มากกว่า จะจับตาความเคลื่อนไหว น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิง ในเรื่องการบริหารประเทศ ทั้งการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา การผลักดันนโยบายที่พรรคเพื่อไทยใช้หาเสียง เลือกตั้ง ทั้งค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท เงินเดือนข้าราชการและผู้จบปริญญาตรีใหม่ 15,000 บาท แจกแท๊บเล็ต เด็กป.1 ทั่วประเทศ ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ฯลฯ
นั่นเป็นเพราะอย่างไรเสีย สังคมไทยในขณะนี้ก็เชื่อไปแล้วเกือบ 100% คนมีอำนาจ ชี้เป็น ชี้ตายให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ 1ตัวจริงได้ ก็คือนายใหญ่ที่ดูไบ ส่วนนายกรัฐมนตรีหญิงก็เป็นเหมือนโคลนนิ่งของนายห้างตราใบห่อที่เป็นพี่ชาย เท่านั้น
โดยถ้าจับคำให้สัมภาษณ์ ของ นส.ยิ่งลักษณ์ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าไม่ว่าเรื่องใด จะเล็กหรือใหญ่ แทบไม่เคยฟันธงอะไรออกมาได้เลย นอกจากกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า"ต้องรอทำตามขั้นตอนและกรอบของกฎหมาย"หรือไม่ก็"ต้องรอฟังมติที่ประชุม ใหญ่พรรคเพื่อไทย" หรือ"พรรคเพื่อไทยไม่มีนโยบายในเรื่องนี้" ไม่ว่า กรณีคืนพาสสปอร์ตเล่มแดง กรณีญี่ปุ่นออกวีซ่า อนุญาตให้ พ.ต.ท. ทักษิณ เข้าประเทศ ซึ่งเจ้าหน้าที่ทูต แดนอาทิตย์อุทัย ระบุ สวนทางกับรมว.กต.ไทย ว่า ทำตามคำร้องขอของรัฐบาลไทย ขณะที่ตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์เอง ก็ออกมากล่าวยืนยันเช่นกัน ส่วนตัวไม่เกี่ยวข้องปล่อยให้ข้าราชการทำงานกันไปตามกรอบกฎหมาย เรื่อยมาจนถึงการเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีการกล่าวหากันว่า ทำเพื่อคนๆเดียวหรือไม่
สำหรับสถานการณ์การเมืองที่เป็นอยู่ในขณะนี้จากนี้ไป ขอฟันธง! ยิ่งเห็นการเคลื่อนไหวจากพ.ต.ท. ทักษิณ มากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งไม่ส่งผลดีต่อรัฐบาลของน.ส. ยิ่งลักษณ์ น้องสาวคนสุดท้องตระกูลชินวัตร มากขึ้นเท่านั้น เพราะเป็นการตอกย้ำภาพผู้มีอำนาจตัวจริง เสียงจริงที่อยู่เบื้องหลังพรรคเพื่อไทย รวมไปถึงกลุ่มแกนนำนปช . ยิ่งปรากฎข่าว พ.ต.ท.ทักษิณตัดสินใจ เดินทางแวะมาพบกับสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาแบบปัจจุบันทันด่วน โดยมีข่าว กลุ่มส.ส. พท.แข่งกัน ตามออกไปร่วมแสดงความยินดี ด้วยแล้ว
ระวังจะเข้าทางฝ่ายตรงข้าม ที่มีการปล่อยข่าว"ทักษิณ" บิน มากัมพูชาอย่างรีบร้อน เพียงเพราะต้องการ หารือเรื่องผลประโยชน์ ธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย รวมไปถึงมีการเปิดประเด็น ข่าวรัฐบาลยิ่งลักษณ์ 1 เตรียมชงเรื่องแก้รัฐธรรมนูญโดยให้นำรธน.ปี 2540 บางส่วน กลับมาสวมใช้ โดยไม่ต้องผ่านการทำประชามติด้วยแล้ว ไม่ว่าข่าวดังกล่าวจะเป็นความจริงหรือเป็นแค่ข่าวปล่อย นายกฯปูเองต้องมีความระมัดระวัง หากยังต้องการ บริหารงานได้อย่างราบรื่นก็ควรออกมา ดับกระแสดังกล่าวด้วยตัวเอง ไม่ควรปล่อยไปเหมือน"ไฟลามทุ่ง" ยิ่งถ้าข้อสงสัยของสังคมไม่เป็นความจริงด้วยแล้ว
ขณะเดียวกัน ก็มีการตั้งข้อสังเกตไปยัง รัฐบาลยิ่งลักษณ์ 1 ที่จู่ๆก็มีการปรับปรับเปลี่ยนท่าที ทางการเมือง จากเป็นไปแบบช้าๆกลายมาเป็นรุกเร็วแบบไม่ทันตั้งตัว ดูๆไป ลีลาช่างคลับคล้ายคลับคลา การบริหารงานของ พ.ต.ท. ทักษิณ ที่มีสไตล์การทำงานที่รวดเร็วติดตาตรึงใจประชาชน ตั้งแต่สมัยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเสียจริง ทำให้อดคิดไปไม่ได้ว่า ผู้ที่อยู่หลังฉาก กำหนดเกมเล่นไม่น่าจะใช่นายกรัฐมนตรีหญิงคนที่ 28 ของประเทศก็เป็นได้
เมื่อโอกาสที่รอมานานเปิดออก มีหรือ ที่จะไม่ไขว่คว้าเอาไว้ แต่อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ควรลืมบทเรียนอันเจ็บปวด ที่ผ่านมา การใจร้อนทำอะไรแบบรวดเร็วเพื่อให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้ได้ โดยที่ไม่มีการยับยั้งชั่งใจ วิเคราะห์ถึงผลดีผลเสียให้ดีเสียก่อน หากเกิดพลาดพลั่้งขึ้นมา กระแสตีกลับนอกจากจะตกม้าตายกลางทางแล้ว อาจถึงต้องเจ็บตัวด้วย หากกลายเป็นเช่นนั้นจริงจะบอกว่าทำไม?ถึงไม่เตือนกันก่อนก็ไม่ได้ ...
ไทยรัฐ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น