บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554

แจงล่าชื่อฎีกาแม้วศาลตอกแดงแหกประเพณี

เดลินิวส์


พลังเงียบเคือง ปู ช่วยพวกนปช.ขยับต้านโผย้ายทหาร
โฆษก ศาลฯ แจงไม่เคยมีปรากฏการณ์ล่าชื่อถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ ปัดให้ความเห็นกระบวนการดำเนินงานยันไม่เกี่ยวในขั้นตอนศาลยุติธรรมยิ่ง ลักษณ์ ยันไม่เร่งขั้นตอนถวายฎีกาช่วยพี่ชาย แจงปล่อยตามขั้นตอน “อภิสิทธิ์” เตือนอย่าทำ 2 มาตรฐาน ย้ำต้องเป็นญาติเกี่ยวข้องเท่านั้นที่จะเป็นผู้ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ อดีตรมว.ยุติธรรม ตรวจพบ 3 รายชื่อ มีสายสัมพันธ์กับ “ทักษิณ” แต่ไม่มีใครยืนยันกลับ แม้กระทั่ง “พายัพ ชินวัตร” ก็ไม่ยอมเซ็นชื่อมาด้วย “วิรัตน์” ลั่น “ทักษิณ” อดกลับบ้าน ส่วน “พล.อ.สมเจตน์” ย้ำต้องให้คนผิดสำนึกได้ ก่อนช่วยเหลือ “อัมมาร์” ตั้งฉายารัฐลบาล “ดีแต่โม้” ห่วงจำนำข้าวทำเสียหาย ฝ่าย “ภาคแรงงาน” เร่งรัฐบาลขึ้นค่าแรง 300 บาทต่อวันทันที พร้อมเร่งตั้งกองทุนอุ้มคนตกงาน หวั่นนายจ้างเลิกจ้างค่าแรงแพง วุฒิสภา นัดคัดตัว 11 กสทช. ปัดไม่มีค่าเหนื่อย ส.ว.สายสื่อ แจงแค่มีแนะนำตัว ไม่มีการจ่ายเงิน “ประธานวุฒิฯ” มั่นใจทุกขั้นตอนราบรื่น

“ปู”ไม่เร่งฎีกาช่วยพี่ชาย
   
เมื่อวันที่ 4 ก.ย. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงในการยื่นถวายฎีกาขออภัยโทษ ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯว่า เราไม่ได้ไปเร่งกระบวนการ ทุกอย่างเป็นไปตามการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ดูเป็นเรื่องตกค้าง ก็นำมาพิจารณาตามกำหนดเวลา ไม่มีการไปเร่งรัดเป็นกรณีพิเศษ เมื่อถามว่า เอแบคโพลล์สำรวจความเห็นประชาชนระบุว่าถ้ารัฐบาลเข้าไปทำเรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณจะยิ่งทำให้อายุของรัฐบาลไปเร็วขึ้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า รัฐบาลยังไม่ได้เข้าไปดูเลย ทุกอย่างอยู่ในขั้นตอนของแต่ละกระทรวงที่จะพิจารณา เมื่อถามว่า การที่จะยื่นถวายฎีกาได้นั้น พ.ต.ท.ทักษิณต้องกลับมาจำคุกก่อน แบบนี้จะเป็นไปได้หรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า “เอาให้หน่วยงานได้ศึกษาเรื่องก่อนดีไหมคะ แล้วค่อยพิจารณา”
   
ส่วนภารกิจของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ช่วงเช้าได้ใช้เวลาพักผ่อนอยู่ภายในบ้านพักในซอยโยธินพัฒนา 3 จากนั้นเวลา 13.15 น. จึงเดินทางมายังทำเนียบรัฐบาล เพื่อเป็นประธานการประชุมมอบนโยบายในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยให้กับ ผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ 9 จังหวัด จากนั้นในช่วงเย็น นายกฯ ได้เดินทางไปร่วมงานพระราชทานเพลิงศพ พ.ต.อ.ชัชธรรม พรหมนอก บุตรชาย พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ที่วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน

“มาร์ค”ย้ำมาตรฐานเดียว
   
ที่ จ.พิษณุโลก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์กรณีกลุ่มเสื้อแดงเคลื่อนไหวทวงถามความคืบหน้าหลังได้ถวายฎีกาขอ พระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณว่า เป็นเรื่องหน่วยงานที่ต้องตรวจสอบว่าผู้ที่ดำเนินการเข้าชื่อถวายฎีกาเข้า ข่ายหลักเกณฑ์ปกติหรือไม่ เกี่ยวข้องเป็นญาติหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค อดีต รมว.ยุติธรรมได้รายงานว่า ได้มีการตรวจสอบพบว่ามีผู้เกี่ยวข้อง 3 ราย และมีการประสานงานเพื่อให้ยืนยันเจตนาที่จะถวายฎีกา ซึ่งหากยืนยันแล้ว หน่วยงานจะทำตาม กระบวนการเหมือนกรณีอื่น ๆ
    
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า พรรคการเมืองที่ชอบพูดเรื่อง 2 มาตรฐาน ก็ควรจะมีมาตรฐานเดียวสำหรับคนไทยทุกคน อย่ามีมาตรฐานสำหรับพวกพ้องตัวเอง ทั้งนี้ ตนเห็นใจในฐานะพี่น้องกัน แต่ขณะนี้คนที่ใช้อำนาจตรงนี้ ต้องถือว่าเป็นนายกฯไม่ใช่พี่น้องใคร ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ตรงไปตรงมา ส่วนการทำหน้าที่ของอธิบดีกรมราชทัณฑ์จะถูกกดดันหรือไม่นั้น ยังไม่ทราบ แต่เห็นข่าวว่าอยู่ในขั้นตอนตรวจสอบและดูข้อกฎหมายอยู่ แต่ฝากข้าราชการทุกคนว่าให้ปฏิบัติหน้าที่ตรงไปตรงมา รักษาผลประโยชน์ของประเทศ เพราะที่ผ่านมาจะมีบทเรียนของราชการที่ไปสนองตอบในทางไม่ถูกต้อง สุดท้ายก็กระทบมายังตัวเองและตนเองต้องรับผิดชอบ

ต้องญาติถวายฎีกาเท่านั้น
   
นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อดีตรมว.ยุติธรรม เปิดเผยกับ “เดลินิวส์” ถึงกรณีความพยายามผลักดันให้มีการยื่นขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ถ้าถือหลักปฏิบัติตามกฎหมาย ผู้ที่จะมีสิทธิขอพระราชทานอภัยโทษจะมีอยู่ 2 ส่วน คือ ผู้ที่ต้องคำพิพากษาเอง กับผู้มีประโยชน์เกี่ยวข้องเท่านั้น ที่ผ่านมาทางเจ้าหน้าที่จะถือว่าผู้ที่มีประโยชน์เกี่ยวข้องจะหมายถึงพ่อแม่ สามี ภรรยา ลูก หรือญาติชั้นใกล้ชิด ถ้าไม่ใช่กลุ่มคนเหล่านี้จะถือว่าไม่มีสิทธิ และถ้าไม่มีญาติยื่นด้วยก็ถือเป็นการยื่นที่ไม่ถูกกฎหมาย เรื่องก็จะเดินต่อไปไม่ได้ เพราะการยื่นขอพระราชทานอภัยโทษ ไม่ต้องยึดจำนวนคน จะใช้คนเดียวที่อยู่ในกรอบหลักเกณฑ์ก็สามารถยื่นเรื่องได้
    
นายพีระพันธุ์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ไม่ต้องถามว่ารัฐบาลต้องการอะไร แต่ในส่วนของข้าราชการ เจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นบุคคลที่ต้องยึดตามหลักเกณฑ์กฎหมาย ก็จะต้องยึดถือกฎเกณฑ์เป็นสำคัญ ในอดีตสมัยที่ตนเป็น รมว.ยุติธรรม อธิบดีกรมราชทัณฑ์เคยเสนอรายชื่อผู้เสนอขอพระราชทานอภัยโทษมาถึงตน โดยผลการตรวจสอบแล้วพบว่ามีรายชื่อ 3 คน ที่มีนามสกุลเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่มีแต่ชื่อ ไม่มีลายเซ็น ตนจึงให้กรมราชทัณฑ์ติดต่อไปยัง 3 บุคคลดังกล่าวเพื่อให้แจ้งความประสงค์กลับมาว่าจะยื่นเรื่องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ประเด็นสำคัญคือ 2 บุคคลที่ไม่ตอบกลับมา หนึ่งในนั้นมีชื่อว่า นายพายัพ ชินวัตร ที่ไม่มีการยืนยันกลับมาว่าจะยื่นเรื่องดังกล่าวหรือไม่

ปชป.ลั่น“แม้ว”อดกลับ
   
นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา หัวหน้าคณะทำงานฝ่ายกฎหมาย พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงความพยายามผลักดันให้มีการยื่นขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณว่า กลุ่มคนเสื้อแดงทราบอยู่แล้วว่าหากไม่ใช่ญาติของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่สามารถขอพระราชทานอภัยโทษได้ แม้จะใช้คน 2 ล้านคน หรือ 60 ล้านคน ก็ไม่มีผล แต่ก็พยายามใช้จำนวนคนมาก ๆ เพื่อเป็นพลังกดดัน บีบ การใช้ดุลพินิจของผู้ที่จะพิจารณาเรื่องนี้ ดังนั้นนัยของเรื่องนี้คือต้องการให้มีผลให้สังคมเข้าใจผิดในบางองค์กร เป็นเจตนาร้ายที่ซ่อนรูป และมุ่งทำลาย
   
“บอกได้เลยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ กลับประเทศไทยได้ยาก เพราะไม่ได้มีคดีที่ดินรัชดาที่ศาลสั่งจำคุก 2 ปีเท่านั้น ยังมีคดีข้อหากบฏ การก่อการร้าย ซึ่งเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ไม่สามารถนิรโทษกรรมได้ ดังนั้นอยากให้ทุกฝ่ายได้คิดว่าการจะใช้อะไรบีบก็แล้วแต่ แต่ทุกอย่างต้องอยู่บนหลักนิติรัฐ อย่าพยายามทำลายองค์กรที่เกี่ยวข้องเลย” นายวิรัตน์ กล่าว

ถ้าไม่สำนึกผิดก็ช่วยยาก
   
พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ส.ว.สรรหา และแกนนำกลุ่มสยามสามัคคี กล่าวถึงกรณีที่รมว.ยุติธรรมเตรียมพิจารณากลุ่มคนเสื้อแดง 2 ล้านชื่อที่ขอพระราชทานอภัยโทษให้กับพ.ต.ท.ทักษิณว่า โดยหลักการของกระบวนการขอพระราชทานอภัยโทษให้ใครบุคคลนั้นจะต้องมาต่อสู้ใน กระบวนการทางศาล ต้องสำนึกในความผิด ต้องมารับโทษ แล้วมีคุณงามความดี แต่ถ้าไม่สำนึกว่าตัวเองกระทำผิดก็ไม่มีเหตุผลที่จะขอนิรโทษกรรม เพราะปกติคนที่ไม่ผิดก็ไม่ต้องขออภัยโทษได้
   
พล.อ.สมเจตน์ ย้ำว่า เรื่องนี้จึงขาดหลักการ ไม่เคยมีที่ดำเนินการเช่นนี้ จึงอยากให้รมว.ยุติธรรมพิจารณาให้ดีรอบคอบ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นการโยนภาระทั้งหมดให้พระองค์ท่าน และถ้าหากไม่มีการพระราชทานอภัยโทษมา ก็จะสร้างปัญหาเป็นการล่วงละเมิด สร้างปัญหาให้กับพระองค์ท่าน ทำให้คนกลุ่มหนึ่งมองว่าพระองค์ท่านไม่พระราชทานความเมตตา

ศาลฯไม่ยุ่งชี้ไม่เคยมี
    
นายสิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวถึงกรณีการทูลเกล้าฯถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ พ.ต.ท.ทักษิณว่า ถือเป็นสิทธิการขอความเป็นธรรม แต่เนื่องจากกระบวนการทูลเกล้าฯถวายฎีกา ไม่ได้เกี่ยวข้องกับศาลยุติธรรม ซึ่งขั้นตอนปฏิบัติจะมีกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม พิจารณากลั่นกรอง จึงไม่อาจให้ความเห็นใด ๆ ได้ และไม่ต้องการให้เกิดการชี้นำ หรือนำศาลยุติธรรมไปเป็นเครื่องมือของฝ่ายใด หรือผูกโยงกับการเมือง ซึ่งเรื่องดังกล่าวเคยเงียบไปและได้จุดประกายอีกครั้งโดยมีทั้งประชาชนที่ เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย หากศาลถูกนำไปผูกโยงการเมืองก็จะเสียความเป็นกลาง
    
นายสิทธิศักดิ์ กล่าวว่า ส่วนกรณีมีความเป็นไปได้หรือไม่ในการทูลเกล้าฯถวายฎีกาขออภัยโทษ ทั้งที่จำเลยยังไม่เคยรับโทษบางส่วนมาก่อนตามเงื่อนไขกฎหมายกำหนดนั้น ไม่อาจคาดคะเนผลได้ เนื่องจากอำนาจสุดท้ายในการพิจารณาเรื่องนี้ไม่ใช่ศาลยุติธรรม แต่เรื่องแบบนี้ในอดีตไม่เคยปรากฏแนวทางลักษณะเช่นนี้มาก่อน ซึ่งการขออภัยโทษก็มีตัวอย่างคดีของนายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ ก็รับโทษมาแล้วบางส่วนจากข้อหาหมิ่นเบื้องสูง ตามกฎหมายผลทางคดีอาญาจะสิ้นสุดผลเมื่อจับกุมตัวผู้กระทำซึ่งศาลมีคำพิพากษา แล้วมารับโทษ หรือจำเลยหรือผู้ต้องโทษนั้นเสียชีวิต ซึ่งไม่อาจนำตัวมาพิจารณาความผิดและรับโทษได้ สำหรับการจะขออภัยโทษทั้งที่ผู้ต้องโทษยังไม่ได้รับโทษบางส่วนตามเงื่อนไขจะ ขัดกับหลักนิติรัฐ นิติธรรมหรือไม่นั้น ในการถวายฎีกาขออภัยโทษหรือการนิรโทษกรรม มีกฎหมายกำหนดหลักเกณฑ์การปฏิบัติอยู่แล้ว แต่แนวทางดังกล่าวไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

“เสื้อแดง”พิทักษ์รัฐบาลปู
   
นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ แกนนำ นปช. เปิดเผยเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันในโอกาสที่เดินทางมาร่วมประชุม แกนนำคนเสื้อแดงที่ จ.นครราชสีมาว่า ถึงแม้เราจะได้รัฐบาลที่มาจากประชาชนโดยแท้จริงแต่ก็ไม่ได้ชะล่าใจว่าอำนาจ ของรัฐบาลเป็นอำนาจที่เบ็ดเสร็จ เพราะเรายังต้องป้องกันอำนาจมืด อำนาจนอกระบบที่อาจจะมาเล่นงานรัฐบาลข้างหลังในอนาคต ยังมีกลุ่มบุคคลบางกลุ่มที่คิดที่จะให้อำนาจปลายกระบอกปืน อำนาจกองทัพมาล้มรัฐบาลชุดนี้อยู่ เราคิดว่าการรวมพลังของพี่น้องคนเสื้อแดงคือ การทวงความเป็นธรรมให้กับพี่น้องของเราในการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย
   
นายสุภรณ์ ยังกล่าวว่า นอกจากนี้ คนเสื้อแดงยังมีภารกิจเรื่องการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ในประเทศ ไทย เพราะยังเป็นภารกิจที่ไม่จบสิ้น และที่สำคัญที่สุดหลังการเลือกตั้งมาแล้วเราก็อยากให้รัฐบาลได้เดินหน้าขับ เคลื่อนต่อไปอย่างมีเสถียรภาพ ดังนั้น คนเสื้อแดงจึงยังมีภารกิจที่ไม่อยากให้ใครมาขัดขวางการทำงานหรือมาล้อม รัฐบาลที่มาจากประชาชนที่กว่าจะได้มาต้องแลกด้วยชีวิต บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ยืนยันว่าคนเสื้อแดงจะไม่ได้เป็นปัญหาอุปสรรครัฐบาลของน.ส.ยิ่งลักษณ์ หรือรัฐบาลพรรคเพื่อไทย หรือพรรคร่วมรัฐบาล แต่เราจะคอยเป็นองครักษ์ ให้รัฐบาลคอยทำงานได้อย่างราบรื่น และจะไม่ยอมให้บ้านเมืองนี้กลับไปสู่อำนาจมืดอีกเด็ดขาด

“อัมมาร์”ให้ฉายา“ดีแต่โม้”
   
ที่สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ ไทย (ทีดีอาร์ไอ) นายอัมมาร์ สยามวาลา  นักวิชาการเกียรติคุณทีดีอาร์ไอ เปิดแถลงข่าวเรื่อง “กลับไปสู่...จำนำข้าว” ว่า  ปัจจุบันข้าวเป็นสินค้าทางการเมืองของบรรดานักการเมืองที่นำไปหาเสียงกับ ประชาชน เช่น การรับจำนำข้าวเปลือกตันละ 15,000 บาท ที่ในอนาคตจะสร้างความวุ่นวายแก่ประชาชนในประเทศที่ต้องซื้อข้าวในราคาที่ สูงกว่าตลาดโลก เนื่องจากรัฐบาลได้ยกราคาให้สูงกว่าราคาปัจจุบัน 50% จากเดิมที่อยู่ในระดับ 10,000 บาทต่อตัน อย่างไรก็ตามรัฐบาลยังคงเดินหน้ารับจำนำข้าวต่อไปเพราะได้สัญญากับประชาชน ไว้ก่อนหน้านี้ และก็ยากที่จะเยียวยาหรือเกินวิสัยที่ทีดีอาร์ไอจะไปเสนอแนะวิธีการแก้ไข ปัญหาให้กับรัฐบาลได้
   
นายอัมมาร์ ยังกล่าวว่า แต่ต้องการบอกให้รัฐบาลทราบว่าที่ผ่านมาผลกระทบจากนโยบายจำนำข้าวตั้งแต่ปี 47-52 รัฐบาลยังมีหนี้สินมาถึงทุกวันนี้ 141,000 ล้านบาท ที่ซุกในบัญชีของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) แถมยังมีสต๊อกข้าวที่เหลืออีกมาก จึงอยากให้รัฐบาลพิจารณาอย่างรอบคอบ ตามความเห็นส่วนตัวมองว่า
นโยบายจำนำ 1.5 หมื่นบาทนั้นไม่ควรทำตั้งแต่แรก แต่เข้าใจว่าเมื่อนำมาหาเสียงโดยไม่คิดให้รอบคอบจึงต้องออกมาแก้ปัญหาเฉพาะ หน้าทีละขั้นตอน ต่างกับนโยบายของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ที่แต่ละนโยบายมีการศึกษามานานแล้ว ตนเห็นนักการเมืองกำลังหันซ้ายหันขวาในการแก้ปัญหานโยบายที่ได้หาเสียงไว้ และโม้ไปวัน ๆ จึงขอตั้งฉายารัฐบาลนี้ดีแต่โม้

ดันขึ้นค่าแรงยกแผงทันที
   
รศ.ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงศ์ นักวิชาการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวในการเสวนาเรื่อง “คิดอย่างไร...กับรายได้ 300 บาทต่อวัน” โดยมีตัวแทนนายจ้างและลูกจ้างพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลเข้าร่วมประมาณ 1,000 คนว่า ช่วง 10 ปี ที่ผ่านมาพบว่าค่าจ้างมีช่วงห่างกับค่าครองชีพถึง 60% เห็นได้จากปัจจุบันค่าจ้างขั้นต่ำอยู่ที่ 159-221 บาทต่อวันเท่านั้น ทำให้ที่ผ่านมาการปรับค่าจ้างไม่เพียงพอที่จะปกป้องแรงงานให้มีคุณภาพชีวิต ให้พ้นจากความยากจนตามหลักขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ได้เนื่องจากแรงงานหนึ่งคนต้องมีรายได้เพียงพอที่จะเลี้ยงครอบครัว 2-3 คน จึงเห็นว่าควรจะมีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาทไปพร้อมกันทีเดียวทั่วประเทศ เนื่องจากการปรับขึ้นค่าจ้างไม่ได้มีการปรับให้สอดคล้องกับค่าครองชีพมานาน 5-6 ปีแล้ว
   
ด้านนายทวีกิจ จตุรเจริญคุณ ผู้แทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สภาอุตฯอยากให้ปรับแบบขั้นบันไดภายใน 4 ปี ซึ่งภาครัฐต้องมีการชดเชยต้นทุนส่วนต่างที่เพิ่มขึ้นให้แก่สถานประกอบการ ส่วนนายชัยพร จันทนา ผู้แทนคณะกรรมการค่าจ้างกลางฝ่ายลูกจ้าง กล่าวว่า คิดว่าการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน ทำได้และอยากให้ปรับขึ้นทันทีทั่วประเทศ เพราะการปรับค่าจ้างขั้นต่ำโดยไม่สอดรับกับค่าครองชีพที่แท้จริงสะสมมานาน หากไม่ปรับช่วงนี้ โอกาสที่จะปรับอีกเป็นไปได้ยาก เพราะค่าครองชีพตามความเป็นจริงของแรงงานที่ดูแลครอบครัวได้อยู่ที่ 400 บาทต่อวัน และราคาสินค้าได้ปรับขึ้นนำหน้าค่าจ้างไปก่อนแล้ว

เร่งกองทุนอุ้มคนตกงาน
   
นายวัลลภ กิ่งชาญศิลป์ ผู้แทนคณะกรรมการค่าจ้างกลาง ฝ่ายนายจ้าง กล่าวว่า ไม่คัดค้านที่รัฐบาลจะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้แรงงานแต่อยากให้ปรับเป็น ขั้นเป็นตอน และน่าจะให้เกียรติคณะกรรมการไตรภาคีในการพิจารณาอัตราค่าจ้างด้วย เพราะคณะกรรมการไตรภาคีจะต้องพิจารณาในหลาย ๆ ด้านอย่างรอบคอบเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม
   
นางอำมร เชาวลิต ที่ปรึกษาวิชาการแรงงาน สำนักปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ในเรื่องนี้กระทรวงแรงงานได้มีการตั้งกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างที่ได้รับผล กระทบจากนโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันไว้แล้ว โดยลูกจ้างที่มีอายุการทำงานตั้งแต่ 4-12 เดือนจะได้รับเงินช่วยเหลือ 30 วันของการทำงานก่อนออก ผู้ที่มีอายุงานตั้งแต่ 1-3 ปีก็จะได้รับเงินช่วยเหลือ 60 วัน ผู้ที่มีอายุงาน 3-6 ปีก็จะได้เงินช่วยเหลือ 90 วัน และผู้ที่มีอายุงานตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไปก็จะได้เงินช่วยเหลือ 180 วัน

“ขุนคลัง”แจงกองทุนมั่งคั่ง
   
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลัง ได้โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก ถึงการบริหารจัดการด้านการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยเป็นการเขียนอธิบายการจัดตั้งกองทุนมั่งคั่ง ใช้ชื่อว่าตอบคำถามบางเรื่องเกี่ยวกับกองทุนมั่งคั่งแห่งชาติ ทั้งนี้ระบุว่า ต้องยอมรับว่าการลงทุนทุกรูปแบบมีความเสี่ยงทั้งนั้น เช่นสมมุติให้กู้แก่โครงการรถไฟความเร็วสูงในเอเชีย ลักษณะความเสี่ยงอาจเกิดจากจำนวนผู้โดยสารมีน้อยกว่าที่คาดไว้ แต่ทั้งนี้ อย่าเข้าใจผิดว่าการที่ ธปท. นำเงินทุนสำรองไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐและยุโรปดังที่ปฏิบัติอยู่ขณะ นี้ไม่มีความเสี่ยงนะครับ เพราะที่แท้จริงมีความเสี่ยงทั้งในด้านราคาที่ขึ้น ๆ ลง ๆ และในด้านค่าเงินต่างประเทศที่อ่อนตัวเพราะมีการพิมพ์เงินออกมามากเกินไป
   
ส่วนคำถามถึงการนำเงินทุนสำรองไปลงทุนแบบกองทุนมั่งคั่งของชาติเป็นการแทรก แซงธปท.หรือไม่ นายธีระชัย ได้ชี้แจงว่า ไม่เป็นการแทรกแซง ธปท. ครับ แต่เป็นการช่วยกันคิดเพื่อแก้ปัญหา เพราะ ณ สิ้นปี 2553 ธปท. มีส่วนของทุนติดลบเป็นจำนวนเงินมหาศาล สูงถึง ติดลบ 431,829 ล้านบาท ถ้าเป็นธุรกิจเอกชนก็จะต้องปิดกิจการไปแล้ว ถึงแม้ ธปท. ไม่ได้ขอให้รัฐบาลช่วยตั้งงบประมาณมาช่วยแก้ไขขาดทุนของ ธปท. แต่ทรัพย์สินของ ธปท. ก็เป็นทรัพย์สินของชาติ ซึ่งควรมีการบริหารจัดการให้ดีที่สุด ส่วนจำนวนที่จะกันไปเป็นกองทุนมั่งคั่งของชาติควรจะมาจากบัญชีใดใน ธปท.นั้น ตนได้ให้ ธปท. ไปศึกษา โดยในหลักการ จะไม่แตะต้องทองคำและเงินบริจาคของหลวงตามหาบัว และจะไม่แตะต้องจำนวนที่ต้องใช้หนุนหลังการออกธนบัตร

ลุ้นส.ว.คัดกสทช.ฉลุย
   
พล.อ.ธีรเดช มีเพียร ประธานวุฒิสภา เปิดเผยว่า ในการประชุมวุฒิสภาวันที่ 5 ก.ย.  จะมีการลงคะแนนเลือกกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ตามมาตรา 17 ของ พ.ร.บ. กสทช. พ.ศ. 2553 หลังจากที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) สามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของผู้สมควรได้รับเลือกเป็น กสทช.ได้ตรวจสอบเสร็จแล้ว โดยการประชุมเพื่อพิจารณาวาระดังกล่าวจะแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ ประชุมโดยเปิดเผย และประชุมลับ เบื้องต้นเชื่อว่าการประชุมดังกล่าวจะไม่มีปัญหา เพราะ ส.ว.ส่วนใหญ่ระบุว่าอยากทำหน้าที่ตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้ ทั้งนี้ การลงคะแนนเลือก กสทช. นั้นตามกฎหมายระบุไว้ว่าให้เป็นการลงคะแนนลับ ขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้เตรียมความพร้อมไว้หมดแล้ว
   
นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการสามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของผู้สมควรได้รับเลือกเป็น กสทช. กล่าวถึงกระแสข่าวมีความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนที่ได้รับการเสนอชื่อทั้ง 44 คน เดินสายล็อบบี้ขอเสียงสนับสนุนจาก กลุ่ม ส.ว.บางกลุ่ม ให้สนับสนุนบุคคลที่ตัวเองจัดวางเอาไว้ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องปกติที่จะมีการพูดคุยกันเพื่อที่จะแนะนำและชี้ชวน ให้มีการเลือกบุคคลที่ตนเองสนับสนุน หากไม่มีเรื่องของเงินหรือผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องก็สามารถทำได้ แต่หากมีเรื่องผลประโยชน์หรือมีนักการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องในการล็อบบี้ก็ ไม่ถูกต้อง ทั้งนี้ในฐานะที่เป็นส.ว.สายสื่อและได้ติดตามข่าวสารนั้นตนเชื่อว่า ส.ว.ในสายสื่อ ไม่ได้มีการล็อบบี้ตามที่มีกระแสข่าวอย่างแน่นอน คงมีแค่การแนะนำตัวเท่านั้น

แค่แนะนำไม่ได้ซื้อโหวต
   
นายมณเฑียร บุญตัน ส.ว.สรรหา กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวถือเป็นเรื่องธรรมดา เชื่อว่าแต่ละฝ่ายทำหน้าที่อย่างดีที่สุด ซึ่งในเรื่องของการล็อบบี้นั้น คงไม่มีเรื่องของผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นการพูดคุย หรือแนะนำบุคคลที่ตนเองสนับสนุนเท่านั้น เมื่อถามว่า ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อบางคนมีความใกล้ชิดกับนักการเมืองมาก่อน เช่น นายพงษ์ศักติฐ์ เสมสันต์ อดีตที่ปรึกษา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีต นายกฯ นายมณเฑียร กล่าวเพียงสั้น ๆ ว่า “ไม่ทราบ”
   
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ตั้งแต่เริ่มกระบวนการสรรหามีกระแสข่าวสะพัดมาต่อเนื่องว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีความเคลื่อนไหวผิดปกติบางอย่างในการโน้มน้าว ส.ว.บางส่วน โดยเฉพาะที่น่าจับตาคือมีกลุ่มทุนบันเทิงยักษ์ใหญ่ ที่คาดว่าได้วางตัวบุคคลที่จะเข้ามาเป็น กสทช. มาตั้งแต่กระบวนการสรรหา โดยมีการจัดทำเป็นโพยบัญชีรายชื่อให้แก่ ส.ว. ขณะที่กลุ่ม ส.ว.สายสื่อก็ได้มีการเสนอข้อต่อรองขอให้พ่วงชื่อผู้ที่ตัวเองสนับสนุนเข้า ไปอยู่ในโพยด้วย เพื่อแลกกับเสียงสนับสนุนที่จะให้

ไม่ต้องร้อนตัวสอบทุจริต
   
ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ไปจัดสัมมนาพรรคที่ จ.พิษณุโลก เมื่อวันที่ 3 ก.ย.ที่ผ่านมา เพื่อปรับการทำงานและมีการเปิดผลวิจัยสาเหตุที่พรรคประชาธิปัตย์แพ้เลือก ตั้งว่า เรื่องนี้คนในพรรคประชาธิปัตย์ก็ให้ข้อมูลกับตนว่านายอภิสิทธิ์ไม่พอใจอย่าง มากว่าผลวิจัยหลุดไปถึงสื่อได้อย่างไร เป็นการสะท้อนถึงนายอภิสิทธิ์ซึ่งการคิดอย่างนี้ถือว่าการปรับโครงสร้างพรรค และการไปสัมมนาที่พิษณุโลกน่าจะล้มเหลว ดังนั้นการปรับเปลี่ยนครั้งนี้ของประชาธิปัตย์ ต้องปรับหัวหน้าพรรค ตนเชื่อว่าในการเลือกตั้งครั้งต่อไปที่นายอภิสิทธิ์จะเป็นหัวหน้าพรรคก็จะ แพ้อีก ล่าสุดยังจะต้องมี ส.ส.เงาขึ้นมา โดยเน้นภาคเหนือและอีสานซึ่งไม่มี ส.ส.ในพื้นที่ ตั้งขึ้นมาแล้วขออย่าให้เป็นการจับผิด และอิงแอบอำนาจนอกระบบอย่างที่เคยชิน
   
นายพร้อมพงศ์ ยังแถลงว่ากรณีที่นายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรคภูมิใจไทย ระบุถึงการทำงานของคณะกรรมการด้านการประชาสัมพันธ์ พรรคเพื่อไทย เตรียมดำเนินการใน 172 โครงการของรัฐบาลที่ผ่านมาอาจมีการทุจริตว่าจะเป็นการเช็กบิลรัฐบาลที่ผ่าน มานั้น ตนในฐานะหัวหน้าคณะทำงานยังไม่บอกว่าเป็นโครงการใดบ้าง แต่พรรคภูมิใจไทยกลับร้อนท้องแล้ว ตนขอบอกพรรคภูมิใจไทยว่า ไม่ต้องร้อนตัว เพราะเราจะตรวจสอบอยู่แล้วถ้าบริหารราชการแผ่นดิน อนุมัติงบแบบทิ้งทวนเอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้อง ทั้งนี้การตรวจสอบจะให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมทั้งคณะกรรมาธิการในสภา จึงไม่ต้องเป็นห่วงว่าอดีตรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย และข้าราชการจะไม่ได้รับความเป็นธรรม

พลังเงียบไม่พอใจรัฐบาล
    
สำนักวิจัย เอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลสำรวจจุดยืนทางการเมือง เรื่อง “สำรวจจุดยืนทางการเมืองฐานสนับสนุนของสาธารณชนต่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์ 1 สามอารมณ์ สามมุม ในหมู่ประชาชน” จากกลุ่มตัวอย่างที่อายุ 18 ปี ขึ้นไป ใน 17 จังหวัดทั่วประเทศ จำนวน 2,614 ตัวอย่าง พบว่า ร้อยละ 57.9 ขอเป็นกลุ่มพลังเงียบที่ไม่เข้าข้างรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง ร้อยละ 33.1 หนุนรัฐบาล และ ร้อยละ 9.0 ไม่สนับสนุนรัฐบาล
    
ขณะผลสำรวจที่น่าสนใจ คือ คนส่วนใหญ่จากกลุ่มพลังเงียบดังกล่าวไม่พอใจการทำงานของรัฐบาลในหลายเรื่อง ที่ตรงกัน เช่น ความล่าช้าในการแก้ปัญหาน้ำท่วม สินค้าราคาแพง การจัดการค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำที่ไม่ทั่วถึง ซึ่งไม่ตรงกับช่วงที่เดินสายหาเสียง รวมถึงมีการแต่งตั้งข้าราชการการเมืองที่ไม่เหมาะสม แก้รัฐธรรมนูญ มุ่งช่วยพวกพ้อง อย่างไรก็ตาม กลุ่มพลังเงียบดังกล่าว ยังให้โอกาสรัฐบาล เนื่องจากไม่ต้องการเห็นบ้านเมืองวุ่นวาย ด้านกลุ่มคนที่ไม่สนับสนุนรัฐบาล พบว่า พร้อมที่จะออกมาเคลื่อนไหว แต่ขาดผู้นำที่ไว้ใจได้และ น่าศรัทธา เนื่องจากมองว่าที่ผ่านมา แกนนำผู้ชุมนุม มีผลประโยชน์แอบแฝงเสมอ ขณะที่เรื่องของปัจจัยในการส่งเสริมให้รัฐบาลอยู่ได้ไม่นานนั้น ร้อยละ 84.1 ระบุว่า คือ การทุจริตคอร์รัปชั่น หาประโยชน์ใส่ตัวและพวกพ้อง ขณะที่ร้อยละ 28.6 ระบุสาเหตุที่อาจส่งผลให้รัฐบาลอยู่ได้ไม่นาน เป็นเรื่องการมุ่งช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นต้น.
“เต้น,ตู่” กินข้าวบ้าน “เหลิม”
    
ในช่วงค่ำ ที่บ้านริมคลอง เวลา 19.30 น. นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยนายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ และนายอารีย์ ไกรนรา เลขานุการ รมว.มหาดไทยได้เดินทางมาถึงบ้านริมคลอง เพื่อรับประทานอาหารร่วมกับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ โดยร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า นายจตุพรมีข้อมูลดีจึงต้องมีการพูดคุยกัน ด้านนายณัฐวุฒิและนายจตุพรได้แสดงท่าทีแปลกใจที่มีสื่อมาติดตามทำข่าวเป็น จำนวนมาก โดยระบุว่าเป็นเรื่องใหญ่เลยหรือ 
   
ทั้งนี้ ร.ต.อ.เฉลิม ให้สัมภาษณ์ถึงการนัดหมายนายจตุพร และแกนนำ นปช.มารับประทานอาหารค่ำร่วมกันว่า ปกตินายจตุพรก็มาทานข้าวเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ในวันที่ 4 ก.ย. คงมีการพูดคุยกันถึงข้อมูลที่นายจตุพร ออกมาระบุว่าจะมีขบวนการล้มรัฐบาลในช่วงเดือน ธ.ค. โดยเรื่องนี้นายจตุพรไม่เคยเล่าให้ตนฟังมาก่อน ส่วนจะมีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด ตนคงต้องรับฟังข้อมูลกับนายจตุพร อย่างไรก็ตามนายจตุพรเป็นคนที่มีการข่าวที่ดี ซึ่งจะได้มีการพูดคุยกัน

โผนายพลปราบแดงได้ดี
    
รายงานข่าวจากกองทัพเปิดเผยว่า บัญชีรายชื่อโยกย้ายนายทหารประจำปี 2554 ในส่วนกองทัพบก ที่ได้ส่งถึงมือ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม คาดว่าภายในสัปดาห์นี้จะส่งมอบให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ เพื่อนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ รายงานข่าวเปิดเผยต่อว่า โผทหารครั้งนี้ทาง พล.อ.ยุทธศักดิ์ ไม่เข้ามาล้วงโผเลย และมีบางตำแหน่งเห็นขัดแย้งกันบ้างแต่ก็ไม่มีการเสนอแก้ไข สำหรับรายชื่อนายทหารที่มีส่วนการปราบคนเสื้อแดง ที่ได้พิจารณาขึ้นมาสู่ตำแหน่งที่สำคัญประกอบด้วย พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เสธ.ทบ. ขึ้นเป็น รอง ผบ.ทบ. พล.ท.โปฎก บุนนาค ผบ.หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (นสศ.) เป็น ผช.ผบ.ทบ.
    
พล.ท.ศิริชัย ดิษฐกุล รอง เสธ.ทบ. ก็ขึ้นมาเป็น เสธ.ทบ. รวมทั้ง พล.ท.ฉัตรชัย สาริกัลยะ ผช.เสธ.ทบ.ฝกบ.ก็ขยับเป็น ปลัดบัญชีทหารบก พล.ท.อำพน ชูประทุม ผช.เสธ.ทบ.ฝกพ.ก็ขยับ เป็น รอง เสธ.ทบ. พล.ท.วิลาศ อรุณศรี ผช.เสธ.ทบ.ฝขว. เป็น รอง เสธ.ทบ. พล.ท.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ผช.เสธ.ทบ.ฝกร. เป็น รอง เสธ.ทบ.

นปช.นัดออกโรงกดดัน
   
ส่วน พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 และพล.ท.วรรณทิพย์ ว่องไว แม่ทัพภาคที่ 3 ยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม จากเดิมได้รับการสนับสนุน เป็น ผช.ผบ.ทบ. สุดท้าย พล.อ.ประยุทธ์ ยังให้นั่งเป็นเก้าอี้ตัวเดิมไปก่อน เพราะเกรงว่าเหตุการณ์จากนี้ไปอาจจะไม่เหมือนเดิม เพราะพล.อ.ประยุทธ์ ไม่มั่นใจในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ในส่วนรัฐบาลก็ไม่มั่นใจในกองทัพ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยังคงดึงเพื่อนร่วมรุ่น ตท.12 ขึ้นมาสู่อำนาจกองทัพเกือบทั้งหมด รวมทั้งยังดึง พล.ท.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ ที่ปรึกษาทบ. เป็นแม่ทัพภาคที่ 4 รวมทั้งดันน้องชาย พล.ต.ปรีชา จันทร์โอชา จากรองแม่ทัพภาคที่ 3 เป็นแม่ทัพน้อยที่ 3
    
รายงานข่าวเปิดเผยว่า หน่วยข่าวกองทัพยังได้รายงานว่า กลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งไม่พอใจการโยกย้ายนายทหารที่มีการสนับสนุนให้ผู้ที่มี ส่วนการปราบปรามคนเสื้อแดง จนนำไปสู่การเสียชีวิต 91 ศพ ขึ้นมานั่งในตำแหน่งสำคัญ ๆ ของกองทัพ ส่งผลเว็บไซต์และสถานีโทรทัศน์ในเครือข่ายคนเสื้อแดงได้ปลุกระดมให้คนเสื้อ แดงออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านและเดินทางชุมนุมหน้ากระทรวงกลาโหม เพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรมจาก พล.อ.ยุทธศักดิ์.    

แฉสั่งสุรเกียรติ ยอมเขมร เฉือนเกาะกูดให้


Pic_198892 ค่าย ปชป.โต้เดือด กรณีแถลงการณ์กัมพูชา ยัน "ทักษิณ" รู้ดีที่สุด แฉกลับเป็นคนสั่ง "สุรเกียรติ" ยอมเฉือนเกาะกูดให้เขมร ยันไปฮ่องกง-จีน แค่การหารือเพื่อสร้างความคุ้นเคย "ชวนนท์" ลั่นจะเอาหลักฐานมาเปิดเผยให้ประชาชนรู้ความจริงให้หมด...

เมื่อเวลา 16.30 น. ที่โรงแรมทอปแลนด์ จ.พิษณุโลก นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า กรณีที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ เรียกร้องให้ นายอภิิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ ออกมาชี้แจงเรื่องการประชุมลับกับทางกัมพูชา เพื่อตกลงผลประโยชน์ ว่าในข้อเท็จจริงการพบปะกันที่ฮ่องกงระหว่างนายซก อาน รองนายกฯ กัมพูชากับนายสุเทพ ซึ่งนายสุเทพเองก็ได้ชี้แจงแล้วว่า ขณะนั้นเกิดปัญหา นายอภิสิทธิ์ได้มอบหมายให้ไปเป็นผู้ดำเนินการ และที่กัมพูชาอ้างว่าเป็นการเจรจาลับนั้น ก็ไม่เป็นความจริง เพราะเป็นเพียงการคุยกันนอกรอบ 2 ครั้ง ไม่มีวาระอะไรพิเศษ เป็นเพียงแค่การหารือเพื่อสร้างความคุ้นเคย ที่ฮ่องกง และคุณหมิง ประเทศจีน เมื่อสมเด็จฮุนเซ็นแต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจ และรัฐบาลขณะนั้นรู้ดีว่า พ.ต.ท.ทักษิณ รู้ดีในปัญหาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลมากที่สุดเพราะเป็นผู้สั่งการให้ นายสุรเกียรติ เสถียรไทย รมว.ต่างประเทศขณะนั้น เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ ร่วมไทย-กัมพูชา (เอ็มโอยู) 2544 ดังนั้นจึงถือว่าเขาเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบ จึงเป็นที่มาของการยกเลิกเอ็มโอยูดังกล่าว

ส่วนกรณีที่มีการกล่าว อ้างว่า นายสุเทพ ไปพบกับนายซก อาน ที่คุณหมิง ประเทศจีนเมื่อวันที่ 16 ก.ค. 2553 นั้น ขอเรียนว่าครั้งนั้นตนก็ไปด้วย เป็นการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีน ระหว่างวันที่ 14-18 ก.ค. 2553 โดยนายสุเทพ และ นายซก อาน เป็นหนึ่งในวิทยากร จึงได้มีการประสานเพื่อพูดคุยกัน ไม่ได้มีการหารือลับอะไรเลย ไม่มีการพูดคุยหลังฉากอะไรทั้งสิ้น

"เรื่องการตรวจสอบนี้ถือเป็น เรื่องดี และผมขอท้าทายรัฐมนตรีต่างประเทศ ที่จะมีการค้นหาในเรื่องนี้ ไปขอคำตอบจากกัมพูชา ขอให้รีบทำ และทำแล้วอย่าหยุด ขอให้ทำให้เต็มที่ในเรื่องผลประโยชน์ทางทะเล และผมเองในฐานะที่เคยทำเรื่องนี้ ก็จะทำเช่นเดียวกัน และพร้อมที่จะชี้ให้เห็นว่าเอ็มโอยูปี 2544 มีข้อผิดพลาดบกพร่องอย่างไร ทำไมถึงต้องยกเลิก และจะได้ชี้ให้เห็นว่าทำไมในปี 2544 พ.ต.ท.ทักษิณได้เข้ามามีตำแหน่งเป็นนายกฯ ได้ 2-3 เดือน ทำไมถึงรีบเร่งการลงนามในเอ็มโอยูดังกล่าว เพื่ออะไร คุณสุรพงษ์ไม่ต้องห่วง ทำให้เต็มที่ สืบสวนให้เต็มที่ว่าท่านสุเทพ ไปคุยอะไรกับซกอาน และสืบไปให้หมดว่าในการพูดคุยแต่ละครั้งมีอะไรบ้าง และผมจะทำเช่นเดียวกัน พร้อมจะเปิดเผยให้พี่น้องประชาชนทราบว่ารัฐบาลไหนที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนทาง ทะเลกับกัมพูชา"

นายชวนนท์กล่าวต่อว่า ตนจะนำจดหมายเชิญนายซก อาน หลังจากที่นายสุเทพเดินทางไปคุนหมิงและได้พบกับนายซก อาน โดยเมื่อเดือน ธ.ค. ปีที่แล้ว ได้มีจดหมายเชิญนายซก อานเข้าร่วมประชุม โดยจดหมายฉบับนี้ จะยืนยันได้ว่า ไม่มีเรื่องใดเป็นเรื่องความลับ เพราะได้มีการพบปะกันอย่างไม่เป็นทางการ และได้มีการพูดคุยกันว่า ควรจะมาหารือกัน ซึ่งเมื่อกลับมาถึงประเทศไทย ก็ได้สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศ ทำจดหมายอย่างเป็นทางการ เชิญมาคุยที่ประเทศไทย แต่ปรากฏว่า ทางไทยมีเหตุการณ์ทางการเมืองขึ้นก่อน นายซก อาน จึงไม่ได้เดินทางมา และในจดหมายที่เชิญไปนั้น ก็ไม่ได้มีการกล่าวถึงเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนทางทะเล แต่จะพูดในเรื่องความร่วมมือในการพัฒนาร่วมกัน เพราะเห็นว่าในขณะนั้นปัญหามีมาก ทั้งเรื่องปราสาทพระวิหาร และเห็นว่านายสุเทพอยู่นอกกรอบของกระทรวงการต่างประเทศ จึงอยากให้เป็นผู้แทนไปเจรจา เพื่อสร้างบรรยากาศให้ดีขึ้นเท่านั้น

ผู้สื่อข่าวถามว่า จำเป็นที่จะต้องให้กระทรวงการต่างประเทศทำหนังสือถึงกัมพูชาเพื่อให้ยืนยัน ว่าเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างไรหรือไม่นั้น นายชวนนท์ กล่าวว่า ตนกล่าวฝากไปถึงนายสุรพงษ์ให้ช่วยไปบอกกัมพูชา และออกมายืนยันเรื่องดังกล่าวให้ชัดเจน และเป็นสิ่งที่ดีที่รัฐบาลบอกว่าจะสอบเรื่องนี้

"ปัญหาของเอ็มโอยู ฉบับนี้ มีบันทึกตั้งแต่ปี 2542-43 สมัยนายชวน หลีกภัย เป็นนายกฯว่า เอ็มโอยูฉบับนี้มีปัญหาตรงเส้นที่กัมพูชาลากทับ ซึ่งทางทีมเทคนิคของไทยหลายคนไม่เห็นด้วย เพราะลากผ่านเกาะกูด จ.ตราด เข้ามาในอ่าวไทย ซึ่งทางเราก็บอกว่า คงรอไม่ได้ แต่เมื่อคุณทักษิณมาเป็นนายกฯได้ 4 เดือน กลับสั่งให้นายสุรเกียรติ เสถียรไทย อดีต รมว.ต่างประเทศ เซ็นและยอมรับ ตรงนี้คงไม่เป็นไร ผมจะสู้ให้ถึงที่สุด" นายชวนนท์ กล่าว.


ไทยรัฐ

ทรัพยากรธรรมชาติ - คนไทยต้องรู้

เมื่อนโยบายรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ขัดแย้งกับแผนพีดีพี2010 ประชาชนต้องรู้เท่าทัน!

ประสาท มีแต้ม

       เรื่องพลังงานเป็นเรื่องที่สำคัญและใหญ่มาก ไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับรายจ่ายของเราเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่เดี๋ยวเกิดพายุ น้ำท่วม เดี๋ยวแผ่นดินไหว รวมทั้งเป็นต้นเหตุของความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรมในสังคมและอื่นๆ อีกมากมายด้วย ผมไม่ได้เขียนเรื่องนี้ให้ดู “เว่อร์” เพียงเพื่อให้ท่านผู้อ่านติดตาม แต่มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ
     
       ความจริงบอกว่า เมื่อ 20 ปีก่อน เราใช้พลังงานรวมกันแล้วคิดเป็นเงินเพียง 11% ของรายได้ทั้งประเทศ (หรือจีดีพี) แต่ตัวเลขนี้กลับเพิ่มขึ้นเป็น 18% ในปี 2553 และถ้าเราไม่ทำอะไรเลย อีก 20 ปีข้างหน้ารายจ่ายด้านพลังงานอาจจะเพิ่มเป็น 30-40% แล้วคงจะยุ่งตายแน่
     
       การจะแก้ปัญหาดังกล่าวจำเป็นต้องมี “นโยบายพลังงาน” ที่ถูกต้อง และ เป็นไปได้
     
       ผมได้วิจารณ์เชิงไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ไว้หลายเรื่อง ทั้งเรื่องการใช้คอมพิวเตอร์แท็บเล็ต นโยบายค่าแรง เป็นต้น แต่ในที่นี้ผมขอกล่าวถึง “บางข้อของนโยบายพลังงาน” ซึ่งผมเห็นด้วยว่าเป็นนโยบายที่ดีครับ แต่สงสัยว่ามันจะ “เป็นไปได้หรือ?”
     
       ข้อสงสัยตั้งอยู่บนเหตุผลว่า นโยบายนี้ขัดแย้งกับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าหรือ พีดีพี 2010 ซึ่งเป็นแผน 20 ปีข้างหน้าที่เขียนโดยข้าราชการประจำและพ่อค้าพลังงานระดับข้ามโลก และขอย้ำว่ามันเป็นถึง “แผนปฏิบัติการ” แล้วนะ ไม่ใช่แค่นามธรรมที่เรียกว่า “นโยบาย” เท่านั้น เรามาทำความเข้าใจกันทีละอย่าง ระหว่างนโยบายรัฐบาลยิ่งลักษณ์กับแผนพีดีพี 2010
     
       นโยบายพลังงานเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลนี้มี 6 ข้อ โดยข้อที่ 5 เป็นนโยบายพลังงาน และในนโยบายพลังงานนี้ข้อที่ 4 เขียนว่า “3.5.4 ส่งเสริมการผลิต การใช้ ตลอดจนการวิจัยและพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก โดยตั้งเป้าหมายให้สามารถทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิลได้อย่างน้อยร้อยละ 25 ภายใน 10 ปี ทั้งนี้ ให้มีการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างครบวงจร” (หน้าที่ 25)
     
       ผมได้อ่านนโยบายข้อย่อยนี้อยู่หลายรอบ มีคำที่จะต้องตีความอยู่ 2 คำ คือ “พลังงานทดแทน” และ “พลังงานทางเลือก” ซึ่งทั้งสองคำนี้ได้ถูกหน่วยราชการไทยและบริษัทพลังงานทำให้สับสนมาตลอด เช่น “เอาก๊าซธรรมชาติมาทดแทนน้ำมัน” และถ้าไม่มีอย่างนี้ก็ขอเลือกอีกอย่าง เป็นต้น แทนที่จะเอา “พลังงานหมุนเวียน” (Renewable Energy, คำว่า Renewable แปลว่า งอกใหม่ แทนตัวเองได้) ซึ่งได้แก่พลังงานที่ใช้แล้วไม่มีวันหมด เช่น แสงแดด ลม ชีวมวล และพลังน้ำขนาดเล็ก เป็นต้น
     
       พลังงานหมุนเวียนเป็นกลุ่มแหล่งพลังงานที่ตรงกันข้ามกับพลังงานฟอสซิ ลที่ใช้แล้วหมดไป หมดแล้วก็หมดเลย เกิดใหม่ไม่ได้ พร้อมกับทิ้งมลพิษไว้เบื้องหลังทั้งคนรุ่นนี้และยาวนานถึงรุ่นหลัง
     
       ผมไม่ได้ฟังการอภิปรายในสภาฯ จึงไม่ทราบว่านโยบายข้อนี้ เขาหมายถึงอะไรกันแน่ และอภิปรายกันว่าอย่างไรบ้าง อย่างไรก็ตามเมื่อมีข้อความว่า “ให้สามารถทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิล” ก็น่าจะทำให้เราเข้าใจได้ว่า “นำพลังงานหมุนเวียนมาแทนพลังงานฟอสซิลให้ได้ร้อยละ 25 ภายใน 10 ปี”
     
       หรือเขาจะ “ศรีธนญชัย” ว่านำ “พลังงานนิวเคลียร์” มา “ทดแทนพลังงานฟอสซิล”
     
       ยังมีประเด็นที่น่าสนใจอีก 2 ประเด็นที่เหลือ คือ ให้ได้ “อย่างน้อยร้อยละ 25 ภายใน 10 ปี” และ “ทั้งนี้ ให้มีการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างครบวงจร”
     
       ประเด็นหลังนี้ผมไม่เข้าใจเลยครับว่าเขาหมายถึงอะไร เป็นอุตสาหกรรมพลังงาน หรืออุตสาหกรรมปิโตรเคมี แล้วทำไมจึงเอามาเขียนในข้อนี้ หรือจะเป็นอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน
     
       กลับมาที่ประเด็นเดิมครับ ถ้าผมเข้าใจถูกต้องก็คือ รัฐบาลนี้จะ “นำพลังงานหมุนเวียนมาแทนพลังงานฟอสซิลให้ได้ร้อยละ 25 ภายใน 10 ปี”
     
       คำถามก็คือ “เป็นไปได้ไหม” และสอดคล้องหรือขัดแย้งกับแผนพีดีพี 2010 ที่มีกำหนดการตั้ง 20 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2553-2573
     
       จริงอยู่ ในนโยบายของรัฐบาลข้อนี้เป็นพลังงานโดยรวมซึ่งแบ่งออกได้เป็นสองหมวดใหญ่ๆ คือ หมวดไฟฟ้า (คิดเป็นมูลค่าประมาณ 25% ของพลังงานทั้งหมด) และหมวดน้ำมันและอื่นๆ (คิดเป็น 75%) แต่การจะทำให้นโยบายพลังงานของรัฐบาลข้อนี้สำเร็จได้ คือใช้พลังงานหมุนเวียน 25% ก็ต้อง “รื้อ” แผนพีดีพี 2010 (ซึ่งเป็นแผนเฉพาะกิจการไฟฟ้า) ที่กำหนดว่าจะใช้พลังงานหมุนเวียนแค่ 6% (ดังตาราง)
       ถ้าไม่มีการรื้อแผนพีดีพี 2010 (ที่กำหนดเดิมที่ 6%) แล้ว ทำอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้ภาพรวมพลังงานทั้งหมดไปอยู่ที่ 25% ได้เลย
     
        กระบวนการจัดทำแผนพีดีพี 2010 มีขั้นตอนที่ยาวนาน ซับซ้อน เริ่มต้นที่คณะอนุกรรมการพยากรณ์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กระทรวงพลังงาน คณะกรรมการพลังงานแห่งชาติ การรับฟังความคิดเห็นของประชาชน (แม้จะหลอกๆ ก็ตาม) จนสุดท้ายได้ผ่านมติ ครม.รัฐบาลอภิสิทธิ์
     
        ผู้อยู่เบื้องหลังการจัดทำแผนพีดีพี คือ พ่อค้าถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ (ทั้ง ปตท. และบริษัทต่างชาติ) รวมทั้งกลุ่มล็อบบี้ยิสต์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์
     
        แล้วอยู่ๆ จะมาล้มกันได้ง่ายๆ กระนั้นหรือ ไม่น่าจะเป็นไปได้ (ทั้งๆ ที่ผมอยากให้เป็น) หรือว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีพลังเหนือกว่ากลุ่มพ่อค้าเหล่านั้น ก็ไม่น่าจะใช่
     
        หรือว่าเขียนๆ ไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้ครุ่นคิดให้ละเอียด คงไม่มีใครมาตรวจสอบ (ซึ่งผมคิดเอาเองว่าถึงตอนนี้ยังไม่มีใครตรวจสอบในประเด็นนี้) หรือทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร คนไทยขี้ลืม!
     
        ในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร รัฐมนตรีพลังงาน (นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) เคยไปประกาศในเวทีโลกที่เยอรมนี ปี 2547 ว่าจะใช้พลังงานหมุนเวียนให้ได้ 8% ภายใน 4 ปี ที่ประชุมยกย่องกันใหญ่เลย ปรากฏว่าจนถึงวันนี้ พลังงานหมุนเวียนในภาคไฟฟ้าไทยยังไม่ถึง 2% เลย
     
        แผนพีดีดีเองก็เถอะ ผิดพลาดมาตลอด ทั้งพยากรณ์ความต้องการเกินจริง ทำให้คนไทยต้องแบกรับภาระที่ไม่จำเป็น โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 4-5 โรงก็ถูกจับยัดเข้ามาใส่อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
     
        ผมอยากจะสรุปว่า ไม่ว่านโยบายรัฐบาลและแผนพีดีพีที่ผ่านๆ มาแล้ว มีส่วนที่เหมือนกันสองอย่าง คือ ยัดเยียดและหลอกลวงประชาชนตลอดมา ยิ่งประชาชนไม่สนใจ ยิ่งหวานหมู ขอโทษด้วยครับ ถ้าผมทำให้บางท่านรู้สึกเศร้า! อย่าเอาแต่เศร้า อย่าเอาแต่นอน ชาวบ้านคนหนึ่งเคยเตือนสติผมไว้อย่างนี้ครับ

ทำไม?? ต้องทวงคืน ปตท..✿

 
ทำไม?? ต้องทวงคืน ปตท..✿
พลังงานไทย ควรให้ประโยชน์ส่วนรวมกับประชาช
ไม่ควรถูกฉกฉวยประโยชน์นั้น เพื่อประโยชน์ของคนกลุ่มเดียว
 

.◕‿◕...ทรัพย์สินของแผ่นดิน
พลังงานของชาติ ...◕‿◕.
.◕‿◕...จะปล่อยให้คนไม่กี่ตระกูล ครอบครองและกอบโกยผลประโยขน์..หรือ..
.◕‿◕...ทวงคืน ปตท.. เพื่อให้เป็นสมบัติของลูกหลานคนไทยทุกคน...◕‿◕..

✿..ทำไม?? ต้องทวงคืน ปตท..✿
พลังงานไทย ควรให้ประโยชน์ส่วนรวมกับประชาชน
ไม่ควรถูกฉกฉวยประโยชน์นั้น เพื่อประโยชน์ของคนกลุ่มเดียว

✿..เมื่อความจริงเปิดเผย ทำไมประชาชนที่มีเงิน แต่ซื้อหุ้น ปตท.ไม่ได้..✿
..ปตท.ได้จำหน่ายหุ้นไปก่อนเวลา 09.30น.อันเป็นเวลาที่เปิดจอง ให้กับบุคคลภายนอกถึง 863 ราย
..ผู้ซื้อหุ้น 1รายจองได้ 1ครั้ง 1ใบ จองได้ไม่เกิน 1แสนหุ้น ปรากฏว่า มีผู้จองเกินจำนวนหุ้นที่กำหนดไว้มากถึง 428 ราย ในจำนวนนี้มี นามสกุล “มหากิจศิริ” และนามสกุลของกลุ่มนักการเมืองทั้งนั้น
http://www.astvmanager.com/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000095264
http://www.astvmanager.com/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000095879

✿..เมื่อภาครัฐ นำทรัพย์สินของคนไทยทั้งชาติ ..จ่ายส่วย..ให้ผู้มีอุปการะคุณ ..✿
.. ปตท.ได้ขายหุ้นจำนวนมากถึง 25 ล้านหุ้นให้กับบุคคลกลุ่มหนึ่ง ในราคาพาร์เพียงหุ้นละ 10 บาท แต่ขายหุ้นให้กับนักลงทุนอื่นๆในราคาพาร์ที่หุ้นละ 35 บาท ภาครัฐใช้สิทธ์อันใดเลือกปฏิบัติเช่นนี้ได้
http://www.astvmanager.com/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000096551

✿..เมื่อภาครัฐประเคนหุ้น ขายให้ต่างชาติมากกว่าคนไทย.✿
..และแล้วก็ถึง บางอ้อ!!..ใคร? ที่น่าจะมีหุ้นปตท.ไว้ในครอบครองมากที่สุด

..หุ้นปตท.ทั้งสิ้นจำนวน 775 ล้านหุ้น..ขายให้คนไทยรายย่อยแค่ 220 ล้านหุ้น ขายให้สถาบันในประเทศ 235 ล้านหุ้น แต่ขายให้นักลงทุนต่างชาติมากถึง 320 ล้านหุ้น
..ซึ่งไม่สามารถตรวจสอบได้ว่า นักลงทุนต่างชาติ ที่เข้ามาซื้อ หุ้นปตท.นั้น คือ “ฝรั่งหัวดำ” ที่ไปตั้งกองทุน หรือมี นอมินีอยู่ที่ ต่างประเทศหรือไม่..
http://www.astvmanager.com/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000097094


✿..ไม่เรียกว่าปล้น..แล้วจะเรียกว่าอย่างไร??..✿
..ทุบราคาพาร์ให้นายทุนซื้อหุ้นปตท.ได้ถูกๆเพียง หุ้นละ 35 บาท โดยการใช้เทคนิคทางบัญชี กดราคา ทรัพย์สินของชาติให้ต่ำติดดิน เช่น..ตีราคาโรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่ 1โรง จากราคา 50,000 ล้านบาท หักค่าเสื่อมทางบัญชีปีละ10% สิบปี เหลือมูลค่าโรงกลั่นเพียง 1 บาท และยังมีบางรายการ ที่ทำให้ราคาทรัพย์สินเหลือเพียง 0 บาท
แต่ต่อมา..ทรัพย์สินชิ้นเดียวกันนั้นก็ถูกเล่นแร่แปรธาตุ เพิ่มมูลค่าทางบัญชีให้กับปตท.และผู้ถือหุ้น ทำให้ราคาหุ้นปตท.จากเดิมราคา 35 บาท สูงขึ้นมากกว่า 300 บาทในปัจุบัน
http://www.manager.co.th/daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000097646

✿..ปตท.ร่วมด้วยช่วยอิ่ม..✿
*แก้ไขกฎหมาย..ให้ข้าราชการผู้เป็นกรรมการของรัฐวิสาหกิจเข้าไปเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทเอกชน ที่รัฐวิสาหกิจถือหุ้นได้
✿กินเอง..ชงเอง..ใข้อำนาจอนุมัติ สร้างผลกำไร และเอื้อประโยชน์ให้แก่นายทุน
http://www.manager.co.th/daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000098272

✫..ถึงเวลาฟ้อง “ปตท.✫
ทนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง..เพื่อให้การซื้อขายหุ้นปตท.ที่ผ่านมาเป็น.โมฆะ.ด้วยต้องอาญาแผ่นดินใน 2 ข้อกล่าวหาคือ..
1..การซื้อขายที่ผิดไปจากทีโออาร์ ..ทีโออาร์ต้องถือเป็นสัญญาประชาคม
ที่ปตท.ต้องปฎิบัติตามอย่างเคร่งครัด
2..ขัดต่อกฎหมายตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการที่ดี ขัดต่อกฎหมาย
ปปช. เพราะการขายหุ้นปตท. ดังกล่าว ไม่โปร่งใส
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9540000098451

(¯`*•.¸Ƹ̵̡Ӝ̵̨̄Ʒ¸.•*´¯)

✿สาเหตุที่ น้ำมัน แพง
ปตท.เป็นรัฐวิสาหกิจ ที่ถูกนักการเมืองและกลุ่มทุน เข้ามาบริหารเพื่อสร้างผลกำไรเพียงอย่างเดียว ภายในครึ่งปี 54 ปตท.ควัก1.7หมื่นล้าน จ่ายปันผลหุ้นละ 6 บาท
✿..มีเงิน3.5 ล้าน ซื้อหุ้นราคาพาร์ได้หนึ่งแสนหุ้น นั่งกระดิกเท้าอยู่บ้าน ก็มีกำไรครึ่งปี หกแสน หรือเดือนละหนึ่งแสนบาท ... ประชาชนทำงานแทบตาย เติมน้ำมันทีกระเป๋าแทบฉีก บางคนต้องอดที่อยาก เพื่อให้รถมีน้ำมัน รัฐบาลทำอย่างนี้กับคนไทยทั้งประเทศได้ยังไง..
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1314326098&grpid=03&catid=05&subcatid=0502

พลังงานไทย พลังงานใคร..http://youtu.be/t8GL5rHkLmo

(¯`*•.¸Ƹ̵̡Ӝ̵̨̄Ʒ¸.•*´¯)

。◕‿◕。ร่วมด้วยช่วยกัน ทวงคืนปตท. เพื่อให้คนไทยได้ใช้น้ำมันที่มีราคาถูก หรือได้ใช้น้ำมันฟรี!ในบางส่วน และ จัดสรรกำไรเฉลี่ยเป็นปันผลให้คนไทย ตามจำนวนประชากร โดยที่ประชาชนไม่ต้องซื้อหุ้น.

(¯`*•.¸Ƹ̵̡Ӝ̵̨̄Ʒ¸.•*´¯)

เชิญเข้าร่วมกลุ่ม ทวงคืน ปตท. เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และรับรู้ข่าวสาร ข้อมูลกลโกง ทรัพย์สินของชาติ...

ร่วมด้วยช่วยกัน ทวงคืน ปตท. ให้กับลูกหลานคนไทยทุกคนได้ที่ลิงก์นี้ นะคะ..
http://www.facebook.com/groups/249421905088805/

(¯`*•.¸Ƹ̵̡Ӝ̵̨̄Ʒ¸.•*´¯)

ร่วมกันทำให้การแปรรูปและการกระจายหุ้น ปตท. เป็น โมฆะ!?..http://www.thaiday.com/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000095651

ปตท. พลังงานเพื่อใคร?..http://thaiforgetit.blogspot.com/2011/08/2551.html

เปิดหมู่บ้านเสื้อแดงอุดรฯ 3 อำเภอ 64 หมู่บ้าน


Pic_199111

ที่อุดรฯมีการเปิด “หมู่บ้านเสื้อแดง เพื่อประชาธิปไตย” เพิ่ม 3 อำเภอ 64 หมู่บ้าน เตรียมเปิดที่ อ.ศรีธาตุ อีก 50 หมู่บ้าน...


เมื่อ เวลา 11.00 น. วันที่ 3 ก.ย. ที่ศาลาการเปรียญ วัดโพธิ์ชัย บ้านหนองแก ต.เขือน้ำ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี นพ.ประสงค์ บูรณ์พงศ์ อดีตรมว.แรงงานและสวัสดิการสังคม ประธานที่ปรึกษามูลนิธิ 111 ไทยรักไทย เป็นประธานเปิด “หมู่บ้านเสื้อแดง เพื่อประชาธิปไตย” โดย ร.ต.ต.กมลศิลป์ สิงหะสุริยะ ประธานกลุ่มคนเสื้อแดงอุดรธานี นายอานนท์ แสนน่าน เลขานุการฯ นำแกนนำคนเสื้อแดงจาก 3 อำเภอ ประกอบด้วย อ.น้ำโสม, อ. บ้านผือ และอ.นายูง มาร่วมงานประมาณ 800 คน
ขณะที่นายวิเชียร ขาวขำ ส.ส.บัญชีรายชื่อ, นางเทียบจุฑา ขาวขำ, นายเกรียงศักดิ์ ฝ้ายศรีงาม, พ.ต.ท.สุรทิน พิมานเมฆินทร์ ส.ส.อุดรธานี และนายเวียง วรเชษฐ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย มาร่วมงานกันอย่างพร้อมเพรียง และมีนายพีระพงษ์ สิงทอง ประธานคนเสื้อแดงภาคใต้ มาร่วมสังเกตการณ์เปิดหมู่บ้านเสื้อแดงครั้งนี้ด้วย

โดย ก่อนเปิดหมู่บ้านเสื้อแดง มีพิธีบายศรีสู่ขวัญ “ผูกฮัก ผูกแพง ผูกเสี่ยวคนเสื้อแดง” เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับคนเสื้อแดง ขณะที่นปช.ส่วนกลาง ได้ส่งคณะกรรมการส่วนกลาง เดินทางมาทำบัตร นปช. เซ็นชื่อในบัตรโดยอ.ธิดา ถาวรเศรษฐ์ ประธานนปช. ให้กับคนเสื้อแดงที่สนใจสมัครเป็นสมาชิก นปช. พร้อมเปิดเวทีปราศรัยขนาดใหญ่ ให้แกนนำและ ส.ส.ที่มาร่วมงาน ขึ้นกล่าวปราศรัยกับคนเสื้อแดง ทั้งยังมีการแสดงหมอลำ ได้รับความสนใจจากคนเสื้อแดงที่มาร่วมงาน

จาก นั้นนพ.ประสงค์ได้มอบป้าย "หมู่บ้านเสื้อแดง เพื่อประชาธิปไตย" ที่เป็นภาพของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ชูมือภาษาใบ้ ที่แปลว่ารัก ให้กับแกนนำของแต่ละหมู่บ้านจากทั้ง 3 อำเภอ มี อ.บ้านผือ 7 ตำบล 56 หมู่บ้าน, อ.น้ำโสม 5 ตำบล 5 หมู่บ้าน และ อ.นายูง 3 ตำบล 3 หมู่บ้าน จากนั้นได้ตั้งขบวนแห่ทั้งรถยนต์ และเดินเท้า ไปติดป้ายหมู่บ้านเสื้อแดงที่บ้านนาแก ต.เขือน้ำ อ.บ้านผือ ซึ่งรวมแล้ว จ.อุดรธานี มีการจัดตั้งหมู่บ้านเสื้อแดง รวม 375 หมู่บ้าน

ด้าน ร.ต.ต.กมลศิลป์ เปิดเผยว่า การเปิด “หมู่บ้านเสื้อแดง” มีตัวแทนจากจังหวัดภาคใต้เดินทางมาร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ เพื่อจะได้นำเอา “อุดรโมเดล” ไปขยายการเปิด “หมู่บ้านเสื้อแดง” ในพื้นที่ภาคใต้ เพราะในช่วงนี้เราเดินทางไปเปิดในภาคอีสาน ภาคเหนือ และภาคกลาง หมดแล้ว โดยที่ จ.ร้อยเอ็ด จะมีการเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงจำนวน 101 หมู่บ้าน และในวันที่ 11 และ 18 ก.ย.นี้ ก็จะมีการเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงที่ อ.ศรีธาตุ จ.อุดรธานี อีก 50 หมู่บ้าน ถือได้ว่าหมู่บ้านเสื้อแดงได้รับความสนใจจากพี่น้องเสื้อแดงเป็นอย่างยิ่ง

“ขณะ นี้มีการประสานงานจากคนเสื้อแดงหลายจังหวัด ทุกภาคของประเทศไทย เพื่อจะให้พวกเราเดินทางไปเปิดหมู่บ้านเสื้อแดง บางจังหวัดได้เปิดดำเนินการกันเอง โดยผมขอให้ป้ายหมู่บ้านเสื้อแดงมีรูปแบบเดียวกันคือ รูปภาพของท่านอดีตนายกฯทักษิณ เป็นป้ายหมู่บ้านเสื้อแดง แต่ผมขอร้องพี่น้องคนเสื้อแดง ทุกหมู่บ้าน ทุกตำบล และทุกจังหวัด ที่มีการเปิดหมู่บ้านเสื้อแดง อยากให้มีการนำความรู้ด้านประชาธิปไตย ให้ความรู้ด้านการเมืองในอดีตและปัจจุบัน ส่งเสริมวัฒนธรรมประเพณี ใกล้ชิดมวลชน นำป้ายหมู่บ้านไปติดตั้งแต่ละหมู่บ้าน ให้ประชาชนคนเสื้อแดงได้หวงแหน และชื่นชมความเป็นหมู่บ้านเสื้อแดงด้วย” ประธานกลุ่มคนเสื้อแดงอุดรธานี กล่าว


ไทยรัฐออนไลน์

การขอพระราชทานอภัยโทษ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร จะสำเร็จจริงหรือไม่? ที่นี่มีคำถามและคำตอบ


  
การขอพระราชทานอภ้ยโทษ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร
       เรา ต้องมาทำความเข้าใจกรณีของการขอพระราช ทานอภัยโทษที่เป็นหลักการและหลักปฏิบัติทั่วไป ก่อนที่จะไปพิจารณาการขอพระราชทานอภัยโทษของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
                ๑.การขอพระราชทานอภัยโทษหมายถึงการขอรับพระราชทานอภัยโทษในความผิดที่ศาลมีคำพิพากษาตัดสินแล้ว มิใช่หมายความรวมถึงการกระทำความผิดอื่นๆ ที่ยังมิได้มีการฟ้องร้องหรือที่ศาลยังมิได้ตัดสินคดี ซึ่งในกรณีปกติ จำเลยจะต้องมาฟังคำพิพากษาเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการถูกควบคุมตัวมาในกรณีที่ถูกคุมขังหรือมาศาลเองในกรณีที่มี การประกันตัว ดังนั้น เมื่อศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกจำเลยผู้นั้นจะถูกควบคุมตัวไปจำคุกใน ความผิดนั้นทันที และเมื่อถูกจำคุกในความผิดนั้นอยู่จำเลยหรือนักโทษนั้นก็อาจทำเรื่องทูล เกล้าฯ ขอรับพระราชทานอภัยโทษได้
แปลว่าขั้นที่หนึ่งต้องถูกพิพากษาให้ติดคุกและต้องติดคุกก่อนแล้วจึงทำเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษ ไม่ใช่หนีไปแล้วขอพระราชทานอภัยโทษ
            ๒.ขั้น ต่อมา เมื่อถูกคุมขังแล้ว ผู้ต้องขังนั้นมีความประสงค์จะขอพระราชทานอภัยโทษก็ให้ทำได้   เพราะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา ๒๕๙ กำหนดไว้ว่าให้ผู้ต้องคำพิพากษาให้รับโทษ หรือผู้ที่มีประโยชน์เกี่ยวข้อง เมื่อ คดีถึงที่สุดแล้ว (แปลว่าคดีสิ้นสุดไม่มีอุทธรณ์หรือฎีกาอีกแล้ว) ถวายเรื่องราวต่อพระมหากษัตริย์ขอรับพระราชทานอภัยโทษ จะยื่นต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมก็ได้
คำถามคือ ใครที่จะเป็นผู้ทำเรื่องทูลเกล้าฯ เพื่อขอพระราชทานอภัยโทษได้ และ ทำอย่างไร
คำถามแรก            ใครเป็นผู้ที่มีสิทธิ์ขอพระราชทานอภัยโทษได้บ้าง
คำตอบ         ผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและผู้มีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง
คำถาม                   ใครคือผู้มีผู้ประโยชน์เกี่ยวข้อง
คำตอบ                  หลักเกณฑ์ของกรมราชทัณฑ์ คือ คู่ สมรสหรือญาติชั้นใกล้ชิด ได้แก่ สามี ภรรยา บุตร บิดา มารดา หากเป็นญาติลำดับชั้นถัดไปก็อาจพิจารณาตามข้อเท็จจริงแต่จะจำกัดไว้ที่พี่ น้องร่วมบิดามารดาหรือญาติสนิทชั้นใกล้ชิดจริงๆ เท่านั้น
คำถาม                   ดำเนินการอย่างไร
คำตอบ                   ผ่านการทูลเกล้าฯเสนอของรัฐมนตรียุติธรรม และอื่นๆ
มาตรา ๒๖๑ วรรคหนึ่งของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาระบุไว้ว่ารัฐมนตรีว่าการ กระทรวงยุติธรรมมีหน้าที่ถวายเรื่องราวต่อพระมหากษัตริย์พร้อมทั้งถวายความ เห็นว่าควรพระราชทานอภัยโทษหรือไม่
             ในทางปฏิบัติที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องซึ่งได้แก่กรมราชทัณฑ์ก็จะทำ ความเห็นเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมถึงพฤติกรรมและความประพฤติของนัก โทษผู้นั้นรวมถึงระยะเวลาการที่ได้รับโทษตามคำพิพากษาว่าผู้นั้นสมควรที่จะ ได้รับการพระราชทานอภัยโทษหรือไม่ แต่หากจำเลยหลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษา ก็เท่ากับไม่มีตัวตนของจำเลยหรือนักโทษผู้นั้นให้เจ้าหน้าที่สามารถรายงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมให้พิจารณาพฤติกรรมและความประพฤติรวมถึงระยะ เวลาที่ผู้นั้นได้รับโทษตามคำพิพากษาว่ามีเหตุผลสมควรที่จะได้รับการพระราช ทานอภัยโทษแล้วหรือไม่
ข้อควรทราบคือ แม้ในอดีตที่ผ่านมาจะเคยมีจำเลยที่หลบหนีการจำคุกหลายรายได้ยื่นเรื่องราว ทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อขอรับพระราชทานอภัยโทษ แต่กรมราชทัณฑ์ไม่เคยทำความเห็นเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมให้ ถวายความเห็นควรให้พระราชทานอภัยโทษจำเลยเหล่านั้นเลย  และไม่เคยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมท่านใดที่ไม่เห็นด้วยกับความเห็น นี้ของกรมราชทัณฑ์
นอกจากนี้ ยังปรากฎข้อเท็จจริงอีกว่า ไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีท่านใด รวมทั้งนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี อีกเช่นกันที่เห็นว่าควรจะถวายความเห็นให้ทรงพระราชทานอภัยโทษแก่ผู้หลบหนี การคุมขังตามคำพิพากษา  เรื่องนี้มีเอกสารหลักฐานชัดเจนทุกยุคทุกสมัย
                  สำหรับกรณีผู้ที่จะทำเรื่องทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อขอรับพระราชทานอภัยโทษนั้น กฎหมายกำหนดไว้ ๒ กรณี คือ ๑. ผู้ทีต้องคำพิพากษานั้นเอง และ ๒. ผู้ที่มีประโยชน์เกี่ยวข้อง สำหรับ กรณีผู้ที่มีประโยชน์เกี่ยวข้องนั้น กรมราชทัณฑ์ถือปฏิบัติตลอดมาว่าจะต้องเป็นคู่สมรสหรือญาติชั้นใกล้ชิด ได้แก่ สามี ภรรยา บุตร บิดา มารดา หากเป็นญาติลำดับชั้นถัดไปก็อาจพิจารณาตามข้อเท็จจริงแต่จะจำกัดไว้ที่พี่ น้องร่วมบิดามารดาหรือญาติสนิทชั้นใกล้ชิดจริงๆ เท่านั้น  การจะทำเรื่องทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อขอรับพระราชทานอภัยโทษโดยผู้อื่นจริงๆ แล้วจึงไม่จำเป็นต้องใช้ผู้คนจำนวนมากเพียงเป็นผู้ที่มีประโยชน์เกี่ยวข้องตาม ที่กล่าวมาแล้วนั้นเพียงคนเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้กรมราชทัณฑ์สามารถดำเนิน การทำเรื่องราวเสนอความเห็นต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมตามกฎหมายได้ แล้ว
                             
                                กรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร              
                ในกรณีของ พ.ต.ท. ทักษิณ มีผู้จัดทำเป็นขบวนการใหญ่โต มีผู้ร่วมลงนามในหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายขอรับพระราชทานอภัยโทษถึงกว่าสามล้านคน จึงเป็นจุคเริ่มต้นของความล่าช้าในการดำเนินการ เพราะกรมราชทัณฑ์ต้องตรวจสอบรายชื่อทั้งหมดว่าบุคคลดังกล่าวมีตัวตนจริงหรือ ไม่และมีบุคคลใดบ้างหรือที่เข้าลักษณะเป็นผู้ที่มีประโยชน์เกี่ยวข้อง ที่ จะสามารถยื่นเรื่องราวทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อขอรับพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท. ทักษิณ ได้ตามกฎหมาย   กรมราชทัณฑ์ไม่เคยประสบกรณ์เช่นนี้จึงต้องเกณฑ์เจ้าหน้าที่และจัดจ้าง ลูกจ้างรวมทั้งจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์เพิ่มเติมอย่างมากมายเพื่อมาดำเนิน การ ซึ่งนอกจากจะหมดเงินงบประมาณไปจำนวนมากแล้ว ยังทำให้ต้องใช้เวลาดำเนินการเป็นปี  ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าหากผู้ดำเนินการต้องการเพียงให้มีการดำเนินการทูล เกล้าฯ ถวายเพื่อขอรับพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท. ทักษิณ อย่างจริงจังและรวดเร็วแล้ว เหตุใดจึงไม่ดำเนินการเพียงให้ภรรยา หรือบุตร หรือ ญาติชั้นใกล้ชิด เช่น พี่น้องของ พ.ต.ท. ทักษิณ เป็นผู้ลงนามในหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อขอรับพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท. ทักษิณ เพราะเพียงบุคคลดังกล่าวตนใดคนหนึ่งเพียงคนเดียวก็ดำเนินการได้และจะไม่มี ปัญหาใดๆ ที่ต้องพิจารณาว่าผู้ที่ร่วมลงนามมีตัวตนจริงและเป็นผู้ที่มีประโยชน์เกี่ยวข้องหรือไม่ด้วย  ซึ่งในกรณีนี้เช่นนี้ กรมราชทัณฑ์สามารถดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ ได้ไม่น่าจะเกินหกเดือน
                  เป็นที่น่าประหลาดใจว่าหลังจากที่กรมราชทัณฑ์ต้องใช้เวลาเป็นปีเพื่อตรวจสอบ ความถูกต้องของรายชื่อและความสัมพันธ์ของบุคคลที่ลงนามในหนังสือทูลเกล้าฯ แล้ว นอกจากพบว่าผู้ลงชื่อมีตัวตนถูกต้องเพียงประมาณสองล้านชื่อ (ไม่ปรากฏบุคคลตามรายชื่อประมาณกว่าหนึ่งล้านชื่อ)
กลับปรากฎว่าไม่มีรายชื่อของภรรยาและบุตรของ พ.ต.ท. ทักษิณ ร่วมลงนามขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท. ทักษิณ เลย
 แต่ ปรากฎรายชื่อบุคคลสามคนที่ใช้นามสกุลเดียวกับ พ.ต.ท. ทักษิณ คือ “ชินวัตร” แต่กลับกลายเป็นว่าทั้งสามคนนั้นมีเพียงชื่อแต่มิได้ลงนามมาด้วย หนึ่งในนั้น คือ นายพายัพ ชินวัตร ซึ่งหากนายพายัพ ลงนามมาเรื่องก็จบสามารถดำเนินการต่อไปได้ เพราะนายพายัพเป็นน้องชายของ พ.ต.ท. ทักษิณ พอจะถือได้ว่านายพายัพเป็นผู้ที่มีประโยชน์เกี่ยวข้องตาม หลักเกณฑ์ของกฎหมาย  กรมราชทัณฑ์จึงทำหนังสือสอบถามไปยังบุคคลทั้งสามว่าการที่ไม่ได้ร่วมลงชื่อ มานั้น บุคคลทั้งสามทราบเรื่องและมีเจตนาที่จะทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท. ทักษิณ หรือไม่ หากมีความประสงค์จริงก็จะได้จัดให้มาลงนามให้ถูกต้องต่อไป ผลปรากฎว่ามีผู้ตอบกลับกรมราชทัณฑ์เพียงรายเดียวว่าประสงค์จะทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท. ทักษิณ แต่ในขณะนั้นไม่ปรากฎความสัมพันธ์กับ พ.ต.ท. ทักษิณ ว่าเข้าลักษณะเป็นผู้ที่มีประโยชน์เกี่ยวข้องตาม หลักเกณฑ์ของกฎหมายหรือไม่ ส่วนนายพายัพ ชินวัตร และอีกบุคคลหนึ่งไม่ตอบกลับมายังกรมราชทัณฑ์ กรมราชทัณฑ์จึงรายงานเรื่องดังกล่าวมายังผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ยุติธรรมเมื่อประมาณต้นปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ผมจึงสั่งการให้กรมราชทัณฑ์ติดต่อสอบถามไปยังนายพายัพ และอีกบุคคลหนึ่งอีกคร้ง เพราะเห็นว่าหากนายพายัพตอบกลับมาและมาลงนามให้ถูกต้องเรื่องก็จะได้เข้าสู่ กระบวนอื่นต่อไปเสียที แต่จนที่ผมพ้นตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมกรมราชทัณฑ์ก็ยังมิได้ รายงานผลการดำเนินการตามที่สั่งการดังกล่าวมาแต่อย่างใด
                  ดังนั้น เมื่อปรากฎข่าวว่ากรมราชทัณฑ์ได้ส่งเรื่องการทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานอภัยโทษ พ.ต.ท. ทักษิณ ไปยัง พล.ต.อ. ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมปัจจุบันแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและอธิบดีกรมราชทัณฑ์ที่จะ ต้องชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนว่าบุคคลที่ใช้นามสกุล “ชินวัตร” ทั้งสามรายรวมทั้งนายพายัพ ชินวัตร ได้มาลงชื่อในหนังสือชอทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท. ทักษิณ ถูกต้องแล้วหรือไม่ และทั้งสามคนมีความสัมพันธ์เข้าลักษณะของการเป็นผู้ที่มีประโยชน์เกี่ยวข้องตาม หลักเกณฑ์ของกฎหมายแล้วหรือไม่อย่างไร และกรมราชทัณฑ์ได้เสนอความเห็นต่อ พล.ต.อ. ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมว่าไม่สมควรถวายความเห็นต่อพระมหากษัตริย์ว่า ควรพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท. ทักษิณ เพราะเป็นผู้หลบหนีการคุมขังเช่นที่กรมราชทัณฑ์เคยถือปฏิบัติในกรณีอื่นๆ และตามที่เคยรายงานผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมมาก่อนหรือไม่
                        หากกรม ราชทัณฑ์ดำเนินการเช่นที่ผ่านมา  พล.ต.อ. ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมต้องชี้แจงให้ชัดเจนว่ามีความเห็นเช่นเดียว กับกรมราชทัณฑ์เช่นที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมทุกท่านในอดีตถือ ปฏิบัติมาหรือไม่  สำหรับนางสาวยิ่งลักษณ์  ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะต้องชี้แจงให้ชัดเจนว่าตนจะถวายความเห็นตามขั้นตอนต่อพระมหากษัตริย์ว่า ไม่ควรพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท. ทักษิณ  เพราะเป็นผู้หลบหนีการคุมขังและไม่เคยได้รับโทษตามคำพิพากษาของศาลมาก่อนเลย หรือไม่
                        ส่วนเหตุใดภรรยาและบุตรของ พ.ต.ท. ทักษิณ จึงไม่ร่วมลงนามในหนังสือทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานอภัยโทษ พ.ต.ท. ทักษิณ ด้วยนั้น ก็เป็นเรื่องที่ภรรยาและบุตรของ พ.ต.ท. ทักษิณ จะต้องอธิบายเหตุผลเอง
                  สำหรับการดำเนินการของบุคคลใดในกรณีนี้จะเข้าลักษณะเป็นความผิดฐานเป็นการ ช่วยผู้อื่นมิให้ต้องรับโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๘๔ หรือเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ หรือไม่เพียงใด ก็เป็นเรื่องที่คงต้องว่ากันอีกยาว
                เพราะมีอายุความของคดีนี้ยาวนาน ๑๐ – ๑๕ ปี
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง