บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เชื้อชั่วไม่ตาย.. "จักรภพ"แสร้งปริศนาต้นเหตุน้ำท่วมโยงเบื้องสูงสู่เป้าหมายเปลี่ยนระบอบ ???


   TNEWS            


ห่างหายไปจากการเคลื่อนไหวทางการเมืองระยะใหญ่ ๆ  แต่ใช่ว่า  นายจักรภพ  เพ็ญแข   จะหยุดการเคลื่อนตัวอย่างที่เข้าใจ    แต่ตรงข้าม  นายจักรภพยังเป็นอีกหนึ่งแนวร่วมแดง  ที่ยังคงซุ่มซ่อน  รอคอยโอกาส   อย่างที่ “สนข.ทีนิวส์”    ตรวจสอบพบจากการให้สัมภาษณ์ผ่านวิทยุแดงออนไลน์  ที่ออกอากาศในประเทศสวีเดนและภาคพื้นยุโรปอีกหลายประเทศ 
 
 
               นายจักรภพเปิดประเด็นแบบคงไม่ต้องตีความแบบอื่น  ว่า  แนวร่วมแดงที่มีความคิดล้มเจ้ารายนี้  ยังคงฝังลึกกับทฤษฎีเปลี่ยนระบอบในระดับใด   และ ทำไม  “สนข.ทีนิวส์”  จึงต้องย้ำเตือนให้คนไทยผู้จงรักภักดี  เฝ้าระวังการเคลื่อนไหวในทุกระดับของเครือข่ายทักษิณ
 
 
              “สงครามการต่อสู้วันนี้เรายังต้องเรียกว่าเป็นสงครามในเชิงระบอบ   เพราะประชาชนยังคงต้องการระบอบใหม่ในประเทศที่ชื่อว่าไทย  แต่ผู้มีอำนาจในระบอบการปกครอง  ไม่ต้องการให้เกิดความเปลี่ยนแปลง เหมือนที่ประชาชนต้องการ   และเหตุกรณีน้ำท่วม    กรณีการใช้อำนาจตุลาการ  หรือ รุนแรงสูงสุดถึงขั้นใช้กองทัพแห่งชาติทำร้ายประชาชน  ก็คือ  สิ่งที่บอกเหตุได้อย่างชัดเจนถึงรูปแบบการต่อสู้... ”
 
 
              ใจความสำคัญที่  นายจักรภพ  นำเสนอผ่านวิทยุออนไลน์   บ่งชี้นัยยะสำคัญของการมุ่งมั่นที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในระบอบการปกครอง   ซี่ง  ณ  ที่นี้สามารถสื่อความหมายโดยไม่อ้อมค้อม   ก็คือ  การเปลี่ยนแปลงระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข   ไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่คนเสื้อแดง (บางส่วน)  โหยหา  ผ่านการเรียกร้องในระบบการรบปิด  และ  เปิด  (แต่แฝงเร้นเป้าหมาย)
 
 
                นายจักรภพบอกว่า    สภาพการจัดการเรื่องน้ำท่วมของรัฐบาลยิ่งลักษณ์    เป็นปัญหาที่มีความสลับซับซ้อนในเชิงการแก้ไข     เพราะแม้น.ส.ยิ่งลักษณ์จะเป็นนายกรัฐมนตรี   ที่มีอำนาจทางกฎหมายในมือ    แต่ถ้าพิจารณาถึงการตัดสินใจจัดการ   ก็จะเห็นสภาพความอิหลักอิเหลื่อของนักการเมืองที่แสดงความหวั่นเกรงผลกระทบ 
 
 
                 “ การแก้ปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาล  เป็นไปในลักษณะกล้า ๆ กลัว ๆ เพราะถ้าสั่งทหารแล้วทหารไม่ทำตามก็ยุ่ง   ไปลงโทษทหารก็กลัวจะเกิดการรัฐประหาร   ทั้งที่ความเป็นจริงรัฐบาลต้องกล้าเปิดหรือกระชากหน้ากาก  ใครก็ตามที่ทำตัวขัดขวางคำสั่ง   แสดงให้ประชาชนรู้ไปเลยว่าใครอยู่ข้างไหน  อยู่ข้างประชาชน หรือ  ทำตัวเป็นเหลือบหลังม่าน  .... ” 
 
         
 
                  ขณะเดียวกันนายจักรภพก็ยังปลุกเร้าให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์    เดินหน้าจัดการใน 2  เรื่องไปพร้อม ๆ กัน  ทั้งกรณีการช่วยเหลือเหตุอุทกภัยและการส่งเสริมประชาธิปไตยในประเทศ  ที่   นายจักรภพอ้างว่ามีความจำเป็นต้องรีบเร่ง   และ จัดการขั้นเด็ดขาดกับกลุ่มขบวนการหรือผู้ขัดขวางในทุกระดับ  
         
 
                  “รัฐบาลมีปัญหา  2 เด้ง ที่ต้องดำเนินการ  เจาะไปตรงไหนแล้วเจอตอที่ขวางกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยอยู่  เปิดฉากเปิดหน้ากากมันเลย  ให้ประชาชนทั่วไปรู้  เหมือนกับการแสดงข่าวสารจริง ๆ เกี่ยวกับน้ำท่วม  กลัวอะไร ...  สื่อมวลชนโลกเขาไม่ได้มีพฤติกรรมเหมือน  สรยุทธ์  ทัศนะจินดา  สื่อมวลชนโลกเขาไม่ได้พฤติกรรมเหมือน  บุญระดม  จิตรดอน   ที่ทำรายการกล่าวหาเรื่องการล้มเจ้า  ล้มสถาบัน  อย่างไม่หยุดยั้งทางสำนักข่าวทีนิวส์    ...  ”    
 
 
                   ไม่เท่านั้นนายจักรภพยังพาดพิงไปถึง รศ.ธงทอง  จันทรางศุ     ที่ถูกเลือกเข้ามาแก้ไขสถานการณ์การแถลงข่าวของศปภ.   ที่แรกเริ่มนอกจากจะไม่ช่วยทำให้ประชาชนได้รับความกระจ่างชัดเรื่องวิกฤตการณ์น้ำท่วม   แต่ยังทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนในหลายประเด็น   จนนำไปสู่การหมดความศรัทธาเชื่อมั่นต่อ ศปภ.  ที่ พล.ต.อ.ประชา  พรหมนอก  เป็นประธาน  แต่  น.ส.ยิ่งลักษณ์   คือ  คนที่นั่งหัวโต๊ะ  ???
 
 
                    “ความเป็นจริงคุณธงทองก็รักใคร่ชอบพอกันดี  เป็นอาจารย์ (ผม) ด้วย  แต่ขณะเดียวกันก็ต้องถามสถานการณ์น้ำที่เป็นเรื่องเกี่ยวโยงทางการเมือง และมีความชัดเจนมากขึ้นว่าใครอยู่เบื้องหลัง  มันเหมาะไม๊ที่จะได้คนอย่างคุณธงทองมาเป็นโฆษกฯ … ???  ” 
 
 
                    แน่นอนว่าประเด็นตรงนี้ถ้าจับใจความดี ๆ ก็จะเห็นการเชื่อมโยงความคิด  ที่      “สนข.ทีนิวส์”   เคยนำเสนอไปก่อนหน้า    ว่า  ในหมู่คนเสื้อแดงทุกระดับ  มีการบิดเบือนในเรื่องต้นเหตุมหาอุทกภัย  จากความล้มเหลวของการบริหารจัดการน้ำ  ภายใต้ความรับผิดชอบของรัฐบาลยิ่งลักษณ์   ไปสู่การจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงในลักษณะใด  และ อย่างไร  
 
 
                    ถ้าพิจารณาจากถ้อยคำในเชิงชี้นำว่า   มีผู้อยู่เบื้องหลังเหตุน้ำท่วม  และ การกระทบกระเทียบคุณสมบัติ ของ รศ.ธงทอง   จากการทำงาน (ดำเนินรายการ)  ในวาระสำคัญ  ๆ ของ  รศ.ธงทอง    ที่คนไทยมักคุ้นกับการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับราชสำนัก  เฉกเช่นผู้ได้ศึกษาอย่างถ่องแท้     เมื่อมีการถ่ายทอดพระราชประเพณีต่าง ๆ  ...   
 
 
                   ถึงตรงนี้ “สนข.ทีนิวส์”  คงไม่ต้องอธิบายความเพิ่มเติม  ว่า  จริง ๆ  แล้วจิตใต้สำนึกนายจักรภพมีความคิดต่อสถาบันเบื้องสูงอย่างไร       ในขณะที่พยายามกล่าวหาผู้อื่นว่ากระทำการทุกสิ่งมีความแฝงเร้น    และรวมถึงยังพาดพิงมาถึงผู้ดำเนินรายการ  “เจาะข่าวร้อนฯ”    ที่ทำหน้าที่ในการปกป้องสถาบันเบื้องสูง     ซึ่งแม้นายจักรภพจะไม่ได้ใช้คำพูดตรง ๆ    แต่ก็สื่อความได้ไม่ต่างกับแนวร่วมแดงอื่น  ๆ   กับเหตุมหาอุทกภัยที่เกิดขึ้น   !!! 
 
 
                 “ วันนี้ความจำเป็นอันดับหนึ่ง คือ ต้องแสดงอำนาจในระบอบประชาธิปไตย  เรื่องอื่นรอได้ทั้งนั้น  นายกรัฐมนตรีไม่ต้องเสียเวลาไปแจกข้าวกล่องหรือเสื้อผ้า  แต่ต้องนั่งบัญชาการแล้วก็ดูว่าใครมันออกนอกลู่นอกทางบ้าง แล้วใช้อำนาจในช่วงวิกฤต ทำให้ทุกคนอยู่ในลู่ทาง  ใครไม่อยู่ไม่ลู่ในทางต้องเปลี่ยนหัว  ...  จะเผชิญหน้ากับใคร  ก็ต้องลุยสู้ไป    ต้องแสดงให้ชัดว่าปัญหาประเทศมันอยู่ตรงไหน  ...
 
 
                ไม่ต้องไปรอฟังวันที่ 3 – 4   ธันวาคมที่ไหน    เดินหน้าทุกอย่างในช่วงเวลาที่เหลือ  ไม่ต้องไปสนใจใครจะพูดเรื่องรัฐประหาร  หรือ  ใครจะรุกฆาตเมื่อไร    เอาความชอบธรรมของตนเองทำงานในฐานะรัฐบาลให้ดีที่สุด  ...  เหมือนกรณีเหตุน้ำท่วมก็บอกไปเลยว่ามีการนำน้ำไปกักเก็บไว้ตรงไหน  ก่อนปล่อยออกมา   เพราะไหน ๆ ประชาชนเดือดร้อนก็จะได้ใช้โอกาสนี้เปิดหน้ากากคน   …. ???   ”
 
 
              และด้วยสื่อความตอนท้ายของนายจักรภพ   ก็เห็นได้ชัดว่าตราบใดที่   รัฐบาลยิ่งลักษณ์  ไม่ทำความจริงให้ปรากฏ    สถาบันเบื้องสูงก็ยังคงเป็นเป้าหมายในการโจมตีอย่างบิดเบือนไม่จบไม่สิ้น     ในขณะเดียวกันผลของการตรวจสอบข้อมูลหนนี้    ก็ทำให้  “สนข.ทีนิวส์”  ประจักษ์ชัดว่า นายจักรภพ  เพ็ญแข    ยังเดินหน้าล้มล้างสถาบันอย่างต่อเนื่อง    ท่ามกลางสิ่งพิสูจน์ได้ก่อนหน้าว่าในห้วงเวลาที่ผ่านมา  ว่าเขายังถือเป็นคนใกล้ชิด  ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร  ไม่เคยปฏิเสธ ???   

คดีจำคุก “อากง” 20 ปี คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

                คดีจำคุก “อากง” 20 ปี คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เป็นที่โจทก์ขานเป็นอย่างมากในหมู่คนเสื้อแดง และผู้ที่สนับสนุนให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา112 หรืออาจรวมไปถึงผู้ที่เกิดความรู้สึกสะเทือนใจ เมื่อผู้เฒ่าวัย 60 ปี ที่ถูกห้อมล้อมด้วยลูกหลานต้องมารับชะตากรรมชดใช้โทษความผิดถึง20ปี
 
 
                เมื่อวันที่ 23 พ.ย. ศาลอาญา ถนนรัชดาอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำอ.311/2554 ให้จำคุก นายอำพล ตั้งนพกุล อายุ 61 ปี 20 ปี
         
 
                 คดีดังกล่าวพนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ ฟ้องนายอำพล จำเลย ในความผิดฐาน หมิ่นประมาทดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14(2),(3) ฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร
         
 
                 โจทก์ฟ้องสรุปว่า ระหว่างวันที่ 9-22 พ.ค.2553 จำเลยใช้โทรศัพท์มือถือส่วนตัวพิมพ์ข้อความอันเป็นการจาบจ้วง ดูหมิ่นพระเกียรติยศและหมิ่นประมาทใส่ความให้ร้ายสมเด็จพระราชินีจากนั้นจำเลยส่งข้อความดังกล่าวไปยังโทรศัพท์มือถือของนายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข เลขานุการส่วนตัวของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ซึ่งเป็นบุคคลที่สาม  เหตุเกิดที่แขวงสามเสนใน เขตพญาไท แขวง และเขตดุสิตกทม. ต.สำโรงเหนือ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ (เกี่ยวพันกัน)
         
 
                 จำเลยให้การปฏิเสธอ้างว่า ขณะเกิดเหตุนำโทรศัพท์ไปซ่อมที่ร้านในห้างสรรพสินค้าอิมพิเรียล สาขาสำโรง และส่งข้อความผ่านโทรศัพท์มือถือไม่เป็น
         
 
                 ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานที่ทั้งสองฝ่ายนำสืบหักล้างกันแล้วเห็นว่าการที่จำเลยอ้างว่านำโทรศัพท์ไปซ่อมนั้น เมื่อพนักงานสอบสวนนำตัวจำเลยไปยังห้างดังกล่าวปรากฏว่า จำเลยอ้างว่าจำชื่อร้านไม่ได้ ทั้งที่จำเลยต้องไปที่ร้านซ่อมโทรศัพท์อย่างน้อย 2 ครั้งในวันที่ส่งซ่อม และในวันที่ไปรับโทรศัพท์คืนส่วนที่จำเลยอ้างว่าส่งข้อความทางโทรศัพท์มือถือไม่เป็น และไม่ทราบว่า หมายเลขผู้รับข้อความเป็นของเลขานุการอดีตนายกรัฐมนตรีนั้น เป็นเรื่องง่ายที่จะกล่าวอ้าง พยาน หลักฐานจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ เชื่อว่าจำเลยเป็นเจ้าของโทรศัพท์ และซิมการ์ดโทรศัพท์ที่ใช้ก่อเหตุจริง ข้อความมีลักษณะแสดงความอาฆาตมาดร้าย ใส่ความทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ทั้งที่ข้อความดังกล่าวล้วนเป็นเท็จ การกระทำของจำเลยจึงมีความผิดตามฟ้อง
         
 
                 พิพากษาให้ลงโทษจำเลยฐานหมิ่นประมาทดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์พระราชินี รัชทายาท ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 อันเป็นบทลงโทษสูงสุด ให้เรียงกระทงลงโทษ จำคุกจำเลยเป็นเวลา 5 ปี จำนวน 4 กระทง รวมจำคุกทั้งสิ้น 20 ปี
         
 
                 สำหรับการอ่านคำพิพากษา ศาลไม่ได้ออกหมายเบิกตัวจำเลยมาฟังคำพิพากษา เนื่องจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นสถานที่ควบคุมตัวจำเลยอยู่ขณะนี้มีน้ำท่วมขัง ไม่สะดวกที่จะเบิกตัวจำเลยมาฟังคำพิพากษา แต่ศาลใช้วิธีอ่านคำพิพากษาผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอเรนซ์แทน
 
                 พล.ต.ท.ไถย ปราศจากศัตรู ผบช.ก. นำกำลังเข้าจับกุม เมื่อเช้าวันที่ 3 สิงหาคม 2553 ที่ห้องเช่าไม่มีเลขที่ ในซอยวัดด่านสำโรง หมู่ 4 ต.สำโรงเหนืออ.เมือง จ.สมุทรปราการ ซึ่งระหว่างจับกุม ทางกลุ่มเสื้อแดงออกมาขัดขวาง แต่เมื่อตำรวจแจ้งข้อหาให้ทราบ ก็ยอมให้ตำรวจจับแต่โดยดี
 
 
                 พลันที่คำพิพากษาให้จำคุกอากง 20 ปี การวิพากษ์วิจารณ์ไปในทิศทางต่างๆก็ปรากฏขึ้น ...
 
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
 
                 “ผมเข้าเน็ตประมาณช่วงเที่ยงๆ เพื่อเช็คข่าวว่า ผลการตัดสินคดี "อากง" เป็นอย่างไร พอเห็นข่าว พูดไม่ออกเลยทั้งเศร้าลึกๆ และโกรธ มากๆ ผสมกันไป จนร้องไห้อยู่พักนึง (ครับ ผู้ชายก็ร้องครับ)เขียนอะไรไม่ออก ที่อยากเขียนขึ้นมาทันทีในใจ ก็คงเขียนออกมาไม่ได้สงบสติอารมณ์ อยู่ครึ่งวัน (อ่านหนังสือ สูบหรี่ ดูน้ำเน่าหน้าบ้าน ฯลฯ) จนเมือครู่นี้ จึงนึกคำออกมาได้เท่านี้ ดังที่โพสต์ ยังไม่ใช่ที่อยากจะพูดจริงๆหรอก แต่มีปัญญาพูดได้เท่านี้”
 

                 หรือความในใจของนายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข ผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัวว่า...
 
                วันนี้เพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยซึ่งเขาเรียนนิติศาสตร์ เคยทำงาน ITV และชื่นชมทักษิณ แต่เราไม่คุยกันมา 5 ปีแล้ว เขาส่ง sms มาว่า "คุณ...ด้วยความเคารพ ผมว่าเรื่องนี้ (คงหมายถึงเรื่องที่อากงส่ง sms หมิ่นสถาบันโดนศาลตัดสินติดคุก 20 ปี) อาจนำมาซึ่งความคิดขัดแย้งครั้งใหญ่กว่าที่เคยมีมานะ คุณยังพอแก้ไขอะไรได้มั้ย"
 
                เห็นข้อความที่ส่งมาแล้วรู้สึกสงสารประเทศไทยที่คนเรียนจบกฎหมาย แต่มีความคิดแบบนี้เข้าใจว่าเป็นห่วงไม่อยากเห็นความขัดแย้งในสังคม แต่ไม่เห็นถามถึงความรุนแรงของ sms ที่หมิ่นสถาบัน หรือไม่สนใจเหตุผลว่าทำไมถึงโดนติดคุกถึง 20 ปี ซึ่งเขาส่ง sms มา 4 ครั้ง ศาลก็นับเป็น 4 กระทงๆ ละ 5 ปี รวมเป็น 20 ปี นี่คือข้อเท็จจริง
 
 
                 ส่วนเรื่องที่เค้าติดคุก ผมก็ไม่ได้เป็นคนไปทำให้เขาติด ถ้าเขาไม่ได้ส่งจริงก็สามารถหาหลักฐานมาหักล้างได้ ผมเคยถูกศาลเรียกให้ไปเป็นพยานโจทก์ ผมก็แค่เล่าไปตามข้อเท็จจริง ว่ามีคนส่ง sms หมิ่นสถาบันแบบนี้ ไม่เคยรู้จักคนส่ง ไม่ทราบถึงเหตุผล แล้วผมก็ไม่ได้ไปเกี่ยวข้องอะไรในคดีอีกเลย เป็นเรื่องของทางศาล
 
 
                 แน่นอนว่า คนเสื้อแดงก็พยายามจะนำคดีนี้มาใช้ประโยชน์ในการจุดประเด็นความขัดแย้ง ทั้งอ้างว่า อากงแก่ขนาดนี้ส่ง sms ไม่เป็นบ้าง คดีฆ่าคนตายยังติดคุกไม่ถึง 20 ปี ฯลฯ แล้วก็พยายามจุดชนวนไปถึงว่า ควรยกเลิก ม.112
 
 
                 ตกลงสังคมไทยไม่ได้อยู่กันด้วยเหตุผล ด้วยหลักฐาน และด้วยความถูกต้องแล้วหรือ แต่ใครที่พยายามจะใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย แล้วก็ทำให้คนในสังคมกลัว เราก็ต้องยอมศิโรราบไปเสียหมดเลยหรือ
 
 
                 ผมไม่สามารถคาดเดาได้ว่า สังคมไทยจะขัดแย้งหรือแตกแยกกันครั้งใหญ่กว่าที่เคยมีมา โดยมีสาเหตุจากคดีนี้หรือเปล่าแต่หากมันจะเกิดขึ้นจริง พวกเราก็น่าจะพึงสังวรณ์ได้ว่า ผมไม่ได้เป็นคนจุดชนวน แต่เพราะคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่เคารพกฎหมาย และพยายามจะใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย อะไรมันจะเกิดมันก็ต้องเกิดครับ ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีเหตุผลและที่มาที่ไป เพียงแต่เราจะยอมรับความจริงกันได้หรือเปล่า และบ่อยครั้งที่ความจริงมักทำให้เราเจ็บปวด
 
 
                ถ้า sms ที่ส่งมาเตือนผมเพื่อให้กลัวเหตุการณ์ความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตแล้วให้ผมไปบอกตำรวจหรือศาลว่า ผมแจ้งความเท็จ ทั้งๆ ที่มีหลักฐานที่ส่งมาอย่างชัดเจนโดยที่เรื่องการสืบสวนหาคนผิดไม่ใช่หน้าที่ผม ผมก็ไม่สามารถไปยับยั้งอะไรได้ผมคงไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
 
 
                  ถ้าผมจะกลัว ก็กลัวที่ตัวเองจะไม่ทำในสิ่งที่ถูกต้องมากกว่าใครทำเช่นไร ก็ย่อมได้รับกรรมเช่นนั้นและถ้าผมเลือกที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว แต่ไม่ถูกใจใครหลายคนรวมถึงคุณ แม้อาจจะเป็นเหตุให้คุณเลิกคบผมเป็นเพื่อน
ผมก็ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่า "ยังไงผมก็เลือกที่จะยืนอยู่ข้างความถูกต้อง แม้จะต้องเจ็บปวดกับสิ่งที่เลือก"
 
                 ขณะที่นายสมศักดิ์กลับมาแสดงความเห็นอีกครั้งว่า...
 
                  ข้าแต่ศาลที่เคารพ อะไรคือ “ประจักษ์พยานแวดล้อม” ที่แสดงเจตนาที่อยู่ภายในของจำเลยได้ว่า จำเลยมีเจตนาที่อยู่ภายใน ที่จะทำผิดครับ…จำเลยเคยไปลงนามถวายพระพรที่ศิริราชทั้งยังพาหลานไปลงนามด้วย...และจำเลยก็ได้ให้การต่อหน้าศาลอย่างมีอารมณ์ความรู้สึกว่าจงนักภักดี
 
 
 
                ประเด็นข้อถกเถียงกระบวนการพิจารณาคดีและคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ย่อมเกิดขึ้นได้อีกทั้งกระบวนการค้นหาข้อเท็จจริงเพื่อความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายยังไม่สิ้นสุด ...หากแต่ความเลยเถิดของการวิพากษ์วิจารณ์กลับกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์  ทั้งตั้งใจ ไม่ตั้งใจ หรืออารมณ์จะพาไปคล้ายๆกับที่นายสมศักดิ์เป็น
 
                 โดยเฉพาะที่ปรากฎเกิดขึ้นในเวปไซต์(ทั้งบนดิน-ใต้ดิน) ต่างแสดงอารมณ์เกลียดชัง เคียดแค้นต่อสถาบันเบื้องสูงอย่างเห็นได้ชัด ที่แม้บางข้อความจะพอหยิบยกมานำเสนอได้ แต่ก็ยังสะท้อนให้เห็นถึงความไม่เข้าใจของการแสดงความคิดเห็นของบุคคลนั้นๆ
 
                 “อยากเป็นคนไทย อยากพูดภาษาไทย ผมมีโฉนดที่ดิน ผมมีบัตรประชาชน ผมเสียภาษี เวลาพูดหรือทำอะไร ก็ไม่ได้หรอ”
 
                ข้อความข้างต้นต้องการสื่อสารว่า การวิพากษ์วิจารณ์อะไรก็ได้ในฐานะคนไทยทำไม่ได้หรือ? ซึ่งเป็นความเข้าใจว่า “อากง” ในฐานะคนไทยก็ควรวิพากษ์วิจารณ์อะไรก็ได้ ซึ่งอาจจะหมายถึง การส่งข้อความในเอสเอ็มเอส แต่ในส่วนนี้ต้องแยกให้ออกระหว่าง ข้อถกเถียงว่า “อากง”ส่งเอสเอมเอสจริงหรือไม่? และข้อความนั้น มีเนื้อหาแค่วิจารณ์หรือ อาฆาตมาดร้าย
 
                 “แต่ไม่เห็นถามถึงความรุนแรงของ sms ที่หมิ่นสถาบัน หรือไม่สนใจเหตุผลว่าทำไมถึงโดนติดคุกถึง 20 ปี ซึ่งเขาส่ง sms มา 4 ครั้ง ศาลก็นับเป็น 4 กระทงๆ ละ 5 ปี รวมเป็น 20 ปี นี่คือข้อเท็จจริง”
 
 
                 ว่าด้วยการวิจารณ์(โดยบริสุทธิ์ใจ)และการดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาดมาดร้ายฯลฯ มีแง่มุมที่ต้องพิจารณาอย่างไรบ้างนั้น จึงขอใช้โอกาสนี้อันเชิญพระราชดำรัสตอนหนึ่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2548
         
 
                 ".....แต่ว่าความจริง ก็จะต้องวิจารณ์บ้างเหมือนกัน แล้วก็ไม่กลัวถ้าใครจะวิจารณ์ว่าทำไม่ดีตรงนั้นๆ จะได้รู้ เพราะว่าถ้าบอกว่าพระเจ้าอยู่หัวไปวิจารณ์ท่านไม่ได้ ก็หมายความว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่เป็นคน ไม่วิจารณ์เราก็กลัวเหมือนกัน ถ้าบอกไม่วิจารณ์แปลว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่ดี รู้ได้อย่างไร ถ้าเขาบอกว่า ไม่ให้วิจารณ์พระเจ้าอยู่หัว เพราะพระเจ้าอยู่หัวดีมาก ไม่ใช่อย่างนั้น บางคนอยู่ในสมองว่าพระเจ้าอยู่หัวพูดชอบกล พูดประหลาดๆ ถ้าขอเปิดเผยว่าวิจารณ์ตัวเองได้ว่าบางทีก็อาจจะผิด แต่ให้รู้ว่าผิด ถ้าเขาบอกว่าวิจารณ์พระเจ้าอยู่หัวว่าผิด งั้นขอทราบว่าผิดตรงไหน ถ้าไม่ทราบ เดือดร้อน…”
         
 
                 “ฉะนั้นก็ที่บอกว่าการวิจารณ์เรียกว่าละเมิดพระมหากษัตริย์ ละเมิดให้ละเมิดได้ แต่ถ้าเขาละเมิดผิดเขาก็ถูกประชาชนบอมบ์ คือเป็นเรื่องของขอให้รู้ว่าเขาวิจารณ์อย่างไร ถ้าเขาวิจารณ์ถูกไม่ว่า แต่ถ้าเขาวิจารณ์ผิดไม่ดี แต่เมื่อบอกว่าไม่ให้วิจารณ์ ไม่ให้ละเมิดไม่ได้เพราะรัฐธรรมนูญว่าอย่างนั้น ก็ลงท้ายก็เลยพระมหากษัตริย์ก็เลยลำบากแย่ อยู่ในฐานะลำบาก ก็แสดงให้เห็นว่าถ้าไม่ให้วิจารณ์ก็หมายความว่า พระเจ้าอยู่หัวนี่ ก็ต้องวิจารณ์ ต้องละเมิด แล้วไม่ให้ละเมิด พระเจ้าอยู่หัวเสีย พระเจ้าอยู่หัวเป็นคนไม่ดี ซึ่งถ้าคนไทยด้วยกันก็ยังไม่กล้า สองไม่เอ็นดูพระเจ้าอยู่หัว ไม่อยากละเมิด แต่มีฝ่ายชาวต่างประเทศ มีบ่อยๆ ละเมิดพระเจ้าอยู่หัว ละเมิด THE KING แล้วก็หัวเราะเยาะว่า THE KING ของไทยแลนด์ พวกคนไทยทั้งหลายนี่ เป็นคนแย่ ละเมิดไม่ได้ ในที่สุดถ้าละเมิดไม่ได้ก็เป็นคนเสีย เป็นคนที่เสีย...” 
 
 
                 สำหรับประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อน และที่ผ่านมาได้มีความพยายามจากกลุ่มต่างๆ เสนอให้ยกเลิกหรือแก้ไข โดยอ้างถึงสิทธิและเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตย “ในการที่จะพูดจะคิดจะเขียนฯลฯ”
 
 
                ที่ผ่านมากลุ่มนิติราษฎร นำโดยนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ นำเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่พิจารณา
โดยระบุถึงหลักการประกอบร่างพระราชบัญญัติเอาไว้ 2 ข้อคือ
 
1 ยกเลิกมาตรา 112
 
2 กำหนดความผิดเกี่ยวกับการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ออกจากความผิดเกี่ยวกับการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และให้ลดอัตราโทษลง
 
                จากบทบัญญัติและโทษเดิมที่ระบุว่าผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จ ราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี มาเป็นผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมาหากษัตริย์ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3ปี หรือปรับไม่เกิน 5 หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
 
                ส่วนพระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 3 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
กลุ่มนิติราษฎร ให้เหตุผลการแก้ไขว่า บทลงโทษเดิมมีความรุนแรงเกินไป ส่วนการแยกพระมหากษัตริย์ ออกจากพระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์  ถือเป็นการจัดความสำคัญ
 
                การกำหนดอัตราโทษและจัดลำดับกลุ่มกฎหมายหมิ่นประมาทของไทย ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะตามรัฐธรรมนูญก็ได้มีการจัดอันดับความสำคัญเอาไว้แล้วดังนี้
 
 
1.การหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา แบ่งออกเป็น 3 ประเภท
 
 
1.1.หมิ่นประมาท มาตรา 326 โทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 
 
1.2.หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา มาตรา 328 ระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีและปรับไม่เกินสองแสนบาท
 
1.3. หมิ่นประมาทซึ่งหน้า มาตรา 393 ซึ่งอยู่ในหมวดลหุโทษ เป็น "การดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าหรือด้วยการโฆษณา" มีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
 
2. การหมิ่นประมาทเจ้าพนักงาน มาตรา 136 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
 
3.การหมิ่นประมาท ศาล มาตรา 198ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
 
4.การหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาตรา 112 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี
 
 
                 พิจารณาตามหลักการดังกล่าว ก็จะเห็นภาพที่ชัดเจนว่า ไม่เฉพาะการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่ถูกกำหนดอัตราโทษเอาไว้สูงกว่าการหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาทั่วไป
 
                 แต่การหมิ่นประมาทเจ้าพนักงาน และศาล ก็เช่นกัน ซึ่งถูกกำหนดอัตราโทษเอาไว้สูงกว่า ทั้งนี้ก็เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญในการจัดลำดับความสำคัญของการหมิ่นประมาทนั่นเอง
 
                 โดยสามัญสำนักแล้ว เป็นที่ทราบกันดีว่าทำไมถึงต้องกำหนดอัตราโทษของกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเอาไว้มากกว่าการหมิ่นประมาทธรรมดาทั่วไป ทั้งนี้ก็เป็นเพราะว่าความสำคัญของพระมหากษัตริย์ ราชินี องค์รัชทายาท ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทย ...ไม่เพียงเท่านั้นหากลงลึกในรัฐธรรมนูญ ยิ่งทำให้ทราบถึงข้อเท็จจริงว่าทำไมรัฐธรรมนูญถึงให้ความสำคัญกับสถาบันพระมหากษัตริย์
 
 
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพ.ศ.2550 มาตรา 1 ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งเดียว จะแบ่งแยกมิได้
 
 
มาตรา 2 ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
 
มาตรา 8 องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้
 
มาตรา 10 ที่ระบุว่าพระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย
 
 
                 พิสูจน์กันต่อว่า ข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์ให้เพิ่มร่างพระราชบัญญัติในลักษณะของการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์โดยไม่ผิดกฎหมายนั้น ถือเป็นการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยจริงหรือไม่
 
 
1.ผู้ใดติชม แสดงความคิดเห็น หรือแสดงข้อความใด โดยสุจริตเพื่อรักษาไว้ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญเพื่อธำรงไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญ เพื่อประโยชน์ทางวิชาการ หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะ ผู้นั้นไม่มีความผิด
 
2.ความผิดต่างๆในลักษณะนี้ ถ้าผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดพิสูจน์ได้ว่าข้อความนั้นเป็นความจริงผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ ถ้าข้อที่กล่าวหาว่าเป็นความผิดนั้นเป็นเรื่องความเป็นอยู่ส่วนพระองค์หรือความเป็นอยู่ส่วนตัวแล้วแต่กรณี และการพิสูจน์นั้นไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน ห้ามมิให้พิสูจน์
 
3.ห้ามบุคคลทั่วไปกล่าวโทษว่ามีการกระทำความผิดเกี่ยวกับพระเกียรติของพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และเกียรติยศของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ให้สำนักราชเลขาธิการเป็นผู้กล่าวโทษว่ามีการกระทำความผิดเกี่ยวกับพระเกียรติของพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และเกียรติของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
 
                 ทั้งหมดนี้กลุ่มนิติราษฎร์อธิบายเหตุผลว่า มาตรา 112 ในปัจจุบัน เปิดช่องให้บุคคลนำไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองหรือนำไปใช้โดยไม่สุจริตและไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายเพื่อรักษาไว้ซึ่งเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นตามความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
 
 
                 เหตุผลที่พูดถึงสิทธิการประกันตัวผู้ต้องหา การต่อสู้คดี และขั้นตอนการฟ้องร้องดำเนินคดีก็ดีนั้น ต้องแยกแยะให้ออกว่าเป็นส่วนของการบังคับใช้กฎหมายหรือวิธีการพิจารณาคดีโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ที่สามารถเกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้ ไม่เฉพาะกับคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเท่านั้น แต่กับคดีทั่วไปก็เหมือนกัน ซึ่งเป็นคนละส่วนกับบทบัญญัติของกฎหมาย
 
 
                 การวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริต ย่อมสามารถกระทำได้อยู่แล้ว เพราะเนื้อหาตามบทบัญญัติของมาตรา 112 ก็ระบุเอาไว้ภายใต้ขอบเขตของการกระทำความผิดว่าจะต้องหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับการหมิ่นประมาททั่วไป แต่ที่สำคัญกลุ่มนักวิชาการ ได้ไปดูรายละเอียดพฤติกรรม ของนักโทษและผู้ต้องหาเหล่านี้หรือไม่ว่า เป็นการวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริตหรือเป็นการดูหมิ่น อาฆาตมาดร้าย กันแน่
1.นายสุชาติ นาคบางไทร ปราศรัยใส่ความเท็จสถาบัน
2.นายณัฐ สัตยาภรณ์พิสุทธิ์ เผยแพร่คลิปหมิ่นทางอีเมล์
3.นายวันชัย แซ่ตัน แจกจ่ายเอกสารเข้าข่ายหมิ่นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
4.นายเสถียร รัตนวงศ์ ขายซีดีเนื้อหาเข้าข่ายหมิ่นฯ
5.นายเลอพงษ์ วิไชยคำมาตย์ ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้โพสต์ลิงค์โฆษณาให้ผู้คนเชื่อมต่อไปอ่านหนังสือที่มีเนื้อหาให้ร้ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
6.นาย ธันย์ฐวุฒิ ทวีวโรดมกุล นำข้อความในลักษณะหมิ่นประมาท หรือดูหมิ่นอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ เผยแพร่ในรายการ “ทางออกประเทศไทย”เว็บไซต์ norporchorusa ซึ่งจัดรายการโดยนายชูพงศ์ ถี่ถ้วน
7.นาย สุริยันต์ กกเปือย  โทรศัพท์ไปยัง 191 ข่มขู่วางระเบิดโรงพยาบาลศิริราช
9.นางดารณี ชาญเชิงศิลปะกุล ปราศรัยด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย บนเวทีเสียงประชาชน ท้องสนามหลวง
 
 
                 นอกจากนี้พฤติการณ์ของผู้ต้องหาระดับแกนนำอย่างนายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข หรือนายจตุพร พรหมพันธ์ ก็จะต้องพิจารณาด้วยใจที่เป็นกลางว่า ถือเป็นการวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริตเจตนาหรือเป็นการกล่าวหา แสดงความอาฆาตมาดร้ายกันแน่
 
 
                   รวมไปถึงการเคลื่อนไหวของนักวิชาการกลุ่มต่างๆ ที่อ้างถึงสิทธิเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตย แต่กลับเคลือบแฝงเอาไว้ด้วยเจตนาบางอย่าง โดยเฉพาะ 8 เสนอข้อของนายสมศักดิ์ ดังนี้
 
1. ยกเลิกรัฐธรรมนูญมาตรา 8
2. ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
3. ยกเลิกองคมนตรี
4. ยกเลิก พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2491
5. ยกเลิกการประชาสัมพันธ์ การให้การศึกษาเกี่ยวกับสถาบันทั้งหมด
6. ยกเลิกพระราชอำนาจ ในการแสดงความเห็นทางการเมืองทั้งหมด
7. ยกเลิกพระราชอำนาจในเรื่องโครงการหลวงทั้งหมด
8. ยกเลิกการบริจาค รับบริจาคโดยเสด็จพระราชกุศลทั้งหมด
 
                 และที่ชัดเจนที่สุด กับเป้าหมายของขบวนการล้มเจ้า ที่ยังคงเดินหน้าโจมตีสถาบันอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับเรียกร้องให้มีการยกเลิกมาตรา 112
 
 
                  นักวิชาการ นักเขียน หรือกลุ่มเคลื่อนไหวต่างๆ จะรับรู้ข้อเท็จจริงหรือไม่ก็ตาม ว่าสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันมีกลุ่มที่จ้องโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่จริง ขณะที่การทำหน้าที่เพื่อปกป้องและพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ก็ถือเป็นหน้าที่ของคนไทย ที่ถูกระบุอยู่ในรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน
 
 
รัฐธรรมนูญมาตรา 70 บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้
 
รัฐธรรมนูญมาตรา 77 รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย และบูรณภาพแห่งเขตอำนาจรัฐ และต้องจัดให้มีกำลังทหาร อาวุธยุทโธปกรณ์ และเทคโนโลยีที่ทันสมัย จำเป็น และเพียงพอ เพื่อพิทักษ์รักษาเอกราช อธิปไตย ความมั่นคงของรัฐ สถาบันพระมหากษัตริย์ ผลประโยชน์แห่งชาติและการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและเพื่อการพัฒนาประเทศ
 
                  ถึงไม่มีรัฐธรรมนูญมาตรา 70 และ 77กำหนดให้คนไทยพิทักษ์รักษา พระมหากษัตริย์  แต่ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ คนไทยส่วนใหญ่ก็ได้ทำหน้าที่ดังกล่าวด้วยความเต็มใจ ....
 

ที่มา TNEWS


อยากเตือนผู้ที่เข้าใจในหลวงผิด แล้วคันไม้คันมือ

ทีมกรุ๊ปเสนอแนวทางแก้น้ำท่วมภาค กลาง-กทม. ทั้งระยะสั้น กลาง ยาว




ข่าวทั่วไป หนังสือพิมพ์แนวหน้า -- เสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2554 14:31:33 น.
ทีมกรุ๊ปเสนอแนวทางแก้น้ำท่วมภาค กลาง-กทม. ทั้งระยะสั้น กลาง ยาว — หนุนระบบระบายน้ำมอเตอร์เวย์ คาดสามารถระบายน้ำได้ 100 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน

วันนี้ (26 พฤศจิกายน) ทีมกรุ๊ปได้เสนอแก้ไขปัญหาอุทกภัยในภาคกลางเชิงบูรณาการอย่างยั่งยืน ในพื้นที่ภาคกลาง และกรุงเทพมหานคร ทั้งนี้จากความเสียหายครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้น ทางรัฐจึงต้องมีการดำเนินการก่อสร้างโครงการต่าง ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเช่นที่เกิดในปี 2554 ขึ้นอีก



โดยทีมกรุ๊ป ระบุว่า จากการศึกษาของทีมกรุ๊ป โดยใช้แบบจำลองชลศาสตร์-อุทกวิทยาที่สร้างขึ้นมาเป็นการเฉพาะสำหรับลุ่มน้ำ เจ้าพระยา พบว่า มีความจำเป็นที่จะต้องก่อสร้างระบบระบายน้ำ เพื่อให้สามารถเร่งการระบายน้ำลงสู่ทะเลได้อย่างรวดเร็วทั้งในช่วงก่อน ระหว่าง และหลังจากมวลน้ำขนาดใหญ่ไหลเข้าสู่พื้นที่ในเขตภาคกลาง และกรุงเทพมหานคร

ทั้งนี้ การก่อสร้างดังกล่าวประกอบด้วย 7 โครงการหลักที่สำคัญ แบ่งเป็นแผนการดำเนินงานในระยะสั้น กลาง ยาว ได้ดังนี้

แผนระยะสั้น ระยะเวลาดำเนินการแล้วเสร็จภายใน 1-2 ปี
(1) การปรับปรุงระบบระบายน้ำในปัจจุบัน : ประกอบด้วย การขุดลอกคูคลอง ปรับปรุงพนังกั้นน้ำ ประตูระบายน้ำ และสถานีสูบน้ำ

การปรับปรุงคลอง : มีคูคลองจานวนมากที่มีการตกตะกอน รวมทั้งการที่ประชาชน รุกล้าเข้าไปอยู่อาศัยในเขตคลอง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการขุดลอกตะกอนดินอย่างสม่าเสมอ และป้องกันไม่ให้ประชาชนเข้าไปอาศัยอยู่ในเขตคลอง โดยเฉพาะคลองสายหลัก และสายอื่นๆ ที่ใช้ในการระบายน้ำลงสู่ทะเล ซึ่งจากประสบการณ์น้ำท่วมในปี พ.ศ 2554 นี้ก็สามารถจะกำหนดได้ว่าคลองใดบ้างที่จะต้องใช้เป็นคลองระบายน้ำลงสู่แม่ น้าเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน เพื่อระบายลงสู่ทะเล ในบางแห่งจะต้องขยายคลองปรับเปลี่ยนจากคลองส่งน้ำมาเป็นคลองระบายน้ำด้วย อย่างไรก็ตามการขุดลอกคูคลองนี้มีความจำเป็นต้องดาเนินการในทุกๆ คลอง หมุนเวียนกันไปโดยจะต้องกำหนดไว้ว่าคลองใดจะเป็นคลองสายหลัก และ คลองสายรองที่จะใช้ระบายน้ำเพื่อจะได้จัดเรียงลำดับความสำคัญก่อนหลังในการ ดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การปรับปรุงพนังกั้นน้ำ : จะต้องมีการปรับปรุงพนังกั้นน้ำต่างๆ ที่เสียหายจากน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 นี้ รวมทั้งในจุดที่มีความสาคัญมีความเสี่ยง ควรมีการเสริมความแข็งแรงของพนังกั้นน้ำ และพิจารณาความสูงให้เหมาะสม เป็นไปตามหลักวิชาการ และสอดคล้องกับการใช้ประโยชน์ได้ตามวัตถุประสงค์เพื่อสามารถป้องกันน้ำท่วม ในภาพรวมให้แก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้อย่างแท้จริง

การปรับปรุงประตูระบายน้ำ : จะต้องมีการบารุงรักษาให้ประตูระบายน้ำสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อยู่เสมอ ปรับปรุงบานและเครื่องกว้านให้มีขนาดเพียงพอในการรองรับปริมาณน้ำในปริมาณ มากๆ เท่ากับในปี 2554 นี้ได้อย่างเพียงพอ โดยที่สามารถใช้งานได้ทั้งการส่งน้ำ และระบายน้ำ ซึ่งในบางแห่งอาจจะต้องมีการขยายเพิ่มขนาดบานและอาคารด้วย นอกจากนี้ ในส่วนอาคารโครงสร้าง ชุดเครื่องกว้าน บานระบาย ก็จำเป็นต้องมีการซ่อมบำรุงให้มีสภาพดี แข็งแรง สามารถใช้งานได้ตลอดเวลา

สถานีสูบน้ำ : จะต้องมีการบำรุงรักษา และซ่อมแซม ปรับปรุงเครื่องสูบน้ำและอาคารประกอบให้มีความเหมาะสมทางด้านวิศวกรรม สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่นชนิดและขนาดของเครื่องสูบน้ำจะต้องมีความเหมาะสมทั้งที่จะใช้ในการสูบ ส่ง และการสูบระบาย

อนึ่ง การปรับปรุงคูคลองทั้งหมดนี้ย่อมจะมีปัญหาด้านมวลชนที่อาศัยอยู่ในเขต คลอง จะต้องมีการศึกษาด้านการเวนคืน การจ่ายค่าชดเชย ซึ่งในปี 2554 ที่เกิดวิกฤติน้ำท่วมใหญ่นี้ถือเป็นโอกาสหนึ่งที่รัฐจะทำความเข้าใจกับ ประชาชนได้ง่ายขึ้น เพราะทุกคนได้เห็นถึงผลเสียหายที่เกิดขึ้นจากการบุกรุกที่ดินเขตคลองและการ สร้างโรงงาน อาคาร และบ้านเรือนที่อยู่อาศัยอยู่ในเส้นทางน้ำ (Floodway) ที่จะระบายลงสู่ทะเล

แผนระยะกลาง ระยะเวลาดำเนินการแล้วเสร็จภายใน 2-5 ปี
(1) พัฒนาพื้นที่ลุ่มต่ำเป็นพื้นที่แก้มลิง : จะต้องมีการกำหนดให้พื้นที่เกษตรกรรมที่เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำที่มีศักยภาพที่ จะเป็นพื้นที่แก้มลิง ซึ่งจากผลการศึกษาของทีมกรุ๊ปร่วมกับกรมชลประทานพบว่า สามารถดำเนินการ โดยแบ่งพื้นที่เป็น 2 ส่วน คือพื้นที่ตอนบน บริเวณเหนือจังหวัดนครสวรรค์ และพื้นที่ตอนล่าง บริเวณจังหวัดอ่างทอง และจังหวัดพระนครศรีอยุธยาซึ่งในปัจจุบันในส่วนนี้ได้ศึกษากำหนดพื้นที่ไว้ แล้ว รวม 8 พื้นที่ ศึกษาถึงระบบพนังของพื้นที่ปิดล้อม และระบบประตูระบายน้ำต่างๆ อย่างครบถ้วน และได้กำหนดค่าชดเชยให้แก่ประชาชนที่เป็นเจ้าของพื้นที่การเกษตรในพื้นที่ แก้มลิงดังกล่าว โดยได้ทำความเข้าใจจนเป็นที่ยอมรับว่าเกษตรกรสามารถเพาะปลูกพืชต่างๆ ไปตามปกติ และหากปีใดที่มีน้ำปริมาณมาก ก็จะขอใช้พื้นที่ดังกล่าวเป็นแก้มลิงเพื่อใช้ในการตัดยอดน้ำหลากในภาวะ วิกฤติ แล้วทางรัฐก็จะจ่ายค่าชดเชยให้ในราคาที่เหมาะสมกับความเสียหายในปีนั้นๆ ต่อไป จากการศึกษาพบว่าสามารถใช้พื้นที่แก้มลิงซึ่งมีความจุรวมประมาณ 1,000 ล้าน ลูกบาศก์เมตร ดังกล่าวในการตัดยอดน้ำ ลดความลึกของน้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

(2) ปรับปรุงคลองบางแก้ว-แม่น้ำลพบุรี : จะต้องปรับปรุงและขยายคลองบางแก้ว-แม่น้ำลพบุรี และเพิ่มช่องการระบายน้ำของ ปตร.ปากคลองบางแก้ว ปตร.ปากคลองพระครู และ ปตร.ปลายคลองบางแก้ว และปลายแม่น้ำลพบุรี เพื่อให้สามารถเร่งการระบายน้ำลงสู่มอเตอร์เวย์น้าได้อย่างรวดเร็ว เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จจะสามารถลดระดับน้ำท่วมในพื้นที่อาเภอเมืองอ่างทองลง ได้ 49 เซ็นติเมตร และสามารถลดระยะเวลาการท่วมในพื้นที่ดังกล่าวลงได้ 18 วัน

(3) ขุดช่องลัดแม่น้ำท่าจีนและก่อสร้างประตูระบายน้ำควบคุม 4 แห่ง : เป็นการเร่งระบายน้ำทางฝั่งตะวันตก โดยน้อมนำพระราชดาริที่ดำเนินการที่บางกระเจ้า โดยการขุดคลองลัดโพธิ์ และก่อสร้างบานประตูเพื่อควบคุมและระบายน้ำ เพื่อการบรรเทาอุทกภัย ได้น้อมนำเอาแนวพระราชดำริดังกล่าวมาใช้ในแม่น้ำท่าจีน เพื่อช่วยให้ระบายน้ำได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

จากการศึกษาพบว่า มีความเหมาะสมที่จะขุดช่องลัดในคุ้งน้ำที่คดเคี้ยวของแม่น้ำท่าจีน จานวน 4 แห่ง และก่อสร้างประตูน้ำในทุกๆ ช่องลัด เพื่อควบคุมการปิด-เปิด ระบายน้ำให้สอดคล้องกับจังหวะการขึ้น-ลง ของน้ำทะเล จะลดระยะทางการไหลของน้ำในส่วนดังกล่าวจาก 48 กิโลเมตร ลดลงเหลือ 10 กิโลเมตร ซึ่งจะสามารถเร่งการระบายน้ำลงสู่ทะเลได้เพิ่มมากขึ้นอีกวันละ 10 ล้านลูกบาศก์เมตร

แผนระยะยาว ระยะเวลาดำเนินการแล้วเสร็จมากกว่า 5 ปี
(1) การก่อสร้างมอเตอร์เวย์น้ำ : เนื่องจากปริมาณการจราจรของเส้นทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีความ หนาแน่น โดยเฉพาะในช่วงธัญญบุรี ถึงลาดกระบังซึ่งได้มีการขยายเส้นทางไปแล้ว แต่ก็ยังไม่พอเพียง จึงมีความจาเป็นต้องพัฒนาโครงการก่อสร้างถนนวงแหวนรอบที่ 3 ในขณะเดียวกันในด้านการระบายน้ำทางฝั่งตะวันออกนั้นก็จำเป็นจะต้องเพิ่มการ ระบายน้ำ เพื่อทดแทนทางน้ำหลาก (Floodway) ที่มีอยู่ในสมัยโบราณ เนื่องจากแม่น้ำเจ้าพระยาสามารถระบายน้ำได้สูงสุด 300 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวันเท่านั้น

ในปี พ.ศ. 2542 ทีมกรุ๊ปได้เคยร่วมกับองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency- JICA) ศึกษาแนวทางในการแก้ไขปัญหาอุทกภัยในภาคกลางและได้ร่วมกันวางแนวทางในการก่อ สร้างคลองผันน้ำขนาดใหญ่จากบางไทรระบายลงไปสู่อ่าวไทยผ่านทุ่งตะวันออกของกรุงเทพฯ

จากปัญหาน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 นี้ ทำให้เห็นว่ามีความจำเป็นจะต้องหาวิธีการเร่งระบายน้ำในพื้นที่ภาคกลางตอน ล่างและกรุงเทพมหานครเพิ่มเติมนอกเหนือจากการระบายน้ำผ่านทางแม่น้ำเจ้า พระยา และแม่น้ำท่าจีนเท่านั้น

ทีมกรุ๊ปได้เคยศึกษาการก่อสร้างมอเตอร์เวย์น้ำ ควบคู่ไปกับถนน วงแหวนรอบที่ 3 ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว จึงเห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้องเร่งการก่อสร้างโครงการดังกล่าว

อนึ่ง ในอดีตได้เคยมีการศึกษาเรื่องการก่อสร้าง Floodway แบบธรรมชาติ โดยวิธีการนี้จะใช้พื้นที่เป็นบริเวณกว้างประมาณ 2-5 กิโลเมตร เพื่อเป็นทางน้ำผ่านระบายน้ำจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผ่านทางทุ่งรังสิต หนองเสือ และผ่านทุ่งด้านตะวันออกของกรุงเทพฯ ลงไปสู่ทะเล ซึ่งในปัจจุบันสภาพการใช้ที่ดินได้เปลี่ยนแปลงไปมากมีสิ่งปลูกสร้างต่างๆ เป็นจำนวนมาก การก่อสร้างทางน้ำหลาก (Floodway) ในพื้นที่บริเวณกว้างจะทำได้ยากขึ้น และทางน้ำอาจจะคดเคี้ยวเนื่องจากต้องหลบสิ่งปลูกสร้างต่างๆ เหล่านั้น ทีม กรุ๊ปจึงได้เสนอแนวทางในการก่อสร้างมอเตอร์เวย์น้ำ ซึ่งกำหนดไว้เป็นการขุดคลองระบายน้ำ ในขนาด 1,150 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที สามารถระบายน้ำได้ 100 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน

“มอเตอร์เวย์น้ำ” จะขุดเป็นคลองที่มีความกว้าง 180 เมตร ลึกประมาณ 8 เมตร มีประตูควบคุมน้ำที่ตอนเหนือบริเวณบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และมีประตูควบคุมน้ำที่บริเวณท้ายน้ำ รวมทั้งมี ประตูเรือ (Navigation Lock) ที่ให้เรือผ่านเข้าออกได้ ใช้เป็นเส้นทางเดินเรือบรรทุกสินค้าขนาด 3,000 ตันได้ ซึ่งจะทาให้ลดปริมาณการจราจรทางน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาได้อีกทางหนึ่ง นอกจากนี้น้ำในคลองจะถูกเก็บกักและควบคุมให้เป็นน้ำจืดที่สามารถใช้เป็นน้ำ สำรองสาหรับใช้เป็นแหล่งน้ำดิบในการผลิตน้ำประปาสำหรับกรุงเทพฯ ด้านฝั่งตะวันออกได้อีกด้วย

“มอเตอร์เวย์น้ำ” จะก่อสร้างคู่ขนานไปกับถนนวงแหวนรอบที่ 3 โดยมีคลองอยู่ตอนกลาง ซึ่งจะมีส่วนของถนนที่ใช้เป็นทางด่วนเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางอยู่ด้านหนึ่ง และมีถนนคู่ขนาน (Local Road) สองข้าง สามารถบริการประชาชนได้โดยไม่เก็บค่าธรรมเนียม

ส่วนที่ดินบริเวณสองข้างของถนนคู่ขนานเลียบมอเตอร์เวย์น้ำนี้ จะมีโอกาสพัฒนาให้มีความเจริญขึ้น ทั้งทางด้านการพัฒนาเป็นชุมชนที่พักอาศัยที่ทันสมัย อยู่ใกล้คลองที่จะมีน้ำอยู่ตลอดปี และพื้นที่ใกล้เคียงถัดออกไปสามารถใช้ในการเกษตรกรรมแผนใหม่ โดยในปัจจุบันบริษัท บางจาก ปิโตรเลียม จากัด (มหาชน) ได้เริ่มมีการส่งเสริมให้ปลูกต้นปาล์มแทนสวนส้มที่ได้รับความเสียหายใน พื้นที่บริเวณทุ่งหนองเสือ โดยจะใช้น้ำมันปาล์มมาผลิตเป็น Bio Diesel ต่อไป

นอกจากนี้ยังพัฒนาด้านการท่องเที่ยวทางน้ำได้อีกด้วย และส่วนของทางด่วนนั้นจากการศึกษาพบว่าจะสามารถเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางได้ ประมาณ 3,500 ล้านบาท ต่อปีอีกด้วย

จากการใช้แบบจำลองชลศาสตร์-อุทกวิทยา (River Network Model) ที่ทีมกรุ๊ปได้พัฒนาขึ้นมาเป็นการจำเพาะสาหรับลุ่มน้ำเจ้าพระยาซึ่งได้สอบ เทียบ และใช้งานอย่างได้ผลดีมาตลอด 30 ปี และในการศึกษา ระบบระบายน้ำที่ปรับปรุงใหม่นี้ทั้งระบบดังกล่าวแล้วพบว่าการใช้มอเตอร์เวย์ น้ำเป็นทางระบายน้ำหลักอีกสายหนึ่งบูรณการร่วมกับแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน และการปรับปรุงทั้งระบบแล้วจะสามารถระบายน้ำจากตอนเหนือ และจากลุ่มน้าเจ้าพระยาทั้งหมดได้รวม 550 ล้าน ลบ.ม./วัน สามารถบริหารจัดการน้ำท่วมใหญ่ที่มีมวลน้ำที่มากมายทั้งในสภาพปี พ.ศ. 2538 และปี พ.ศ. 2554 นี้ได้อย่างเพียงพอแน่นอน ไม่เกิดความเสียหายอย่างที่เกิดในปีพ.ศ. 2554 อีกต่อไป

(2) ปรับปรุงคลองชัยนาท-ป่าสัก : จะต้องปรับปรุงคลองชลประทานชัยนาท-ป่าสัก ซึ่งปัจจุบันมีขนาดความจุ 210 ลบ.ม./วินาที ส่งน้ำได้วันละ 18 ล้านลูกบาศก์เมตร ขยายขนาดคลองและปรับเปลี่ยนไปเป็นคลองระบายน้ำขนาด 500 ลบ.ม./วินาที ระบายน้ำได้วันละ 43 ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่อเร่งการระบายน้ำจากนครสวรรค์และชัยนาท ไม่ให้เกิดการสะสมในทุ่ง โดยก่อสร้างให้ไปเชื่อมต่อกับมอเตอร์เวย์นำ เพื่อเร่งการระบายน้ำลงสู่ทะเลต่อไป

(3) การก่อสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น และเขื่อนแม่วงก์ : จะต้องพิจารณาคัดเลือกทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดในการพัฒนาโครงการก่อสร้าง เขื่อนแก่งเสือเต้นที่มีความจุอ่างเก็บน้ำ 730 ล้านลูกบาศก์เมตร และเขื่อนแม่วงก์ ที่มีความจุอ่างเก็บน้ำ 230 ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่อใช้เป็นแหล่งเก็บกักน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง และสามารถใช้บรรเทาอุทกภัยได้ในฤดูฝนอีกด้วย

นี่หรือ นายกรัฐมนตรีของไทย - น่าจะพิจารณาตัวเอง

โดย Kamolporn Bunlue

ดร. สมเกียรติ อ่อนวิมล แนะนำนายกยิ่งลักษณ์ ชุดที่ 2

ถอดจาก แถลงการณ์นายกยิ่งลักษณ์ร่วมกับนายบันคิมูน เลขาธิการสหประชาชาติ

ในช่วงแรก นายกฯของไทยก็อ่านโพยอย่างชนิดตะกุกตะกัก ออกเสียงผิดๆถูกๆ “Goods afternoon, ladies and gentleman of the media.” (สมกับที่ดร สมเกียรติ วิจารณ์มาจริงๆ แม้ว่าจะต่างวาระกัน)

ในขณะที่นายบันคิมูนกล่าวอย่างชัดเจนว่า (นาทีที่15) รัฐบาลไทยปฏิเสธความช่วยเหลือที่

สหประชาชาติเสนอมาตั้งแต่แรก

ถอดเทปนายกฯตอบคำถามสดนักข่าว ( สดไหม ?? ไม่แน่ใจ)

นาทีที่26:53 Our answer on my question is er how we can ask for er support from other countries.

The first thing that we announce the committee of water resource management. So right now we will start with (??) the committee soon. From the cope (sic.) of the committee before we will start to rebuild the new system of the country, we need to dinosis (sic.) what is the current situation. So now the team already capture of the… the… volume of the water and the drainage system and all the things that we must to understand and fact finding first. ! So the first stage that we will understand what current that we have now and what is the future that we might need the recommendation. So this is will be the first step that we will streamline ‘cause right now I think Thailand also very I think that’s will be gen…gen ….general ….gendel…(??) for international and other country including UN to supports us along the way during rescue to give us! the donate both in term of support and advice. But in the future that I think we need to sit down with the committee and understand in term of the point to point in the area that …ah… ah… any country will help Thailand. So this committee will b e streamline all of the process, because the process that ..ah … we can…ah.. in the principle we need to start from the forecasting how…how we can forecast the climate change. I think this is the first stage that we have to capture and understand. The second thing that we need to understand what is the current situation we have. What is the system and the…all the drainess and all the thing that we need and what is we need for the future. So let me work this out with the committee that will be of course that this time is pass by very fast so we won’t let the time pass by without do nothing and right now just gi…gave us the time to set back on the understanding the whole process and the whole of the understand natural dis-aster this time and after of course that we’ll come back with ask for the specifics of the supporting and in the general we ’ll ask for the understanding from each other from any country. So we can streamline and come up with the …the...initiatives. Thank you.

http://www.youtube.com/watch?v=ovdG5b1pE2E&feature=player_embedded#![

หมายเหตุ ที่ใส่เครื่องหมาย (??) คือไม่แน่ใจจริงๆว่าเธอต้องการจะพูดว่าอะไร

Link to video: http://youtu.be/ovdG5b1pE2E

Source code:

ที่ทำตัวเข้มไว้คือส่วนของคำพูดที่ใช้ภาษาผิด (ยังมีเล็กน้อยๆที่ไม่ได้เน้นไว้ เช่นการออกเสียง ฯลฯ) ซึ่งเป็นความผิดทางภาษาที่ไม่ใช่เรื่องการใช้ภาษาที่ลึกซึ้ง ไม่ใช่เพราะว่าเป็นภาษาทางการที่หลายคนอาจจะไม่คุ้นเคย ฯลฯ เป็นความผิดที่ไม่มีข้อแก้ตัว และเป็นความผิดที่คนเรียนจบปริญญาโทจากอเมริกา ไม่ควรทำผิดอีกแล้ว เพราะว่าโดยปกติแล้ว ก่อนที่จะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยของอเมริกา (แม้แต่มหาวิทยาลัยที่มีคุณภาพปานกลาง ไม่ใช่ดีมาก) ข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับนักเรียนต่างชาติคือต้องผ่านการทดสอบภาษาอังกฤษที่เรียกว่า TOEFL และต้องสอ! บผ่านในระดับหนึ่ง (ไม่แน่ใจว่าการเข้าเรียนที่ Kentucky Stateต้องสอบหรือเปล่า)

ส่วนในประเด็นการอ่านโพยผิด หรือตะกุกตะกัก ยิ่งเป็นสิ่งที่ไม่น่าเกิดขึ้น เพราะว่าโดยปกติเมื่อคนเราจะต้องออกงานใหญ่เช่นนี้ ก็ควรต้องฝึกซ้อมหลายๆรอบ จนกระทั่งแน่ใจว่าจะไม่ออกเสียงผิดอย่างเด็ดขาด เพราะว่าเป็นสิ่งที่รู้ มีโพยให้มาก่อนล่วงหน้าแล้ว สามารถฝึกฝนได้ โดยทั่วไปคนที่ต้องพูดในที่สาธารณะก็มักจะซ้อมออกเสียงหรือซ้อมการส่งสารไปถึงผู้รับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีบทที่เตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว

ที่สำคัญกว่าความผิดในการออกเสียงและการใช้ภาษาคือเนื้อหาที่พูด ถ้าอ่านดูก็จะเห็นว่าเป็นคำพูดที่วกวน ซ้ำซาก ไม่มีข้อมูลคืบหน้า และบ่ายเบี่ยงว่าขอให้ประชุมกับคณะกรรมาธิการฯที่ตั้งขึ้นก่อน ความจริงแล้วเป็นโอกาสที่รัฐบาลควรต้องรีบรับและเจรจาให้เกิดคำมั่นสัญญาจากสหประชาชาติว่าจะช่วยเหลือพี่น้องประชาชนคนไทยอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะเมื่อท่านเลขาธิการฯพูดย้ำหลายครั้งว่าสหประชาชาติ รวมทั้งประชาคมโลกต่างรอคอย และยินดีพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือทุกอย่าง

ความจริงแล้วการที่คนไทยไม่รู้ภาษาอังกฤษเป็นเรื่องธรรมดามาก และการที่คนไทยเราจะพูดภาษาอังกฤษอย่างงูๆปลาๆ หรืออย่างกระท่อนกระแท่นก็ไม่ใช่ความผิดแต่อย่างใด เพราะว่าภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาแม่ของเรา แม้แต่สำหรับคนที่อยู่ในฐานะนายกรัฐมนตรีก็ยังไม่เป็นไร ในอดีตก็มีผู้นำของไทยบางท่านที่พูดภาษาไทยในที่ประชุมนานาชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทั่วโลกยอมรับและเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง เพราะแสดงให้เห็นว่าท่านเหล่านั้นเห็นแก่ประโยชน์ และ“หน้าตา” ของชาติ มากกว่าหน้าตาของตัวเอง เมื่อรู้สึกว่าการใช้ภาษาที่ไม่คล่องของตนเองอาจจะยังความเสียหายให้ประเทศชาติ ก็ใช้ภาษาแม่ แล้วใช้ล่ามอาชีพที่มีความรู้ภาษาต่างประเทศดี เป็นผู้แปล ก็จะไม่เกิดความขัดข้องใจ แม้ว่าอาจจะไม่ล ื่นไหลเท่ากับการที่ท่านผู้นำจะสามารถพูดด้วยตนเองก็ตาม

ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของ ดร สมเกียรติ อ่อนวิมล ที่ว่า “ในการสื่อสารกับต่างประเทศเป็นทางการ นายกฯยิ่งลักษณ์ควรพูดภาษาไทย เพราะภาษาอังกฤษใช้การไม่ได้ ฟังไม่รู้เรื่องและอาจผิดพลาดจนประเทศไทยเสียหาย” จึงเป็นคำแนะนำที่ถูกต้องและเหมาะสมอย่างยิ่ง — กับ Chor Chang and Boon Wattana

The Clashes of Paradigms การปะทะกันของกระบวนทัศน์ไทย



โดยดร.ไก่ Tanond เมื่อ 26 พฤศจิกายน 2011 เวลา 7:13 น.

คงปฏิเสธกันไม่ได้ว่า บนพื้นฐานของความสับสนวุ่นวาย ขัดแย้ง และรุนแรงทั้งในทางสังคม และในทางการเมืองที่เป็นอยู่นี้ มีปัจจัย/เงื่อนไขหนึ่งมาจาก "ความต้องการ/ความพึงพอใจทางการเมือง" หรือ ที่เรียกว่า "ความชอบธรรมทางการเมือง" ที่เกิดขึ้นโดยกรอบแนวคิด ที่ต่างกันไปของผู้คนที่แบ่งตนออกเป็นหลายพวกหลายฝ่าย ที่มักสวนทางกัน หรือ แตกต่างกันอย่างสุดขั้วสุดโต่ง ก็คงต้องบอกก่อนนะครับ บริบทของสังคมเช่นว่านี้ ..ไม่ดีเลย แต่ก็มักเกิดขึ้นเสมอๆ ก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมครั้งใหญ่เกิดตามมา
 
ทั้งนี้หากนำมาใส่เป็นสมการให้เข้าใจง่ายขึ้น มันก็จะคล้ายๆ.. paradigmA  vs  paradigmB >=paradigm shift ที่ก็คือคำตอบของรูปแบบ ของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ว่าจะไปทางไหน?นั่นเอง
 
สังคมไทยเกิดการปะทะกันขึ้นของกระบวนทัศน์ หรือ กรอบแนวคิดอันใดบ้าง มาลองดูครับ -
1.ใช่หรือไม่? ที่เรามีผู้คนฝ่ายหนึ่งที่ยังยึดมั่น ในสรรพสิ่งที่เป็นมาแบบอนุรักษ์นิยม แล้วก็มี อีกฝ่ายหนึ่งที่ต้องการจะโยนสิ่งนี้ทิ้งทั้งหมดทั้งปวง? อันนี้ ใครเริ่มใครนำใครทำ เป้าหมายคืออะไรคงไม่ต้องอธิบาย แต่ที่จำต้องบอกเตือนให้เข้าใจกันอีกครั้งก็คือ เป้าหมายของฝ่ายหลังนี่ ถึงจะเปลี่ยนไปได้ มันก็ไม่ได้แตกต่างกันไปมากนักหรอกครับ
 
เพราะ ระบอบประธานาธิบดีนั้น ไม่ได้แตกต่างไปจากระบบกษัตริย์นัก เนื่องจากลอกเลียนแบบมา ความแตกต่างที่ชัดสุดก็คือ การมีประมุขแห่งรัฐเป็นสามัญชนคนธรรมดา ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ ระบบกษัตริย์มีขุนนางฝ่ายใน ฝ่ายต่างๆ คอยช่วยเหลือดูแลบริหารจัดการประเทศ ประธานาธิบดี ก็เลือกคณะผู้คนที่จะมาช่วยงานตน โดยให้ชื่อว่าเลขาฯ หรือ Secretary ฝ่ายต่างของตน ไม่มีคำว่ารัฐมนตรี แต่อย่างใดนะครับ เช่นนี้แล้วการปะทะกันในเรื่องนี้ สำหรับบ้านเราจึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนอยู่มาก วิธีการที่จะนำพาไปสู่ความต้องการของฝ่ายหลัง จึงซับซ้อนซ่อนเงื่อนนักสำหรับคนคิด  ทว่าสำหรับผู้คนที่นำปฏิบัตินั้น กลับกลายเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายๆ (แต่ไม่เคยมีใครเขา"กล้า"ทำกันอย่างออกนอกหน้ามาก่อน ยกเว้นเมื่อพ.ศ.2475 เช่นการหมิ่นฯ อย่างที่เราเห็นๆกัน) ความกล้า ที่ผมกล่าวถึงนี้ได้นำมาซึ่งการปะทะกัน ในกระบวนทัศน์อื่นๆที่ตามมา เช่น
 
2.ใช่หรือไม่? ที่เกิดการปะทะกัน ในเรื่องของความโบราณ กับ ความเป็นสมัยนิยม! แล้วจึงตามมาด้วย
 
3.ใช่หรือไม่? ที่เกิดการปะทะกัน ในเรื่องการกระทำที่ไม่เกรงกลัวต่อบาป(การทำเช่นไรก็ได้เพื่อให้ได้มา) กับ การอยู่ในศีลในธรรม และความเชื่อในเรื่องกฏแห่งกรรม (มุ่งมั่นในการใฝ่ดี คิดดี ทำดี)
 
หากพวกเราสังเกตุดูให้ดีๆ เราต่างก็ทราบดีกันอยู่ว่า ..ถ้าไม่มีข้อ1. causal effect ที่จะนำพาไปสู่ข้อ2.และ3.นั่นจะไม่มีแน่นอน เช่นนี้แล้วการดำรงอยู่ของข้อ1.และอีก2ข้อที่ตามมานี้ ยิ่งนานวันยิ่งไม่ดี ยิ่งเป็นภัยร้ายแรงต่อชาติอย่างมหันต์ เพราะเช่นนี้ครับ
 
4.พฤติกรรมทำซ้ำ ที่เกิดขึ้นจนคุ้นชิน คุ้นตานั้น ในทางทฤษฏีบอกว่า ..จะทำให้เรื่องๆนั้น สิ่งๆนั้นกลายเป็นเรื่อง"ปกติธรรมดา" นี่หรือเปล่าครับ ที่เป็นหนึ่งในสาเหตุ ที่ได้ทำให้เยาวชนหลงผิด ร่วมกันทำการหมิ่นฯ แบบมากขึ้นและหนักขึ้นอยู่ทุกวัน (เมื่อของต้องห้าม ถูกทำให้เป็นของสามัญ)  โดยส่วนตัวผม ผมเชื่อว่าใช่ และเชื่อว่าเป็นแผนของพวกแดงล้มเจ้า ที่วางไว้ และสามารถทำให้เกิดขึ้นได้ จนอาจบรรลุเป้าหมาย หากยังไม่มีใครออกมาจัดการเรื่องใหญ่มาก ที่ดูเล็กๆสำหรับคนต่างชาติเรื่องนี้ในเร็ววัน
 
สำหรับอนาคตข้างหน้านั้น ข้อ4.นี้สำคัญมากนะครับ เพราะทำไปทำมาสิ่งที่เราไม่พึงปรารถนานี้ กำลังจะทำให้ข้อ1 - 3 มันเป็นจริงขึ้นมา หากเวลาทอดยาวออกไปเรื่อยๆ2-3ปี ..พวกเราภาคประชาชน อย่าปล่อยให้เป็นเช่นนั้นเป็นอันขาดนะครับ เห็นทีคงสิ้นหวังกับรัฐตำรวจ กับ รัฐบาลที่เป็นใจ เป็นต้นเหตุ ที่จะมาจัดการกับเรื่องนี้เอง ..คงไม่มีทางได้เห็นหรอกครับ   
 


ผมเชื่อมั่นนะครับว่า..สิ่งนี้คือความต้องการที่ตรงกันอย่างชัดเจน ที่สุดสำหรับผู้คน "ที่สีไม่แดง" ..มาร่วมด้วยช่วยกันแสดงออก และเริ่มต้นการกดดัน พร้อมใจกันใช้รูปนี้เป็นรูปโปรไพล์ของทุกคน ..เพื่อบอกเพื่อนร่วมชาติของเรา และชาวโลกได้รับรู้นะขอรับ!

เปิดเผือกร้อนบิ๊กโปรเจ็กต์ เจาะขุมทรัพย์แสนล้าน.. คมนาคม !!?


กลายเป็นประเด็นร้อน ฝ่ากระแสน้ำท่วม เมื่อปลัดกระทรวงคมนาคม "สุพจน์ ทรัพย์ล้อม" ถูกคนร้ายปล้นบ้านในคืนวันแต่งงานลูกสาวเมื่อ 12 พ.ย. 2554 แล้วหอบเอาทรัพย์สินและเงินสดขึ้นรถกระบะที่ลือกันว่ามีมูลค่าถึง 200 ล้านบาท ล่าสุดตำรวจไล่จับและติดตามเงินของกลางมาได้บางส่วนแล้วประมาณ 16 ล้านบาท

ประเด็นปริศนาที่เรียกเสียงฮือฮาคือ กลุ่มโจรตั้งใจให้ข่าวว่า ภายในบ้านยังมีเงินสดอยู่นับพันล้าน ซึ่งผู้เสียหายขอความเป็นธรรม พร้อมให้ความเห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมีผู้ต้องการดิสเครดิต และไม่มีใครมีเป็นพันล้านอย่างที่เป็นข่าว

ทันใดนั้น ยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีได้เซ็นคำสั่งย้ายปลัดคมนาคมมาช่วยราชการที่สำนักนายก รัฐมนตรี เพื่อเปิดทางให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการตรวจสอบ

ทั้งนี้ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ระบุว่า กรณีนี้จะไม่มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนอีก โดยจะถือผลสอบของ ป.ป.ช. เป็นที่สิ้นสุด

แหล่งข่าวในกระทรวงคมนาคมเปิดเผย ว่า เรื่องนี้มีเบื้องหน้าเบื้องหลังแน่นอน เบื้องหน้าคือสิ่งที่ผู้เสียหายได้รับและตำแหน่งปลัดกระทรวงคมนาคมได้ถูก เปลี่ยนตัวไปโดยปริยาย

"ส่วนเบื้องหลังจะเป็นนักการเมืองระดับไหน พรรคไหนที่ได้ประโยชน์ เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ ตอนนี้บอกได้แค่ว่า ขั้วอำนาจกำลังหันทิศแล้ว"



"งานนี้ถือว่าเล่นกันแรงมาก และเป็นเคสประวัติศาสตร์ของกระทรวงเลยทีเดียว"

ซึ่ง "ผู้อยู่เบื้องหลัง" สั่งการให้ทั้ง "จัดเต็ม" และ "จัดหนัก"

เพราะตำแหน่งที่ต้อง "ชง" เรื่องให้ระดับ "นักการเมือง" ได้นั้น ต้องเป็นมือประสานสิบทิศ ไว้ใจได้และต้องไม่มีอะไรตกหล่น

อีกนัยหนึ่งก็เปรียบเสมือนการรับขวัญงานประมูลเมกะ โปรเจ็กต์นิวไทยแลนด์ที่จะเกิดขึ้นในปี 2555 เหมือนเป็นการ "ปลาม" ไปในตัว

"ปีหน้าเป็นปีที่มีการแข่งขันดุเดือด เป็นปีแห่งการแย่งชิงงบประมาณ ฉะนั้นงานประมูลในกระทรวงคมนาคมจึงเป็นขุมทรัพย์ที่น่าจับตาและจะถูกกล่าว ขานถึงมากที่สุด" แหล่งข่าวกล่าว

เพราะกระทรวงดังกล่าวมีงบประมาณก่อสร้างสูงมาก เฉพาะในปี 2555 ทั้งงบประมาณประจำปีรวมแล้วตก 1 แสนล้าน และเงินลงทุนเมกะโปรเจ็กต์รถไฟฟ้าสายที่เหลืออีกหลายหมื่นล้านบาท เช่น สีเขียว (หมอชิต-สะพานใหม่) และสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) ฯลฯ

ซึ่งยังไม่รวมงบประมาณฟื้นฟูหลังน้ำลดอีกหลายหมื่นล้านบาทเช่นกัน !

โดยเฉพาะ 2 หน่วยงานหลัก "กรมทางหลวง-กรมทางหลวงชนบท" ที่กุมเม็ดเงินไว้สูงสุดแทบทุกรัฐบาล โดยกรมทางหลวงเฉลี่ยอยู่ที่ 40,000-50,000 ล้านบาท โดยงานใหญ่จะเป็นงานก่อสร้างถนนสายใหม่ ขยายทาง 4 เลน สร้างและขยายสะพาน รวมถึงงานบำรุงทางทั่วประเทศ



กลุ่มผู้รับเหมาที่ได้งานไปนั้นส่วนใหญ่จะเป็นทั้ง "ขาใหญ่" และ "ขาประจำ" ของทั้ง 2 กรม ราคางานประมูลมีตั้งแต่ระดับร้อยล้านถึงพันล้านบาท ทั้งชื่อและหน้าตาก็คุ้น ๆ ทั้งนั้น หลายรายแปลงกายเป็นนักการเมืองใหญ่ สร้างบารมี อิทธิพล จนก้าวถึงตำแหน่งรัฐมนตรีที่คุมกระทรวงต้นน้ำก็มี

ขณะที่ "กรมทางหลวงชนบท" ก็เป็นกรมที่มีงานประมูลไม่น้อยหน้า เฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 26,000 ล้านบาท งบฯแต่ละปีจะทุ่มไปที่งานซ่อมบำรุงทาง สร้างทางสายใหม่ และล่าสุดสร้างชื่อคือ โครงการถนนปลอดฝุ่นที่ปีที่แล้วมีงานประมูลงานร่วม ๆ 1 หมื่นล้านบาท แม้มูลค่าแต่ละสัญญาจะระดับร้อยล้าน แต่ก็มีรับเหมาหน้าเดิม ๆ หมุนเวียนเปลี่ยนรับงานอยู่ไม่กี่ราย

นี่ยังไม่รวมมูลค่าการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ในรัฐบาลชุดที่ผ่าน ๆ มาอีก รวมแล้วงานประมูลของกระทรวงเกรดเอ (คมนาคม) ไม่ต่ำกว่าแสนล้านบาท

ยิ่งใครที่นั่งในตำแหน่งท็อป อาทิ ประธานบอร์ด รัฐวิสาหกิจเมกะโปรเจ็กต์ก็ถูกจัดว่า "กำลังถือเผือกร้อนไว้ในมือ"

เช่นเดียวกับกรณี นายสุพจน์ อดีตปลัดกระทรวงคมนาคมหมาด ๆ ที่เป็นประธานบอร์ดทั้งการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.)

ซึ่งกำลังทยอยเปิดประมูลงานอย่างต่อเนื่อง ทั้งรถไฟฟ้าหลากสี "เขียว-แดง-ม่วง-น้ำเงิน" เม็ดเงินร่วม 2 แสนล้านบาท และงานปรับปรุงระบบทางรถไฟของ ร.ฟ.ท.อีก 1.46 หมื่น

ล้านบาท

โดยมีรายชื่อบิ๊กบริษัทรับเหมาหน้าเก่า ๆ ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นได้งานตุนไว้ในมือไปแล้วเพียบหลายสัญญา

แม้เวลานี้หลายฝ่ายจะพยายามต่อ "จิ๊กซอว์" สิ่งที่เกิดขึ้นของกลุ่มโจรปริศนาในคดีปล้นพิสดารและเส้นทางเงินของ "นาย" ซึ่งเป็นเจ้าของเงินตัวจริงนั้น

กระแสข่าวระบุว่า ขณะนี้คนในกระทรวงคมนาคม และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งในวงการภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ต่างหวั่นไหว หวาดหวั่นและวิ่งวุ่น เพราะกระทรวงนี้มี "Many Story" และมี "The Man Behind" อยู่เต็มไปหมด

ขณะที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากภาคเอกชน โดยเฉพาะวงการรับเหมานั้น ต่างก็จดจ้อง "บิ๊กโปรเจ็กต์" ของปีหน้าอย่างใจจดใจจ่อ พร้อมสานต่อ "ขั้วอำนาจใหม่" ทันที

เพราะโครงการรับเหมาที่มีมูลค่างานสูงสุดของปี 2554 มีมากนับไม่ถ้วน อาทิ โครงการจ้างเหมาทางหลวงหมายเลข 3215 สาย อ.บางบัวทอง-อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี มูลค่าประมาณ 898 ล้านบาท โครงการจ้างเหมาก่อสร้างทางหลวง 108 สาย อ.จอมทอง-อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ มูลค่าเฉียด ๆ 600 ล้านบาท โครงการจ้างเหมาก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 4 สายชุมพร-ระนอง ตอน 1 มูลค่างาน 599 ล้านบาท เป็นต้น

และมีอีกหลายโครงการที่ประมูลเสร็จไปแล้วก็จริง แต่ยังไม่เบ็ดเสร็จซะทีเดียว

นี่จึงเป็นที่มาของทอล์กออฟเดอะทาวน์ !
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง