เหลี่ยมพล่านพลิกเกมสู้ แหย่ให้แตก-เสี้ยมให้พัง ขายขนมจีบเอาเก้าอี้ล่อ 'เดี๋ยวก็รู้'ใครหลอกใคร?
ภายหลังจากรู้ตัวว่า “เดินเกมพลาด”...ในเรื่องการ “ดันก้น” บรรดาโจกแดง...ที่มีชนักติดหลังในเรื่อง “ปากเสีย” ที่พาดพิงไม่เลือกหน้า แถมยัง “จาบจ้วงล่วงละเมิด” โดยจัดให้ “หลายคน” อยู่ในอันดับเซฟโซน...ซึ่งก็เกิดปฏิกิริยา “ลบ” ตามมาในทันที เล่นเอา “นักโทษเหลี่ยมจัด” ถึงกับต้องพลิกตำราโกง...สู้อีกครั้ง...แต่อย่างน้อยก็คิดในใจแบบเข้าข้าง ตัวเองว่า “ทำถูก” เพราะต้องยึดกุมหัวใจของพลังแดงเอาไว้ก่อน...เรื่องอื่นไปว่ากันข้างหน้า
โดยเฉพาะการวางสคริปต์-วางบทบาทให้ “น้องปูกิ” ที่โคลนนิ่งตัวเองมา...เล่นบท “ตุ๊กตาหุ่นยนต์” ที่กดปุ่มรีโมท “ซ้ายหัน-ขวาหัน-เดินหน้า-ถอยหลัง” จะพูดกับสื่อ-จะปราศรัย-จะตอบคำถาม...จะต้องพูดกลางๆ ไม่ผูกมัดตัวเอง...ตามสคริปต์ที่กำหนดไว้แล้ว ห้ามพูดนอกสคริปต์เด็ดขาด อันเป็นการบ่งบอกได้ชัดเจนว่า “ไร้วิสัยทัศน์” อย่างยิ่ง เพราะทุกอย่างต้องถูกโปรแกรมสั่งงานอย่างเดียว...ถึงจะทำได้...555
ยิ่งเวลานี้มีการสั่งเปลี่ยนทีม “วอลล์เปเปอร์” จากพวกเสนอหน้าทั้งหลาย ที่อยากเด่น-อยากดัง...ก็หันมาใช้ทีมเศรษฐกิจ ที่มี “3 หน่อ” ของพรรคโคลนนิ่งเหลี่ยม...เป็นคนเดินตาม เพื่อหวังยกก้นให้ดูโดดเด่นขึ้นมา แต่นั่นเท่ากับเป็นการตอกย้ำชัดๆ ว่า “ไร้กึ๋น...ขนานแท้” เพราะถ้าแน่จริง...ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาเดินประกบโชว์ แต่ต้องสามารถ “โชว์กึ๋น” ได้ทุกที่-ทุกเวลา...ต่างหาก
ล่าสุดมีกระแสข่าวออกมาว่า “นักโทษเหลี่ยมจัด” ส่ง “5 ขุนพล” ที่เป็นตัวแทนไปเจรจาต้าอ่วยขาย “ขนมจีบ” กับ “พรรคร่วมขนาดกลาง” เอาไว้...โดยหยิบยื่นไมตรีและยื่น “เก้าอี้ดนตรี” ที่ไม่ต่างไปจากที่ “พรรคเก่าแก่” เคยหยิบยื่นให้
ด้วยการให้ “เฒ่าไดโนเสาร์” กับ “น้องเขยผู้ชื่นชอบตู้เย็น” ดอดไปจีบ “มังกือเตี้ย” ผู้มีอำนาจตัวจริง
หรือการส่ง “เสี่ยตาหยี...ที่มีชื่อเล่นเป็นลูกชิ้นฮั่งเพ้ง” ไปตีซี้ “ชายหูกาง” เพื่อแหย่ล่วงหน้าในเก้าอี้ “ผู้นำคนกลาง” เผื่อในกรณีเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น
รวมถึงการส่ง “เขยขายไก่” ดอดไปเจรจากับ “จอมโกงคลองด่าน” และส่ง “อินทรีอีสาน” ไปแตะมือกับ “2 พี(ที่เหลือ)” ฐานเคยอยู่ร่วมพรรคเดียวกันมาก่อน
ทั้งหลายทั้งปวงในการส่ง “ขนมจีบ” ไปล่อนั้น...หลายคนอาจมองว่า “เพื่อเอาเหยื่อไปล่อให้งับ” แต่ความจริงแล้ว เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ในการจงใจ “แหย่ให้แตก” มากกว่า
สาเหตุหลักเพราะ “นักโทษเหลี่ยมจัด” รู้ดีว่า...เลือกตั้งหนนี้ ไม่มีทางได้เสียงเกินครึ่ง...เหมือนที่เคยทำมาในอดีต...อีกทั้ง “ตัวเลข” ที่จะออกมาก็ไม่หนีมากมายกับ “พรรคเก่าแก่” แพ้-ชนะ...อาจต่างกันไม่มาก
แต่เมื่อมารู้ว่า “พรรคร่วมฯเดิม” ต่างมี “สัญญาลับ” แบบมี “พยานพิเศษ” ให้ไปไหนไปด้วยกันแล้ว จึงต้องพยายาม “ตีให้แตก” ให้ได้
ส่วนหนึ่งก็เพื่อ “จงใจ” สร้างความหวาดระแวงให้เกิดขึ้นในหมู่ “พรรคร่วม” ด้วยกันเอง...ว่าใครจะยอมเป็น “หมาหัวเน่า” เพื่อเก้าอี้และอำนาจ...เพราะอยากเป็น “รัฐบาล...จนตัวสั่น”
แต่เมื่อ “ไต่กอ” เห็น “ทีท่า” ของ “ตัวละครเก่าๆ” ที่ออกมา “ตีบทแตก” ในเรื่องหยอกกันแรง...ทวงสัญญารักกันไป-มา...ก็ยิ่งทำให้ชัดเจนว่า “สัญญาลับ” เคลียร์กันลงตัวแล้ว ที่เล่นออกมาก็เป็นแค่ “ฉากหน้า” ทำทีเหมือนแตก แต่ไม่แตกจริง...เป็นยุทธการ “ลับ-ลวง-หลอก” 555
ซึ่งงานนี้ก็ไม่รู้ว่า “ใครหลอกใคร” ระหว่าง “นักโทษเหลี่ยมจัด” กับ “เซียนการเมืองรุ่นดึกดำบรรพ์ทั้งหลาย”
ยิ่งล่าสุด...เห็นเกมเอาคืน “สกัดจุดอ่อน” ของขั้วอำมาตย์ ที่ส่ง “ลูกสมุนหลากสี” ไปยื่นดีเอสไอ ให้สอบเอาผิด “เจ๊ปูกิ” ฐานให้การเท็จในคดีซุกหุ้น...ก็ต้องถือว่าเป็น Appetizers เรียกน้ำย่อย...อุ่นรอไว้ก่อน เพราะ “Main Course” ของจริง...กำลังตามมาในเวลาอันใกล้
จึงเห็นอาการดิ้นพล่านในการอยากเป็น “ผู้ท้าชิง” ระดับ “ไทยแลนด์ ช็อป ทาเลนต์” แทนที่ “มฤตยูดำ” และ “ชายปากห้อย” ที่ชิงบทบาทนี้ไปแล้ว...ก็ยิ่งชัดเจนว่า “พล่านม๊ากมาก”
โดยเฉพาะการส่งสมุนไปติดต่อกับ “น.หนู-ลูกอาแป๊ะก่อสร้าง” เพื่อหวังให้ฉีกตัวออกมาจาก “ชายปากห้อย” และหวังดัดหลัง “คนทรยศ” คืนนั้น...ถือเป็นวิธีที่ “โง่บรม” เพราะ “คลุกวงใน” ต่างรู้กันดีว่า นอกเหนือจาก “มังกือเตี้ย-ชายหูกาง-จอมโกงคลองด่าน-ชายเหยียบทรายไร้รอยเท้า” แล้ว ก็มี “น.หนู-ลูกอาแป๊ะก่อสร้าง” คนนี่แหล่ะ ที่รับรู้ถึง “อานุภาพ” อันทรงพลังของ “อำนาจที่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ” เป็นอย่างดี
แต่ “น.หนู-ลูกอาแป๊ะก่อสร้าง” ก็บอกเองแบบชัดๆ ว่า “การเมือง...คนพูดไม่ได้ตัดสิน แต่คนตัดสิน...คือคนที่ไม่ได้พูด” ซึ่งถือว่าตอบโจทย์การเมืองไทยในเวลานี้ได้ตรงเป้าเข้าประเด็น!!!
และบทเรียนในอดีตจากรายการ “กระเหี้ยนกระหือรือ” อยากเป็นรัฐบาลจนตัวสั่น โดยไม่ฟังเสียงติงนั้น...ผลลัพธ์คืออย่างไร “มังกือเตี้ย” ย่อมรู้ดีที่สุด
ที่สำคัญ “น.หนู-ลูกอาแป๊ะก่อสร้าง” และอีกหลายคน...ก็คือกลุ่มคนที่ “รับงานตรง” ในการร่วมทำลายล้าง “เครือข่ายเหลี่ยมจัด” งานนี้จึงเตรียมทำใจ “กินแห้ว-จิบน้ำใบบัวบก” ได้เลย...เพราะ “น.หนู-ลูกอาแป๊ะก่อสร้าง” คงไม่เสี่ยงเอาธุรกิจในตระกูลที่ก่อร่างสร้างตัวมานาน ต้องมีอัน “อับเฉา” แน่ๆ
และยิ่งมาเห็น “ทีท่าพล่าน” ของ “นักโทษเหลี่ยมจัด” กับ “ไพร่ตัวพ่อ” ที่ออกมาประกาศดักคอว่า หากพรรคโคลนนิ่งเหลี่ยม “ชนะ” แต่ตั้งรัฐบาลไม่ได้ รับรอง “พลังแดง” จะ “ดีเดือด” อีกครั้ง...ก็เป็นการพิสูจน์ให้เห็นชัดๆ อีกเรื่องว่า “รู้ตัวเองดี” ว่า อำนาจข้างหน้ากำลังหลุดลอย จึงต้องขู่ไว้ก่อน
อยากให้สังเกต “ลีลาท่าทาง” ของ “หล่อหลักลอย” ให้ดีๆ ในช่วงการหาเสียงระยะหลังนี้ เพราะมีการปรับกลยุทธ์สู้แบบนิ่มๆ ตามคำแนะนำของ “กระจิบข่าวทำเนียบฯ” ที่เสนอว่า แทนที่จะ “ติ๊ดชิ่งหนี” ไม่เสี่ยงไปในพื้นที่แดงเดือด ก็ควรเดินหน้าบุกถึงถิ่น และใช้ความได้เปรียบเรื่อง “ปาก” ในการพูดจา-อธิบายความให้เข้าใจ
ตอน แรกที่ได้รับคำแนะนำนี้ ว่ากันว่า ทีมยุทธศาสตร์ของพรรคเก่าแก่ก็ยังแบ่งรับแบ่งสู้ แต่สุดท้ายก็ยอมทำตาม...และเดินหน้าลุยเต็มสปีด ซึ่งก็ได้ผล เพราะในเชิงจิตวิทยาของคนไทย ที่ไม่ได้เป็นพวกหัวรุนแรง-หัวก้าวร้าวแบบเต็มสูบ เมื่อเจอ “ของ จริง” มาเผชิญหน้า การถกเถียงถึงเหตุผลจึงสู้ไม่ได้แน่นอน จะเห็นว่า “หล่อหลักลอย” ใช้ความได้เปรียบเดินเข้าหา เพื่อชี้แจง เล่นเอา “สาวกแดง” ที่มาเจื้อยๆ เย้วๆ กลับรังกันไม่เป็น
อีกทั้ง “สารพัดสื่อ” ก็พร้อมใจกันเผยแพร่ทั้งภาพ-ทั้งเสียง-ทั้งเนื้อหา...ก็ยิ่งทำให้ “ภาพลักษณ์” ของ “หล่อหลักลอย” ดูสุขุม-ไม่ก้าวร้าว ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการตัดสินใจของ “กลุ่มกลางๆ” กว่า 50% ที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกใคร เพราะเป็นการเปรียบเทียบภาพชัดเจนว่า “ฝ่ายหนึ่ง” ก้าวร้าว-รุนแรง-ไร้เหตุผล “อีกฝ่าย” นิ่มนวล-สุขุม-ไม่หนีปัญหา
แต่ก็มีการตั้งข้อสังเกตว่า...“สาวกแดง” เหล่านี้เป็น “แดงจริง” หรือ “แดงเทียมจัดตั้ง” เพราะ ทุกครั้งที่ “หล่อหลักลอย” เจอป่วน “สาวกแดง” ล้วนใส่เสื้อแดงที่สกรีนหน้า “เจ๊ปูกิ” เพื่อทำให้ดูเหมือนว่า She เป็น “คู่ขัดแย้ง” โดยตรง เพราะมี “ผู้มีประสบการณ์ตรง” เล่าให้ “ไต่กอ” ฟังว่า หากเป็น “แดงจริง” ที่กล้าออกมาบ้าดีเดือดแบบนี้ ปฏิกิริยาที่แสดงออกไม่นุ่มนิ่มแค่เย้วๆ เท่านั้น แต่จะเล่นถึงบท “มือถึง-ตีนถึง” ทีเดียวเชียว
ยิ่งมาเห็นแผนบันได 3 ขั้น ที่ชู “ชนะเลือกตั้ง-จัดตั้งรัฐบาล-นิรโทษกรรม” แล้ว...ขอบอกได้เลยว่า “เสียวสันหลัง...ว่ะ”
โดยเฉพาะความพยายามในการให้เกิดกระบวนการลดหย่อนโทษให้ “นักโทษเหลี่ยมจัด” ในคดี “เมียซื้อที่-ผัวเซ็นค้ำ” ด้วยการตั้งเป้าจาก “ติดคุก” เป็น “รอลงอาญา” ไม่ต้องเข้าไปห้องกรงจริงๆ นั้น
รับรองได้ว่า “ไม่มีใครยอมแน่” เพราะจะทำให้ “กระบวนการยุติธรรมของไทย” สิ้นมนต์ขลังแน่
ซึ่งนั่นจะสะเทือนถึง “อำนาจอื่น” เป็นผลกระทบแบบลูกโซ่ทีเดียวเชียว...เฮ้อ แค่คิดก็เสียวแล้ว ว่า “ตอนจบ” จะเป็นแบบไหน????
แต่ที่แน่ๆ เวลานี้ “ผู้สันทัดกรณี” ตั้งข้อสังเกตว่า “พรรคเก่าแก่” ดูจะมั่นอกมั่นใจจริงๆ ขนาด “มฤตยูดำ” ผู้บัญชาการเกมตัวจริง ยังไม่ยอมลงพื้นที่หาเสียงช่วยลูกพรรคเลย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวก “มีภาพ-พูดเก่ง” แต่ตัวเองสิงสถิตอยู่ที่ ทำเนียบฯ หรือไม่ก็ที่พรรค...เพื่อเดิน “เกมลับ-เกมใต้ดิน” แบบเต็มสูบ...งานนี้มีเสียงกระซิบมาให้ “ไต่กอ” ฟังเพื่อฝากผ่านไปถึง “นักโทษเหลี่ยมจัด” ว่า...เดี๋ยวก็รู้ “ใครหลอกใคร”...555
......................................
วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2554
วัดกึ๋น "คู่แข่ง" ชิงตำแหน่งนายกฯ เทียบช็อตต่อช็อตนโยบายบริหารประเทศ
คู่แข่งนายกฯทั้งสองคนจะนำพาพลพรรคเข้าไปนั่งใน สภาได้มากน้อยเพียงใดให้ สามารถเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ ก็ขึ้นอยู่กับปูมหลัง ความ เชื่อมั่น ของผู้คน และนโยบายที่พวกเขานำเสนอต่อประชาชนผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือก ตั้งเป็นสำคัญ
อ่านบทสัมภาษณ์ของทั้งเธอ และเขา ผ่านการรายงานของ ทีมเศรษฐกิจดู
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ปาร์ตี้ลิสต์ เบอร์ 1 พรรคเพื่อไทย
การมีแบ็กกราวด์เป็นซีอีโอบริษัทจดทะเบียนของคุณ มีข้อได้เปรียบหรือเสียเปรียบ
ยอม รับว่าขนาดการบริหารธุรกิจกับประเทศต่างกัน แต่ศาสตร์ในการจัดการไม่น่าจะต่างกัน สิ่งที่เราจะต้องนำมาใช้ประโยชน์ คือเข้าใจ กลไกที่เรียกว่าบริบทของประเทศก่อน จะไม่ทำงานคนเดียว และมีทีมงานวิชาการมาช่วย จะใช้ประสบการณ์ทุกอย่างตลอดชีวิตการทำงานมาประยุกต์ ใช้ให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นความรู้ความเข้าใจด้านการบริหารการจัดการ การตลาดและความสัมพันธ์ที่ดีกับทางภาครัฐ ภาคเอกชนต่างประเทศ
“ตรง จุดนี้เป็นความได้เปรียบ ดิฉันเข้าใจคนทำมาหากิน เคยสัมผัสมา เคยทำธุรกิจมาจะรู้ว่าเวลาเจ็บหนักจะแก้ปัญหาอย่างไร จะหาเงินเข้าบริษัททำอย่างไร จะใช้ความรู้ความสามารถนี้ไปผนวกกับความรู้ความสามารถที่พรรค มี”
ที่สำคัญ เวลาทำอะไรต้องคิดเรื่องการบริหารจัดการก่อน ต้องเข้าใจพื้นฐานปัญหา รู้ต้นทุนที่แท้จริง แล้วรับข้อมูลครบทุกส่วนแล้วค่อยตัดสินใจ กลับไปหาศาสตร์ 4 M ตัวแรกทำ management (บริหารจัดการ) คิดก่อนว่าจะบริหารจัดการอย่างไร แล้วค่อยไปคุยเรื่อง material (วัตถุดิบ) money (เงิน) และ man (คน) จะใช้เท่าไหร่จะมีคำตอบ ต้องคิดกระบวนการให้ครบถ้วน ใช้การจัดการเป็นหลัก ส่วน money ควรจะเป็นตัวสุดท้าย
โจทย์ของประเทศต้องเร่งรัดบริหาร โครงการให้เสร็จโดยเร็ว วันนี้ต่างชาติมองประเทศว่าบางโครงการยังคาราคาซัง เดินไม่ได้ ก็ต้องใช้ศาสตร์การบริหารจัดการเข้ามาช่วย ยอมรับว่าทางการเมืองบริหารจัดการยากกว่าบริษัท แต่ถ้าเรามองปัญหาและเป้าหมายปลายทางว่า อยากส่งมอบอะไรให้ประชาชนแล้วเอาเป็นตัวตั้ง เชื่อว่ากลไกจะถูกบังคับให้เดินเป็นไปตามนั้น
จะแก้ไขปัญหาปากท้องเร่งด่วนของประชาชนด้วยวิธีใด
เรื่องราคาสินค้าต้องให้เป็นไปตามกลไกการตลาดอย่างแท้จริง คือมีทั้ง demand (อุปสงค์) และ supply (อุปทาน) ต้องดูทั้ง value chain (ห่วงโซ่) ตั้งแต่ต้นทุนการผลิต ท่อในการทำต่างๆ ไหลเวียนหรือเปล่า ดูเรื่องระบบการผูกขาด ดูให้มีปริมาณสินค้าเพียงพอ ไม่ให้เกิดการกักตุนสินค้า ตัดราคากัน
นโยบายของพรรคเพื่อไทยเรื่องแก้ปัญหาปากท้อง นอกจากช่วยลดภาระหนี้สินด้วยการพักหนี้ไว้แล้ว จะสร้างรายได้อย่างยั่งยืน ต้องทำให้คนตั้งตัวเพื่อสามารถแก้ปัญหาได้ในระยะยาว วิธีแก้ปัญหามองจากพีระมิดสามเหลี่ยมประเทศไทย เริ่มจากกลุ่มล่างคือมองที่ต่ำเส้นความยากจน มี 5 ล้านคน มีหนี้ต่อครัวเรือนเพิ่มขึ้น ตอนนี้อยู่ที่ 40,000 บาทต่อครัวเรือน ยังไม่รวมหนี้นอกระบบอีก นี่คือนโยบายแรกที่จะใช้ คือการพักหนี้ แต่ไม่ได้ยกหนี้ ไม่ได้แจกเงิน หนี้ต่ำกว่า 500,000 บาท จะได้รับการพักหนี้ ส่วนหนี้มากกว่า 500,000-1,000,000 บาท ก็ไปเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ ประนอมหนี้ไป เพื่อลดภาระไม่ต้องกู้หนี้นอกระบบเงินได้มาเท่าไหร่ไปจ่าย หนี้หมด
ฐานพีระมิดจะช่วยเรื่องการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ ปัญหาหนี้สิน ราคาพืชผล รับจำนำข้าว มีบัตรเครดิตเกษตรกรเหมือนกับให้ทุนกู้ยืมไปทำการค้า พอทำการค้าแล้วก็มาใช้หนี้ ครั้งหน้าก็ทำนาได้ต่อ
ส่วน คนกลุ่มกลางจะช่วยให้ไปตั้งตัว คือคนจบใหม่ๆ เงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท เบื้องต้นจะประกันค่าแรงขั้นต่ำให้เพื่อที่จะเลี้ยงตัวได้ ระดับหนึ่ง จบปริญญาตรีเงินเดือน 15,000 บาท แต่ไม่ได้สร้างภาระให้เอกชน เพราะจะไปลดภาษีนิติบุคคลให้จาก 30% ลงมาที่ 23% และ 20%
จากข้อมูลพบว่ายังมีคนที่ไม่ได้ รับการจ้างงานอีก 500,000 คนต่อปี กลุ่มที่ไม่อยากเป็นลูกจ้าง อยากมีกิจการของตนเองก็จะมีระบบกองทุนตั้งตัวได้ จะมีอาจารย์จากมหาวิทยาลัย ผู้ที่มีความรู้ความชำนาญ ผู้ที่ประสบความสำเร็จในแต่ละสาขาอาชีพ เข้ามาเป็นกรรมการในการพิจารณา เช่น จะไปเปิดร้านก๋วยเตี๋ยว จะถูกพิจารณาว่าทำเป็นหรือเปล่า และต้องใช้เงินทุนเท่าไหร่ มีผู้เชี่ยวชาญสอนและวางแผนด้านการเงินให้ เพื่อช่วยให้ตั้งตัวได้ในระยะยาว
นโยบายที่หาเสียงต้องใช้งบประมาณเป็นจำนวนมาก มีวิธีการหารายได้อย่างไร
เอา หลักก่อน การลงทุนเมกะโปรเจกต์ต่างๆ จะยึดหลักไม่เสียวินัยการเงินการคลัง โดยจะอาศัยเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศหรือพาร์ตเนอร์ผู้ร่วม ลงทุนเข้ามา เป็นโจทย์ที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่แล้ว ส่วนหนี้สาธารณะ สุดท้ายก็ต้องหาเงินมาใช้หนี้ คงไม่ปล่อยให้หนี้โตแบบนี้
นโยบายรับจำนำของพรรคเพื่อไทย ดีกว่านโยบายประกันรายได้เกษตรกรของพรรคประชาธิปัตย์อย่างไร
ทางพรรคเพื่อไทยจะยกเลิกประกันรายได้เกษตรกร แต่ใช้วิธีรับจำนำข้าว ไม่ใช่แค่ให้ราคาดี แต่จะได้เห็นและสามารถควบคุมดีมานด์ ซัพพลายที่แท้จริงได้ คือเมื่อเกษตรกรชาวนาเอาข้าวมาจำนำ เราจะรู้ว่านา 1 ไร่ ผลิตข้าวได้เท่าไหร่ จะได้รู้ปริมาณผลผลิตทั้งหมด และปริมาณซัพพลายในตลาดทั้งหมดเท่าไหร่ จะรู้ว่าจะต้องแก้ไขกลไกในตลาดอย่างไร ถ้าปริมาณล้นมากๆ จะแก้ไขโดยการส่งออก หรือร่วมมือกำหนดราคากับประเทศเพื่อนบ้าน
ทุก วันนี้รัฐบาลใช้วิธีประกันราคา สมมติว่าราคาขายจริงอยู่ที่ตันละ 12,000 บาทแล้ว แต่ราคาประกันอยู่ที่ตันละ 15,000 บาท ช่องว่างของราคาที่เกิดขึ้นรัฐบาลจ่ายส่วนต่างให้ แต่เกษตรกรอาจจะไม่ได้ขายข้าวไปจริงๆ ข้าวอาจจะกองอยู่เต็มนา รัฐบาลจ่ายเงินอย่างเดียว แต่ข้าวไม่ได้ไหลเวียนออกไปขาย ทุกวันนี้ข้าวมีแต่ขายไม่ได้ก็เลยไม่ได้ราคา ถ้ายิ่งขายจริงก็ยิ่งราคาตก
นโยบายของพรรคเพื่อไทยที่ ใช้วิธีรับจำนำนั้น จะใช้วิธีซื้อเข้ามา ช่วงต้นอาจจะมีปัญหาแน่ว่าต้องมานั่งบริหารงาน ส่วนปัญหาที่เคยเกิดการทุจริตในโครงการรับจำนำ ก็จะเอาปัญหาที่ทุกคนห่วงใย มาหาระบบการตรวจสอบที่โปร่งใสชัดเจน
ส่วนประเด็นที่ว่าการประกันรายได้ช่วยเกษตรกรได้มากกว่า ถึงแม้ว่าจะช่วยได้ 4 ล้านครอบครัวจริง แต่ของจริงข้าวก็ยังขายไม่ได้กองอยู่ แต่ถ้ารับจำนำเบื้องต้นอาจจะได้ไม่เยอะ แต่มีการหมุนเวียน ฉะนั้น การรับจำนำต้องทำให้รอบหมุนเร็วที่สุดมีประสิทธิภาพมากที่สุด
พร้อม กันนี้ พรรคเพื่อไทยมีนโยบายบัตรเครดิตเกษตรกรจะใช้ควบคู่กันไป เพื่อให้เป็นเงินลงทุนให้ซื้อปัจจัยการผลิต เมล็ดพันธุ์พืช ปุ๋ย เกษตรกรสามารถที่จะบอกว่าปริมาณการผลิตเท่าไหร่ เราจะให้ วงเงินจากปริมาณการผลิตและพอเกี่ยวข้าวเสร็จครั้งหน้าก็เอา เงินมาจ่าย
จะบริหารจัดการราคาน้ำมันอย่างไร ตรึงราคาหรือลอยตัว
ช่วง ต้นๆคงต้องตรึงราคาระดับหนึ่ง แต่ไม่ถึงขั้นแทรกแซง และค่อยๆปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด ขณะเดียวกัน ต้องหาแหล่งพลังงานทดแทนขึ้นมา รณรงค์ให้ประหยัดการใช้พลังงานให้มากที่สุด เพราะความต้องการพลังงานทดแทนมีมากแต่ยังไม่ได้เริ่มต้นอย่าง จริงจัง ในอนาคตจะแก้ปัญหาอย่างไร นโยบายของพรรคเพื่อไทยจะส่งเสริมพลังงานทดแทนทุกชนิด เช่นน้ำ ลม ทั้งระดับประเทศและระดับครัวเรือน
นโยบายหาเสียงใดของพรรคคู่แข่ง ที่ไม่น่าปฏิบัติได้จริง
จุด แรกที่มองคือการสร้างรายได้ ที่น่าจะให้คำตอบกับประชาชนอย่างชัดเจนว่าจะสร้างรายได้ให้ อย่างยั่งยืนอย่างไร นโยบายของพรรคเพื่อไทยที่แตกต่างจากพรรคอื่นคือไม่ได้เน้นแจก เงิน แต่เน้นการลดภาระค่าใช้จ่ายเบื้องต้นเพื่อให้ตั้งตัวได้ในระยะ ยาว และนโยบายของพรรคเพื่อไทยเน้นที่มาที่ไป ปฏิบัติได้จริง เป็นไปได้ ทำงานจากคนที่มีประสบการณ์ อันไหนทำได้อันไหนทำไม่ได้.
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ปาร์ตี้ลิสต์ เบอร์ 1พรรคประชาธิปัตย์
การเป็นนักการเมืองอาชีพของคุณ มีข้อได้เปรียบหรือเสีย เปรียบ
ผม บริหารเศรษฐกิจมาในช่วงยากที่สุดช่วงหนึ่ง ทั้งวิกฤติการเงินโลก บวกกับวิกฤติการเมือง ถือว่าได้ทำให้เศรษฐกิจไทยมีความมั่นคง ประสบการณ์ตรงนี้ เป็นการยืนยันความพร้อมในการบริหารเศรษฐกิจ ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา การบริหารเศรษฐกิจไม่เหมือนกับการบริหารธุรกิจ การบริหารธุรกิจมุ่งให้เกิดผลกำไรต่อผู้ถือหุ้น แต่การบริหารเศรษฐกิจเป็นเรื่องของการตัดสินใจบริหารทรัพยากรของ ประเทศ
“ถ้าถามว่าประสบการณ์ธุรกิจมีประโยชน์ต่อการบริ หาร เศรษฐกิจไหม ก็ต้องตอบว่ามี เน้นเรื่องประสิทธิภาพ แต่เป้าหมายและหลักการบริหารทั้ง 2 อย่างไม่เหมือนกัน ธุรกิจมีเป้าหมายชัดในเรื่องผลตอบแทนผู้ถือหุ้น แต่การบริหารเศรษฐกิจไม่ใช่มีตัวใดตัวหนึ่ง ต้องดูทั้งเสถียรภาพ ประสิทธิภาพ ความเป็นธรรม”
ปัจจัยที่ใช้ ในการบริหารก็อาจเหมือนและไม่เหมือนกันบ้าง แต่เมื่อเป้าหมายไม่เหมือนกัน ระบบก็ไม่เหมือนกัน เช่น ท่าทีต่อธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปรียบเทียบกับองค์กรธุรกิจไม่ได้เลย มีไหมบริษัทที่ฝ่ายการเงินเป็นอิสระ ตรงนี้เป็นลักษณะเฉพาะเห็นชัดๆว่าไม่เหมือนกัน
จะแก้ไขปัญหาปากท้องเร่งด่วนของประชาชนด้วยวิธีใด
ปัญหา ของแพงตอนนี้ต้องแก้ไข 2 ส่วน ส่วนหนึ่งต้องกำกับดูแลสินค้า อีกส่วนเพิ่มรายได้ให้ประชาชน ส่วนหลังพรรคมีนโยบายดูแลประชาชนทุกกลุ่ม เพิ่มค่าแรง ผู้ใช้แรงงานและมีการประกันรายได้เกษตรกร รวมทั้งดูแลเรื่องการศึกษาของผู้สูงอายุ แต่การกำกับดูแลสินค้าทำได้บางตัวเท่านั้น ไม่อยากไปบิดเบือนกลไกการตลาด
รัฐบาลจะดูแลสินค้าบางตัว ที่มีลักษณะพิเศษ เช่น แก๊สหุงต้ม น้ำมันดีเซล ต้องตรึงราคา ทั้งที่มีคนคัดค้าน แต่ผมมีหลักที่ชัดเจน ถ้าไม่ตรึงตอนนี้ราคาสินค้าก็ยิ่งแพงกว่านี้ อ้างว่าต้นทุนสูงขึ้น ส่วนสินค้าอีกหลายตัวที่ไม่มีกลไกควบคุมโดยตรง ก็อยู่บน หลักการที่ต้องดูแลไม่ให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบ เช่น ตอนนี้ไล่ตรวจสอบราคาหมู ไก่ ไข่ ถ้าไม่มีอากาศแปรปรวน ราคาต้องลดลง
ขณะเดียวกัน ก็ต้องเปรียบเทียบเงินเฟ้อของประเทศอื่นด้วย เป็นปัญหาทั่วโลก ถ้ารัฐบาลไม่ใช้นโยบายแบบที่ทำอยู่สินค้าจะแพงกว่านี้ ค่าขนส่งแพงกว่านี้ ที่รัฐบาลได้ทำไป ทำให้สินค้าไม่สามารถอ้างค่าขนส่งได้ หรือถ้าไม่มีนโยบายเรียนฟรี ในเดือนนี้ประชาชนจะเดือดร้อนขนาดไหน
“ผมไปปราศรัยมาทุก ที่ ของแพงอยู่ในใจทุกคน พออธิบายให้ทราบเขาก็เข้าใจ ที่สำคัญเป็นเรื่องง่ายที่จะบ่น แต่ไม่มีใครอธิบายว่าจะแก้ไขอย่างไร สุดท้าย ผมขอย้ำว่าของแพง ยังดีกว่าของขาด ฉะนั้นใครที่คิดว่าเข้ามาแล้วจะมาคุมได้ทุกตัว ต้องระวังของขาด ขอสารภาพตรงๆ กรณีน้ำมันปาล์ม ก็มาจากความพยายามที่จะฝืนความจริง กดราคา จนในที่สุดของจึงขาด”
นโยบายที่ใช้หาเสียงต้องใช้งบประมาณเป็นจำนวนมาก มีวิธีการหารายได้อย่างไร
ยืน ยัน ว่าการทำงบประมาณปี 2555 ที่ขาดดุล 350,000 ล้านบาทนั้น ได้คำนึงถึงนโยบายที่ใช้หาเสียงไว้แล้ว เป็นการขาดดุลงบประมาณที่น้อยลง เมื่อเทียบ สัดส่วนต่อรายได้ และขอยืนยันเป้าหมาย ที่จะกลับไปทำงบประมาณแบบสมดุล และถ้าทำให้เศรษฐกิจโตได้ ก็มั่นใจในแผนการเงินการคลังที่กำหนดเอาไว้ ตอนนี้
หนี้ สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ก็ลดลงต่อเนื่องเหลือไม่ถึง 40% ของจีดีพีแล้ว โดยพื้นฐานถือว่าไม่มีปัญหา แต่เรายังต้องปรับโครงสร้างภาษีทั้งระบบ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและเกิดความเป็นธรรม แต่การบริหารการคลังจะบอกว่าจะลดภาษีเท่าไร ล่วงหน้าไม่ได้
นโยบายประกันรายได้เกษตรกรของพรรคประชาธิปัตย์ ดีกว่านโยบายรับจำนำของพรรคเพื่อไทยอย่างไร
ผม ผ่านมาทั้งการรับจำนำและการประกันรายได้เกษตรกร เพราะรับมรดกการรับจำนำมาจากรัฐบาลชุดก่อน บอกได้เลยว่า โครงการประกันรายได้เป็นโครงการที่ฝนตกทั่วฟ้า ดัชนีรายได้เกษตรกรขณะนี้เพิ่มขึ้น 87% เกษตรกรที่ได้ประโยชน์จากโครงการประกันรายได้ น่าจะมากกว่าการรับจำนำ 3-4 เท่า หรือกว่า 4 ล้านครอบครัว โครงการประกันยังไปถึงคนที่ปกติไม่ได้รับการช่วยเหลือ เช่น คนปลูกข้าวกินเองในภาคอีสานและภาคเหนือ อีกทั้งโครงการประกันรายได้ ไม่ไป ทำลายตลาด เพราะการซื้อขายเป็นเรื่องปกติ เงินหลักประกันมาจากรัฐบาล
ถ้า โครงการประกันรายได้เกษตรกรมีการทุจริต อาจเกิดขึ้นเล็กๆน้อย เช่น แจ้งจำนวนพื้นที่ผลิตไม่ตรง ก็จะมีกลไกช่วยกันตรวจสอบ แต่การรับจำนำจะมีปัญหาทุจริตทุกขั้นตอน ปวดหัวมาก ตั้งแต่ซื้อเก็บกับใคร การจัดโควตาการดูแลรักษา คิดค่าใช้จ่ายเท่าใด จนการประมูลขายที่ขาดทุน และทำลายความสามารถในการแข่งขันของภาคการเกษตร และการรับจำนำสูงๆ คือการที่รัฐบาลไปรับซื้อสินค้ามาเก็บไว้ในสต๊อก เป็นผู้ค้ารายใหญ่ด้วยต้นทุนสูงลิบและไม่ได้กำไร
การ ประกันก็ยังมีจุดอ่อนที่ต้องแก้ไข เริ่มจากขั้นตอนการบริหาร ต่อไปนี้จะไม่ขึ้นทะเบียนทุกครั้ง จะใช้ฐานข้อมูลเดิมและปรับแก้ไขเพื่อช่วยเกษตรกรที่ไม่มี เอกสารสิทธิ์ ซึ่งเดิมขึ้นทะเบียนไม่ได้ และปรับอัตรากำไรเพิ่มขึ้น ปรับต้นทุนการผลิตให้เป็นปัจจุบันมากขึ้น โดยปัจจุบันอิงความชื้น 15% ซึ่งเกษตรกรหลายพื้นที่ไม่ชอบ อยากให้ทำบนพื้นฐานความชื้น 20-25% ก็ยินดีจะปรับให้ ส่วนที่เกษตรกรบ่นว่าขายตามราคาอ้างอิงไม่ได้ ก็จะมีกลไกตั้งโต๊ะรับซื้อมากขึ้น และจะซื้อแล้วขายเลยเพื่อให้เกิดการตลาดที่แท้จริง
ทุก วันนี้ได้แก้เรื่องการปล่อยสินเชื่อเพื่อเกษตรกรไปแล้ว เพราะมีโครงการประกันรายได้ ธ.ก.ส.รู้แล้วว่าความเสี่ยงลดลง เกษตรกรกำลังจะเข้าถึงแหล่งทุนได้ดียิ่งขึ้น ประกอบกับที่จะมีโครงการประกันภัยพืชผล ก็ยิ่งสร้างความมั่นใจให้ ธ.ก.ส.ปล่อยสินเชื่อ เพียงแต่ไม่ได้ออกเป็นบัตรเครดิต ผมถึงยืนยันเดินหน้าประกันรายได้แจกเงินส่วนต่าง ไม่ได้แจกหนี้
จะบริหารจัดการราคาน้ำมันอย่างไร ตรึงราคาหรือลอยตัว
ที่ เคยกำหนดราคาน้ำมันดีเซลไม่เกินลิตรละ 30 บาท เพื่อไม่ให้ค่าขนส่งขึ้น ไม่เช่นนั้นจะทำให้สินค้าขึ้นราคาเสียหายต่อเศรษฐกิจในภาพรวม มากกว่าการใช้เงินตรึงราคาน้ำมัน ที่ตัดสินใจเช่นนี้เพราะเชื่อว่าราคาตลาดโลกที่ปรับขึ้นไปสูง มาก ไม่ใช่ราคาสะท้อนดีมานด์ ซัพพลาย แต่เป็นการเก็งกำไร ขณะนี้ยังไม่มีอะไรต้องเปลี่ยนแปลง กองทุนน้ำมันยังเป็นบวก ราคาน้ำมันดีเซลยังตรึงต่อได้
ส่วนในอนาคตยังไม่สามารถ ตอบได้ เพราะต้องประเมินราคาตลาดโลกก่อน แต่เมื่อถึงวันที่ราคาน้ำมันตลาดโลกลดต่ำลง ก็จะเก็บเงินเข้ากองทุน เก็บภาษีสรรพสามิตเพิ่ม แต่ถ้าราคาขึ้นและชัดเจนว่าขึ้นถาวรและเราเอาไม่อยู่ก็ต้อง ปรับ ส่วนน้ำมันเบนซินไม่มีแผนที่จะทำแบบเดียวกัน
นโยบายหาเสียงใดของพรรคคู่แข่ง ที่ไม่น่าจะปฏิบัติได้จริง
นโยบาย พรรคเพื่อไทยที่ให้ขึ้นค่าแรง 300 บาททั่วประเทศทันที ทำไม่ได้ ธุรกิจจะอยู่ไม่ได้ ขณะที่ค่าแรงปัจจุบันไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับพื้นที่ หากไปกำหนดเท่ากันทั่วประเทศ ก็จะไม่มีการไปลงทุนในต่างจังหวัด
ส่วนการรับจำนำข้าว ราคาสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ก็ทำไม่ได้ และจำนำข้าวทุกเม็ดก็ไม่ได้เพราะไม่มีงบประมาณเพียงพอ ขณะที่โครงการแจกคอมพิวเตอร์พกพาให้กับเด็กนั้น ถ้าแจกทุกคน ต้องใช้เงินกว่า 100,000 ล้านบาท ก็ต้องตอบให้ชัดว่าจะยกเลิกโครงการไหนเพื่อเอาเงินมาจ่าย โครงการนี้แทน ส่วนนโยบายให้เงินเดือนคนจบปริญญาตรี 15,000 บาทนั้น ก็ต้องถามว่าจะทำที่ไหน ถ้าไม่ใช่ภาคราชการ จะบังคับเอกชนได้อย่างไร โดยทั้งหมดนี้ต้องใช้เงินเท่าไหร่ เพราะเห็นบอกว่าจะลดภาษีและไม่กู้เพิ่มด้วย.
ทีมเศรษฐกิจไทยรัฐ
แย่งกันหาเสียง กับ ‘ประชานิยม’ แต่ลืมเศรษฐกิจพอเพียง
เป็นเรื่องน่าแปลกใจที่ว่า “ประชานิยม” หรือ “populist policy” ซึ่งเป็นคำน่ากลัวและอันตรายในหลายๆ แห่งของโลก
เป็น “ความเพี้ยน” ของประเทศไทย ที่ต้องคอยดูว่าหนังเรื่องนี้ “พระเอกจะตายตอนจบ” อย่างไร
อีกทั้งพรรคใหญ่สองพรรคต่างก็แข่งกันใช้ความเป็น “ประชานิยม” (แม้จะเรียกต่างกัน) จนไม่มีใครที่ทำงานการเมืองเรื่องเลือกตั้งกล้าหาเสียงด้วยการบอกกล่าวความจริงกับประชาชนว่า “ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ฟรี”
และเราจะไม่มีทางเห็นนักเลือกตั้งกล้าบอกกับชาวบ้านว่าการยื่นอะไรต่อมิอะไรให้ ดูเหมือนฟรีและง่ายๆ นั้น ความจริงคือการสร้าง “การเสพติด” ที่จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่
และจะเป็นการสร้าง “วัฒนธรรมแห่งการพึ่งพา” ที่ประชาชนจะต้องคอยแบมือขอนักการเมือง
การที่นักการเมืองแย่งกันเสนอ “ของฟรี” ให้แก่ชาวบ้าน และหลีกเลี่ยงการที่จะเสนอทางออกให้ประชาชนต้องสร้างความแข็งแกร่งบนพื้นฐาน ของการเรียนรู้การบริหารจัดการด้วยตนเองนั้น คือ การทำลายความเข้มแข็งระดับรากหญ้าอย่างเห็นได้ชัด
คุณเห็นพรรคการเมืองไหนหาเสียงด้วยนโยบาย “เศรษฐกิจพอเพียง” หรือไม่?
คุณเห็นนักเลือกตั้งคนไหนกล้าบอกให้ชาวบ้านพึ่งพาตนเอง และสร้างอำนาจต่อรองของตนมากขึ้น แทนที่จะหวังได้รับของแจกของแถมจากนักการเมืองหรือไม่?
คำตอบคือไม่มี และตราบเท่าที่นักการเมืองของไทยคือนักเลือกตั้ง นี่จะเป็นแนวโน้มต่อไป
และคำว่า “ประชานิยม” ก็จะกลายเป็นสิ่งที่ผู้คนแสวงหา แทนที่จะเป็นนโยบายที่ควรจะต้องถูกวิเคราะห์ วิพากษ์และตรวจสอบอย่างที่หลายๆ ประเทศในโลกเจอผลร้ายของมันมาแล้ว
วันก่อน คุณเมธี สุภาพงษ์ ผู้อำนวยการอาวุโสสายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย บอกว่า นโยบายการหาเสียงของพรรคการเมืองขณะนี้ที่เป็น “ประชานิยม” จะส่งผลให้ประชาชนคาดหวังและส่งผลต่อเงินเฟ้อในอนาคต และการใช้จ่ายของรัฐบาลได้
ขณะเดียวกัน เขาก็คาดว่าการเลือกตั้งของคนไทยเพิ่มขึ้นมากนัก เพราะในช่วงที่ผ่านมา การบริโภคภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องในอัตราที่สูงอยู่แล้ว
ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่ารายได้เกษตรกรที่ขยายตัวสูงมาก โดยในเดือนนี้ขยายมากถึง 62.9% และรายได้จากการจ้างงานเพิ่มขึ้นจากค่าจ้างที่ดีขึ้น รวมถึงชั่วโมงการทำงานของแรงงานเพิ่มมากขึ้นด้วย
คุณเมธี บอกว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย กังวลถึงอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง เพราะว่าในขณะนี้การส่งผ่านต้นทุนไปยังราคาสินค้ายังไม่สิ้นสุด ทำให้โอกาสที่สินค้าจะแพงขึ้นอีกหลายรายการ
ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะว่าคนที่อาสามาบริหารประเทศ มิอาจแยกออกระหว่างการสร้างความแข็งแกร่งของชุมชนกับสิ่งที่เรียกว่า “สวัสดิการ” สำหรับผู้ด้อยโอกาส
เมื่อเขาเห็นว่าชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ของการเลือกตั้งอยู่บนพื้นฐานของ “หนึ่งคนหนึ่งเสียง” วิธีการทำงานของพวกเขา ก็คือ การสร้างความนิยมด้วยการยื่นข้าวของให้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องคิด ไม่ต้องอ่าน
ขณะเดียวกัน พวกเขาก็ไม่ยอมทำอะไรจริงจังเกี่ยวกับการลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน คนเมืองกับคนชนบท อย่างเป็นกิจจะลักษณะ
เพราะไม่ว่านักการเมืองที่ได้อำนาจทางการเมืองมา จะเสนออะไรให้แก่คนชนบท ก็ไม่มีวันที่จะแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำของสังคมได้ ตราบที่ยังขาดความกล้าหาญที่จะทำให้คนร่ำรวยต้องเสียสละมากกว่านี้
และสร้างอำนาจต่อรองของคนด้อยโอกาส ด้วยการกระจายอำนาจการตัดสินใจอย่างแท้จริง มิใช่ทำสิ่งที่มักง่าย แต่ไม่ยอมให้โอกาสสร้างกลไกสังคมที่จะยกระดับของตนให้ เพื่อลดช่องว่างของสังคมอย่างจริงจัง
- กาแฟดำ
เหตุผลที่ต้อง โหวตโน ( รอบที่เท่าไหร่แล้ว )
ที่เราต้องโหวตโนเพราะ ปัญหาการเมืองไทยเราอยู่ที่ระบบ ไม่ใช่อยู่ที่คน เราจึงต้องแก้ที่ระบบ เพราะระบบที่เราใช้ตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบันไร้ซึ่งคุณภาพ ระบบไม่สามารถคุมคนในระบบให้ทำตามกรอบ กฎระเบียบ ได้ เพราะ ไร้ซึ่งการตรวจสอบ จึงทำให้นักการเมืองกล้าที่จะทุจริต คอรัปชั่น เราจึงต้องต่อต้านระบบเดิมเพราะเราไม่เอาระบบนี้ครับ ถ้าแบบที่ แม่ยก พ่อยก พรรคต่างๆ มายกเหตุผลให้เลือกพรรคตน นั้น คือการเปลี่ยนคน แต่ยังอยู่ใน ระบบเดิมซึ่ง ไม่มีทางที่จะหมดปัญหา ยิ่งทำให้พรรคการเมืองต่างๆ ใช้การยอมรับในตัวระบบเดิม เป็นข้ออ้างในการเข้าสู่ตำแหน่ง อย่างชอบธรรม โดยอ้างว่า ประชาชนเลือกเข้ามา ฉะนั้น การแสดงออกด้วยการโหวตโนจึงเป็นการเริ่มต้นของการต่อต้านระบบ คือ ให้รับรู้ว่า พวกเราไม่เอาระบบนี้ ไม่เอาการเมืองแบบเดิม ต้องการเปลี่ยนแปลง ต้องการที่จะปฎิรูปประเทศ โหวตโนจึงเป็นการเริ่มต้นที่ดี แต่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นว่าประชาชนจำนวนนี้รับรู้ปัญหา แต่ยังไม่ใช่การแก้ปัญหา การแก้ปัญหาคือการวางระบบใหม่ด้วยระบบที่ดี ที่หลายๆชาตินำไปใช้แล้วประสบความสำเร็จจนทุกวันนี้ ซึ่ง ในประเทศเรามีผู้รู้จักระบบนี้ดี มากมาย จึงไม่ต้องกังวลเรื่องการแก้ปัญหา
ส่วนเหตุผลหลักๆที่พ่อยก แม่ยก นำมาใช้ที่สำคัญๆเลย คือ การไม่มีกฎหมายยอมรับ ของโหวตโนไว้ เลยคิดว่า โหวตโน ไม่ใช่ทางออกนั้น ก็อยากจะขอแย้งว่า ก็เพราะ ปัญหาทั้งหมดอยู่ที่ระบบ ระบบเป็นตัวควบคุมทำให้คนที่อยู่ใต้ระบบให้ปฏิบัติตามกฎหมาย แล้วเราไม่เอาระบบ ทำไมต้องอาศัยกรอบของกฎหมายจากระบบเดิม ประเด็นไม่มีกฎหมายรองรับนี้ เป้นการหลงกลบรรดานักการเมืองที่ต้องการรักษาอำนาจอย่างเต็มที่ อยากให้สังเกตุกันอย่างนึง คือ บรรดานักการเมืองปัจจุบัน จะไม่มีการพูดถึงความถูกต้อง แต่จะใช้คำว่า ต้องทำให้เป็นไปตามระบบ ให้ระบบเดินหน้าไปได้ ก็อยากขอให้ประชชาชนอย่างพวกเรา คิดตรงนี้กันมากๆ ว่า ตกลงแล้ว เราควรยึดความถูกต้อง หรือ ควรจะเดินตามระบบที่ไม่ถูกต้อง ถ้าตามความจริงที่ว่า เราควรยึดความถูกต้องแล้ว เราก็จะเข้าใจคำว่า ความชอบธรรมในการเมือง ซึ่ง ความชอบธรรมทางการเมืองนี่แหละคือ คำตอบสำหรับคำถามที่ว่า โหวตโนไม่มีกฎหมายรองรับ จะแก้ปัญหาได้อย่างไร
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
รีโมท
ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน