บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ยุบศาลไทย แต่เอาใจศาลโลก ?



ยุบศาลไทย แต่เอาใจศาลโลก ?

วีรพัฒน์ ปริยวงศ์ 
นักกฎหมายอิสระ 
http://www.facebook.com/verapat

*** คืนนี้ 17 ก.ค. ผมจะวิเคราะห์เรื่องศาลโลก ทาง TNN24 เวลา 19.30 น. ครับ ***

--- 

       หลังคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ฉบับ ‘ศุกร์ 13’ ผ่านไป ก็มีข่าวว่า ไทย-กัมพูชาจะ ‘ปรับกำลัง’ บริเวณปราสาทพระวิหาร โดยนำ ‘ทหาร’ บางส่วนออกจาก ‘เขตปลอดทหารชั่วคราว’ แล้วนำ ‘ตำรวจ’ เข้าไปแทนที่ แต่อาจยังมีทหารจำนวนหนึ่งคงอยู่เช่นเดิม กล่าวคือ ไม่ใช่ถอนทั้งหมด

       การ ‘ปรับกำลัง’ ซึ่งอาจมองว่าทำเป็นมารยาทพองามในครั้งนี้ จะมีขึ้นในวันที่ 18 กรกฎาคม ซึ่งครบรอบ 1 ปี ที่ ‘ศาลโลก’ มีคำสั่งเรื่อง ‘เขตปลอดทหารชั่วคราว’ ที่ว่าพอดี (ดูเพิ่มที่ http://bit.ly/VP18July )

       แต่ไม่ทันรอให้ปรับกำลังกันเสร็จ ส.ว. คำนูณ สิทธิสมาน ก็ตั้งข้อสังเกตน่าสนใจทำนองว่า ทีกรณี ‘คำสั่งศาลโลก’ รัฐบาลยิ่งลักษณ์บอกว่าต้องปฏิบัติตาม แต่พอเป็น ‘คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ’ ของไทยเอง กลับปฏิเสธว่าศาลไม่มีอำนาจ เช่นนี้ ถือว่า ‘2 มาตรฐาน’ หรือไม่ ?


       ภาพดัดแปลง "ร่างแผนที่" (Sketch-map) ที่ศาลโลกใช้เป็นตัวอย่างอธิบาย ‘เขตปลอดทหารชั่วคราว’ 
       โปรดสังเกตว่าแนวเส้นเขตแดนที่มีการกล่าวอ้างยังมีความไม่ชัดเจน ภาพนี้แสดงเพื่อให้พอเข้าใจโดยสัเขป


ไทยโต้แย้งอำนาจ ‘ศาลโลก’ หรือไม่ ?

       ในขั้นแรก คงต้องให้ความเป็นธรรมกับ ‘ฝ่ายไทย’ ซึ่งสู้คดีมาตั้งแต่ ‘สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์’ ว่า ไทยเองก็ ‘โต้แย้ง’ อำนาจศาลโลกมาตั้งแต่ต้น และก็ยังคงโต้แย้งต่อไปว่า คำร้องที่กัมพูชาขอให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารนั้น ‘ไม่เข้าเกณฑ์ที่ศาลโลกจะรับพิจารณา’ (inadmissible)

       กล่าวคือ ไทยโต้แย้งว่า กัมพูชากำลังขอให้ศาลโลก ‘เพิ่มเติมคำตัดสิน’ ที่เกินเลยไปกว่าเรื่องเดิมที่ตัดสินไว้ใน พ.ศ. 2505 ศาลจึงต้องปฏิเสธคำขอของกัมพูชา

       ที่สำคัญ ในคดีนี้เอง ศาลโลกได้ย้ำว่า ‘เขตปลอดทหารชั่วคราว’ เป็นเพียงเรื่องมาตรการชั่วคราวที่มุ่งป้องกันการปะทะกันด้วยอาวุธเท่านั้น และย้ำอีกว่า คำสั่งชั่วคราวย่อมไม่ก้าวเข้าไปวินิจฉัยประเด็นเรื่องดินแดนหรือเขตแดน หรือเส้นแผนที่ใด (เช่น ย่อหน้าที่ 21, 38 และ 61 ของคำสั่งฉบับวันที่ 18 กรกฎาคม 2554)

       ยิ่งไปกว่านั้น หากพิจารณาคดีศาลโลกในอดีต เช่น คดี Avena ระหว่าง เม็กซิโกและสหรัฐฯ ก็จะเห็นว่า แม้ศาลโลกจะรับคำร้องและมีคำสั่งมาตราการชั่วคราวไประหว่างพิจารณาแล้วก็ตาม แต่ในที่สุด ศาลโลกก็ยังสามารถพิพากษาว่าคำร้อง ‘ไม่เข้าเกณฑ์ที่ศาลจะรับพิจารณา’ ได้

       ดังนั้น แม้ไทยจะปฎิบัติตามคำสั่งชั่วคราวก็ตาม แต่ศาลโลกก็ยังคงรับฟังข้อโต้แย้งของไทยเรื่อง ‘อำนาจศาล’ อยู่ และหากจะบอกว่า ‘ฝ่ายไทย’ (ไม่ว่าจะรัฐบาลชุดไหน) ยอมตามศาลโลกหมดเลย ก็คงไม่เป็นธรรมนัก

       ตรงกันข้าม หากกัมพูชายอมปรับกำลัง แต่ฝ่ายไทยขึงขังไม่ฟังศาลโลก ผู้พิพากษาบางท่านอาจนำพฤติการณ์ความแข็งกร้าวของฝ่ายไทยไปประกอบการตีความในคดี ซึ่งอาจไม่เป็นคุณต่อฝ่ายไทย ก็เป็นได้


ยุบศาลไทย แต่เอาใจศาลโลก ?

       หากผู้ใดประสงค์จะเทียบกรณี ‘ศาลรัฐธรรมนูญ’ ของไทย กับ ‘ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ’ ของชาวโลก ก็ขอให้คำนึงถึงข้อพิจารณาดังนี้

       ประการแรก อำนาจของ ‘ศาลโลก’ เรื่อง คำสั่งมาตรการชั่วคราวก็ดี หรือ เขตอำนาจ (jurisdiction) ในการรับคำร้องขอให้ตีความคำพิพากษาก็ดี ถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจนตาม ‘ตัวบทสนธิสัญญา’ ซึ่งประเทศไทยยอมรับผูกพันในฐานะสมาชิกของสหประชาชาติ และแม้แต่ ‘รัฐธรรมนูญไทย’ มาตรา 82 ก็บัญญัติให้ไทยพึงปฏิบัติตาม

       ผิดจากกรณี ‘ศาลรัฐธรรมนูญไทย’ ที่ละเมิดไวยากรณ์ของ มาตรา 68 ประเภทที่ครูภาษาไทยต้องส่ายหน้า จากนั้นก็ปลุกเสกเจตนารมณ์ (ของศาล) ขึ้นเองกลางอากาศ แต่สุดท้ายพออ่านคำวินิจฉัย กลับไม่แน่ใจในอำนาจตนเอง เลยได้แต่ยกคำร้อง แต่ก็อุตส่าห์สอดแทรกข้อเสนอแนะเรื่อง ‘การลงประชามติ’ ทั้งที่ไม่มีกฎหมายใดรองรับ

       กล่าวคือ ‘ศาลรัฐธรรมนูญไทย’ ไม่มีแม้แต่ ‘เขตอำนาจ’ จะรับพิจารณาคดีการแก้รัฐธรรมนูญแต่แรก มิพักต้องพูดถึงความล้มเหลวของศาลในการอธิบายว่าคำร้องเข้า ‘หลักเกณฑ์การรับพิจารณา’ (inadmissible) หรือไม่ เช่น คำร้องที่ยื่นโดยคุณเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ซึ่งศาลกลับมีคำสั่งจำหน่ายคำร้องได้อย่างสะดวกมือโดยไม่ทราบว่ามีหลักเกณฑ์อย่างไร

ศาลไทย ‘ใหญ่’ คับโลก ?

       ความพิสดารต่อไปของ ‘ศาลรัฐธรรมนูญ’ ไทยที่อาจเกิดได้ คือ การใช้อำนาจตาม รัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ที่แม้จะไม่ได้บัญญัติถึงกรณีการปฎิบัติตามคำสั่งศาลโลกไว้ แต่ก็อาจมีผู้ตีความว่า ไทยและกัมพูชาจะไปตกลงถอนหรือปรับกำลังทหารตามคำสั่งศาลโลกไม่ได้ แต่อาจต้องขอสภาก่อน

       โปรดอย่าลืมว่า คดี มาตรา 68 แสดงให้เห็นแล้วว่า ศาลไทย พร้อมที่จะปลุกเสก อำนาจคำสั่งชั่วคราว เพื่อให้รัฐสภาไทยชะลอการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ จึงคิดต่อว่า ศาลไทยจะสั่งฝ่ายบริหารไทย ให้ชะลอการถอนทหารร่วมกับกัมพูชาตามคำสั่งศาลโลกได้หรือไม่ !!??

       หากพิจารณาหลักการของ มาตรา 190 ให้ถ่องแท้ การดำเนินการใดที่เป็นการประสานงานเป็นการชั่วคราวระหว่างฝ่ายบริหารของไทยและต่างประเทศ โดยเป็นเรื่องฝ่ายบริหารโดยแท้ เช่น การควบคุมเคลื่อนย้ายกำลังพล ซึ่งสภาได้มอบอำนาจตามกฎหมายให้ฝ่ายบริหารจัดการอยู่แล้ว การดังกล่าวก็มิต้องด้วยกรณีของมาตรา 190 ที่ต้องขอสภา

       ในทางกลับกัน การพยายามยัดเยียดให้อำนาจของฝ่ายบริหารโดยแท้ เช่น การควบคุมเคลื่อนย้ายกำลังพลทหาร ตกอยู่ภายใต้อำนาจนิติบัญญัติหรือตุลาการตามมาตรา 190 นั้น นอกจากจะทำลายหลักการแบ่งแยกอำนาจและความรับผิดชอบในทางประชาธิปไตยแล้ว ยังจะก่อความไร้ประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดิน จนสุ่มเสี่ยงต่อการทำลายสันติภาพระหว่างประเทศในที่สุด

เพื่อไทยควรเดินหน้า วาระ 3 หรือไม่ ?


       ข้อกฎหมายถูกกล่าวถึงไปชัดพอแล้ว สิ่งที่ไม่ชัดกลับเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากศาล เพราะบัดนี้ ก็ยังไม่ชัดเจนว่า ศาลได้ลงมติวินิจฉัยประเด็นที่ 2 เรื่องการทำประชามติ ตามที่ข่าวรายงานว่ามีมติ 8 -0  หรือไม่ ? และหากมีการงดเว้นไม่ลงมติ จะถือว่าศาลทำผิดกฎหมายหรือไม่ ? (ดู http://bit.ly/Praden2 )

       ผู้เขียนกล่าวได้แต่เพียงว่า รัฐสภาต้องยึดกฎหมายให้อยู่เหนือศาลรัฐธรรมนูญ หากศาลเองไม่กล้าจะวินิจฉัยให้ชัดว่า “ต้อง” ทำประชามติหรือไม่ แต่เลือกใช้ถ้อยคำว่า “ควร” ก็ย่อมเป็นหลักฐานว่าศาลยอมให้รัฐสภามีดุลพินิจในเรื่องดังกล่าว ซึ่งในการเดินหน้าต่อนั้น ผู้เขียนขอเสนอแนวทาง ที่สอดคล้องกับหลักกฎหมาย และน่าจะเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ดังนี้

       (1) แทนที่สภาจะแสดงท่าทีไม่ฟังศาล สภาก็อาจเดินหน้าอย่างแยบยล โดยการน้อมรับความห่วงใยของศาลเรื่องการทำประชามติมาปฏิบัติ ‘ภายใต้กลไกและกรอบอำนาจของสภา’ เช่น การให้ ส.ส. ส.ว. ลงพื้นที่รับฟังความเห็นของประชาชนว่า ต้องการให้มีการเดินหน้าลงมติในวาระ 3 หรือไม่ แล้วจึงนำความเห็นจากแต่ละเขตเลือกตั้งมารับฟังแทนการทำประชามติ ก่อนเดินหน้าต่อ วาระ 3

       (2) หากความเห็นที่ว่ายังไม่เป็นที่พอใจของผู้คัดค้าน รัฐสภาสามารถให้คำมั่นทางการเมืองแก่ประชาชนว่า ในวันที่ไปเลือกตั้ง ส.ส.ร. หากประชาชนกาช่อง ‘ไม่ประสงค์ลงคะแนน’ (Vote No) รวมกันทั้งประเทศสูงเป็นลำดับที่ 1  สภาก็จะกลับไปแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อยกเลิกการตั้ง ส.ส.ร. เพราะถือว่าประชาชนแสดงความประสงค์ว่าไม่ต้องการให้มีการตั้ง ส.ส.ร. (โดยยอมรับข้อจำกัดว่า อาจมีประชาชนบางส่วนต้องการให้มี ส.ส.ร. แต่ไม่ประสงค์เลือก)

       (3) หากกระบวนการ Vote No ยังชัดเจนไม่พอ ก็ขอให้ผู้ที่ต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ โปรดส่งตัวแทนมาลงสมัครเป็น ส.ส.ร. ในแต่ละเขต และประกาศเจตนารมณ์คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ชัดแจ้ง หากผู้ต่อต้านเหล่านี้ได้รับเลือกเข้าไปเป็น ส.ส.ร. เสียงข้างมาก ก็เพียงแต่ลาออกจากการเป็น ส.ส.ร. ซึ่งจะทำให้กระบวนการ ส.ส.ร. ต้องสิ้นสุดลงตาม ร่าง มาตรา 291/15

       วิธีที่กล่าวมา เป็นขั้นตอนที่ประชาชนสามารถร่วมตัดสินใจยับยั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับได้แม้จะมีการลงมติในวาระ 3  ไปแล้ว ที่สำคัญ แม้ ส.ส.ร. จะร่างรัฐธรรมนูญเสร็จ แต่สุดท้ายก็จะต้องให้ประชาชนได้ลงประชามติเพื่อเลือกว่า จะเก็บรัฐธรรมนูญฉบับเดิมไว้หรือไม่ รัฐสภาจึงไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องยอมทำประชามติก่อนการลงมติ วาระ 3 ซึ่งไม่มีกฎหมายรองรับ อีกทั้งสิ้นเปลือง และไม่มีตัวเลือกที่ชัดเจนอีกด้วย

‘นิติราษฎร์’ เสนอยุบเลิกศาล ?


       แม้ผู้เขียนจะวิพากษ์ ‘ศาลรัฐธรรมนูญ’ ไว้มาก แต่ก็ทำไปด้วยความศรัทธาในสถาบันตุลาการและหวังให้วัฒนธรรมการวิพากษ์ตามครรลองประชาธิปไตยเป็นประหนึ่ง ‘วัคซีนทางปัญญา’ ที่สังคมจะนำมาใช้สร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ทั้งตนเองและ ‘ศาลรัฐธรรมนูญ’ ในระยะยาว

       ผู้เขียนจึงต้องคิดหนัก เมื่อ ‘นิติราษฎร์’ ได้นำเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อยุบเลิกศาลรัฐธรรมนูญ และจัดตั้ง ‘คณะตุลาการพิทักษ์ระบอบรัฐธรรมนูญ’ ขึ้นมาแทน

       ผู้เขียนเห็นพ้องในแนวคิดว่า ศาลรัฐธรรมนูญต้องถูกปฏิรูปอย่างเร่งด่วนโดยเฉพาะในแง่ที่มาของตุลาการ และเห็นด้วยกับแนวคิดที่ว่า ‘ระบอบรัฐธรรมนูญ’ ต้องคงอยู่และสำคัญกว่า ‘ตัวรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ...’ ซึ่งอาจเปลี่ยนไปตามกาลเวลา

       แต่ผู้เขียนก็ฝากความห่วงใยเบื้องต้น 7 ข้อ ให้ ‘นิติราษฎร์ ทั้ง 7’ โปรดทบทวนและอธิบายเพิ่มเติม ดังนี้

       (1) การที่นิติราษฎร์เสนอให้ฝ่ายการเมือง (ส.ส. ส.ว. และ ครม.) เป็นผู้เลือกตุลาการทั้งหมดโดยไม่มีการกลั่นกรองหรือร่วมกระบวนการโดยองค์กรอื่นที่ไม่ใช่ฝ่ายการเมือง (แม้จะให้มีตุลาการมาจากศาลสูงอย่างน้อยสองคน หรือ ส.ว. จะถูกสรรหามาบางส่วนก็ตาม) จะทำให้เกิดปัญหาอย่างน้อยสองประการดังนี้ หรือไม่ ?
              (1.1) ตุลาการไม่เป็นอิสระจากฝ่ายการเมือง จนนำมาสู่ความอ่อนแอในการตรวจสอบผู้ที่เลือกตน และขาดความน่าเชื่อถือยิ่งกว่าศาลชุดเดิม
              (1.2) ตุลาการทั้ง 8 ถูกเลือกโดยฝ่ายการเมืองที่ยึดโยงเสียงข้างมากทั้งหมด จนสุ่มเสี่ยงต่อกรณี ‘ทรราชเสียงข้างมาก’ (tyranny of the majority) เช่น การตีความกฎหมายโดยไม่คำนึงถึงสิทธิของเสียงข้างน้อย

(โปรดสังเกตว่า การทำให้ตุลาการยึดโยงกับประชาชนอาจทำได้หลายรูปแบบและอาศัยส่วนร่วมได้จากองค์กรอื่นที่ไม่ใช่องค์กรการเมืองทั้งหมด นอกจากนี้ คุณค่าระดับอุดมการณ์ของระบอบประชาธิปไตยประการหนึ่ง คือ การเคารพความประสงค์ของเสียงข้างมาก แต่คุ้มครองสิทธิของเสียงข้างน้อย ซึ่งในทางหนึ่งอาจแสดงออกได้โดยการมีองค์กรตุลาการที่มีความเป็นตัวแทนของเสียงข้างน้อยโดยปริยาย หรือการอาศัยกลไกทางการเมืองในบริบทเฉพาะ เช่น การเสนอชื่อตุลาการโดยพรรคการเมือง 2 ขั้วที่สลับกันเป็นรัฐบาล)

       (2)  นิติราษฎร์เสนอให้มีการเลือกผู้พิพากษาจากศาลสูงอย่างน้อยสองคน แต่หากไม่มีผู้พิพากษาศาลสูงยอมให้นักการเมืองมาชี้นิ้วเลือกเป็นตุลาการ จะมีวิธีแก้ปัญหาอย่างไร ?

       (3) นิติราษฎร์เสนอให้อำนาจของคณะตุลาการชุดใหม่มีอำนาจดังที่ศาลรัฐธรรมนูญมีอยู่ในปัจจุบัน (ร่างมาตรา 5) แต่วิธีการร่างของนิติราษฎร์ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า อำนาจการวินิจฉัยกฎหมายที่ถูกโต้แย้งในคดีตาม มาตรา 211 ก็ดี อำนาจการรับคำร้องโดยตรงจากประชาชนตาม มาตรา 212 ก็ดี หรือ อำนาจในการชี้ขาดข้อขัดแย้งระหว่างองค์กรรัฐธรรมนูญตาม มาตรา 214 ก็ดี จะถูกยุบเลิกไปโดยเหตุการยกเลิก หมวด 10 ส่วนที่ 2 ทั้งหมด (ร่างมาตรา 2) หรือไม่ และหากเลิกอำนาจเช่นนั้น จะจัดการคดีที่ค้างมาตาม ร่างมาตรา 8 อย่างไร ?

       (4) นิติราษฎร์เสนอให้เพิ่มคำว่า “หลักการนิติรัฐประชาธิปไตย” (ร่างมาตรา 4 ในส่วน มาตรา 196/3) ซึ่งแม้นิติราษฎร์อาจมีนิยามทางวิชาการของกลุ่มเอง แต่อาจมีผู้สงสัยว่า  “หลักการนิติรัฐประชาธิปไตย” ที่ว่านี้ แตกต่างไปจาก “หลักนิติธรรม” ซึ่งมีอยู่แล้วตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 หรือไม่ และการบัญญัติคำที่ต่างกันนี้ จะนำไปสู่ปัญหาว่าคณะตุลาการชุดนี้จะแตกต่างไปจากองค์กรอื่นของรัฐที่ถูกกำหนดให้ยึด “หลักนิติธรรม” หรือไม่ ?

       (5) การกำหนดให้คณะตุลาการมีทั้งหมด 8 คน ซึ่งเป็นเลขคู่ และกำหนดว่ามติวินิจฉัยที่คะแนนเสียงเท่ากัน “ให้คำร้องเป็นอันตกไป” (ร่างมาตรา 4 ในส่วน มาตรา 196/11) นั้น  มีผลในทางรัฐธรรมนูญอย่างไร เช่น หากเป็นคำร้องของประชาชนที่โต้แย้งกฎหมายที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพ เท่ากับว่าคณะตุลาการไม่อาจคุ้มรองสิทธิเสรีภาพได้กระนั้นหรือ ? หรือหากเป็นกรณีที่มีความขัดแย้งระหว่างองค์กรตามรัฐธรรมนูญ จะหาทางออกอย่างไร ?

       (6)  ถ้อยคำของ ร่างมาตรา 4 ในส่วน มาตรา 196/13 ที่ว่า “ห้ามมิให้คณะตุลาการพิทักษ์ระบอบรัฐธรรมนูญกระทำการใดอันมีผลเป็นการขัดขวางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ” นั้นกินความกว้างขวางมาก และอาจมีปัญหาในการตีความ เช่น หากรัฐธรรมนูญมีบทบัญญัติใดที่มีสาระสำคัญเป็นไปตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ การขัดขวางการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่ว่าจะถูกตีความอย่างไร หรือ แม้แต่การใช้อำนาจอื่นของคณะตุลาการที่รับรองไว้ เช่น กรณีตาม มาตรา 65 หากมติของพรรคมีความสัมพันธ์กับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ คณะตุลาการจะยังสามารถวินิจฉัยยกเลิกมติได้หรือไม่ ?

       (7)  โดยรวมแล้ว ข้อเสนอของนิติราษฎร์สามารถบรรลุผลตามเจตนารมณ์ได้โดยวิธีการอื่น ที่ไม่ต้องยุบเลิกความเป็นสถาบันของศาลรัฐธรรมนูญได้หรือไม่ ? เช่น การแก้ไขที่มาและจำนวนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะโดยการคงตุลาการชุดเดิมไว้และสรรหาหรือเลือกเพิ่มอีก 6 คน หรือ โดยการกำหนดให้ตุลาการทั้ง 9 คนพ้นจากตำแหน่ง และสรรหาหรือเลือกใหม่ตามกระบวนการที่ยึดโยงกับประชาชนและหลากหลายมากขึ้น แต่ทั้งนี้ โดยการรักษาคุณค่าและประสบการณ์ของความเป็นสถาบันศาลไว้ ?

 โปรดระวัง ศาล 3จี ให้ดี ! 


       พฤติกรรมการลุอำนาจและล่วงล้ำกฎหมายไม่ได้เกิดขึ้นได้เฉพาะที่ ‘ศาลรัฐธรรมนูญ’ หรือ องค์กรการเมือง เท่านั้น แต่คนไทยโปรดระวังว่า ผู้ใช้อำนาจรัฐ หากไม่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบ ก็มีแนวโน้มจะทำผิดกฎหมายและเอาเปรียบประชาชนได้เสมอ

       ผู้เขียนเองได้ติดตามการใช้อำนาจของ กสทช. ในการออก “ร่างประกาศ กสทช. ว่าด้วยข้อห้ามการกระทำที่มีลักษณะที่เป็นการครอบงำกิจการโดยคนต่างด้าว พ.ศ. …” ซึ่งจะถูกนำมาใช้ “คัดกรอง” บริษัทที่จะเข้ามาประมูลขุมทรัพย์คลื่น 3จี ปลายปีนี้

       ผู้เขียนเกรงว่า กสทช. กำลังใช้อำนาจที่ “เกินกฎหมาย” “ผิดตรรกะ” “ขัดหลักนิติศาสตร์” และ “ละเมิดพันธกรณีระหว่างประเทศ”  ที่สำคัญ ยังเป็นการใช้อำนาจที่ “ทำลายประชาธิปไตย” โดย กสทช. รวบอำนาจให้ตนแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายได้เองแทน “รัฐสภา”  แถมอุดช่องว่างกฎหมายได้เองแทน “ศาล”  อีกทั้งยังกำหนดนโยบายการค้าการลงทุนของชาติได้เองแทน “รัฐบาล” !  

       ที่ผ่านมาผู้เขียนได้แสดงความเห็นเรื่องนี้ไปยัง กสทช. หลายครั้ง แต่ กสทช. ไม่มีทีท่าจะรับฟัง และจะยังคงเดินหน้าออกร่างประกาศฯ ดังกล่าว ในช่วงวันที่ 18 นี้ ซึ่งอาจนำไปสู่การฟ้องร้องเพื่อขัดขวางการประมูล 3จี หรือล้มประมูล 3จี ปลายปีนี้ และประชาชนอย่างพวกเรา ก็ได้แต่กระพริบตาปริบๆ ไม่ต่างจากที่ กสทช. ปล่อยให้ ‘จอดำ’ เกิดขึ้นมาแล้ว

       ดังนั้น นอกจากเรื่อง ‘ศาลรัฐธรรมนูญ’ และ ‘ศาลโลก’ ก็ขอเชิญชวนประชาชนผู้ใช้มือถือทั้งประเทศ อย่าลืมตรวจสอบ กสทช. ที่กำลังลุอำนาจกลายมาเป็น ศาล 3จี เร็วจี๋จนจับไม่ทัน ! (ดูเพิ่มที่ http://bit.ly/3Gthai )

---

วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

กัปตันการบินไทยห้าม”ยัยแก่ฐิตินันท์”ขึ้นเครื่องไปนิวซีแลนด์-ตร.ตั้งข้อหาหมิ่นสถาบัน-คุมตัวส่งศรีธัญญาตรวจว่า”บ้าจริง”หรือเปล่า

ตำรวจแจ้งข้อหา”ยัยแก่ฐิตินันท์”ฐานหมิ่นประมาทสถาบัน ตามม. 112 ควบคุมตัวส่งโรงพยาบาลศรีธัญญา ตรวจสภาพจิตและอายัดตัวห้ามเดินทางออกนอกประเทศ รอผลยืนยันจากแพทย์เพื่อใช้ประกอบสำนวนคดี กัปตันการบินไทยก็ห้ามคนวิกลจริตขึ้นเครื่อง

เมื่อวันที่ 17 ก.ค. พ.ต.อ.พงษ์ สังข์มุรินทร์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลทุ่งสองห้อง ยืนยันว่าได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาหมิ่นสถาบัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กับ นางฐิตินันท์ แก้วจันทรานนท์ อายุ 63 ปี ซึ่งเป็นผู้กระทำการมิบังควร หน้าศาลรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่วันที่ 13 กรกฎาคม ที่ผ่านมา

พร้อมควบคุมตัวส่งโรงพยาบาลศรีธัญญา เนื่องจากมีประวัติการรักษาที่โรงพยาบาลดังกล่าว ต่อมาได้นำตัวส่งสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ พร้อมอายัดตัวไว้เพื่อตรวจสอบสภาพจิตขณะนี้แพทย์สั่งห้ามเยี่ยม เนื่องจากผู้ป่วยมีอาการคลุ้มคลั่ง จึงไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ ประกอบกับพาสปอร์ตของนางฐิตินันท์ยังอยู่กับพนักงานสอบสวน

ส่วนตั๋วเครื่องบินเดินทางไปประเทศนิวซีแลนด์ญาติของนางฐิตินันท์ แจ้งว่าเป็นการซื้อตั๋วแบบไป-กลับราคาประหยัด หากไม่ได้เดินทางจะเป็นการยกเลิกไปโดยปริยาย

สำหรับการสอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้อง มีการสอบปากคำพยานที่อยู่ในเหตุการณ์ไปแล้ว 3 ปาก รวมถึงสอบปากคำสามี และบุตรชายของ นางฐิตินันท์ ซึ่งระบุว่า ช่วงหลังนางฐิตินันท์ ไม่ค่อยรับประทานยา พร้อมนำตัวอย่างยามอบให้พนักงานสอบสวน

หลังจากนี้จะต้องรอผลยืนยันจากแพทย์ เพื่อนำมาประกอบสำนวนคดี ก่อนเสนอให้คณะกรรมการคดีหมิ่นสถาบัน ในระดับกองบัญชาการตำรวจนครบาล พิจารณามีความเห็นต่อไป

ที่สนามบินสุวรรณภูมิวันที่ 17 ก.ค.55 เวลา 18.40 น.นางฐิตินันท์ แก้วจันทรานนท์ เตรียมจะเดินทางกลับประเทศนิวซีแลนด์ ด้วยเที่ยวบินที่ TG 491

รายงานข่าวแจ้งว่าก่อนเวลาเครื่องบินจะทำการบินได้มีประชาชนกว่า 200 คนมาประท้วงที่สนามบินสุวรรณภูมิโดยถือป้าย ร้องเพลง ประท้วง ดักรอนางฐิตินันท์ มีตำรวจมาควบคุมสถานการณ์ประมาณ 1 กองร้อย ทว่าในที่สุดนางฐิตินันท์ ไม่ได้ปรากฏตัวแต่อย่างใด มีเพียงสามีที่เดินทางกลับนิวซีแลนด์ เพียงลำพัง

ทั้งนี้ กัปตันของการบินไทยที่ทำหน้าที่ในไฟลต์บินดังกล่าวประกาศว่า เขาและลูกเรือจะไม่ทำการบิน หากนางฐิตินันท์ มีรายชื่อเป็นผู้โดยสาร เพราะถือว่าเป็นบุคคลวิกลจริต

ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ควบคุมสถานการณ์อยู่ ได้บอกต่อประชาชนที่มาประท้วงว่า นางฐิตินันท์ ไม่ได้มาเช็กอิน แต่อยู่โรงพยาบาลซึ่งเมื่อแน่ใจว่านางฐิตินันท์ ไม่ได้เดินทางกลับนิวซีแลนด์ ประชาชนที่ไปรวมตัวกันประท้วงนางฐิตินันท์ จึงสลายตัว

ต่อมาเวลา 18.50 น.นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ เลขาธิการภาคีเครือข่ายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นแห่งชาติ เปิดเผยผ่านสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งระบุว่า กัปตันของสายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG491 ปฏิเสธไม่ให้ นางฐิตินันท์ ขึ้นเครื่อง และทำการปิดประตูเครื่องบิน ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองกำลังขึ้นไปต่อรอง เพื่อขอให้นางฐิตินันท์โดยสารในเครื่อง

อย่างไรก็ตาม สายการบินไทยได้ทำการบินเที่ยวบินที่ TG491 มุ่งหน้าไปยังท่าอากาศยานโอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์แล้วเมื่อเวลา 19.41 น.ที่ผ่านมา แหล่งข่าวระบุว่ามีเพียงสามีของนางฐิตินันท์เท่านั้นที่โดยสารไป ส่วนนางฐิตินันท์ยังไม่ได้โดยสารขึ้นเครื่อง เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองบังคับให้นางฐิตินันท์ทำเอกสาร แต่ไม่สำเร็จ ทำได้เพียงส่งสามีของนางฐิตินันท์ผ่านช่องทางวีไอพีของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเท่านั้น

ก่อนหน้านี้ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร.ให้รีบดำเนินคดีต่อนางฐิตินันท์ โดยเร็ว โดยกล่าวว่าถ้ามีศักดิ์ศรี อย่าอยู่ภายใต้เงาของกลุ่มคนเสื้อแดง และอยู่ใต้เงาของน้องเขย ให้รีบดำเนินการจัดการเรื่องนี้โดยเร็ว อย่าให้เกิดเหตุการณ์ตะลุมบอนที่สนามบินสุวรรณภูมิ ตนไม่อยากเห็นความรุนแรง และขอให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามกฏหมาย นายชวนนท์กล่าวว่าขณะนี้พรรคประชาธิปัตย์ ได้ให้ทีมกฎหมายดูเรื่องดังกล่าวอยู่ หากมีการปล่อยปละละเลยให้ผู้หญิงคนนี้เดินทางออกประเทศ เรื่องนี้ทางพรรคจะดำเนินการตามกฏหมายต่อเจ้าหน้าที่ทุกระดับ ในข้อหาละเว้นการปฏิบัติตามมาตรา 157 หรือประมวลกฎหมายอื่นๆที่ทุจริตต่อหน้าที่ และขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติตามหน้าที่ของตนเอง อย่าปล่อยให้ผู้หญิงที่ทำเรื่องสะเทือนใจคนไทยออกนอกประเทศ

หญิงวัย 63 เตรียมหนีกลับนิวซีแลนด์หลังแสดงท่าทีไม่เหมาะสมต่อพระบรมฉายาลักษณ์

http://apacnews.net/news/?p=27946

วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

กางบัญชีทรัพย์สิน แกะความมั่งคั่ง“เก่ง การุณ โหสกุล-เมีย”

กางบัญชีทรัพย์สิน แกะความมั่งคั่ง“เก่ง การุณ โหสกุล-เมีย”แบบชัดๆ แจ้งปปช.มีรายได้ 2.8 ล้าน ธุรกิจขาดทุน ปีเดียวรวยพรวดทั้งบ้าน ที่ดิน นาฬิกา พระเครื่อง โผล่ปริศนา 108 ล้าน ?

หากพลิกบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของนายการุณ โหสกุล นักการเมืองดังย่านดอนเมืองจะพบความเปลี่ยนแปลงสำคัญก็คือ ตอนพ้นตำแหน่ง ส.ส. กรุงเทพฯ พรรคเพื่อไทย ครบ 1 ปี วันที่ 10 พฤษภาคม 2555 มี ทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน เพิ่มขึ้นจากตอนพ้นตำแหน่ง ส.ส. วันที่ 10 พ.ค.2554 ถึง 108,355943.54 บาท เฉพาะนายการุณเพิ่มขึ้น 109,065,082.26 บาท นางพิมพ์ชนา โหสกุล ภรรยามีเพิ่มขึ้น 3,305,438.72 บาท (ไม่รวมหนี้สิน)

ที่น่าสนใจ กว่า 100 ล้านบาทที่เพิ่มขึ้น มิได้มาจากพระเครื่อง 70 องค์ มูลค่า 90.5 ล้านบาทเพียงอย่างเดียว (จู่ๆก็มีพระเครื่องเพิ่มขึ้น) หากแต่มีทรัพย์สิน2 รายการคือบ้านและที่ดินด้วย

1.รายการประเภทบ้าน สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่า ตอนพ้นตำแหน่ง ส.ส. นายการุณแจ้งว่าเป็นเจ้าของบ้าน 4 หลัง ได้แก่

เลขที่ 502/160 แขวงสีกัน ดอนเมือง กรุงเทพฯ ราคา 10 ล้านบาท

เลขที่ 1669/579 แขวงสีกัน ดอนเมือง กรุงเทพฯ ราคา 1 ล้านบาท

เลขที่ 60/231 จ.ปทุมธานี ราคา 400,000 บาท

เลขที่ 160/140 แขวงสีกัน ดอนเมือง กรุงเทพฯ ราคา 800,000 บาท

นางพิมพ์ชนา แจ้งว่าเป็นเจ้าของบ้าน 2หลัง เลขที่ 19/132 จ.ปทุมธานี ราคา 1,500,000 บาท และ เลขที่ 225/447 จ.ปทุมธานี ราคา 800,000 บาท

ตอนพ้นตำแหน่งครบ 1 ปี นายการุณแจ้งว่าบ้านพักอาศัย 2 หลังมีมูลค่าเพิ่มขึ้น ได้แก่ เลขที่ 502/160 แขวงสีกัน ดอนเมือง กรุงเทพฯ มูลค่าเพิ่มจาก 10 ล้านบาท เป็น 15 ล้านบาท และ เลขที่ 60/231 จ.ปทุมธานี จากราคา 400,000 บาท เป็น 500,000 บาท

2.รายการทรัพย์สินที่ดิน ตอนพ้นตำแหน่งแจ้งว่าเป็นเจ้าของที่ดิน 12 แปลง เนื้อที่ 3-3-94.4 ไร่ มูลค่า 22,401,000 บาท ตอนพ้นตำแหน่งครบ 1 ปีแจ้งว่าเป็นเจ้าของที่ดิน 20 แปลง เนื้อที่ 8-2-37 ไร่ มูลค่า 33,093,000 บาท เท่ากับเพิ่มขึ้น 10,692,000 บาท

สำหรับทรัพย์สินอื่น ตอนพ้นตำแหน่งแจ้งว่าเป็นเจ้าของปืน 4 กระบอก พระเครื่องพร้อมกรอบทองคำ มูลค่า 1 ล้านบาท (มิได้ระบุจำนวนองค์) เครื่องเพชรมูลค่า 1,500,000 บาท และนาฬิกา 4 เรือนมูลค่า 2 ล้านบาท รวมมูลค่า 4,790,000 บาท ตอนพ้นตำแหน่งครบ 1 ปีแจ้งว่าเป็นเจ้าของปืน 4 กระบอก เครื่องเพชร มูลค่า 3 ล้านบาท นาฬิกา 8 เรือนมูลค่า 5 ล้านบาท พระเครื่องพร้อมกรอบทองคำ 70 องค์มูลค่า 90,525,000 บาท รวมมูลค่า 98,815,000 บาท เท่ากับเพิ่มขึ้น 94,025,000 บาท

นายการุณแจ้งว่าถือหุ้น บริษัท เค.โซน จำกัด 9,994 หุ้น มูลค่า 999,400 บาท

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าระบุว่า บริษัท เค.โซน จำกัด ประกอบธุรกิจสถานออกกำลังกาย จดทะเบียนวันที่ 24 มีนาคม 2549 ทุน 1 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่ 159/161 ถนนช่างอากาศอุทิศ แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ นายการุณ โหสกุล น.ส.พัชณี เพ็ญวุฒิกุล เป็นกรรมการ ผลประกอบการ ปี 2553 รายได้ 1,396,277 บาท ขาดทุนสุทธิ 117,035 บาท

ตอนพ้นตำแหน่ง ส.ส. 10 พ.ค.2554 นายการุณแจ้งว่ามีรายได้ต่อปี 200,000 บาท (ค่าประกอบการตลาดนัด) คู่สมรสมีรายได้ 492,000 บาท (เงินเดือน)

ตอนพ้นตำแหน่งครบ 1 ปี 10 พ.ค. 2555 นายการุณแจ้งว่ามีรายได้ 1,362,720 บาท และค่าประกอบการตลาดนัด 1,000,000 บาท รวม 2,362,720 บาท คู่สมรสมีรายได้ 492,000 บาท รวมรายได้ 2 คน 2,854,720 บาท

จากข้อมูลเห็นได้ว่า เมื่อนายการุณกับภรรยามีรายได้ไม่ถึง 3 ล้านบาท ทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้น 108.3 ล้าน บาท (โดยเฉพาะพระเครื่อง) โผล่ (พิสดาร?)ได้อย่างไร?

..............

(หมายเหตุ : แกะรอยชัด ๆขุมทรัพย์“การุณ โหสกุล-เมีย”รวยพิสดาร 108 ล้าน? : สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org)

Thaksin's Dubai lawyer in Man City sale jailed for breach of trust

DUBAI // A prominent lawyer cleared of stealing almost Dh350 million of the money paid by Abu Dhabi for Manchester City football club has been sentenced to jail for three years.



KM, 45, an Emirati partner and manager of a well-known Dubai law firm, was acquitted of embezzlement and forgery but convicted of breach of trust.

He acted for the former Thai prime minister Thaksin Shinawatra in his 2008 sale of City, now the reigning English Premier League champions, to Abu Dhabi.

The firm controlled an escrow account in which millions of dirhams for the sale were held.

The lawyer appeared in the Dubai Misdemeanours Court in March last year accused of embezzling £60m (Dh341m) of the £150m in the account.

Prosecutors said he used Dh39.5m from the Man City sale to buy a villa in Emirates Hills.

He was accused of embezzling €15m (Dh67m) after Mr Thaksin asked him to receive a money transfer on his behalf and deposit it in a Montenegran bank account in his name.

Records show the lawyer convinced Mr Thaksin to keep the money in the law firm’s bank account to avoid political pressure, but later transferred it into his own account.

He was also accused of trying to fraudulently take control of a Dh176m private jet by forging the signatures of authorised executives at international companies.

The defendant allegedly emailed bank transfer documents bearing the executives’ forged signatures to the jet maker Bombardier in Canada, in an attempt to take over a Bombardier Global XRS Aircraft worth US$48m (Dh176m).

Court papers show he asked for the aircraft to be registered to “World White Investment Corporation”, which records show he owns.

The defendant denied all the charges, saying: “I am a military justice chief and have a clean record, and by God’s grace it will remain clean.”

He insisted all the money in his account had been kept safely and that he had not taken a dirham.

“I kept them safe, your honour,” he said. “I did not breach trust – I honoured that trust.”

His defence lawyers insisted Mr Thaksin had no legal standing because the law firm was acting for UK Sports, not the former prime minister.

The defendant asked the court to consider the corruption charges faced by Mr Thaksin, and the fact that he was his firm’s client.

The verdict is subject to appeal within 15 days.

salamir@thenational.




12
สื่อยูเออีรายงานทักษิณถูกทนายดูไบตุ๋นด้วยการยักยอกเงิน 580 ล้านหลังจากขายทีมฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ศาลสั่งจำคุก 3 ปีให้อุทธรณ์ได้ภายใน 15 วัน เผยทักษิณเรียกร้องคืนมากถึง 3,720 ล้านบาทหรือ 74 ล้านปอนด์

เมื่อ 15 ก.ค. เว็บไซต์เดอะเนชั่นแนลสื่อของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (www.thenational.ae ) รายงานเมื่อวันที่ 13 ก.ค.2012 ในชื่อบทความ “Thaksin′s Dubai lawyer in Man City sale jailed for breach of trust” รายงานโดย ซาลาม อัล อาเมียร์ (Salam Al Amir) ระบุว่าทนายความที่ใช้ชื่อย่อว่า”เคเอ็ม”(Khaled al-Muhairi) วัย 45 ปี ชาวสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเคยเป็นตัวแทนทางกฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในการติดต่อซื้อขายธุรกิจสโมสรฟุตบอล แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในอังกฤษ ถูกศาลนครดูไบตัดสินจำคุกเป็นเวลา 3 ปี ในคดียักยอกเงินอย่างน้อย 15 ล้านยูโรหรือประมาณ 580 ล้านบาท จากบัญชีธนาคารของพ.ต.ท.ทักษิณ

รายงานข่าวระบุว่าเคเอ็ม เคยทำงานร่วมกับพ.ต.ท.ทักษิณเป็นเวลา 3 ปี และได้เริ่มยักยอกเงินจากพ.ต.ท.ทักษิณแต่เดือนก.ย-ต.ค.ในปี 2009

เขาพ้นข้อหายักยอกทรัพย์คนอื่นมาเป็นของตน(embezzlement)และปลอมแปลงเอกสาร(forgery)แต่ต้องข้อหาในคดีละเมิดความไว้วางใจ(breach of trust) ทั้งนี้เขาทำหน้าที่แทนพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี 2008 ในการขายทีมฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี้ทีมพรีเมียร์ลีคของอังกฤษให้กับชาวอะบู ดาบี

การไต่สวนมีขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม 2011 ที่ theDubaiMisdemeanours Courtในข้อหายักยอกทรัพย์ 60 ล้านปอนด์( 341 ล้านเดอร์แรม dirham)จากเงินทั้งหมด 150 ล้านปอนด์ในบัญชีของสำนักงานทนายความที่เป็นผู้ดูแลเอสโครว์การซื้อขาย

อัยการระบุว่าทนายผู้นี้ใช้เงิน 39.5 ล้านเดอร์แรมซื้อบ้านพักตากอากาศที่เอมิเรตส์ ฮิลส์หรือเทียบได้กับเบฟเวอร์ลี่ย์ ฮิลส์ของแคลิฟอร์เนียที่คนมั่งคั่งอยู่กัน โดยแยกดังนี้นำเงิน 38 ล้านเดอร์แรมใช้ซื้อบ้าน อีก 380,000 เดอร์แรมเป็นค่านายหน้าซื้อขายแก่บริษัทอสังหาริมทรัพย์, 620,000 เดอร์แรมเป็นค่าธรรมเนียมลงทะเบียนบ้านและอีก 495,926 เดอร์แรมเป็นเงินที่สำนักงานทนายความของเขาทำหน้าที่เป็นผู้แทนการซื้อขาย

พร้อมกันนี้ยังต้องข้อหายักยอกเงินอีก 15 ล้านยูโร( 67 ล้านเดอร์แรม)หลังจากที่พ.ต.ท.ทักษิณเรียกร้องให้เขารับเงินในนามของทนายที่ถูก transfer มาและให้นำเข้าบัญชีเงินฝากของพ.ต.ท.ทักษิณที่ธนาคารในประเทศมอนเตรเนโกร(Montenegran bank)

อย่างไรก็ตามจากหลักฐานทราบว่าทนายความได้แนะนำให้พ.ต.ท.ทักษิณเก็บเงินไว้ในบัญชีของสำนักงานทนายความเพื่อหลีกเลี่ยงความกดดันทางการเมือง และต่อมาทนายเคเอ็มก็ได้ยักย้ายเงินจำนวนนี้เข้าใส่ในบัญชีส่วนตัวของตน

ทนายเคเอ็มยังได้รับข้อหาพยายามฉ้อโกงเพื่อเข้าไปเป็นเจ้าของเครื่องบิน Bombardier Global XRS มูลค่า 48 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้เขาได้ส่งอีเมลเอกสารที่มีลายเซ็นของฝ่ายบริหารบริษัทข้ามชาติไปยังบริษัทผู้ผลิตเครื่องบินบอมบาร์ดิเยร์แห่งแคนาดาและให้ลงทะเบียนเครื่องเป็นในนามบริษัท World White Investment Corporation จากหลักฐานพบว่าเป็นบริษัทของเขาเอง

ทนายเคเอ็มปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาโดยระบุว่า”ผมเคยเป็นหัวหน้าผู้พิพากษาศาลทหาร มีประวัติที่สะอาดหมดจด และในนามของพระเจ้าประวัติของข้าพเจ้ายังคงสะอาดอยู่” พร้อมกับระบุว่าเงินทั้งหมดยังถูกเก็บไว้ในบัญชีของเขาและเขาไม่ได้นำออกไปใช้สักเดอร์แรมเดียว

“ท่านผู้พิพากษาครับ ผมเก็บมันไว้ในที่ปลอดภัย ผมไม่ได้ละเมิดความไว้วางใจ เพราะผมยึดมั่นในความไว้วางใจ” เคเอ็มกล่าวต่อผู้พิพากษา

ทางด้านทนายที่ว่าความให้กับนายเคเอ็มกล่าวว่าพ.ต.ท.ทักษิณไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะสำนักงานทนายความได้ดำเนินการให้กับบริษัทกีฬาของอังกฤษไม่ได้ดำเนินการให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ

นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้ศาลพิจารณาตั้งข้อหาคอร์รัปชั่นเอาผิดกับพ.ต.ท.ทักษิณด้วย อย่างไรก็ตามเมื่อมีการตรวจสอบแล้วพบว่าพ.ต.ท.ทักษิณเป็นลูกความของสำนักงานทนายความแห่งนี้จริง

ทนายความของนายเคเอ็มยังได้เรียกร้องให้ศาลแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญจากกระทรวงการคลังของดูไบเข้ามาศึกษาคดีนี้ สาเหตุเพราะพ.ต.ท.ทักษิณต้องคดีฉ้อโกงในประเทศไทยและต้องถูกส่งตัวกลับประเทศไทย

สำหรับทีมฟุตบอลสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ปัจจุบันเจ้าของคือ the Abu Dhabi United Group, ที่นำโดยชีค แมนซัวร์ บิน ซาเยด ซึ่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวง Presidential Affairs ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยในปี 2008 ซื้อทีมแมน ซิตี้ 90 % และในปี 2009 ซืท้อที่เหลืออีก 10 %

ภายหลังคำพิพากษาแล้วนายเคเอ็มมีเวลา 15 วันในการยื่นอุทธรณ์คำตัดสิน หรือคำตัดสินนี้มีขึ้นเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคมจะสิ้นสุดวันที่ 28 กรกฎาคม 2012

ที่มา http://www.thenational.ae/news/uae-news/thaksins-dubai-lawyer-in-man-city-sale-jailed-for-breach-of-trust

เบื้องหลังของคดีความนี้เขียนไว้ในหัวข้อ Thaksin has met his match in Dubai

เมื่อปี 2011 มีผู้โพสข้อความ เริ่มว่าสืบเนื่องมาจากสำนักงานเอพี อดีตนายกรัฐมนตรีไทย ทักษิณ ชินวัตร โดยใช้คำย่อว่า TS, ตัวเขาเองก็เป็นอาชญากรได้ยื่นฟ้องนักกฎหมายเอมิเรตติ คาเลด อัล-มูไฮริ (Khaled al-Muhairi)อายุ 45 ปีในข้อหายักยอกทรัพย์ผู้อื่นไปเป็นของตน,ละเมิดความไว้วางใจ,พยายามฉ้อโกงและปลอมแปลงเอกสาร


พ.ต.ท.ทักษิณถ่ายภาพกับเสธ.แดงพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ขณะไปเยี่ยมที่ดูไบและเสธ.แดงยังมีชีวิตอยู่
คดีนี้เป็นคดีที่คนไทยจะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะตัวของ TS เองก็เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางว่าเป็นนายกรัฐมนตรีที่คอร์รัปชั่นมากที่สุดจากที่เคยมีมาในอดีต ปัจจุบันนักการเมืองใหญ่ของไทยผู้ฉ้อโกงได้พบกับเกมการแข่งขัน(แมช)ของตัวเองที่ดูไบ เพราะเงินสกปรกได้ถูกขโมยไปจากเขา จะเป็นเรื่องที่น่าสนใจที่สุดเมื่อทุกอย่างได้ถูกเปิดเผยขึ้นมา

เรื่องเริ่มขึ้นเมื่อปี 2008 เมื่อ the Abu Dhabi United Group นำโดย ชีค แมนซัวร์ บิน ซาเยด อัล นาห์ยัน (Sheikh Mansour bin Zayed Al Nahyan) รัฐมนตรีกระทรวง Presidential Affairs ของสหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์ ซื้อทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 90 % และต่อมาปี 2009 ก็ซื้อที่เหลืออีก 10 %

ทักษิณ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และเป็นประธานทีมแมน ซิตี้ ได้ว่าจ้างนายคาเลดทำหน้าที่จัดการเรื่องหุ้นที่เขาขายแก่ชี้คแมนซัวร์ การตกลงซื้อขายเสร็จสิ้นไประหว่างบริษัท UK Sports Investment Ltd (UKSL)และผู้ซื้อ การฟอกเงินก็สำเร็จผ่านความช่วยเหลือของ Khaled al-Muhairy หุ้นส่วนสำนักงานทนายความที่นครดูไบ

ก้าวต่อนายมาคาเลดได้แนะนำให้ทักษิณเก็บเงิน 150 ล้านปอนด์ไว้ในบัญชีเงินของสำนักงานทนายความ ด้วยเหตุที่การดีลซื้อขายสำเร็จเพราะคาเลดจึงทำให้ทักษิณตกลงกับความคิดนี้

ต่อมาเอสโครว์ก็เปิดดำเนินการโดยบริษัทกฎหมาย ซึ่งเงินจำนวนนี้จะต้องไม่มีการถอนจนกว่าจะมีการเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร จากนั้นทนายความชาวเอมิเรตก็นำเงิน 100 ล้านปอนด์เข้าบัญชี

เอสโครว์และอีก 50 ล้านปอนด์ทนายเคเอ็มเก็บไว้เป็นค่าแรงของตัวเอง

ทักษิณยื่นฟ้องครั้งนี้ต้องการเงินคืน 50 ล้านปอนด์บวกค่าเสียหายอีก 24 ล้านปอนด์หรือคิดเป็นเงิน 441 ล้านเดอร์แรม ($120 mn/£74mn)หรือ 3,720 ล้านบาท แต่ศาลพบว่านายเคเอ็มมีความผิด 67 ล้านเดอร์แรมหรือน้อยกว่าที่ทักษิณต้องการได้ถึง 374 ล้านเดอร์แรม

ปัจจุบันค่าเงินปอนด์ 1 ปอนด์เท่ากับ 48.50 บาท และค่าเงิน 1 เดอร์แรมเท่ากับ 8.61 บาท






วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เบื้องหลังทักษิณเจรจา "อำมาตย์แดง" เกมบีบรัฐบาลลูกไก่ในกำมือ

การเคลื่อนไหวทั้งบนดินและใต้ดินของเครือข่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังมีจุดมุ่งหมาย 2 ปลายทาง

ทางแรก ใช้เครือข่ายฝ่าย "แดงอำมาตย์" เจรจากับกลุ่มอำมาตย์ ด้วยการเปิดทางให้รัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" และฝ่ายนิติบัญญัติเพื่อไทยบริหารได้อย่างราบรื่น ไม่ติดล็อกขั้นตอนกฎหมาย

ทางที่สอง ใช้แนวร่วมมวลชน "เสื้อแดง" เคลื่อนไหวกดดันฝ่ายอำมาตย์ ให้ "ถอย" ห่างไปจากโครงสร้างอำนาจ ทั้งในฝ่ายองค์กรอิสระ และฝ่ายตุลาการ

ทั้ง 2 ปลายทาง เพื่อเป้าหมายเปิดทางตรงให้ "น.ส.ยิ่งลักษณ์" ทะลุถึงเป้าหมายการเป็นนายกรัฐมนตรีอย่างราบรื่น ครบวาระ เพื่อเป้าหมายทางอ้อมให้ พ.ต.ท.ทักษิณได้รับการคลี่คลายทางคดี และได้เริ่มต้นชีวิตทางการเมือง มีอำนาจอีกหน

การพาดพิงอ้างถึงการเจรจาระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณกับกลุ่มคน ที่นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ใช้สรรพนามว่า "ข้างบน" หรือ "พวกเขา" จึงไม่ใช่ไม่มีที่มา

แหล่งข่าวในพรรคเพื่อไทยยืนยันว่า มีวงในเจรจาระหว่างตัวแทนฝ่าย "อำมาตย์แดง" กับตัวแทนฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณจริง วาระที่ถูกยกขึ้นโต๊ะเพื่อต่อรอง คือการปิดสมัยประชุมสภา กับถอนวาระปรองดอง แลกกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างราบรื่น

แต่เมื่อฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณมีอาการชักเข้า-ชักออก วาระทั้ง 3 คือแก้ไขรัฐธรรมนูญคั่นกับวาระปรองดอง และพยายามจะถ่วงถ่างเวลาการปิดสมัยประชุมสภา ทำให้ฝ่าย "แดงอำมาตย์" ผิดคำพูดกับเครือข่ายอำมาตย์ด้วยกัน

เกมเจรจาลับจึงล้ม

แหล่งข่าวอีกรายให้ความเห็นจากความเชื่อว่า การเจรจาจะไม่มีทางสำเร็จ และไม่เป็นผลดีกับฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ และตัวแทนฝ่าย "อำมาตย์แดง" ไม่ใช่เป็น "พวกของจริง" มีแต่พวก "อ้างถึง"

การดึงเกมกันระหว่างฝ่ายอำมาตย์ตัวจริง กับ พ.ต.ท.ทักษิณตัวเป็นเป็น จึงยังต้องต่อเวลาไปอีกระยะ

ย่อมหมายถึงฝ่ายแดงเพื่อไทยยังอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงต่อการถูกล้มกระดาน

คนในบ้านเลขที่ 111 ที่เพิ่งพ้นโทษการเมือง วิเคราะห์ว่า หากยังไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พรรคเพื่อไทยและพวกจะยังต้องเผชิญหน้ากับวาระเสี่ยง ดังนี้

วาระแรก เสี่ยงต่อการถูกยื่นยุบพรรคการเมือง

วาระที่สอง เสี่ยงต่อการยื่นถอดถอนนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทั้งคณะ

วารที่สาม เสี่ยงต่อการถูกยื่นให้มีการตรวจสอบโดยองค์กรอิสระ เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และศาลรัฐธรรมนูญ

ทำให้สภาพรัฐบาลเพื่อไทย แม้มีเสียงข้างมาก แต่เป็นเสียงข้างมากที่ตกเป็นลูกไก่ในกำมืออำมาตย์

หากรัฐบาลลูกไก่ในกำมืออำมาตย์ ไม่ทำตามข้อเสนอของคนเสื้อแดง ก็จะถูกบีบจนยากจะหายใจ

แต่ถ้ารัฐบาลลูกไก่มีจุดมุ่งหมายอยู่ข้างเดียวกับฝ่ายประชาธิปไตย ก็จะมีจุดแข็ง สามารถปีกกล้า ขาแข็ง จิกมืออำมาตย์ให้ผ่อนคลายมือออกได้เป็นระยะ

สมมติฐานรัฐบาลลูกไก่ ถูกไขรหัสโดย "จาตุรนต์ ฉายแสง" แกนนำทางความคิดสายเพื่อไทย ที่อธิบายปรากฏการณ์รัฐบาลลูกไก่ไว้ว่า "จุดแข็งอยู่ที่ประชาชน ตราบที่รัฐบาลยังได้รับการสนับสนุนจากประชาชน ประชาชนก็ไม่เลือกพรรคที่สนับสนุนฝ่ายชนชั้นนำ หรือฝ่ายอำมาตย์ และเป็นโจทย์ข้อใหญ่ที่ฝ่ายชนชั้นนำแก้ไม่ตก"

พ.ต.ท.ทักษิณเคยปราศรัยผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนต์เข้ามาที่พรรคเพื่อไทย และในเวทีชุมนุมของคนเสื้อแดงว่า "พี่น้องต้องไม่กลับบ้านมือเปล่า"

เช่นเดียวกับการเสี่ยงของฝ่ายชนชั้นนำ ที่หนุนให้ฝ่ายตุลาการ "ปราม" ฝ่ายเพื่อไทย ย่อมไม่เสี่ยงและเปลืองตัว จ่ายต้นทุนมือเปล่า

การวินิจฉัยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จึงเป็นเกมที่ต่างฝ่ายต่างต้องมีต้นทุนที่ต้องจ่าย

สอดคล้องกับความเห็นของ "จาตุรนต์" ที่ว่า "เวลานี้เขาเสื่อมไปมาก จากการเล่นเกมขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ผมเข้าใจว่าเขาคงคิดว่าการจะได้อะไรมาต้องลงทุน ต้องแลก แต่เมื่อ

ยอมลงทุนไปมาก ยอมเสียหายไปมากแล้ว จะให้กลับมือเปล่าคงไม่ได้ แต่ถ้าทำแบบเดิมต่อไปมันก็จะเสื่อม"

การเมืองเวลานี้ ยากที่ฝ่าย พ.ต.ท. ทักษิณจะได้กำไรฝ่ายเดียวทั้ง 2 ทาง เช่นเดียวกับฝ่ายอำมาตย์-ชนชั้นนำยากที่จะเอาชนะ พ.ต.ท.ทักษิณไปอย่างไม่ต้องเสียต้นทุน


ประชาชาติ


วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ศาลรธน.ยกคำร้องการแก้ไขรธน.มาตรา 291 ไม่ถือเป็นการล้มล้างการปกครอง



เมื่อเวลา 14.50 น. ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญขึ้นบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยคดีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยนายบุญส่ง กุลบุปผา ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เริ่มอ่านคำวินิจฉัยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคด้แก้รัฐธรรมนูญ ในประเด็นแรก คือ ศาลมีอำนาจรับคำร้องโดยตรงหรือไม่ โดยคำวินิจฉัยระยุว่า ศาลมีอำนาจรับคำร้องโดยตรงตามมาตรา 68โดยไม่ผ่านอัยการสูงสุดได้ เพราะอำนาจวินิจฉัยการกระทำผิด/พิทักษ์รัฐธรรมนูญเป็นของศาลรัฐธรรมนูญ

ทั้งนี้ มีอำนาจวินิจฉัยคำร้อง เพื่อสั่งการมิให้กระทำการล้มล้างรัฐธรรมนูญ เพราะหากปล่อยก็พ้นวิสัยแก้ไขได

"กรณีอัยการสูงสุดรับแล้วแต่ยังไมมีคำสั่งแต่หากปล่อยให้ลงมติวาระ3ล่วงไปแล้ว แต่หากต่อมาอัยการสูงสุดส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย และเห็นว่ากระบวนการนั้นไม่ชอบให้ยกเลิก ก็ไม่สามารถบังคับได้ หรือไม่อาจย้อนคืนแก้ไขผลที่เกิดขึ้นในการกระทำดังกล่าวได้ ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีอำนาจรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ 68 วรรรค 2

สำหรับประเด็น การแก้ไขรธน.ทั้งฉบับทำได้หรือไม่ ศาลเห็นว่า รธน. 50 ได้ผ่านการลงประชามติจากประชาชน ควรให้ประชาชนลงมติก่อนจะแก้หรือแก้รายมาตรา ไม่ใช้การแก้ทั้งฉบับ

ต่อมานายนุรักษ์ มาประณีต ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อ่านคำวินิจฉัยในประเด็นปัญหา​ในมาตรา 68 ว่า​เป็น​การล้มล้าง​การปกครองระบอบประชาธิป​ไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรง​เป็นประมุข ​หรือ​ให้​ได้มา​ซึ่งอำนาจ​ใน​การปกครองประ​เทศ​โดย​ไม่​เป็น​ไปตามวิถีทางที่กำหนด​ไว้​ในรัฐธรรมนูญ​หรือ​ไม่

"ข้ออ้างของผู้ร้องไม่เข้าข้อเท็จจริงว่า ผู้ถูกร้องจะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยผู้ถกร้องแสดงเจตคติตั้งมั่นจะดำรงคำร้องตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ข้อเท็จจริงยังไมพ่อวินิจฉัยได้ว่า การกระทำผู้ร้องทั้งหมดเป็นการล้มล้างการปกครองประชาธิปไตย ข้ออ้างทั้งหมดจึงฟังไม่ขึ้น ทั้งหมดเป็นเพียงการคาดกาณ์ และยังห่างไกลต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามอ้างข้อเท็จจริง จึงยังไม่พอฟังได้ว่าเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย ดังนั้นการกระทำของผู้ถูกร้องฟังไม่ได้ว่ามีเจตนาล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษตัริย์เป็นประมุข ศาลให้ยกคำร้องส่วนนี้ และเมื่อไม่มีประเด็นวินิจฉัยส่วนนี้ต่อไป จึงให้ยกคำร้องทั้งหมด"นายนุรักษ์ อ่านคำวินิจฉัย

วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

"โอ๊ค"โพสต์เฟสฯกูไม่กลัวมึง!กัด"เทือก"จ้องขยี้ อย่าให้พ่อกูกลับได้ก็แล้วกัน

"โอ๊ค"ยืมวลีอมตะ"หม่อมคึกฤทธิ์-กูไม่กลัวมึง"นะครับ แขวะ"เทือก"จ้องเหยียบขยี้'ทักษิณ'ให้จมดิน หากให้ปชช.ทั้งปท.เขียนถึงคุณงามความดีเพื่อชาติระหว่าง2คน เชื่อว่าแม้แต่คนที่เลือกปชป.ส่ง'กระดาษเปล่า'กันเยอะ ย้ำขู่ได้ขู่ไปอย่างให้พ่อกูกลับได้ก็แล้วกัน
     เมื่อวันที่ 9 ก.ค.55 นายพานทองแท้ ชินวัตร ได้โพสต์ในเฟสบุ๊คข้อความว่า "ไม้ล้มข้ามได้ คนล้มอย่าข้าม" ผมว่ามันโบราณไปแล้วครับ สำหรับพรรคการเมืองที่ชื่อ "ประชาธิปัตย์"สมัยนี้น่าจะเป็น "คนล้มข้ามได้ แต่อย่าเหยียบย่ำกันเลย" มากกว่าครับ
     การเมืองไทยสมัยนี้ อย่าว่าแต่ จะให้เกียรติกันด้วยการ "ไม่ข้ามคนล้ม"เลย เชิญให้ข้ามเท่าไหร่ ก็ไม่เคยก้าวข้าม คนชื่อ "ทักษิณ ชินวัตร" ได้ซักทีครับ ผ่านไป5-6ปีแล้วนอกจากไม่ก้าวข้ามยังจ้องจะเหยียบขยี้กันให้จมดินกันอยู่ทุกวัน ตัวทักษิณไม่อยู่ก็ขอให้ได้ข่มขู่ ลูกหลาน ญาติพี่น้อง ว่าจะต้องเดือดร้อน ก็ยังเอาครับ
     ... คนที่ผมพูดถึงนี่เป็นถึง ผู้ใหญ่ในพรรคฯ นะครับ อุตส่าห์ไปทำบุญวันเกิดที่วัดกันใหญ่โต แทนที่จะเริ่มต้นชีวิตดีๆ พูดถึงแต่สิ่งดีๆ ด้วยการระลึกถึงพระคุณบิดามารดา พระสยามเทวาธิราช พระแม่ธรณีบีบมวยผม อะไรก็ว่าไป เผื่อท่านจะได้ช่วยให้ชนะเลือกตั้ง ได้จัดตั้งรัฐบาลนอกค่ายทหารกับเขามั่ง กลายเป็นว่า แว้งกลับมาด่าคุณพ่อผม แถมพาลมาข่มขู่ ถึงลูก ถึงหลาน ได้อีก
     ท่านใดยังไม่เห็น ลองเข้าไปอ่านดูก็ได้ครับ "สุเทพ" ขอพรวันเกิดให้สุขภาพดี ฝากถึง "ทักษิณ" หยุดทำร้าย ปท.ได้ แล้ว  http://tnews.teenee.com/politic/82422.html
     ผมไม่ทราบว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เขาคิดว่า พรรคประชาธิปัตย์ ผูกขาดการทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติ แต่เพียงผู้เดียวหรือเปล่านะครับ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ว่าคนอื่นทำร้ายประเทศ เคยมีตัวอย่างมาแล้วว่า ไปด่าผู้ที่เคยเปิดเผยว่า ตัวเขามีบุญคุณกับ นายสุเทพ ในการจัดตั้งรัฐบาลด้วยซ้ำ ผมไม่ทราบว่า นายสุเทพ ไปว่าเขาไว้อย่างไร แต่ผู้เสียหายตอบโต้ไว้สั้นๆ ได้อย่างน่าสนใจจริงๆ ครับ ตามนี้ สนธิจุดธูปสาบแช่ง สุเทพ เทือกสุบรรณ
http://www.youtube.com/watch?v=LWbCKfhfsQQ
     ผมคิดว่าถ้าถามคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศว่า "ทักษิณฯ ทำประโยชน์อะไรให้กับประเทศไทยบ้าง" ให้เขาเขียนลงกระดาษทั้งแผ่นอาจจะไม่พอนะครับ
แต่กลับกันถ้าถามว่า "สุเทพ เทือกสุบรรณ ทำประโยชน์อะไรบ้าง" ผมว่าคนส่งกระดาษเปล่ากันเยอะ "แม้กระทั่งคนที่เลือกปชป.เอง ผมว่าเขาก็เขียนไม่ออกครับ"
ผมเชื่อว่าคุณพ่อผมไม่เคยทำร้ายประเทศไทยนะครับ มีแต่พวกที่ชอบปล้นประชาธิปไตยรุมทำร้ายคุณพ่อผมมากกว่าครับ
     ตัวผมเองในฐานะตัวแทนของลูกหลานที่โดนข่มขู่ อยากจะปิดท้ายโพสต์นี้ ด้วยวลีอมตะของ มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมทย์ ที่ว่า "กูไม่กลัวมึง" นะครับ แต่คุณพ่อผมเบรกไว้ บอกว่า "โอ๊คต้องให้เกียรติผู้ใหญ่ อย่างน้อยเขาก็เคยเป็นเพื่อนพ่อ"
     ไม่เป็นไรครับ...ขู่ได้ขู่ไป...อย่าให้พ่อกูกลับมาได้ก็แล้วกัน

สยามรัฐ

วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ถอยปรองดอง ต่อรองรัฐธรรมนูญ

ถอยปรองดองต่อรองรัฐธรรมนูญ

วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม 2555, 00:00 น.
ขออนุญาตฮุบสัมปทานหน้า ๕ สักประมาณ ๑ สัปดาห์นะครับ เพราะ "ป๋าเปลว" หลบฝน บินไปฉลองแชมป์ฟุตบอลยูโรที่สเปนตั้งแต่ค่ำวันจันทร์แล้วครับ

การเมืองปิดเทอมทีแรกคิดว่าจะลดอุณหภูมิลงไปได้บ้าง กลับกลายเป็นว่า ไปเปิดเทอมนอกสภาฯ กันแทน เป็นมากว่าสัปดาห์แล้วครับ ทั้งประชาธิปัตย์ และเพื่อไทย เปิดเวทีปราศรัยกันไม่เว้นวัน

ก็เป็นเรื่องดีถ้าพรรคการเมืองไปให้ความรู้กับประชาชน แต่มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นซิครับ เพราะเล่นยกความขัดแย้งในสภาฯ ไปว่ากันข้างนอก

วันก่อนประชาธิปัตย์ถึงกับเกือบถูกเสื้อแดงรุมกระทืบที่ปทุมธานี ไม่พอใจเรื่องฆาตกรมือเปื้อนเลือดนั่นแหละครับ

นักการเมืองนิสัยเสียหลายเรื่อง แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ส่อให้เห็นถึงการไร้ความรับผิดชอบอย่างสิ้นเชิงคือ เวลาพูดบนเวทีปราศรัย แทบทั้งหมด "จัดเต็ม" ด่ากันหมดแม็ก

พอเป็นคดีความ หรือกลายเป็นปัญหาขึ้นมา แทบทั้งหมดอ้างเหมือนๆ กัน ว่ามันคือเวทีปราศรัย ต้องพูดให้มีสีสันเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ฟัง

ที่ผ่านมาเราก็เห็นกันแล้ว ไอ้ที่ปราศรัยยุยงให้เผาบ้านเผาเมือง "เผาเลยครับพี่น้อง ผมรับผิดชอบเอง" แล้วไง รับผิดชอบกันจนได้เป็นรัฐมนตรี แต่ดันบริหารไม่เป็น

มันสาหัส เดียวนี้ลามเข้าไปในทีวีดาวเทียมแล้วครับ!

ทีวีแดงไปไกลเกินควบคุม ขนาดว่าคนจัดเป็นถึงรองศาสตราจารย์พิเศษ พ่วงดีกรีดอกเตอร์ ชื่อ อดิศร เพียงเกษ ยกนิ้วกลางโชว์กลางรายการ ภาษาบ้านๆ คือแจกกล้วย

แล้วด่าพรรคคู่แข่งเป็นพรรคนิ้วกลาง

หรือจะให้ลูกเด็กเล็กแดงของพี่น้องเสื้อแดงที่นั่งเฝ้าหน้าจอทีวีเรียนรู้ไว้เป็นแบบอย่าง วันไหนไม่ถูกใจพ่อ-แม่ ก็ยกนิ้วกลางให้ อยากให้เป็นแบบนั้นใช่มั้ย

สอนให้เด็กเอาอย่าง ขอไปเที่ยวนอกบ้านไม่ได้ ก็แจกกล้วยให้พ่อให้แม่มัน

หัดคิดถึงผลของความหยาบเถื่อนกันบ้างมั้ย พวกคุณพูดให้คนทำผิดมากี่หนแล้ว

กระทั่งเรื่องประชาธิปไตย ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่า ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญประเทศถึงจะเป็นประชาธิปไตย ถ้าไม่แก้ก็ไม่เป็นประชาธิปไตย

ผมนึกถึงเรื่องเล่าหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง สมัยนั้นประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักว่ารัฐธรรมนูญ หรือประชาธิปไตย คืออะไร

พระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้าคณะราษฎรทำการยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย จนได้รับฉายาว่า "เชษฐบุรุษประชาธิปไตย"

จากบทบาทที่มีค่อนข้างสูงในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เพราะเป็นผู้นำคณะราษฎรฝ่ายทหารบก และหลังจากที่คำว่าประชาธิปไตยได้ถูกบัญญัติและเผยแพร่ไป มีชาวบ้านบางคนคิดว่า เป็นชื่อของลูกชายของพระยาพหลพลพยุหเสนาด้วยซ้ำ

ผมไม่ได้คิดเองเออเอง ลอกมาจากวิกิพีเดียทั้งดุ้น เพื่อให้รับรู้ว่ามันเป็นข้อมูลที่มีอยู่จริง และเป็นข้อมูลสาธารณะ มีการแพร่หลายในวงกว้าง

วันนี้ที่กลัวคือจะมีคนเข้าใจผิดคิดว่า รัฐธรรมนูญ หรือประชาธิปไตย คือพี่ชายคนโตของลูกโอ๊ค พานทองแท้ ชินวัตร เข้าสักวัน

ดูเหมือนจะไม่ไกลแล้วครับ เพราะล้างสมองกันไม่เว้นวัน มีประชาธิปไตย ต้องมีทักษิณบ้างล่ะ แก้รัฐธรรมนูญเพื่อทักษิณกลับมาอย่างเท่ๆ บ้างล่ะ

ถ้าเป็นฟุตบอลก็เรียกว่าลูกซ้อม ระบอบทักษิณทั้งองคาพยพมุ่งตรงไปที่ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมกันคักคึกเป็นพิเศษ จัดความสำคัญเร่งด่วนไว้ลำดับที่หนึ่ง โดยไม่มีเรื่องอื่นเจือปน

กฎหมายปรองดองที่ทั้งดิ้นทั้งแถก่อนหน้านี้กลับจะแช่แข็งซะงั้น

ข้อเสนอถอยคนละก้าว ของขุนค้อน สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ไม่ใช่จู่ๆ ออกมาพูดโดยไม่ปรึกษาใคร แต่เป็นแผนที่ผ่านการประเมินสถานการณ์ล่าสุดของนายใหญ่ ว่าการกลับมาอย่างเท่ๆ นั้น จะข้ามขั้นตอนสำคัญไปไม่ได้

“ผมได้ถอยหลังแล้วหนึ่งก้าวด้วยเจตนาที่ไม่ต้องการทำตัวเองให้เป็นปัญหาความขัดแย้ง เพราะเหตุผลที่ไม่อยากให้ตัวเราเป็นปัญหาความขัดแย้ง ไม่ต้องการให้คนไทยฆ่ากันตาย แม้จะถูกตำหนิบ้างก็ไม่เป็นไร และหวังว่าศาลจะคิดไม่ต่างจากผม ผมมั่นใจอย่างนั้นเป็นความรู้สึกของผมเอง”

เหมือนจะดี แต่แย่ที่สุด!

นี่คือเกมที่วางหมากกันใหม่ ใช้กฎหมายปรองดองมาต่อรองกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ "น.ช.ทักษิณ" นิสัยไม่เคยเปลี่ยน ทำทุกอย่างด้วยการต่อรองเสมอ

จินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่าคนที่เป็นถึงประมุขฝ่ายนิติบัญญัติใช้สำนึกส่วนไหน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญถอย จากการวินิจฉัยคำร้องว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 อาจเข้าข่ายล้มล้างการปกครอง ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 68 หรือไม่

การใช้คำพูดดังกล่าวตีความเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย จะให้ศาลรัฐธรรมนูญใช้หลักอะไร

ประธานสภาผู้แทนราษฎรใช้เหตุผลทางการเมืองถอนร่างพระราชบัญญัติปรองดองออกจากระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้ แต่มิอาจให้ศาลใช้เหตุผลทางการเมืองมาวินิจฉัยว่ามีการล้มล้างรัฐธรรมนูญได้เลย

ศาลรัฐธรรมนูญต้องวินิจฉัยไปตามข้อกฎหมายเท่านั้น มิอาจนำเหตุผลอื่นมาวินิจฉัยในสิ่งที่มีปัญหาข้อกฎหมายได้

พวกท่านเองมิใช่หรือที่เรียกร้องให้ศาลวินิจฉัยตามข้อกฎหมาย ไม่ว่าเรื่องซุกหุ้น เรื่องยุบพรรค ที่พวกท่านทึกทักเอาว่า ศาลมิได้ใช้ข้อกฎหมายในการวินิจฉัย แต่ใช้ความแค้นส่วนตัวบ้าง ใช้ความรู้สึกบ้าง ทำตามใบสั่งบ้าง

แล้ววันนี้จะให้ละเลยกฎบัตรกฎหมายได้อย่างไร ให้ละเลยแล้วพวกท่านจะรู้สึกดีขึ้นว่าคดียุบพรรคถูกต้องแล้วอย่างนั้นหรือ...ก็ไม่ใช่!

พวกท่านยังแค้นศาลรัฐธรรมนูญเรื่องยุบพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชนอยู่ดี

บอกตรงๆ ที่พวกท่านเปลี่ยนวิธีตั้งรับไปเรื่อยๆ แบบนี้ จะเป็นการดีหากหยุดกันสักนิด คิดถึงความผิดพลาดที่ก่อขึ้นสักหน่อย เพราะนั่นจะทำให้พวกท่านไม่ต้องคิดหาวิธีตั้งรับอีกแล้ว

แค่รู้ว่าผิด รู้ว่าพลาด แล้วแก้ไขให้ถูกต้องเสีย ทุกอย่างก็จะเดินหน้าไปได้อย่างราบรื่น รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะอยู่ยาวครบเทอมก็ไม่มีใครไปทำอะไรได้

แต่พวกท่านใช้ฐานของรัฐบาลมาฟอกผิดให้คนคนเดียว ดื้อดึงไปไม่มีวันจบ แล้วคิดว่าจะถอยไปได้แค่ไหน เพราะสุดท้ายแล้วหนีไม่พ้นประชาชนตกเป็นเหยื่อต้องรบกันเอง

ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่ อยู่ที่ศาลท่านจะพิจารณาตามข้อกฎหมาย

แม้ร่างรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๙๑/๑๑ จะเพิ่มวรรคห้า ระบุว่า

"ร่างรัฐธรรมนูญที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปของรัฐ หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขบทบัญญัติในหมวดว่าด้วยพระมหากษัตริย์ จะกระทำมิได้" ก็ตาม

แต่สัญญาณที่จับได้ตั้งแต่หลังวันที่ 24 มิถุนายนที่ผ่านมา ไม่น่าวางใจเลยทีเดียว

เพราะมีการขายความคิดในหมู่เสื้อแดง โดยนักวิชาการและนักการเมืองสังกัดเสื้อแดง ว่าการปกครองระบอบประชาธิปไตย อัน มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่น่าจะถูกต้อง

ที่ถูกจะต้องเป็น ปกครองระบอบประชาธิปไตย โดย พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ภายใต้รัฐธรรมนูญ

ซึ่งนั่นจะเป็นการแก้ไขนอกหมวดพระมหากษัตริย์ หากแต่เป็นข้อความที่ปรากฏในมาตรา ๒ ของรัฐธรรมนูญแทบทุกฉบับที่ผ่านมา

และการบัญญัติว่า ปกครองระบอบประชาธิปไตยโดยพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ภายใต้รัฐธรรมนูญ จะแตกต่างจากของเดิมมาก โดยเฉพาะมาตราที่เกี่ยวกับพระราชอำนาจ ซึ่งก็อยู่นอกเหนือหมวดพระมหากษัตริย์เช่นกัน

ขออนุญาตฮุบสัมปทานหน้า ๕ สักประมาณ ๑ สัปดาห์นะครับ เพราะ "ป๋าเปลว" หลบฝน บินไปฉลองแชมป์ฟุตบอลยูโรที่สเปนตั้งแต่ค่ำวันจันทร์แล้วครับ

การเมืองปิดเทอมทีแรกคิดว่าจะลดอุณหภูมิลงไปได้บ้าง กลับกลายเป็นว่า ไปเปิดเทอมนอกสภาฯ กันแทน เป็นมากว่าสัปดาห์แล้วครับ ทั้งประชาธิปัตย์ และเพื่อไทย เปิดเวทีปราศรัยกันไม่เว้นวัน

ก็เป็นเรื่องดีถ้าพรรคการเมืองไปให้ความรู้กับประชาชน แต่มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นซิครับ เพราะเล่นยกความขัดแย้งในสภาฯ ไปว่ากันข้างนอก

วันก่อนประชาธิปัตย์ถึงกับเกือบถูกเสื้อแดงรุมกระทืบที่ปทุมธานี ไม่พอใจเรื่องฆาตกรมือเปื้อนเลือดนั่นแหละครับ

นักการเมืองนิสัยเสียหลายเรื่อง แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ส่อให้เห็นถึงการไร้ความรับผิดชอบอย่างสิ้นเชิงคือ เวลาพูดบนเวทีปราศรัย แทบทั้งหมด "จัดเต็ม" ด่ากันหมดแม็ก

พอเป็นคดีความ หรือกลายเป็นปัญหาขึ้นมา แทบทั้งหมดอ้างเหมือนๆ กัน ว่ามันคือเวทีปราศรัย ต้องพูดให้มีสีสันเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ฟัง

ที่ผ่านมาเราก็เห็นกันแล้ว ไอ้ที่ปราศรัยยุยงให้เผาบ้านเผาเมือง "เผาเลยครับพี่น้อง ผมรับผิดชอบเอง" แล้วไง รับผิดชอบกันจนได้เป็นรัฐมนตรี แต่ดันบริหารไม่เป็น

มันสาหัส เดียวนี้ลามเข้าไปในทีวีดาวเทียมแล้วครับ!

ทีวีแดงไปไกลเกินควบคุม ขนาดว่าคนจัดเป็นถึงรองศาสตราจารย์พิเศษ พ่วงดีกรีดอกเตอร์ ชื่อ อดิศร เพียงเกษ ยกนิ้วกลางโชว์กลางรายการ ภาษาบ้านๆ คือแจกกล้วย

แล้วด่าพรรคคู่แข่งเป็นพรรคนิ้วกลาง

หรือจะให้ลูกเด็กเล็กแดงของพี่น้องเสื้อแดงที่นั่งเฝ้าหน้าจอทีวีเรียนรู้ไว้เป็นแบบอย่าง วันไหนไม่ถูกใจพ่อ-แม่ ก็ยกนิ้วกลางให้ อยากให้เป็นแบบนั้นใช่มั้ย

สอนให้เด็กเอาอย่าง ขอไปเที่ยวนอกบ้านไม่ได้ ก็แจกกล้วยให้พ่อให้แม่มัน

หัดคิดถึงผลของความหยาบเถื่อนกันบ้างมั้ย พวกคุณพูดให้คนทำผิดมากี่หนแล้ว

กระทั่งเรื่องประชาธิปไตย ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่า ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญประเทศถึงจะเป็นประชาธิปไตย ถ้าไม่แก้ก็ไม่เป็นประชาธิปไตย

ผมนึกถึงเรื่องเล่าหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง สมัยนั้นประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักว่ารัฐธรรมนูญ หรือประชาธิปไตย คืออะไร

พระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้าคณะราษฎรทำการยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย จนได้รับฉายาว่า "เชษฐบุรุษประชาธิปไตย"

จากบทบาทที่มีค่อนข้างสูงในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เพราะเป็นผู้นำคณะราษฎรฝ่ายทหารบก และหลังจากที่คำว่าประชาธิปไตยได้ถูกบัญญัติและเผยแพร่ไป มีชาวบ้านบางคนคิดว่า เป็นชื่อของลูกชายของพระยาพหลพลพยุหเสนาด้วยซ้ำ

ผมไม่ได้คิดเองเออเอง ลอกมาจากวิกิพีเดียทั้งดุ้น เพื่อให้รับรู้ว่ามันเป็นข้อมูลที่มีอยู่จริง และเป็นข้อมูลสาธารณะ มีการแพร่หลายในวงกว้าง

วันนี้ที่กลัวคือจะมีคนเข้าใจผิดคิดว่า รัฐธรรมนูญ หรือประชาธิปไตย คือพี่ชายคนโตของลูกโอ๊ค พานทองแท้ ชินวัตร เข้าสักวัน

ดูเหมือนจะไม่ไกลแล้วครับ เพราะล้างสมองกันไม่เว้นวัน มีประชาธิปไตย ต้องมีทักษิณบ้างล่ะ แก้รัฐธรรมนูญเพื่อทักษิณกลับมาอย่างเท่ๆ บ้างล่ะ

ถ้าเป็นฟุตบอลก็เรียกว่าลูกซ้อม ระบอบทักษิณทั้งองคาพยพมุ่งตรงไปที่ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมกันคักคึกเป็นพิเศษ จัดความสำคัญเร่งด่วนไว้ลำดับที่หนึ่ง โดยไม่มีเรื่องอื่นเจือปน

กฎหมายปรองดองที่ทั้งดิ้นทั้งแถก่อนหน้านี้กลับจะแช่แข็งซะงั้น

ข้อเสนอถอยคนละก้าว ของขุนค้อน สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ไม่ใช่จู่ๆ ออกมาพูดโดยไม่ปรึกษาใคร แต่เป็นแผนที่ผ่านการประเมินสถานการณ์ล่าสุดของนายใหญ่ ว่าการกลับมาอย่างเท่ๆ นั้น จะข้ามขั้นตอนสำคัญไปไม่ได้

“ผมได้ถอยหลังแล้วหนึ่งก้าวด้วยเจตนาที่ไม่ต้องการทำตัวเองให้เป็นปัญหาความขัดแย้ง เพราะเหตุผลที่ไม่อยากให้ตัวเราเป็นปัญหาความขัดแย้ง ไม่ต้องการให้คนไทยฆ่ากันตาย แม้จะถูกตำหนิบ้างก็ไม่เป็นไร และหวังว่าศาลจะคิดไม่ต่างจากผม ผมมั่นใจอย่างนั้นเป็นความรู้สึกของผมเอง”

เหมือนจะดี แต่แย่ที่สุด!

นี่คือเกมที่วางหมากกันใหม่ ใช้กฎหมายปรองดองมาต่อรองกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ "น.ช.ทักษิณ" นิสัยไม่เคยเปลี่ยน ทำทุกอย่างด้วยการต่อรองเสมอ

จินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่าคนที่เป็นถึงประมุขฝ่ายนิติบัญญัติใช้สำนึกส่วนไหน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญถอย จากการวินิจฉัยคำร้องว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 อาจเข้าข่ายล้มล้างการปกครอง ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 68 หรือไม่

การใช้คำพูดดังกล่าวตีความเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย จะให้ศาลรัฐธรรมนูญใช้หลักอะไร

ประธานสภาผู้แทนราษฎรใช้เหตุผลทางการเมืองถอนร่างพระราชบัญญัติปรองดองออกจากระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้ แต่มิอาจให้ศาลใช้เหตุผลทางการเมืองมาวินิจฉัยว่ามีการล้มล้างรัฐธรรมนูญได้เลย

ศาลรัฐธรรมนูญต้องวินิจฉัยไปตามข้อกฎหมายเท่านั้น มิอาจนำเหตุผลอื่นมาวินิจฉัยในสิ่งที่มีปัญหาข้อกฎหมายได้

พวกท่านเองมิใช่หรือที่เรียกร้องให้ศาลวินิจฉัยตามข้อกฎหมาย ไม่ว่าเรื่องซุกหุ้น เรื่องยุบพรรค ที่พวกท่านทึกทักเอาว่า ศาลมิได้ใช้ข้อกฎหมายในการวินิจฉัย แต่ใช้ความแค้นส่วนตัวบ้าง ใช้ความรู้สึกบ้าง ทำตามใบสั่งบ้าง

แล้ววันนี้จะให้ละเลยกฎบัตรกฎหมายได้อย่างไร ให้ละเลยแล้วพวกท่านจะรู้สึกดีขึ้นว่าคดียุบพรรคถูกต้องแล้วอย่างนั้นหรือ...ก็ไม่ใช่!

พวกท่านยังแค้นศาลรัฐธรรมนูญเรื่องยุบพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชนอยู่ดี

บอกตรงๆ ที่พวกท่านเปลี่ยนวิธีตั้งรับไปเรื่อยๆ แบบนี้ จะเป็นการดีหากหยุดกันสักนิด คิดถึงความผิดพลาดที่ก่อขึ้นสักหน่อย เพราะนั่นจะทำให้พวกท่านไม่ต้องคิดหาวิธีตั้งรับอีกแล้ว

แค่รู้ว่าผิด รู้ว่าพลาด แล้วแก้ไขให้ถูกต้องเสีย ทุกอย่างก็จะเดินหน้าไปได้อย่างราบรื่น รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะอยู่ยาวครบเทอมก็ไม่มีใครไปทำอะไรได้

แต่พวกท่านใช้ฐานของรัฐบาลมาฟอกผิดให้คนคนเดียว ดื้อดึงไปไม่มีวันจบ แล้วคิดว่าจะถอยไปได้แค่ไหน เพราะสุดท้ายแล้วหนีไม่พ้นประชาชนตกเป็นเหยื่อต้องรบกันเอง

ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่ อยู่ที่ศาลท่านจะพิจารณาตามข้อกฎหมาย

แม้ร่างรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๙๑/๑๑ จะเพิ่มวรรคห้า ระบุว่า

"ร่างรัฐธรรมนูญที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปของรัฐ หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขบทบัญญัติในหมวดว่าด้วยพระมหากษัตริย์ จะกระทำมิได้" ก็ตาม

แต่สัญญาณที่จับได้ตั้งแต่หลังวันที่ 24 มิถุนายนที่ผ่านมา ไม่น่าวางใจเลยทีเดียว

เพราะมีการขายความคิดในหมู่เสื้อแดง โดยนักวิชาการและนักการเมืองสังกัดเสื้อแดง ว่าการปกครองระบอบประชาธิปไตย อัน มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่น่าจะถูกต้อง

ที่ถูกจะต้องเป็น ปกครองระบอบประชาธิปไตย โดย พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ภายใต้รัฐธรรมนูญ

ซึ่งนั่นจะเป็นการแก้ไขนอกหมวดพระมหากษัตริย์ หากแต่เป็นข้อความที่ปรากฏในมาตรา ๒ ของรัฐธรรมนูญแทบทุกฉบับที่ผ่านมา

และการบัญญัติว่า ปกครองระบอบประชาธิปไตยโดยพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ภายใต้รัฐธรรมนูญ จะแตกต่างจากของเดิมมาก โดยเฉพาะมาตราที่เกี่ยวกับพระราชอำนาจ ซึ่งก็อยู่นอกเหนือหมวดพระมหากษัตริย์เช่นกัน

กฎหมายปรองดองที่ดองได้ ก็เพื่อไม่ให้ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา ๓๐๙ แต่รัฐธรรมนูญใหม่ก็ใช่ว่าเขียนขึ้นมาเพื่อเป็นยันต์กันผีให้กฎหมายปรองดองเพียงอย่างเดียว

เครือข่ายทักษิณคิดไกลกว่านั้นมากครับ!.

อัตถ์ อัตนัย

วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

มติ กสทช. เพิกถอนใบรับรองโทรศัพท์มือถือ 280 รุ่น เฉียดล้านเครื่อง จ่อดำเนินคีดอาญา 27บริษัทดังยื่นเอกสารปลอม


สำนักข่าวอิศรา


คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้ออกประกาศเพิกถอนใบรับรองเครื่องโทรคมนาคมและอุปกรณ์หรือโทรศัพท์เคลื่อนที่จํานวน 280 แบบ/รุ่น กว่า 970,000 เครื่อง จาก 27 บริษัทที่นำเข้าจากประเทศจีน (ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน2555) เนื่องจากปลอมแปลงเอกสารการรับรองมาตรฐานจากต่างประเทศ ทั้งนี้จะได้มีการแจ้งความดำเนินคดีอาญากับบริษัทที่ยื่นเอกสารปลอมดังกล่าวต่อสำนักงาน กสทช.

สำหรับรายละเอียดประกาศของสำนักงาน กสทช.ระบุว่า กสทช. ได้ตรวจสอบเอกสารหลักฐานแสดงความสอดคล้องตามมาตรฐานทางเทคนิคซึ่งผู้ประกอบการได้จัดส่งประกอบการพิจารณาขอรับรองเครื่องโทรคมนาคมและอุปกรณ์ พบว่ามีข้อเท็จจริงอันเป็นที่เพียงพอและเป็นที่ยุติว่า ผู้ประกอบการบางรายได้ใช้รายงานผลการทดสอบจากห้องปฏิบัติการทดสอบของต่างประเทศ ที่ไม่ได้ออกโดยห้องปฏิบัติการทดสอบของต่างประเทศ หรือมีการปลอมแปลง หรือแก้ไข เปลี่ยนแปลง ลดทอน แต่งเติมเนื้อหาหรือข้อมูลในรายงาน ให้ผิดแผกจากรายงานผลการทดสอบต้นฉบับ

ดังนั้น เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารอันเป็นเท็จ จึงถือว่าการรับรองเครื่องโทรคมนาคมและอุปกรณ์ดังกล่าวไม่ชอบตามประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) เรื่องการตรวจสอบและรับรองมาตรฐานของเครื่องโทรคมนาคมและอุปกรณ์ ที่ประชุมคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม มีมติให้เพิกถอนใบรับรองเครื่องโทรคมนาคมและอุปกรณ์ ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จํานวน 280 แบบ/รุ่น ตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2555 เป็นต้นไป

พร้อมกันนี้ สํานักงาน กสทช. ได้ออกประกาศไว้ ดังนี้

1.ไม่อนุญาตให้ทําหรือนําเข้าเครื่องโทรคมนาคมและอุปกรณ์ แบบ/รุ่นที่ถูกเพิกถอน ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม จํานวน 280แบบ/รุ่น ตามรายการแนบท้ายประกาศนี้ นับแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2555 เป็นต้นไป

2.ให้ผู้ประกอบการ จํานวน 27 ราย ที่เป็นผู้ยื่นขอและได้รับใบรับรองเครื่องโทรคมนาคม และอุปกรณ์แบบ/รุ่นที่ถูกเพิกถอนตามรายการแนบท้ายประกาศนี้ ซึ่งได้นําเข้าเครื่องโทรคมนาคม ก่อนวันที่ 20 มิถุนายน 2555 รายงานการครอบครองเครื่องโทรคมนาคมแบบ/รุ่นที่ถูกเพิกถอนดังกล่าวต่อสํานักงาน กสทช. และดําเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด ดังนี้

(1) ยื่นคําขอรับใบอนุญาตให้นําออกเครื่องวิทยุคมนาคมตามกฎหมายว่าด้วยวิทยุคมนาคม ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ และนําเครื่องโทรคมนาคมและอุปกรณ์ดังกล่าว ออกนอกราชอาณาจักร

(2) ทําลายเครื่องโทรคมนาคมและอุปกรณ์ดังกล่าว ภายใน 30 วัน แล้วแจ้งให้สํานักงาน กสทช. ทราบพร้อมหลักฐาน ทั้งนี้ ผู้ประกอบการดังกล่าวข้างต้นยังคงต้องมีภาระรับผิดชอบต่อเครื่องโทรคมนาคม แบบ/รุ่นที่ถูกเพิกถอนใบรับรองที่ตนเองจําหน่าย หรือนําเข้าเพื่อใช้งานในประเทศอยู่ต่อไป

3. ให้ผู้ประกอบการรายอื่นที่ได้นําเข้ามาเพื่อจําหน่ายหรือใช้งานเครื่องโทรคมนาคม แบบ/รุ่นที่ถูกเพิกถอน ก่อนวันที่ 20 มิถุนายน2555 รายงานการครอบครองเครื่องโทรคมนาคมแบบ/รุ่นที่ถูกเพิกถอนดังกล่าวต่อ กสทช. ภายใน 30 วัน โดยอนุญาตให้สํารองจําหน่ายเครื่องโทรคมนาคมและอุปกรณ์ที่ได้นําเข้ามาในราชอาณาจักร ก่อนวันที่ 20 มิถุนายน 2555 ได้ต่อไป ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการบรรเทาความเสียหายเนื่องจากความเชื่อโดยสุจริตของผู้จําหน่ายและใช้งานที่ได้รับผลกระทบจากการเพิกถอนใบรับรองเครื่องโทรคมนาคมและอุปกรณ์

นอกจากประกาศดังกล่าวแล้ว สำนักงาน กสทช.ยังต้องแจ้งความดำเนินคดีอาญากับบริษัท 27 แห่งที่นำที่ยื่นเอกสารรับรองมาตรฐานปลอมต่อพนักงานสอบสวน สน.บางซื่อด้วย

สำหรับบริษัทที่นำเข้าโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ใช้ใบรับรองมาตรฐานปลอมมีดังนี้

1. บริษัท 108 มาร์เก็ตติ้ง จํากัด 2. บริษัท ทีดับบลิวแซด คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน)3. บริษัท เบสคิงส์ จํากัด4. บริษัท มีเดีย อินฟีนีตี้ จํากัด 5. บริษัท โมเดิร์น เทคโนโลยี โมบาย จํากัด 6. บริษัท โมบาย อาร์ อัส จํากัด 7.บริษัท สไมล์ โฟน (ประเทศไทย) จํากัด 8.บริษัท ออลเทค มาเก็ตติ้ง จํากัด9. นายอริยะ บุพศิริ 10. บริษัท คูล คอมพิวเตอร์ (ไทยแลนด์)

11. บริษัท เจ มาร์ท จํากัด (มหาชน) 12. บริษัท เจเจเค.คอร์ปอเรชั่น จํากัด 13.บริษัท ชาเทอเว คอร์พอเรชั่น (ประเทศไทย) จํากัด 14. บริษัท ซันไรซ์ อินเตอร์เทรด จํากัด 15.บริษัท ดี โมบาย (ประเทศไทย) จํากัด 16.บริษัท ที.ซี. โมบาย โฟน จํากัด 17.บริษัท ไทยเวย์ อินฟอร์เมชั่น คอมพิวเตอร์ จํากัด 18. บริษัท นีโอลูชั่น เทคโนโลยี คอร์ปอเรชั่น จํากัด 19.บริษัท พี.ที.อี. อินเตอร์กรุ๊ป จํากัด 20.บริษัท มาสเตอร์ เทคโนคอม จํากัด

21.บริษัท แม๊ค คอลเลคชั่น จํากัด 22.บริษัท ไมโครเทเลคอม จํากัด 23.บริษัท ลอง เชียร์ คอมมิวนิเคชั่น จํากัด 24.บริษัท เอ. โมบายล์ เวิลด์ จํากัด 25.บริษัท เอเอซี แอนด์ ที จํากัด 26. บริษัท แอล บี แอล (2004) จํากัด 27.บริษัท ไอโอเทค เทคโนโลยี จํากัด

ทั้งนี้ มีรายงานด้วยว่า ในจำนวน 27 บริษัทดังกล่าว มีบริษัทชื่อดังและมีขนาดใหญ่หลายแห่ง อาทิ บริษัท ทีดับบลิวแซด คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) ในเครือเอไอเอส บริษัท เจ มาร์ท จํากัด ฯ(มหาชน) เป็นต้น








เปิดเวที เทิดทูนสถาบันกษัตริย์ ปกป้องศาล

ศูนย์ข่าวนครราชสีมา- ภาคปชช. 5 องค์กร กว่า 1 พันคน ฮือรวมพลังหน้า “ย่าโม” เปิดเวที เทิดทูนสถาบันกษัตริย์ ปกป้องศาล ค้านชำเรา รธน. เรียกร้อง “เพื่อแม้ว”-แก๊งหางเแดง หยุดคุกคามศาล พร้อมเคลื่อนพลยื่น“ทภ. 2” จี้กองทัพเร่งผลักดันชุมชนกัมพูชา-ทหารเขมรพ้นแผ่นดินไทย “เขาพระวิหาร” และชายแดนไทยทุกจุด ซัดหากทหารไม่ทำหน้าที่ขอให้มอบอาวุธยุทโธปกรณ์แก่ปชช.เพื่อต่อสู้รักษาอธิปไตยของชาติแทน ขณะ “เสื้อแดง” เตรียมเปิดเวทีประชัน หนุนแก้ รธน. -ดัน พ.ร.บ.ปรองดอง ล้างผิด “พ่อแม้ว” ท่ามกลางตำรวจคุมเข้ม แต่ไม่มีเหตุรุนแรง

วันนี้ (29 มิ.ย.) ที่บริเวณสวนอนุสรณ์สถาน ข้างลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) อ.เมือง จ.นครราชสีมา กลุ่มเครือข่ายภาคประชาชน จาก 5 องค์กร ประกอบด้วย สมาพันธ์เกษตรกรไทย, สภาเกษตรกรไทยแห่งชาติ, เครือข่ายรวมพลังปกป้องแผ่นดินไทย (อีสานใต้-ตะวันออก) และ สมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย รวมกว่า 1,000 คน นำโดย นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เลขาธิการสมัชชาฯ , นพ.ประทีป ตลับทอง ประธานเครือข่ายรวมพลังปกป้องแผ่นดินไทย ,นายเพชร ปัตตาละทะ ประธานสมาพันธ์เกษตรกรไทย , นายสวัสดิ์ จักษ์พุทรา ประธานสภาเกษตรกรไทยฯ และ ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ นักวิชาการ ได้รวมตัวชุมนุมแสดงพลัง พร้อมเปิดเวทีปราศรัย “เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ปกป้องสถาบันศาลรัฐธรรมนูญ” รวมทั้งต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ ร่วมปกป้องผืนแผ่นดินไทย 4.6 ตารางกิโลเมตร ชายแดนเขาพระวิหาร จ.ศรีสะเกษ

พร้อมกันนี้ ภายในงานได้มีการตั้งโต๊ะรวบรวมรายชื่อประชาชนเพิ่มเติม สมทบรายชื่อที่รวบรวมมาก่อนหน้านี้จำนวน 4.6 แสนรายชื่อ เพื่อส่งให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ศาลโลก ในการเรียกร้องให้ศาลโลกจำหน่ายคดีปราสาทเขาพระวิหาร กรณีกัมพูชายื่นฟ้องให้ตีความคดีประสาทพระวิหาร ปี 2505 ในเรื่องเขตแดน และ แสดงเจตนารมณ์ประชาชนไทยคัดค้านอำนาจศาลโลก

นายสวัสดิ์ จักษ์พุทรา ประธานสภาเกษตรกรไทยแห่งชาติ ได้อ่านแถลงการณ์ของผู้ชุมนุม มีสาระสำคัญ ระบุว่า จากสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันนี้ ได้มีการเคลื่อนไหวจากพรรคการเมืองบางพรรค และกลุ่มบุคคลบางกลุ่มที่ประกาศย้ำไม่ยอมรับ ไม่ให้ความเคารพต่อสถาบันตุลาการ โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นสถาบันหลัก 1ใน 3 ของอำนาจอธิปไตย ที่ใช้ปกครองประเทศ อันเป็นอำนาจถ่วงดุลกันระหว่างอำนาจนิติบัญญัติ (รัฐสภา) , อำนาจบริหาร(รัฐบาล) และ อำนาจตุลาการ (ศาลรัฐธรรมนูญและศาลอื่นๆ ) ซึ่งการเคลื่อนไหวดังกล่าวได้บิดเบือนข้อเท็จจริง เป็นผลกระทบต่อความมั่นคงของบ้านเมืองอย่างร้ายแรง เพราะเป็นการข่มขู่อำนาจตุลาการโดยศาลรัฐธรรมนูญให้ไม่มีศักยภาพในการใช้อำนาจตามหน้าที่ ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ในการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

นอกจากนี้ยังมีกลุ่มบุคคลบางพวก ได้เคลื่อนไหว กระทำการออกล่ารายชื่อ เพื่อถอดถอนคณะตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งที่ได้ดำเนินการโดยชอบในการชะลอการพิจารณาลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นการชั่วคราวของรัฐสภา ล่าสุดมีการออกมาชุมนุมของพรรคการเมืองบางพรรค และกลุ่มคนบางกลุ่ม เช่น นายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตส.ส. พรรคเพื่อไทย (พท.) และ แกนนำกลุ่ม นปช. ได้ประกาศในเชิงข่มขู่ต่อความปลอดภัยในชีวิตของ คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

ทั้งนี้จากการสถานการณ์ดังกล่าวพวกเราในฐานะคนไทย มีความห่วงใยต่อสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ รวมถึงการกระทำที่มีเจตนารมณ์อันแอบแฝง ที่เป็นการจาบจ้วงต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงถือว่ากลุ่มบุคคลและพรรคการเมืองดังกล่าวได้กระทำการเคลื่อนไหวโดยมิได้ยึดถือเจตนารมณ์ของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและมิได้ยึดเอาผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง

พวกเราจึงขอแสดงเจตนารมณ์ เรียกร้องให้พรรคการเมืองและกลุ่มบุคคลดังกล่าวได้ยุติการเคลื่อนไหวใด ๆ โดยเด็ดขาด และขอเรียกร้องให้พี่น้องประชาชนทุกหมู่เหล่าได้ร่วมแสดงพลัง เพื่อปกป้องรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และนำความสงบเรียบร้อยมาสู่บ้านเมืองให้ได้โดยเร็วที่สุด

ด้าน นพ.ประทีป ตลับทอง ประธานเครือข่ายรวมพลังปกป้องแผ่นดินไทย ได้อ่านแถลงการณ์สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ระบุว่า เครือข่ายรวมพลังปกป้องแผ่นดินไทย เคยยื่นหนังสือต่อกองทัพภาพที่ 2 ให้ทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติมาแล้วเมื่อ เดือน มี.ค. 2555 นับจากวันนั้นปัญหาการยึดครองและรุกล้ำอธิปไตยของไทยยังคงเกิดขึ้นและมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น มีการสร้างสิ่งปลูกสร้างที่มั่นคงแข็งแรง ขยายชุมชนและการแสดงสิทธิ์เหนือพื้นที่ โดยไม่ได้มีการผลักดัน จากทางการเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยในหลายพื้นที่

ฉะนั้นในวันนี้ เราจึงขอเรียกร้องไปยังกองทัพไทยและกองทัพภาคที่ 2 ได้เร่งดำเนินการดังต่อไปนี้ คือ เร่งผลักดันชุมชนกัมพูชา และ ทหารกัมพูชาออกจากแผ่นดินไทยชายแดนด้าน เขาพระวิหาร จ.ศรีสะเกษ และ ในทุกจุดโดยไม่ชักช้า หากกำลังทหารในกองทัพไม่เพียงพอให้กองทัพประกาศเรียกกำลังพลสำรองมาเสริมในกองทัพโดยด่วน เพื่อปฏิบัติภารกิจศักดิ์สิทธิ์สำคัญยิ่งนี้

และ หากกองทัพไม่สามารถดำเนินการได้ตามที่กล่าวมา ขอให้กองทัพได้ใจกว้างและสนับสนุนเครือข่ายฯ รวมทั้งประชาชนชาวไทยให้ยืมเครื่องมือยุทโธปกรณ์และเครื่องทุ่นแรงอื่นๆ ของกองทัพเพื่อนำไปใช้ในการปกป้องอธิปไตยของชาติ เมื่อปฏิบัติภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์เสร็จสิ้นแล้ว พวกเราจะนำเครื่องมือดังกล่าวมาส่งคืนให้กองทัพต่อไป

จากนั้น ทางกลุ่มเครือข่ายภาคประชาชน 5 องค์กร ได้ยื่นหนังสือเปิดผนึก เรื่อง เทิดทูนสถาบันกษัตริย์ ปกป้องสถาบันตุลาการ และคัดค้านการแก้รัฐธรรมนูญ ให้กับ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา โดยมี นายวิจิต กิจวิรัตน์ ป้องกันจังหวัดนครราชสีมาเดินทางมารับหนังสือดังกล่าวบนเวทีพร้อมรับปากจะส่งต่อให้ผู้ว่าฯนครราชสีมา และรัฐบาลต่อไป

ส่วนข้อเรียกร้องการปกป้องอธิปไตยชายแดนเขาพระวิหาร และ แผ่นดินไทย นั้น กลุ่มเครือข่ายรวมพลังปกป้องแผ่นดินไทย ได้ส่งตัวแทนเดินทางไปยื่นหนังสือเปิดผนึกให้กับ กองทัพภาคที่ 2 ที่ค่ายสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 อ.เมือง จ.นครราชสีมา ก่อนสลายการชุมนุม

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ขณะที่ กลุ่มเครือข่ายภาคประชาชนทั้ง 5 องค์กร มีการจัดเวทีปราศรัย ที่บริเวณสวนอนุสรณ์สถาน ข้างลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) อยู่นั้นในพื้นที่ติดกัน ที่บริเวณสวนรักษ์ข้างอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) เช่นกัน กลุ่มคนเสื้อแดงโคราชได้จัดเตรียมเวทีขนาดใหญ่เพื่อจัดงาน “สร้างความปรองดองเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ” ซึ่งจะมีแกนนำคนสำคัญของ นปช. และ พรรคเพื่อไทย เดินทางมาเปิดเวทีปราศรัยในช่วงค่ำของวันเดียวกันนี้ ( 29 มิ.ย.) ท่ามกลางการจัดกำลังดูแลความสงบเรียบร้อยของเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเข้มงวด แต่ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นแต่อย่างใด




เมเนเจอร์ออนไลน์





"นาซา" จับมือ "เชฟร่อน" หาประโยชน์ธุรกิจพลังงาน


"ถาวร" เปิดข้อมูลแฉ "นาซา" จับมือ "เชฟร่อน" หาประโยชน์ธุรกิจพลังงาน โยงคนใกล้ชิด "ทักษิณ" ตั้งบริษัทโอนหุ้นตั้งท่ารอ ตะเพิด "บิ๊กอ๊อด" ไขก๊อกพ้นเก้าอี้รมต. จวกไร้สำนึกตั้งป้อมสอบฝ่ายข่าวกรองที่ปกป้องผลประโยชน์ชาติ พร้อมท้า "สุกำพล"ดีเบตแทน"มาร์ค" ด้าน"ชวนนท์" โต้ "นพดล" ไม่เคยบิดเบือนเอกสารบัวแก้ว วอนอย่าโยนบาปปชป. "เพื่อไทย" ยันเปิดประชุมสภาฯ ถกปมนาซาขอใช้สนามบินอู่ตะเภา มาตรา179วอน "ฝ่ายค้าน" ใช้เวทีสภาฯ ให้เกิดประโยชน์อย่าตั้งป้อมขยายผลการเมือง
เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.55 นายถาวร เสนเนียม รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวชี้แจงถึงกรณีองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ(นาซา)ของสหรัฐอเมริกา ยกเลิกขอใช้ท่าอากาศยานอู่ตะเภา เพื่อสำรวจชั้นบรรยา กาศ ช่วงมรสุม พร้อมนำเอกสารมาแสดง ประกอบด้วย 1.เอกสารลงนามความร่วมมือระหว่างนาซากับสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ และภูมิสารสนเทศ(จิสดา) 2.เอกสารของกระทรวงการต่างประเทศ ด่วนที่สุด เรื่องการอนุญาตให้นาซา เข้ามาดำเนินโครงการ ซึ่งเป็นหนังสือที่นำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)เพื่อขอให้ ครม. อนุมัติเห็นชอบ ตามที่ นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ เสนอ เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.ที่ผ่านมา 3.เอกสารของเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย ถึงรมว.ต่างประเทศของไทย เพื่อให้ตอบรับ และ เอกสารของนายสุรพงษ์ ที่เตรียมลงนามระหว่าง 2 ประเทศ รวมทั้งเอกสารของกองบัญชาการกองทัพไทยประทับตราด่วนที่สุดที่ กห.0300/1396 ลงวันที่ 25 มิ.ย.ที่ผ่านมา ระบุโครงการดังกล่าว เป็นประโยชน์ต่อส่วนร่วม แต่ควรศึกษารายละเอียดของโครงการ รวมถึงระเบียบข้อบังคับ เพื่อกำหนดขอบเขตมาตรการความควบคุม โดยคำนึงถึงผลกระทบด้านเทคโนโลยี สังคมจิตวิทยา ความมั่นคงและมิตรประเทศ มาแจกจ่ายให้สื่อ
นายถาวร กล่าวว่า หลังจากที่ชี้แจงเมื่อวันที่ 11 มิ.ย.ที่ผ่านมา ปรากฎว่ารัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ กลับให้ข่าวแก้เกี้ยวใส่ร้ายนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ และนายกษิต ภิรมย์ อดีต รมว.ต่างประเทศ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เพราะไม่ได้ขอความเห็นชอบต่อครม. นั้น ขอฝากไปบอกคนพูดว่า ไม่รู้เรื่อง และไม่ดูกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งยังไม่ได้ปฏิบัติ จึงไม่จำเป็น ต้องขอความเห็นชอบจาก ครม. เพราะเป็นอำนาจขององค์การมหาชนตามกฎหมายและจิสดาอยู่ภายใต้การกำกับของกระทรวงวิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อม เมื่อเห็นว่าเป็นประโยชน์ก็มีการอนุมัติและลงนาม แต่มีการเลือกตั้ง ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์แพ้
เมื่อรัฐบาลพรรคเพื่อไทย เข้ามาดำเนินการ กลับให้กระทรวงการต่างประเทศ โดยกรมอเมริกาและแปซิฟิก เป็นผู้รับผิดชอบประชุมร่วมกับนาซา รวมถึงเจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐฯ รวม 4 ครั้ง จึงได้ข้อยุติส่งเรื่องเพื่อลงนามในสัญญาระหว่างรัฐบาลไทยกับนาซา แต่ระหว่างการประชุม มีผอ.สำนักยุทธศาสตร์ความมั่นคงจากสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.)ตั้งข้อสังเกต 6 ข้อ เพื่อสอบถามรายละเอียดด้านความมั่นคงิ ซึ่งมี พล.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ดูแล
"อยากถามว่าพล.อ.สุกำพล ไปนอนหลับที่ไหนจึงออกมาเอะอะโวยวาย เหมือนไม่เคยเป็นทหาร ฝ่ายยุทธการ ซึ่งจริงๆ แล้วสุกำพลก่อนหน้าที่จะตัดหน้าข้ามหัวคนอื่นมาอยู่ในตำแหน่งนี้ อดีตก็เป็นแค่รองเจ้ากรมพลาธิการ และได้ดีเพราะพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯโดดข้ามหัวจากนายทหารจัดซื้อเสื้อผ้า รองเท้าให้ กำลังพล มาเป็นรองเจ้ากรมยุทธการและได้ดิบได้ดีมาโดยตลอด จึงขอถามว่า ไปนอนหลับที่ไหน เพราะหน่วยงานในสังกัดกังวลถึงความมั่นคงของชาติ แต่รมว.กลาโหมไม่รู้ เอาสำนึกความเป็นทหารไปไว้ไหน อย่ามาท้าดีเบตกับนายอภิสิทธิ์เลย มาดีเบตกับผมดีกว่า อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีการตีแผ่ว่า มีการตั้งพล.ท.นายหนึ่งมานั่งในตำแหน่งรองเลขาสมช. เพื่อจ่อขึ้นเป็นเลขาสมช. ซึ่งแสดงว่าเป็นการเริ่มเกาะกินประเทศไทยอีกคืบหนึ่งของระบอบทักษิณ"
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า 1.ทำไมหน่วยงานความมั่นคงที่นายกฯ เป็นประธานไม่เรียกประชุม สมช.เพื่อหารือ จึงชัดเจนว่านายกฯบริหารงานไม่เป็น ไม่ใช่มืออาชีพ มีประสบการณ์ในการขายโทรศัพท์มือถือ บริหารสื่อ แต่ไม่มีประสบการณ์ในการบริหารประเทศและความมั่นคง 2.กระทรวงวิทย์ฯ นายปลอดประสพ สุรัสวดี เป็น ดร.ด้านประมง มีความรู้ด้านปู ปลา ไม่ชำนาญด้านวิทยาศาสตร์ 3.รมว.ต่างประเทศ ไม่มีความรู้ด้านต่างประเทศ เงอะงะมาหลายรอบ ไม่เข้าใจพิธีการด้านต่างประเทศ 4.รมว.กลาโหมควรให้ความสำคัญงานด้านความมั่นคง โดยเฉพาะสื่อของจีนและรัสเซียที่ท้วงติงเรื่องนี้
นายถาวรยังได้เปิดเว็บไซต์ของบริษัทเชฟรอน ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ที่รับสัมปทานผูกขาดขุดเจาะน้ำมันและด้านพลังงาน โดยมีภาพผู้บริหารสูงสุดของนาซาและเชฟรอน จับมือเป็นพันธมิตรกันในการทำธุรกิจปกป้องและหาผลประโยชน์ในอุตสาหกรรมพลังงานด้วยกัน
เมื่อถามว่าจะนำข้อมูลนี้ไปใช้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในการเปิดสมัยประชุมหน้าหรือไม่ นายถาวร กล่าวว่า ไม่ หากไม่เดินเรื่องนี้ต่อ อย่างไรก็ตาม ล่าสุดที่จ.นครศรีธรรมราช บริษัทเชฟรอนมาก่อสร้างท่าเรือ และสนามบินมูลค่ากว่า 3.5 พันล้านบาท เพื่อรองรับการทำธุรกิจพลังงานที่ขุดเจาะในอ่าวไทยทั้งหมด ซึ่งขณะนี้มีการจับตามองคนใกล้ชิของพ.ต.ท.ทักษิณที่ไปจดทะเบียนตั้งบริษัทเกี่ยวข้องกับพลังงานและมีการโอนหุ้นสอด คล้องกับการเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ ว่าเป็นความบังเอิญหรือวางแผนล่วงหน้าและยืนยันว่า จะใช้กฎหมายเป็นอาวุธในการต่อสู้
ส่วนกรณี พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ระบุว่าจะทำการสอบสวนฝ่ายข่าวกรอง กรณีที่มีเอกสารด้านความมั่นคงหลุดมาถึงมือฝ่ายค้านนั้น นายถาวร กล่าวว่า แทนที่จะไปสอบผลกระทบด้านความมั่นคง ที่จะเกิดขึ้นหากมีความร่วมมือ แต่กลับไปเอาความผิดกับคนที่รักชาติ บ้านเมือง จึงอยากจะบอกคุณลุงว่า คนเป็นทหาร และเป็นรองนายกฯ ควรจะมีจิตสำนึกในการทำหน้าที่ปกป้องประโยชน์ของประเทศ มากกว่าจะหาตัวคนมาลงโทษ ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ ควรลาออกจากการเป็นรัฐมนตรี รวมถึง พล.อ.อ.สุกำพล ที่กล่าวโทษฝ่ายค้านตลอดเวลา
ด้าน นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงยืนยันว่า พรรคประชธิปัตย์ ไม่ได้บิดเบือนเอกสารข้อเท็จจริง ตามที่นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาด้านกฎหมายของ พ.ต.ท. ทักษิณ ระบุ เพราะเอกสารที่นำออกมาเปิดเผยเป็นเอกสารโดยตรงของสหรัฐฯ สถานทูต นาซา และสภาความมั่นคงแห่งชาติ แต่เป็นรัฐบาลเอง ที่ตอบคำถามไม่ได้ รัฐบาลชุดนี้ทำงานไม่ได้ก็โทษกฎหมาย ถ้ารัฐบาล หรือรัฐมนตีมีตรรกแบบนี้ประเทศล่มจมแน่นอน และขอให้นายนพดล ไปไถ่บาปไปสำนึกผิด เรื่องการลงนามไทยกัมพูชาจนทำให้สถานการณ์ตึงเครียดมาจนวันนี้ดีกว่า อาจจะพอให้อภัย
เมื่อถาม ว่า นายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์ฯ ระบุว่า รัฐบาลยังไม่สิ้นหวังและจะพยายามสุดความสามารถ ที่จะนำโครงการนี้กลับมา แม้จะต้องซมซานไปขอร้องก็จะยอมทำ นายชวนนท์ กล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการ คือเร่งแก้ไข ถ้าจะเปิดสภา ตามมาตรา 179 ทางพรรคไม่มีปัญหา
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิ ปัตย์ เรียกร้องให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯนำกรณีที่นาซาขอใช้สนามบินอู่ตะเภา เพื่อสำรวจสภาวะเมฆเข้าสู่รัฐสภาตามมติครม.พร้อมทั้งเรียกร้องให้นายกฯชี้แจงด้วยตัวเอง ในฐานะผู้นำรัฐบาล ว่า การนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภา ตามมาตรา 179 ถือเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แม้ว่าในปีนี้นาซาจะยกเลิกโครงการก็ตาม เพื่อแสดงให้เห็นถึงวุฒิภาวะของนายกฯ ที่พร้อมรับฟังความเห็นจากทุกฝ่าย แต่อยากเรียกร้องไปยังนายอภิสิทธิ์ และสมาชิกพรรคที่ออกมาคัดค้านเรื่องนี้ว่า ควรใช้เวทีสภาฯให้เป็นประโยชน์ ไม่ใช้ขยายผลทำให้เกิดความขัดแย้งและทำให้นาซาต้องยกเลิกโครงการไปอย่างถาวร ซึ่งจะทำให้ประเทศไทย และภูมิภาคอาเซียนเสียประโยชน์ และขอเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ ใช้กรณีนี้เป็นบทเรียนในการทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ให้เป็นมาตรฐานสากลไม่ใช่ค้านทุกเรื่องแบบรายวัน แต่ต้องค้านเพื่อประโยชน์ของบ้านเมือง


สยามรัฐ
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง