บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554

สื่อนอกแฉ'นโยบายพท.' รับจำนำข้าว-ทำราคาพุ่ง 'ทั่วเอเชีย'ต้องรับกรรม!! เงินเฟ้อจะกลับมารุนแรง


"บลูม เบิร์ก" แฉนโยบายรับจำนำข้าวของ "พท." จะทำให้ "เอเชีย" ต้องรับกรรม เพราะไทยเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่สุดในโลก ส่งผลทำให้ราคาข้าวทั่วภูมิภาคเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลทำให้ "ภาวะเงินเฟ้อ" จะกลับมารุนแรงอีกครั้ง


สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานเมื่อวันที่ 17 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า ภูมิภาคเอเชียทั้งหมดอาจต้องรับกรรม จากนโยบายจำนำข้าวในราคาสูงของรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี เพราะไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลก นโยบายดังกล่าวจะทำให้ราคาข้าวทั่วภูมิภาคซึ่งบริโภคข้าวคิดเป็น 87% ของทั้งโลก เพิ่มสูงขึ้น

นายฉั่ว ฮัก บิน นักเศรษฐศาสตร์ของเมอร์ริล ลินช์ ธนาคารสัญชาติอเมริกาในสิงคโปร์ กล่าวว่า ราคาข้าวแพงจะหมายถึงแรงกดดันเงินเฟ้อในเอเชียสูงขึ้น ในช่วงเวลาที่อัตราเงินเฟ้อขึ้นไปสูงสุดของเป้าหมายที่ธนาคารกลางของแต่ละ ชาติตั้งเป้า หรือคาดการณ์ไว้ เมื่อสถานภาพทางเศรษฐกิจโลกเริ่มกลับมามีเสถียรภาพ ภาวะเงินเฟ้อจะกลับมารุนแรงอีกครั้ง

บลูมเบิร์ก ยังระบุว่า นโยบายเร่งด่วนหลายเรื่องที่จะกระตุ้นการบริโภคของรัฐบาลไทย ทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะสร้างความสับสนให้กับนโยบายการเงินทั่วทั้งเอเชีย จากการที่ราคาอาหารที่สูงขึ้นเพิ่มแรงกดดันให้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

ทั้ง นี้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ให้สัมภาษณ์หลังเดินทางเข้ากระทรวงพาณิชย์เป็นวันแรกว่า คาดว่ารัฐบาลจะเริ่มรับจำนำข้าวเปลือกนาปี 2554/55 ในเดือนพ.ย.นี้ ซึ่งต้องหารือพรรคร่วมรัฐบาลถึงเงื่อนไขและวิธีการรับจำนำ โดยจะรับจำนำข้าวเปลือกเจ้าตันละ 15,000 บาท และข้าวเปลือกหอมมะลิ 20,000 บาท และให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) รับซื้อข้าวจากเกษตรกรเพื่อส่งออกแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ด้วย สต๊อกข้าว 2.1 ล้านตันก็จะใช้วิธีการทยอยระบาย บางส่วนก็อาจนำมาทำข้าวถุง
"การรับจำนำเป็นการดึงราคาข้าวให้สูงขึ้น แต่อาจไม่มีการจำนำทั้งหมด เอกชนคงเข้ามาซื้อแข่ง ซึ่งที่ผ่านมา ราคาข้าวไม่ได้ขยับขึ้นเลย ก็เพราะรอการชดเชยจากรัฐบาล ไม่มีการแข่งขัน ที่ได้ประโยชน์คือประเทศนำเข้าที่ซื้อขายได้ถูก และการส่งออกที่ได้ข้าวราคาต่ำ ผมยังเชื่อว่าผู้ส่งออกไทยยังมีสามารถแข่งขันได้ ซึ่งก็จะให้ความช่วยเหลือด้านอื่นๆ ที่จะทำให้ต้นทุนต่ำลง"นายกิตติรัตน์ระบุ

แหล่งข่าวในกระทรวงพาณิชย์ คาดการณ์ว่า จะมีการเรียกประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ครั้งแรกในเดือนก.ย.นี้ เพื่อกำหนดเป้าหมาย ราคา และเงื่อนไข สำหรับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี 2554/55 เบื้องต้นกำหนดรับจำนำข้าวปริมาณ 8 ล้านตัน จากผลผลิตออกสู่ตลาด 22 ล้านตัน ใช้เงินประมาณ 1.2 แสนล้านบาท

เฝ้ารอ'อภิมหาขุมทรัพย์' ฝัน'นช.'ที่กำลังเป็นจริง

เฝ้ารอ'อภิมหาขุมทรัพย์' ฝัน'นช.'ที่กำลังเป็นจริง! มีสมุนสั่งได้-เด้งดึ๋งศัตรู 'NO MERCY FOR ENEMY'ที่สุดแล้ว “รายชื่อครม.แม่ปูกิ๊” ก็ออกมาปรากฏต่อสายตาประชาชี ชนิดที่เรียกว่า “ไม่สวย” เหมือน “หน้าตา” เล่นเอา “กองเชียร์” ถึงกับผิดหวังไปตามๆ กัน เข้าตำรา “ท่าดีทีเหลว” เพราะเปิดฉากโยนหินถามทางมาซะดี แต่จบแบบ “เสียงยี้” ดังกึกก้อง งานนี้เลยถูกขาเม้าท์ตั้งฉายากันมากมาย ทั้ง “ครม.ต่างตอบแทน-ครม.เจ๊จัดให้-ครม.ครอบครัวจัดเอง” ฯลฯ อันเป็นการสะท้อนภาพชัดว่า “น้องปูกิ๊” ที่นอกจากจะ “ไร้กึ๋น” แล้ว ยัง “ไร้ศักยภาพ” เพราะ “ตัวเอง” เป็นถึง “ผู้นำประเทศ” แต่ยังถูก “พี่ๆ-พี่สะใภ้” คอยบงการ-คอยจูงจมูก แบบสั่งซ้ายหัน-ขวาหัน...ก็ต้องทำ
ไม่ต้องแปลกใจหรอกว่า “ทำไม” บรรดามืออาชีพทั้งหลายที่มีการดีลกันก่อนหน้านี้ และมีทีท่าว่าจะตกปากรับคำมาร่วมงานกับ “น้องปูกิ๊” แต่พอถึงเวลา...กลับถอยดีกว่า-ไม่เอาดีกว่า...ก็เพราะรู้ดีว่า “ครอบครัวตัวดี” นั้น...เป็นอย่างไร บทเรียนในอดีตก็มีให้เห็นกันแล้วว่า แต่ละคนเป็น “จอมจุ้นจ้าน” ขนาดไหน???
แล้วถ้าเข้ามา...โดยแบกชื่อเสียง-เกียรติยศที่สะสมกันมา...แต่ดันทำงาน ไม่ได้ดี-ทำงานไม่ได้จริง...ผลเสียย่อมมีมากกว่าผลดี...แล้วใครจะกล้าไป เสี่ยง
จะเห็นว่า การจัดโผครม.รอบนี้ “รายชื่อพลิกผันรายวัน” เสนาบดีบางคนที่ใกล้ชิดกับ “ซือเจ๊คนหนึ่ง” ยังยอมรับเองว่า วันแรกๆ ที่ได้รับการติดต่อ...มีชื่ออยู่กระทรวงหนึ่ง-อีกวันดันไปโผล่อีกกระทรวง หนึ่ง-วันถัดไปก็เด้งไปอยู่อีกกระทรวงหนึ่ง...จนสรุปสุดท้าย “ชื่อไปจบ” ที่กระทรวงใหญ่ อันเป็นผลจากรายการ “เจ๊จัดให้” จริงๆ...555
ส่วนแผน “สกัดโจกแดง” ไม่ให้มาอยู่ร่วม เพื่อไม่ให้เป็นเสี้ยนหนามนั้น ก็ถูกกำหนดมาแล้ว ตั้งแต่เคสเขี่ย “รองโรมานอฟ” ออกไปให้พ้นๆ กับการชิงเก้าอี้ “ผู้นำสภาหินอ่อน” เพื่อเปิดทางให้ “ขุนค้อน” มาแบบม้วนเดียวจบ...แต่ถ้าจะเล่นง่ายๆ แบบนั้น ก็อาจไม่เนียน จึงมีการหยิบรายชื่อ “ตุ้ยนุ้ยเมืองกรุงเก่า” ออกมาร่วมเป็นอีกหนึ่งตัวเลือก ในที่สุดก็มีการเจรจากึ่งบีบให้ถอนตัวทั้ง “รองโรมานอฟ” และ “ตุ้ยนุ้ยเมืองกรุงเก่า” โดยมีรางวัลปลอบใจเป็นเก้าอี้ “เสนาบดีใหญ่...ทั้งคู่”
แต่ทำไปทำมา... “ตุ้ยนุ้ยเมืองกรุงเก่า” ก็ได้รางวัลใหญ่สมใจ ด้วยการไปคุมกระทรวงหมอ แต่สำหรับ “รองโรมานอฟ” ดันมาเจอทีเด็ด “เจ๊จัดให้” เข้าอีก ด้วยการเสนอ “ลูกน้องคนสนิท” ไปนั่งคุมกระทรวงที่ดูแลการเรียนการสอน โดยเขี่ยให้ “รองโรมานอฟ” ไปนุ่งเก้าอี้ลอยๆ เพื่อให้คนที่เคยเรียก “ท่านรองฯ” ก็ยังคงเรียก “ท่านรองฯ” ต่อไป...555 สุดท้ายเมื่อรู้ตัวว่า “ถูกหลอก” ก็เลยหมั่นไส้ ขอถอนตัวไม่รับเก้าอี้ใดๆ เลย
แต่ที่เป็นปมปัญหาสุดๆ ดันอยู่ที่ “กระทรวงบัวแก้ว” ที่ตอนแรกติดต่อใครไป ก็มีแนวโน้มที่ดี...แต่พอได้รับรู้ “เงื่อนไขบางอย่าง” ที่ “นักโทษแดนไกล” ตั้งเป้ามาให้ว่า “ต้องทำให้ได้” หลายคนก็เริ่มหวั่นไหว เพราะรู้ดีว่าเป็น “ของร้อน” ดี-ไม่ดี...อาจจบไม่สวยแบบ “ตาเหล่หัวเถิก” ก่อนหน้านี้ก็เป็นได้
หลายคนจึงหาข้ออ้างมาบอกปัดกันยกใหญ่ ส่วนจะมอบหมายให้ “ทูต ว.” ที่เคยช่วยเหลือเกื้อกูลกันในยามตกยาก...หลังโดนปฏิวัติ ซึ่งเจ้าตัวก็ตอบรับดี แต่เช็คไปเช็คมากลับไปติดขัดที่ปัญหา “เมียตัวดี” ที่ไปทำเรื่องฉาวไว้หลายเรื่อง และอาจมีปมปัญหาเรื่อง “ยื่นบัญชีทรัพย์สิน...ลำบาก” สุดท้ายเลยต้องยอมถอย
ส้ม...จึงมาหล่นใส่ “โป๊งเหน่งจอมบ้า” ที่รับรู้กันดีว่า “มีลูกบ้าสุดๆ” ที่สำคัญยัง “ดองญาติห่างๆ” และพร้อมจะตอบสนองรับใช้อย่างถวายหัว...โดยไม่สนว่า “ผมที่เหลือน้อย” จะหลุดจน “ล้านทั้งหัว” หรือไม่...555
ส่วนกระทรวงที่เกี่ยวกับเรื่องเงินๆ ทองๆ “มืออาชีพ” ต่างเผ่นหนีกันถ้วนหน้า...เพราะเงื่อนไขที่คุยกันเบื้องต้นก็คือ “ขอความอิสระ-จัดทีมงานกันเอง” แต่เมื่อเรื่องนี้รู้ไปถึงหู “นักโทษแดนไกล” ก็มีเสียงบริภาษมาตามสายทันทีว่า “งั้นก็ไม่เอา”
เพราะเป้าหมายของ “นักโทษแดนไกล” ในกระทรวงนี้ ก็ไม่ต่างไปจาก “กระทรวงบัวแก้ว” ที่จะต้อง “ทำตามคำสั่ง...อย่างเดียว” หากมีความคิดอื่น กลัวว่าจะมาทำให้ “ผลประโยชน์...ลอยหาย”
ถามไถ่กันเหลือเกินว่า ทำไม 2 กระทรวงนี้ถึงสำคัญ “พี่ใหญ่-อ.ย.” นั่งบอก “ไต่กอ” ตั้งแต่ก่อนฟอร์มครม.จะเสร็จแล้วว่า คอยดูสิ...2 กระทรวงนี้จะต้องเป็นคนที่ “เขาสั่งได้” ถ้าสั่งไม่ได้ ไม่มีสิทธิ์มานั่งแน่
เพราะ “คนหนึ่ง” จะต้องมาเรื่อง “คุมนโยบายค่าเงิน” และ “การซื้อทองเป็นทุนสำรอง” ซึ่ง “คนที่ได้รับแต่งตั้ง” ก็รู้กันดีว่า ในอดีตทำงานถวายตัว-ถวายหัว...แบบสุดใจขาดดิ้นแค่ไหน โดยเฉพาะในคดีซุกหุ้น
“อีกคน” จะต้องมาเคลียร์ผลประโยชน์อันมหาศาลใน “ขุมทรัพย์ที่เป็นพื้นที่ร่วม” ระหว่าง “ไทย-เขมร” โดยเฉพาะ “ขุมทรัพย์น้ำมัน-ขุมทรัพย์ก๊าซ” ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาลหล่อหลักลอย...พยายามสกัด จนทำให้ “ผู้นำกุ๊ยจอมบ้าคลั่ง” ถึงกับไม่พอใจ “เสนาบดีกุ๊ย” ของเรา...ไม่ต้องดูอื่นไกล พอ “น้องปูกิ๊” ได้รับแต่งตั้งเป็นทางการ “สาสน์แสดงความยินดี” จาก “ผู้นำกุ๊ยจอมบ้าคลั่ง” ก็ส่งมาเร็วยิ่งกว่าส่งอีเมล์เสียอีก ขณะที่ “ทูตของเขา” ก็แจ้นมาพบกับ “น้องปูกิ๊” แบบเปิดซิงเก้าอี้ผู้นำทีเดียวเชียว
หากยังจำอดีตของ “จอมโกงหน้าเหลี่ยม” ที่สร้างความร่ำรวยให้กับตัวเองนั้น นอกเหนือจาก “สัมปทานผูกขาด” ก็จะมีเรื่อง “ค่าเงิน” และ “ขุมทรัพย์ในตลาดหุ้น” มาเกี่ยวข้อง เพราะเป็นช่องทางในการ “ผ่องถ่าย” เอาไปซุกในต่างแดนได้อย่างสบายใจเฉิบ...และที่ปรากฏชัดให้เห็นแล้วก็คือ ขนาดโดนยึดทรัพย์ 6 หมื่นกว่าล้าน แต่ “เขา” และ “ครอบครัว” ก็ยังเหลือเงินมหาศาลใช้แบบไม่หมด...มีเหลือเฟือ จนสามารถใช้จ้าง “สมุน” ออกมาป่วนบ้านป่วนเมือง...กันมาแล้ว
ส่วนกระทรวงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับปากท้อง หรืองานประมูลนั้น...ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ “จอมโกงหน้าเหลี่ยม” ก็จะไม่ค่อยอยากไปยุ่ง สู้เอาเวลาไป “สร้างผลงานมั่วๆ” หลอกชาวบ้าน และไว้ใช้หากินตอนหาเสียงดีกว่า
“พี่ใหญ่-อ.ย.” ประเมินคร่าวๆ หากงานนี้ “นักโทษเหลี่ยมจัด” ทำสำเร็จ...ในช่วงที่ “น้องปูกิ๊” ยังอยู่ในอำนาจ “เขา” จะมีเงินนอกระบบ...ที่ผู้คนตรวจสอบไม่ได้อีกไม่ต่ำกว่า “แสนล้านบาท” ต่อปี...นะ...จะบอกให้
เพราะเพียงแค่เรื่อง “การออกนโยบายเกี่ยวกับค่าเงิน” หรือการออกมาจ้อของคนที่ดูแลรับผิดชอบในเรื่องนโยบาย-เรื่องหุ้น...โดยที่ “เขา” รู้ล่วงหน้า...ก็สามารถทำเงินให้ “เขา” ได้อย่างมหาศาล ยิ่งสามารถเจรจาดีลกับ “ผู้นำกุ๊ยจอมบ้าคลั่ง” ได้สำเร็จ...รับรอง ต่อให้ตายอีก 10 ชาติ...ก็ยังมีเหลือเฟือ
ที่น่าหมั่นไส้และรู้สึกสงสารบรรดาสาวกที่ไปหลงงมงายกับ “จอมโกงเหลี่ยมจัด” ก็คือ ความร่ำรวยของเขาและตระกูลนั้น “มหาศาล...จนหาที่สุดมิได้” แต่กลับบริจาคเพื่อสังคม-เพื่อการกุศล...แค่หลักร้อยล้าน-หลักพันล้าน...บางทียังแอบเห็นแค่หลักสิบล้านก็ยังมี เพื่อหวังเอาหน้า ซึ่งคนได้รับบริจาคก็เทิดทูนออกนอกหน้า
ในขณะที่ “ครอบครัวตัวดี...ของเขา” กลับอวดร่ำอวดรวย ทั้งโชว์ว่ามีเครื่องบินส่วน-มีคฤหาสน์หรูใหญ่โตในดูไบ-มีเครื่องเพชรเม็ด เท่าไข่-ถือกระเป๋าใบหลายล้าน-นั่งรถหรูราคาหลายสิบล้าน ฯลฯ เรียกว่า...ใช้ชีวิตกันอย่าง “เลิศหรู...อลังการงานสร้าง” แม้แต่คฤหาสน์ของ “น้องปูกิ๊” ที่ปรากฏโฉมออกมา ก็ตีราคากันถึง 250 ล้านบาททีเดียวเชียว...
ยิ่งล่าสุด...มาเห็นข่าวเปิดตัว “ว่าที่ลูกเขย” ที่ก็ร่ำรวย และไปร่วมฉลองวันเกิดกันในยุโรป...ซึ่ง ช่างเป็นภาพที่ขัดแย้งกับ “สาวก-ลูกสมุน” ที่เคยออกมาต่อสู้เย้วๆ อยู่ข้างถนน...ที่หลายคนยังติดคุกฟรี-บางคนตายฟรี-หลายคนคดีเพียบ-หลายคนถึง กับต้องเผ่นไปต่างแดน ฯลฯ
ยิ่งล่าสุด...มาเห็นความตั้งใจที่จะ “เด้งดึ๋งๆ” หรือ “แต่งตั้ง” บรรดา “บิ๊กข้าราชการต่างๆ” โดยเฉพาะตำแหน่งที่มีส่วนได้เสียกับสิ่งที่ “เขารอคอย” คือ “ทหาร-ตำรวจ-สรรพากร-อัยการ-ก.ล.ต.-ตลท.” เพื่อให้ “คนของตัวเอง” เข้ามานั่งแทนนั้น...ก็ยิ่งทำให้เห็นชัดว่า การช่วงชิงเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ...ที่ก่อนหน้านี้พยายามอ่อนน้อมถ่อมตัว- ชูแนวทางการปรองดองนั้น เป็นแค่ “ลมปากเหม็นเน่า” เพราะเวลานี้ “อำนาจในมือ” ที่ถือผ่าน “โคลนนิ่ง” นั้น มีเต็มสูบ...จึงไม่ต้องเกรงอกเกรงใจใครอีกแล้ว
เพราะขืนมีรายการแหกโผขึ้นมาอีก ก็ยังมี “สาวกหน้าโง่” คอยออกมาเสนอหน้าปกป้อง “ตัวเขาและครอบครัว” เหมือนเดิม
วลีเด็ดที่บอกว่า “ไม่แก้แค้น แต่จะแก้ไข” และ “สร้างสุข-สลายทุกข์” นั้น คงต้องเป็นตรงกันข้ามแน่ๆ นั่นคือ “ไม่แก้ไข แต่จะจ้องแก้แค้น” กับ “สร้างทุกข์-สลายสุข”
คิดออกหรือยัง...บรรดาขั้วอำนาจเก่า-บรรดาอำมาตย์ทั้งหลาย ว่าสิ่งที่ “พี่ใหญ่-อ.ย.” เคยบอก-เคยเตือนไปนั้น มันเป็นอย่างไร เพราะสิ่งที่ “จอมโกงเหลี่ยมจัด” คิดในหัวตลอดก็คือ No Mercy for Enemy
เมื่อฝ่ายตัวเองมีอำนาจแล้วไม่ทำ...ถึงเวลา “เขามีอำนาจ” แล้วทำ...ก็อย่ามาร้องไห้ขี้มูกโป่งละกัน...555
........................................
คอลัมน์ “ซุบซิบไทยอินไซเดอร์”
โดย “ไต่กอ”

เลหลัง... ที่ดินรัชดาฯ​แลหลัง... คำบิด​เบือนของทักษิณ

(สารส้ม)


เห็นกัน​หรือยัง ว่า​ใครรัง​แก​ผู้หญิง
​เห็นกัน​แล้ว​ใช่​ไหม ว่า​ใคร​ผู้หญิง​เป็น​เครื่องมือ
​เห็นกัน​แล้วสิ ว่า​ใครหลบอยู่หลังชายกระ​โปรง​ผู้หญิง
​ไม่ว่าจะกรณีวีซ่า​เข้าญี่ปุ่น กรณี​แอม​เพิลริช ​หรือกรณีจะ​แก้รัฐธรรมนูญ ฯลฯ ​ทั้งหมด​ก็ล้วน​แต่มี​การ​ใช้​ผู้หญิง​เป็น​เครื่องมือบรรลุผลประ​โยชน์ของ ตัว​เอง​ทั้งสิ้น
​แม้​แต่กรณีที่ดินรัชดาฯ ถ้าย้อนกลับ​ไปดู​ก็จะ​เห็นพฤติกรรม​การ​เอา​ผู้หญิงบังหน้าของคนๆ นี้
1) ล่าสุด... กองทุนฟื้นฟูฯ ​ได้ประมูลขายที่ดินรัชดาฯ (​แปลงที่ทักษิณ​และภริยา​เคยฮุบ​ไป​ได้) ออก​ไป​แล้ว
บริษัทที่​ผู้ชนะ​การประมูล คือ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ​เสนอราคาประมาณ 1,800 ล้านบาท
​เปรียบ​เทียบกับราคาที่ภริยาทักษิณ​เคยยื่นซื้อ​ไปจากรัฐบาลของสามี ​ในราคา​ไม่​ถึง 800 ล้านบาท
พูดง่ายๆ ว่า หน่วยงานรัฐสามารถขายที่ดิน​ได้ราคาสูงกว่า​เดิมกว่า 1,000 ล้านบาท
2) ​ไม่​แปลก​ใจ... ​การขาย​เลหลังที่ดินรัชดาฯ ย่อมจะ​ได้ราคาดีกว่าขาย​ให้ภริยาทักษิณ
คิดง่ายๆ... ​แค่​เวลาผ่าน​ไป ที่ดิน​ทำ​เลดังกล่าว ย่อมจะมีราคาสูงขึ้นตามมูลค่าทางพาณิชย์
ยัง​ไม่ต้องคำนึงว่า ​การนำออกขาย​ในยุคทักษิณนั้น ​ได้มีกระบวน​การประมูล ​การกำหนดราคาขั้นต่ำ ​หรือ​แม้​แต่​การ​ใช้อำนาจรัฐมา​เข้า​เอื้ออำนวยช่วย​ผู้ซื้ออย่าง​ไรบ้าง
ดังปรากฏว่า มีข้อพิรุธ ข้อครหา มากมายหลายประ​เด็น ​เช่น ​เหตุ​ใด​เมียทักษิณ​จึงซื้อ​ได้​ไป​ในราคาถูกกว่าราคาขั้นต่ำที่​เคยประกาศ ​ใน​การ​เปิดประมูลครั้ง​แรก? ​เหตุ​ใด​การประมูล​จึงกำหนด​ให้​ผู้​เข้าประมูลต้องวางมัดจำสูง​ถึง 100 ล้านบาท ​เกินกว่าระ​เบียบราช​การ จน​ทำ​ให้มี​ผู้​เข้า​แข่งขันน้อยราย?
​แถมหลังจากที่​เมียทักษิณซื้อที่ดินของรัฐ​ไป​แล้ว ปรากฏว่า มี​การ​ใช้อำนาจรัฐยก​เลิกข้อจำกัด​เรื่อง​ความสูงอาคาร​ใน​การก่อสร้างบน ที่ดิน​แปลงดังกล่าว ​ทำ​ให้ราคาที่ดินพุ่งสูงขึ้น ​โดยยก​เลิกข้อห้ามมิ​ให้สร้างตึกสูง​ไม่​เกิน 5 ชั้น ​หรือ 23 ​เมตร ​ซึ่ง​เป็นข้อจำกัดที่มีอยู่​ในช่วงประมูล ​เป็น​เหตุ​ให้มีคนมา​เสนอราคาน้อยราย ประ​เมินมูลค่าที่ดินต่ำ ​แต่พอ​เมียทักษิณ​ได้​เป็น​เจ้าของ​เท่านั้น ​ก็มี​การยก​เลิกข้อจำกัดดังกล่าว จน​ทำ​ให้มูลค่าที่ดินพุ่งสูงขึ้นทันที
นอกจากนี้ รัฐบาลทักษิณอุตส่าห์ประกาศ​ให้วันที่ 31 ธันวาคม 2546 ​ไม่​เป็นวันหยุดราช​การ ​เอื้อ​ให้​เกิด​การ​เร่งรัด​โอนที่ดิน​แปลงดังกล่าว ช่วย​ให้​เมียประหยัดค่า​โอนที่ดินมากกว่า 10 ล้านบาท ​เพราะถ้า​เลย​ไป​ถึงปี 2547 จะมี​การปรับขึ้นค่า​โอนที่ดิน ​เป็นต้น
3) ​การขาย​เลหลังที่ดินรัชดาฯ ​ไม่ว่าจะขาย​ได้ราคาถูก​หรือ​แพง​เพียง​ใด ​ก็​ไม่​เกี่ยวกับคดีที่ดินรัชดาฯ ของทักษิณ ชินวัตร ​ซึ่งคดีนั้นศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษา คดี​ถึงที่สุด​ไป​แล้ว
ประ​เด็น​ความผิด​ในคดีที่ดินรัชดาฯ ​ไม่​เกี่ยวกับราคาขายที่ดิน!
​แต่มัน​เกี่ยวกับสถานะของ​ผู้​เข้ามาซื้อที่ดินว่า​เป็นคู่สมรสของนายกรัฐมนตรี (​ในขณะนั้น)
4) ​โอกาสนี้... ​แลหลัง​ไปดูคำบิด​เบือนของทักษิณ​และพวก ​ซึ่งมักออกมา​แถ​แบบหน้ามืดตามัว ​เช่น
4.1 ทักษิณถูกกลั่น​แกล้ง....
​ใน​ความ​เป็นจริง... กฎหมายที่​ใช้ตัดสิน​ในคดีที่ดินรัชดาฯ ​ไม่​ใช่กฎหมาย​เผด็จ​การ ​แต่​เป็นกฎหมาย ป.ป.ช. ที่มีมาตั้ง​แต่ก่อนทักษิณจะ​เข้ามา​เป็นนายกฯ
หลักฐานต่างๆ ที่​ใช้​ในคดี ล้วน​แต่​เป็นข้อ​เท็จจริง ​ไม่มีหลักฐานปลอม ​หรือ​การ​ใส่ร้ายป้ายสี​ใดๆ ​เลย ​โดยทุกอย่างมี​เอกสารอ้างอิงชัด​แจ้ง ถูกต้อง​ทั้งหมด
ยิ่งกว่านั้น ทักษิณยัง​ได้​เข้ามาต่อสู้ตามกระบวน​การยุติธรรมอย่าง​เต็มที่ ​ในช่วงที่รัฐบาลหุ่น​เชิดครองอำนาจอยู่ด้วยซ้ำ ทุกประ​เด็น​ใดที่พวก​เขาอ้างว่า​ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ​ก็​ได้ยื่นศาลรัฐ ธรรมนูญ​ให้วินิจฉัยชี้ขาด​ไปจนหมดสิ้น​แล้ว ​โดยที่ศาลยุติธรรม​ก็ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ​ไม่ยอมถูก​แทรก​แซง
​แต่​แล้ว... ​ใกล้​ถึงวันพิพากษา ทักษิณ​ก็หนีออกนอกประ​เทศ​ไป​เอง ​แถมยังปรากฏตามมาว่า ทนายของทักษิณ​ในคดีนี้ถูกจับ​ได้ว่า​เอา​เงิน 2 ล้าน​ใส่ถุงขนมมา​เสนอ​ให้​เจ้าหน้าที่ศาล กระทั่งถูกสั่งจำคุกฐานละ​เมิดอำนาจศาลด้วยซ้ำ
งานนี้ หากจะมีฝ่ายที่พยายาม​แทรก​แซงอำนาจศาล ​ก็น่าจะ​เป็นฝ่ายทักษิณนั่น​เอง
4.2 ​เมีย​เป็นคนซื้อ​ไม่ผิด ผัว​แค่​เซ็นต์ชื่อกลับผิด...
​ใน​ความ​เป็นจริง... ทักษิณมี​ความผิด ​แต่​เมีย​ไม่มี​ความผิด ​เพราะ​เมีย​ไม่​ใช่​เจ้าหน้าที่รัฐที่จะต้องถูกลง​โทษตามกฎหมาย ป.ป.ช.
ทักษิณผิด ​เพราะ​เป็นนายกฯ ที่กระ​ทำผิดกฎหมาย ป.ป.ช. ​โดย​ไปรู้​เห็น​เป็น​ใจ​ให้คู่สมรสของตน​เข้ามา​ทำสัญญาซื้อที่ดินของหน่วย งานของรัฐที่อยู่ภาย​ใต้อำนาจ​การกำกับดู​แลของตน​เอง
​เป็น​การกระ​ทำที่​เป็น​การขัดกันของประ​โยชน์ส่วนตัว​และผลประ​โยชน์ ส่วนรวม ต้องห้ามตามกฎหมาย ป.ป.ช. ​ซึ่ง​ในคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ บางตอน สามารถลำดับ​ความ​เข้า​ใจ​ได้ง่ายๆ ​เช่น
"...จำ​เลยที่ 1 (ทักษิณ) ​เป็น​เจ้าหน้าที่ของรัฐ ​ผู้มีอำนาจ​ใน​การกำกับดู​แลกองทุน​เพื่อ​การฟื้นฟู​และพัฒนาระบบสถาบัน​ การ​เงิน ​เมื่อจำ​เลยที่ 2 ​เป็นคู่สมรสของจำ​เลยที่ 1 ​การซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำ​เลยที่ 2 กับกองทุนฟื้นฟู​และพัฒนาระบบสถาบัน​การ​เงิน​จึง​เป็น​เรื่องผลประ​โยชน์ ส่วนบุคคลขัด​แย้งผลประ​โยชน์ส่วนรวม ​ซึ่งต้องห้ามมิ​ให้กระ​ทำ
จำ​เลยที่ 1 (ทักษิณ) ​เป็น​เจ้าหน้าที่ของรัฐ ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย​การป้องกัน​และปราบปราม​การ ทุจริต พ.ศ.2552 มาตรา 100(1) ต้องรับ​โทษตามที่บัญญัติ​ไว้​ในมาตรา 122 วรรคหนึ่ง
ส่วนจำ​เลยที่ 2 นั้น มาตรา 100 ​เป็นบทบัญญัติ​ให้​การกระ​ทำ​เป็น​ความผิด​เนื่องจาก​ผู้กระ​ทำ​เป็น​เจ้า หน้าที่ของรัฐ ​ทั้งยังบัญญัติ​ให้​การกระ​ทำของคู่สมรสของ​เจ้าหน้าที่ของรัฐ​ถึง​เป็น​ การกระ​ทำของ​เจ้าหน้าที่รัฐ​เอง ​แต่มาตรา 122 ​ซึ่ง​เป็นบทกำหนด​โทษของ​ผู้ฝ่าฝืนมาตรา 100 ระบุ​ไว้ชัด​เจนว่า ​ให้ลง​โทษ​แก่​เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ฝ่าฝืนมาตรา 100 ​ไม่​ได้ระบุ​ให้ลง​โทษรวม​ไป​ถึงคู่สมรส​หรือบุคคลอื่นด้วย จำ​เลยที่ 2 ​จึง​ไม่มี​ความผิด ​และ​ไม่ต้องร่วมรับ​โทษตามมาตรา 122 กับจำ​เลยที่ 1..."
4.3 ทักษิณ​ไม่​ได้​ทำผิดกฎหมาย ​แค่​ทำ​ในสิ่งที่กฎหมายห้าม...
​ใน​ความ​เป็นจริง... ​การ​ทำ​ในสิ่งที่กฎหมายห้าม มัน​ก็คือ​การ​ทำผิดกฎหมายนั่น​เอง
​เรื่องนี้ คน​ในสังคมที่มีสติ ​หรือวิญญูชนที่มีปัญญา คงจะ​ไม่มี​ใคร​ไปบ้าตามสารวัตร​เหลิม
กฎหมายบังคับ​ให้จ่ายภาษี ถ้า​ใคร​เข้าข่ายต้องจ่าย ​แล้ว​ไม่จ่ายภาษี มัน​ก็คือ​ทำผิดกฎหมาย
กฎหมายห้ามฆ่าคนตาย ​ไอ้ปื๊ดยิงคนตาย มัน​ก็คือ​ทำผิดกฎหมาย (​ไม่​เห็นอ้างว่า​แค่​ทำ​ในสิ่งที่กฎหมายห้าม)
กฎหมายห้ามนายกฯ ​และคู่สมรส มิ​ให้​เข้า​ไป​ทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ถ้า​ใคร​เป็นนายกฯ ​แล้ว​ไป​ทำอย่างนั้น มัน​ก็คือ​ทำผิดกฎหมาย.. ง่ายๆ.. ตรง​ไปตรงมา...
คง​เหลือ​แต่คน​โง่ คนบ้า ​หรือ​ไม่​ก็ข้าทาสของทักษิณ ที่ยังงมงาย​ในคำบิด​เบือนของทักษิณ​และพวกต่อ​ไป

ความจริงจากเรื่องทักษิณ เป็นไปได้!! ไง

ความจริงจากเรื่องทักษิณ

แล้ว “ความจริง”  ที่ถูก “ปกปิด”  มาตลอดในยุค รัฐบาลประชาธิปัตย์ ก็ถูกเปิดเผยออกมาจนได้ เมื่อ ดร.สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล

รัฐมนตรีต่างประเทศ เปิดเผยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่เคยมีชื่ออยู่ในบัญชีจับกุมของ ตำรวจสากล หรือ อินเตอร์โปล  เลยมาตั้งแต่ต้น

เรื่อง นี้แดงขึ้นหลังจากที่ โฆษกรัฐบาลญี่ปุ่น แถลงเมื่อวันจันทร์ว่า ญี่ปุ่นได้ออกวีซ่าให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่สถานกงสุลดูไบ ตามคำร้องขอของรัฐบาลไทย เพื่อไปเยือนพื้นที่ประสบภัยสึนามิที่จังหวัดมิยางิ ตั้งแต่วันที่ 22-28 สิงหาคม เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์

ไม่น่าเชื่อนะครับ หมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ ของ ตำรวจสากล ที่ รัฐบาลประชาธิปัตย์ ตีปี๊บมาตลอด จะกลายเป็นเรื่อง “เด็กเลี้ยงแกะ” ไปเสียฉิบ ทั้งๆที่รัฐบาลประชาธิปัตย์ได้แถลงเรื่องนี้อย่างเอิกเกริกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกตำรวจสากลขึ้นหมายแดงไปเรียบร้อยแล้ว จะถูกตามจับไปทั่วโลก

แค่ นั้นยังไม่พอ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอไอ สมัยนั้นยังมีการประชุมกับ ตำรวจ และ อัยการฝ่ายคดีต่างประเทศ เป็นเรื่องใหญ่โต เพื่อหาทางดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณกันอย่างเคร่งเครียดจริงจัง

สุดท้ายกลายเป็นเรื่อง  ละครตลกบริโภค ทุกอย่างเป็นเรื่องไม่จริงหมด

เมื่อ วันจันทร์ พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงยืนยันซํ้า กองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เคยร้องขอไปยัง อินเตอร์โปล ที่ประเทศฝรั่งเศส เพื่อให้พิจารณาขึ้นหมายแดง พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อสองปีก่อน

แต่ทาง อินเตอร์โปลไม่ได้ขึ้นหมายแดงให้ และมีหนังสือตอบกลับมาว่า กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เข้าเงื่อนไข การประกาศหมายแดงของทางอินเตอร์โปล

หลังจากนั้น กองการต่างประเทศก็ไม่ได้ร้องขอไปอีก จึงยืนยันได้ว่า ไม่มีการร้องถอนหมายแดงแต่อย่างใด เพราะอินเตอร์โปลไม่เคยขึ้นหมายแดง พ.ต.ท.ทักษิณมาก่อน

แล้วทำไม รัฐบาลประชาธิปัตย์ จึงไม่แถลงความจริงตั้งแต่ต้น แต่กลับทำให้ทุกคนเข้าใจผิดคิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณยังมีหมายจับตำรวจสากลอยู่มาถึง 2 ปี

ความจริงที่เกิดขึ้นวันนี้ สะท้อนการทำงานของ รัฐบาลประชาธิปัตย์ ตำรวจ อัยการ  และ ดีเอสไอ ในยุค รัฐบาลประชาธิปัตย์ ได้เป็นอย่างดี

แม้ ล่าสุด นักข่าวไปถาม คุณศิริศักดิ์ ติยะพรรณ อธิบดีอัยการฝ่ายต่างประเทศ ว่า จะมีการติดตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ญี่ปุ่น เพื่อให้มีการส่งผู้ร้ายข้ามแดนหรือไม่

เพราะ คุณนพดล ปัทมะ ทนายที่ปรึกษา พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ได้เปิดเผยถึง กำหนดการของ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างชัดเจนว่าอยู่ที่ไหน วันที่ 23 สิงหาคม เวลา 12.00 น. อยู่ให้สัมภาษณ์เรื่อง ประชาธิปไตยในประ- เทศไทย กับชมรมผู้สื่อข่าวญี่ปุ่น เวลา 18.00 น. จะไปบรรยายเรื่อง บทบาททางธุรกิจของเศรษฐกิจโลก วันที่ 24 จะไปบรรยายที่มหาวิทยาลัยทามะ วันที่ 25-26 จะไปเยี่ยมสถานที่เกิดเหตุสึนามิ

แต่ คุณศิริศักดิ์ ติยะพรรณ อธิบดีอัยการฝ่ายต่างประเทศ กลับตอบว่า การติดตามผู้ร้ายข้ามแดนของอัยการ ต้องรอให้กระทรวงต่างประเทศแจ้งที่อยู่ที่ชัดเจนของ พ.ต.ท.ทักษิณในญี่ปุ่นมาให้อัยการก่อน  หากไม่ทราบที่อยู่ที่ชัดเจน อัยการก็ไม่สามารถระบุรายละเอียดเพื่อทำหนังสือขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ อัยการไม่สามารถใช้ข้อมูลที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์หรือสื่อต่างๆได้

โอ้ พระเจ้าช่วยกล้วยทอด อะไร อัยการแผ่นดิน จะทำงานกันสบายขนาดนี้ จะต้องรอให้ผู้ต้องหาไปมอบตัวถึงที่ แล้วขอร้องให้กรุณาจับกุมทีเถิด ไหมเนี่ย ไม่งั้นก็คงต้องรอให้ ผู้ต้องหาแก่ตายไปเอง หรือ หมดอายุความ ที่เกิดขึ้นบ่อยๆ

วันนี้ผมไม่อยากวิจารณ์อะไร แต่เอา “เรื่องจริง”  จาก “พฤติกรรม” ของ “นักการเมือง” กับ “ข้าราชการไทย” และ “อัยการแผ่นดิน” ที่เกิดขึ้นสดๆร้อนๆมาบอกเล่าสู่กันฟัง ด้วยความรู้สึกที่สิ้นหวัง แล้ว “คนไทย” จะพึ่งพา “กระบวนยุติธรรม”  ของบ้านเมืองได้อย่างไร เศร้า อ่านว่า เศร้า.

“ลม เปลี่ยนทิศ”

จุดพลุแหล่งก๊าซขนาดใหญ่ในอีสาน ยันศักยภาพสูง-เหนือกว่าซาอุฯ

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น

รัฐเตรียมเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบ 21 เน้นพื้นที่ภาคอีสาน แย้มมีปริมาณก๊าซธรรมชาติสูงถึง 5-10 ล้านล้าน ลบ.ฟุต คิดเป็น 1 ใน 3 ของปริมาณในอ่าวไทย ชั้นความหนา 1-2 กม. และมีโครงสร้างที่ใหญ่มาก กินพื้นที่กว่า 1 แสนตาราง กม. ยันศักภาพรองรับโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ หรือผลิตก๊าซเอ็นจีวีป้อนได้ทั้งอีสาน คาดใหญ่กว่าซาอุฯ
      
       นายทรงภพ พลจันทร์ รักษาการอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เปิดเผยถึงแนวทางการหาแหล่งพลังงานใหม่ภายในประเทศ โดยระบุว่าขณะนี้ไทยมีความพร้อมในการเปิดสัมปทานสำรวจ และขุดเจาะปิโตรเลียมรอบใหม่รอบที่ 21 แล้ว โดยรอเพียงการตัดสินใจของรัฐบาลว่า จะตัดสินใจดำเนินการช่วงไหน
      
       รักษาการอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ยอมรับว่า ปัจจุบันแปลงปิโตรเลียมที่มีศักยภาพเหลืออยู่ทั่วประเทศมีประมาณ 30 แปลง โดยจะเปิดให้ผู้สนใจยื่นประมูลคราวละ 5 แปลง ซึ่งต่างจากครั้งที่ผ่านมาเปิดให้ขอสัมปทานทั้งปีในทั่วประเทศ และพบปัญหาหลายด้าน เช่น การถอนตัวเมื่อราคาน้ำมันในตลาดโลกต่ำลง
      
       สำหรับพื้นที่มีศักภาพเปิดสัมปทานในรอบที่ 21 คือ พื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีแหล่งปิโตรเลียมที่มีศักยภาพสูงกว่าแหล่งสัมปทานในอ่าวไทย หรือในภาคกลาง ที่เปิดสัมปทานไปจนเต็มพื้นที่เกือบหมดแล้ว ซึ่งการให้ความสำคัญกับการสำรวจปิโตรเลียมในภาคอีสานมาก เพราะการเปิดสัมปทานในรอบที่ 19 และ 20 เมื่อปี 2548 บริษัทที่ขอสัปทานสำรวจพบก๊าซในภาคอีสานเพิ่มมากขึ้น ซึ่งหากพบก๊าซในปริมาณที่มากพอจะสามารถก่อสร้างโรงไฟฟ้าแห่งใหม่เพิ่มเติม หรือนำมาผลิตเป็นก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์ (เอ็นจีวี) ขายให้ประชาชนในแถบอีสานได้
      
       นอกจากนี้ การประเมินทางธรณีวิทยาพบว่าในภาคอีสานน่าจะมีปริมาณก๊าซธรรมชาติถึง 5-10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต (ลบ.ฟุต) หรือคิดเป็น1 ใน 3 ของปริมาณในอ่าวไทย ซึ่งมีปริมาณสำรองที่พบแล้ว 30 ล้านล้าน ลบ.ฟุต โดยไทยต้องเร่งจัดหาก๊าซ เพราะปัจจุบันเหลือใช้ไม่เกิน 30 ปีข้างหน้า โดยในอ่าวไทยเหลือก๊าซอยู่เพียง 23-24 ล้านล้าน ลบ.ฟุต เท่านั้น มีการนำขึ้นมาใช้ปีละ 1 ล้านล้าน ลบ.ฟุต ขณะที่ปริมาณก๊าซที่ขุดพบในภาคอีสาน เช่น ในแหล่งน้ำพองจะหมดในอีก 4-5 ปี แหล่งภูฮ่อมมีสำรองเหลืออยู่อีก 100 ล้าน ลบ.ฟุต โดยบริษัทที่รับสัปทานอยู่ระหว่างการสำรวจอย่างละเอียดเพื่อหาก๊าซในแถบน้ำ พองเพิ่ม คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 4 เดือน
      
       อย่างไรก็ตาม เนื่องจากภาคอีสานมีหินต้นกำเนิดเป็นหินปูนที่ให้ก๊าซมากกว่าน้ำมัน ซึ่งมีอายุถึง 250 ล้านปี เป็นหินที่แข็งและหนามากประมาณ 1-2 กิโลเมตร และมีโครงสร้างที่ใหญ่มากมีพื้นที่กว่า 1 แสนตารางกิโลเมตร จึงต้องพิจาณาว่าจะดำเนินการอย่างไรเพื่อหารอยแตกของหินให้เจอเพื่อนำเอา ก๊าซมาใช้ในอนาคต
      
       “ผมบอกได้คำเดียวว่า ถ้าเราเจอก๊าซในทุกโครงสร้างของภาคอีสาน ผมว่าไทยจะใหญ่กว่าประเทศซาอุดิอาระเบียเสียอีก แต่ที่ผ่านมาโอกาสเจอก๊าซในภาคอีสานอยู่ที่ 20% เมื่อเทียบกับอ่าวไทยเจอในระดับ 50-60% และบางโครงสร้างที่ขุดเจาะสำรวจต้องใช้เวลากว่า 20 ปีถึงจะเจอหลุมก๊าซฯ” นายทรงภพกล่าวสรุป

อับอายขายขี้หน้า สื่อขี้ข้านักการเมือง สอบสวนแล้วข่าวหน้า 1 โดนหนัก

จากเจ้าพระยาถึงฝั่งโขง



วันที่ 17 สิงหาคม คณะอนุกรรมการเฉพาะเรื่องตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ของนักการเมืองระบุการให้เงินและผลประโยชน์แก่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน ซึ่งมีนายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน เป็นประธาน และกรรมการ ประกอบด้วย นพ.วิชัย นางบัญญัติ ทัศนียะเวช อดีตประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ รศ.ดร.ดรุณี หิรัญรักษ์ อดีตคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ศ.พิเศษ สิทธิโชค ศรีเจริญ รองประธานสภาหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ จากทีดีอาร์ไอ ซึ่งเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ร่วมแถลงข่าวความคืบหน้าผลการสอบสวนข้อเท็จจริงฯ ณ อาคารสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ถนนสามเสน
นพ.วิชัย กล่าวว่า คณะอนุกรรมการฯ ได้วางหลักในการตรวจสอบข้อเท็จจริงไว้ 3 ข้อ คือ 1.พยายามทำเพื่อประเทศชาติผลประโยชน์ของประชาชน และสื่อมวลชน 2.พยายามทำสิ่งที่เป็นพันธกิจของนักหนังสือพิมพ์ คือ ทำความจริงให้ปรากฎ และ 3.ในการพิจารรณข้อจริง คำให้การ และข้อสรุป จะยึดหลักฐานและหลักวิชาการ โดยให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย
“การ ตรวจสอบ มีการเชิญผู้มีชื่อถูกพาดพิงทั้งหมดมาให้ถ้อยคำ 4 ท่าน อีก 3 ท่านไม่มา และตรวจสอบการนำเสนอข่าวและสิ่งที่ปรากฎในหนังสือพิมพ์ 5 ฉบับ โดยกำหนดช่วงต้นเดือนมิถุนายน- 3 กรกฎาคม 2554 นำมาศึกษาวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ พร้อมขอความร่วมมือจากสื่อที่ถูกพาดพิง หลังจากทราบว่า มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงในองค์กรของตนแล้ว มีการขอข้อมูลทั้งหมด มาประกอบการพิจารณา”

สำหรับผลการตรวจสอบที่สำคัญๆ นั้น นพ.วิชัย กล่าวว่า จากพยานหลักฐานต่างๆ ที่ได้จากการตรวจสอบ คณะอนุกรรมการฯ มีข้อสรุปว่า


1.อี เมล์ที่เป็นปัญหานน่าจะส่งมาโดยบัญชี (accout) และรหัสผ่าน (password) ของนายวิม (รุ่งวัฒนะจินดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย และเชื่อได้ว่า นายวิม น่าจะเป็นผู้เขียนข้อความในอีเมล์ฉบับดังกล่าวเอง ด้วยเหตุผลหลายๆ ประการ
2. ในช่วงการเลือกตั้งที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยน่าจะมี “การบริหารจัดการสื่อมวลชน” ทั้งในระดับองค์กร และระดับบุคคลอย่างเป็นระบบ) เช่น มีการเลือกลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์บางฉบับ มีการประสานประเด็นข่าวกับผู้ประกอบวิชาชีพหนังสือพิมพ์ในระดับต่างๆ ตลอดจนน่าจะมีการจัดส่งภาพของตนไปลงตีพิมพ์ เป็นภาพข่าวในหนังสือพิมพ์ที่มีความสัมพันธ์ด้วย นอกจากนี้ยังมีข้อมูลว่า พรรคเพื่อไทยอาจมีการ “ดูแล” ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนที่ทำข่าวของพรรคบางรายด้วย
3. หนังสือพิมพ์บางฉบับที่ถูกพาดพิง ได้นำเสนอข่าวในช่วงเลือกตั้ง โดยมีความเอนเอียงในทางที่เป็นประโยชน์แก่พรรคเพื่อไทยอย่างค่อนข้างเป็น ระบบ ทั้งการพาดหัวข่าว การเลือกภาพที่นำมาลง การบรรยายประกอบภาพ และนำเสนอข่าวและบทความต่างๆ ที่มีเนื้อหาสนับสนุนพรรคเพื่อไทย
4.อนุกรรมการฯ ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่า มีการให้สินบนผู้ประกอบวิชาชีพหนังสือพิมพ์ตามเนื้อหาอีเมล์ดังกล่าวจริง หรือไม่ แต่เมื่อได้ตรวจสอบบทความที่ผู้ถูกพาดพิงแต่ละคนนำเสนอผ่านหนังสือพิมพ์ต้น สังกัดแล้ว เชื่อว่า ผู้ถูกพาดพิงส่วนใหญ่น่าจะไม่ได้มีพฤติกรรมการรับสินบนตามที่เป็นข่าว แม้จะมีข้อสงสัยต่อท่าทีของผู้ถูกพาดพิงบางรายว่า เหตุใดจึงมีพฤติกรรมต่างๆ ซึ่งน่าจะขัดต่อวิสัยปรกติของบุคคลทั่วไปในสถานการณ์ดังกล่าว


นพ.วิชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า
จากการศึกษาวิเคราะห์เนื้อหาข่าว การบรรยายประกอบภาพ พาดหัวข่าว และบทความที่เกี่ยวข้องกับผู้ถูกพาดพิงในอีเมล์ พบว่า มีหนังสือพิมพ์ 2-3 ฉบับมีความเอนเอียงอย่างชัดเจน เช่น ลงข่าว ภาพ ในทางที่เป็นบวก ต่อนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างชัดเจน เราไม่เชื่อคำพูด แต่ทั้งหมดจากหลักฐาน ดูจากสื่อที่ปรากฏ ส่วนกรณีผลสอบระบุว่า พรรคเพื่อไทย น่าจะมีการบริหารจัดการสื่อมวลชนว่า คำนี้ มีนัยและมีความหมายพิเศษ ตีความได้หลากหลาย ซึ่งจากการผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง คณะอนุกรรมการฯ ก็มีข้อเสนอแนะต่อสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ในฐานะองค์กรกำกับดูแลจริยธรรม 5 ข้อ ด้วย
ขณะที่นายสุนทร จันทร์รังสี รองประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ กล่าวว่า ผลการสอบอีเมล์อื้อฉาวนั้น ยอมรับมีจริง และมีการบริหารจัดการสื่อมวลชนของพรรคเพื่อไทยจริง ซึ่งรายงานผลสอบชุดนี้จะเป็นมาตรฐานทำให้นักหนังสือพิมพ์ที่ดี รักษาระยะห่างของสื่อกับแหล่งข่าวได้ด้วย
สำหรับข้อวิพากษ์วิจารณ์ ผลการตรวจสอบจะเป็นมวยล้ม และไม่มีอะไรเกิดขึ้นนั้น รองประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ กล่าวว่า หากได้อ่านผลการศึกษาและพิจารณาจะพบว่า มีสาระพอสมควร
0000
เข้าไปอ่านรายงานผลการสอบสวนฉบับเต็มได้ที่นี่ ( คลิก )

0000

น่าอับอายขายขี้หน้า สื่อมวลชนที่มักอ้างตัวว่าเป็นฐานันดรที่ 4 มีศักดิ์ศรี มีจรรยาบรรณ
เป็นหนังสือฉบับไหนบ้างเข้าไปดูเถอะครับ ไม่รู้จะด่ายังไงถึงจะสาสมความชั่วร้าย
ถ้าอยากเป็นลิ่วล้อนักการเมืองก็บอกไปเลยว่า รับใช้พรรคการเมืองใด
อย่ามาแอบอิงความเป็นสถาบันสื่อมวลชนอีกเลย
สงสารครูบาอาจารย์ที่สั่งสอนมาคงต้องเอาปี๊บคลุมหัว
แคน ไทเมือง

00000
ผลสอบบางตอน…



















เปิดจดหมายลับหมอวิชัย โชควิวัฒน ส่งถึงมาร์ค


วันที่ 18 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีนายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน ในฐานะประธานอนุกรรมการเฉพาะเรื่องตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการส่งอีเมล์ของ นักการเมืองระบุการให้เงินและผลประโยชน์แก่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน ซึ่งสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติแต่งตั้งขึ้น ได้สรุปผลสอบสวนไม่พบการกระทำผิด แต่กลับกล่าวหาการเสนอข่าวและภาพของข่าวสดและมติชนว่าเอนเอียงเข้าข้าพรรค เพื่อไทยนั้น จากพยานหลักฐานพบความสัมพันธ์ของนายแพทย์วิชัยที่น่าสนใจบางประการ
โดยนายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน เคยทำจดหมายส่วนตัวทำถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขณะเป็นนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 1 กันยายน 2552 เสนอให้แต่งตั้ง น.พ.ชูชัย ศุภวงศ์ ที่ปรึกษาระดับ 11 สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เป็นปลัดกระทรวงสาธารณสุข มีใจความดังนี้


“กราบเรียน ท่านนายกรัฐมนตรีที่รักและนับถือยิ่ง


กระทรวงสาธารณสุขขณะนี้ อ่อนแอทั้งวิชาการ การบริหาร และคุณธรรม หากไม่มีการแก้ไขนอกจากจะไม่สามารถเผชิญกับปัญหายากๆ อย่างไข้หวัดใหญ่ 2009 ระลอกสอง และไม่สามารถผลักดันนโยบายสำคัญของรัฐบาลอย่างนโยบายโรงพยาบาลส่งเสริม สุขภาพตำบลได้แล้ว โครงการเมกะโปรเจกต์ต่างๆ จะเกิดปัญหาการทุจริตซึ่งจะกระทบต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาลรุนแรงและร้ายแรงยิ่ง กว่ากรณีทุจริตยา 1,400 ล้าน


กระทรวงสาธารณสุขขณะนี้จึงต้องการผู้นำ โดยเฉพาะปลัดกระทรวงที่ กล้า แข็ง มีความรู้ ความสามารถ บารมีเพียงพอ และเชื่อถือไว้วางใจได้ เข้ามากอบกู้สถานการณ์ ซึ่งมองไปทั่วแล้ว ผมขอกราบเรียนว่า น่าจะถึง นายแพทย์ชูชัย ศุภวงศ์ ลูกหม้อเก่ากระทรวงสาธารณสุข ขณะนี้เป็นข้าราชการพลเรือนระดับ 11 อยู่ที่สำนักงานสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กลับมาทำหน้าที่นี้


ผมเชื่อมั่นว่า นายแพทย์ชูชัย มีความรู้ความสามารถและคุณสมบัติต่างๆเหมาะสมกับสถานการณ์ขณะนี้อย่างยิ่ง ข้อสำคัญยังเป็นผู้ที่ทุ่มเททำงานให้พรรคประชาธิปัตย์มาอย่างยืนหยัดยาวนาน ซึ่งท่านชวน หลีกภัย รู้จักและคุ้นเคยดี


จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับนายแพทย์ชูชัย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งล่าสุดถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก กรณีสรุปผลการสอบสวนข้อเท็จจริงเหตุการณ์ 91 ศพ โดยปกป้องรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ และกล่าวหาว่านปช. เป็นฝ่ายผิดแทบทุกกรณี ซึ่งจะเห็นได้ว่าในจดหมายที่เขียนโดยนายแพทย์วิชัยนั้น ใช้คำว่า“นายแพทย์ชูชัย มีความรู้ความสามารถและคุณสมบัติต่างๆเหมาะสมกับสถานการณ์ขณะนี้อย่างยิ่ง ข้อสำคัญยังเป็นผู้ที่ทุ่มเททำงานให้พรรคประชาธิปัตย์มาอย่างยืนหยัดยาวนาน”

รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง