บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2555

"นิติราษฎร์" ล่าสุดย้ำ "ต้องไม่นิรโทษกรรม จนท.รัฐผู้สลายชุมนุม"




อาจารย์วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์สมาชิกหนึ่งในกลุ่มนิติราษฏร์ ได้ลงคำแถลงการณ์นิติราษฏร์ฉบับที่ 34 ดังรายละเอียดต่อไปนี้

จุดยืนคณะนิติราษฎร์

หลังจากที่คณะนิติราษฎร์ได้เสนอให้ลบล้างผลพวงของการรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เสนอแนวทางการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และยกร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ ซึ่งต่อมาคณะรณรงค์แก้ไขมาตรา ๑๑๒ (ครก. ๑๑๒)ได้ดำเนินการรวบรวมรายชื่ออย่างน้อย ๑๐๐๐๐ รายชื่อเพื่อเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวตามข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ไปยังรัฐสภา กำหนดระยะเวลารณรงค์ ๑๑๒ วัน และการรณรงค์ดังกล่าวจะครบกำหนดในวันที่ ๕ พฤษภาคม ที่จะถึงนี้ มีผู้สอบถามมายังคณะนิติราษฎร์เกี่ยวกับกิจกรรมทางวิชาการและการเคลื่อนไหว ทางความคิดที่จะดำเนินต่อไปในโอกาสครบรอบ ๘๐ ปีของการอภิวัฒน์สยาม ๒๔๗๕ ตลอดจนแนวทางทางกฎหมายในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมไทย คณะนิติราษฎร์เห็นสมควรที่จะได้แสดงจุดยืนและทัศนะต่อประเด็นปัญหาต่างๆ ไว้โดยสังเขป ดังนี้

๑. คณะนิติราษฎร์ยืนยันว่าประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เนื่องจากอัตราโทษที่กำหนดไว้ในปัจจุบันสูงเกินสมควรกว่าเหตุ นอกจากนี้ยังมีปัญหาอื่นๆอีกหลายประการ ดังที่ได้เคยแสดงให้เห็นไว้แล้วในประกาศนิติราษฎร์ฉบับที่ ๑๖ (วันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๔) และในข้อเสนอเพื่อการรณรงค์แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ ตามข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้หลายประการ และจะบรรเทาปัญหาบางประการลง คณะนิติราษฎร์จึงยืนยันสนับสนุนกิจกรรมของ ครก.๑๑๒ ในการรวบรวมรายชื่อประชาชนเพื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ ตามข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ไปยังรัฐสภา และให้เป็นหน้าที่ของรัฐสภาในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป

๒. คณะนิติราษฎร์ไม่เห็นด้วยอย่างสิ้นเชิงต่อแนวทางการปรองดองหรือสมานฉันท์โดยวิธีการตรากฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่บุคคลทุกฝ่ายดังเช่นการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องในการชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ระหว่างวันที่ ๔ ถึงวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ พ.ศ.๒๕๒๑ (นิรโทษกรรมในเหตุการณ์ ๖ ตุลา ๑๙) หรือการตราพระราชกำหนดนิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดเนื่องในการชุมนุมกันระหว่างวันที่ ๑๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๕ ถึงวันที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๕ พ.ศ.๒๕๓๕ (นิรโทษกรรมในเหตุการณ์พฤษภา ๓๕) เนื่องจากการนิรโทษกรรมในลักษณะดังกล่าวแม้จะทำให้ประชาชนผู้เข้าร่วมชุมนุมพ้นจากความผิดและความรับผิด แต่ก็จะมีผลให้บรรดาผู้ที่สั่งการและปฏิบัติการสลายการชุมนุมพ้นจากความผิดไปพร้อมกันด้วย การนิรโทษกรรมในลักษณะดังกล่าวไม่เป็นธรรมอย่างยิ่งต่อผู้ที่สูญเสียในเหตุการณ์สลายการชุมนุมต่างๆที่เกิดขึ้นหลังจากการแย่งชิงอำนาจรัฐเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เป็นต้นมา

๓. คณะนิติราษฎร์เห็นว่าแนวทางการตรากฎหมายเพื่อการขจัดความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมอย่างเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายภายหลังจากการแย่งชิงอำนาจรัฐเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ควรจะต้องพิจารณาแยกแยะลักษณะการกระทำของบรรดาบุคคลที่เกี่ยวข้องและจัดวางโครงสร้างของกฎหมายโดยมีสาระสำคัญหลัก คือ

ประการที่หนึ่ง ต้องไม่มีการนิรโทษกรรมให้แก่บรรดาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์การชุมนุมประท้วงตลอดจนการสลายการชุมนุมทุกเหตุการณ์ตั้งแต่วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เป็นต้นมา การกระทำของบรรดาเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลที่ถือได้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ว่าจะได้กระทำการในฐานะเป็นผู้สั่งการหรือผู้ปฏิบัติการ และไม่ว่าจะกระทำในขั้นตอนใดๆ หากการกระทำนั้นเป็นความผิดตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในเวลานั้น บุคคลนั้นยังคงมีความผิดตามกฎหมายและต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

ประการที่สอง ให้มีการนิรโทษกรรมทันทีแก่ประชาชนที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐานฝ่าฝืนบรรดากฎหมายสถานการณ์ฉุกเฉินและกฎหมายว่าด้วยการรักษาความมั่นคงที่ได้รับการประกาศใช้ในเหตุการณ์การเดินขบวนและการชุมนุมประท้วงทางการเมืองในพื้นที่ต่างๆตามที่จะได้กำหนดไว้ในประกาศที่ออกตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญในหมวดที่ว่าด้วยการขจัดความขัดแย้งและบรรดาการกระทำต่างๆของผู้เข้าร่วมเดินขบวนและชุมนุมประท้วงทางการเมืองในพื้นที่ต่างๆข้างต้น หากเป็นความผิดลหุโทษ หรือความผิดที่อัตราโทษไม่เกินกว่าที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญในหมวดที่ว่าด้วยการขจัดความขัดแย้ง ก็ให้บุคคลนั้นพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง

ประการที่สาม บรรดาการกระทำทั้งหลายของบุคคลที่เข้าร่วมเดินขบวนและชุมนุมประท้วงทางการเมืองที่ไม่เข้าข่ายที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ เช่น การกระทำที่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาหรือกฎหมายอื่นและไม่ใช่ความผิดลหุโทษหรือความผิดที่อัตราโทษไม่เกินกว่าที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญในหมวดที่ว่าด้วยการขจัดความขัดแย้ง ตลอดจนการกระทำความผิดของบุคคลที่แม้ไม่ได้เข้าร่วมเดินขบวนและชุมนุมประท้วงทางการเมือง แต่มีข้อสงสัยว่ามีมูลเหตุเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมืองหลังการแย่งชิงอำนาจรัฐเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เป็นต้นมา ให้นำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการขจัดความขัดแย้งซึ่งได้รับการจัดตั้งขึ้นตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในหมวดที่ว่าด้วยการขจัดความขัดแย้ง ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการขจัดความขัดแย้ง จะดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่ถูกกล่าวหาไม่ได้ ในกรณีที่มีการฟ้องร้องเป็นคดีและคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล ไม่ว่าจะเป็นศาลในลำดับชั้นใด ให้ศาลระงับการดำเนินกระบวนพิจารณา และให้ปล่อยตัวผู้ถูกกล่าวหาไปก่อน ในกรณีที่มีข้อสงสัยว่าการกระทำนั้นตกอยู่ภายใต้บังคับของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญว่าด้วยการขจัดความขัดแย้งหรือไม่ ให้คณะกรรมการขจัดความขัดแย้งเป็นผู้วินิจฉัย คำวินิจฉัยว่าการกระทำใดอยู่ภายใต้บังคับของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญในหมวดที่ว่าด้วยการขจัดความขัดแย้งหรือไม่ ให้มีผลผูกพันองค์กรของรัฐทุกองค์กร และไม่อาจเป็นวัตถุในการพิจารณาขององค์กรตุลาการหรือองค์กรอื่นใดได้

ประการที่สี่ ในกรณีที่คณะกรรมการขจัดความขัดแย้งวินิจฉัยว่าการกระทำใดไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญว่าด้วยการขจัดความขัดแย้ง หรือวินิจฉัยว่าการกระทำความผิดที่เกิดขึ้นในระหว่างการชุมนุมต่างๆ ตลอดจนการกระทำที่มีข้อสงสัยว่ามีมูลเหตุเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมืองหลังการแย่งชิงอำนาจรัฐเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เป็นต้นมา ไม่เกี่ยวข้องกับมูลเหตุจูงใจหรือแรงจูงใจทางการเมือง ให้ดำเนินการกับบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป ในกรณีที่คณะกรรมการขจัดความขัดแย้งวินิจฉัยว่าการกระทำนั้นเกิดขึ้นจากมูลเหตุจูงใจหรือแรงจูงใจทางการเมืองหลังเหตุการณ์แย่งชิงอำนาจรัฐ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ก็ให้บุคคลที่ถูกกล่าวหาดังกล่าวพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง ทั้งนี้เท่าที่ไม่ขัดกับพันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิก

ประการที่ห้า การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งตามแนวทางที่คณะนิติราษฎร์เสนอไว้เบื้องต้นโดยสังเขปนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแก้ไขเพิ่มรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันโดยเพิ่มบทบัญญัติว่าด้วยการขจัดความขัดแย้งเป็นอีกหมวดหนึ่ง โดยนอกจากบทบัญญัติในหมวดนี้จะกล่าวถึงคณะกรรมการขจัดความขัดแย้ง และกฎเกณฑ์ต่างๆตามแนวทางที่กล่าวถึงข้างต้นแล้ว ยังต้องกล่าวถึงการเยียวยาความเสียหายต่างๆด้วย การดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในเรื่องนี้สามารถทำได้โดยไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการจัดให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และสามารถกระทำได้ทันที

๔. สำหรับกรณีของการลบล้างผลพวงรัฐประหารนั้น คณะนิติราษฎร์เสนอให้บัญญัติเป็นหมวดอีกหมวดหนึ่งในรัฐธรรมนูญฉบับที่จะได้จัดทำขึ้นใหม่ตามที่ได้เคยแถลงต่อสาธารณะไปแล้ว โดยคณะนิติราษฎร์ยืนยันหลักการของการประกาศให้การนิรโทษกรรมการทำรัฐประหารหรือการแย่งชิงอำนาจรัฐเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เป็นโมฆะ เพื่อเปิดทางให้บุคคลที่มีส่วนร่วมในการทำรัฐประหารหรือแย่งชิงอำนาจรัฐเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ไม่ว่าจะเป็นผู้กระทำการเอง ผู้ใช้ ตลอดจนผู้สนับสนุน เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม สำหรับบรรดาคดีซึ่งเกิดขึ้นจากการเริ่มกระบวนการโดยคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากคณะผู้แย่งชิงอำนาจรัฐนั้น ก็ให้ลบล้างให้สิ้นผลไป ซึ่งไม่ได้หมายถึงการนิรโทษกรรม แต่ให้เริ่มกระบวนการใหม่ให้ถูกต้องเป็นธรรมต่อไป

คณะนิติราษฎร์ขอเรียนให้ผู้ที่ติดตามกิจกรรมทางวิชาการของคณะนิติราษฎร์ทราบว่าในเดือนมิถุนายนที่จะถึงนี้ คณะนิติราษฎร์จะได้จัดกิจกรรมทางวิชาการที่เกี่ยวเนื่องกับการลบล้างผลพวงรัฐประหาร การขจัดความขัดแย้งในสังคมไทย และวิเคราะห์วิจารณ์ข้อเสนอเกี่ยวกับการปรองดองของบุคคลและสถาบันต่างๆ นอกจากนี้เพื่อให้การเคลื่อนไหวทางความคิดเกี่ยวกับประชาธิปไตยและนิติรัฐดำเนินไปในวงกว้างยิ่งขึ้น คณะนิติราษฎร์จะได้จัดให้มีการเผยแพร่แลกเปลี่ยนความรู้ทางกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายมหาชน ให้แก่ประชาชนทั่วไป รายละเอียดในเรื่องเหล่านี้จะแถลงให้ทราบต่อไป

๒๕ เมษายน ๒๕๕๕

ปู รดน้ำ ป๋า กรุยทางลุยกฎหมายปรองดอง

โดย...ธนพล บางยี่ขัน

อีกฉากประวัติศาสตร์สำคัญที่ต้องจับตา !!!

เมื่อนายกฯ หญิง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ก่อร่างสร้างรัฐบาลจากฐานเสียง “ไพร่” ประกาศชัดเตรียมหอบคณะรัฐมนตรี บุกรัง “อำมาตย์” เข้ารดน้ำดำหัว ป๋าเปรม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ถึงบ้านสี่เสาเทเวศร์ 26 เม.ย.นี้

แน่นอนว่า เหตุผลสำคัญของการเข้าพบ “ป๋าเปรม” เที่ยวนี้ ไม่ได้มีเพียงแค่การ “รดน้ำดำหัว” รับฟังคำแนะนำการบริหารประเทศจากผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง อย่างที่ “ยิ่งลักษณ์” ชี้แจงเท่านั้น

เพราะเป้าหมายสำคัญ คือ การเคลียร์แผลใจ “ฟื้นความสัมพันธ์” ระหว่าง “ไพร่” กับ “อำมาตย์” เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคเส้นทาง “ปรองดอง” ที่รัฐบาลกำลังเดินหน้าขับเคลื่อนเต็มสูบ

ภาพความพยายาม “เกี้ยเซี้ย” ระหว่าง ไพร่-อำมาตย์ จึงเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ส่งผลให้เส้นทางสู่ “นิรโทษกรรม” ซึ่งซ่อนอยู่ในกระบวนการปรองดอง ใกล้ความเป็นจริงมากขึ้นทุกที

ดูทางลมก่อนหน้านี้ 18 เม.ย. พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม นำ พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผบ.ทอ. พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. และนายทหารระดับสูงจากสามเหล่าทัพตบเท้าเข้าอวยพรสงกรานต์โดยพร้อมเพรียง


วันนั้น “ป๋าเปรม” กล่าวชื่นชม พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ที่นำน้องๆ มาอวยพรในวันสำคัญ เพราะวันสงกรานต์ถือเป็นวัฒนธรรมของไทย จะต้องรักษาวัฒนธรรม รักษาชาติบ้านเมือง พร้อมอวยพรให้โชคดี มีความสุข และสำเร็จในการทำงาน ที่สะท้อนให้เห็นว่าสถานการณ์ความขัดแย้งในอดีตเริ่มคลายตัว

ย้อนไปถึงความสัมพันธ์ที่ขาดสะบั้นตั้งแต่สมัยปลายรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับการเปิดหน้าพาดพิง “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” ที่ทำให้ทุกอย่างแย่ลงจนมาถึง “ฟางเส้นสุดท้าย” เมื่อมวลชนคนเสื้อแดงเดินขบวนไปปิดล้อมบ้านสี่เสาเทเวศร์ พร้อมตะโกนด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคาย ทำให้ “ช่องว่าง” ของทั้งสองฝ่ายให้ห่างกันมากยิ่งขึ้น

ทว่าหลังจากชัยชนะอันถล่มทลายของพรรคเพื่อไทยจน “ยิ่งลักษณ์” กลายเป็นนายกฯ หญิงคนแรก ความพยายามต่อสายเคลียร์ใจ กับ “ป๋าเปรม” ก็ยังมีมาอย่างต่อเนื่อง มีทั้งได้รับการตอบรับบ้าง ไม่ได้รับการตอบรับบ้าง

แต่เหมือนสัญญาณเริ่มดีขึ้นเมื่อ พล.อ.เปรม เดินทางมาร่วมงาน “รักเมืองไทย เดินหน้าประเทศไทย” ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างชื่นมื่น

แม้วัตถุประสงค์ครั้งนั้นจะเป็นงานที่รัฐบาลต้องการเลี้ยงขอบคุณเจ้าหน้าที่ ผู้ปฏิบัติงานในศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ที่ร่วมฟันฝ่าวิกฤตอุทกภัยช่วงที่ผ่านมา แต่ก็มองว่าการเชิญ “ป๋าเปรม” มาร่วมเป็นเกียรติในงาน ถูกมองว่าเป็นการหยั่งไมตรีหวังสลายความขัดแย้งในอดีต

การรื้อฟื้นธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติกันมายาวนานกับการหอบ ครม. เข้ารดน้ำดำหัว “ป๋าเปรม” ซึ่งห่างหายไปในระยะหลังเมื่อเหตุการณ์ทางการเมืองรุนแรงขึ้น จึงถือเป็นอีกก้าวสำคัญของรัฐบาล ที่ค่อยๆ รุกประชิดเดินหน้าสู่เป้าหมาย “ปรองดอง” และ “ล้างผิด”

จับอาการจาก “ยงยุทธ วิชัยดิษฐ” มท.1 ซึ่งระบุว่าอาจจะขอถือโอกาสนี้ได้กราบเรียนขอคำปรึกษาและคำแนะนำเกี่ยวกับการสร้างความปรองดองในชาติให้เกิดขึ้นด้วย ยิ่งตอกย้ำเป้าหมายที่ชัดเจนของรัฐบาล

ในจังหวะนี้ รายงานกรรมาธิการปรองดอง ผ่านการพิจารณาได้รับความเห็นชอบจากเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร พร้อมส่งไม้ต่อให้รัฐบาลไปดำเนินการ โดยไม่ฟังเสียงทักท้วงจากสถาบันพระปกเกล้า ที่ออกมาขู่ถอนงานวิจัยที่ถูกเลือกใช้บางข้อบางตอนไปขยายผลแบบรวบรัด

ความพยายามของรัฐบาลที่ดื้อดึงใช้เสียงข้างมากในกระบวนการนิติบัญญัติ ผลักดันการ “ล้างผิด” มองข้ามการแสวงหาข้อเท็จจริงที่จะนำไปสู่การคลี่คลายความขัดแย้งได้อย่างยั่งยืน? มากกว่าแนวทาง “ล้างผิด” ที่เสี่ยงซ้ำเติมความขัดแย้ง จึงค่อยๆ ผ่อนสปีดรอดูทิศทางลม เพื่อป้องกันไม่ให้ทุกอย่างที่ทำมาพังทลายลงไป

ส่วนหนึ่งที่ทำให้กระบวนการปรองดองต้องปรับท่าทีจากความรีบเร่ง รวบรัด อาจเป็นเพราะสัญญาณ “ป๋าเปรม” ส่งออกมาระหว่างครั้งแรกหลังเงียบหายไปนานว่า พระสยามเทวาธิราชมีจริงและจะปกป้องคนดี และสาปแช่งคนไม่ดี คนทรยศต่อชาติบ้านเมืองให้พินาศไป ท่ามกลางจังหวะที่กระบวนการปรองดองรีบเร่งเดินหน้า

ในจังหวะเดียวกับที่ชื่อของ “ป๋าเปรม” ถูกพาดพิงหลายครั้งหลายหน ทั้งการเรียกของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ให้ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธาน กมธ.ปรองดอง ออกมาระบุให้ชัดเจนว่าใครคือผู้อยู่เบื้องหลังในการปฏิวัติ เกี่ยวข้องกับ พล.อ.เปรม หรือไม่

รวมไปถึงความพยายามโยงใยของหลายฝ่ายที่สะท้อนให้เห็นว่า พล.อ.เปรม ให้เข้ามาเป็นหนึ่งในคู่ขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมเวลานี้

ท่าทีของ “ยิ่งลักษณ์” กับการเดินหน้าเข้าหาป๋าเปรมช่วงนี้ จึงไม่อาจมองเป็นอื่นถึงความพยายามกรุยทาง ปรองดอง หรือนิรโทษกรรม

แม้ “ยิ่งลักษณ์” จะออกตัวว่า พล.อ.เปรม จะเป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมือง อีกทั้งไม่ได้มีส่วนยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอยู่แล้ว ส่วนในเรื่องของการเดินหน้าสร้างความปรองดองนั้นก็เป็นหน้าที่ของสภา โดยในส่วนของรัฐบาลนั้น มีหน้าที่ในการบริหารและแก้ไขปัญหาให้กับบ้านเมืองเท่านั้น

ที่สำคัญกว่านั้น การเดินหน้าเข้าหา “อำมาตย์” ซึ่งอาจจะขัดหูขัดตา ของบรรดาคนเสื้อแดงที่เคยออกมาต่อสู้เรื่องชนชั้น ไพร่-อำมาตย์ จะส่งผลอย่างไรต่อไปกับฐานเสียงของ “เพื่อไทย” หรือท่าทีของแกนนำแดง ที่เปลี่ยนสถานะมาเป็นรัฐมนตรีในวันนี้




แดงล้มโต๊ะปรองดองยิงศรปักอกทักษิณ


โดย...นิติพันธุ์ สุขอรุณ

ปรากฏการณ์ “แดงล้มโต๊ะปรองดอง” เกิดขึ้นจากการรวมกลุ่มของญาติผู้เสียชีวิตในการชุมนุมของคนเสื้อแดง แม้จะมีกำลังไม่มาก แต่สร้างแรงกระเพื่อมถึงแนวทางการปรองดองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ไม่น้อย และนับวันจะสร้างรอยร้าวให้ลึกลงในกลุ่มคนเสื้อแดงด้วยกันเอง ณ วันนี้แนวทางที่เคยร่วมกันมาเริ่มแตกออกไปจากเดิม

ข้อเรียกร้องอันเป็นแกนกลางของกลุ่มเคลื่อนไหวคัดค้านการปรองดองมิได้ขัดขวางการเดินหน้าของประเทศ แต่ต้องการให้ความยุติธรรมเกิดขึ้นก่อน เพื่อให้สังคมได้รับรู้ว่าใครเป็นผู้กระทำผิด ใครเป็นผู้ก่อการร้ายตามข้อกล่าวหา

ทว่าเมื่อความยุติธรรมยังไม่ปรากฏแก่ผู้เสียชีวิตในการชุมนุมของคนเสื้อแดง “กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยล้มโต๊ะปรองดองแห่งชาติ” ก็ไม่สามารถยอมรับการปรองดองได้ เนื่องจากตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงจากความขัดแย้งทางการเมืองเป็นต้นเหตุ ซ้ำเติมด้วยการตีตราค่าความตาย 7.75 ล้านบาท ระหว่างที่เวลาล่วงเลยไปไม่มีผู้กระทำผิด

คำถามค้างคาใจว่าปรองดองจะเกิดขึ้นอย่างไร เมื่อ 91 ศพอาจต้องตายฟรี ผลจากการเมืองซึ่งเป็นเรื่องของอำนาจผลประโยชน์ โดยใช้สิ่งที่เป็นตัวบริสุทธิ์ นั่นคือประชาชนมาเป็นเครื่องต่อรองในทุกครั้ง

สร้างความไม่พอใจให้แก่กลุ่มคนเสื้อแดงล้มโต๊ะปรองดอง เตรียมออกมาเคลื่อนไหวในวันที่ 26 เม.ย. ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของ กมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาถูกยิงเสียชีวิตในวัดปทุมวนารามฯ ถือเป็นการส่งสัญญาณครั้งสำคัญถึงรัฐบาลและ พ.ต.ท.ทักษิณ


แนวคิดของ ณัทพัช อัคฮาด น้องชายของ กมนเกด แกนนำเคลื่อนไหวคัดค้านการปรองดอง ชี้ว่า ต้นทุนของพรรคเพื่อไทยต้องใช้ชีวิตคนถึง 91 ศพ บาดเจ็บจำนวนมาก รวมถึงคนที่อยู่ในเรือนจำ ถึงจะก้าวขึ้นมาเป็นรัฐบาลได้ ดังนั้นพรรคเพื่อไทยต้องตระหนักว่าอย่าเป็นวัวลืมตีน เพราะเสียงที่พรรคเพื่อไทยได้มาเป็นรัฐบาลคนเสื้อแดงต้องการค้นหาความยุติธรรมเป็นอันดับแรก

เกมการเมืองดูท่าจะจบลงไม่ง่าย หลังจากที่พรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้การเลือกตั้งที่ จ.ปทุมธานี ทั้งสนามเล็กและสนามใหญ่ที่ผ่านมา ด้วยบทความของคนเสื้อแดง เรื่อง “คนเสื้อแดงสาแก่ใจเพื่อไทยแพ้ ปชป. เลือกตั้งซ่อมปทุมธานี” ของ อรรถชัย อนันตเมฆ ดาราเสื้อแดง โพสต์ข้อความภูมิใจในความยิ่งใหญ่ของคนเสื้อแดงปทุมฯ ที่พิสูจน์แล้วว่าคนเสื้อแดงอยู่เหนือพรรคการเมือง ไม่ใช่จะทำอะไรกับคนเสื้อแดงก็ได้ยิ่งทำให้ภาพชัดมากขึ้น

สอดคล้องกับแนวคิดของ สุธาชัยยิ้มประเสริฐ นักวิชาการกลุ่มเสื้อแดง ส่งเสียงสะท้อนถึงท่าทีของรัฐบาลต่อการเพิกเฉยให้ประกันตัวกลุ่มคนเสื้อแดงที่ยังอยู่ในเรือนจำในข้อหานักโทษการเมือง ทั้งที่สามารถออกพระราชกฤษฎีกาประกันตัวได้ง่าย แต่รัฐบาลกลับไม่ทำ สิ่งเหล่านี้สะท้อนชัดว่ารัฐบาลเพิกเฉยต่อเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อกลุ่มคนเสื้อแดงโดยสิ้นเชิง และพยายามปรองดองกับกลุ่มอำมาตย์อย่างเห็นได้ชัด

ทางฟากของรัฐบาลพยายามผลักดัน พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ เป็นหลักสำคัญโดยไม่พูดถึงเรื่องการลงโทษ แต่มุ่งเน้นให้อภัยต่อกันเอง หรือผู้เสียหายต้องยอมเสียสละเพื่อประเทศ ตามมาด้วยการหยิบยกความเห็นของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางสร้างความปรองดองแห่งชาติ ที่มี พล.อ.สนธิบุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ เป็นประธาน หรือแม้กระทั่งผลวิจัยของสถาบันพระปกเกล้าที่สุดท้ายต้องวิ่งกลับมาถอนผลงานตัวเองคืน

ขณะที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)สรุปแฟ้มสำนวนคดีก่อการร้ายอ่อนลง ไม่ขึงขังเหมือนในยุคพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลจนสุดท้ายไม่พบชายชุดดำ ก็ยิ่งสร้างความรู้สึกมึนงงของญาติผู้เสียชีวิต

ยิ่งต้องจับตาความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ส่งสัญญาณด้วยเช่นกัน เมื่อท่าทีอ่อนลง โดยเฉพาะกับคู่ขัดแย้งกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยชี้ไปตรงๆ ว่าเป็นผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ หรือหัวหน้ากลุ่มอำมาตย์ใหญ่ พร้อมส่งแกนนำแดงยกโขยงไปเยี่ยมถึงหน้าบ้าน “ป๋าเปรม” แต่ช่วงเวลานี้เป็นการกล่าวอวยพรวันสงกรานต์ให้ป๋าเปรมมีสุขภาพแข็งแรง นัยว่าไม่ใช่คู่ขัดแย้งกันอีกต่อไป

วาทกรรมปรองดองฉบับ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่กัมพูชา มาพร้อมรูปแบบนอบน้อมมีคารวะกับฉากปรองดองสวยหรูด้วยโวหารเลิกทะเลาะกัน ไม่มีขั้ว ไม่มีสีเหลืองสีแดงอีกต่อไป จูงใจให้คล้อยตามได้ไม่น้อย แต่ด้านหนึ่งก็เปลือยตัวตน เช่น การบอกว่าใครไม่ปรองดองก็ช่วยไม่ได้ หรือช่างแม่มัน แม้แต่ในช่วงร้องเพลงบนเวทีตัวตนจริงๆ ที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นหลุดออกมาเป็นระยะๆ

ปมจุดนี้จะสร้างรอยร้าวให้เกิดในความเป็นคนเสื้อแดงแตกออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กลุ่มนี้เป็นแดงขึ้นตรงกับ พ.ต.ท.ทักษิณ มีเป้าหมายหลักชัดว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับการนำทิศทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ และต้องนำ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับประเทศให้ได้

ผลจากการต่อสู้ที่ผ่านมา เป็นการตบรางวัลอย่างงาม ด้วยตำแหน่งทางการเมืองเป็นรางวัล เป็นรัฐมนตรี เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี หรือเป็นสส.ผู้ทรงเกียรติในสภาให้เหล่าแกนนำกลุ่มแต่เมื่อญาติผู้เสียชีวิตถามถึงความยุติธรรม กลับเงียบเชียบ

2.กลุ่มคนเสื้อแดงรักประชาธิปไตย กลุ่มนี้มีจุดหมายเพื่อประชาธิปไตยเป็นหลัก ทิศทางที่ผ่านมาชี้ให้เห็นชัดว่าเป็นการต่อสู้เพื่อรื้อรากรัฐธรรมนูญมาปรับแก้ใหม่ รูปแบบการเคลื่อนไหวสนับสนุนแก้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

ทว่าด้วยปัจจัยที่เกิดจากความรุนแรงทำให้มีผู้เสียชีวิต เป้าหมายจากนี้จึงเป็นการค้นหาความจริง สร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้น ถึงแม้จะได้เงินเยียวยา แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะลบล้างความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นได้

ถึงนาทีนี้กลุ่มเสื้อแดงที่เคลื่อนไหวคัดค้านการปรองดองกลายเป็นอุปสรรคสำคัญขวาง พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ได้ปักธงปรองดองด้วยความอ่อมน้อมไปแล้ว

กลับตาลปัตรกลายเป็นว่าใครขวางปรองดองเท่ากับค้านแนวทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ อีกทั้งเป็นปรปักษ์กับทิศทางเดินหน้าประเทศ คนเสื้อแดงบางส่วนต้องยอมเสียสละแล้วกลายเป็นแดงชายขอบไปในทันที จะด้วยเต็มใจยอมรับหรือไม่ก็ตาม

โฟกัสไปที่ขุมกำลังของ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังแข็งแกร่งทั้งในและนอกสภา ผลักดัน พ.ร.บ.ปรองดอง หรือ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ไม่มีปัญหาเรื่องจำนวนเสียงข้างมาก พุ่งเป้าไปที่การแก้ไขและยกร่างรัฐธรรมนูญ มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่เมื่อได้รับเลือกตั้งกำหนดการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นนโยบายเร่งด่วน ก็ต้องดำเนินการให้ลุล่วง ถือเป็นด่านแรกเมื่อพรรคเพื่อไทยสามารถได้เสียงสนับสนุนจาก สส.พรรคร่วมรัฐบาลและจาก สว.อย่างท่วมท้นถึง 399 เสียง เพื่อยกมือโหวตรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระแรกผ่านพ้นไปแล้ว

ท้ายที่สุดความไม่ไยดีต่อญาติผู้เสียชีวิตนำมาซึ่งฐานกำลังลดลง ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามเพิ่มมากขึ้น ภาพใหญ่ของนาทีนี้ชัดเจนแล้วว่า หากปล่อยให้น้ำกัดเซาะไม่เหลียวแล คนเสื้อแดงจะแยกตัวออกมาเคลื่อนไหวเองโดยไม่ต้องพึ่งการเมืองหรือแม้กระทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ อีกต่อไป

 



 

เรื่องแม้วๆ

หลากหลายเรื่องราวมีมามากมายในตอนช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมานี้ นับตั้งแต่เรื่องของ การเมือง การมุ้ง การหมา การแมว ไปจนถึงการแม้ว

การเมืองก็ยังคงยุ่งเหยิงยักแย่ยักยันอยู่กับกฎหมายปรองดอง ซึ่งทำท่าว่าจะไม่ถูกดองแต่ใกล้เวลาที่คุณปูผู้น้องจะเปิดซองเพื่อทำการประมูลให้กับผู้ใด ว่าใครกันหนอที่มีใบหน้าหนายิ่งกว่ายางมะตอย คอยจ้องแต่คิดที่จะพาป๋าแม้วกลับบ้าน แล้วยังดันทะลึ่งบอกว่า ข้าจะมาปรองดอง

การหมา การแมว ก็เป็นเรื่องของหมาๆแมวๆที่มนุษย์ใจร้ายจับยัดใส่รถกระบะเพื่อจะพาไปขายให้กับประเทศเพื่อนบ้าน คราวนี้มิใช่เพียงตัวสองตัวแต่เป็นจำนวนหลายพันตัวทีเดียว

เมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธ ประชาชนส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่มีความรักความเมตตา เรื่องของหมาๆแมวๆจึงเป็นเรื่องราวข่าวใหญ่ ไม่น้อยหน้าไปกว่าเรื่องของการเมืองในรัฐสภา ที่มีหมาๆแมวๆอยู่มากมายแต่ไม่มีใครกล้าจับเอาไปขายกับเขาเสียที

การแม้ว ถึงไม่เป็นเรื่องก็ต้องเป็นเรื่องอยู่ดี ตราบใดที่คุณพี่ยังมีเงินและมีเรี่ยวมีแรง คิดจะถ่มน้ำลายรดฟ้า และยังคิดหาญกล้าที่จะแข่งบุญแข่งวาสนากับเทวดาฟ้าดิน ด้วยเหตุฉะนี้ เรื่องราวฉาวๆของคุณแม้วจึงมีได้ทุกวี่ทุกวัน มากกว่าคุณหมาคุณแมวหลายเท่านัก

สำหรับเทศกาลปีใหม่ไทยในคราวนี้พี่แม้วสวมวิญญาณนักวิชาการบุกประชิดติดบ้านด้วยยุทธการปิดประตูตีแมว

ด้วยการลัดเลาะเกาะประชิดติดรั้วชายแดนประเทศไทยตั้งแต่ในประเทศลาวก่อนที่จะเข้าไปทำพิธีใหญ่ในบ้านของท่านฮุนเซ็น

สงกรานต์คราวนี้พี่แม้วจัดหนักเต็มสูบทั้งสี่ ใช้วิธีปิดประตูตีแมวแล้วเปิดแนวทุกทิศทางทั้งจากภายนอก และจากภายในของรัฐสภา ที่มีม้าไม้เมืองทรอยคอยเปิดเกมส์แก้กฎหมาย เพื่อให้คุณพี่ได้มีโอกาสกลับบ้านเก่ากับเขาเสียที

ที่ว่าเป็นนักวิชาการก็เพราะท่านด๊อกเตอร์แม้วนั้นสวมวิญญาณนักภูมิศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์ นักประวัติศาสตร์ แถมพ่วงด้วยไสยศาสตร์ไม่ขาดไม่เกิน

ที่เป็นนักภูมิศาสตร์นั้นก็เพราะท่านชอบเดินทางสำรวจตรวจชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน เผื่อว่าถ้าเพื่อนๆขาดเหลืออย่างไรก็จะได้ไปขุดเอาจากอ่าวไทย หรือไม่ก็ให้น้องปูปล่อยเงินกู้จากรัฐบาลไทยฟรีๆที่ไม่ใช่เงินจากกระเป๋าของพรรคพวกคนไหนให้กระเด็นแม้แต่เซ็นต์เดียว

คุณแม้วนั้นท่านเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชั้นดีไม่มีใครเทียบ เข้าทำนองมีสลึงพึงประจบให้ครบบาท แม้แต่เงินของชาติก็เอาไปไม่ให้เหลือ

ถึงจะร่ำลือว่าท่านขี้เหนียวเขี้ยวขนาดไหน แต่สงกรานต์คราวนี้ท่านมีใจ ถึงกับลงทุนทำหน้ากากแจกจ่ายให้กันโดยทั่วถึง ว่าแต่ว่าหน้ากากของท่านนั้น ดูไปดูมาเหมือนกับ“กิ้งก่า”ยังไงก็ยังงั้น ก็ไม่น่าไปโทษท่านหรอก หรือว่าท่านอาจจะจ่ายน้อยไปก็เป็นได้ ยังไงๆก็ต้องโทษคนออกแบบถึงจะถูก ว่าทำไมไม่ใช้ใบหน้าท่านมาเป็นแบบ กลับไปเอากิ้งก่ามาจากไหนก็ไม่รู้ แต่พอดูไปมองมาก็นับว่ายังหล่อดี มีส่วนคล้ายๆใกล้เคียงไม่ผิดไม่เพี้ยนจนเกินไป

วิชาประวัติศาสตร์ท่านก็ไม่ด้อยน้อยไปกว่าใคร ถึงแม้ว่าท่านจะแกล้งลืมหรือลืมจริงๆถึงข้อห้ามที่มีความหมายหลายอย่างไปบ้างก็ตามที

ท่านสั่งให้นำช้างซึ่งถือว่าเป็นสัตว์ที่มีบุญญาบารมีจากเมืองไทยให้ไปทำพิธีที่ประเทศลาว นัยว่าเพื่อเป็นการสะเดาะห์เคราะห์สร้างผลบุญสร้างบารมี เผื่อจะมีโอกาสได้กลับบ้านเก่ากับเขาเสียที

แต่ท่านคงลืมไปว่าพญาช้างนั้นเป็นสัตว์คู่บุญบารมีของบุรพมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่สมัยโบราณกาล ถ้าจะต้องทำพิธีกรรมพิธีการก็ต้องเป็นเรื่องของ “เจ้า”เท่านั้น

ที่ร้ายไปกว่านั้นท่านคงเผลอไผลถึงกับบอกว่าจะนั่งช้างไทยกลับมาเมืองไทย อะไรจะขนาดนั้น แต่ที่รู้ๆผู้ที่นั่งช้างกลับมาเมืองไทยทางแม่น้ำสะโตงและด่านเจดีย์สามองค์ เมื่อเดือน 6 แรม 3 ค่ำ ปี พ.ศ.2127 ก็คือสมเด็จพระนเรศวรมหาราชผู้สร้างประวัติศาสตร์ให้กับชาติไทยในอดีตกาล

หลังจากนั้นเสี่ยแม้วก็เดินทางเข้าประเทศกัมพูชา เพื่อจะทำพิธีทางศาสนาแบบไทยๆและเพื่อให้พี่น้องเสื้อแดง,ชาว นปช., สส.พรรคเพื่อไทย ,และรัฐมนตรี ได้มีโอกาสร่วมทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ทั้งจากเมืองไทยและกัมพูชา จำนวน 256 รูป ที่โบราณสถานอันศักดิ์สิทธิ์ “นครวัด”ในจังหวัดเสียมราฐ

เสร็จแล้วก็มีการรดน้ำดำหัวท่านแม้วในนครวัดแห่งนั้นนั่นแหละครับ

หลังจากนั้นท่านยังใช้สายสูบน้ำฉีดจากที่ท่านนั่งลงไปยังด้านล่างของผู้มาร่วมงาน ฉลองสงกรานต์ไทยชื่นใจชื่นบานสนุกสนานกันถ้วนทั่วทุกตัวคน

ที่น่าสังเกตุก็คือตัวเลขจำนวนพระสงฆ์ 256 รูป เพราะตัวเลข 2 กับ 5 นั้นถือว่าเป็นเลขมงคล เป็นเลขดีของพี่แม้วเชียวล่ะจะบอกให้

ก็จะต้องขอบอกว่าวัดวาอาราม โบราณสถานคู่บ้านคู่เมืองนั้นเป็นของศักดิ์สิทธิ์เป็นของต้องห้าม เปรียบเทียบได้กับศาลพระภูมิประจำบ้านที่จะช่วยคุ้มครองปกป้องให้ผู้ที่อยู่อาศัยได้ปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง

เมืองไทยเรามีวัดพระแก้วเป็นวัดคู่บ้านคู่เมือง กัมพูชาก็มีนครวัด นครธม

ผู้ที่จะทำพิธีในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ก็มีแต่พระมหากษัตริย์เท่านั้น

นครวัดนั้นแต่ก่อนแต่ไรก็มีเพียงแต่ท่านสีหนุผู้เคยเป็นกษัตริย์ในดวงใจของชาวกัมพูชาที่ได้ เสด็จมาทำพิธีในสถานที่แห่งนี้

ต่อมาไม่ช้าไม่นานวันดีคืนดีในปี พ.ศ. 2536 คุณพี่ฮุนเซ็นซึ่งกำลังเป็นใหญ่ในแผ่นดินนั้น เขาว่ากันว่าคุณน้าไปบังคับสมเด็จสีหนุซึ่งอยู่ในฐานะที่ว่า“จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด” ให้ท่านสีหนุทำการแต่งตั้งท่านจากคนธรรมดาให้มาเป็น“เจ้า”ตั้งชื่อใหม่เสียเก๋ไก่ว่า“สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุนเซ็น”

สมเด็จฮุนเซ็นจึงเป็นอีกท่านหนึ่งที่ได้มาทำพิธี ณ นครวัดแห่งนี้

นอกเหนือไปจากนี้ก็ยังไม่มีสามัญชนคนไหนที่จะได้ใช้สถานที่แห่งนี้

เสียงลือเสียงเล่าอ้างอันใดแม้วเอย ว่าคุณน้าฮุนเซ็นได้ผลประโยชน์มหาศาลจากท่านแม้วในน้ำมันและก๊าซธรรมชาติบริเวณอ่าวไทย ซึ่งเป็นทรัพย์สินของประเทศไทย รวมไปถึงผลประโยชน์ทับซ้อนที่ไม่เข้าใครออกใครในธุรกิจที่ทำร่วมกันมา ก็ไม่น่าจะเกินเลยไปจากความเป็นจริงที่ยิ่งกว่านิยายหลายเท่านัก

คุณแม้วผู้หาญกล้าจึงได้มาทำพิธีที่นครวัดแห่งนี้โดยไม่มีข้อสงสัยใดๆ

แต่ที่แปลกยิ่งกว่าแปลกจนเกินความสงสัยก็คือว่าผู้ที่จะมาทำพิธีนี้ได้ ต้องเป็น“เจ้า”เท่านั้น

หรือว่าคุณแม้วคิดการใหญ่ มากกว่าใหญ่ เกินกว่าที่ใครจะคาดคิด !

ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ดวงชะตาบ้านเมืองที่กำลังวุ่นวายขายปลาช่อนอยู่ในขณะนี้ หนีอย่างไรก็หนีไม่พ้นคนชื่อทักษิณ

ก็ต้องขอบอกว่า สารพัดสารพันของเหตุการณ์ทั้งหลายในโลกใบนี้ เกิดขึ้นมาอย่างไรก็ย่อมเป็นไปอย่างนั้น ไม่มีใครที่จะไปฝืนดวงชะตา หรือว่าจะไปห้ามธรรมชาติแห่งความเป็นไปได้หรอกจะบอกให้

หรือจะพูดว่า ฝนจะตก ลูกจะออก ข้าวจะบูด น้ำจะไหล ใครจะห้ามได้

จนถึงวันนี้ก็ต้องยอมรับว่าไม่มีใครที่ไม่รู้จักคุณแม้ว เรียกว่าพญาแม้วนั้นเป็นคนสำคัญคนหนึ่งของประเทศไทยทีเดียว

แต่ว่าจะสำคัญในด้านไหนก็ต้องไปคิดดูกันเอาเอง

ถ้าอย่างนั้น ก็ต้องมาดูกันว่า ดวงชะตาของคุณทักษิณนั้นอยู่ในขั้นไหน ดีหรือร้ายอย่างไร ตามไปดูกัน

คุณทักษิณ ชินวัตร ลืมตาออกมาดูโลกเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2492 เมื่อเวลา 11.15 นาฬิกา ที่จังหวัดเชียงราย ตรงกับ วันอังคาร เดือน 9 ปีฉลู ลัคนาราศีอยู่ที่ ราศีกันย์ อายุปัจจุบัน 62 ปี 9 เดือน

ดวงชะตาขณะนี้ดาวพระพุธแทรกดาวพระราหูจนถึงวันที่ 5 พฤษภาคม ยังอยู่ในช่วงที่เรียกว่าดาวพระราหูให้คุณ ถึงแม้ว่าจะต้องเสียเงินเสียทองบ้าง แต่มีดาวบริวารคอยช่วยเหลือคุ้มครอง พอจะถูไถร่อนไปร่อนมาหาเหาหาเห็บได้อยู่หรอก แต่จะไปหวังอะไรจากน้องปูก็ดูทีท่าว่าคงยากเย็นแสนเข็ญเต็มที เพราะดวงคุณปูก็บู่บู้บี้หาที่ลงกับเขาไม่ได้เหมือนกัน

หลังวันที่ 5 พฤษภา จนไปถึง 14 มิถุนา 2556 ดาวพระเสาร์แทรกดาวราหูเป็นเวลา 1 ปี 10 เดือน 10 วัน เป็นดาวเสาร์เจ้าแห่งกรรม เป็นดาวเสาร์ที่จะเผาคุณแม้วโดยไม่ต้องแจวและไม่ต้องจอด ธาตุดินและธาตุไม้จะให้โทษ ถ้าจะให้ดีมีทางรอดก็ต้องสลับสับเปลี่ยนใช้บริการของบริวารลิ่วล้อคนใหม่ที่ไม่ใช่หนูปู ถ้ายังคิดอยากจะอยู่เป็นรัฐบาลอีกต่อไป

ย่างเข้าสู่เดือนพฤษภาดวงเมืองเริ่มจะดีมีพลัง ช่วงนี้อาจจะมีอะไรเซอร์ไพร๊ซ์ไม่นึกไม่ฝันเกิดขึ้นได้ทุกเวลานาที

ต้องไม่ลืมว่าประเทศไทยของเรานั้นมีความอาถรรพ์ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองปกป้องรักษามาตั้งแต่โบราณกาล ทั้งพระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระหลักเมือง อีกทั้งดวงวิญญาณขององค์

บุรพมหากษัตริย์ ตลอดจนดวงวิญญาณของทหารกล้า ผู้รักษาปกป้องแผ่นดินไทยไว้ให้ลูกหลานมาจนถึงทุกวันนี้

ครับ ประเทศไทยมิใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของคนไทยทุกคน

อะไรๆก็กู (เขื่อน โรงไฟฟ้า โรงก๊าซ )

โดย Peaw Krittaporn

”..ไดโนเสาร์มันก็คือสัตว์เดรัจฉานยุคดึกดำบรรพ์..มันก็คงไม่เคยรู้จักเรียนรู้บทเรียนความเสียหายที่เกิดขึ้นในอดีต..”

อันที่จริงไม่ว่ารัฐบาลไหนๆ ก็มีนโยบายที่เป็นรอยด่างต่อการตัดสินใจของตัวเองทุกรัฐบาล มันก็ขึ้นอยู่กับว่าจะจดจำมาเป็นบทเรียน มีสำนึกละอายถึงข้อผิดพลาดกันหรือไม่ หรือหากมีโอกาสจะป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีกหรือเปล่า…นั่นคือสิ่งที่เราต้องทำใจยอมรับที่จะไม่ฟื้นฝอยหาตะเข็บขุดเอามาด่ากันจนบ้านเมืองเดินไปข้างหน้าไม่ได้ ซึ่งนั่นไม่ได้หมายความว่า ไม่รู้สึกต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น เพียงแต่นี่ก็ถือว่าเป็นการ “ยอมจำนน” กันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เท่านั้น

สมัยรัฐบาลสมัคร ก็เอาแก่งเสือเต้นมาเต้นแย๊บๆ โครงการฟัน..เอ๊ย..ผันโขงชีมูนแสนล้านเกือบจะฟื้นคืนชีพ แต่พับไปด้วยบุญของบ้านเมือง..โดยส่วนตัว..คิดว่าต่อให้ไม่มีพันธมิตรก็ใช่ว่ารัฐบาลจะมีเสถียรภาพ เพราะก็ต้องมีมวลชนในรูปแบบของการต่อต้านเมกะโปรเจ็คที่มีผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้างอยู่ดี ซึ่งน่าจะเป็นสัญญาณแสดงให้เห็นว่า ประชาชนไม่เคยทอดทิ้งรัฐบาล..ถึงแม้เราจะมอบอำนาจให้ท่านไปทำงานบริหารบ้านเมืองแทนเรา แต่เรื่องใหญ่ๆ ใช้เงินภาษีและสร้างหนี้ให้เรามากมายขนาดนี้ ขอให้เราตัดสินใจด้วยบ้างเถอะ อย่าคิดกันเอง ตัดสินใจกันเองแค่ไม่กี่ร้อยคนเลย ข้อสำคัญ ในเมื่อคุณไม่ได้ฉลาดปราดเปรื่องมากมายอะไร พวกคุณไม่กี่ร้อยคนก็ควรฟังคนจำนวนหมื่นแสนที่ได้รับความเดือดร้อนบ้าง

สำหรับตอนข้าพเจ้าไปฟังตัวแทนพรรคมาแถลงนโยบายก่อนเลือกตั้งหาที่มติชนจัด ..เห็นท่านปลอดประสพงับหัว NGOs ว่า”..บ้านเรามันมีพวกนี้ที่ทำให้เมืองไทยล้าหลังกลับไปขี่ควาย จะทำอะไรก็มีแต่ NGOs มาขัดขวาง ไม่รู้ประเทศนี้จะปกครองด้วยรัฐบาลประชาธิปไตยหรือ NGOs..” ฟังแล้วทำให้งงกับตรรกกระโดดๆเรื่องประชาธิปไตยและ NGOs ของท่านเสียจริงๆ แต่มานึกดูอีกทีก็พอจะเข้าใจเพราะท่านเรียนประมงมาคงจะดำน้ำให้อาหารสัตว์จนเคยกระมัง อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่กี่วันมานี้ เห็นท่านลงพื้นที่ทำความเข้าใจกับชุมชนแล้วก็ให้งงไปอีกเพราะ ท่านกำลัง “หว่านล้อม” ให้ชุมชนชาวบ้านเห็นด้วยกับนโยบายของท่าน แทนที่ท่านควรจะ”ทำความเข้าใจ” ในข้อดี-ข้อเสีย ของนโยบายของรัฐ ซึ่งไอ้ที่ท่านทำน่ะเป็นวิธีการเดียวเหมือนกับนักการเมืองที่”หาเสียง” ให้ตัวและพรรคของตนเอง



โดยการนี้ กระบวนการตัดสินใจในนโยบายการจัดการทรัพยากรธรรมชาตินั้นถือว่ารัฐเป็นเป็นผู้ได้เปรียบอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น การก่อตัวของนโยบายหรือโปรเจ็ค (Policy Formulation) พูดแบบบ้านๆ ก็คือใครเป็นต้นคิดด้วยเหตุผลอะไร เพื่อประโยชน์ใคร? ตัวอย่างเช่น เขื่อนต่างๆ โรงไฟฟ้า โรงถ่านหิน ฯลฯ ไม่เห็นมีชาวบ้านไปประท้วงขอให้รัฐบาลสร้างเลย แต่มันมาจากนักการเมืองล้วนๆ ก็ต้องหากันไปว่าเพราะอะไร และคงไม่ต้องบอกว่าทำไมรัฐถึงได้เปรียบ และนี่ยังไม่รวมถึง กระบวนการสร้างภาพให้เป็นประชาธิปไตยอย่าง ประชาพิจารณ์ ที่จัดแล้วเหมือนมาจาก ดาราวิดิโอ หรือแม้แต่ EIA ที่มีหน้าม้ารับจัดแบบวางคำตอบไว้ก่อนแต่ทำย้อนกลับไปหาคำถาม



หากมีโอกาสข้าพเจ้าแนะนำว่า ลองไปอ่านงานของ คณะกรรมการเขื่อนโลก (World Commission on Dams:WCD) ที่โต้กับการไฟฟ้าผลิตฯ เรื่องเขื่อนปากมูนแล้วล่ะก็ จะเห็นภาพเขื่อนแม่วงก์ที่กำลังมาแบบลางๆ ส่วนที่ชัดขึ้นคือตัวแทนรัฐไม่เคยจำ(เพราะไม่เคยเจ็บ) ตัวแทนรัฐทุกฝ่ายทุกระดับไม่ได้เรียนรู้กับบทเรียนของความขัดแย้งและความเสียหายที่เกิดขึ้น หากแต่ได้เรียนรู้ในการเอาชนะชุมชนที่ต่อต้าน ชาวบ้านที่คิดไปถึงผลกระทบต่อลูกหลาน ตัวแทนรัฐเข้ามาคลุกคลีและกำลังจะใช้มายาของความเห็นอกเห็นใจที่ยังไงชาวบ้าน ชุมชนที่เกี่ยวข้องก็จะเป็นผู้ได้รับผลกระทบในท้ายที่สุด



สรุป..ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่ NGOs ก็ไม่ใช่ชาวบ้าน และแน่นอนที่สุดไม่ใช่นักการเมือง แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่ารัฐบาลทุกรัฐบาลเหมือนคิดอะไรไม่ออก นอกจากอะไรๆ ก็สร้างเขื่อน สร้างโรงไฟฟ้า ท่อก๊าซ นิวเคลียร์…จะว่าเพื่อแก้ปัญหาก็มีการศึกษาการแก้ปัญหาเชิงเทคนิค เช่น สร้างเขื่อนเพื่อแก้ไขน้ำท่วมหรือไม่?, การสร้างโรงไฟฟ้าเพื่อสนองความต้องการที่มากขึ้นจริงหรือเปล่า? ฯลฯ ซึ่งเมื่อเทียบกับผลเสียที่เกิดขึ้นก็ย่อมมีคำตอบเพียงพอต่อการตัดสินใจดำเนินการหรือไม่ดำเนินการโครงการนั้นๆ แต่การที่รัฐยืนยันจะดำเนินการอย่างแน่วแน่นั้นก็มีข้อสมมติฐานที่หาคำตอบได้(โดยไม่ต้องใช้ EIA) ตัวอย่างง่ายๆ ก็คือ ฝายเล็กๆเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมมันคงทำเป็นโครงการแสนล้านขอเงินกู้ไม่ได้เท่าสร้างเขื่อน ส่วนโรงพลังงานอะไรๆ ต่างๆ นั้น ชาวบ้านก็บอกไม่อยากได้ๆ แต่ก็รัฐก็ยังจะดันทุรังจัดให้..นั่นก็ลองคิดกันเอาเองนะคะ ว่าทำไม?
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง