารณาจากจำนวนผู้โดยสาร เห็นว่าจำนวนผู้โดยสารและสิ่งของต่างๆ ไม่เหมาะที่ใช้แบล็กฮอว์ก เพราะจำนวนคนมาก ถ้าใช้แบล็กฮอว์กจะต้องใช้ถึง 2 ลำ ซึ่งกองทัพบกยืนยันว่า การส่ง ฮ.เอ็มไอ 17 ไปเหมาะสมกับภารกิจ ไม่มีวาระอะไรซ่อนเร้น โดยขณะนี้มีแบล็กฮอว์กสามารถใช้ปฏิบัติภารกิจ 5 ลำ
           สำหรับโครงการ ฮ.เอ็มไอ 17 ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเกี่ยวกับเรื่องประสิทธิภาพ โดยได้ใช้งบประมาณจำนวน 995 ล้านบาท จัดซื้อจำนวน 3 ลำ ได้มีระบบการฝึกและทำการบินครบเมื่อกลางปีที่ผ่านมา โดย ฮ.เอ็มไอ 17 ได้เข้าบรรจุในกองทัพบกเมื่อวันที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเฮลิคอปเตอร์ลำเลียงอเนกประสงค์จากประเทศรัสเซีย โดยมีการปรับปรุงสมรรถนะเครื่องยนต์ให้สูงขึ้นกว่าเดิม  และมีการปรับปรุงโครงสร้างของตัวเครื่อง รวมถึงส่วนหัวของเฮลิคอปเตอร์ให้เป็นแบบใหม่ที่ทันสมัย ด้วยการติดตามตั้งเรดาร์ ประตูทางออกด้านข้างสามารถเลื่อนเปิด-ปิดได้ตามต้องการ และขยายความกว้างให้มีขนาดกว้างกว่าเดิม โดยสามารถบรรจุกำลังพลได้ถึง 36 นาย
     อีกทั้งได้รับการออกแบบให้ปฏิบัติงานได้ในทุกสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศ ทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน ซึ่งมีการปรับรูปร่างลักษณะทั่วไป โดยเฉพาะส่วนหัวโดมเรดาร์ซึ่งเตรียมไว้สำหรับการติดตั้งเรดาร์ตรวจอากาศ.



นาย ยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ (ผมขาว)รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ลงพื้นที่เยี่ยมผู้ประสบอุทกภัยที่ จ.สิงห์บุรี ร่วมกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เมื่อเช้าวันที่ 15 พ.ย. ทำให้ไม่ได้ร่วมประชุม ครม.และใช้เป็นข้ออ้างว่าไม่รู้เรื่องการแก้ไข พ.ร.บ.อภัยโทษเพื่อเอื้อประโยชน์ ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

รมต.นัดกันเลี่ยงตอบ ลักไก่ออก พ.ร.ฏ.อภัยโทษ เอื้อ“นช.แม้ว” “เฉลิม” ฉุนความลับรั่ว อารมณ์เสียใส่สื่อ “พิชัย”บอกพูดไม่ได้ เดี๋ยวเขาตีปาก ด้าน“ปลอดประสพ” ยกคติพจน์ลูกเสือ เมื่อเป็นประชุมลับก็พูดไม่ได้ ขณะ“ยงยุทธ” ลอยตัว ตามนายกฯ ไปสิงห์บุรี อ้างไม่เห็นวาระประชุม “หมอวรรณรัตน์” ยกมือยอมแพ้โนคอมเมนต์ ด้าน “ยิ่งลักษณ์”ปัดไม่ทราบเรื่อง โบ้ย“เฉลิม”แจงรายละเอียด
     
       ช่วงเย็นวันที่ 15 พ.ย. ภายหลังจากที่มีกระแสข่าวว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีวาระการประชุมลับเรื่องการออกพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ขอพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งมีหลักเกณฑ์ที่เอื้อประโยชน์ต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่หลบหนีคำพิพากษาจำคุก 2 ปีจากคดีทุจริตซื้อขายที่ดินย่านถนนรัชดาภิเษก ไปอยู่ต่างประเทศ ทำให้สื่อมวลชนหลายสำนักพยายามติดต่อสอบถามรัฐมนตรีที่ร่วมประชุมถึงข้อเท็จ จริง โดยเฉพาะ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้ทำเป็นหน้าที่ประธานในการประชุม ครม.นัดนี้ และกำลังอยู่ระหว่างร่วมประชุมที่รัฐสภา แต่ ร.ต.อ.เฉลิมได้ปฏิเสธที่จะพูดกับผู้สื่อข่าวที่โทรศัพท์เข้าไปสอบถาม โดยกล่าวด้วยน้ำเสียงอย่างมีอารมณ์ว่า “ไม่พูด ไม่คุย ไม่ต้องมาถาม แล้วก็ไม่ต้องมาหาด้วย”
     
       ขณะที่ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้แสดงความแปลกใจขณะที่เดินทางเข้าร่วมประชุมที่รัฐสภา โดยกล่าวเพียงว่า “รู้กันได้อย่างไร เดี๋ยวเขาตีปากเอา เขาใม่ให้พูด” เช่นเดียวกับนายปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ ที่กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า “ลูกเสือเสียชีพ อย่าเสียสัตย์ มันเป็นการประชุมลับ ไม่รู้เรื่อง ขออนุญาตนะครับ”
     
       ด้าน นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวปฏิเสธที่จะแสดงความเห็น โดยออกตัวว่าตนไม่ได้เข้าร่วมประชุม เพราะร่วมคณะไปกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ลงพื้นที่ จ.สิงห์บุรี และเพิ่งกลับมาในช่วงสายวันนี้ ทั้งยังดึงผู้สื่อข่าวที่ร่วมคณะไปด้วยมายืนยันว่า ไปมาด้วยกัน ทำให้ไม่ทราบเรื่อง รวมทั้งยังไม่เห็นวาระการประชุมด้วย
     
       ส่วน นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เมื่อพบกลุ่มสื่อมวลชนที่ดักรออยู่หน้าห้องประชุมรัฐสภา พร้อมถามว่าได้เข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อช่วงเช้าด้วยหรือไม่ ทำให้ นพ.วรรณรัตน์ยกมือขึ้นทั้งสองข้างเหมือนยอมแพ้ แล้วพูดว่า “โนคอมเมนต์” ก่อนจะเดินหนีขึ้นรถออกไปทันที
     
       ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ในช่วงเย็นวันเดียวกันนี้ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวปฏิเสธ ไม่ทราบเรื่องที่คณะรัฐมนตรีได้มีการประชุมลับพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) อภัยโทษ พ.ศ.... โดยนายกรัฐมนตรี ตอบเพียงสั้นๆ ว่า ขอให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ชี้แจงในรายละเอียด
     
       ทั้งนี้ ร่าง พ.ร.ฎ.อภัยโทษฯ ที่ ครม.ได้พิจารณาเป็นวาระประชุมลับดังกล่าว ได้ระบุหลักเกณฑ์ของนักโทษที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัว คือ เป็นผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี นอกจากนั้น ยังมีการตัดเงื่อนไขแนบท้ายของ พ.ร.ฎ.อภัยโทษ พ.ศ.2553 ฉบับที่เขียนสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีเนื้อหาระบุว่า ผู้คนที่เข้าข่ายได้รับอภัยโทษจะต้องเป็นโทษที่ไม่เกี่ยวกับยาเสพติด และไม่เกี่ยวกับการทุจริตออก ทั้งยังไม่มีการระบุถึงระยะเวลาการเข้ารับการเข้ารับโทษ ซึ่งเท่ากับว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกศาลพิพากษาให้รับโทษจำคุก 2 ปี ในคดีทุจริตการซื้อขายที่ดินย่านถนนรัชดาภิเษกจะเข้าข่ายได้รับพระราช ทานอภัยโทษ โดยที่ไม่ต้องเข้ารับการคุมขังแม้แต่วันเดียว ซึ่งเป็นการเอือประโยชน์ได้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นพี่ชายของนายกรัฐมนตรี







ที่มา ไทยโพสต์ และ ผู้จัดการ
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง