บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

๘ ลักษณะที่เรียกได้ว่าเป็น“ทุนสามานย์”



โดยแทน ราศนา

การเกิดขึ้นของสิ่งที่เรียกว่า “ระบอบทักษิณ” หรือที่ถูกเรียกขานว่า “ทุน สามานย์” เป็นอุบัติการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจบทใหม่สำหรับสังคมไทย ในด้านเศรษฐกิจทักษิณร่ำรวยมาจากการได้รับสัมปทานดาวเทียม เป็นทุนที่ใช้ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสร้างรายได้ โดยเฉพาะเทคโนโลยีด้านการสื่อสาร เขาจึงต่างกับระบบทุนเดิมๆที่เคยครอบงำการเมืองไทย ซึ่งทุนเหล่านั้นมักไม่แสดงตัวและอยู่เบื้องหลัง เช่น ทุนอุตสาหกรรมหรือทุนภาคการผลิตอื่นๆ ทุนทักษิณวางแผนยึดอำนาจรัฐด้วยการประกาศวางมือทางธุรกิจ โดยนำหุ้นไปซุกซ่อนไว้ในชื่อของทายาทและบริวารเป็นการเล่นมายากลตบตาประชาชน

ลักษณะที่สำคัญของทุนทักษิณคือ เป็นทุนนายหน้า ร่ำรวยมาจากการได้สัมปทานรัฐและทำธุรกิจธุรกิจมือถือ ทุนชนิดนี้ไม่มีสายพานการผลิตหรือเอื้อประโยชน์ต่อการพัฒนาพลังการผลิตของสังคมไทย โดยเฉพาะพลังการผลิตหลักคือภาคเกษตรกรรมของประเทศ

หลังจากได้อำนาจรัฐ ทุนทักษิณวางแผนจัดสรรงบประมาณประเทศที่มีลักษณะหลอกลวงสูง เขายึดอำนาจการเบิกจ่ายงบประมาณ โดยให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจใช้งบประมาณแผ่นดินจำนวนมหาศาลได้โดยอิสระ เขาแก้ไขระเบียบการเบิกจ่าย ให้“งบกลาง” ตกอยู่ในมือของนายกรัฐมตรี

เพียงชั่วระยะเวลา 4 ปี เขาใช้งบกลางไปถึง 173,500 ล้านบาท

ซึ่งเงินจำนวนนี้ส่วนใหญ่ได้ถูกใช้ไปในสิ่งที่เรียกว่า “ประชานิยม” หรือหากจะมองอีกด้านหนึ่งก็อาจจะเรียกได้ว่า เป็น “ระบบอุปถัมภ์รากหญ้า” สร้างฐานการเมืองในจังหวัดที่มีหัวคะแนนหนาแน่น ภายใต้ข้ออ้างว่าเป็นงบกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้เขาเป็นที่นิยมในหมู่ประชาชนในภาคเหนือและอีสานบางส่วน โดยเฉพาะกลุ่มแกนนำ หรือหัวคะแนนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการเม็ดเงินเหล่านี้โดยตรง วิธีนี้เป็นวิธีการหว่านเงินหลวงเพื่อ “ล่อซื้อ” คะแนนสียงให้ตนเอง

กล่าวโดยสรุป “ระบอบทักษิณ”เป็นคำเรียกขานหรือเป็นสมญานามเป็น “ลักษณะพิเศษ”หรือ “ลักษณะจำเพาะ” ที่แตกต่างจากทุนภาคการผลิตทั่วไป

รูปแบบพฤติกรรมต่างๆที่ได้แสดงออก ทั้งทางด้านธุรกิจและการเมืองที่หลอมรวมกันทำให้เกิดการเรียกขาน “ระบอบทักษิณ”คือ “ทุนสามานย์” มาจากรูปธรรมที่แสดงออกดังนี้ คือ

๑. เป็นทุนนายหน้า ทุนสัมปทานขูดรีดค่าบริการ เป็นทุนที่ไม่ก่อให้เกิดการพัฒนาพลังการผลิตใดๆ เพื่อสังคม

เนื้อแท้ของทุนทักษิณเป็นทุนนายหน้า ที่ไม่มีโรงงานและสายพานการผลิตใดๆอันเกี่ยวเนื่องกับการจ้างงานและการพัฒนาพลังการผลิต ที่ก่อให้
เกิดประโยชน์แก่ระบบเศรษฐกิจพื้นฐาน โดยเฉพาะภาคเกษตรกรรมอันเป็นภาคเศรษฐกิจหลักของชาติ พนักงาน/การว่าจ้างแรงงานและการลงทุนใดๆของทุนชนิดนี้ เป็นหน่วยหนึ่งของโึครงข่ายการขูดรีดที่แฝงมาในรูปของ “การขายบริการ” ทุนทักษิณใช้สัมปทานและการแย่งยึดอำนาจรัฐช่วงชิงโภคทรัพย์ของสังคม ทุนชนิดนี้ไม่มีปิตุภูมิ ไม่ขึ้นต่อขอบเขตประเทศหรือเส้นแบ่งพรมแดน เป็นทุนข้ามชาติด้วยเช่นกัน เมืิ่่อกำลังซื้อในประเทศลดลงการแข่งขันสูงขึ้นและมองหาลู่ทางทำกำไรแบบใหม่ ทุนทักษิณพยายามที่จะขยายการลงทุนด้านโทรคมนาคมไปยังประเทศเพื่อนบ้านเช่น ลาวและพม่ากัมพูชา เป็นต้น เป็นทุนขูดรีดที่อันตรายชนิดหนึ่ง เพราะทุนชนิดนี้มีทักษะในการใช้เครื่องมือสื่อสาร การโฆษณาชวนเชื่อ สร้างอุปสงค์เทียม-อุปทานแท้ (Artificial demand-Real supply) หรืออธิบายได้อย่างง่ายๆว่า ใช้การกระตุ้น ปลุกเร้าผู้บริโภคอย่างรุนแรงเพื่อสร้างความอยาก โดยเฉพาะกับเยาวชน และชนชั้นระดับรากหญ้าที่อ่อนแอให้ตกเป็นเหยื่อวัฒนธรรมการบริโภคที่เกินจำเป็น

ลักษณะพิเศษของทุนนายหน้าอีกประการหนึ่งก็คือ ไม่มี “วาระแห่งชาติ” ด้านเศรษฐกิจที่แสดงออกถึงทิศทางแห่งผลประโยชน์ส่วนรวมของประชาชนและคนในชาติ ไม่มีการวางแผนหรือดำเนินนโยบายที่จะสร้างปราการหรือมาตรการทางด้านภาษีที่แน่นอนกับทุนข้ามชาติ แต่ก็มักจะสมอ้างนโยบายการเปิดเสรีทางการค้าและมุ่งส่งเสริมการลงทุนให้แก่ทุนข้ามชาติ

รูปธรรม เช่น กรณีสนับสนุนให้กัมพูชาเอาปราสาทเขาพระวิหารไปจดทะเบียนมรดกโลกเพื่อแลกกับสัมปทานธุรกิจพลังงานและบ่อนคาสิโนในกัมพูชา /การชักนำ นายวาลิด อาเหม็ด จัฟฟาลี นักธุรกิจจากซาอุดิอารเบีย รองประธานบริษัท ซาอุดีซีเมนต์ บริษัทซีเมนต์รายใหญ่ที่สุดในซาอุดีอาระเบียกลาง เข้ามาลงทุนทำนาส่งข้าวออกขายต่างประเทศ โดยขณะนี้ได้มีการจัดตั้ง “บริษัทรวมใจชาวนาจำกัด”เพื่อการนี้เป็นที่เรียบร้อย/ ปล่อยปละละเลยให้ทุนข้ามชาติ ห้างค้าส่งค้าปลีกขนาดใหญ่ขยายกิจการไปทั่วประเทศ / ปล่อยปละละเลยให้ทุนการเงินของต่างชาติเข้าแย่งยึดระบบการเงิน-การคลังของประเทศไปกว่าครึ่ง/ปล่อยกู้ให้รัฐบาลพม่า วงเงิน 4,000 ล้านบาท โดยคิดดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 3 ต่อปี เป็นการดำเนินนโยบายแอบแฝงเกี่ยวกับการหาประโยชน์สำหรับธุรกิจครอบครัว(บริษัทชินแซทเทิลไลท์จำกัด)/ร่วมลงทุนกับสายการบินแอร์เอเชียของมาเลย์เซียลดเที่ยวบินของการบินไทยบางเส้นทางอันเป็นเส้นทางที่ทำรายให้กับการบินไทยมากที่สุด เช่นเส้นทางฮ่องกงและใต้หวัน ลดความสามารถในการแข่งขันของการบินไทยเพื่อให้แอร์เอเชียได้รับประโยชน์ เปิดน่านฟ้าให้แอร์เอเชียสามารถบินได้อย่างเสรี ทำให้เกิดการล่วงเกินสิทธิการบินในประเทศ(cabotage)ที่สงวนให้ธุรกิจในชาติเท่านั้น ฯลฯ

๒. เป็นทุนที่ตระบัดสัตย์ ขาดน้ำใสใจจริง หลอกลวง ประชาชน พร้อมที่จะทรยศหักหลัง

ทุนนายหน้าต้องแปลงร่างของตนก่อนเข้าสู่อำนาจรัฐ โดยผ่านกระบวน
การทางการเมือง จึงนำเอาหุ้นและผลประโยชน์ทางธุรกิจทุกอย่างนำไปซุกซ่ิิอนในชื่อของผู้อื่น เช่น ญาติ ทายาท บริวารแม้กระทั่งคนขับรถและคนรับใช้ เพื่อตบตาคนทั้งประเทศ ลักษณะพิเศษของทุนนายหน้าก็คือ จะไม่ผูกพันและขึ้นต่อการลงทุนร่วมดังเช่นทุนภาคการผลิตจริง (real sector)อื่นๆ ความมั่งคั่งมีที่มาด้วยการแสวงหากำไรจากสัมปทานรัฐและการขายบริการ กอบโกยและเก็งกำไรจากการสร้างราคาและส่วนต่างของราคารวมถึงการปั่นหุ้น (ที่ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้นรายย่อยใดๆ) ทุนนายหน้าจึงไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อคำพูดหรือสิ่งที่นอกเหนือจากข้อตกลงในการแบ่งสรรปันส่วนผลกำไร สัจจะของเขาก็คือ การแสวงผลประโยชน์จากส่วนต่างให้ได้มากที่สุดเป็นกรณีๆไป

ดังนั้นทุนนายหน้าจะพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขข้อตกลงได้ทุกเมื่อพร้อมที่จะตระบัดสัตย์ได้ในทุกกรณีเพื่อผลประโยชน์แห่งตน ไม่เว้นแม้
กระทั่งเพื่อนมิตร รวมทั้งบริวารผู้ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์

รูปธรรม เช่น กรณีซุกหุ้นภาคแรก นำหุ้นไปซุกซ่อนไว้ในชื่อทายาท คนขับรถและคนรับใช้/กรณีซุกหุ้นภาคสอง บ.แอมเพิลริช จำกัด ซึ่งจดทะเบียนในหมู่เกาะสำหรับนักฟอกเงินบริติชเวอร์จิ้น/ทรยศหักหลังนายเสนาะ เทียนทองและพรรคร่วมฯจนนายเสนาะออกมาเปิดโปงและประณามว่าตระบัดสัตย์ต่อแผ่นดิน/ทรยศหักหลังผู้ร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทยฯลฯ

๓. ใช้เงินซื้อระบบเลือกตั้ง ซื้อกระบวนการยุติธรรม สร้างระบอบการเมืองที่ “เบื้องหน้าประชาธิปไตย-ใส้ในเผด็จการ” บริหารประเทศแบบเผด็จการครอบครัว

ทุนทักษิณใช้เงินทุนเข้าแย่งยึดอำนาจรัฐ ด้วยการทุ่มเงินซื้อกลไกของระบบเลือกตั้งทั้งระบบเพื่อเข้าไปสร้าง “เผด็จการทางรัฐสภาแบบนายทุน” ที่ซับซ้อน-แนบเนียนกว่ารูปแบบเผด็จการใดๆในอดีต ควบคุมอำนาจบริหารและอำนาจนิติบัญญัติ ใช้เงินซื้อสิทธิ์ในการเลือกตั้งของประชาชนผ่านหัวคะแนนนายหน้า ซื้อพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลโดยสนับสนุนเงินทุนในการหาเสียง ซื้อส.ส.เป็นรายหัว ซื้อ ส.ว. ซื้อตำแหน่งประธานสภาฯ ซื้อ กกต.ฯลฯ ใช้ผลการเลือกตั้งเป็นไม้่ค้ำยันความสุจริต ใช้ส.ส.ที่มาจากหีบบัตรเลือกตั้งที่คดโกงมาโฆษณาสร้างความชอบธรรมของประชาธิปไตยแบบนายทุน แต่ก็ถูกคนในพรรคเดียวกันออกมาเปิดโปงการจัดสรรโครงการจากงบประมาณรัฐด้วยการใช้ที่ปรึกษาซึ่งเป็นคนของบริษัทธุรกิจในเครือชินวัตรของตนเอง โดยให้ภรรยาเป็นผู้ตัดสินใจเกี่ยวกับทางด้านงบประมาณ นอกจากนี้ยังพยายามซื้อกระบวนการยุติธรรมเพื่อให้ตนเองพ้นผิด

รูปธรรม เช่น นายกร ทัพพะรังสี อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย เปิดโปงการบริหารงานที่ใช้คนในบริษัทธุรกิจของตนเองมาเป็นที่ปรึกษาทุกโครงการของรัฐบาล โดยให้ภรรยาเป็นผู้ตัดสินใจแทนในเรื่องที่เกี่ยวกับงบประมาณโดยนายกรกล่าวว่ารัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นเป็นเพียงหุ่นเชิดและเป็นผู้รับปฏิบัติเท่านั้น/กรณีการทุจริตเลือกตั้งโดยการใช้เงินซื้อพรรคเล็กจนกระทั่งนำไปสู่การตัดสินของศาลให้มีการยุบพรรคไทยรักไทย / ทุ่มเงินตั้งพรรคนอมินีพลังประชาชน เพื่อเข้ามาแก้ไขกฎหมายให้พ้นผิด/กรณีเงินสองล้านบาทที่ใส่กล่องขนมเพื่อซื้อเสมียนศาล จนทนายความประจำตัวต้องโทษติดคุกโดยไม่รอลงอาญาฯลฯ

๔.ใช้เงินของผู้อื่น (เงินภาษีประชาชน )สร้างความมั่งคั่งทางธุรกิจและสร้างฐานการเมืองให้กับตนเอง สร้างเงื่อนไขความแตกแยกของคนในชาติ

ทุนทักษิณได้แก้กฎหมายเพื่อให้ “งบกลาง”จำนวนมหาศาลของแผ่นดินตกอยู่ในมือของนายกรัฐมนตรี เพือใช้งบประมาณที่มาจากภาษีอากร อันเป็นหยาดเหงื่อแรงงานของคนทั้งประเทศ เพื่อผลประโยชน์ตนและพวกพ้องบริวาร(OPM-Other People Money) จับจ่ายเงินภาษีอากรประชาชนไปเพื่อสร้างภาพลักษณ์ในเชิงการตลาด สร้างรูปแบบการหาเสียง-ซื้อเสียงใหม่ ทำลายความเข้มแข็งของชุมชนด้วยเงิน “ล่อซื้อ” และการใช้กลยุทธ “เอาใจมัน(ด้วย)หนี้” (spoiled money) โดยอ้างคำว่าื “ประชานิยม” ทำชุมชนให้อ่อนแอเพราะรอแบมือขอจากรัฐ สร้างผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มในท้องถิ่น เกิดความเหลื่อมล้ำในด้านผลประโยชน์ ส่งผลให้เกิดความขัีดแย้งแตกแยกจนขยายวงออกใระดับประเทศ

รูปธรรม เช่น จัดทำโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2545 และเปลี่ยนชื่อใหม่ๆทุกปี นำเงินภาษีอากรของประชาชนมาซ่อนไว้ในงบกลางให้อยู่ในอำนาจการใช้จ่ายอยู่ในมือของนายกรัฐมนตรีแต่ผู้เดียว รวมระยะเวลา 4 ปี (1245-2548)เป็นจำนวนสูงถึง 173,500 ล้านบาท / บริจาคเงิน ๒ ล้านบาทในนามของตนเองให้กับโครงการห้องสมุดโรงเรียนของเครือมติชน โดยให้ไปเก็บเงินที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล,โครงการเอสเอ็มแอล/โครงการเอื้ออาทรต่างๆฯลฯ

๕. ทิ้งหลักการปกครอง แปรรูปประเทศให้เป็นบรรษัท ข้าราชการเป็นพนักงานบรรษัท ประชาชนเป็นผู้บริโภค แทรกแซงทุกสถาบันหลัก

นำเอาหลักการบริหารธุรกิจ เข้าแทนที่หลักการบริหารเชิงรัฐศาสตร์และหลักนิติธรรมของบ้านเมือง แปรรูปรัฐและกิจกรรมแห่งรัฐให้เป็นรูปแบบบรรษัท ใช้การรณรงค์ทางด้านการตลาด เปลี่ยนสถานะของผู้บริหารรัฐกิจเป็นผู้บริหารธุรกิจ เปลี่ยนสถานะ“ข้าราชการ”ไปเป็น “เจ้าพนักงานของรัฐ(บรรษัท)” เปลี่ยนประชาชนให้กลายเป็นผู้บริโภค เปลี่ยนประเทศเป็นมหาอาณาจักรทางการค้าขนาดใหญ่ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องพึ่งพาเงินทุนและสามารถซื้อได้ด้วยเงิน ลดกลไกอำนาจรัฐ ทำให้อ่อนแอลง ในขณะที่พยายามใช้เงินภาษีไป “ล่อซื้อ” กระตุ้นการบริโภคในหมู่ประชาชนให้สูงขึ้น ใช้อำนาจรัฐแก้ไขกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับที่เป็นอุปสรรคขัดขวางผลประโยชน์ พยายามแปรรูปรัฐวิสาหกิจ แก้กฎหมายการเงินการธนาคาร เพื่อเข้าถือครองหุ้น และขายหุ้นให้กับต่างชาติ ใช้อำนาจหน้าที่อย่างไม่ชอบธรรม ให้รัฐวิสาหกิจบริจาคหุ้นผู้มีอุปการคุณให้แก่ตนและบริวาร

รูปธรรม เช่น เปลี่ยน “ผู้ว่าราชการ”ให้เป็น “ผู้ว่าซีอีโอ” /เปลี่ยนแปลงสถานะและบัตรประจำตัว“ข้าราชการ”ไปเป็นบัตรประจำตัว“เจ้าพนักงานของรัีฐ”/แทรกแซงการแต่งตั้งในกระทรวงต่างประเทศเอานักธุรกิจ ไปเป็นทูต/แต่งตั้งญาติพี่น้องดำรงตำแหน่งสำคัญๆ อาทิ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร พี่ชายเป็นผบ.สูงสุด พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์พี่เขยเป็นรอง ผบ.ตร. นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์น้องเขยเป็นรมว.ยุติธรรมและต่ออายุราชการให้ถึงสองหน ตั้งนพ.สุชัย เจริญรัตนกุล นายแพทย์ประจำครอบครัวดามาพงศ์เป็นรัฐมนตรีสาธารณสุขฯลฯ/ โยกย้ายอธิบดีดีเอสไอ ปรับย้ายข้าราชการในกรมสอบสวนคดีพิเศษกว่า 31 คน เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบทุจริต / กรณีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจเลขาธิการพรรคไทยรักไทย ใช้อำนาจรัฐมนตรีว่าการคมนาคม ขอหุ้นจากการบินไทยแบบได้เปล่า(หุ้นผู้มีอุปการคุณ)ฯลฯ

๖ . คอร์รัปชั่นและคอร์รัปชั่นเชิงนโยบายที่ยากแ่ก่การตรวจสอบ

เพื่อการกอบโกยโกงกินทุนทักษิณได้พัฒนาและสร้างรูปแบบการคอร์รัป
-ชั่นอย่างซับซ้อนมากขึ้น เป็นการคอร์รัปชั่นเชิงนโยบายที่มีขนาดใหญ่โต ขนาดของวงเงินมากกว่าและตรวจสอบยากยิ่งกว่าการคอร์รัปชั่นของรัฐบาลในอดีตทุกชุด

รูปธรรมที่ เช่น กรณีทุจริตลำไย มูลค่าเสียหายของรัฐราว 2 หมื่นล้านบาท/ทุจริตจัดซื้อพันธุ์กล้ายางพารา 90 ล้านต้น/โครงการก่อสร้างระบบจ่ายไฟฟ้าและเครือข่ายท่อร้อยสายไฟท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ / ทุจริตเครื่องตรวจจับระเบิดซีทีเอ็กซ์ / ทุจริตการจัดซื้อรถ-เรือดับเพลิงของกรุงเทพ-
มหานคร ฯลฯ

๗ . ใช้เล่ห์เพทุบายหลบเลี่ยงภาษี เอารัดเอาเปรียบสังคมและประชาชน

เพื่อลดรายจ่ายให้กับธุรกิจส่วนตัว ทุนทักษิณใช้เทคนิคหาช่องว่างทางกฎหมาย โดยไม่คำนึงถึงเรื่องของจริยธรรม ศีลธรรม หลบเลี่ยงภาษี แต่ขณะเดียวกลับสั่งการให้เพิ่มความเข้มงวดในการออกแบบระบบการเก็บภาษี ให้สามารถขูดรีดประชาชนผู้ทำมาหากินอย่างสุจริตได้เช่น ผู้ประกอบการธุรกิจรายย่อย พ่อค้าแม้ค้า ชาวนา เกษตรกร แรงงานรับจ้าง

รูปธรรม เช่น ขายกิจการเอไอเอส ๗๕,๐๐๐ ล้านบาทโดยให้นายสุวรรณวลัยเสถียร คิดค้นวิธีการหลบเลี่ยงการเสียภาษีมูลค่าประมาณ 3000 ล้านบาท /การเลี่ยงภาษีของนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ นางพจมาน ชินวัตร และนาง กาญจนาภา หงษ์เหิน ที่ร่วมกันกระทำความผิดอาญาฐานมีเจตนาร่วมกัน กระทำความผิด เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี จากการซื้อขายหุ้น บริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 4.5 ล้านหุ้น มูลค่า 738 ล้านบาทซึ่งศาลได้พิพากษาให้จำคุกนางพจมาน ชินวัตร นายบรรณพจน์ ดามาพงษ์และนางกาญจนา หงส์เหินคนละ 3 ปี ฯลฯ

๘ . แทรกแซงองค์กรอิสระ แทรกแซงและทำลายสื่อ เพื่อปกปิดมิดเม้มผลประโยชน์ทับซ้อน ปิดกั้นการเผยแพร่ข้อเท็จจริง

รัฐธรรมนูญปี 2540 ได้บัญญัติให้มีองค์กรอิสระขึ้นเพื่อการตรวจสอบและถ่วงดุลฝ่ายบริหาร เพื่อป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน ทุนทักษิณใช้อำนาจเข้าแทรกแซง โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรซึ่งทำหน้าที่ในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐทั้งทางนโยบายและการบริหารและการปกครอง การตรวจสอบเกี่ยวกับความสุจริตในการใช้อำนาจรัฐ การถอดถอนออกจากตำแหน่ง การตรวจสอบเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินของภาครัฐ และการควบคุมการใช้จ่ายเงินของทางภาครัฐ ถึงขั้นตั้งรัฐบาลนอมินีเข้ายึดอำนาจรัฐเข้าแก้ไขกฎหมาย เพื่อลดอำนาจการถ่วงดุลขององค์กรอิสระและฟอกตนเองให้พ้นผิด ทำการแทรกแซงสื่อเพื่อปิดกั้นการเผยแพร่ข้อเท็จจริง

รูปธรรม เช่น แทรกแซงการแต่งตั้งผู้ว่าการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ปลดคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ให้ประธานวุฒิสภาเสนอชื่อแต่งตั้งนายวิสุทธิ์ มนตรีวัต/ผลักดันให้ พล.ต.ท.วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์เพื่อนวปอ.รุ่นเดียวกับสมชาย วงศ์สวัสดิ์น้องเขยผ่านการคัดสรรเข้าไป ป.ป.ช./ครอบงำ กกต.ชุดนายวาสนา เพิ่มลาภ หรือกกต.ชุด “สามหนาห้าห่วง”/สั่งการให้นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯในรัฐบาลนอมินีพลังประชาชน” ยุติรายการของนาย “เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง”/สั่งยกเลิก“รายการทุกข์ปัญหาชีวิต” ที่ดำเนินรายการโดย สมณะจันทร์ แห่งมูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน ในเครือของสันติอโศก/แทรกแซงกองข่าวของไอทีวี จนเกิดกรณี 23 กบฏไอทีวี จนกระทั่งศาลปกครองสูงสุดตัดสินยึดคืนมาเป็นของรัฐ ฯลฯ


เครือข่ายข่าวเพื่อการสืบค้นกรณีทุจริต ( Corruption Investigative News Network-CINN)

เวทีตำบล แฉนโยบายรัฐทำท้องถิ่นแย่ ชาวบ้านขอเลือกตัวชี้วัดการพัฒนาเอง

"หนองสาหร่าย”เน้นตำบลพอเพียง-ยึดคนเป็นศูนย์กลาง-ผุดหลักสูตรท้องถิ่น "บ้านเลือก" ใช้วัฒนธรรมสู่ท้องถิ่นเข้มแข็ง "คลองตัน" ตั้งกองทุนสวัสดิการปลดหนี้ ไม่พึ่งพารัฐ



วันที่ 15 ก.พ.55 ที่บ้านสวนทิพย์ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน จัดสัมมนาเสริมพลังเพื่อการสร้างเครือข่ายและขยายผลพื้นที่ตำบล จัดทำเป้าหมายตัวชี้วัดการพัฒนาท้องถิ่น มีตัวแทนจังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี สมุทรสาคร นนทบุรี ปทุมธานีและกรุงเทพมหานครเข้าร่วมโดยนำเสนอพื้นที่ตัวอย่างคือ ต.หนองสาหร่าย จ.กาญจนบุรี ต.บ้านเลือก จ.ราชบุรี และต.คลองตัน จ.สมุทรสาคร

ซึ่งการนำเสนอความสำเร็จจากการทำงานสร้างสุขให้ชุมชนตัวแทนตำบลหนองสาหร่าย จ.กาญจนบุรี ศิวโรฒ จิตนิยม ประธานธนาคารความดีตำบลหนองสาหร่าย กล่าวว่า เดิมตำบลหนองสาหร่ายเป็นพื้นที่ชนบทที่รองรับการพัฒนาจากภาครัฐ แต่ที่ผ่านมาวิธีการพัฒนาของภาครัฐทำให้เกิดผลกระทบ ความสุขชาวบ้านเริ่มหายไปจึงนำมาซึ่งการกำหนดให้ดัชนีความสุขเป็นตัวเป้าหมาย เป็นตัวชี้วัด โดยยึดแนวทางการมีส่วนร่วม การส่งเสริมอาชีพ การทำให้ชุมชนมีสวัสดิการรวมถึงการทำให้ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวดี สิ่งแวดล้อมดีขึ้น ซึ่งจากการทำงานมาอย่างต่อเนื่องทำให้เทศบาลตำบลหนองสาหร่ายนำแนวคิดและวิธีการบรรจุลงแผนพัฒนาท้องถิ่น สร้างทำตำบลพอเพียงพึ่งตนเอง

“การปฏิรูปการศึกษาของไทยยิ่งปฏิรูปยิ่งทำให้คนโง่ ชาวบ้านมองเห็นปัญหาจึงมาคุยกัน โดยมีการทำหลักสูตรท้องถิ่น คือหลักสูตรบันทึกความดี หลักสูตรวัฒนธรรมชุมชน หลักสูตรการรักษาสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน ผลิตพลังงานทดแทน แก้หนี้นอกระบบ ทำกองทุนชุมชน คาดว่าอีก 10 ปีข้างหน้าคนหนองสาหร่ายจะสามารถปลอดหนี้โดยไม่ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากภาครัฐ” ศิวโรฒ กล่าว

ด้าน วิฑูรย์ ศรีเกษม ผู้นำชุมชน ต.บ้านเลือก จ.ราชบุรี กล่าวว่า ตำบลบ้านเลือกส่วนใหญ่เป็นคนลาวเวียงที่มีประเพณีวัฒนธรรมเฉพาะถิ่น การทำงานเกิดจากชาวบ้านในพื้นที่มองเห็นปัญหาการคุกคามจากวัฒนธรรมภายนอก มีการร่วมคิด ร่วมกันทำแผนชุมชน สืบสานทำให้คนในชุมชนมีสุขภาพแข็งแรง ชุมชนมีความสามัคคี มีรายได้ชีวิตที่มั่นคง ชุมชนปลอดยาเสพติด และอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น

“การเมืองท้องถิ่นทำให้คนในชุมชนแตกแยกแบ่งฝักแบ่งฝ่าย บ้านเลือกใช้ประเพณีวัฒนธรรมลาวเวียงเป็นที่ยึดเหนี่ยวเป็นเครื่องมือ มีการส่งเสริมให้มีการแต่งกายชุดลาวเวียงในหมู่เยาวชน เผยแพร่อาหารลาวเวียงโดยการทำเป็นหลักสูตรท้องถิ่น พิมพ์หนังสือเผยแพร่องค์ความรู้ ส่งเสริมให้มีการพูดภาษาลาวเวียงมากขึ้นในชีวิตประจำวัน เมื่อเรารู้จักตัวเองชุมชนก็จะมีความเข้มแข็ง” ผู้นำชุมชนตำบลบ้านเลือกกล่าว

ขณะที่ นวลฉวี บุญจันทร์ ตัวแทนตำบลคลองตัน จ.สมุทรสาคร กล่าวว่า การมีเป้าหมายเป็นตัวชี้วัด ในการพัฒนาของชุมชนเป็นเรื่องที่ดี ตำบลคลองตันมีการปลดหนี้ให้คนในชุมชน ทำให้คนในชุมชนมีสวัสดิการตั้งแต่เกิดจนถึงตาย องค์กรมีความเข้มแข็ง ชาวบ้านเป็นหนึ่งเดียว มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินอีกทั้งร่วมกันฟื้นฟูและดูแลทรัพยากรธรรมชาติ

“การทำตัวชี้วัดไม่ได้ยึดหลักอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ต้องทำตามความต้องการของชาวบ้าน ซึ่งท้องถิ่นต้องเข้ามาร่วมมือ ที่ผ่านมาทุกนโยบายจากภาครัฐ เหมือนจะทำให้ชาวบ้านมีความเป็นอยู่ดีขึ้น แต่ท้ายที่สุดชุมชนมีแต่แย่ลง เพราะรัฐไม่เข้าใจในความเป็นชุมชนและไม่รู้ถึงความต้องการชาวบ้าน อนาคตตำบลคลองตันจะมีการทำโรงสีชุมชน ส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน และตั้งกองทุนสวัสดิการ นำไปสู่ความภาคภูมิใจของเรา” นวลฉวี บุญจันทร์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ประธานมูลนิธิหัวใจอาสา กล่าวว่า ตัวชี้วัดการพัฒนาเป็นเครื่องมือสำคัญที่ชุมชนสามารถนำไปทำได้และทำแล้วได้ผลดีมีประสิทธิภาพ มีคุณภาพ ภายใต้การมีคุณธรรมจริยธรรม นำไปสู่ความอยู่เย็นเป็นสุขของคนในชุมชนทั้งความสุขทางกาย ความสุขทางปัญญา ความสุขทางสังคม และการช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน

“การพัฒนาต้องมาจากฐานหรือข้างล่างหรือชุมชน การทำหน้าที่ของชุมชนหนึ่งจะนำไปสู่แรงบันดาลใจของอีกชุมชนหนึ่ง เพราะแรงบันดาลใจจะนำไปสู่กระบวนการทำงานที่ดีงามมากมาย” ประธานมูลนิธิหัวใจอาสา กล่าว



สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย




รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง