บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554

“ แดงนักเลือกตั้ง ” เปิดโปงธาตุแท้ “ แดงซ้ายจัดล้มเจ้า “


จันทร์กระจ่าง 31102554 : “ แดงนักเลือกตั้ง ” เปิดโปงธาตุแท้ “ แดงซ้ายจัดล้มเจ้า “


ส.ส.เพิ่อไทยนนทบุรี ท้าแดงทำบัญชีแจกแจงการบริจาคหากโปร่งใส แนะตั้งโต๊ะรับบริจาคที่ราชประสงค์วัดความนิยม ชี้เป็นส.ส.ของประชาชนไม่ใช่กลุ่มสี
นายฉลอง เรี่ยวแรง ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ตอบโต้นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ส.ส.บัญชีรายชื่อ
พรรค เพื่อไทย และแกนนำ นปช.และคนเสื้อแดง ที่ระบุว่าคนเสื้อแดงไม่ใช้อภิสิทธิ์รับของบริจาค ช่วยน้ำท่วมว่าเรื่องนี้ถ้าโปร่งใสจริง ก็ควรทำบัญชีแจกแจงการบริจาคให้ชัดเจน
เพื่อให้เกิดความสบายใจต่อผู้บริจาค
เพื่อกระจายสิ่งของไปถึงประชาชนอย่างทั่วถึง

ท้าแดงวัดใจ ตั้งบริจาคแยกราชประสงค์
เมื่อถามว่ากรณีที่คนเสื้อแดง จะจัดงานระดมเงินบริจาควันที่ 29ต.ค.เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมอีกครั้ง
นายฉลอง ตอบว่า ก็เป็นเรื่องที่ดี ถ้าจะดีกว่านี้ น่าไปตั้งเต๊นท์โต๊ะรับบริจาคแยกราชประสงค์ อยากรู้ว่า
จะมีคนมาเป็นหมื่นหรือไม่  โดยที่ไม่ให้ส.ส.จัดหรือขนคนมา
ถ้าวันนี้ยังมั่นใจในกระแสเสื้อแดง ที่บอกว่าแดงทั้งแผ่นดินและมีเยอะจริง  
การเลือกตั้งในกทม.หลายเขตคงไม่สอบตกอย่างนี้  
ขอท้าเลย สมัยหน้า ถ้าแน่จริง ทั้งนายณัฐวุฒิและนายจตุพร พรหมพันธู
ควรไปลงสมัคร ส.ส.เขตเลย
จะมาลงที่นนทบุรี หรือในเขต กทม.ก็ได้ จะได้รู้ถึงความนิยม
อย่าไปหนีลงอันดับต้นๆในระบบบัญชีรายชื่อ
โต้มีจิตวิญญาณ ภาวะผู้นำเหนือนปช. 

ฉลอง
นายฉลอง ยังได้ตอบโต้ที่ถูกกล่าวหาว่าไม่มีจิตวิญญาณของคนเสื้อแดงว่า
ตนมีจิตวิญญาณและมีวุฒิภาวะในการเป็นผู้นำมากว่าแกนนำ นปช.
ซึ่งในวันสลายชุมนุม แกนนำเสื้อแดงกลับหนีเอาตัวรอด
ไม่มีวุฒิภาวะผู้นำรับผิดชอบกับที่พาคนไปร่วมชุมนุมเลย
มีคนที่ไปร่วมชุมนุมตาย กลับไม่มีความรับผิดชอบและไม่มีอยู่เป็นคนสุดท้าย
เหมือนแกนนำเสื้อเหลืองอย่าง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ไม่เคยทิ้งอยู่เป็นคนสุดท้ายยอมถูกจับก็อยู่ด้วย


ซัด”ตู่-เต้น”หายตัว ไม่รับผิดชอบเด็กตาย
“ผมรู้ว่าคนเสื้อแดงมีหลายกลุ่ม ไทย 20%เป็นแดงแสวงหาประโยชน์ หากินกับเสื้อแดง
มี เด็กที่ไทรน้อยไปร่วมชุมนุมเขาถูกยิงตายก็ดูแลรับผิดชอบตั้งแต่งานศพถึง วันเผา ส.ส.นนทบุรีมาดูแลกันหมด แต่แกนนำเสื้อแดงอย่าง นายจตุพร นายณัฐวุฒิ หายหัวไปไหน ไม่เห็นมาช่วยงานเลย
นายณัฐวุฒิ มีบ้านใหญ่โตหลังเป็นสิบล้าน ย่านนนทบุรี
คยควักเงินบริจาคช่วยเหลือคนเสื้อแดงบ้างหรือไม่”  

ข้องใจมีรัฐบาลแล้ว เสื้อแดงจัดกิจกรรมไม่เลิก
นาย ฉลองกล่าวอีกว่า ส่วนตัวแปลกใจ เมื่อเสร็จสิ้นการเลือกตั้งแล้ว และมีรัฐบาลมาจากการเลือกตั้งของประชาชนแล้ว ทำไมกลุ่มคนเสื้อแดงยังจัดกิจกรรมอะไรกันนักหนา ไม่รู้ว่ามันมีผลประโยชน์อะไรหรือไม่
ส่วนตัวเองยังศรัทธาเสื้อแดงที่ต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ ที่ต่อต้านรัฐประหาร หรือที่จะล้มรัฐธรรมนูญ 50 ก็เห็นด้วย
แต่ถ้าคิดจะล้มเจ้า ตนไม่เอาด้วย
ซึ่งคนเสื้อแดงไม่ใช่จะมาทำถูกทุกเรื่อง อะไรที่ถูกก็ต้องชื่นชม อะไรที่ถูกรังแก ก็ต้องพูด  
แต่วันนี้ อย่าทำให้คนรังเกียจไปมากกว่า 

ไม่เข้าใจจุดประเด็นแก้กม.จ้องเล่นงานทหาร
“ทุกวันนี้ชาวบ้านก็เห็น ทหารมาช่วยเรื่องน้ำท่วมมากมาย
แต่ก็ไม่เข้าใจทำไมบางคนจ้องจะจุดประเด็นสร้างความขัดแย้ง โดยเฉพาะการจะแก้ พ.ร.บ.กลาโหม
ที่จะยิ่งไปสร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นไปทำไม ไม่รู้ว่าทำไมต้องไปเล่นงานทหาร ผมอายเขา
วันนี้เราต้องละลายสี ไม่มีกลุ่ม  การพูดเรื่องสีจะทำให้เกิดความแตกแยกในบ้านเมืองไม่จบ ไม่สิ้น”นายฉลอง ย้ำ

ชี้เป็น ส.ส..ของ ประชาชนไม่ใช่กลุ่มสี
นอก จากนี้ นายฉลอง ยังกล่าวอีกว่า การได้กลับมาเป็นรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย มันเลยจุดประสงค์ไปแล้ว เมื่อได้รับเลือกตั้ง เข้ามาเป็นส.ส.ก็ควรเป็น ส.ส.ของประชาชน ไม่ใช่ ส.ส.ของกลุ่มใดหรือสีอะไร
ต้องเข้าใจหลักการนี้
ไม่ใช่ไม่พอใจเรื่องอะไร ก็จะเอามวลชนมาบีบจะเอาเรื่องนั้นเรื่องนี้  
ซึ่งการจะผลักดันเอากฎหมายอะไร ควรให้เป็นไปตามกลไกลสภาฯจากเสียงที่มีอยู่ในสภา


มาดูที่มาของความขัดแย้งและการตอบโต้ของ  แดง 2  ฝ่าย 

น้ำท่วมเป็นสาเหตุ

  • ฉลอง เรี่ยวแรง  สส.เพื่อไทย ไปขอชุดบริจาคเพื่อไปช่วยชาวบ้านในเขตที่เดือดร้อนฯ จากศปภ.
ขอ 2,000  ได้เพียง 500 ชุด  ขณะที่สส.และข้าราชการเมือง(แกนนำนปช.) ได้ 5,000 ชุด

  • การตอบโต้ออกมาเป็นชุดอย่างดุเดือดจากแกนนำนปช.แดง

  • KWAMJING  26/10/2011   15:44
ณัฐวุฒิ โต้ฉลอง  ยันแดง ไร้อภิสิทธิ เบิกของบริจาคศปภ.
  • D-Station  26/10/2011  15:22
จตุพร ชี้ เสื้อแดงขยันช่วยเกินไป เลยถูกวิจารณ์ครอบงำศปภ. อัดปชป.บิดเบือนของบริจาค ติดชื่อสส.พท. ยันปชช.ต้องการให้ ศปภ.ผ่านตนเอง
  • D-Station 26/10./2011  15:00
ธิดา ย้ำ เสื้อแดง ต้องเฝ้าระวัง อย่าให้มีการเปลี่ยนวิกฤติน้ำท่วม เป็นวิกฤติการเมือง  ยันมีบางกลุ่มพร้อมแลกหายะประเทศ กับ  การคงอำนาจ
  • KWAMJING 26/10/2011  14:43
“ หมอเหวง “ ซัดปชป. ใช้เทคนิคน้ำท่วม หวังโค่นรบ.  ตะเพิด “ ฉลอง “ ลาออกไปอยู่ปชป.
  • D-Station 26/10/2011   14:40
ธิดา ย้ำ เสื้อแดงช่วยเหลือ โดยก้าวข้ามสีเสื้อ  โต้ปชป.- สื่อ กล่าวหาของบริจาคจากศปภ.
  • KWAMJING  26/10/2011  14:36
จตุพร รับเสื้อแดง ช่วยน้ำท่วม เป็นทุกขลาภ  ธิดา ขอแนวร่วม อย่าท้อ โดนป้ายสี
  • KWAMJING  26/10/2011  14:34
“ จตุพร “ ลั่น ไม่ยอมแน่ กล่าวหา เอาของบริจาค  จี้ “ฉลอง “ เปิดมือถือ จะโทรเคลียร์
  • D-Station 26/10/2011  13:46
จตุพร อัด “ ฉลอง เรี่ยวแรง “ ไม่เคยเกี่ยวข้องเสื้อแดง – เป็นสส.เพราะคนอยากให้ยิ่งลักษณ์
เป็นนายก ฯ  รู้ทันปชป. ต้องการแยก รับบาล- เสื้อแดง
  • แล้วในที่สุด ทั้ง 2 แดง ก็สมยอม “เกี่ยเซี้ยะ “ กันแล้ว จากผู้ใหญ่ในพรรคคนโตจากดูไบ

แล้วข้อเท็จจริง เป็นอย่างไร
  1. สิ่งของบริจาค : มีหลักฐานชัดเจน ทั้งพยานบุคคล  เทป  คลิป ฯ
1.1         ชาวบ้านชาวเมืองเอามาบริจาค
1.2         คนคุมของบริจาคคือ”ไอ้เก่ง “ ส่วนหนึ่งเป็นพวกแกนนำนปช.(ซ่า) ที่เน้นสั่งการ
               ให้คนมาช่วย ใส่เสื้อแดง ( เพื่อใช้อ้างว่า มีแต่พวกเสื้อแดงมาช่วยฯ)
1.3          นำของบริจาค เน้นให้พวกเสื้อแดง ไปแจกชาวบ้านโดยเน้นมวลชนแดงเพื่อสร้างฐาน
1.4         นำของบริจาค ติดป้ายทักษิณ ยิ่งลักษณ์ รมต.และสส.เพื่อไทย

       หลักฐานชิ้นนี้  คงชัดเจนที่สุด   จากD-Station  27/10/2011 08:16
            ( พล.อ.) ยุทธศักดิ์ เสนอให้กองทัพดูแลของบริจาคทั้งหมด  แทนฝ่ายการเมือง

  1. แกนนำนปช. ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนที่มีความคิดซ้ายจัด อคติ  ตกยุค จมกับความแค้นในอดีต
ต้องการโค่นล้ม และทำลายสถาบันหลักต่างๆของแผ่นดิน  สถาบันกษัตริย์  กองทัพ  ศาล ฯ
หากอยู่ต่อหน้ามวลชนจำนวนมาก  สื่อ  หรือ ขณะที่มีบทบาท เป็นสส. เป็นข้าราชการการเมือง
จะพูดใหญ่โต คับฟ้า  ทำตัวเป็นพระเอก  คนกล้า  วิพากษ์ด่าคนอื่นอย่างสาดเสียเทเสียฯ
แต่ความจริง เป็นคนขี้ขลาด หวาดหวั่น กลัวตาย
ยิ่งตอนที่มีฐานะบทบาท  มีเงินทอง มีอำนาจมาก  จะยิ่งห่วงสมบัติและกล้วมากขึ้น
เหตุการณ์ การชุมนุมเผาบ้านเผาเมือง  ปี 2552-3 แสดงออกอย่างชัดเจน
หนีเอาตัวรอด ไม่มีความรับผิดชอบในฐานะผู้นำพามวลชนมาเสี่ยง และใช้ความรุนแรง
ปล่อยให้มวลชนชาวบ้าน  ต้องเสี่ยงภัยและรับเคราะห์กรรมแทน
( สิ่งที่ สส.ฉลองฯ  พูด  ไม่ผิดความจริง  มีเพียงแต่พูดน้อยไป พูดไม่หมด )
สื่อและหลานคนพูดและมีหลักฐานแสดงชัดเจน
นอกจากนี้ แกนนำนปช.ส่วนนี้  ซึ่งส่วนใหญ่เป็นปัญญาชน  ที่อยู่ใกล้ชิดผู้มีอำนาจ
จะมีการเป็นอยู่และใช้ชีวิตแบบนายทุนสามานย์  และมีลักษณะเผด็จการ ดูถูกคนอื่นๆ
ไม่เชื่อไปถาม แกนนำนปช.ระดับภาคและท้องถิ่นดูได้เลยฯ

คนเหล่านี้ ครั้งหนึ่งเคยเป็นคนมีอุดมการณ์  แต่เมื่อต่อสู้เคลื่อนไหวแนวทางประชาธิปไตย
เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ  ต้องเสียสละแทบทุกอย่าง
กล่าวได้ว่า “ ยิ่งสู้ ยิ่งจน “
แต่ปัจจุบัน ได้เปลี่ยนไป  เป็น “ ยิ่งสู้ ยิ่งรวย  ยิ่งมีอำนาจ มีฐานะดีขึ้นเลยๆ “
บางคนถึงเปรยกับเพื่อนๆว่า  “ เสียดาย  มาอยู่กับทักษิณ  ช้าไปหน่อย “

โดยสรุปที่กล่าวมา  เป็นเรื่องของพวกสีแดงด้วยกัน
          โดยแดง 1. เป็นแดงนักเลือกตั้ง
          โดยแดง 2. เป็นแดงซ้ายจัด ใช้ความรุนแรง ไม่เอาสถาบันหลักของสังคมไทย
          ข้อมูลที่นำเสนอ มีน้ำหนัก เพราะเป็นการเปิดโปงกันเอง  เอาข้อเท็จจริง มาพูด
          แต่สิ่งที่เหมือนกัน  คือ  ใช้ชาวบ้าน เป็นเครื่องมือ  ทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนเป้นหลัก
          โดยฝ่ายหนึ่ง  ใช้การซื้อเสียง  การให้ผลตอบแทน ฯ
          อีกฝ่ายหนึ่ง  ใช้แนวคิดที่บิดเบือน เอาความทุกข์ความไม่เสมอภาคของชาวบ้านเป็นเครื่องมือ
          จุดร่วมกันคือ  ใช้ทุกวิธี  ไม่ว่าถูกหรือผิด  ผลดีผลเสีย
          และที่สำคัญ คือ การมีเจ้านาย  นายทุนสามานย์ ที่เป็นนักโทษหนีคดีคนเดียวกัน  ชื่อ .

วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ดูกันแล้ว อย่าทิ้งกันไปนะครับ




ไม่อยากจะเชื่อเลย
   ธรรมดา ผมก็รู้อยู่แล้วว่า พวกคุณมันเลวแค่ไหน จากประสพการณ์ต่างๆที่ผ่านมา มันบอกอะไรได้ดีมากๆ แต่มาวันนี้ ผมอึ้ง ผมอนาถใจ คุณทำได้ยังไง ทำแบบนี้ได้ยังไง ไม่อยากจะเชื่อ พวกคุณยังมีความเป็นคนอยู่รึเปล่า
อันนี้ภาพ Before ดูไว้นะครับ
ส่วนอันนี้ภาพ After ไม่รู้จะพูดยังไง
  พวกคุณมัน.... ผมสรรหาคำด่าอะไรดีล่ะครับ เอาเป็นว่า
1. ของบริจาคที่ประชาชนเสียเงินเสียทอง มาบริจาค ของบริจาคที่ประชาชนอาสามาบรรจุ คุณปล่อยทิ้งให้มันจมน้ำแบบนี้
2. คุณเล่นการเมืองกันแบบนี้ใช่ไหม คุณเอาแต่สร้างภาพ หาเสียง เอาหน้า รอให้ ส.ส. พวกคุณ มาติดป้ายชื่อ สุดท้ายของพวกนี้ที่มาจากใจประชาชน ถูกพวกคุณย่ำยี จนเละเทะ
3. มีประชาชนอีกมากมายนัก ที่ประสบภัยน้ำท่วม ไม่มีอาหาร ไม่มีน้ำดื่ม ไม่มียารักษาโรค ภาพที่ผมเห็นตรงหน้าคือสิ่งที่เค้าต้องการ คุณทำแบบนี้ได้ยังไง อนาถนัก ช่างน่าอเนจอนาถใจนัก
4. ส้วม สุขา เคลื่อนที่ๆคนมาบริจาค ลอยเต็มพื้นที่ไปหมด ทั้งที่ประชาชน ที่น้ำท่วมส่วนใหญ่เค้าต้องการ ทำไมไม่รีบส่งไปให้ จะกั๊กไว้เล่นการเมือง จนคลิปมันฟ้องแบบนี้ใช่ไหม
5. ส.ส. แม้กระทั่งพรรคคุณเอง ต้องการของไปบริจาคพี่น้องประชาชน คุณกั๊กไว้ให้ นักการเมืองของคุณ ให้เฉพาะเสื้อแดง สุดท้าย คุณก็เอามันไปไม่ได้ ปล่อยให้น้ำท่วมหนีเอาตัวรอด
6. ภาคเอกชน หน่วยงานต่างๆ เช่น บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ เคยประสานขอของบริจาค แทนที่คุณจะให้พวกเขาไป เพื่อไปแจกจ่าย เพราะคุณไม่มีความสามารถในการกระจายของ มัวแต่กั๊กให้เสื้อแดง สุดท้าย แทนทีของจะไปถึงมือประชาชน ต้องมาถูกน้ำท่วมหมด
  ยังครับ คลิปต่อไปนี้ ลองดูครับ แล้วคุณจะรู้ว่า เลวกว่านี้ก็มีครับ
  


   ทนดูให้จบนะครับ สิ่งที่ผมเห็นมีอะไร
1. ภาพสุขา เคลื่อนที่ลอยเกลื่อน ศปภ. เต็มไปหมด ทั้งที่เป็นของที่ประชาชนต้องการมาก
2. สิ่งที่อนาถที่สุดคือ ประชาชนครับ ไม่น่าเชื่อ ศปภ.ครับ คุณให้เค้าอพยพมายัง ศูนย์กลางความช่วยเหลือของ ศปภ. แต่คุณหนีเอาตัวรอด ทิ้งประชาชนได้ยังไงครับ
   นี่คือ ศูนย์กลางความช่วยเหลือ เป็นจุดศูนย์รวมแต่ประชาชนที่อยู่ที่นี้ กลับถูกทิ้งหนีเอาตัวรอด ไม่น่าเชื่อๆๆ จิตใจของพวกคุณทำด้วยอะไร
3. ผมไม่อยากฟังคำอ้างว่า ประชาชนต้องการอยู่ที่นี่เอง คุณต้องเป็นฝ่ายทำความเข้าใจกับพวกเค้าให้อพยพ ประสานหน่วยงานเอารถมารับ เพราะประชาชนไม่มีน้ำไฟใช้ ไม่มีอาหารน้ำ เพียงพอ คุณทิ้งเค้าไปแบบนี้ได้ยังไง ที่นี่คือจุดศูนย์รวมความช่วยเหลือนะครับ
  ลองคิดดู ขนาดจุดศูนย์รวมความช่วยเหลือ ศปภ. ยังทิ้งประชาชนลำบากขนาดนี้ แล้วประชาชนที่อยู่ข้างนอกล่ะ ที่อยู่ต่างจังหวัดล่ะ คุณทำได้ยังไง
4. ผมขอขอบคุณ ช่อง3 รายการสามมิติ คุณ กิตติ คุณ ฐาปนีย์ ที่กล้านำเสนอข่าวนี้ ซึ่งเป็นข่าวที่ คนอย่าง นาย สรยุทธ คงไม่กล้านำเสนอ และขอบคุณจริงๆ ที่คุณ ฐาปนีย์ อยู่ตรงนั้น ถูกที่ถูกเวลา เป็นเวลาที่ นาย วิม กลับมาเก็บของพอดี มิฉะนั้น ประชาชน ที่ถูกทิ้งคงไม่ได้ประสานงานความช่วยเหลือทันที
  เชื่อผมไหมครับ ถ้าไม่มีนักข่าวอยู่ตรงนั้น ตอน นาย วิม กลับมาเอาของ เค้าก็คงจะไม่สนใจประชาชน เก็บของแล้วหนีออกไป แต่พอมีนักข่าว ก็นั่นล่ะครับ ภาพต้องมาก่อน เค้าจึงต้องประสานงานให้ คิดดูว่าเป็นไปได้เหรอที่ ศปภ. ไม่รู้ว่า มีประชาชนหลงเหลืออยู่ มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ
5. ผมเคยได้ยิน จากที่ไหนสักแห่ง ถ้าจำผิดขอโทษนะครับ ว่า นายกฯ ยิ่งลักษณ์ บอกว่าจะอยู่ที่สนามบินและจะออกเป็นคนสุดท้าย โอยย โคลนนิ่งกันชัดๆ จำประโยคนี้ได้ไหม "ผมจะกลับมานำทัพทันทีที่เสียงปืนแตก" ไม่น่าเชื่อจริงๆครับ
6. ผมคงไม่ได้ยินคำอ้างว่า ขนของไม่ทันจาก แดงแถคนไหนนะครับ เพราะ นายกฯ บอกเองว่า ได้เตรียมสถานที่สำรอง ในการย้าย ศปภ. ไว้นานแล้ว นั่นแปลว่า มีเวลาเหลือเฟือในการเตรียมการ
    ผม ไม่รู้จะสรรหาคำใดที่เหมาะสม มาบรรยาย จิตใจของมนุษย์อย่างพวกคุณ สิ่งที่ผมพอจะบอกได้ก็คือ ประชาชนครับ ท่านยังจะเชื่อพวกเค้าอีกไหมครับ ท่านยังจะทนให้พวกนี้หลอกใช้ท่านอีกนานแค่ไหน ถึงเวลาแล้วรึยังครับ ที่ท่านจะลุกขึ้นมา ปกป้อง ชาติ และ ในหลวงของพวกท่าน
อันนี้ของแถมครับ คลิป พี่โบเดียเอาลิงค์มาให้ครับ



  ดูพวกนี้มันเก็บไว้สิครับ ลองฟังคนถ่ายคลิปด้วยนะครับ จะได้อารมณ์ร่วม อึ้งครับ
   และเตือนอีกครั้ง อย่าบริจาค สิ่งของ หรือ เงินใดๆ กับ ศปภ. อีกเด็ดขาด มิฉะนั้นจะเป็นดังภาพที่คุณเห็นครับ ขอบคุณครับ
ถึงเวลารึยังครับ น้ำลดคงถึงเวลาประชาชน...

by Anonym ,



แล้วผมขอแถมเพิ่มเติมนะครับ





อันนี้เผื่อจะทำให้เข้าใจว่า ทำไมต้องท่วมเยอะๆทำไม ประชาชนต้องลำบากกันสุดๆให้กลัวน้ำท่วมกันไป    ทิ้งทวน!!

www.posttoday.com
‎"ยิ่งลักษณ์"เสนอผุดโปรเจกต์ยักษ์ "นิวไทยแลนด์" แก้น้ำท่วมระยะยาว คาดใช้งบ 6-8 แสนล้านบาท
    ดูจบแล้วก็เตรียมตัวช่วยกันใช้หนี้นะครับ 

                อย่าหนีกันไปไหนล่ะครับ

เหลี่ยมคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต

 'โคลนนิ่ง'สมใจนักโทษ 'น้ำลด'เจออีกหลายดอก เกมฟ้องร้องจ่อติดตูดปูกิ๊

“เอาอยู่...เอาอยู่ค่ะ”...เป็นคำพูดที่ “คนไทย” จดจำได้ดี...เพราะถ้าไปถามเด็กเล็ก...ก็จะรู้คำตอบดีว่า “คำตอบ” ที่แท้จริงคืออะไร...เพราะนั่นคือ “เอาไม่อยู่...แล้วค่ะ...ตัวเอง”
จะเห็นว่า...ปัญหาน้ำท่วมจากที่เคยลุกลามบานปลายในเขตนอกเมืองหลวง...จาก จังหวัดโน่นมาจังหวัดนี้...ก็ทำให้ผู้คนอกสั่นขวัญกระเจิงกันมากมาย...แต่ เมื่อย่างก้าวเข้ามาสู่เมืองกรุงฯ ยิ่งทำให้เห็นชะตากรรมของ “รัฐบาลโคลนนิ่งเหลี่ยม” ได้เป็นอย่างดี...โดยเฉพาะกับ “น้องปูกิ๊” ที่รู้ๆ อยู่ว่า ตอนนี้อยู่ในสภาพย่ำแย่ แม้ปากจะบอกว่า “ยังสู้ค่ะ...ยังไหวค่ะ...ไม่ได้ร้องค่ะ” แต่ภาพที่ปรากฏให้เห็น...ก็รู้ๆ กันอยู่ว่า “ขี้แย...เพียงใด-ไร้กึ๋น...ขนาดไหน”
เพราะแค่ปรากฏการณ์ที่เห็น “ที่จอดรถที่ยาวที่สุดในโลก” (บนทางด่วน) ซึ่งกินเนสบุ๊ค อาจมาทำสถิติโชว์ให้โลกรับรู้ถึงความล้มเหลวของรัฐบาลนี้ในการบริหารจัดการ...ก็บ่งบอกได้ดีว่า...ไร้ประสิทธิภาพแค่ไหน
ทั้งยังทำให้ผู้คนทั่วบ้านทั่วเมืองต้องระส่ำระส่ายไปกับเรื่องไม่เป็น เรื่อง ธุรกิจหลายอย่างทำตัวเป็นเหลือบ หากินกับคนกำลังตกทุกข์ ยกตัวอย่าง...น้ำดื่มยี่ห้อสิงห์...ที่ขายกันในตลาดวงศ์กร แถวสายไหม ขายแพ็คละ 90 บาท...หน้าตาเฉย...แต่ผู้คนก็หิวโหย...แย่งกันซื้อแบบยอมให้ผู้ค้าเอาเปรียบ
ยิ่งมาเจอปัญหา...โกงกินของบริจาคจากพวกกากเดน...ที่ติดอกติดใจชื่อของ “ผู้นำโจกแดง” ก็เลย “ขี้ตู่”...อมมันมาเป็นของตัวเองซะเลย โดยการติดป้ายชื่อของตัวเองแบบหน้าตาเฉย...ซึ่งมีกันหมดทั้ง “ลูกหาบ” หรือ “นายใหญ่” อย่างนี้เข้าตำรา...“อร่อยจัง...ตังค์อยู่ครบ” ของแท้...555
แต่ดันลืมไปว่า...เดี๋ยวนี้ “โลกออนไลน์” มันเปิดปุ๊บก็เห็นปั๊บ...เลยถูกแฉให้เห็นถึงธาตุแท้ของความโสมม...ผ่านทางคลิปฉาวสารพัด
ก็ลองคิดดูละกัน...ขนาดคนในพรรคเดียวกัน...อย่าง “หลองงูเห่า” ยังทนไม่ได้ ต้องมาแฉกันจะจะ...ให้เห็นถึงความโสมมของ “ก๊วนแดงเดือด” ที่โลภ...แบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม...ที่ไหน???
นี่ขนาด “น้ำยังไม่ลด...ตอก็ผุด” ออกมาให้เห็นกันแล้ว และลองคิดดูละกันว่า...ถ้าน้ำลดเมื่อไหร่...จะมีอีกกี่ตอที่จะผุดขึ้นมาให้เห็นกันถึงความเลวร้าย!!!
“ไต่กอ” คิดไปคิดมา...ก็อยากให้ถึงวันนั้นแบบ “มาม่า-ไวไว” 3 นาทีเสร็จ...เพราะมี “คนจองคิว” เตรียม “เอาคืน” กับ “รัฐบาลโคลนนิ่งเหลี่ยม” กันแล้ว...เรียกได้ว่า...มาไว-เคลมไว-ไปไว...ทีเดียวเชียว
เพราะ “ก๊วนนี้” (บอกไม่ได้ว่าคือใคร...เดี๋ยวลับหลุด) กำลังรวบรวมข้อมูลทุกอย่าง ตั้งแต่ ที่ “รัฐบาลปูกิ๊” เข้ามาบริหารประเทศ แล้วทำอะไรไปบ้าง...เพราะมีหลักฐานว่า...ช่วงเวลานั้นกำลังสาละวนกับการ ฟุ้งเฟ้ออำนาจที่ได้มาหมาดๆ ทั้งการชูว่า “จะเอานักโทษกลับบ้าน-จะแก้รัดทำมะนวยฉบับหัวคูณ(เพื่อปลดโทษทุกฝ่าย)-จะ เดินหน้าจ้องผลาญงบประมาณ(ผ่านโครงการประชานิยม)-จะเด้งล้างบางโยกย้ายข้า ราชการ(เพื่อดันพวกพ้องตัวเองขึ้นเสียบแทน)”  
เรียกได้ว่า...มุ่งแต่บริหารอำนาจ...โดยไม่สนใจการบริหารความเป็น จริง...เพราะช่วงจังหวะเวลานั้น...มีหลักฐานยืนยันว่า “หน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องการบริหารเขื่อนภูมิพล” มีการเสนอเรื่องให้ “ครม.ปูกิ๊” ตัดสินใจปล่อยน้ำในเขื่อน...ที่มีปริมาณน้ำมาก
เพราะดูทางหนีทีไล่แล้วพบว่า...จะมีพายุเข้ามาอีกหลายลูก จึงจำเป็นต้อง “พร่องน้ำ” ออกไป เพื่อเป็นการระบาย และเปิดพื้นที่ในการรองรับน้ำใหม่ที่จะเข้ามา...แต่กลายเป็นว่ามี “เสนาบดีหน้าโง่ตัวหนึ่ง” ดันคัดค้านกลางที่ประชุม
โดยอ้างเหตุผลแบบ Stupid Man ว่า “ทำไม่ได้” เพราะถ้าปล่อยน้ำออกมา จะทำให้เกิดปัญหากับ “นาข้าว” ของกลุ่มคนที่เป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคโคลนนิ่งเหลี่ยมจัด และถ้าทำแบบนั้น...จะทำให้ “นโยบายรับจำนำข้าว” ที่ชูเป็นนโยบายในการหาเสียง...จะไร้ผลในทันที!!!
ขณะที่ “น้องปูกิ๊” เอง...ก็โชว์กึ๋นที่ไม่มีหลงเหลือในหัว...ยอมปล่อยไหล...แบบไม่ได้ทันฉุกคิด (เพราะคิดไม่เป็น) ด้วยการเออออห่อหมก...เอาไหนเอาด้วย...เพราะเชื่อว่า ถ้าเกิดปัญหาอะไร “พี่ชายตัวดี” ยังไงก็ต้องหาทางออกให้ได้แน่
แต่ทำไปทำมา...เมื่อ “พร่องน้ำ” ออกไปไม่ได้...และเมื่อมีพายุหลายลูกเข้ามาอย่างต่อเนื่อง...ก็เลยเกิดปรากฏการณ์ “มวลน้ำมหึมา” ที่เปรียบเหมือน “ปลาวาฬ 50 ล้านตัว” ที่รอคอย...หรือเบียดเสียดกันออกสู่ทะเล แบบทำได้แค่ปล่อยออกได้วันละตัว
งานนี้...คงไม่ต้องบอกว่า “อะไรเกิดขึ้น” เพราะทุกคนได้เห็นกันแล้ว...ถึง “มหันอันตราย” ของ “มวลน้ำมหึมา” ที่มีผลกระทบต่อคนทุกสาขาอาชีพ-ทุกชนชั้น-ทุกสี-ทุกฝ่าย เพราะหลายครอบครัว...ต้องเสียเงินเพื่อเซ่นสังเวย “ความโง่” ของ “ใครหลายคน...ในรัฐบาลปูกิ๊” นั่นเอง
ที่บอกว่า “มีก๊วน...กำลังรวบรวมข้อมูลหลักฐานทั้งหมด” นั้น...ก็เพราะว่า “เขาเหล่านั้น” จะทำการยื่นฟ้องร้องต่อ “ศาลปกครอง” เพื่อพิสูจน์กันให้เห็นจะจะ ถึงธาตุแท้ใน “ความเป็นผู้นำ” ของ “น้องปูกิ๊” และ “เสนาบดีในรัฐบาลชุดนี้” ว่า...บกพร่องและทำให้ประเทศชาติเสียหายหนัก...อย่างไร???
โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง “การประมาทเลินเล่อ” หรือไม่...ที่ไม่ยอมพร่องน้ำออกจากเขื่อนภูมิพล...ตามที่หน่วยงานที่ดูแล “ชงเสนอ” ทั้งๆ ที่มีสถิติตัวเลขระบุชัดในช่วงนั้นว่า “น้ำกำลังเต็มเขื่อน” หากไม่รีบอนุมัติ ก็จะมีปัญหาแน่นอน...
งานนี้ “ไต่กอ” ก็อยากขอร้อง...บรรดาสาวกที่ไม่เอาเหลี่ยมจัด...ให้ใจเย็นๆ และอดทนรอคอยเพื่อเอาใจให้ “รัฐบาลน้องปูกิ๊” อยู่บริหารประเทศต่อไปเถอะ...อย่าเพิ่งถอดใจ-น้อยใจ...ลาออกไปก่อนล่ะ

เพราะถ้าจำกันได้...เมื่อปี 2540 ที่เกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง...และหลังจากนั้น “พรรคแมลงสาป” เข้ามาบริหารประเทศ ซึ่งมีการ “เค็มจัด” ในเรื่องงบประมาณการใช้จ่าย...จนถูกตราหน้าต่างๆ นานา...ทั้งๆ ที่การรัดเข็มขัดในช่วงนั้น...ก็คือผลพวงในการให้ “จอมโกงเหลี่ยมจัด” มีเงินมีทองในการใช้จ่าย...เพื่อเซ่นนโยบายประชานิยมในเวลาต่อมา
เพราะ Step ของวงจรเศรษฐกิจโลก...เมื่อมีขึ้นก็ต้องมีลง-เมื่อมีลงก็ต้องมีขึ้น...และ บังเอิญจังหวะเวลาที่ “ชายเหลี่ยมจัด” เข้ามาบริหารประเทศ...ดันเป็นช่วงที่เศรษฐกิจกำลังค่อยๆ เติบโต-ขยับขยายพอดิบพอดี...ทุกอย่างเลยเข้าล็อก...ทำให้ “คนหลงเชื่อ” ว่า “เขาเก่ง-เขาเยี่ยมยอด”
แต่แท้จริงแล้ว...“คนรู้ทันจริงๆ” จะรู้ดีว่า “เถ้าแก่สัมปทาน” ที่ทำอะไรที่ต้องค้าขายแข่งกับคนอื่นแบบตรงไปตรงมา...ก็เจ๊งตลอดกาล...เป็น “คนมีฝีมือ...แค่ไหน???”

แต่เมื่ออาศัย “อำนาจบริหาร” ทำให้ตัวเอง “กดขี่” คู่แข่งทางการค้าคนอื่นๆ ได้...ทำให้ “ธุรกิจสัมปทาน” เติบโตก้าวหน้า...สร้างฐานะในช่วงที่ตัวเองมีอำนาจการเมือง...สามารถทำเงิน มหาศาลได้มากมาย
งานนี้...จึงอยากบอกให้ “สาวกเกลียดเหลี่ยม” อดใจรอด้วยความอดทน...พร้อมกับยุให้ “น้องปูกิ๊” ที่เป็น “โคลนนิ่งเหลี่ยมจัด” ได้อยู่บริหารต่อไป...หลังน้ำลด เพื่อพิสูจน์ความเป็นตัวตนของ “พี่ชายตัวดี” ว่า “เก่งจริงหรือไม่”
ที่บอกอย่างนี้...เพราะไม่ต้องให้ “บรรดากูรู” มาบอก ก็รู้กันดีว่า “หลังน้ำลด...จะต้องเจอกับปัญหาสารพัดที่หนักหน่วงยิ่งกว่า ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม”
“ไต่กอ” อยากย้ำให้เห็นภาพชัดๆ อีกครั้งว่า ยุคแมลงสาปครอง เมือง...น้ำมันปาล์มขาดแคลน-น้ำมันพืชขาดตลาด-ไข่คนหล่อแพงจัด...แม้จะทำให้ ผู้คนขัดสน...แต่ก็ไม่มากมายเท่ากับ “ยุคโคลนนิ่งเหลี่ยมครองเมือง”
เพราะ “ยุคน้องปูกิ๊” นั้น...เห็นชัดเจนว่า สามารถทำให้ “น้ำขาดตลาด” ชนิดที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า...แถม “ไข่คนสวย” ยังแพงหูฉี่...ตกฟองละ 8 บาท...ชนิดที่ต้องแย่งกันซื้อ...อีกต่างหาก
ดังนั้น...“บรรดาสาวกไม่เอาเหลี่ยม” ต้อง “แช่งมัน-แช่งเผือก...ให้อยู่ต่อ...อย่าเพิ่งด่วนถอดใจเผ่นหนี” ล่ะ...555
เพราะในช่วงเวลานี้...ต่างรู้กันดีว่า...งบประมาณกำลังตึงตัว เก็บภาษีไม่ได้ตามเป้า แถมนโยบายประชานิยมก็เพียบ ต้องใช้เงินมากมาย ประมาณว่าต้องกู้หลายแสนล้าน ยิ่งมาเจอ “มหาอุทกภัย” เข้าไปอีก ทำให้งานเข้าเต็มๆ งานนี้...จึงต้องปล่อยให้ “เถ้าแก่สัมปทาน” ได้พิสูจน์ฝีมือ...ผ่าน “โคลนนิ่งน้องสาว” ว่าจะบริหารจัดการอย่างไร...ให้สมประโยชน์กับทุกฝ่าย-ทุกคน
โดยเฉพาะกับ “คนเสื้อแดง” กันเอง...เพราะเวลานี้ “สีแดง” กันเอง...ยังกัดกันแบบออกนอกหน้า...ถึงขนาดมีการแบ่งชนชั้นวรรณะ...ว่า “แดงจิบไวน์” หรือ “แดงดื่มเบียร์” หรือ “แดงดกเหล้าขาว”...555
เวลานี้คนในพรรคโคลนนิ่งเหลี่ยม...ต่างเชื่อกันว่า “หลังน้ำลด” คงมีรายการล้างบาง-ปรับครม. เพื่อยื้อเวลา-ต่อลมหายใจไปสักพัก และถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็อาจต้องเปลี่ยนตัว “ผู้นำ” ที่เวลานี้ “ขาใหญ่บางบอน” ตีพุงรอไว้แล้ว
เพราะเชื่อว่า...ถึงเวลานั้น ขอให้ตัวเองได้เป็น “ผู้นำ” แม้จะช่วงสั้นๆ ก็ยินยอม เพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่วงศ์ตระกูลและคุณลูกชายตัวดีทั้งหลาย
เพราะเชื่อกันว่า...สถานการณ์ในเวลานั้น...ต้องเผชิญกับปัญหาการ เมืองที่ทุกอย่างถาโถมเข้าใส่ ซึ่งคนที่น่าจะรับมือได้ดีที่สุดก็คือ “ขาใหญ่บางบอน” นั่นเอง...
แต่นี่คือ “แนวคิดแบบตื้นๆ” ของคนในพรรคโคลนนิ่งเหลี่ยมจัด...เท่านั้น...เพราะของแท้-ของจริง...ยังมีแต้มซ่อนอีกมาก
แต่ที่แน่ยิ่งกว่านั้น เพราะเป็นสัญญาณบ่งบอกชัด...ก็คือ วันสุกดิบที่ผ่านมา...มี ใครบางคน...ทำเรื่องขอ “เข้าพบบุคคลสำคัญ” แต่กับได้ไป “กินแห้ว” แทน...ทำให้หันซ้ายก็เอ๋อเหรอ...หันขวาก็น้ำตาคลอ...จะเดินหน้า “พี่ชายตัวดี” ก็ดันปล่อยเกาะ
งานนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ชัดว่า “เหลี่ยมคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต”...เพราะ สิ่งที่ “ชายเหลี่ยมจัด” กำหนดเกมมา ด้วยการจะเลือกใครก็ได้-จะจัดหาใครก็ได้ที่ตัวเองสั่งการได้ “มาเป็นผู้นำ” โดยไม่สนว่า “มีประสิทธิภาพหรือไม่”
จึงเป็นการดูถูกคนไทยทั้งประเทศแบบไม่สนใจอะไร...แต่อย่างที่ “ไต่กอ” บอกมาหลายวีคแล้วว่า “น้องปูกิ๊” เป็นคนธาตุไฟ...เมื่อขึ้นมาเป็นใหญ่ เลยต้องเผชิญกับ “ธาตุน้ำ...ซึ่งตามตำราที่สอนคนไทยมาตลอดคือ “น้ำดับไฟ” และ “น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ”
เผอิญเหลือเกินว่า...รอบนี้ “น้ำมามาก-ไฟจึงแพ้พ่าย”...แบบไม่มีข้อสงสัย...สมญานามที่บอกว่า “โคลนนิ่ง” หรือว่า...จะเป็นจริง
เพราะวันนี้ “เมืองไทย” เต็มไปด้วย “น้ำโคลน” ที่เต็มทั่วบ้านทั่วเมือง..แถมบางพื้นที่ก็ “นิ่งนาน” แบบไม่รู้ว่า...เมื่อไหร่ “น้ำจะลด”...เฮ้อ...เศร้าจังประเทศไทย
ตื่นกันได้แล้ว...หลงงมงายกับสิ่งจอมปลอม-จอมปลวก-จอมหลอกลวง...เลย...ขอบอก
................................

พระเจ้าอยู่หัว.ป้องกันน้ำท่วม.2538







ลองฟังดูครับ แล้วลองเทียบกับการแก้ปัญหาปัจจุบันนี้ดูว่าสิ่งที่พระองค์ตรัสไว้ มีใครได้น้อมนำมาใช้แก้ปัญหากันบ้างหรือยัง?

วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เห็น…(คนตั้งตนเป็น)อริพระราชา….แต่ข้า(พระพุทธเจ้า)….ทำอะไรไม่ได้






เห็น…(คนตั้งตนเป็น)อริพระราชา….แต่ข้า(พระพุทธเจ้า)….ทำอะไรไม่ได้
ภาพ พระราชา กับพระพักตร์ที่เศร้าหมองหลังจากพระองค์สูญเสีย พี่สาวผู้เป็นที่รักยิ่งภาพพระราชาที่มี น้ำพระเนตร คลอพระเนตร หากราษฎรของ พระราชา เห็นแล้ว ไม่รู้สึกอะไร ผมคงแปลกใจ แปลกใจที่ว่ายังมีพระราชาในใจ หรือเปล่า?
หลังจากนั้น พระราชดำรัส ความสุขสวัสดีของข้าพเจ้า จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยบ้านเมืองมีความเจริญมั่นคง เป็นปรกติสุข ก็ตอกย้ำในใจให้รู้ว่า พระราชาไม่มีความสุขไม่มีความสุขเพราะบ้านเมือง ยังไม่มั่นคง ยังไม่ปรกติ
คำถามของผมต่อรัฐบาลและกองทัพ ผู้รักษา กติกาของประเทศ ผู้รักษา ความสงบ ของประเทศ และหน้าที่ปกป้องพระราชา ผู้เป็นที่รักยิ่งของปวงชน
ถามว่าท่าน กำลัง ทำอะไรอยู่ ?
หลายครั้งหลายคราผมพยายาม เข้าใจไปเอง ว่า รัฐบาลและกองทัพ คงจะมีแผนการและขั้นตอนปฏิบัติที่ เฉียบคมแอบซ่อนอยู่ และให้กำลังใจ พวกท่าน เสมอมา รวมทั้ง การแสดงออก ก็ทำมาแล้วเสียด้วย
แต่ พวกท่าน ก็ไม่ทำให้ตัวผม รู้สึกดี ขึ้นมาเลยสักนิดเดียว!
การเมือง คือเรื่องที่รัฐบาล ต้องจัดการในฐานะที่ท่านต้องรับผิดชอบ ในฐานะที่ท่านต้องการ รักษา ไว้ซึ่ง อำนาจ ในมือ ส่วนเรื่อง ก่อการร้าย คือสิ่งที่กองทัพ ต้องรับผิดชอบ เพื่อรักษา ความมั่นคง รักษากติกาของประเทศ ให้สังคมส่วนใหญ่อยู่ได้อย่าง ปลอดภัย
แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็ไม่มีอะไรที่ทำให้ผม เจ็บแค้น เท่ากับ เห็นคนตั้งตนเป็นอริพระราชาแต่ทำอะไรคนพวกนี้ไม่ได้
รัฐบาลพูดเองว่า จะปกป้อง มาโดยตลอด และก็ ได้ใจ ผมคนหนึ่งที่คาดหวังว่ารัฐบาล จะจัดการกับ ผู้คิดร้าย ได้สิ้นซาก
แต่ทว่ากลับตรงกันข้าม !
ตัวเล็กตัวน้อยที่จาบจ้วง พระราชา ผ่านปลายนิ้วที่ดีดลงคีร์บอร์ดถูกจับ แต่คนที่ พูดจาปราศรัย จาบจ้วงซึ่งหน้า จาบจ้วงโดยนัยยะ ออกอากาศไปทั่วประเทศ รัฐบาลกลับทำอะไรไม่ได้ !
ทำได้แต่ประณามเท่านั้น!
พระราชาทุกข์ใจ ข้าพระพุทธเจ้าก็ทำอะไรไม่ได้
รัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทำอะไรไม่ได้
กองทัพในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทำอะไรไม่ได้
ได้อ่านข่าวนี้แล้ว มือสั่น ใจสั่น เมื่อพระราชาตรัสว่า ขอให้บอกเรานะว่า จะให้เราปรับตัวอะไรบ้าง เมื่อพระองค์ทราบว่ามีคนที่ไม่อยากให้มีสถาบันพระมหากษัตริย์!
ความทราบถึงพระกรรณและคงจะเนิ่นนานแล้ว
ไม่อยากจะเอ่ยถึงคนที่ไม่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่มีล้นฟ้าท่วมดิน เพียงเพราะต้องการแต่อำนาจก็ทำได้ทุกอย่าง ทำได้แม้กระทั่ง ดึงพระราชาลงมาคลุกฝุ่นการเมือง
อดีตนายทหาร ตำรวจหรือกระทั่งนายทหารรับราชการ และตำรวจที่ยังรับราชการ หากท่านเคย สาบานตน ต่อธงชัยเฉลิมพล หรือกระทั่งต่อหน้าพระพักตร์พระราชา ก็ตามที
หรือการทั่งคำพูดที่ว่า จะรักษามรดกของพระองค์ท่านด้วยชีวิต
ยังจำได้หรือไม่?
วิงวอนตรงนี้ อย่าเห็นแก่ เงินและอำนาจชั่วครู่ มาทำให้ท่านสูญเสียสัตย์อันสูงเกียรติเช่นนี้
ไม่เพียงคนในเครื่องแบบนักการเมือง ทั้งหลายที่หลงผิด หากคิดกลับตัว ยังทัน ผมเชื่อว่าสังคมไทยไม่แล้งน้ำใจ แต่หาก หลวมตัว ถลำลึกแบบบางคน ท่านอาจจะไม่มีพื้นที่ในประเทศนี้ให้ ยืน แบบบางคนก็เป็นได้

 บล็อกเจ้าพระยา

ที่อยู่คน ที่อยู่ป่า ทางเดินน้ำ และที่ทำกิน...ผังเมืองไทย

 TCIJ
 
โดย  รศ.ดร.อดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา adis@nida.ac.th ณบดี คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ และ ที่ปรึกษา สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)
เหตุการณ์น้ำท่วมน้ำแล้งและดินโคลนถล่ม กำลังส่งสัญญาณสำคัญว่าประเทศไทยจะปล่อยให้การดำเนินกิจกรรมต่างๆ เป็นไปอย่างไร้ทิศทางอย่างนี้หรือ  ให้ใครก็ตามที่มีเงิน เศรษฐีต่างชาติ นักการเมือง หรืออดีตข้าราชการผู้ใหญ่สามารถใช้เงินวิ่งเต้นทำอะไรก็ได้เพื่อแสวงหา ประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมและให้ประเทศต้องรับภาระความ เสียหาย กรณีน้ำท่วมประเทศไทยที่สร้างความสูญเสียมหาศาลถูกอ้างเสมอว่าเกิดขึ้นเพราะ ฝนตกชุกฝนตกมากแต่แท้จริงแล้วต้นตอสำคัญของน้ำท่วมคือการใช้ประโยชน์ที่ดิน ผิดประเภทจากการแสวงหาประโยชน์
เราเห็นการใช้ประโยชน์ที่ดินของประเทศไทยเป็นไปอย่างไร้ทิศทาง  เราเห็นพื้นที่ชายเขากลายเป็นสวนยางพาราหรือไร่ส้มและทำให้ชุมชนด้านล่าง ต้องเผชิญกับปัญหาดินโคลนถล่ม  กลุ่มทุนใช้พื้นที่ต้นน้ำในภาคเหนือเพื่อปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งได้ทำลายความสามารถของธรรมชาติในการทำหน้าที่เป็นฟองน้ำหรืออ่างเก็บน้ำ ธรรมชาติเพื่อดูดซับน้ำฝนและอุ้มน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งจนนำมาสู่ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้งที่เป็นอยู่ทุกวันนี้   ที่ดินที่จัดไว้เพื่อเกษตรกรรมย่านรังสิตแปรสภาพไปเป็นหมู่บ้านจัดสรร   พื้นที่ๆ ควรอนุรักษ์ไว้เพื่อเป็นแหล่งประวัติศาสตร์ เช่น อยุธยา ถูกล้อมรอบด้วยนิคมอุตสาหกรรม เราเห็นการสร้างบ้านเรือนบุกรุกเข้าไปในทางไหลของน้ำ  มีการสร้างบ้านจัดสรร ถนน หรือสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ขวางทางน้ำ  นิคมอุตสาหกรรมขยายตัวเข้าไปในพื้นที่กันชนหรือพื้นที่สีเขียวและมีโรงงาน สร้างติดรั้วโรงเรียน ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะมีบางคนในประเทศนี้ไม่เชื่อในเรื่องของการ กำหนดเขตการใช้ประโยชน์ที่ดิน ไม่เชื่อเรื่องการกำหนดโซนนิ่ง (zoning) หรือ การบังคับใช้ผังเมืองของประเทศนั่นเอง คนกลุ่มนี้เชื่อว่าเจ้าของที่ดินมีสิทธิส่วนบุคคลที่จะใช้ประโยชน์ในที่ดิน ของตัวเองอย่างไรก็ได้ ความคิดเช่นนี้ทำให้การพัฒนาประเทศเป็นไปอย่างไร้ทิศทาง และที่สำคัญคือทำให้สภาพทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทยมีความเปราะบางไม่สามารถ รองรับภัยธรรมชาติได้
ขอยกตัวอย่างง่ายๆ เพื่อให้เห็นภาพนะครับว่า ในบ้านเราเองแท้ๆ เราจะปล่อยให้กิจกรรมต่างๆ ดำเนินไปโดยไม่มีกฎเกณฑ์เลยหรือครับ ในบ้านของเราๆ มีห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว ห้องนั่งเล่น สนามหญ้า ฯลฯ ท่านคิดว่าบ้านหลังนี้จะน่าอยู่มั๊ยครับถ้าเราปล่อยให้มีการทอดไข่เจียวใน ห้องนอน มีคนเข้าไปนอนในห้องน้ำ มีการอาบน้ำในห้องนั่งเล่น หรือมีคนไปยืนปัสสาวะที่สนามหญ้าหน้าบ้าน ดังนั้น แม้แต่ในบ้านของเราเองแท้ๆ เรายังอ้างสิทธิส่วนบุคคลและทำอะไรตามอำเภอใจไม่ได้เลย  แล้วในระดับประเทศจะมาอ้างว่าท่านมีที่ดิน 100ไร่ 200ไร่ แล้วจะลงทุนทำอะไรก็ได้เพราะเป็นสิทธิของท่านก็คงจะทำไม่ได้เหมือนกันเพราะ ท้ายสุด แล้วสังคมโดยรวมเป็นผู้สูญเสียจากการที่เราปล่อยให้กิจกรรมต่างๆ ดำเนินไปอย่างไม่เป็นที่เป็นทาง
ดังนั้นการที่ประเทศต้องจัดแบ่งพื้นที่ให้เป็น ที่คนอยู่ ที่อยู่ป่า ทางเดินน้ำ และที่ทำกิน หรือการมีผังเมืองไทย จึงเป็นโจทย์สำคัญสำหรับประเทศไทยวันนี้ และเป็นบททดสอบสำหรับนักการเมือง ข้าราชการ นักธุรกิจ รวมถึงนักวิชาการต่างๆ ด้วยว่าจะสามารถตั้งใจทำงานเพื่อร่วมกันเพื่อสร้างอนาคตให้กับประเทศได้หรือ ไม่
การมีผังเมืองไทยเพื่อจัดแบ่งที่ทางให้เป็นสัดเป็นส่วนว่าพื้นที่เกษตร ที่เหมาะสมจะอยู่ที่ไหน นิคมอุตสาหกรรมควรอยู่จังหวัดใดบ้างที่จะไม่ถูกน้ำท่วมได้ง่าย พื้นที่ป่าต้นน้ำหรืออ่างเก็บน้ำธรรมชาติควรมีเท่าไหร่ ทางน้ำไหลมีเพียงพอแล้วหรือยัง และจะให้น้ำส่วนเกินไหลไปทางไหน คนจะสร้างบ้านเรือนย่านใดได้บ้าง และย่านธุรกิจจะอยู่ตรงไหน สิ่งเหล่านี้ เป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะนำไปสู่การใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นไปตามศักยภาพของแต่ละพื้นที่ สร้างความสามารถในการรองรับภัยธรรมชาติ และที่สำคัญคือลดความขัดแย้งในสังคมไม่เหมือนที่เป็นอยู่ในปัจจุบันที่พบว่า ขณะที่ประชาชนกลุ่มหนึ่งสร้างทำนบกั้นน้ำก็มีประชาชนอีกกลุ่มหนึ่งไปทำลาย ทำนบกั้นน้ำ และอื่น ๆ
การจัดแบ่งการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นสัดเป็นส่วนไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ที่ จะไปขัดกับหลักการทางธุรกิจอย่างที่บางคนอาจคิด ในทางตรงข้ามกลับพบว่าธรรมชาติของการทำธุรกิจเองก็มีการจัดแบ่งธุรกิจต่างๆ ตามเขตหรือตาม “ย่าน” อยู่แล้ว ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความสะดวกสำหรับผู้บริโภคเองในการซื้อหาสินค้าและสะดวก สำหรับผู้ประกอบการในการให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพด้วย เช่น ร้านทองจะรวมตัวกันแถวย่านเยาวราช ร้านผ้าจะอยู่พาหุรัด อุปกรณ์ไฟฟ้าอยู่แถวคลองถม ร้านต้นไม้รวมตัวกันที่อยู่ที่รังสิต เป็นต้น ดังนั้น การจัดให้กิจการต่างๆ มีการดำเนินการเป็นหลักแหล่งตามประเภทของธุรกิจนั้นๆ จึงเป็นสิ่งปกติอยู่แล้วในเชิงธุรกิจ หากภาครัฐจะเข้ามาดำเนินการเสริมภาคเอกชนโดยมีการกำหนดและบังคับใช้ผังเมือง ไทยในระดับประเทศจึงเป็นสิ่งที่มีความเป็นไปได้สูงและสมควรดำเนินการอย่าง ยิ่ง
มีเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์ 5ประการที่สนันสนุนการบังคับใช้ “ผังเมืองไทย”
ประการที่หนึ่ง การบังคับใช้ผังเมืองไทยทำให้การใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพราะมีการ ใช้ที่ดินตามศักยภาพของพื้นที่นั้นๆ  พื้นที่ที่มีความเหมาะสมเป็นพื้นที่ต้นน้ำก็ต้องอนุรักษ์ไว้ให้เป็นพื้นที่ ป่าต้นน้ำโดยไม่ปล่อยให้มีการปลูกพืชเศรษฐกิจที่ให้ประโยชน์ต่อสังคมต่ำ กว่า   พื้นที่ๆ มีความได้เปรียบด้านการขนส่งทางเรือก็ควรจัดให้เป็นพื้นที่อุตสาหกรรมเพื่อ ลดต้นทุนการขนส่งและสร้างความได้เปรียบให้กับสินค้าส่งออกของไทย ส่วนที่ลุ่มหรือพื้นที่รับน้ำก็ควรจัดให้เป็นพื้นที่เกษตรกรรมเพื่อตักตวง ประโยชน์ด้านการชลประทาน ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นพื้นที่อุตสาหกรรม และถูกน้ำท่วมอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ การใช้ประโยชน์ที่ดินให้เต็มตามศักยภาพจะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ เศรษฐกิจไทย ช่วยเพิ่มรายได้ให้กับผู้ประกอบการและแรงงานไทยไปในตัว
ประการที่สอง เมื่อกิจกรรมต่างๆ ถูกจัดให้อยู่อย่างเป็นที่เป็นทางก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบ สาธารณูปโภค เช่น หากพื้นที่เกษตรกรรมอยู่อย่างกระจัดกระจายรัฐก็ต้องเสียงบประมาณสูงขึ้นใน การลงทุนในระบบชลประทานในหลายๆพื้นที่ แต่ถ้ากิจกรรมการเกษตรอยู่ร่วมกันก็จะใช้ประโยชน์จากระบบชลประทานร่วมกันได้ เช่นเดียวกันกับพื้นที่ๆ อยู่อาศัยของประชาชน หากมีการจัดให้ชุมชนที่อยู่อาศัยอยู่ในพื้นที่เดียวกันก็จะทำให้การพัฒนา ระบบขนส่งมวลชนก็ดีหรือระบบป้องกันน้ำท่วมก็ดีเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดงบประมาณของรัฐลดภาระหนี้ของประเทศ และลดภาระภาษีของประชาชนด้วย
ประการที่สาม การมีผังเมืองไทยเป็นการให้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องกับประชาชน ทำให้ประชาชน นักลงทุน ทั้งชาวไทยและนักลงทุนชาวต่างชาติสามารถวางแผนธุรกิจล่วงหน้าด้วยความมั่นใจ ปัจจุบันคนที่ซื้อบ้านเพราะวางแผนจะใช้ชีวิตในพื้นที่ๆ สภาพอากาศดีและสงบเงียบกลับฝันสลาย เมื่อมีโรงงานหรือสนามบินนานาชาติมาตั้งอยู่ข้างบ้าน ดังนั้นการขาดการให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินแก่ ประชาชนก็นำมาสู่ปัญหาเช่นกัน ดังตัวอย่าง ความขัดแย้งระหว่างเจ้าของบ้านกับสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นต้น การบังคับใช้ผังเมืองยังจะสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนเพราะจะทำให้นักธุรกิจ ทราบว่าพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมจะไม่ถูกแปรสภาพเป็นพื้นที่รับน้ำท่วมในที่สุด อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน  การบังคับใช้ผังเมืองจึงเป็นการสร้างความเป็นธรรมและสร้างความมั่นใจให้ผู้ ประกอบการ และจะส่งผลทางอ้อมให้เกิดการขยายตัวของการลงทุนอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
ประการที่สี่ เมื่อมีการประกาศอย่างชัดเจนว่าพื้นที่ใดจะเป็นเขตเศรษฐกิจและพื้นที่ใดจะ เป็นพื้นที่รับน้ำ จะนำไปสู่การพัฒนากลไกในการสร้างความเป็นธรรมในสังคมระหว่างผู้ที่อาศัยใน พื้นที่รับน้ำกับผู้ที่อาศัยในพื้นที่ปลอดน้ำ รัฐบาลสามารถพัฒนาระบบการคลังสาธารณะเพื่อสร้างความเป็นธรรมโดยการเก็บภาษี ที่ดินเพิ่มเติมจาก เขตเศรษฐกิจที่ปลอดน้ำท่วมและนำเงินมาจ่ายชดเชยให้ประชาชนที่อาศัยในเขตรับ น้ำ สิ่งต่างๆเหล่านี้สามารถดำเนินการได้หากมีการบังคับใช้ผังเมืองและประกาศ ชัดเจนว่าพื้นที่ใดทำบทบาทอะไรซึ่งจะเป็นการช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ กำลังเกิดอยู่ในปัจจุบัน
ประการที่ห้า ผังเมืองไทยเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประเทศไทยให้มีความสามารถในการรอง รับภัยธรรมชาติได้ดีขึ้น การที่ประเทศไทยมีการรักษาระบบนิเวศต้นน้ำให้มีความอุดมสมบูรณ์เพื่อทำ หน้าที่เป็นอ่างน้ำธรรมชาติ มีการสร้างทางไหลของน้ำให้เพียงพอ มีการกำหนดกิจกรรมทางเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นเขตเมืองหรือเขตนิคมอุตสาหกรรมให้ อยู่ในพื้นที่สูงหรือ มีการใช้ประโยชน์จากพื้นที่เกษตรกรรมเพื่อเป็นพื้นที่รับน้ำฝนเมื่อยามจำ เป็นบ้าง สิ่งต่างๆเหล่านี้จะทำให้การใช้ประโยชน์ที่ดินมีความสอดคล้องกับธรรมชาติ ลดความเปราะบางของระบบนิเวศและสร้างความสามารถในการรองรับกับภัยธรรมชาติ ด้วย ในที่สุดสังคมที่ประชาชนมีการดำเนินชีวิตที่สอดคล้องกับธรรมชาติจะไม่ต้อง เผชิญกับความขัดแย้ง และความสูญเสีย ทั้งในรูปของชีวิต ทรัพย์สินรวมไปถึงงบประมาณของรัฐ
แน่นอนว่า การที่ประเทศไทยจะมีการจัด ที่คนอยู่ ที่อยู่ป่า ทางเดินน้ำ และที่ทำกิน หรือการมีผังเมืองไทย จะต้องเผชิญกับอุปสรรคนานัปการ ทั้งในเรื่องของข้อจำกัดของกฎระเบียบที่เป็นสาเหตุหนึ่งของความล้มเหลวของ การพัฒนาประเทศไทย การบริหารน้ำแบบแยกส่วนที่ให้ความสำคัญกับความเป็น “กรม” หรือ “จังหวัด” มากกว่าการร่วมกันทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวม การป้องกันน้ำท่วมที่มีการเมืองและผลประโยชน์มาเกี่ยวข้องโดยไม่คำนึงถึง ความสูญเสียของคนส่วนใหญ่ และที่สำคัญคือ ระบบอุปถัมภ์ที่ทำให้ไม่มีใครกล้าพูดความจริง และไม่กล้าพอที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง
ท้ายสุดผู้เขียนอยากบอกว่า น้ำฝนเป็นสิ่งที่ฟ้าประทานมาให้ น้ำให้กำเนิดชีวิตไม่ว่าจะเป็นคน พืช หรือสัตว์ น้ำเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงคนไทยมาเป็นเวลาช้านานจนประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็น “อู่ข้าว อู่น้ำ” ตั้งแต่อดีตกาลมา วิถีชีวิตคนไทยอยู่คู่กับน้ำมาโดยตลอดจนเกิดคำพังเพยมากมายที่คนเฒ่าคนแก่ ใช้สอนลูกสอนหลาน ไม่ว่าจะเป็น “น้ำมาปลากิดมด น้ำลดมดกินปลา” หรือ “น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง” แต่ทุกวันนี้การพัฒนาประเทศแบบผิดๆ ได้ทำให้ “น้ำ” กลายเป็นอุปสรรต่อการดำเนินชีวิตและนำความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่มาสู่ประเทศ ไทย
“ผังเมืองไทย”เป็นการทำให้เรามาจัดระเบียบบ้านเมืองกันใหม่เพื่อให้การ พัฒนาประเทศมีความสอดคล้องกับธรรมชาติมากขึ้น รู้จักที่จะอยู่ร่วมกับธรรมชาติ และใช้ประโยชน์จากธรรมชาติอย่างชาญฉลาดดังเช่นเคยเป็นมาแต่ในอดีต


ขอบคุณภาพจากวิชาการดอทคอม

วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2554

รู้ไม่จริงหรือตั้งใจบิดเบือน


พันโชติ
วัน เพ็ญเดือน ๑๒ จุลศักราช ๑๑๒๙ ปีกุน นพศก เวลาบ่ายโมงเศษซึ่งตรงกับ วันศุกร์ที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๓๑๐ เจ็ดเดือนหลังจากเสียกรุงศรีอยุธยา  กอง ทัพเรือพระยาวชิรปราการที่ยกมาจากจันทบุรี หลังจากปราบนายทองอิน ยึดธนบุรีได้แล้ว ก็เคลื่อนทัพจากธนบุรีเข้ายึดค่ายโพธิ์สามต้น ปราบพม่ามอญจนราบคาบ กอบกู้กรุงศรีอยุธยากลับคืนมาได้สำเร็จ พระยาวชิรปราการย้ายมาตั้งราชธานีที่เมืองธนบุรีแล้วจึงทำพิธีราชาภิเษกขึ้น เป็นพระเจ้าแผ่นดิน
           วีรกรรม ครั้งนั้นพลิกสถานการณ์ของชาติจากการสูญเสียอย่างยับเยิน แผ่นดินเป็นกลียุค ไร้อำนาจรัฐ กลับมาเริ่มต้นสร้างบ้านแปลงเมืองกันใหม่ เพื่อให้กรุงศรีอยุธยากลับมายิ่งใหญ่เหมือนเดิมอีกครั้ง
          ปัจจุบัน เวลาผ่านไปแล้ว ๒๔๓ ปี ประเทศไทยมีความเจริญก้าวหน้าขึ้นจนผู้คนในอดีตคงคาดไม่ถึง แน่นอนว่าบุญคุณของบรรพชนผู้เสียสละทุกผู้ทุกนามเป็นเรื่องที่ทดแทนกันไม่ ได้ แต่อย่างน้อยการรำลึกถึงเรื่องราววีรกรรมของท่านเหล่านี้ก็เป็นเรื่องพึง กระทำ
เมื่อ วันที่ ๖ พ.ย.๕๓ ณ ห้างอิมพิเรียล ชั้น๕ กลุ่มคนเสื้อแดงได้จัดงานเสวนา๒๔๓ ปีการกอบกู้เอกราชของพระเจ้าตาก โดยมีผู้ร่วมอภิปรายได้แก่  นที  สรวารี, รุ่งโรจน์(อริน สุขวัฒน์) วรรณศูทร
ผม เห็นหัวข้อแล้วเกิดความสนใจเพราะชื่นชอบเรื่องราวประวัติศาสตร์อยุ่แล้ว โดยเฉพาะส่วนตัวใช้ชีวิตตั้งแต่เด็กจนหนุ่มเติบโตอยู่ฝั่งธนบุรี เรื่องราวของพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงมีความประทับใจเป็นพิเศษ
 ว่าไปแล้วกิจกรรมทำนองนี้เป็นเรื่องดี น่าสนับสนุนให้แพร่หลายมากกว่านี้ เพียงแต่วัตถุประสงค์ของการจัดยังน่าเคลือบแคลงสงสัย
ผม ไม่ใช่ทั้งคนเสื้อแดง หรือคนเสื้อเหลือง ยิ่งการเป็นนักประวัติศาสตร์ หรือ นักวิชาการก็ยิ่งไม่ใช่ใหญ่ แค่เป็นชาวบ้านธรรมดาที่สนใจใคร่รู้ และชอบอ่านเรื่องราวประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่เมื่อได้ฟังท่านผู้อภิปรายทั้งสองท่าน(ซึ่งผู้ดำเนินรายการบอกว่า เป็น นักวิชาการอิสระ” ) ฟังแล้วก็เกิดความสับสนว่าไอ้ที่เราเคยอ่านเคยรู้ทำไมมันไม่เหมือนกับที่ทั้งสองท่านมานั่งอภิปรายให้ฟัง ท่านเชื่อในสิ่งที่พูดออกมาจริงๆ หรือมีอะไรแอบแฝง
 ต่อไปนี้เป็นประเด็นที่ นาย นที สรวารี ผู้อภิปรายคนหนึ่งกล่าวนำเพื่อจั่วหัวให้ผู้อภิปรายอีกคนหนึ่งกล่าวต่อ นาย นทีกล่าวในประเด็นต่อไปนี้ครับ
 - สังคมไทยลืมพระเจ้าตาก
 เรื่อง สมเด็จพระเจ้าตากสินถูกทำให้ลืมเลือนโดยเฉพาะยุค๔-๕ ปีหลัง นอกจากวันที่ ๑๘ ธ.ค.ของทุกปีที่เป็นวันสถาปนากรุงธนบุรีซึ่งเขาให้ถือว่าเป็นวันพระเจ้าตาก แล้ว ประวัติศาสตร์ไม่เคยพูดถึง วันที่ ๗ พ.ย.๒๓๑๐ เป็นวันที่สมเด็จพระเจ้าตากสินกอบกู้กรุงศรีอยุธยาประกาศเป็นเอกราช
ขอแยกเป็นประเด็นอย่างนี้ครับ
๑ เรื่องสมเด็จพระเจ้าตากสินถูกทำให้ลืมเลือน จริงหรือไม่?
๒ โดยเฉพาะยุค๔-๕ ปีหลัง จริงหรือไม่?
๓ ประวัติศาสตร์ไม่เคยพูดถึง วันที่ ๗ พ.ย.๒๓๑๐ จริงหรือไม่?
ผม ว่าการที่จะทำให้ใครลืมอะไรนี่ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆนะครับ ผมไม่ได้บอกว่าทำไม่ได้ แต่มันคงต้องใช้เวลานานในการไม่พูดถึง ไม่เสนอเรื่องราวอะไรเกี่ยวกับบุคคลที่เราต้องการให้คนทั่วๆไปลืม แต่เรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ถูกนำเสนอเป็นประจำทางสื่อมวลชน แขนงต่างๆ เมื่อถึงวาระสำคัญที่พระองค์มีความเกี่ยวข้อง ผมก็ยังได้ยินบทความประกาศเกียรติคุณของพระเจ้ากรุงธนบุรีอยู่ทุกปีนะครับ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีหน่วยทหารอย่างน้อยสองหน่วยละครับ ที่ทำพิธีรำลึกถึงพระองค์ท่าน
หน่วยทหารสองหน่วยที่ว่านี่คือ กองทัพบก กับ กองทัพเรือ
กองทัพบกถือว่าวันที่ ๔ มกราคม ของทุกปี เป็นวันทหารม้า ครับ
ทำไม ถึงวันที่ ๔มกราคม ก็เพราะเมื่อวันที่ ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๓๐๙ เกิดวีรกรรมการรบบนหลังม้าที่ บ้านพรานนก ซึ่งปัจจุบันอยู่ในอำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยาน่ะซีครับ
ใน วันที่ ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๓๐๙ ซึ่งตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๔ ค่ำ เดือนยี่ จุลศักราช ๑๑๒๘ ปีจอ อัฐศก พระยาวชิรปราการเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาคงต้องเสียทีแก่พม่า จึงร่วมกับนักรบคู่ใจพร้อมด้วยทหารกล้าราว ๕๐๐ คน มีปืนเพียงกระบอกเดียว แต่ชำนาญด้านอาวุธสั้น ยกกำลังออกจากค่ายวัดพิชัย และตีฝ่าวงล้อมทหารพม่าไปทางทิศตะวันออก
ครั้น รุ่งเช้าคือวันที่ ๔ มกราคม ขณะตั้งค่ายพักอยู่ที่บ้านพรานนก มีทหารพม่ากองหนึ่งซึ่งประกอบด้วยทหารม้าประมาณ ๓๐ คน ทหารเดินเท้าประมาณ ๒๐๐ คน เดินทาง มาจากแขวงเมืองปราจีนบุรี สวนทางมาพบทหารพระยาวชิรปราการที่เที่ยวหาเสบียงอาหาร ทหารพม่าก็ไล่จับและ ติดตามมายังบ้านพรานนก
พระยาวชิรปราการจึงให้ทหารแยกออกซุ่มสองทาง ตัวท่านขึ้นขี่ม้าพร้อมกับทหารอีก ๔ คน ควบตรงไปไล่ฟันทหารม้าพม่า
อย่าลืมว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่าง ๔ ต่อ ๓๐ เชียวนะครับ
แต่ ที่สู้กันได้เพราะฝ่ายพระยาวชิรปราการอาศัยการจู่โจม ทหารพม่าไม่ทันรู้ตัวตกใจถอยกลับ ไปปะทะกับทหารเดินเท้า เกิดการอลหม่าน ทหารไทยที่ซุ่มอยู่สองข้างจึงแยกเป็นปีกกาตีโอบทหารพม่าไว้สองข้าง แล้วไล่ฟันทหารพม่า ล้มตายและแตกหนีไป
จากวีรกรรม บนหลังม้าครั้งนี้กองทัพบกไทยจึงมีมติให้วันที่ ๔ มกราคม ของทุกปี เป็นวันทหารม้า มีพิธีสักการะอนุสรณ์สถานพระเจ้ากรุงธนบุรี ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และมีการจัดงานวันที่รำลึกทหารม้าในวันดังกล่าวทุกปีด้วยครับ
กองทัพเรือก็ไม่เคยลืมวันที่ ๖ พฤศจิกายนครับ
เพราะวันนี้เป็นวันสำคัญของกองทัพเรืออีกวันหนึ่ง
การ ที่พระยาวชิรปราการยกทัพเรือกู้ชาติเดินทางจากเมืองจันทบุรี มาทางทะเลเข้าสู่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา และได้ยกพลขึ้นบกเข้าโจมตีค่ายข้าศึกจากทางทะเลในครั้งนั้น ถือเป็นการยุทธสะเทินน้ำสะเทินบกครั้งแรกของกองทัพเรือไทย กองทัพเรือจึงได้อนุมัติให้วันที่ ๖ พฤศจิกายน ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสถาปนากองเรือยกพลขึ้นบกและยุทธบริการ กองเรือยุทธการ มีพิธีบวงสรวงและทำบุญกันทุกปี
นอก จากนี้ ทุกหน่วยงานสถานที่ และทุกจังหวัดที่มีประวัติศาสตร์เกี่ยวเนื่องกับพระราชประวัติล้วนจัดให้มี กิจกรรมต่างๆเพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในวาระสำคัญนั้นๆเป็นประจำ
นาย นที เน้นย้ำว่า โดยเฉพาะยุค ๔-๕ ปีหลังที่มีการทำให้พระเจ้าตากถูกลืม เรื่องนี้ผมยังสงสัยเพราะกิจกรรมต่างๆที่เคยจัดเพื่อรำลึกถึงพระองค์ก็เห็น ยังจัดกันอยู่เป็นปกติ หรือว่านายนทีต้องการบอกว่า รัฐบาลหรือใครก็ตามในช่วง ๔-๕ปีนี้ตั้งใจทำให้คนลืมพระเจ้าตาก นายนทีบอกได้ไหมครับว่า ๔-๕ ปีหลังที่ว่านี้ รัฐบาลหรือใครก็ตาม ทำอะไรหรือไม่ทำอะไร ที่ทำให้เห็นเจตนาอย่างที่ว่า และพฤติกรรมที่ว่านี้มันเพิ่งเกิดขึ้นในรัฐบาลนี้หรือว่าเกิดขึ้นมาตั้งแต่ รัฐบาลก่อนๆ
จริงหรือที่ นาย นทีบอกว่า ประวัติศาสตร์ไม่เคยกล่าวถึง วันที่ ๗ พ.ย.๒๓๑๐?
ผมเองก็สงสัยครับว่าทำไมประวัติศาสตร์ไม่กล่าวถึงวันสำคัญอย่างนี้
ยัง ไม่มีเวลาไปเปิดดูพงศาวดารทุกฉบับหรอกครับ แต่ที่เปิดดูสองสามฉบับก็เห็นกล่าวถึงเหตุการณ์ยกทัพเรือของพระเจ้าตากมาตี กรุงธนบุรี แล้วยกทัพไปตีค่ายโพธิ์สามต้นทุกฉบับ
หรือนายนทีหมายถึงแบบเรียนของเด็กๆครับ
ผมยังไม่มีเวลาไปเปิดดู แต่ถ้าไม่ได้บรรจุเรื่องนี้เอาไว้
หากปรับปรุงหลักสูตรคราวหน้าก็ควรจะใส่ไว้นะครับ
          ประเด็นต่างๆที่นายนทีพูดถึง ยังมีอีกหลายเรื่องครับ แล้วจะหยิบยกมาทีละประเด็น เรื่องนี้ยาวครับ ยังต้องประดาบกันอีกหลายวัน


การขยับปรับมุมอนุสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราช
รู้ไม่จริงหรือตั้งใจบิดเบือน(๒)


เมื่อวันที่ ๖ พ.ย.๕๓ ณ ห้างอิมพิเรียล ชั้น๕ กลุ่มคนเสื้อแดงได้จัดงานเสวนา  ๒๔๓ ปี การกอบกู้เอกราชของพระเจ้าตาก ผู้ร่วมอภิปรายคนหนึ่ง คือ นาย นที สรวารี นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ในประเด็นที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับอนุสาวรีย์ของพระองค์ท่าน 
นาย นที นำเสนอว่า 
 “..ได้ มีการขยับปรับมุมอนุสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราช ในสมัยเผด็จการ ก่อนหน้านี้สมเด็จพระเจ้าตากสินจะผินพระพักตร์มาทางสะพานพระพุทธยอดฟ้า ก็ด้วยตระกูลที่เกรงกลัวเรื่องไสยศาสตร์จนขึ้นสมองไปทั้งตระกูลเขาบอกว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินผินหน้ามาทางสะพานพุทธพยายามจะเอามีดมาฟันคนที่นั่งอยู่ ริมสะพาน ก็ผินหน้าไปเสีย หันหน้าไปอีกทาง อันนี้ก็เป็นเรื่องที่สมเด็จพระเจ้าตากสินแม้จะสิ้นพระชนม์ไปแล้วก็ยัง ถูกกระทำอย่างต่อเนื่อง..
 เรื่อง นี้เป็นเรื่องใหม่สำหรับผม เพราะไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อน ต้องขอบคุณ นาย นทีเป็นอย่างมาก ผมไม่ทราบว่าเรื่องนี้ นาย นทีไปเอามาจากไหน ใครเล่าให้ฟัง หรือ แต่งขึ้นมาเอง ถ้ามีหลักฐานมายืนยันกันสักหน่อยจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อคนรู้น้อยอย่าง ผม จะได้ฉลาดทันคนขึ้นมาบ้าง
 ผม เป็นเด็กตรอกสารภีครับ วงเวียนใหญ่นี่เป็นสนามเด็กเล่นของผม เมื่อห้าสิบกว่าปีก่อน ไปวิ่งเล่นแทบทุกเย็นกับสมัครพรรคพวกเด็กแถวบ้านสิบกว่าคน พอมืดหน่อยก็มานั่งดูโทรทัศน์สาธารณะที่เขาตั้งเอาไว้บริการประชาชน สมัยนั้นเพิ่งจะทดลองออกอากาศ ยังแพร่ภาพเป็นขาวดำอยู่ครับ ราคาเครื่องรับโทรทัศน์ยังแพงอยู่ต้องอาศัยดูตามที่สาธารณะ เช่นที่วงเวียนใหญ่ สะพานพุทธฯเป็นต้น รายการที่ผมกับเพื่อนๆชอบดูเป็นประจำคือหุ่นกระบอกเรื่องพระอภัยมณีของคณะ นายเปียก ประเสริฐกุล แต่วันไหนมีถ่ายทอดมวยตู้วันนั้นเป็นอันอดดูโทรทัศน์ครับ เพราะถูกผู้ใหญ่แย่งดูมวย เด็กๆเรากลับบ้านกันแต่วัน
โต ขึ้นอีกหน่อยย้ายบ้านจากตรอกสารภีมาอยู่สำเหร่ แถวโรงเรียนสมบุญวิทยา ถนนตากสิน ต้องข้ามฟากมาเรียนหนังสือฝั่งพระนคร ก็นั่งรถเมล์จากบ้านมาต่อรถที่วงเวียนใหญ่ทุกวัน วันละสองเที่ยวไปกลับ
ด้วยความเคารพครับ ท่านนักวิชาการอิสระ ตั้งแต่จำความได้จนบัดนี้อายุหกสิบกว่าปีแล้ว ผมไม่เคยเห็นอนุสาวรีย์พระเจ้าตากสิน ผินพระพักตร์ไปทางไหนเลย ส่วนข้อที่ว่าก่อนหน้านี้ท่านผินพระพักตร์ไป ทางสะพานพุทธหรือเปล่า ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันเพราะตอนที่สร้างนั้นผมยังเด็กอยู่จำความไม่ได้ วันก่อนก็เลยลองสอบถามญาติผู้ใหญ่ที่ยังเหลืออยู่ และเคยเห็นวงเวียนใหญ่มาตั้งแต่ยังไม่มีพระบรมรูป ท่านก็ว่า ตั้งแต่แรกสร้างแล้ว ก็เห็นพระองค์ทรงม้าชูดาบ หันพระพักตร์ไปทิศทางนี้แหละ
เรื่อง ทิศทางนี่มันมีนัยยะครับ แต่ไม่เกี่ยวกับไปฟันไปแทงหลังใครทั้งนั้น ความคิดของผู้ที่กำหนดรูปแบบ ลักษณะพระบรมรูป ตลอดจนทิศทางการวาง ไม่ตื้นเขินเบาปัญญาด้วยเรื่องไร้สาระแบบนี้ 
 ลักษณะของพระบรมรูปพระราชอนุสาวรีย์ สมเด็จพระเจ้าตากสินกรุงธนบุรี มีรายละเอียดอย่างนี้ครับ
         พระ บรมรูปทรงม้าพระที่นั่งออกศึก ทรงเครื่องกษัตริย์นักรบ สวมพระมาลาเบี่ยง พระหัตถ์ขวาทรงเงื้อพระแสงดาบนำพลออกรุกไล่ข้าศึก พระหัตถ์ซ้ายทรงบังเหียน หล่อด้วยทองสำริด ประดิษฐานบนแท่นเสาใหญ่  หล่อด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก
ทั้ง สองด้านของแท่นฐานจารึกรูปนูนตามความหมายทางประวัติศาสตร์ด้านละ ๒ กรอบรูป ความสูงประมาณ ๑๕ เมตร คือ จากแท่นที่ม้ายืนถึงพระหัตถ์ที่ชูพระแสงดาบ ๔ เมตร ๒๐ เซนติเมตร จากพื้นดินถึงแท่นที่ม้ายืน ๙ เมตร ๙๐ เซนติเมตร 
 ผินพระพักตร์ ทางตะวันออกเฉียงใต้สู่จังหวัดจันทบุรี
 การปั้นหล่อพระบรมรูปพระราชอนุสาวรีย์และการสร้างแท่นฐานลานพระบรมรูปตลอดจนสิ่งอื่นๆ อันเนื่องในการนี้ สิ้นค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น ๕,๑๙๗,๘๘๒ บาท ๔๕ สตางค์
 คณะ กรรมการเขากำหนดทิศทางมาตั้งแต่แรกแล้วครับให้ผินพระพักตร์สู่จังหวัด จันทบุรี เพราะเป็นพระประสงค์ของพระองค์มาตั้งแต่ฝ่าทัพพม่าออกมาจากวัดพิชัยแล้ว ที่จะมุ่งตะวันออก แล้วไปตั้งหลักรวมพลทางฝั่งทะเลตะวันออก ซึ่งสุดท้ายแหล่งปรับกำลังจัดทัพก็อยู่ที่จันทบุรีนั่นแหละ
ส่วน พระบรมราชานุสาวรีย์ที่จันทบุรีซึ่งสร้างขึ้นทีหลังนั้น ท่านกำหนดทิศทางให้หันพระพักตร์มาทางกรุงธนบุรี กรุงศรีอยุธยาครับ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการนำทัพจากฝั่งทะเลตะวันออกมากู้เอกราชกรุงศรีอยุธยา นั่นเอง
 คณะ กรรมการเขากำหนดเอาไว้เหมาะสมแล้วครับ สนองตามพระราชประสงค์เดิมของสมเด็จพระเจ้าตากสินทุกประการ ไม่ได้ผินพระพักตร์ไปทางนั้นด้วยเหตุใด ผู้ที่บังอาจบิดเบือนแนวพระราชประสงค์นี้เพื่อประโยชน์อื่น ถือว่าชั่วช้าเนรคุณต่อพระองค์มากนะครับ
การ กำหนดรูปแบบและทิศทางการวางพระบรมรูปนั้นไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่ง หรือตระกูลใดตระกุลหนึ่ง(ไม่ว่าจะไสยศาสตร์ขึ้นสมองหรือไม่ก็ตาม)จะเป็นผู้ กำหนดได้ เพราะการดำเนินการสร้างอยู่ในการกำกับดูแลของคณะกรรมการ ซึ่งกว่าจะสร้างเสร็จต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการหลายคณะด้วยกัน
ผมขอเล่าประวัติการก่อสร้างพระราชอนุสาวรีย์ย่อๆให้ฟังอย่างนี้นะครับ
 แนว ความคิดเรื่องการก่อสร้างพระราชอนุสาวรีย์มีมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๗๗ แล้ว โดยต้องให้เครดิตแก่ นายทองอยู่ พุฒพัฒน์ ผู้แทนราษฎรจังหวัดธนบุรีคนแรกเป็นผู้ริเริ่มและติดตามโครงการนี้เป็นเวลา ยาวนานถึง ๓๐ ปี จนสำเร็จ
นายทองอยู่ไม่ได้ทำคนเดียวนะครับแต่ได้เชิญผู้แทนตำบลในจังหวัดธนบุรี ๑๒๖ คน กับผู้ที่ไม่ได้เป็นผู้แทนตำบลอีก๑๐ คนมาเป็นกรรมการ
คณะ กรรมการได้พยายามติดต่อกับ บุคคลสำคัญหลายท่านในยุคนั้น นับตั้งแต่ประธานผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ไปจนถึงนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีอีกหลายคนเพื่อขอความเห็นชอบและความสนับสนุน 
เดือน กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ รัฐบาลมีมติแต่งตั้งคณะกรรมการคณะหนึ่ง มีหน้าที่พิจารณาจัดสร้าง ประเด็นสำคัญที่โต้เถียงกันมาก คือ ลักษณะของพระราชอนุสาวรีย์ซึ่งแยกออกเป็น ๒ ฝ่าย
         ฝ่ายหนึ่งเห็นว่า ไม่ควรสร้างเป็นพระบรมรูป โดยให้เหตุผลว่าจะหาพระบรมรูปที่แท้จริงมาจำลองไม่ได้ถ้าสร้างก็จะผิดจากพระบรมรูปจริง
 ควร สร้างเป็นถาวรวัตถุอย่างใดขึ้น แล้วจารึกพระนามาภิไธยของพระองค์ท่านไว้ และให้เปลี่ยนชื่อจากพระราชอนุสาวรีย์เป็นพระราชอนุสรณีย์ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้ระลึกถึงเท่านั้น
         อีก ฝ่ายหนึ่งเห็นว่า ควรสร้างเป็นพระราชอนุสาวรีย์พระบรมรูป ทำนองเดียวกับพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ซึ่งก็เป็นพระบรมรูปที่สมมุติขึ้นเหมือนกัน ถ้าสร้างเป็นถาวรวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ความสนใจในพระองค์ท่านจากประชาชนจะน้อยไป แต่ถ้าสร้างขึ้นเป็นพระบรมรูปแล้ว จะทำให้เกิดความสนใจมากขึ้นและจะเป็นเครื่องเตือนใจให้เกิดความเลื่อมใสใน คุณงามความดีของพระองค์ท่านที่ได้ทรงกอบกู้ประเทศชาติให้เป็นเอกราชมาจนทุก วันนี้
          ผลของการประชุม มีมติให้สร้างเป็นพระบรมรูป
 จะเห็นได้ว่าคณะกรรมการพิจารณาอย่างรอบคอบครับ ที่ให้สร้างเป็นพระบรมรูป ทำนองเดียวกับพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก แสดงว่า ความคิดเรื่องการแบ่งแยกแตกต่างไม่มีอยู่เลย คงถวายพระเกียรติเฉกเช่นที่พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ของพสกนิกรทุกคนเสมอกัน
  เมื่อตกลงใจว่าจะสร้างเป็นพระบรมรูป ต่อไปก็เป็นเรื่องของการออกแบบครับ
คณะกรรมการกำหนดแนวความคิดของรูปแบบเป็น ๒ ประการ คือ
          ก.  อนุสาวรีย์จะต้องเป็นของสูงใหญ่ งามสง่ากระทบตากระเทือนใจให้ผู้ดูรู้สึกความสูงใหญ่มั่นคง ซึ่งสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้ทรงทำให้แก่ประเทศชาติ และ
          ข.  รูปอนุสาวรีย์ควรเป็นหลักหกหลัก หรือถ้าเป็นหลักเดียวก็ควรให้เห็นเป็นหกเหลี่ยมหกซีก รัดรึงตรึงกันเป็นอันเดียว ซึ่งแสดงความหมายในทางประวัติศาสตร์ว่า เมื่อเสียกรุงแก่พม่าใน ใน พ.ศ. ๒๓๑๐ นั้น สยามได้แตกแยกเป็นหกส่วน สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้รวบรวมสยามที่แตกแยกให้กลับเป็นอันหนึ่งอันเดียว กัน
             งาน ที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงทำให้แก่ชาติเรานั้น ก่อให้เกิดลัทธิที่ว่า สยามต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จะแบ่งแยกกันมิได้ ลัทธิอันนี้ได้เป็นบทรัฐธรรมนูญมาตราต้น ในเวลานั้น
        คณะ กรรมการคำนึงถึงงานที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงทำให้แก่ชาติ นั่นคือ ทรงรวบรวมสยามที่แตกแยกให้กลับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แล้วกำหนดรูปแบบของพระราชอนุสาวรีย์ให้สื่อถึงพระราชกรณียกิจนั้น
 ใคร ก็ตามที่พยายามสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในชาติ มันผู้นั้นประพฤติสวนทางกับพระราชประสงค์ของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีครับ ไม่ว่าปากจะอ้างว่าเทิดทูนพระองค์เพียงใดก็ตาม
ปี พ.ศ. ๒๔๘๐ หลวงวิจิตรวาทการ อธิบดีกรมศิลปากร ได้มอบให้ช่างของกรมศิลปากรปั้นพระบรมรูปเล็กๆขึ้น ๗ แบบ แล้วนำไปตั้งแสดงที่ร้านของกรมศิลปากรในงานฉลองรัฐธรรมนูญ เพื่อขอมติมหาชน ให้ร่วมกันพิจารณาและออกคะแนนเสียงแสดงความปรารถนาว่าจะเลือกสร้างแบบไหน
            คณะกรรมการจะมาแอบตกลงใจกันเงียบๆก็ไม่ได้นะครับ ต้องขอมติมหาชนก่อน ส่วนวิธีการขอประชามติก็เข้าที ท่านทำกันแบบนี้ครับ
           ด้านหน้าของพระบรมรูปแบบต่างๆที่ตั้งแสดงจะมีตู้บริจาคเงินวางไว้ตู้ละใบ
           ใครชอบแนวความคิดพระบรมรูปแบบใด ก็ให้บริจาคเงินเป็นคะแนนเสียงใส่ในตู้ 
           การนับคะแนนเสียงไม่ได้คำนึงถึงค่าของเงิน แต่จะนับสตางค์หนึ่งเหรียญก็เป็นหนึ่งเสียง  หรือ ธนบัตรพันบาทหนึ่งแผ่น ก็นับเป็นหนึ่งเสียงเหมือนกัน
และ ทรัพย์ที่มหาชนบริจาคในการลงคะแนนเสียงนั้น จะส่งเข้าร่วมสมทบทุนสร้างอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทั้งหมด
ผล ของการขอมติมหาชนแบบนี้ ปรากฏว่า หีบพระบรมรูปพระราชอนุสาวรีย์ทรงม้า พระหัตถ์ขวาเงื้อพระแสงดาบประดิษฐานอยู่บนแท่นสูง ดังที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันได้รับคะแนนสูงสุด คือ ๓๙๓๒ คะแนน  
        การ ก่อสร้างพระราชอนุสาวรีย์ต้องชะงักลงระยะหนึ่ง เพราะเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ สถานภาพทางบ้านเมืองไม่อำนวยให้ รัฐบาลต้องเปลี่ยนไปหลายคณะ 

        กว่าจะมาเริ่มโครงการกันใหม่ก็ ปีพ.ศ. ๒๔๙๑ แล้วครับ
 พ.ศ. ๒๔๙๒ คณะรัฐมนตรีมีมติเป็นเอกฉันท์อนุมัติเงินงบประมาณจำนวน๒๐๐,๐๐๐ บาท เป็นทุนเริ่มแรกในการสร้าง แต่พอเอาเข้าจริงต้องขยายพระบรมรูป ขยายม้าทรง แท่นฐาน ฯลฯ งบประมาณบานปลายเป็นกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท คณะกรรมการ จึงต้องมีมติให้หาทุนโดยการเปิดการเรี่ยไรขึ้น
               ใน ส่วนของพระบรมรูปนั้น กรมศิลปากรมอบให้ศาสตราจารย์ ศิลป พีระศรี ( ซี. เฟโรจี ) เป็นผู้ปั้นหุ่น การปั้นสำเร็จเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๔๙๔ และเททองหล่อพระเศียรเป็นปฐมฤกษ์ในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๔ จากนั้นใช้เวลาอีกประมาณ ๒ ปีในการหล่อพระบรมรูปและการจัดสร้างแท่นฐานตลอดจนปรับปรุงบริเวณจนสำเร็จ เรียบร้อยและ กราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ปัจจุบันเสด็จพระราช ดำเนินเปิดในวันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๗ เวลา ๗.๓๐ น.
        ทางราชการได้กำหนดวันถวายบังคมพระบรมรูปประจำปี ในวันที่ ๒๘ ธันวาคม ของทุกปีอย่างที่เราท่านทราบกันอยู่แล้ว
 ว่าจะเล่าย่อๆแต่ไหงกลายมาเป็นยืดยาวไปได้
 แต่เห็นว่าจำเป็นครับ
เพราะคำพูดที่ว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินแม้จะสิ้นพระชนม์ไปแล้วก็ยังถูกกระทำอย่างต่อเนื่องนี่ละครับ
ใครกระทำพระองค์ครับ?
ผมเห็นแต่พระองค์ท่านถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างต่อเนื่องต่างหาก
อย่าปฏิเสธเลยครับว่าที่นำเรื่องราวของพระองค์ท่านมานำเสนอนั้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ทางการเมือง
ถ้า อ้างว่าต้องการเรียกร้องความยุติธรรมให้สมเด็จพระเจ้าตากสินแล้ว ท่านก็ต้องให้ความยุติธรรมต่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯด้วยเช่นกัน
เรา ไม่ควรปฏิเสธประวัติศาสตร์ในแง่ของความเป็นจริงที่เกิดขึ้นครับ ไม่ว่าความจริงนั้นจะถูกใจเราหรือไม่ แต่ทั้งหลายทั้งปวงนั้นต้องมีหลักฐานที่แน่นอน ตรวจสอบได้ ไม่ใช่ยกขึ้นมากล่าวลอยๆให้คนฟังเกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
ข้อมูล ที่ว่ามาทั้งหมดนั้น ผมคัดมาจากวารสารศิลปากร เรียบเรียงโดย คุณ ประพัฒน์ ตรีณรงค์ แห่งกองวรรณคดีเเละประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร ครับ ขอขอบพระคุณ คุณประพัฒน์ มา ณ ที่นี้
        ผม เองก็ไม่ได้เก่งกล้าสามารถมาจากไหน แต่เมื่อพบเห็นอะไรที่ไม่ถูกต้อง และจะทำให้สังคมเกิดความเข้าใจผิด ก็ต้องไปหาความรู้มาขยายกันให้ทราบครับ
 นัก วิชาการ จะอิสระหรือมีสังกัดก็ตาม เมื่อเป็นนักวิชาการแล้ว ก็ต้องนำเสนอความรู้ในเชิงวิชาการเพื่อสร้างสรร ครับ อย่ามีอคติ หรือจงใจบิดเบือนข้อเท็จจริง ไม่งั้นก็อย่าให้ใครเขาแนะนำตัวท่านว่าเป็นนักวิชาการเลย
สมัยนี้แยกกันไม่ค่อยออกเสียด้วยว่าใครเป็นนักวิชาการจริง ใครเป็นนักวิชาการเก๊
ยิ่ง เขากล่าวหาว่าในกลุ่มคนเสื้อแดงนี่มีพวกแดงล้มจ้าวแอบแฝงอยู่ มันจะเสียชื่อคนเสื้อแดงส่วนมากที่เขายังเทิดทูนระบอบกษัตริย์อยู่นะครับ
 ผมรักเสื้อแดงนะครับ ถึงได้เตือน


รู้ไม่จริงหรือตั้งใจบิดเบือน (3)




“..อยู่ๆสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกมาจากไหนถึงได้มา ผมขออนุญาตใช้คำแรง ชุบมือเปิบแล้วบอกว่าเป็นคนร่วมกอบกู้เอกราชด้วย ทั้งๆที่ไม่เคยร่วมรบกับพม่าเลยแม้แต่ครั้งเดียวนะครับนับตั้งแต่กอบกู้เอกราช..
        คำพูดของนายนที  สรวารี ในงานเสวนา๒๔๓ ปีการกอบกู้เอกราชของพระเจ้าตากจัดโดยกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อวันที่ ๖ พ.ย.๕๓ ณ ห้างอิมพิเรียล ชั้น๕
 วันนี้ยังเดินหน้าเข้าคลองไปไม่ได้ถึงไหนละครับ เศษสวะมันเยอะเหลือเกิน ขอหยุดเรือจัดการเก็บกวาดกันสักหน่อยก่อนนะครับ
          นายนที กล่าวนำ จั่วหัว เพื่อ ให้นายอริน พูดต่อ อันที่จริงผมตั้งใจว่าจะรอเก็บกวาดเสียพร้อมกันทีเดียวเลย แต่ยิ่งฟัง นายนทีก็ยิ่งเลอะเทอะไปกันใหญ่ ไม่อยากให้ผู้ที่บังเอิญได้ฟังการเสวนา หรือได้ข้อมูลเหล่านี้มาจากทางไหน เข้าใจผิดตามนายนทีไปด้วย จึงขอตัดตอนเฉพาะของนายนทีก่อนนะครับ ส่วนของนายอรินนั้นใจเย็นๆครับ แล้วจะชี้ให้ดูว่าเลอะเทอะเพ้อเจ้อพอกันหรือมากกว่านี้แค่ไหน
           ประเด็นแรก นายนที กล่าวว่า
           “…. ชื่อ ตำแหน่งว่าสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก มีจริงหรือเปล่าในประวัติศาสตร์ไทยนะครับ และตำแหน่งนี้คือตำแหน่งของใครครับ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ตำแหน่งของนายทองด้วง ที่ในประวัติศาสตร์กล่าวกันว่าเป็นเพื่อนรักร่วมสาบานกับพระยาตากมา แล้วมามีเหตุการณ์กันเบื้องหลังภายหลัง ซึ่งเดี๋ยวพี่อรินจะมาเล่าให้ฟังว่าแท้จริงมันเป็นยังไง..
           ตำแหน่ง สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกมีจริงหรือเปล่าในประวัติศาสตร์ ตอบได้เลยว่าไม่มีอยู่ในทำเนียบข้าราชการสมัยอยุธยาแน่นอน ครับ เพราะเป็นตำแหน่งที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงกำหนดขึ้นใหม่ในรัชสมัยของพระองค์ เพื่อบุคคลคนเดียว คือ ผู้ที่นายนทีใช้คำว่า นายทองด้วง
           สมเด็จ พระเจ้ากรุงธนบุรีนั้นทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถหลายประการ ทรงเป็นแม่ทัพที่เก่งกาจด้านการนำทัพ รวมทั้งการบังคับบัญชาที่ยอดเยี่ยม มีความกล้าหาญและมีพระวิริยะอุตสาหะแรงกล้า และที่สำคัญที่สุดคือการที่ทรงเป็นนักบริหารชั้นเยี่ยม ทรงรู้จักใช้คนให้เหมาะสมกับภารกิจ และปูนบำเหน็จแก่นักรบของพระองค์อย่างถ้วนหน้าสมกับความดีความชอบที่ได้ กระทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้กระทำระหว่างศึกสงคราม
           ใน ขณะที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯนั้น ก็ทรงเป็นนักรบที่เคียงคู่กับพระอนุชาของพระองค์(ซึ่งต่อมาคือ สมเด็จกรมพระราชวังบวรสุรสิงหนาท) นำทัพรบมาแล้วทุกภาคของประเทศ ว่ากันเฉพาะศึกสงครามก่อนที่จะได้รับพระราชทานบำเหน็จให้เป็นสมเด็จเจ้า พระยามหากษัตริย์ศึก ก็ทรงได้รับความไว้วางพระทัยให้เป็นแม่ทัพรับผิดชอบภารกิจสำคัญมาแล้วหลาย ครั้ง ซึ่งทุกครั้งไม่เคยทำให้พระเจ้ากรุงธนบุรีผิดหวัง เริ่มตั้งแต่..
พ.ศ.๒๓๑๑  เมื่อ ครั้งที่ยังปราบปรามชุมนุมต่างๆเพื่อรวบรวมอาณาจักรให้เป็นหนึ่งเดียวอีก ครั้งนั้น คราวที่ยกทัพไปปราบชุมนุมเจ้าพิมาย ขณะนั้นยังดำรงยศเป็นพระราชรินทร์ ทรงได้รับมอบหมายให้ร่วมกับพระอนุชา ยกทัพน้อยแยกออกอีกเส้นทางหนึ่งเข้าตีประสานกับทัพของพระเจ้ากรุงธนบุรี ครั้งนั้นตีนครราชสีมา ปราบปรามชุมนุมเจ้าพิมายลงได้ ทรงได้เลื่อนยศเป็นพระยาอภัยรณฤทธิ์
        พ.ศ. ๒๓๑๒  ขณะ ที่ยังคุมพลอยู่ที่นครราชสีมาไม่ทันกลับเข้าเมืองหลวง ก็ได้รับคำสั่งให้ร่วมกับพระอนุชา นำกำลังยกทัพไปตีเขมรและโจมตีได้เมืองเสียมราฐ
        พ.ศ.๒๓๑๓ พระเจ้ากรุงธนบุรียกทัพตีหัวเมืองเหนือ หลังเสร็จจากศึกสงคราม ได้ตั้งข้าราชการที่มีบำเหน็จความชอบในสงคราม ครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯทรงได้เลื่อนจาก พระยาอภัยรณฤทธิ์ เป็นพระยายมราช บัญชาการมหาดไทยแทนเจ้าพระยาจักรี(แขก) สมุหนายกคนเก่า ถ้าไม่มีความดีความชอบท่านคิดว่าจะได้รับพระราชทานเลื่อนยศหรือครับ
 พ.ศ. ๒๓๑๔ พระเจ้ากรุงธนบุรี เลื่อนพระยายมราช หรือ นายทองด้วงที่ นายนทีเรียก เป็น เจ้าพระยาจักรี แล้วให้เป็นแม่ทัพบกคุมพล ๑๐๐๐๐ ยกทัพไปตีเขมรอีกครั้ง ถ้าพระเจ้ากรุงธนบุรีไม่ไว้วางพระทัย ไม่เชื่อฝีมือ จะทรงเลือกให้ไปปฏิบัติงานนี้หรือครับ และขุนศึกคู่พระทัยก็ไม่ทำให้ทรงผิดหวังครับ ครั้งนั้นทัพไทยตีได้เมืองโพธิสัตว์ เมืองพระตะบอง เมืองบริบูรณ์ เมืองกำพงโสม และเมืองบันทายมาศ
 พ.ศ.๒๓๑๔  เป็นแม่ทัพใหญ่ร่วมกับพระยาสุรสีห์ฯคุมกำลังเมืองเหนือขึ้นไปตีเชียงใหม่ กองทัพไทยชนะ ยึดนครเชียงใหม่คืนจากพม่าได้
พ.ศ.๒๓๑๔ เสร็จ ศึกเชียงใหม่ ไม่ทันได้พักละครับ เพราะศึกพม่าเข้ามาทางราชบุรีอีกทางหนึ่ง ขณะนั้นพระเจ้ากรุงธนบุรียกทัพไปยันศึกไว้ก่อน ทำให้เจ้าพระยาจักรีต้องรีบยกทัพจากเมืองเหนือลงมาสมทบทัพพระเจ้ากรุงธนบุรี ที่บางแก้ว ราชบุรี พระเจ้ากรุงธนบุรี จึงทรงมอบหมายให้บัญชาการล้อมพม่าต่อ แสดงว่าพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงไว้วางพระทัยทหารเอกของพระองค์มาก 
ครั้น ทัพเจ้าพระยาสุรสีห์ฯกับพวกหัวเมืองฝ่ายเหนือลงมาสมทบอีกจึงได้ช่วยกันตั้ง ค่ายสกัดทัพพม่าไม่ให้ทัพพม่าช่วยเหลือกันได้ ในที่สุดพม่าจึงต้องยอมแพ้ ชัยชนะในครั้งนี้ส่งผลให้ผู้คนที่หลบซ่อนตามที่ต่าง ๆ เข้ามาสวามิภักดิ์เป็นจำนวนมาก เนื่องจากหมดความกลัวเกรงพม่า นับเป็นสงครามแบบจิตวิทยาโดยแท้
พ.ศ. ๒๓๑๘-๒๓๑๙ คราวอะแซหวุ่นกี้ตีหัวเมืองเหนือนี่ละครับที่เป็นสงครามครั้งสำคัญที่สุด สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงตั้งทัพหลวงอยู่ที่ ปากพิง นครสวรรค์ คอยสนับสนุนส่งกำลังบำรุง โดยมี เจ้าพระยาจักรี(ทองด้วง) เป็นแม่ทัพหน้า และ เจ้าพระยาสุรสีห์พิษณุวาธิราช(บุญมา)เจ้า เมืองพิษณุโลก ช่วยกันบัญชาการรบ ดำเนินแผนทางยุทธศาสตร์ให้พม่าขาดแคลนเสบียง เข้ามาติดกับในเมืองพิษณุโลก และต้องแยกกำลังออกเป็นส่วนย่อย จนถูกกองทัพไทยล้อมทำลาย กองทัพพม่าพ่ายแพ้ทางยุทธศาสตร์ต้องสูญเสียอย่างหนัก พอดีกับพระมหากษัตริย์พม่าสวรรคต อะแซหวุ่นกี้ต้องนำทัพพม่าที่ยังคุมกันได้ถอยกลับไปรักษาสถานการณ์ที่อังวะ ระหว่างทางถูกทัพไทยไล่ตีติดตามจนล้มตายบ้าง  ถูก จับเป็นเชลยบ้าง สูญเสียไพร่พล สรรพาวุธยุทโธปกรณ์เหลือคณานับ จนพงศาวดารพม่าต้องบันทึกไว้ว่าอะแซหวุ่นกี้ หรือ มหาสีหสุระ ยกทัพมาครั้งนี้ พ่ายแพ้อย่างยับเยิน ศึกอะแซหวุ่นกี้คราวนี้แหละครับที่พิสูจน์ว่า เจ้าพระยาจักรีท่านเป็นจ้าวยุทธศาสตร์ตัวจริง
(ถ้าสนใจเหตุการณ์ตอนนี้โดยละเอียด พร้อมการวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์ ผมแนะนำหนังสือ ยุทธศาสตร์สงคราม ไทย-พม่า กรณีศึกอะแซหวุ่นกี้ พ.ศ.๒๓๑๙ของ คุณ บดินทร์ กินาวงศ์ ครับ เป็นหนังสือน่าสนใจอีกเล่มหนึ่งที่มีมุมมองทางยุทธศาสตร์ดีมากๆ)
พ.ศ. ๒๓๑๙ เจ้าพระยาจักรี(ทองด้วง)เป็นแม่ทัพยกไปปราบเจ้าเมืองนางรอง แล้ว ออกไปปราบเมืองจำปาสักและยังตีได้เมืองอัตตะปือด้วย ต่อจากนั้นยังออกเกลี้ยกล่อมเมืองเขมรป่าดง ซึ่งอยู่ระหว่างจำปาสักกับนครราชสีมาเป็นพวกได้อีก ๓ เมือง คือ สุรินทร์ สังขะ ขุขันธ์ ทั้ง ๓ เมืองยอมเข้าเป็นเขตเมืองไทย
เสร็จศึกครั้งนี้  พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงพอพระทัยในผลงานมาก โปรดเกล้าฯให้เลื่อน เจ้าพระยาจักรี เป็น สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกฯ มี เครื่องยศอย่างเจ้าต่างกรม ทั้งที่ไม่เคยมีตำแหน่งนี้มาก่อน แต่ด้วยความดีความชอบที่มีมาก พระเจ้ากรุงธนบุรีจึงทรงสถาปนายศฐาบรรดาศักดิ์ใหม่ เพื่อขุนศึกคู่พระทัยของพระองค์ ทั้งยังสถาปนาให้เป็นเจ้าต่างกรมมีฐานันดรเสมอกับเชื้อพระวงศ์พระองค์หนึ่ง
ถูก ต้อง อย่างที่นายนทีว่าไว้ครับ ตำแหน่งนี้ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ แต่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเป็นผู้โปรดเกล้าฯตั้งขึ้นเพื่อพระราชทานแก่นายทองด้วงผู้มีความดีความชอบอย่างยิ่ง ได้รับความไว้วางพระทัยให้ทำงานใหญ่มาตลอด อย่างที่ขุนศึกอีกหลายคนที่นที-อรินกล่าวอ้าง ไม่เคยได้รับความไว้วางพระทัยเช่นนี้ และ นายทองด้วงก็ไม่เคยทำให้พระเจ้ากรุงธนบุรีผิดหวัง
         “…แต่ เอาแน่ๆครับว่าช่วงระหว่างกอบกู้เอกราช เจ็ดเดือนนี่ไม่มีชื่อนายทองด้วงร่วมรบอยู่ด้วยเลยแม้แต่ครั้งเดียว อันนี้ประวัติศาสตร์ชัดเจนมาก..
 นายนทีกล่าวถูกต้องอีกครับ ไม่มีชื่อนายทองด้วงร่วมรบอยู่ด้วยเลยแม้แต่ครั้งเดียว  ตลอด เวลาเจ็ดเดือนนับแต่เสียกรุง คือตั้งแต่เดือนเมษายน ๒๓๑๐ ถึง พฤศจิกายน ๒๓๑๐ ท่านยังเป็นยกบัตรเมืองราชบุรีอยู่ครับ ราชบุรีนั้นเป็นทางผ่านของทัพพม่า จะทิ้งหน้าที่ทิ้งประชาชนมาก็ยังไงอยู่ นะครับ อีกอย่างหนึ่งขณะนั้นยังไม่มีใครรู้หรอกครับว่า วัน ว. คือวันลงมือปฏิบัติการของพระยาวชิรปราการเป็นวันไหน เมื่อไหร่ แต่ก็ได้สนับสนุนให้น้องชายของท่าน เข้าร่วมกับทัพพระยาวชิรปราการ พร้อมกับฝากแหวนของท่านมากับน้องชายเพื่อยืนยันว่าท่านเอาด้วยกับภารกิจนี้ และเมื่อได้ทราบข่าวว่าทัพพระยาวชิรปราการลงมือปฏิบัติการ และปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระเจ้ากรุงธนบุรี ท่านยกบัตรเมืองราชบุรีก็ลงเรือเดินทางมาเข้าเฝ้าทันที และได้เข้าร่วมศึกกู้ชาติบ้านเมืองกันนับแต่บัดนั้น
แต่ การกอบกู้เอกราชไม่ได้ยุติลงแค่เจ็ดเดือนแรกนี่ครับ นั่นมันแค่ขับไล่ข้าศึกออกไปจากดินแดนเท่านั้น แต่เรายังต้องรบราปราบปรามชุมนุมต่างๆอีกหลายชุมนุม กว่าจะสถาปนาความเป็นปึกแผ่นเอกภาพขึ้นมาได้
นอก จากนี้ ทัพพม่าก็ไม่ได้ยุติการรุกรานนะครับ ยังยกทัพใหญ่น้อยเข้ามาเกือบทุกปี หลากหลายเส้นทาง ตั้งแต่เหนือจรดใต้ ย้อนกลับไปอ่านข้างต้นนี้ก็ได้ครับ แต่นี่เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับ นายทองด้วงที่ทรงเป็นแม่ทัพเท่านั้นนะครับ ครั้งที่ นายบุญมาน้องชายของพระองค์เป็นแม่ทัพตีพม่าแตกไปยังมีอีกหลายครั้งทีเดียว
 ฟุตบอล ชนะแล้วบอกว่าผู้รักษาประตูไม่มีส่วนร่วมในทีม เพราะไม่เคยยิงประตูนี่มันยังไงๆอยู่นะครับ ตอนที่เปลี่ยนตำแหน่งมาเล่นเป็นศูนย์หน้า ยิงระเบิดเถิดเทิง ทำแฮตทริกตั้งหลายครั้งทำไมไม่เอามาพูดถึงกันบ้าง ยุติธรรมหน่อยสิครับ
 “…นาย ทองด้วงตอนนั้นกินตำแหน่งหลวงยกบัตร ที่..ที่ไหนนะครับพี่..ราชบุรี อำเภอยกบัตรนะครับ เป็นแค่อำเภอ เป็นแค่เหมือนกับนายอำเภอสมัยนี่นะครับอยู่ที่ราชบุรี…”
 นั่ง ฟังมาถึงตอนนี้ก็สงสัยเต็มทีครับว่า ท่านผู้อภิปรายคิดยังไงถึงกล้าขึ้นไปนั่งแสดงความไม่รู้ให้คนอื่นฟัง หรือคิดว่าคนฟังนี่โง่ หลอกง่าย พูดยังไงก็เชื่อ ถ้ายังงั้นก็ดูถูกคนฟังเกินไปครับ นายนทีไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่า นายทองด้วงรับ ราชการอยู่ที่ไหน ต้องหันไปถามผู้ร่วมอภิปรายที่นั่งอยู่ข้างๆ แต่ก็ยังแสดงความไม่รู้ต่อไปอีก โดยเข้าใจว่า ยกบัตรนี่เป็นชื่อของอำเภอ อำเภอยกบัตรน่ะมีเสียที่ไหนกันครับ นายนทีมั่วจนเลอะเทอะไปหมด เอาเถอะ อย่างน้อยสมัยนั้นก็ยังไม่มีอำเภอแน่ๆ การจัดการปกครองเป็นรูปอำเภอนั้น เพิ่งมามีเอาในสมัยรัชกาลที่ ๕ ครับ แล้วโปรดทราบด้วยครับว่าจะเทียบตำแหน่งยกบัตรว่าเหมือนกับนายอำเภอสมัยนี้ นั้นไม่ได้ เพราะ ยกบัตรนั้นเป็นตำแหน่งเจ้าพนักงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแลเกี่ยวกับอรรถคดี ด้านพระอัยการ ด้านกฎหมาย ถ้าจะเปรียบให้ได้ละก็ เป็นอัยการจังหวัดราชบุรีดูจะใกล้เคียงกว่าครับ
 “..หลัง จากปราบดาภิเษกขึ้นมาแล้วระยะหนึ่งสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีถึงเรียกสองคนพี่ น้องนะครับ ตอนนั้นมี ผมไม่แน่ใจ ชื่อพระมหามนตรีหรือเปล่า หรือนายสุดจินดา หรือนายบุญมา ที่เป็นน้องร่วมสาบานของนายทองด้วงอีกทีหนึ่ง ซึ่งต่อมา มาเป็นวังหน้าในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นะครับ ถึงเรียกสองคนนี้เข้ามา..
           ตอนนี้นายนทียิ่งแสดงให้เห็นว่ารู้ไม่จริงยิ่งขึ้น เอ๊ะ! หรือที่จริงรู้ แต่พยายามบิดเบือนกันแน่นายบุญมาน่ะ น้องแท้ๆของ นายทองด้วง นะ ครับ ไม่ใช่น้องร่วมสาบาน ถ้ารู้ไม่จริงก็แล้วไป ถือว่าโง่อวดฉลาด แต่ถ้ารู้แล้วแกล้งบิดเบือน ผมก็ต้องกล่าวหาว่านายนทีต้องการลดบทบาทความสำคัญของสมาชิกพระราชวงศ์จักรี คนหนึ่ง โดยพยายามบอกกับผู้ฟังว่า นายบุญมา เป็นเพียงน้องร่วมสาบานเท่านั้น ตกลงโง่จริงหรือแกล้งโง่ครับจะได้เรียกถูก
          สำหรับชื่อของท่าน ซึ่งนายนทีสารภาพว่าไม่แน่ใจนั้น(โง่แล้วยอมรับยังพออภัยครับ) ชื่อตัวท่านชื่อบุญมาครับ ท่านเข้ารับราชการเป็นมหาดเล็ก มีตำแหน่งเป็นนายสุดจินดาที่ เรียกว่านายสุดจินดานี่เป็นชื่อตำแหน่งหนึ่งของมหาดเล็กนะครับ ไม่ใช่ชื่อคน มหาดเล็กในตำแหน่งนี้ต้องรับใช้ใกล้ชิดพระมหากษัตริย์ขณะที่เสด็จออกฝ่ายนอก ซึ่งยุคนั้นก็คือ พระเจ้าเอกทัศน์นั่นแหละครับ ต้องเป็นคนที่ได้รับความไว้วางพระทัยอย่างยิ่งเท่านั้นจึงจะรับหน้าที่นี้ ได้
           ตำแหน่ง มหาดเล็กมี๑๒ตำแหน่ง มีหน้าที่แตกต่างกัน พูดอย่างปัจจุบันก็แบ่งออกเป็น ๔ ทีม มีหัวหน้าเป็นหลวงนายเวรรับผิดชอบ ผลัดเปลี่ยนเวรกันทำหน้าที่ตลอด๒๔ชั่วโมงครับ คงไม่ลงลึกในรายละเอียดละครับ เอาแค่ทราบว่ามหาดเล็กที่ว่า มีชื่อเรียกตำแหน่งต่างๆดังนี้
 ๑)นายสนิท       ๒)นายเสน่ห์           ๓)นายเล่ห์อาวุธ
๔)นายสุดจินดา ๕)นายพลพ่าย (มาถึงร.๖ ทรงเปลี่ยนเป็นนายพลพ่าห์) ๖)นายพลพัน
๗)นายชัยขรรค์ ๘)นายสรรค์วิชัย ๙)นายพินัยราชกิจ
๑๐)นายพินิจราชการ ๑๑)นายพิจิตร์สรรพการ ๑๒)นายพิจารณ์สรรพกิจ

(ที่มา http://www.vcharkarn.com/varticle/168)

           สรุปว่า นายสุดจินดา นั้นเป็นชื่อตำแหน่งครับ
           ท่าน บุญมานั้น ไม่ได้ไปร่วมกับพระยาวชิรปราการตั้งแต่แรกเมื่อตีฝ่าวงล้อมพม่า เพราะตอนนั้นท่านยังอยู่ในกรุงศรีอยุธยาครับ เป็นมหาดเล็กของพระเจ้าแผ่นดินอยู่จะละทิ้งไปได้อย่างไร ต่อเมื่อเสียกรุงแล้วท่านจึงหลบหลีกทัพพม่าออกมาจากกรุงได้ ตามหาพี่ชายจนเจอ แล้วจึงไปสมทบกับพระยาวชิรปราการที่จันทบุรี
          ตอน ยกทัพกันมาจากจันทบุรีน่ะ ท่านบุญมาก็มาด้วยนะครับ ตอนเข้าตีค่ายนายทองอินที่ธนบุรีท่านก็เข้าตีด้วย ไปรบพม่าที่โพธิ์สามต้นท่านก็รบด้วย ร่วมรบกันมากับพระเจ้ากรุงธนบุรีมาตั้งแต่แรก ยกเว้นตอนตีฝ่าพม่าออกจากวัดพิชัยมาเท่านั้น อย่างนี้จะเรียกว่าท่านก็มีส่วนร่วมในการกอบกู้เอกราชด้วย ไหมครับ หรือว่าไม่อยากเอ่ยถึงเพราะท่านเป็นสมาชิกพระราชวงศ์จักรี นายนทีจึงพยายามบอกผู้ฟังว่าเป็นแค่น้องร่วมสาบาน รู้ไม่จริง หรือ บิดเบือนครับ ตอบหน่อย
 ดังนั้น ที่นายนทีบอกว่า หลังจากปราบดาภิเษกขึ้นมาแล้วระยะหนึ่งสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีถึงเรียกสองคนพี่น้องนี้เข้ามา น่ะ ผิดนะครับ  สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีไม่ได้เรียกสองคนนี้เข้ามาครับ  ถ้าเป็นเพลงลูกทุ่งก็ต้องร้องว่าเปล่าชวนนะ เขามาเอง”  เพราะ ทั้งสองท่านตั้งใจเข้าร่วมกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี และเดินทางไปพบด้วยตนเอง โดยน้องชายเข้าร่วมตั้งแต่ที่จันทบุรี ส่วนพี่ชายนั้น มาทีหลังเมื่อรบพม่าโพธิ์สามต้นแล้ว ถึงถ้าจะมีการชวนก็เป็นน้องชายเป็นผู้ชวน พี่ชายมากกว่าครับ
 “….คำ ถามที่จะต้องถามต่อมา ที่จะต้องให้พี่อรินเล่า อาจจะช่วยกันแลกเปลี่ยนกันไปด้วยนะครับว่าในช่วงเจ็ดเดือนของการต่อสู้เพื่อ กอบกู้เอกราชนั้นนักรบตัวจริงห้าขุนพล ห้าทหารเอกของพระยาตากเป็นใครบ้าง แล้วบทสรุปของห้าทหารเอกของพระยาตาก ใครเป็นอะไรอยู่ที่ไหน แล้วอยู่ๆสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกมาจากไหนถึงได้มา ผมขออนุญาตใช้คำแรงชุบมือเปิบแล้วบอกว่าเป็นคนร่วมกอบกู้เอกราชด้วย ทั้งๆที่ไม่เคยร่วมรบกับพม่าเลยแม้แต่ครั้งเดียวนะครับนับตั้งแต่กอบกู้เอกราช..
 มา ถึงตรงนี้ก็คงชัดเจนแล้วว่า สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกมาจากไหน ใครเป็นผู้ตั้งตำแหน่งนี้ ตั้งให้ใคร เพราะเหตุใด หากไม่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์และยอมรับแล้ว ท่านคิดหรือว่าสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจะทรงยกย่องใครถึงขนาดเป็นสมเด็จซึ่งเทียบเท่าเป็นเชื้อพระวงศ์ด้วยผู้หนึ่ง
การ กอบกู้เอกราชไม่ได้หมายความแค่ไล่พม่าออกไปจากแผ่นดินเท่านั้นครับ การเป็นเอกราชหมายถึง การที่สามารถสถาปนาอำนาจรัฐให้ครอบคลุมไปทั่วทั้งพระราชอาณาจักร มีความมั่นคงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน  ได้รับการยอมรับจากนานาประเทศอีกด้วย ดังนั้น ตลอด๗เดือนที่นที-อรินพูดถึง จึงเป็นเพียงแค่การเตรียมการและการขับไล่ข้าศึกสตรูออกไปจากแผ่นดินเท่านั้น การกอบกู้เอกราชจริงๆเกิดขึ้นหลังจากนั้นต่างหาก
        ขับ ไล่ข้าศึกน่ะไม่ยากเท่าไหร่ครับ เพราะถึงตอนนั้นกำลังพม่ากลับไปมากแล้ว เหลือคุมพื้นที่อยู่เล็กน้อย เพื่อขุดค้นทรัพย์สินและรวบรวมผู้คนที่ยังหลงเหลืออยู่จับเป็นเชลยเท่านั้น เมื่อเรารวบรวมกำลังได้มากพอ การโจมตีค่ายพม่าเหล่านี้จึงสำเร็จโดยง่าย
        แต่ ที่ยากยิ่งกว่าหลายเท่าคือการกอบกู้เอกราชครับ เอกราชคือการมีพระราชาพระองค์เดียวผู้เป็นใหญ่เหนือเอกรัฐคือรัฐที่เป็นอัน หนึ่งอันเดียวกัน ในขณะบ้านเมืองแตกเป็นเสี่ยงๆ งานนี้ยากยิ่งกว่าหลายเท่า กว่าจะสร้างอำนาจรัฐขึ้นมาใหม่ให้เป็นที่ยอมรับ  กว่า ชุมนุมต่างๆจะยอมรับสถานะ การเป็นพระเจ้าแผ่นดินของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีนั้นยากเย็นแสนเข็ญ สูญเสียเลือดเนื้อกันไปไม่รู้เท่าไหร่
 เจ็ด เดือนก่อนสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์นั้น สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกยังไม่ได้เข้าร่วมมีส่วนครับ แต่อีกสิบห้าปีต่อจากนั้น ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกรบมาหนักหนาแล้วครับ
และถ้าจะว่าไปแล้ว ตั้งแต่ พ.ศ.๒๓๑๙ คือเสร็จศึกอะแซหวุ่นกี้ตีหัวเมืองฝ่ายเหนือเป็นต้นมา สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีก็มิได้เสด็จออกนำทัพเองอีกเลย การศึกสงครามนับแต่นี้ไปจะมีแต่สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกและ/หรือน้องชายเท่านั้นที่เป็นแม่ทัพบัญชาการรบ
นั่นคือ ในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงรบอยู่ ๙ ปีครับ โดยมี นายทองดีกับ นายบุญมาได้ รับความไว้วางพระทัยให้เป็นแม่ทัพหน้า หลังจากนั้นอีก๖ปี พระองค์ไม่ได้เสด็จไปในสนามรบแล้วครับ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกและ/หรือน้องชายเท่านั้น ที่รบมาตลอด
แบบนี้ยังจะกล่าวหาว่าพระองค์ไม่ได้มีส่วนในการรบเพื่อกู้เอกราชอีกหรือนที-อริน
           สมเด็จ เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกท่านไม่เคยบอกว่าเป็นคนร่วมกอบกู้เอกราชด้วยหรอก ครับ เพราะคงไม่มีความจำเป็นต้องบอก ด้วยผู้คนสมัยนั้นคงจะรู้กันอยู่ จะมีคนสมัยนี้แหละครับที่ถูกบิดเบือนข้อเท็จจริงจนทำให้ไขว้เขวเกิดความ สงสัยกันขึ้น
           กล่าวหาว่าสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกท่าน ชุบมือเปิบ ไปได้ยังไง
           รู้ไม่จริง หรือบิดเบือน กันแน่ครับ

Chaoprayanews สำนักข่าวเจ้าพระยา
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง