บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

สุดยอดบทความ เจาะขบวนการแม้วลวงโลก



เป็นฟอร์เวิร์ดเมล ที่อ้างว่าผู้เขียนบทความนี้เป็นชาวญี่ปุ่น

เขาวิเคราะห์ลัทธิแห่งการล่อลวง ที่เกิดจากทักษิณและลูกน้องได้อย่างเยี่ยมยอด

บทความแม้จะยาวไปหน่อย อยากขอให้ทุกท่านค่อยๆอ่านให้จบ จะทำให้เราชื่นชมผู้เขียนว่า วิเคราะห์ทักษิณและขบวนการได้อย่างยอดเยี่ยม!!

-----------------------------------------

บทความนี้สำคัญมาก เขียนโดยนักวิชาการชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่งที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย
อ่านแล้วช่วยก็อปปี้ไปโพสท์ หรือส่งอีเมล์ต่อ ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
จะช่วยชาติได้อย่างมหาศาล

ลัทธิสีแดง : ลัทธิแห่งการล่อลวง - กล่องดวงใจของทักษิณและ นปช.

ความสำเร็จทางการเมืองของทักษิณมาจากไหน?
เมื่อทักษิณเตรียมจะเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง เพื่อเตรียมเป็นนายกทักษิณได้
จ้างคนเขียนหนังสือเรื่อง "ตาดูดาว เท้าติดดิน" แล้วลงพิมพ์ในมติชนยาวต่อเนื่อง
หนังสือเล่มนั้นทำให้คนเกิดความเชื่อว่าทักษิณรวยแล้ว อยากช่วยชาติ จะไม่โกงกิน
จากนั้นทักษิณไปใช้พวกอดีตคอมมิวนิสต์ซึ่งเก่งในการหาความนิยมจากคนยากจน
และคนชนบทมาช่วยคิดหาวิธีจะเอาคะแนนเสียงจากคนเหล่านี้ ซึ่งก็ได้นโยบาย
แนวสังคมนิยมมา เรารู้จักกันต่อมาว่าเป็นนโยบายประชานิยม

ในระหว่างหาเสียงเลือกตั้ง และก่อนจะตั้งรัฐบาล ทักษิณบอกว่าจะเป็นรัฐบาลที่พูดความจริง
กับประชาชน จะไม่โกหก นโยบายและการบริหารหลายอย่างของทักษิณได้ผล คนจนได้จับ
เม็ดเงินจริงๆยิ่งเชื่อใหญ่ ทั้งในเรื่องความรู้ ความสามารถและความดี ดีไปหมด เก่งไปหมด
เมื่อเหตุการณ์ผ่านไป เราจึงได้เห็นธาตุแท้ของทักษิณกันแต่คนที่หลงเชื่อและนิยมชมชอบ
ทักษิณมองไม่เห็น ทุกวันนี้ก็ยังไม่เห็นเพราะรักเขาแล้ว เชื่อเขาแล้ว เชื่อเขาหมด
ความสามารถของทักษิณ อยู่ตรงที่ทำให้คนเชื่อได้จำนวนมาก

เมื่อทักษิณถูกปฏิวัติ
ทักษิณเริ่มต่อสู้เพื่อกลับมาครองอำนาจและพาตัวเองให้พ้นผิด
ทักษิณทำอย่างไรบ้าง
ทักษิณเป็นคนที่เห็นศักยภาพของธุรกิจสื่อสาร และสื่อมวลชน
ทักษิณอ่านและเข้าใจเรื่องของสังคมข่าวสาร (information society)
ทักษิณเคยพูดหรืออ้างอิงนักวิชาการไว้ในเรื่องที่ว่า

"ในโลกยุคข่าวสาร ใครที่ครอบครองข้อมูลข่าวสาร คนนั้นเป็นผู้ชนะ".

คนทั่วไปอาจตีความว่า เป็นการเข้าถึงความรู้หรือข่าวสาร จะทำให้รู้มากแล้วชนะ
แต่ทักษิณตีความว่า เข้าครอบครอง ควบคุม และบังคับข้อมูลข่าวสารให้เป็นไป
ตามที่ตัวต้องการต่างหาก
ถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็ต้องเรียกว่า control and manipulate information
ทักษิณชนะเลือกตั้งมาถล่มทลาย ก็เพราะความสามารถตรงนี้ ไม่ใช่เพราะเงิน
เราก็รู้ว่าถ้าเลือกตั้งวันนี้ เพื่อไทยก็จะชนะอีก เพราะคนยังหลงเชื่ออยู่
เขาไม่ต้องใช้เงินก็ชนะ ดังนั้น อาวุธของเขาจึงไม่ใช่เงิน
แต่เป็นข้อมูลข่าวสารที่เขาควบคุมบังคับอยู่ต่างหาก
เงินนั้นใช้ในการควบคุมบังคับข้อมูลข่าวสารเป็นสำคัญ
สิ่งที่ทักษิณทำ พวกเราเห็นอยู่แล้ว ได้แก่การตั้งกลุ่มเสื้อแดงขึ้นมา
ทีแรกเป็นแค่ไว้ต้านพันธมิตร แต่เมื่อเจอการโจมตีเปิดโปงของพันธมิตร
เสื้อแดงก็แปรรูป ซึ่งเป็นการแปรรูปที่แยบยลมาก คือการจัดตั้งเวทีใช้ชื่อว่า
"ความจริงวันนี้" เอาคู่กับสัญลักษณ์สีแดง
การตั้งรายการ "ความจริงวันนี้" คือการเริ่มต้นทำ "สงครามข้อมูลข่าวสาร"
(information warfare) เริ่มจากการอภิปรายของแกนนำ สามเกลอ วีระ จตุพร ณัฐวุฒิ ฯลฯ
รายการ "ความจริงวันนี้" เริ่มให้ความเท็จตั้งแต่วันแรก และต่อเนื่องตลอดมา

เรามักนึกถึงเงินของทักษิณ คิดว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ทักษิณมีฤทธิ์
แต่ฤทธิ์ของทักษิณจริงๆ มีที่มาจากความสามารถในการโกหก
ซึ่งเป็นสิ่งที่ทักษิณเก่งมาก มีทักษะสูงมาก เพราะฝึกมาตั้งแต่เด็กๆ
เป็นคนโกงที่โกหกเก่งที่สุด ใครที่เคยคุยกับทักษิณ หรือฟังทักษิณพูด
จะรู้ดีว่าได้เคลิบเคลิ้มไปแค่ไหน ไม่ว่าจะมีการศึกษาระดับไหนก็ต้องเคยเคลิ้มกันมาแล้วทั้งนั้น
นับประสาอะไรกับมวลชนของคนเสื้อแดง กว่าจะรู้ตัวก็สายกันแล้ว จะอย่างไรก็ตาม
ตอนนี้พวกเรารู้ตัวแล้ว แต่ยังมีคนที่ไม่รู้ตัวอีกมากมาย
ต้องช่วยให้เขาเห็นความจริงและรู้ตัวว่าถูกหลอกลวงอย่างไร ทักษิณจึงจะหมดฤทธิ์จริงๆ

เมษายน 2552 ทักษิณสามารถระดมคนได้เกือบแสนคน มากกว่าที่พันธมิตรเคยระดมได้
ทักษิณกะจะล้มรัฐบาลอภิสิทธิ์ โดยยั่วยุให้ใช้กำลังปราบปราม
จะได้กลายเป็นทรราชย์ขาดความชอบธรรม แต่โชคดีที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ปราบอย่างรอบคอบ
ไม่มีคนล้มตาย และมีสื่อต่างชาติคือ CNN เป็นพยานให้ โดยยืนยันซึ่งหน้าตอนที่ทักษิณ
ให้สัมภาษณ์ CNN ว่า ที่ทักษิณว่าคนตายเป็นร้อยนั้น ไม่เป็นความจริง เมษาเลือดของทักษิณ
จึงทำให้ทักษิณแพ้ไป นั่นคือ CNN จับโกหกทักษิณได้ต่อหน้าคนทั้งโลกที่ดู CNN อยู่
เห็นหรือยังว่า แพ้ชนะ ยุคนี้ อยู่ที่สงครามข่าวสาร

หลังจากทักษิณแพ้เมื่อเมษา 52 ถ้าเราสังเกตจะเห็นชัดเจนว่า ทักษิณวางแผนจะกลับมาอีก
ต้องดูว่าทักษิณลงทุนไปกับอะไรมากที่สุด แล้วใช้สิ่งที่ลงทุนไปทำงานอะไรให้ทักษิณมากที่สุด
ทักษิณให้เงินแกนนำ นปช. แน่นอน ให้เงิน ส.ส.เพื่อไทย แน่นอน ให้เงินหัวคะแนนแน่นอน
ต้องจ่ายเงินค่าใช้จ่ายในการจัดชุมนุม อภิปราย ทั้งค่าเดินทาง ค่าอาหาร ค่าเวที ฯลฯ แน่นอน
แต่ที่จ่ายมากที่สุด คือการสร้างเครื่องมือในการทำสงครามข่าวสาร

ทักษิณลงทุนอะไรอีกบ้างหลังสงกรานต์เลือด?
ตั้ง PTV ออกอากาศผ่านดาวเทียม และออกผ่านเว็บไซท์
เว็บไซท์ เสื้อแดง มีเยอะมาก ทักษิณสร้างทีมเรียกว่า นักรบไซเบอร์ ช่วยกันเผยแพร่ความเท็จ
ลองสำรวจดูว่ามีทั้งหมดกี่ เว็บไซท์ ทั้งที่ใช้ เซิร์ฟเวอร์ ในประเทศและ ต่างประเทศ
วิทยุชุมชน หนังสือพิมพ์และวารสารแดง สร้างคนหลงลมลวงได้มหาศาล
หนังสือเล่ม แบบ Where are you? ของหมวดเจี๊ยบ แกก็ไปหาทักษิณรับเงินมาเหมือนกัน
นอกจากนี้ยังมี Hi 5, Facebook, Twitter

สื่อในต่างประเทศ บริษัท Lobbyist ในอเมริกาไปตรวจสอบดูก็จะรู้ว่าบริษัทอะไร ช่วยนัดสื่อระดับโลก
ไปสัมภาษณ์ทักษิณ สร้างทั้งความน่าเชื่อถือ และการเอาความเท็จให้กับต่างชาติ
ทำให้คนในเมืองไทยเชื่อสนิทหนักเข้าไปอีก
เห็นไหมว่าฝรั่งยังเชื่อถือ รัฐบาลต่างชาติก็หลงลมไปหลายชาติ นึกว่าเก่งเศรษฐกิจ เชิญให้เป็นที่ปรึกษา
ฮุนเซนก็หลงลม แล้วก็ยังมีบริษัทหรือมูลนิธิอะไรที่ฮ่องกงชื่อ Sam Hui ก็เป็น lobbyist
ที่ช่วยสร้างภาพลักษณ์ความเก่งกาจให้ทักษิณด้วย
นักการเมือง/นักวิชาการ พวกบ้านเลขที่ 111 และนักวิชาการพวกมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
พวกนี้ก็เสื้อแดงทั้งนั้น การพูดของคนพวกนี้ก็สร้างความน่าเชื่อถือให้ทักษิณมากขึ้น

ส.ส.เพื่อไทย รวมทั้งว่าที่ผู้จะสมัคร ส.ส.เพื่อไทย ตลอดจนหัวคะแนน
พวกนี้ก็จะช่วยพูดปากต่อปากช่วยกันหลอกลวงราษฎรให้เชื่อว่าทักษิณดี ทักษิณเก่ง
ทักษิณถูกรังแก บ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย อภิสิทธิ์สั่งฆ่าประชาชน
อภิสิทธิ์สร้างฉากที่มหาดไทยเพราะไม่ได้อยู่ในรถที่ถูกทุบ ฯลฯ ความเท็จทั้งนั้น แต่คนก็เชื่อ
แกนนำในต่างจังหวัด อย่างขวัญชัย ที่อุดร หรือเพชรวรรต ที่เชียงใหม่และอีกหลายๆ จังหวัด
โรงเรียนการเมืองของ นปช. นี่เป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ฝึกแกนนำเพิ่มเติมเอาความเท็จบรรจุลง
ในหลักสูตร แล้ววางระบบการควบคุมสั่งการ ติดต่อสื่อสาร จ่ายเงิน และหาเหยื่อเพิ่มเสร็จสรรพ
ศึกษาต่อไปอาจจะเจอเครื่องมืออื่นๆ อีก แต่เท่าที่จำแนกให้ดูนี้ก็น่าจะพอแก่การประเมินได้แล้วว่า
เครื่องมือของการโฆษณาชวนเชื่อของทักษิณนั้น มหาศาลขนาดไหน และประสิทธิภาพสูงขนาดไหน
และพอจะประมาณได้หรือยังว่า ทักษิณ ทุ่มทุนลงไปขนาดไหน

จริงอยู่ทำทั้งหมดนี้ต้องใช้เงิน แต่ขอให้เห็นประเด็นให้ชัดว่า
เงินไม่ใช่ตัวความสามารถหลัก เงินถูกนำไปสร้างความสามารถในการหลอกลวงต่างหาก
แล้วเมื่อหลอกคนสำเร็จ จะใช้ให้คนทำอะไรให้ก็ได้ พูดขาวให้เป็นดำก็ได้ จะบอกว่าใครเลวก็ได้
สังเกตต่อไปจะเห็นว่าปีที่ผ่านมา ทักษิณทดลองเครื่องมือของสงคราม (war mechanism)
โดยลองทำ clip เสียงอภิสิทธิ์ ตัดต่อดื้อๆ ให้เหมือนกับสั่งให้ฆ่าผู้ชุมนุม แล้วปล่อยให้หลุดออกไป
สังเกตดูจะเห็นการทำงานของกลไกสงครามของทักษิณชัดเจน แกนนำเอาไปพูดในที่ชุมนุม
ส.ส.เพื่อไทยเอาไปพูดในสภา สื่อของทักษิณทุกสื่อเอาออกเผยแพร่ ความเท็จ 100%
ก็ยังสามารถทำให้คนจำนวนมากหลงเชื่อได้

ปีที่แล้วทั้งปี ทักษิณ phone in ไปทุกจังหวัดที่จัดการชุมนุม
เพื่อสร้างภาพและความเข้าใจ และความเชื่อของคนทุกจังหวัดให้ตรงกัน
ในประเด็นที่คิดมาอย่างดีแล้ว เช่น อำมาตยาธิปไตย รัฐบาลทหารตั้งสองมาตรฐาน
สู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริง ทักษิณถูกรังแก ทักษิณเป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตย
ช่วยกันทำประชาธิปไตยที่แท้จริงไว้ให้ลูกหลาน
หลอกลวงคนทั้งประเทศให้เชื่อว่า การออกมาเคลื่อนไหวนั้นเป็นการกระทำไปเพื่อชาติ
เป็นการกระทำที่รักชาติ เสียสละเพื่อชาติ ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของทักษิณ
ปีนี้จึงไม่แปลกว่าเมื่อเครื่องมือพร้อมแล้ว ทักษิณก็ลงมืออีก อย่างที่เราเห็นอยู่ในขณะนี้
ถ้าเอาเทป video หรือ phone link ของทักษิณมาดู ฟังไปจะพบว่า ทุกครั้งที่พูด
ทักษิณ จะเน้นว่า ตัวเองและเสื้อแดงพูดความจริง และรัฐบาลพูดเท็จ
และจะใช้เวลาตรงนี้ประมาณ 1 ใน 3 ของเวลาทั้งหมด เพื่อย้ำการหลอกลวงไม่ให้พลาด
จากนั้นแกนนำก็จะย้ำตามต่อไป คนฟังก็จะเคลิ้ม นึกว่ากำลังฟังความจริงที่ถูกปกปิดอยู่

ถ้าเช่นนั้น ขบวนการทั้งหมดของทักษิณ มีลักษณะเป็นอะไร?

คำตอบคือ เป็นลัทธินิกายชนิดหนึ่ง ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Cult
เหมือนกับโอมชินริเคียว ที่วางยาพิษคนที่สถานีรถใต้ตินที่ญี่ปุ่น หรือ James Jones
ที่หลอกให้สาวกฆ่าตัวตายจำนวนมาก โดยมีทักษิณ เป็นศาสดา มีแกนนำอย่างจตุพร
สามเกลอ และพวก ส.ส.ทั้งหลาย เป็นสมุนรับใช้ และราษฎร คนเสื้อแดงเป็นเหยื่อ
เพียงแต่ทักษิณ เป็น Cult ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในโลกเท่านั้น
ความสามารถของ Cult ทั้งหลาย คือความสามารถในการที่ทำให้สาวกเชื่อสนิท
ถึงขั้นสั่งให้ทำอะไรก็ได้ บางแห่งถึงกับให้ฆ่าตัวตายก็ยังทำตาม
ทักษิณอาจยังไม่ถึงขั้นทำให้คนฆ่าตัวตายได้ แต่ทักษิณหาสาวกได้มากกว่า cult อื่นๆ แน่
ดูลุงคนที่ขโมยเงินเมียมา 20,000บาท แล้วเดินทางมากรุงเทพฯ คนเดียว
เตรียมขี้วัวมาเสร็จ แล้วไปที่บ้านอภิสิทธิ์ แล้วขว้างขี้ใส่ โดยไม่ต้องมีใครสั่งเลย
ก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพของการหลอกลวงของทักษิณได้ชัดเจน ถ้าจะมีคนยอมตายเพื่อทักษิณ
ก็ไม่น่าจะเกินวิสัย และเรื่องนี้จะน่ากลัวเพราะอาจให้คนเผาตัวประท้วง หรือบุกเข้าทำร้าย
เจ้าหน้าที่ จนต้องปะทะกัน เป็นต้น

เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว มองเห็นกล่องดวงใจของทักษิณแล้วหรือยัง?

จะฆ่าทศกัณฐ์ ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกล่องยิงธนูใส่เอาดาบฟัน ก็ไม่ตาย
ต้องไปหากล่องดวงใจให้เจอ พอเจอแล้วแทง ทศกัณฐ์จึงจะตาย ทักษิณก็เหมือนกัน
ความสามารถในการหลอกลวงของทักษิณ คือกล่องดวงใจของทักษิณ
ถ้าทำลายความสามารถนี้ได้ ทักษิณก็จะหมดฤทธิ์ อย่าทำให้แกตายแบบเสียชีวิต
แต่ควรให้แกมีชีวิตอยู่ และทำให้คนที่ถูกแกหลอกลวงได้ตาสว่าง
เพื่อให้มองเห็นว่าถูกทักษิณหลอกมาอย่างไร และกำลังหลอกให้ทำอะไรอยู่
เมื่อเหยื่อตาสว่าง ก็จะมองเห็นธาตุแท้ของทักษิณ
แล้วให้ทักษิณรับกรรมจากคนที่ตัวเองล่อลวงไว้นั้น แกสมควรจะได้รับสิ่งที่ทำลงไป

การทำลายความสามารถในการหลอกลวงของทักษิณ?

ทำได้ด้วยการพิสูจน์อย่างไม่มีข้อสงสัยในเรื่องที่ทักษิณกับสมุน โกหกหลอกลวง
คนเสื้อแดง ต้องใช้ความจริงเท่านั้นในการพิสูจน์ ต้องไม่ใส่ร้าย
และต้องไม่ใช้เรื่องที่ยังไม่ชัดเจน เอาเฉพาะเรื่องที่แกโกหกหลอกลวงอย่างแน่นอน
ก็มีหลายร้อยเรื่องแล้ว
ประเด็นอยู่ที่การชี้ให้เห็นว่า ทักษิณนั้น หลอกลวงคนที่รักทักษิณนั้นเอง
และอธิบายให้เห็นว่า หลอกอย่างไร แล้วทักษิณจะได้อะไรจากการที่คนเชื่อ
เราต้องไม่หลงประเด็น หลายอย่างที่ทักษิณทำตอนเป็นนายก แล้วราษฎรได้ประโยชน์
ต้องยอมรับว่ามีอยู่ แต่ต้องชี้ให้เห็นว่า ส่วนที่ทำชั่วมีอะไรบ้าง
และที่ทำดีนั้น ทำได้อย่างไร เพื่อให้ได้อะไรในที่สุด ส่วนที่โกหกหลอกลวงอยู่ตรงไหน

ตัวอย่างการล่อลวงของทักษิณและแกนนำ นปช.

ประเด็นอำมาตยาธิปไตย

เรื่องนี้เป็นเท็จอย่างไร ลองพิจารณาดู
คำนี้ในตำรารัฐศาสตร์ไม่มี ถ้าในภาษาอังกฤษอาจเทียบได้ 2 คำ คือ Aristocracy กับ
Oligarchy ซึ่งหมายถึงคนกลุ่มหนึ่งที่มีอภิสิทธิ์หน่อย เป็นผู้ปกครอง แต่ความหมายตามนัย
ของทักษิณคงหมายถึงพระเจ้าอยู่หัว หรือ พลเอกเปรม ว่ามีอิทธิพลครอบงำรัฐบาลและ
ข้าราชการต่างๆ ทั้งที่ไม่ควรมีใครมีอำนาจอย่างนี้
คำว่าอำมาตยาธิปไตย ประดิษฐ์ขึ้นโดยจักรภพ แล้วทักษิณรับมาใช้ ให้ นปช.ขยายต่อ
จนคนนึกว่ามีอยู่จริงๆ
ทักษิณเรียกร้องให้ยุบสภา เลือกตั้งใหม่ แล้วแก้กฎหมายให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
หรือบริหารให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง หรือที่เรียกร้องมาตลอดคือจะเอารัฐธรรมนูญ 2540
มาใช้ ก็รัฐธรรมนูญ 2540 ไม่ใช่หรือที่ใช้อยู่ตอนที่ทักษิณบอกว่า อำมาตย์สั่งทหารให้โค่นทักษิณ
ดังนั้นถึงใช้รัฐธรรมนูญ 2540 ก็ไม่สามารถป้องกันอำมาตย์ได้ เห็นๆอยู่
การเรียกร้องเอารัฐธรรมนูญ 2540 มาใช้ จึงเป็นการหลอกลวง ที่ต้องการจริงๆ
จะเกี่ยวกับการให้ทักษิณพ้นผิด และการโกงง่ายกว่ารัฐธรรมนูญปัจจุบันต่างหาก
รัฐธรรมนูญของไทยไม่ว่าฉบับไหนไม่มีเขียนให้อำนาจอำมาตย์ไว้
ความจริงการที่ใครสักคนสามารถสั่งการหรือแนะนำคนให้ทำตามที่ตัวแนะนำได้โดยไม่ต้องมีอำนาจ
ตามกฎหมายรองรับนั้นเรียกว่าบารมี แต่จะเกิดขึ้นได้เพราะคนที่เชื่อฟังเขาให้ความเคารพนับถือ
เท่านั้น ถ้าพลเอกเปรม ได้รับความเชื่อถือจากนักการเมืองและข้าราชการ
จะเอากฎหมายอะไรไปห้ามไม่ให้เขาเชื่อถือ จะสั่งอย่างไรไม่ให้พลเอกเปรม
ไปพูดจากับคนอื่น มันเป็นสิทธิเสรีภาพของเขา ดังนั้น การแก้รัฐธรรมนูญจึงไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้
การออกมาชุมนุมเรียกร้องจึงเป็นการหลอกลวงแท้ๆ

เมื่อ phone in 2-3 วันมานี้ ทักษิณอ้างว่าต้องการแก้ระบบ
ไม่ได้เจาะจงอำมาตย์คนไหน ถ้าอย่างนั้น ระบบอำมาตยาธิปไตยหมายความว่าอย่างไร?
หมายความถึงการที่อำมาตย์ ซึ่งเป็นผู้มีบารมีที่ไม่มีอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ
ไปบอกให้รัฐบาลหรือข้าราชการทำอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่ตัวต้องการใช่หรือไม่
ถ้าใช่ ฐานะปัจจุบันของทักษิณก็เป็นผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ ที่กำลังสั่งการให้
สส.เพื่อไทย ทำตามที่ตัวเองต้องการอยู่
ก็ต้องเป็นระบบอำมาตยาธิปไตยที่ตัวเองกำลังต่อต้านเหมือนกัน ใช่หรือไม่
นี่ก็แสดงถึงความเท็จที่ทักษิณกำลังหลอกลวงคนอยู่ ชัดเจน

สองมาตรฐานคือ??

เรื่องนี้ทักษิณเอามาพูดหลายตัวอย่างมาก แต่เอาที่จตุพรพูดกับอภิสิทธิ์ตอนเจรจากันออกทีวี
ซึ่งจตุพรบอกว่ารัฐบาลนี้ได้รับการสนับสนุนจากทหาร เมื่อสมัครเป็นนายก ออก พรก.ฉุกเฉิน
แล้วสั่งให้ทหารสลาย mob พันธมิตร แต่ทหารไม่ทำ พออภิสิทธิ์มาเป็นนายก
ทหารช่วยทำทุกอย่าง เป็นเรื่องสองมาตรฐาน เรื่องนี้เป็นจริงหรือเท็จอย่างไร
ตอนที่สมัครเป็นนายก พันธมิตรยึดทำเนียบ สมัครประกาศใช้
พรก.แล้วสั่งการให้ดำเนินการกับกลุ่มผู้ชุมนุม แล้วพลเอกอนุพงศ์
นำกำลังเข้ามาแต่ไม่ดำเนินการเพื่อสลายการชุมนุม ถ้าไปดูให้ดีจะเห็นว่า
สมัครไม่ได้สั่งให้ชัดเจนว่าจะให้ทำอะไร อนุพงศ์ก็เลยไม่ทำ
บอกว่าให้สั่งให้ชัดเจน สมัครไม่กล้าสั่ง คงรู้และกลัวจะต้องรับผิดชอบ
ก็เลยกล่าวหาว่าทหารไม่ทำหน้าที่ กลับไปดูสัมภาษณ์และหลักฐานเอกสารดีๆ
จะเห็นชัด ตอนสมชายยิ่งแล้วใหญ่ สั่งให้ตำรวจสลายการปิดล้อมสภาเมื่อ 7 ตุลา
ตำรวจทำรุนแรงเกิดเจ็บตาย สมชายโยนความผิดให้ตำรวจ บอกว่าตัวไม่ได้สั่ง
บิ๊กจิ๋วสั่ง บิ๊กจิ๋วบอกผมสั่งแต่ไม่ได้สั่งให้ทำแบบนั้น
พัชรวาทย์บอกเขาสั่งข้ามหัวผม สรุปแล้วคนที่รับผิดคือสุชาติ เหมือนแก้ว
ซึ่งเป็น ผบช.น.ในขณะนั้น ถูกดำเนินคดีทั้งทางวินัยและทางอาญา
หลังจากนั้น เมื่อพวกพันธมิตรไปยึดสนามบิน รัฐบาลสมชายประชุม
จะให้ตำรวจไปจัดการสลาย mob จากสนามบิน ตำรวจคือสุชาติ เหมือนแก้ว บอกกับ
ครม.ว่าถ้าจะให้ตำรวจทำต้องสั่งให้ชัดเจน มีผู้รับผิดชอบชัดเจน
ไม่งั้นนักการเมืองไม่ต้องรับผิด ตำรวจต้องรับผิด ครม.สมชายไม่กล้าสั่งเอง
โยนไปให้คณะกรรมการติดตามสถานการณ์ด้านความมั่นคง ซึ่งรัฐบาลตั้งขึ้น มี
ผบ.ทบ.เป็นประธาน และปลัดทุกกระทรวงเป็นกรรมการ ให้เอาไปพิจารณา
โดยต้องการให้กรรมการชุดนี้เสนอแนะให้สลาย mob โดยเสนอวิธีการมาให้เลย
ปรากฎว่าคณะกรรมการชุดนั้นประชุมเสร็จแล้วมีมติว่า รัฐบาลยุบสภาเสียดีกว่า
นายกสมชายกลับจากเปรูคืนนั้นบินไปลงที่เชียงใหม่ พอ 4 ทุ่ม ไม่รู้ว่าปรึกษาใคร
ก็ออกแถลงการณ์สดประกาศว่าไม่ยุบสภา ไม่ลาออก
ทั้งหมดนี่ จะเห็นว่า ความจริงทหารตำรวจไม่ได้ใส่เกียร์ว่างเพราะไม่เต็มใจทำงานให้
หรือมีใครสั่งไม่ให้ร่วมมือ แต่เป็นเพราะนักการเมืองไม่รับผิดชอบ ต้องการจะให้ข้าราชการ
ประจำปราบ แต่ตัวเองไม่ต้องรับผิด เขาเลยไม่ทำ เพราะทำแล้วจะต้องกลายเป็นคนผิด

มาดูสมัยอภิสิทธิ์บ้าง เมื่ออริสม้นต์นำเสื้อแดงบุกการประชุม Summit
ที่พัทยาจะเห็นว่า ตำรวจและทหารเรืออีกจำนวนมากก็เกียร์ว่างเหมือนกั เพราะตอนนั้น
ฝ่ายรัฐบาลไม้ได้ออกมาแสดงตัวว่าจะรับผิดชอบหากเกิดอะไรขึ้น วางกำลังไว้แต่กฎการใช้กำลัง
ไม่ชัดเจน คำสั่งให้ปฏิบัติอย่างไร เพียงใด ไม่ชัดเจน เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้
การประชุมก็ล่ม

*ถ้าอำมาตย์ค้ำอภิสิทธิ์จริง ตำรวจและทหารก็คงปฏิบัติหน้าที่เข้มแข็งกว่านั้นแน่นอน***

บ่ายวันนั้น อภิสิทธิ์ประกาศใช้ภาวะฉุกเฉิน แต่ mob ก็สลายไปแล้ว
อย่างไรก็ตามคืนวันนั้นรัฐบาลประชุมกับฝ่ายตำรวจและทหาร
อภิสิทธิ์แจ้งชัดเจนว่าการตัดสินใจต่อจากนี้ เป็นการตัดสินใจของรัฐบาล
รัฐบาลเป็นผู้ออกคำสั่ง และจะรับผิดชอบต่อการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ ชัดเจน ออกTV ด้วย
หลังจากนั้น ทหารและตำรวจจึงปฏิบัติตามคำสั่ง เอาเทปเหตุการณ์มาดูอีกทีก็จะเห็นชัดเจน

การกล่าวหาว่าอำมาตย์สั่งทหารให้ค้ำอภิสิทธิ์จึงเป็นความเท็จ!

การกล่าวหาว่าทหารและตำรวจใช้สองมาตรฐานต่อคนเสื้อเหลืองและเสื้อแดงจึงเป็นเท็จ
แต่ถ้าบอกว่าเป็นต่างมาตรฐานหรือไม่ ต้องตอบว่าต่าง เพราะรัฐบาลของนายสมัครและนายสมชาย
ไม่กล้ารับผิดจากการสั่งงานของตัว จึงไม่ได้รับความร่วมมือจากทหารตำรวจ แต่รัฐบาล
ของนายอภิสิทธิ์ออกมาพร้อมที่จะรับผิด และได้รับความร่วมมือ มาตรฐานต่างกันตรงนี้ต่างหาก
ความเท็จที่ทักษิณกับสมุนเอาออกมาปั่นหัวประชาชนในเรื่องนี้
ทำให้คนคิดว่ามีความไม่ยุติธรรมจริงๆ จึงพากันออกมาต่อสู้เพื่อความยุติธรรม
เห็นภาพของการล่อลวงชัดเจนหรือยัง เป็นการจงใจสร้างเรื่องเท็จไปล่อลวงเพื่อใช้คนเหล่านั้น
คนที่รักทักษิณ เชื่อในทักษิณ รักประชาธิปไตย รักความเป็นธรรม ให้เป็นเครื่องมือของทักษิณ
หลอกให้เขานึกว่าที่เขาทำตามนั้น เพื่อประชาธิปไตย เพื่อบ้านเมือง

ทหารจะปฏิวัติ ต้องออกมาต่อต้านการปฏิวัติ??

เรื่องนี้ทักษิณกับสมุนที่เป็นแกนนำใช้หลอกลวงมวลชนมาตลอด ข้อพิสูจน์ที่เป็นจริงของเรื่องนี้ คือ
ตั้งแต่อภิสิทธิ์มาเป็นนายก ทักษิณและแกนนำ นปช.ก็ปล่อยข่าวลือว่าทหารจะปฏิว้ติมาตลอด
ถ้าเอาที่พูดบนเวที ที่พูดในสภา ที่ออก TV เสื้อแดงมานับดู ก็จะพบว่ามีการหลอกมวลชนของตัวเอง
ว่าทหารจะปฏิวัติมาแล้ว เป็นร้อยๆ ครั้ง เฉพาะจตุพรคนเดียวก็นับไม่ไหวแล้ว และทหารก็ยังไม่ได้ปฏิวัติ
ความจริงทหารที่ถูกกล่าวหา เพราะบางครั้งระบุชื่อเลย เช่นพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา เป็นต้น
น่าจะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผู้กล่าวหา เพื่อทำให้ผู้กล่าวหาต้องออกมาขอโทษต่อสาธารณชน
ยอมรับว่าได้โกหก
ถ้าเราทำอย่างนี้ คนก็จะเริ่มเห็นว่า ทักษิณโกหก นปช.โกหก เพื่อจะลวงล่อให้ประชาชนก่อเหตุ

ทักษิณเป็นประชาธิปไตย ทักษิณเป็นสัญลักษณ์ของการถูกทำลาย ถูกรังแก?

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ชี้มุมโกหกหลอกลวงของทักษิณยากหน่อย
สำหรับคนมีการศึกษาดีหรือเรียนทางรัฐศาสตร์มาจะเข้าใจง่ายมาก
แต่คนที่ไม่ได้เรียนมาจะไม่ค่อยเข้าใจ เพราะการใช้รูปแบบของการเมืองที่มีการเลือกตั้งจะทำให้
คนเข้าใจว่าการที่ชนะเลือกตั้งแล้วเข้ามาปกครองประเทศ ก็เป็นไปตามประชาธิปไตยแล้ว
แต่ต้องเข้าใจลึกกว่านั้นนิดหนึ่งว่า การเป็นประชาธิปไตยนั้น
นอกเหนือจากการเลือกตั้งแล้ว จะต้องมีลักษณะอื่นๆ ที่จำเป็นด้วย เช่น
การที่นักการเมืองทำการเพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่, การแบ่งแยกอำนาจ,
การตัดสินใจโดยสภา, การมีอิสระของศาล เป็นต้น ซึ่งในประเด็นอื่นๆ
นอกจากการชนะเลือกตั้งมาแล้ว ทักษิณละเมิดหมดเลย นับตั้งแต่รวบอำนาจไว้กับตัว
ซื้อพรรคการเมืองอื่นเข้าร่วม ติดสินบนศาล สั่งการ ส.ว.ได้หมด
แต่งตั้งญาติและเพื่อนเข้าตำแหน่งสำคัญในวงราชการ
งานประมูลทั้งปวงของรัฐให้น้องสาวชื่อเจ๊แดง ชี้เป็นชี้ตายได้หมด ผูกขาดธุรกิจ
ถึงขั้นแก้กฎหมายหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง ซึ่งเป็นการรวบอำนาจเด็ดขาดไว้กับตัว
ทำให้สาระของรัฐบาลทักษิณ เป็นรัฐบาล "เผด็จการโดยรัฐสภา" เหมือนกับ Hitler
ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งชนะเลือกตั้งมาเหมือนกัน น่าจะเป็นประชาธิปไตย
แต่ต่อมาแกรวบอำนาจจากสภาและทุกอย่างมาไว้ที่ตัว
ซึ่งเราทุกคนก็รู้ดีว่า Hitler คือจอมเผด็จการที่กุมอำนาจทุกด้านในเยอรมันไว้กับตัวทั้งหมด
จนทั้งโลกต้องทำสงครามโลกจึงจะปราบ Hitler ซึ่งชนะเลือกตั้งลงไปได้
ดังนั้นทักษิณ จึงไม่เป็นประชาธิปไตย แต่เป็นสัญลักษณ์ของ "เผด็จการโดยรัฐสภา"
ต่างหาก เป็นตัวอย่างของการฉ้อฉลในระบอบประชาธิปไตย
ส่วนที่ว่าแกถูกทำลายถูกรังแกนั้น ไปดูเอาเองว่าใครรังแกแกอย่างไร
อธิบายให้มวลชนเสื้อแดงที่เมาหมัดฟัง คงไม่ยากนัก

นปช.พูดความจริง สื่อถูกบังคับให้บิดเบือน?

เรื่องนี้สำคัญที่สุด เป็นหัวใจของทักษิณและ นปช. เกือบ 100% ของสิ่งที่พูดใน TV
และเวทีของ นปช.ล้วนเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง และสามารถเอาเทปมาดู
แล้วทำความจริงเปรียบเทียบเพื่อให้มวลชนคนเสื้อแดงเห็นความจริงได้จำนวนมาก
และเป็นสิ่งที่เราต้องทำหลังจากการแก้วิกฤตเมษาปี 2553 ไปแล้ว อย่างน้อยๆสักปีสองปี
กว่าคนจะตาสว่าง อาจต้องนานกว่านั้นด้วยซ้ำ การโกหกบิดเบือนในเรื่องนี้
ทำให้ดูเหมือนว่าทักษิณพูดความจริง

อภิสิทธิ์สั่งฆ่าประชาชน?
กรณี Clip เสียงตัดต่อนี้ ได้อธิบายไว้แล้วข้างต้น แต่ยังต้องนำเอาความจริงไปสู่ประชาชน
ที่ถูกล่อลวงให้เห็นให้ชัดให้ได้

*เปรมเป็นคนวางแผนรัฐประหาร??

เรื่องนี้เป็นสาเหตุของการประดิษฐ์ศัพท์ที่เรียกว่าอำมาตยาธิปไตย
ซึ่งเราต้องอธิบายให้ดี ความจริงที่เห็นได้คือพลเอกเปรม ออกมาด่าทักษิณ แน่นอน
ที่เหลือที่พลเอกพัลลภ ไปเล่าให้ทักษิณฟัง ไม่มีใครพิสูจน์อะไรได้
พัลลภพูดอะไรก็ได้ให้ตัวเองได้เงิน แต่ทักษิณเอาไปทึกทักว่าจริง
แล้วเอาไปหลอกมวลชนของตัวเองว่าพลเอกเปรม เป็นคนวางแผนปฏิวัติ ซึ่งไม่แฟร์!!
การที่พลเอกเปรมพูดแล้วทำให้เกิดการปฏิวัติในเวลาต่อมานั้น
ไม่ได้หมายความว่าพลเอกเปรมวางแผน แต่ความที่เป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมือง
เมื่อด่าทักษิณแล้ว ทำให้การปฏิวัติขับไล่ทักษิณเกิดขึ้นได้
ซึ่งความจริงมองว่าเป็นการฉวยโอกาสของ คมช.ก็ได้
อย่างไรก็ตามความเลวของทักษิณก็สมควรแก่การถูกล้มล้าง
เห็นได้จากการที่ประชาชนเอาดอกไม้ไปมอบให้ทหารที่ปฏิวัติ แต่ในที่สุดการปฏิวัติของ คมช.
กลายเป็นประโยชน์แก่ทักษิณ เพราะเอาไปอ้างได้ว่าตัวเองได้รับเลือกตั้งแล้วถูกล้มล้าง
จากการรัฐประหาร กลายเป็นความชอบธรรมของทักษิณที่จะเอาไปอ้างได้กับคนไทย
และคนที่ออกเสียงเลือกทักษิณมา รวมทั้งไปอ้างกับคนทั่วโลกด้วย
แต่ประเด็นก็คือ การอ้างว่าพลเอกเปรมวางแผนรัฐประหารนั้น
เป็นการกล่าวหาที่ไม่มีหลักฐาน ไม่เคยมีใครยืนยันได้
มองในมุมหนึ่งก็เป็นศาลเตี้ยที่ผู้ถูกกล่าวหาไม่เคยมีโอกาสแก้ตัวเลย
แต่การพูดย้ำกันเป็นร้อยๆพันๆ ครั้งโดยทักษิณกับสมุน ก็ทำให้คนหลงเชื่อได้
แต่สิ่งที่ตามมาคือ คนเกลียดพลเอกเปรมทั้งที่ไม่รู้ความจริง
และไม่เป็นธรรมกับพลเอกเปรมที่ได้ประกอบคุณงามความดีมาตลอดชีวิต
มากกว่าทักษิณหลายเท่า และพลเอกเปรมก็ไม่เคยตอบโต้หรืออธิบายหรือแก้ตัวเลย
สังคมไทยเราปล่อยให้คนดีถูกทำร้ายจิตใจโดยไม่ช่วยเหลือเห็นใจกันเลย น่าเศร้า
การอธิบายเรื่องนี้ให้มวลชนเสื้อแดงทราบ
คงต้องใช้วิธีตั้งคำถามให้พวกเขาสำรวจจิตใจของตัวเองอาจจะพอได้

ทหารตั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์?

อันนี้เป็นข้อกล่าวหาที่แก้ง่ายมาก การที่ทหารสนับสนุนให้มีการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลนั้น
เกิดขึ้นหลังจากการล้มของรัฐบาลพรรคพลังประชาชน 2 รัฐบาล
และมีความขัดแย้งสูงในบ้านเมือง เมื่อเปลี่ยนขั้วแล้ว บ้านเมืองสงบขึ้นจริงอยู่ระยะหนึ่ง
ทำให้การที่ฝ่ายทหารสนับสนุนการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลครั้งนั้น
เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อความสงบของบ้านเมืองจริง

หลังจากที่สามารถฟันฝ่าการเผาเมืองของทักษิณเมื่อเมษา 2552 มาได้
ปัจจุบันที่ ทักษิณและ นปช.สามารถล่อลวงคนให้หลงเชื่อได้จำนวนมาก
จึงทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองขึ้นมาอีก และโดยที่รัฐบาลไม่ได้เฉลียวใจระวัง
ป้องกันต่อต้านมาตั้งแต่ต้น ในขณะนี้จึงต้องกลายเป็นฝ่ายตั้งรับอย่างลำบากอีก

การอธิบายเรื่องนี้ทำได้ไม่ยาก เพียงตั้งคำถามให้กับ นปช.และพรรคเพื่อไทย
ว่าเหตุผลที่ทหารไม่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยเพราะอะไร
เพราะพรรคเพื่อไทยเป็นเครื่องมือของทักษิณ เป็นพรรคที่เอาความเท็จไปพูดในสภา
เช่นกรณีกล่าวหาว่าทหารฆ่าคนตายช่วงสงกรานต์ 2552 หรือกรณี clip เสียงที่ทำขึ้นมาใส่ร้าย
อภิสิทธิ์ แล้วเอาไปพูดออกอากาสในสภาราวกับเป็นเรื่องจริง
เพราะต้องการสร้างเรื่องใส่ร้ายให้คนเกลียดชังรัฐบาล แล้วจะให้ทหารสนับสนุนได้อย่างไร
ทุกเรื่อง ทักษิณกับสมุน ก็เอาความเท็จไปหลอกลวงมวลชนของตัวเองทั้งนั้น

เศรษฐกิจแย่ลง สู้สมัยทักษิณไม่ได้?

เรื่องนี้ชี้แจงง่ายที่สุด เมื่อวันก่อน รมว.คลังได้แสดงตัวเลขที่ทำให้เห็นว่า
รัฐบาลนี้ มีผลงานเหนือ รัฐบาลทักษิณในทุกหัวข้อ ทั้งที่อยู่ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก
และถูกทักษิณเตะตัดขาตลอดเวลา ทักษิณพูดออก วิดีโอลิงค์ ว่า ขณะนี้เศรษฐกิจแย่
ซึ่งเป็นความเท็จ เพราะเศรษฐกิจกำลังดีขึ้น ความจริงก็คือทักษิณกลัวว่า หากไม่รีบล้มรัฐบาล
แล้วเลือกตั้งตอนนี้ คนจะหันไปนิยมรัฐบาลมากขึ้น จึงต้องทำลายทุกวิถีทาง รวมทั้งก่อเรื่อง
ให้เศรษฐกิจกระทบกระเทือนด้วย ซึ่งจะเห็นเล่ห์กลของทักษิณอย่างชัดเจน

ที่ยกตัวอย่างมานี้เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น
เพียงต้องการพิสูจน์ให้เห็นว่า ทักษิณ กับ นปช. และ ส.ส.เพื่อไทย
ร่วมมือกันให้ความเท็จ โดยจงใจ และวางแผนไว้ล่วงหน้า
เพื่อหลอกลวงมวลชนของตัวเองให้ออกมาเคลื่อนไหวและทำตามที่บงการ
แม้จะให้ทำสิ่งที่ผิดกฏหมายก็ตาม
หวังว่าผู้อ่านคงจะเห็นความสำคัญของการช่วยกันเปิดโปงการล่อลวงของทักษิณกับสมุน
ในทุกเรื่องทุกมุม ทุกวงการ ทุกเวที จนกลายเป็นกระแสนำของสังคม
มีคนช่วยกันเปิดโปงเป็นหมื่นๆ คน ร้อยๆ กลุ่ม รัฐบาลทำคนเดียวไม่พอ
แต่รัฐบาลต้องเป็นตัวนำ และผู้คนสนับสนุนช่วยกัน ถ้าทำใน ระดับที่เล็กกว่านี้
อาจจะไม่เพียงพอที่จะรับมือกับภัยคุกคามต่อชาติในครั้งนี้

*สรุปส่งท้าย***
สิ่งสำคัญที่เป็นหัวใจของทักษิณกับสมุน คือการล่อลวงที่มีการวางแผนและดำเนินการ
อย่างเป็นระบบ ซึ่งจะเห็นว่าเรื่องเท็จที่ปั้นแต่งขึ้นมานั้น ได้มีการวางแผนประดิษฐ์ออกแบบมา
อย่างรอบคอบ ทำให้เกิดความสำเร็จอย่างที่เห็นกันอยู่
หากเราไม่ทำลายความสามารถในการล่อลวงนี้ เราจะไม่มีวันชนะทักษิณกับสมุนได้อย่างเด็ดขาด
ไม่ว่าเราจะใช้วิธีอื่นใดอีกเท่าไรก็ตาม และความแตกแยกในบ้านเมืองก็จะดำรงอยู่
และอาจจะขยายต่อไปอีก เพราะคนจะไม่รู้ว่าอะไรจริงอะไรเท็จ
ต่างฝ่ายก็จะเชื่อตามข้อมูลข่าวสารที่ตัวเองเสพอยู่
และเราจะไม่มีวันก้าวล่วงความแตกแยกนี้ไปได้ ต่อให้ทักษิณตายลงไปก็ตาม
ฉะนั้นต้องแก้ไขเสียก่อนที่ทักษิณจะตาย สู้กันซึ่งๆ หน้าให้เห็นชัดว่าใครโกหก
ใครพูดจริง ให้คนค่อยๆ เห็น
จริงอยู่อาจจะยาก และอาจจะต้องใช้เวลานาน
แต่ถ้าไม่เริ่มต้นทำและอดทนทำจนกว่าจะเป็นผลสำเร็จ เราก็สิ้นชาติ

*หลักใหญ่มี 3 ข้อเท่านั้น
1.เปิดโปงการโกหกให้ ความเท็จของทักษิณกับสมุน
2.ชี้ให้เห็นว่าความเท็จเหล่านั้น ใช้หลอกลวงมวลชนของตัวเอง
3.เราใช้ความจริงที่ พิสูจน์ได้เท่านั้นในการเปิดโปงนี้ และต้องไม่บิดเบือน

ถ้าเราทำสำเร็จ ตัวชี้วัดจะอยู่ที่การทำให้มวลชนคนเสื้อแดงที่ถูกหลอกลวงได้ตาสว่าง
เห็นความจริง แล้วหันไปโกรธแค้นทักษิณกับสมุน เราจะเห็นสภาพนั้นเกิดขึ้นได้ไม่ยาก
และจะทำให้ความแตกแยกของคนในชาติจบลงได้ด้วย
การเปิดโปงความโกหกหลอกลวงของทักษิณและ สมุน เป็นสิ่งที่ต้องทำ ไม่ทำไม่ได้
และต้องทำให้มากเท่าๆ กับที่ทักษิณทำ ไม่เช่นนั้นคนจะหลงเชื่อทักษิณต่อไป
เราจะไม่มีวันแก้ปัญหาได้
ตอนนี้รัฐบาลและคนรู้ทันทักษิณ แทบไม่ได้ทำเลย อย่างมากแค่ด่าๆ ไป
แต่กลุ่มเป้าหมายที่เราต้องพูดด้วยคือมวลชนของคนเสื้อแดง
พี่น้องร่วมชาติของเราที่ตกเป็นเหยื่อของทักษิณ ถ้าเราละทิ้งเขา ไม่ช่วยเขา
เขาก็จะกลายเป็นทาสผู้ซื่อสัตย์ของทักษิณตลอดไป

ต้องให้ความจริง ปรากฏจนชัดแจ้งต่อคนเสื้อแดงที่เป็นเหยื่อให้ได้!!
"

รัฐประหารซ้อนโดยกระบวนการกฎหมายเป็นวาทศิลป์ที่ทำลายระบบนิติรัฐ ปิดกั้นการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ

   โดย ยินดี วัชรพงศ์ ต่อสุวรรณ  

  จากการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ซึ่งมีผลการนับคะแนนพรรคเพื่อไทยประสบความสำเร็จได้ ส.ส.มา 265 จากทั้งหมด 500 ในระหว่างระยะเวลาที่รอการพิจารณาของ กกต.เพื่อรับรองผลการเลือกตั้งซึ่งมีระยะเวลา 30 วันนั้น ก็มีข่าวที่เกิดขึ้นในต่างประเทศและนำมาขยายผลภายในประเทศทำนองว่า การตรวจสอบของ กกต.เพื่อรับรองผลการเลือกตั้งนั้น เป็นการรัฐประหารโดยกฎหมาย ซึ่ง ต่อมาผู้เขียนก็ได้อ่านคอลัมน์หนังสือพิมพ์มติชน ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ชั้นนำที่มีชื่อในการเสนอข้อเท็จจริงและในทางวิชาการ ซึ่งเป็นที่ยอมรับของสังคมในการติดตามข่าวสารบ้านเมือง และในการแสวงหาความรู้ได้อย่างหลากหลายในหนังสือพิมพ์ดังกล่าว
      
       ในคอลัมน์ดังกล่าวใช้ชื่อว่า “รัฐประหารซ้อนโดยกระบวนการกฎหมาย” โดย ในเนื้อหาสาระนั้นจะกล่าวถึงการปฏิวัติรัฐประหารที่ได้เกิดขึ้นในเดือน กันยายน 2549 และการเคลื่อนไหวของบุคคลซึ่งเกี่ยวกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหลาย คนที่ไปดำเนินการยื่นเรื่องราวให้กับ กกต.เพื่อยุบพรรคการเมืองหลายพรรค และยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งเพื่อให้ศาลสั่งว่าการเลือกตั้งเป็น โมฆะ ฯลฯ (มติชนรายวัน 16 กรกฎาคม 2554 )
      
       ด้วยความเคารพงานในวิชาการวิชาชีพของสื่อมวลชน ซึ่งมีอิทธิพลในสังคมเป็นอย่างสูง การใช้คำว่า “รัฐประหารซ้อนโดยกระบวนการกฎหมาย” โดยสื่อหนังสือพิมพ์นั้น เป็นการใช้ถ้อยคำที่อาจทำให้สังคมไขว้เขวเข้าใจผิดได้ว่า กฎหมายเป็นเครื่องมือของความชั่วร้าย เป็นกระบวนการชั่วร้าย เพราะสามารถใช้กฎหมายยึดอำนาจทำรัฐประหารได้ เพราะคำว่า “รัฐประหารซ้อนโดยกระบวนการทางกฎหมาย” ไม่ใช่เป็นคำในทางวิชาการ และไม่มีหลักวิชาการในกรณีเช่นนี้ ซึ่งแท้จริงแล้วการใช้กฎหมายหรือการดำเนินการโดยกระบวนการทางกฎหมาย ไม่ใช่เป็นการรัฐประหาร หรือยึดอำนาจรัฐมาจากผู้ใดผู้หนึ่งแต่อย่างใด แต่เป็นการดำเนินการเพื่อให้ประเทศยังคงไว้ซึ่งความเป็นนิติรัฐ และใช้กฎหมายเป็นหลักเพื่อให้เกิดนิติธรรมในบ้านเมือง
      
       ถ้าประเทศไม่เป็นนิติรัฐไม่มีนิติธรรมแล้ว ประเทศก็ล่มสลายได้ เพราะไม่มีหลักกติกาอะไรที่จะยึดเหนี่ยวให้คนในชาติมีระเบียบวินัยที่จะอยู่ ร่วมกันอย่างสันติสุขได้ การรอฟังผลการเลือกตั้งแล้วมีการดำเนินการทางกฎหมายเกิดขึ้น หากไม่มีผู้ใดทำผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือรัฐธรรมนูญแล้ว การรับรองผลการเลือกตั้งก็จะต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
      
       การใช้สิทธิดำเนินกระบวนการทางกฎหมายของบุคคลเพื่อเรียกร้องให้มีการ ยุบพรรคการเมืองก็ดี หรือเรียกร้องให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะก็ดี เป็นการใช้สิทธิของบุคคล (Individual Right) และการใช้สิทธิของบุคคลในกรณีเกี่ยวกับสิทธิในการเลือกตั้งดังกล่าว จะ เป็นกรณีที่มิได้มีเหตุเกิดจากการกระทำของบุคคลผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งแต่ อย่างใด แต่จะมีเหตุที่เกิดจากการกระทำของผู้มีสิทธิเลือกตั้งของพรรคการเมือง หรือของบุคคลอื่นที่สนับสนุน ช่วยเหลือผู้มีสิทธิเลือกตั้ง หรือพรรคการเมือง หรืออาจเกิดจากการดำเนินการเลือกตั้งของ กกต.หรือเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการเลือกตั้ง ที่เป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือขัดต่อรัฐธรรมนูญ ก็อาจเป็นไปได้ทั้งสิ้น
      
       แต่การใช้สิทธิของบุคคลเพื่อให้มีการยุบพรรคการเมือง หรือให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะนั้น ก็เพราะผลของการกระทำดังกล่าว ได้ก่อให้เกิดผลทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริตและเที่ยงธรรมที่เกิดขึ้นเป็น สาธารณะต่อบุคคลผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งทั้งหมดหรือเขตเลือกตั้ง ทั้งประเทศ หรืออาจทำให้การเลือกตั้งนั้นไม่เป็นไปตามวิถีทางในระบอบประชาธิปไตยตามที่ บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ อันมีผลทำให้การเลือกตั้งทั้งประเทศไม่สุจริตและเที่ยงธรรม การขอให้ยุบพรรคการเมืองหรือการขอให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะจึงจำเป็นต้องเกิดขึ้นเพื่อให้บ้านเมืองมีขื่อมีแป
      
       การใช้สิทธิส่วนบุคคลของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งที่ดำเนิน กระบวนการทางกฎหมาย จึงมิใช่เป็นการรัฐประหารโดยกระบวนการทางกฎหมาย แต่เป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของบุคคล เพื่อให้การเลือกตั้งที่ได้มีการเลือกบุคคลขึ้นมาเป็นผู้ปกครองตนเองนั้น เป็นการเลือกตั้งที่สุจริตและเที่ยงธรรม แม้ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่จะเลือกพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งขึ้นมา เป็นผู้มีอำนาจในการปกครองด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นก็ตาม แต่สิทธิของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งจำนวนมากนั้น ก็ไม่อาจลบล้างการกระทำอันไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือขัดต่อรัฐธรรมนูญของผู้สมัคร รับเลือกตั้ง หรือของพรรคการเมือง หรือของ กกต.หรือเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการจัดการเลือกตั้งที่ได้กระทำโดยไม่ชอบ ด้วยกฎหมายหรือขัดต่อรัฐธรรมนูญนั้น ให้กลายเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายและชอบด้วยรัฐธรรมนูญได้แต่อย่างใดไม่
      
       ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งจำนวนมากลงคะแนนเสียงให้ก็ไม่ใช่เป็นหลักประกัน ว่า การเลือกตั้งนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะ ประชาชนหรือผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งไม่ใช่เป็นวัตถุแห่งการเลือกตั้ง ประชาชนไม่ใช่เป็นเครื่องมือของการเลือกตั้ง การเลือกตั้งไม่ใช่กระทำขึ้นเพื่อนักการเมือง หรือพรรคการเมือง เพราะเพียงต้องการให้มีผู้ปกครองตนเท่านั้น แต่การเลือกตั้งต้องกระทำขึ้นเพื่อประชาชน เพื่อผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง และเพื่อศักดิ์ศรีของความเป็นชาติ การเลือกตั้งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำของนักการเมือง ของพรรคการเมือง หรือแม้แต่ของ กกต.หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐจึงต้องถูกตรวจสอบทั้งสิ้น เพราะการเลือกบุคคลขึ้นเป็นผู้ปกครองตนนั้นไม่ใช่เรื่องสุกเอาเผากินหรือทำ งานให้พ้นตัว
      
       การมองย้อนหลังในอดีตที่มีการรัฐประหารเพื่อจะนำมาอ้างเป็นเหตุผลใน ปัจจุบัน ก็จะต้องมองถึงการกระทำในอดีตที่เป็นต้นเหตุให้เกิดการกระทำ (เกิดปฏิวัติ) นั้นด้วยว่าเกิดจากการกระทำของใครและกระทำการอย่างไรในอดีตด้วย หากไม่มีการกระทำอันเป็นการทุจริตคอร์รัปชันในอดีต ไม่มีการใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 จนได้ชื่อว่ารัฐธรรมนูญได้ตายไปแล้ว ซึ่งเป็นการใช้ “อำนาจรัฐ” ตามอำเภอใจนั้น การปฏิวัติรัฐประหารก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ในเดือนกันยายน 2549
      
       เฉกเช่นเดียวกับการใช้สิทธิของบุคคลที่มีการดำเนินการขอให้ยุบพรรค การเมือง หรือขอให้ศาลสั่งให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ ซึ่งก็จะต้องมองย้อนหลังในอดีตซึ่งเป็นที่มาของการกระทำในปัจจุบันด้วยว่า เกิดจากการกระทำของใครและกระทำอย่างไรในอดีตด้วย โดยมองย้อนหลังไปเพียงไม่เกิน 20 วันก่อนวันลงคะแนนเลือกตั้ง ก็จะปรากฏเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดฝันว่าจะเกิดขึ้น เพราะมีการเดินทางไปต่างประเทศของผู้มีอำนาจสูงสุดในการจัดการเลือกตั้งที่ เดินทางไปต่างประเทศพร้อมกันถึง 4 คน ในจำนวน 5 คน โดยมีข่าวออกสู่สาธารณะเพียงผิวเผินว่า กกต. 4 คนที่เดินทางไปต่างประเทศนั้นไปดูงานการเลือกตั้งในต่างประเทศ โดยหน่วยงานของกระทรวงการต่างประเทศได้เชิญไปให้ดูงาน และการดูงานนั้นก็เป็นการไปดูงานการเลือกตั้งที่ กกต.เป็นผู้สั่งให้จัดให้มีการเลือกตั้งเพื่อให้คนไทยในต่างประเทศไปลงคะแนน เลือกตั้ง
      
       การไปต่างประเทศดังกล่าวจึงมิใช่เป็นการไปดูงานในต่างประเทศเพื่อนำ มาเป็นแบบอย่างของการเลือกตั้งในประเทศได้แต่อย่างใดไม่ แต่เป็นการไปเพื่อตรวจงานการเลือกตั้งที่ กกต.ได้สั่งให้สถานทูต หรือสถานกงสุลดำเนินการเลือกตั้งให้เท่านั้น การไปตรวจงานในลักษณะเช่นนี้จึงเป็นงานของเจ้าหน้าที่ในระดับปฏิบัติการก็ สามารถไปตรวจดูความเรียบร้อยของการเลือกตั้งในต่างประเทศได้ ซึ่งแทบจะไม่มีสื่อมวลชนไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ หรือโทรทัศน์ติดตามข่าวสถานการณ์การเดินทางไปต่างประเทศของ กกต.เลย ว่าเหตุใดจึงเดินทางไปต่างประเทศพร้อมกันถึง 4 คน ในเวลากระชั้นชิดกับการเลือกตั้งเช่นนั้น และกระทรวงการต่างประเทศมีเหตุผลใดจึงได้เชิญให้ไปดูงานการเลือกตั้งที่ตน เองเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการเลือกตั้งในต่างประเทศ
      
       กระทรวงการต่างประเทศมีบุคลากรที่มีความสามารถเชี่ยวชาญเป็นเลิศใน การจัดการเลือกตั้งที่จะต้องเชิญให้ กกต.ไปดูงานเพื่อนำมาเป็นแบบอย่างในการจัดการเลือกตั้งในประเทศในเวลาอัน กระชั้นชิดด้วยเช่นนั้นหรืออย่างไร และรัฐบาลได้รู้เห็นเป็นใจให้กระทรวงการต่างประเทศกระทำการเช่นนั้นด้วยหรือ ไม่ หรือมีอะไรแอบแฝงอยู่เบื้องหลังของการไปต่างประเทศดังกล่าวหรือไม่ และแทบจะไม่มีพรรคการเมืองพรรคใดที่แสดงความวิตกกังวลหรือห่วงใยกับการไม่ อยู่ในประเทศของ กกต.ทั้ง 4 เลย
      
       ในขณะเดียวกัน กกต.ที่เหลืออยู่ก็ได้ให้สัมภาษณ์ในทำนองว่า กกต.ไปต่างประเทศ 4 คนเหลือเพียงคนเดียว ไม่สามารถพิจารณาการกระทำความผิดของผู้สมัครรับเลือกตั้งโดยการออกใบเหลือง ใบแดงในระหว่างนั้นได้ การออกมาให้ข่าวเช่นนั้น ในความรู้สึกของวิญญูชนทั่วไปย่อมเข้าใจได้ว่า เป็นการส่งสัญญาณไม่ให้ กกต.ในท้องถิ่น หรือ กกต.ในเขตเลือกตั้งไปตรวจจับการกระทำความผิดเกี่ยวกับการเลือกตั้งมาให้ กกต.ส่วนกลางพิจารณาวินิจฉัย เพราะไม่มี กกต.ครบองค์คณะที่จะดำเนินการให้ได้
      
       เมื่อไม่มี กกต.อยู่ปฏิบัติหน้าที่ในประเทศเพื่อควบคุมการเลือกตั้งให้เป็นไปโดยสุจริต และเที่ยงธรรม ไม่มี กกต.ที่จะไปควบคุม ตรวจสอบ จับผิดการทุจริตการเลือกตั้งเสียแล้ว ประชาชนโดยทั่วไปได้พบเห็นการเลือกตั้งในช่วงเวลานั้น มีการหาเสียงการโฆษณาชวนเชื่อ มีการประกาศต่อสาธารณชน โดยสัญญาจะให้กันอย่างถล่มทลายของหลายพรรคการเมือง มีการโฆษณาชวนเชื่อชนิดที่ประกาศล้มกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันได้ โดยไม่มีความเกรงกลัวต่อการกระทำความผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือกระทำการขัดต่อ รัฐธรรมนูญแต่อย่างใดเลย ซึ่งไม่มีการเลือกตั้งใดในประเทศที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่จะ อนุญาตให้มีการหาเสียงเลือกตั้งเช่นนั้นได้
      
       ประชาชนทั่วไปที่ติดตามก็จะเห็นข่าวและภาพการหาเสียงเลือกตั้งของบาง สื่อ (ที่ใช้ทรัพยากรของรัฐ) ที่มีการทำข่าวการหาเสียงเลือกตั้งนั้นมิได้มีลักษณะของการทำข่าวโดยทั่วไป แต่เป็นการทำข่าวที่อิงไปในลักษณะเป็นการโฆษณาสนับสนุนพรรคการเมืองที่รัก และนักการเมืองที่ชอบของตนเองเป็นการเฉพาะ (ไม่ใช่เป็นการรับจ้างโฆษณา) อันเป็นการที่สื่อเข้าไปกระทำการที่มีผลกระทบต่อการเลือกตั้ง ทำให้เกิดผลต่อการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งได้อย่างอเนกอนันต์
      
       เมื่อไม่มี กกต.อยู่ปฏิบัติหน้าที่ควบคุมการเลือกตั้งไม่มี กกต.ที่จะตรวจสอบ จับผิดการทุจริตการเลือกตั้งดังกล่าว ย่อมเกิดการกระทำอันที่กระทบต่อสิทธิของประชาชนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งได้ การใช้สิทธิของบุคคลในการดำเนินการเพื่อให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ หรือยุบพรรคการเมือง จึงเป็นการ “ใช้อำนาจรัฐ” เพื่อตรวจสอบการใช้อำนาจหรืออิทธิพลในการเลือกตั้งของพรรคการเมือง นักการเมือง ตลอดจนการใช้อำนาจรัฐของ กกต.ในการควบคุมการเลือกตั้ง การ ใช้สิทธิของบุคคลดังกล่าวจึงมิใช่เป็นการใช้อำนาจเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐ ของตนเองแต่อย่างใด แต่เป็นการใช้สิทธิเพื่อคุ้มครองสิทธิของบุคคลให้มีสิทธิเลือกตั้งได้โดย สุจริตและเที่ยงธรรม อันเป็นรากฐานของการปกครองประเทศในระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น
      
       คำว่า “รัฐประหารซ้อนโดยกระบวนการทางกฎหมาย” หรือ “รัฐประหารกำมะหยี่” จึงเป็นการใช้วาทศิลป์เพื่อให้ กกต.หรือศาลมีความหวาดกลัว หวั่นไหว หรือมีอคติ หรือเกิดภยาคติ ที่ไม่อาจจะดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของตนเองได้ ซึ่งก็จะมีผลทำให้ประเทศขาดไร้ซึ่งระบบนิติรัฐ อันเป็นผลกระทบต่อรากฐานของความมั่นคงแห่งรัฐ เพราะเป็นการปฏิเสธไม่ยอมรับในหลักสิทธิและเสรีภาพของบุคคลตามหลักสิทธิ มนุษยชนที่ปัจเจกบุคคลจะพึงมีต่อสิทธิในการเลือกตั้ง
      
       หากผู้ใช้อำนาจรัฐได้ใช้อำนาจรัฐโดยสุจริต ไม่ทำลายอำนาจรัฐเพื่อแสวงหาประโยชน์สำหรับตนเองและผู้อื่นโดยไม่ชอบด้วย กฎหมาย หรือโดยทุจริตแล้ว อำนาจรัฐนั้นก็ไม่อาจมาทำร้ายผู้ใช้อำนาจได้ และไม่อาจเกิดรัฐประหารได้ไม่ว่าในกรณีใด

ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ "อย่าทะเลาะกันเรื่องปรองดอง"

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
สนทนากับตัวจักรสำคัญของ คอป.ว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร เมื่อตอนนี้หลายฝ่ายชักจะเถียงกันเรื่องปรองดอง ซะแล้ว
พลันสิ้นเสียงขานคะแนนเลือกตั้ง เสียงจากดูไบกับว่าที่รัฐบาลใหม่พูดตรงกันว่า "ความปรองดอง" คือภารกิจแรกของบ้านเมืองนี้ที่ต้องทำให้สำเร็จ
แม้กระแสสังคมจะขานรับ แต่ก็ยังมีคำถามคณานับว่าจะปรองดองกันอย่างไร วิธีไหน และเพื่อใคร ทำไปทำมาจะกลายเป็นว่าสังคมนี้กำลังเถียงกันเรื่องใหม่...คือเรื่องปรองดอง!
จึงน่าลองฟัง "เจ้าภาพปรองดอง" อย่าง คอป. หรือ คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ ที่มี ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นตัวจักรสำคัญ เพื่อค้นหา "โรดแมพปรองดอง" หรือแผนที่เดินทางเพื่อก้าวข้ามความขัดแย้งครั้งรุนแรงที่สุดของสังคมไทย
บทบาทของ คอป.หลังเปลี่ยนรัฐบาลจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือไม่
ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง คือเราทำมาตลอดอยู่แล้ว การทำงานของเราทำตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เราตั้งโดยระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี จึงไม่ได้หมดสภาพเมื่อเปลี่ยนรัฐบาล ฉะนั้นก็ต้องทำต่อ

บรรยากาศบ้านเมืองตอนนี้เป็นอย่างไร บางคนมองว่าเริ่มปรองดองแล้ว แต่บางคนมองว่ายังไม่เริ่มเลย?
ต้องยอมรับว่าบรรยากาศการปรองดองชัดเจนขึ้นตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งที่มีภาค ธุรกิจและภาคประชาสังคมออกมาเคลื่อนไหว ช่วงหาเสียงทุกพรรคก็พูดเรื่องความปรองดอง เมื่อผ่านการเลือกตั้ง พรรคการเมืองที่มีแนวโน้มจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ก็พูดเรื่องปรองดองว่าเป็น ภารกิจสำคัญ ทำให้เกิดกระแสในสังคมว่าต้องการความปรองดอง กระแสแบบนี้ก็จะทำให้ คอป.ทำงานง่ายขึ้น
แต่การทำงานของเรา สิ่งสำคัญที่สุดคือตัว "อ." ตัวย่อของเราคือ คอป. ตัว "อ." หมายถึงอิสระ นี่คือสิ่งสำคัญที่สุด ช่วงรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ แม้บรรยากาศของบ้านเมืองจะไม่เอื้อต่อการทำงานมากนัก แต่ คอป.ก็ได้รับอิสระสูงมาก เพราะรัฐบาลไม่เคยเข้ามาแทรกแซงเลย จึงหวังว่าต่อไปนับจากนี้จะได้รับอิสระเหมือนเดิม

แนวทางการทำงานที่จะเดินหน้าต่อไปคืออะไร
เราก็ได้คุยกับเครือข่ายว่าจะเดินหน้าอย่างไร ซึ่งได้เชิญมาหมดทั้งเครือข่ายในประเทศและต่างประเทศ ทั้งนักสันติวิธี นักวิชาการ และภาคประชาสังคม (ประชุมไปเมื่อวันที่ 7 ก.ค.) สิ่งสำคัญที่สุดที่ทางเครือข่ายของเราแสดงท่าทีออกมาก็คือ ต้องมีความเป็นอิสระและปลอดจากการแทรกแซงโดยฝ่ายการเมือง
ส่วนแนวทางการทำงานต่อไปเมื่อบรรยากาศเป็นแบบนี้ เราก็ตั้งเป้าสูงกว่าเดิม คือเดิมเราตั้งเป้าแค่ว่าป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงในระยะเฉพาะหน้า คือป้องกันไม่ให้ตีกันอีกก็ดีใจแล้ว แต่เมื่อบรรยากาศดีขึ้น เราก็ตั้งเป้าสูงขึ้น และกำหนดทิศทางว่าจะทำอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศชาติและประชาชน

แต่เดิมตั้งเป้าไว้ขนาดไหน?
จริงๆ คณะกรรมการในลักษณะ TRC (Truth and Reconciliaton Committee) มีการตั้งและทำงานมาแล้วประมาณ 40 ประเทศ คือทำความจริงให้ปรากฏ กับเดินหน้าสร้างความปรองดองสมานฉันท์ไปพร้อมกัน แต่ประสบการณ์ของประเทศต่างๆ ทั้งหมดตั้งคณะกรรมการชุดนี้ขึ้นมาในช่วงที่ความขัดแย้งจบไปแล้ว คือตีกันไปแล้ว มีคนตายไปเยอะแล้ว กระทั่งสังคมทั้งสังคมเห็นตรงกันว่าถึงเวลาที่จะปรองดองกัน หันหน้าเข้าหากัน เพราะหายนะเกิดขึ้นแล้ว จึงตั้ง TRC ขึ้นเพื่อเดินหน้าปรองดอง
แต่ของบ้านเราแปลกและไม่มีประเทศใดเหมือนเลย คือตั้ง TRC ระหว่างที่ความขัดแย้งยังไม่จบ และยังตั้งโดยคู่ขัดแย้งด้วย นี่เป็นเรื่องแปลกมาก และทั่วโลกก็จับตามองเรา เพราะบรรยากาศที่สังคมเห็นตรงกันหมดว่าต้องหันหน้ามาปรองดองกันมันยังไม่ เกิด ฉะนั้นเราจึงตั้งเป้าเอาไว้เบื้องต้นว่าเราคือ Truth for Reconciliation คือทำความจริงก่อน และป้องกันไม่ให้ตีกันเฉพาะหน้าก่อน ส่วนกระบวนการปรองดองสมานฉันท์จะเป็นลำดับต่อไป
เบื้องต้นคิดไว้แค่นี้ และเราก็ถือว่าทำได้สำเร็จ แต่เมื่อเกิดการเลือกตั้งแล้วบรรยากาศเปลี่ยนไป สังคมเห็นตรงกันว่าเป้าหมายของบ้านเมือง เป้าหมายของการเลือกตั้งคือปรองดอง ก็ทำให้บรรยากาศดีขึ้น เราก็ทำงานง่ายขึ้น และปรับเป้าหมายให้ชัดเจนขึ้นว่าจะเดินหน้าเรื่องปรองดองไปพร้อมกันได้ โดยสร้างกระบวนการต่างๆ ขึ้นมา

หลายคนยังนึกภาพไม่ออกว่าจะปรองดองได้อย่างไร
เราจะเริ่มจากทำความจริงจากความขัดแย้ง ทำให้สังคมไทยได้เห็นภาพสะท้อนว่าความขัดแย้งเกิดจากอะไร คือค้นหาความจริง และวิเคราะห์สาเหตุก่อน จากนั้นจึงค่อยมาหาทางออกร่วมกันว่าจะทำอย่างไรถึงจะยุติความขัดแย้งนั้น
ทางออกมีหลายวิธี แต่ คอป.ไม่ใช่คนบอก ต้องให้สังคมเป็นคนบอกเมื่อเดินไปถึงจุดนั้น บางคนอาจจะบอกให้จำ บางคนอาจจะบอกให้ลืม ซึ่งแต่ละด้านมันก็จะมีวิธีการตามหลักวิชาการออกมารองรับ แต่เราคงไม่ไปชี้เองว่าต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เราต้องฟังสังคม

คนอยากรู้ว่าใครทำอะไร ที่ไหน เช่น ใครเป็นคนยิงประชาชน คอป.จะมีคำตอบหรือไม่
ตรงนั้นก็ต้องให้ความสำคัญ และต้องไม่ลืมผู้ที่ได้รับผลกระทบด้วย เรื่องหนึ่งที่ต้องทำให้เร็วที่สุดคือดูแลผู้ได้รับผลกระทบให้ได้รับการ เยียวยาอย่างดีที่สุดอย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งเรื่องนี้ต้องทำเป็นอย่างแรก

แต่ตลอดมามีการเรียกร้องให้เปิดเผยข้อเท็จจริงทั้งหมดเพื่อหาผู้รับผิดชอบ?
ใช่ครับ แต่ความรับผิดชอบมีหลายวิธี สิ่งแรกที่ทำได้ทันทีคือดูแลผู้สูญเสีย ทั้งเรื่องทางกาย ความรู้สึก ส่วนการจะลงโทษเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหรือไม่ จะลงโทษฝ่ายอื่นๆ ที่ทำให้เกิดความรุนแรงด้วยหรือไม่ ต้องดูความจริงทั้งหมด เพราะตอนนี้คนมองความจริงเป็นส่วนๆ ซึ่งจริงๆ แล้วมองอย่างนั้นมันไม่จบ
เช่น เราไปพูดเรื่องการลงโทษผู้ที่ทำให้เกิดความสูญเสียเมื่อวันที่ 19 พ.ค.2553 (วันปฏิบัติการกระชับพื้นที่) อีกฝ่ายก็จะถามว่าแล้ววันที่ 10 เม.ย.2553 ล่ะ (เหตุการณ์ที่สี่แยกคอกวัว)  ฉะนั้น คอป.จะไม่พูดไปก่อน แต่เราจะตรวจสอบความจริงทั้งเรื่องเพื่อหาสาเหตุ และวิเคราะห์โดยใช้หลักวิชาการก่อน จากนั้นจึงจะพิจารณาทางแก้โดยยึดหลักวิชาการเช่นกัน แต่สำคัญที่สุดคือทั้งหมดต้องเป็นความเห็นชอบของสังคม
สิ่งสำคัญที่อยากทำความเข้าใจก็คือ ความจริงที่เราค้นหาไม่ได้มีเป้าหมายอยู่ที่ใครทำอะไร ที่ไหน อย่างไร แล้วชี้ว่าใครเป็นคนผิด เพราะเราไม่ได้มีอำนาจในกระบวนการยุติธรรม แต่เป้าหมายของการค้นหาความจริงคือการนำไปสู่ความปรองดอง ฉะนั้นการเปิดข้อเท็จจริงก็ต้องมีศิลปะ ต้องดูจังหวะเวลาด้วย

ตอนนี้มีการตั้งคำถามเรื่องนิรโทษกรรมเยอะมาก คอป.มีความเห็นอย่างไร?
ก็เป็นเรื่องที่ฝ่ายต่างๆ พูดกัน แต่ก็มีบางฝ่ายถามว่าเป็นการล้างความผิดหรือเปล่า และจริงๆ แล้วอาจจะพูดกันคนละเรื่องคนละมุมกันอยู่ก็ได้ ทำให้มีกระแสทั้งคัดค้านและสนับสนุน ฝ่ายหนึ่งอาจจะกลัวว่านิรโทษไปแล้ว คนที่ใช้กำลังที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐอาจจะได้ประโยชน์ ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งคิดว่านิรโทษไปแล้วฝ่ายกองกำลังติดอาวุธ เช่น คนชุดดำได้ประโยชน์
ตอนนี้ยังไม่ชัดเลยว่าพูดเรื่องเดียวกันหรือเปล่า เราจึงคิดว่าไม่ควรพูดเรื่องนี้ในตอนนี้ เพราะอาจจะยังพูดกันคนละเรื่อง และอาจนำไปสู่ความขัดแย้งได้ เพราะจะมีบางฝ่ายคิดว่าไปล้างผิดให้ใครหรือกลุ่มใดหรือไม่ ถือเป็นประเด็นที่นำไปสู่ความขัดแย้ง ไม่สามารถตกลงกันได้อย่างรวดเร็ว
จริงๆ แล้วเรื่องการใช้กระบวนการยุติธรรมเพื่อให้ความเป็นธรรมในปัญหาแบบนี้มีหลาย วิธี เช่น เอาผิดอย่างเคร่งครัด ลงโทษอย่างรุนแรง ก็เป็นแนวทางหนึ่งที่เราอาจจะคุ้นชินกัน แต่พอเอาเข้าจริงๆ แล้วก็อาจมีคำถามอีกว่ากระบวนการบังคับใช้กฎหมายมีความเป็นธรรมหรือไม่ สองมาตรฐานหรือเปล่า ฉะนั้นกระบวนการยุติธรรมทางอาญาอย่างเดียวอาจจะไม่ใช่คำตอบของปัญหาลักษณะ นี้เสมอไป
ฉะนั้นสิ่งแรกที่ต้องทำคือต้องค้นหาให้ได้ว่าความขัดแย้งเกิดจากอะไรเสีย ก่อน การจะปรองดองได้ต้องรู้ว่าทะเลาะกันเรื่องอะไร ไม่ใช่ยังไม่รู้สาเหตุเลยแล้วจะบอกให้ลืมๆ กันไป เพราะยังมีคนที่สูญเสีย มีญาติผู้สูญเสียอีกเป็นจำนวนมาก ต้องฟังคนเหล่านั้นด้วยว่าเขาต้องการอะไร ทำไปๆ ทุกฝ่ายอาจต้องร่วมกันรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นก็ได้ และความรับผิดชอบอาจไม่ใช่ทางอาญาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
แต่ทั้งหมดทั้งสิ้นต้องให้สังคมช่วยกันคิดพิจารณาว่าเมื่อสังคมเจอปัญหา ยากๆ แบบนี้ จะหาทางอออกร่วมกันอย่างไร คอป.เป็นแค่คณะกรรมการชุดเล็กๆ คงไม่ได้ทำอะไรมหัศจรรย์ให้เสร็จได้ในวันเดียว สิ่งที่อยากจะย้ำก็คือ เราต้องค้นหาสาเหตุของความขัดแย้งให้ได้เสียก่อนค่อยพูดถึงวิธีการ ไม่ใช่ไปเอาวิธีการมาพูดก่อน แล้วก็สร้างความแย้งเพิ่มขึ้นอีก

วิธีการที่ว่านี้หมายถึงการนิรโทษกรรมหรือเปล่า?
เรื่องการนิรโทษกรรมนั้น ใครคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งคงจะพูดไม่ได้ และเรื่องนี้ไม่ใช่แค่พรรคการเมืองพูด แต่ต้องให้ทั้งสังคมเป็นคนตัดสิน ปัญหาการทำงานของ คอป.ตอนนี้ก็คือ สังคมยังไม่เห็นภาพความย่อยยับจากความขัดแย้งต่อหน้าต่อตาเหมือนกับในต่าง ประเทศ ทำให้ยังถกเถียงกันในประเด็นต่างๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ดี เพราะถือเป็นโอกาสที่ดีของประเทศไทยที่จะช่วยกันป้องกันไม่ให้เกิดหายนะ เหมือนในต่างประเทศ

นิรโทษกรรมคุณทักษิณ (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) อยู่ในแผนงานของ คอป.ด้วยหรือไม่?
เราไม่มีแผนอะไรทั้งนั้น ถ้าเราทำงานแบบมีแผนหรือมีธงล่วงหน้าคงวุ่นวายตั้งแต่ต้นแล้ว คงอยู่มาไม่ได้ถึงวันนี้ ผมอยากให้ทุกฝ่ายตั้งสติ และมองปัญหาอย่างเป็นจริง คอป.เป็นเพียงสะพานหรือกลไกเพื่อ 1.หาแนวทางโดยอิงหลักวิชาการว่าจะเดินอย่างไรต่อไป และ 2.สร้างกระบวนการให้เกิดขึ้นไปสู่เป้าหมายนั้นโดยใช้องค์ความรู้ซึ่งเป็นที่ ยอมรับ แม้จะไม่เห็นด้วยเหมือนกันทั้งหมด แต่ต้องเป็นแนวทางที่ทุกฝ่ายยอมรับได้
ที่ผ่านมาเราก็ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาเล่าประสบการณ์ เพื่อให้ได้รู้ว่าสังคมที่มีปัญหามากกว่าเรา เขาหาทางออกกันอย่างไร ซึ่งหลังจากนี้เราก็จะเชิญมาอีก และพยายามหาช่องทางสื่อสารกับสังคม สร้างกระบวนการให้สังคมรับรู้และมีส่วนร่วมมากที่สุด

ท่าทีของพรรคเพื่อไทยทำให้สังคมบางส่วนหวาดระแวงว่า คอป.อาจจะถูกแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง ตรงนี้มีวิธีการป้องกันอย่างไร
เรารับผิดชอบต่อสาธารณะ มีความโปร่งใสในการทำงาน หารือกับเครือข่ายเวลาที่มีเรื่องยากๆ ต้องตัดสินใจ คอป.ไม่ได้ทำงานคนเดียว และที่สำคัญเราต้องดึงองค์ความรู้ต่างๆ เข้ามา และดึงสังคมทั้งสังคมมาร่วมแก้ไขด้วยกัน

คุณทักษิณเป็นกลไกหนึ่งที่จะนำไปสู่การปรองดองด้วยหรือไม่?
เรื่องนี้ผมไม่ทราบ คงต้องไปถามรัฐบาล แต่ถ้ามองว่าคุณทักษิณเป็นคู่ขัดแย้งก็คงใช่ เหมือนกับคนอื่นๆ กลุ่มอื่นๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างความปรองดองเช่นกัน หลังจากนี้กระบวนการสร้างความปรองดองต้องเกิดขึ้น คอป.เป็นองค์กรเล็กๆ ที่จะช่วยทำ ช่วยหาความจิง และหากระบวนการที่จะป้องกันปัญหาให้ได้ในระยะยาว
ที่ผ่านมาเราได้คุยกับหลายๆ ฝ่ายในทางลับตลอด มีการสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้องในเชิงลึกว่าแต่ละฝ่ายเห็นอย่างไรกับแต่ละ ประเด็นที่เป็นความขัดแย้งในสังคมไทยขณะนี้ และตั้งคำถามว่าอะไรคือความปรองดองที่จะเกิดขึ้น

คุยแล้วผลเป็นอย่างไร?
ทุกฝ่ายเข้าใจตรงกันว่าสังคมทุกสังคมต้องเปลี่ยนผ่าน เมื่อโลกเปลี่ยน คนก็เปลี่ยน สังคมก็ต้องเปลี่ยน และทุกสังคมเจอแบบนี้ บ้านเราก็กำลังเจอ และเป็นส่วนหนึ่งของกระแสการเปลี่ยนแปลง ทีนี้การจัดการกับความเปลี่ยนแปลงมีหลายรูปแบบ เช่น ไม่รับรู้ ต่อต้าน หรือสำรวจตัวเองแล้วเตรียมตัวเพื่อรับการเปลี่ยนแปลง
สำหรับประเทศไทย ช่วงที่ผ่านมาและหลังจากนี้ไปจะเป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ความสูญเสียที่เกิดขึ้นคือเครื่องเตือนสติให้เราทำอะไรสักอย่างเพื่อให้การ เปลี่ยนแปลงสามารถเกิดขึ้นและผ่านไปได้โดยสันติ แต่ปัญหาตอนนี้คือแต่ละฝ่ายยังคิดไม่ตรงกันว่าจะเปลี่ยนแปลงไปมุมไหน แต่ละคนมีจินตนาการของตัวเอง จึงยังมีความวุ่นวาย ถ้าปล่อยไปเฉยๆ อาจจะควบคุมไม่ได้ เพราะปัญหาการเมืองกระทบกับสังคม ทั้งสังคมภายในของเราเองและสังคมโลก หากอยู่ในจุดที่เกินควบคุม เราอาจกลายเป็นรัฐล้มเหลว ถ้าไม่เตรียมการให้ดีเราอาจไปสู่จุดนั้นได้เลย
นี่คือสิ่งที่ผมพูดว่าถือเป็นความโชคดีที่เราเจอปัญหาก่อน ไม่ต้องรอให้ฆ่ากันตายเป็นหมื่นเป็นแสนแล้วค่อยเริ่มปรองดอง เพียงแต่เราจะทำให้สังคมตระหนักได้อย่างไรว่าถ้าไม่ปรองดอง หายนะแน่ แล้วจึงสร้างกระบวนการที่เดินไปสู่เป้าหมายด้วยกัน คือสังคมสันติสุข
เท่าที่ผมได้ทำงานมา ได้สัมผัสกับหลายๆ ฝ่าย และได้แลกเปลี่ยนทัศนะกับผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ เห็นตรงกันว่าปัญหาของเรายังแก้ง่ายกว่าอีกหลายๆ ประเทศเยอะ เพราะทุกฝ่ายมีจุดร่วมเดียวกันคือไม่เชื่อเรื่องความรุนแรง
ถ้าลองสังเกตข่าวจากต่างประเทศ หรือติดตามบทวิเคราะห์ของต่างประเทศ จะเห็นว่ามีการคาดการณ์ว่าจะเกิดความรุนแรงขึ้นแน่นอน เช่น หลัง 19 พ.ค.ลุกเป็นไฟแน่ หลังเลือกตั้งลุกเป็นไฟแน่ แต่จริงๆ แล้วก็ไม่เกิด นี่คือจุดร่วมประการแรกคือทุกฝ่ายไม่เชื่อเรื่องความรุนแรง
ประการที่สองคือ ทุกคน ทุกฝ่าย ทุกสี มองว่าประเทศของเราเสียเวลากับความขัดแย้งมามากเกินไปแล้ว และประการที่สาม คือ ระบอบประชาธิปไตยแบบมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเหมาะสมที่สุดสำหรับ ประเทศไทย จุดนี้แทบไม่มีใครเห็นต่างเลย นี่คือสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าเรายังดีกว่าประเทศอื่นที่ฆ่ากันตายเป็นเบือ เพียงแต่เราต้องเชื่อมั่นว่าเราทำได้ และวิเคราะห์ความขัดแย้งให้ได้ว่าแท้ที่จริงแล้วเกิดจากอะไร

แล้วตอนนี้เราทราบหรือยังว่าอะไรคือต้นเหตุความขัดแย้ง ใช่เรื่องความเหลื่อมล้ำหรือไม่?
ความเหลื่อมล้ำทางทรัพยากรก็เป็นปัจจัยหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งที่มีผลวิจัยรองรับชัดเจนก็คือ คนเสื้อแดงที่มาชุมนุมไม่ได้มีแต่กลุ่มรากหญ้าที่ไม่มีโอกาสเท่านั้น แต่จำนวนมากเป็นคนรุ่นใหม่ที่ต้องการการยอมรับทางด้านความคิดทางการเมือง ประเด็นต่างๆ เหล่านี้ต้องสร้างความเข้าใจร่วมกันของสังคม และต้องหาคำตอบร่วมกัน
ฉะนั้นที่บางฝ่ายเคยมองว่าเป็นเรื่องของคนๆ เดียว หรือกลุ่มเดียวอาจจะไม่ใช่ เพราะชัดเจนว่าความขัดแย้งไม่ได้มาจากเรื่องของคนๆ เดียวอีกต่อไปแล้ว จุดเริ่มต้นอาจจะใช่ แต่ต่อมาได้ขยายวงกว้างไปมาก เรื่องเหล่านี้ต้องมองให้ลึกและเห็นภาพทั้งหมด เช่นเดียวกันคนที่เลือกพรรคเพื่อไทยอาจจะไม่ใช่คนเสื้อแดงทั้งหมด ไม่ได้เลือกเพราะตัวคุณทักษิณทั้งหมด แต่อาจมีคนจำนวนมากที่เลือกเพราะอยากให้ประเทศสงบ เลือกเพราะหวังว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ไขปัญหา
แต่แน่นอนว่าจุดลึกที่สุดของปัญหาคือเรื่องอุดมการณ์ทางการเมืองและความ เหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ซึ่งมีน้ำหนักพอๆ กัน ทางออกก็จะต้องจัดระบบสังคมทั้งในและนอกการเมืองให้มีธรรมาภิบาล โปร่งใส และสร้างกระบวนการที่เอื้อต่อการพัฒนาประชาธิปไตย แต่การจะไปถึงจุดนั้นได้ กระบวนการยุติธรรมต้องมีประสิทธิภาพด้วย

ทางออกที่ศึกษาจากประเทศต่างๆ มีรูปแบบอย่างไรบ้าง?
ก็มีหลายรูปแบบ สุดโต่งที่สุดบางประเทศก็ตั้งศาลอาชญากรรมระหว่างประเทศกันเลย บางประเทศก็ตั้งเป็นคณะกรรมการไต่สวนความจริง ขณะที่บางประเทศก็มองว่าเรื่องผิด-ถูกเป็นเรื่องที่ต้องก้าวข้าม ก้าวพ้น เพราะในความขัดแย้งและความรุนแรงอาจจะมีคนเข้าไปเกี่ยวข้องมาก มีเจ้าหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้องเยอะ การไปดำเนินคดีทุกคนเป็นหลักพันหลักหมื่นอาจไม่ใช่คำตอบ ฉะนั้นมันมีหลายวิธี มีองค์ความรู้มีหลักวิชาที่เราต้องหยิบมาใช้ เช่น กระบวนการยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน (Transitional Justice) เป็นต้น
จริงๆ แล้วเรื่องหลักการของกระบวนการยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่านไม่ใช่เรื่องใหม่ สำหรับบ้านเรา เพราะเราเคยใช้แล้วสมัยที่ทำ 66/23 (คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/23) สมัยที่เราแก้ไขปัญหาเรื่องคอมมิวนิสต์ ตอนนั้นก็มีการฆ่ากันตายเยอะแยะ ไม่สามารถจัดการได้ด้วยกระบวนการยุติธรรมปกติ เพราะมีคนที่เกี่ยวข้องทั้งเจ้าหน้าที่รัฐและพลเรือนที่เข้าป่า การฟ้องคดีอาจจะทำให้บางฝ่ายคิดว่าไม่เป็นธรรมกับตัวเอง ความยุติธรรมอาจไม่เกิดขึ้นได้จริง จึงหันมาใช้ช่องทางนี้
แต่การจะทำแบบนั้นได้ สังคมต้องยอมรับด้วย ซึ่งตอนนั้นทำแล้วก็ไม่มีใครบอกว่าไม่ดี หรือขัดต่อหลักนิติธรรม และสังคมไทยก็ก้าวข้ามความขัดแย้งนั้นมาได้ ส่วนหนึ่งเพราะเรามีผู้นำที่ฉลาด ทำให้สังคมเห็นด้วย แต่หากจะทำแบบนั้นในวันนี้ก็คงยากขึ้น เพราะสังคมเปลี่ยนไปมาก ก็ต้องมาพิจารณากันใหม่ว่ามีวิธีการอย่างไร
สิ่งสำคัญคือสื่อ ต้องไม่เน้นหวือหวา สะใจ เพราะเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่ยากจะเข้าใจ ต้องใช้เวลาและสร้างกระบวนการเรียนรู้ที่ถูกต้องกับสังคม การเปิดข้อมูลก็เป็นสิ่งสำคัญ ไม่ใช่ทำกระบวนการปิด แล้วมารับรู้ตอนจบทีเดียว อาจจะต้องเปิดพื้นที่สื่อให้มาคุยกันเรื่องนี้มากๆ แทนละคร ไม่ใช่ดูละครอยู่ทุกวัน แล้ววันหนึ่งมาบอกว่านิรโทษกรรมหรือเปล่า คงไม่ใช่ เพราะเรื่องแบบนี้คงสรุปกันสั้นๆ ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนในโลก
กระบวนการที่เราวางไว้ก็คือ ความจริงคืออะไร จากนั้นก็ค้นหาสาเหตุว่าความขัดแย้งที่นำมาสู่สถานการณ์ที่เป็นอยู่นี้คือ อะไร แล้วก็นำไปสู่ว่าจะสร้างความยุติธรรมได้อย่างไร เช่น ฟ้องคดีกับคนที่ควรฟ้อง สร้างกระบวนการรับผิดชอบสำหรับคนที่ควรรับผิดชอบ และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่ต้องแก้กันที่โครงสร้างสังคม ก็ต้องทำไป วิธีคิดของเราเป็นแบบนี้
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง