บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ศึกใหญ่ “ แดนสนธยา” บอร์ด-กก.ผอ.ใหญ่ ประดาบถึงเลือดเดือด

เขียนโดย ทีมข่าวอิศรา หมวด

  หลายสิบปีก่อน   องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ “อสมท.”ได้รับการขนานนามว่าเป็น “ แดนสนธยา ”  ด้วยรัฐวิสาหกิจแห่งนี้มีความลึกลับซับซ้อน   ภายในองค์กรมีการแบ่งพรรค แบ่งพวก แบ่งฝักแบ่งฝ่าย และ เขียนโดย ทีมข่าวอิศรา หมวดยังมีการเมืองจากภายนอกเข้าแทรกแซงการดำเนินงานภายในอีกด้วย     ท่ามกลางความอลวน อลเวง ภายใน อสมท. สาธารณะชนแม้จะรับรู้แต่ก็ไม่กระจ่างชัด ราวกับเป็นดินแดนที่มีแสงสว่างเห็นเพียงลางๆ ไม่ชัดเจน มีความน่าพรั่นพรึงหลังพระอาทิตย์ตกดิน   ดุจดังภาพยนตร์โทรทัศน์เรื่อง “แดนสนธยา” ที่ฉายเป็นซี่รี่ย์โด่งดังทางช่องของ อสมท.เอง ในสมัยโน้นเลยทีเดียว
                 สมญานาม “แดนสนธยา”เริ่มเลือนหายไปตามกาลเวลา หลังจาก อสมท.เข้าสู่ยุคการทำงานอย่างมืออาชีพ ภายใต้การนำของ นายแสงชัย  สุนทรวัฒน์ อดีต ผอ.อสมท.   ผลงานที่ปรากฎเป็นที่รู้กันทั่วไป   ขณะที่พนักงาน อสมท.ในช่วงเวลานั้น ก็ให้การยอมรับนับถือในฝีไม้ลายมือ ความมุ่งมั่น ทุ่มเท เสียสละ ปกป้องรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและองค์กร ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้บุคคลภายนอก ผู้ร่วมลงทุนสถานีวิทยุกับอสมท.เสียผลประโยชน์และโกรธแค้น จ้างมือปืนไปดักยิงจนเสียชีวิต
                มาถึงวันนี้ องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย ในชื่อใหม่ว่า บริษัท อสมท. จำกัด (มหาชน) ซึ่งกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่   เสียงวิพากษณ์วิจารณ์ในบรรดาพนักงาน อสมท.ว่า “แดนสนธยา”กลับมาอีกแล้วหนาหูขึ้น    เมื่อมีข่าวความขัดแย้งระหว่าง นายสุรพล นิติไกรพจน์ ประธานคณะกรรมการบริษัทฯ หรือประธานบอร์ด กับ นายธนวัฒน์ วันสม กรรมการผู้อำนวยการใหญ่   ร้อนแรงถึงขั้นมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบสัญญาจ้างบริหารกับนายธนวัฒน์   ขณะที่   ผู้บริหารระดับสูงระดับรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ นำพนักงานประมาณ 80 คน ยื่นหนังสือร้องเรียนถึงรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าการปฎิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการบริษัทหรือบอร์ด อสมท   ผิดหลักธรรมาภิบาล   บริหารงานไม่โปร่งใส  เรื่องที่บอดร์ดมีมติแก้ไขโครงสร้างใหม่ของ อสมท. ยุบตำแหน่งสำคัญระดับ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่บางตำแหน่ง และการโยกย้ายผู้บริหารและพนักงาน ซึ่งเห็นว่าไม่เหมาะสม ไม่เป็นธรรมต่อพนักงานที่มีคุณสมบัติเหมาะสม
                งานนี้โจษจันกันทั่วอสมท. ถึงขนาดที่ว่ามี “การเมืองเข้าแทรก” มีเรื่องของ “สี”เข้ามาเกี่ยวข้อง โยงไปถึงเรื่องของ “ บุคลากรภายใน”ที่จะมาสวมตำแหน่งสำคัญระดับบริหารในองค์กร ซึ่งพนักงานจำนวนหนึ่งร้อง “ยี้” เข้าไปด้วย    ไม่เพียงเท่านั้น  พนักงานเองยังมีการถือหางฝ่ายประธานบอร์ด   กับอีกฝ่ายก็เชียร์กรรมการผู้อำนวยการใหญ่    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้   จึงเป็นเหตุการณ์ที่ระดับบริหาร "กินเกาเหลา" ที่น่าติดตามความเป็นไปอีกครั้งหนึ่งใน “แดนสนธยา”


ศ.ดร.สุรพล  นิติไกรพจน์  ประธานบอร์ด อสมท.
ที่มาของเหตุการณ์

              ที่มาของเหตุการณ์ในแดนสนธยาหนนี้   มาจากการประชุมบอร์ด อสมท.เมื่อวันที่ 15 กันยายน และ 16 กันยายน ที่ผ่านมา ซึ่งนายสุรพล  นิติไกรพจน์ ประธานบอร์ด เป็นประธานการประชุม   โดยวันที่ 15 กันยายน เป็นการประชุมและมีมติให้ดำเนินการแก้ไขโครงสร้างใหม่ของบริษัทฯ    ที่ประชุมเห็นชอบกับการปรับปรุงโครงสร้างองค์กร   และวันที่ 16 กันยายน ที่ประชุมมีมติแต่งตั้งโยกย้ายผู้บริหาร   โดยมีการกำหนดแต่งตั้งผู้บริหารระดับรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ 6 อัตรา โดยเป็นรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ 5 อัตรา และหัวหน้าเจ้าหน้าที่การเงิน 1 อัตรา
            ส่วนการแต่งตั้งรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ อีก 2 อัตรา ให้ฝ่ายบริหาร อสมท. พิจารณาตามความจำเป็นและให้เสนอหลักเกณฑ์แนวทางการคัดเลือกหรือสรรหาให้ บอร์ดพิจารณาโดยเร็ว
           มติบอร์ดยังให้ยุบตำแหน่ง ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานเทคโนโลยี่ (สำนักวิศวกรรม) และตำแหน่ง ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายการเงินและบริหารความเสี่ยง   และให้ย้ายและแต่งตั้งผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่  สำนักผู้ตรวจการ เป็น ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักข่าวไทย และ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่   สายงานยุทธศาสตร์และบริหารความเสี่ยง เป็น ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักทรัพยากรมนุษย์      มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม เป็นต้นไป

พนักงาน อสมท.งุนงงสงสัย

           มติของที่ประชุมบอร์ดดังกล่าว ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์กันอื้ออึงในแวดวงพนักงาน อสมท. บางส่วน ว่าบอร์ดพิจารณามีมติในเรื่องของการแก้ไขโครงสร้างว่าเป็นไปตามหลักการและ เหตุผลหรือไม่ ส่วนหลักการและแนวคิดในการจัดทำโครงสร้าง อสมท.ใหม่ เป็นไปตามที่บริษัทที่ปรึกษาคือ เอสอาร์ไอ คอนซัลแตนท์                   ซึ่ง อสมท.จ้างมาจัดทำโครงสร้าง ดำเนินการไว้หรือไม่
          นอกจากนี้    มติบอร์ดที่ให้ยุบตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานเทคโนโลยี่ ซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในการทำงานของ อสมท. สมควรหรือไม่ และมติให้ย้ายและแต่งตั้งผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักผู้ตรวจการ  เป็นผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักข่าวไทย เหมาะสมหรือไม่
        โดยเฉพาะตำแหน่งหลังนี้ มีข้อสังเกตุว่า   ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่   สำนักผู้ตรวจการ เคยดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่มาก่อน  และเพิ่งโยกย้ายมาเป็น ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่   สำนักผู้ตรวจการ  เมื่อราว 1 ปีเศษ ที่ผ่านมานี่เอง      มีเหตุผลในการโยกย้ายกลับไปดำรงตำแหน่งนี้อย่างไร
รอง กก.ผอ.ใหญ่ ร้องเรียน รมต.สำนักนายก

          หลังจากนั้น ก็เกิดความเคลื่อนไหวในอสมท.จากพนักงานบางส่วน โดยเมื่อวันที่ 22 กันยายน ที่ผ่านมา โดยนางสุนทรีย์  แก้วกรณ์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ซึ่งเพิ่งเกษียณอายุไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา    พร้อมพนักงาน อสมท.ประมาณ 80 คน  ส่วนใหญ่เป็นพนักงานจากสายวิศวกรรมโทรทัศน์และนายสถานีวิทยุภูมิภาค   ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อ น.ส.กฤษณา สีหลักษณ์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำกับ ดูแล อสมท. มี 3 ประเด็นหลัก สืบเนื่องมาจากมติที่ประชุมบอร์ด คือ
ปัญหา การจัดทำโครงสร้างบริษัท อสมท. จำกัด (มหาชน)ปัญหาการเลื่อนและโยกย้ายแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงปัญหาเรื่องการ ปฏิบัติหน้าที่ของบอร์ด อสมท.
          เนื้อหาในหนังสือร้องเรียนระบุว่า มติบอร์ดทำให้เกิดความเสียหายสรุปว่า   การจัดทำโครงสร้างบริษัท อสมท. จำกัด (มหาชน) ซึ่งบอร์ดมีมติปรับปรุงโครงสร้าง และให้มีผลบังคับในวันที่ 1 ตุลาคม นั้น เมื่อพิจารณาโครงสร้างดังกล่าวแล้ว พบว่าไม่ได้เป็นไปตามหลักการและเหตุผล   โดยหลักการและแนวคิดในการจัดทำโครงสร้าง ไม่เป็นไปตามที่บริษัทที่ปรึกษา เอสอาร์ไอ คอนซัลแทนท์ ดำเนินการไว้
          การเลื่อนตำแหน่ง และโยกย้าย แต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงตามมติบอร์ด โดยแต่งตั้ง รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ 2  ราย   ย้ายและแต่งตั้งผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ 2 ราย ทั้งๆที่ไม่ได้ผ่านการคัดสรร ถือว่าไม่เป็นไปตามระเบียบ และไม่เป็นธรรมต่อผู้บริหารระดับอำนวยการฝ่ายอีกหลายคนที่มีคุณสมบัติเหมาะ สม



นายธนวัฒน์  วันสม  กรรมการผู้จัดการใหญ่ อสมท.

ประธานบอร์ดกังขา กก.ผอ.ใหญ่ อสมท.     
             ความเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและรุนแรงยิ่งของพนักงาน อสมท.บางส่วน นำโดยนางสุนทรีย์  แก้วกรณ์       รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่   ด้วยการยื่นหนังสือร้องเรียนถึง น.ส.กฤษณา สีหลักษณ์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำกับ ดูแลงาน อสมท. ท่ามกลางบรรยากาศคุกรุ่นใน “แดนสนธยา” วันที่ 28 กันยายน          นายสุรพล  นิติไกรพจน์   ประธานบอร์ด อสมท. เรียกประชุมคณะกรรมการบอร์ดวาระพิเศษ   ซึ่งก่อนหน้านั้นในช่วงเช้าวันเดียวกัน  ได้มีการประชุมคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์    สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ อสมท. และพนักงาน อสมท. มีข้อสงสัยในโครงสร้างบางสายงาน  ที่ไม่มีผู้บริหารระดับ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ( สายงานเทคโนโลยี่ และ สายการเงินและบริหารความเสี่ยง   ) และความเหมาะสมในการแต่งตั้งโยกย้ายผู้บริหารตามโครงสร้างใหม่ (  ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่  สำนักผู้ตรวจการเป็น ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่  สำนักข่าวไทย และ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายงานยุทธศาสตร์และบริหารความเสี่ยง เป็น ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักทรัพยากรมนุษย์ )
             หลังจากรับฟังความคิดเห็นเรื่องจากปรับโครงสร้างองค์กรใหม่   ที่ประกาศใช้เมื่อวันที่ 16 กันยายนที่ผ่านมาแล้ว    ที่ประชุมบอร์ดมีมติให้คณะกรรมการปรับปรุงโครงสร้างพิจารณาข้อเสนอดังกล่าว    เพื่อนำกลับมาเสนอในการประชุมบอร์ดครั้งต่อไป วันที่ 20 ตุลาคม 2554
            นอกจากนี้ บอร์ดยัง มีมติแต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาจ้างบริหารงานใน ตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ของ นายธนวัฒน์ วันสม  โดยมีนายญาณศักดิ์  มโนมัยพิบูลย์  เป็นประธาน  และนายนัที เปรมรัศมี และนายธีรภัทร สงวนกชกร เป็นคณะทำงาน  กำหนดกรอบการทำงาน 15 วันนับจากวันที่ 28 กันยายน 2554  โดยคณะกรรมการชุดนี้จะเริ่มประชุมครั้งแรกในวันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม
          นายสุรพล  นิติไกรพจน์ กล่าวกับสำนักข่าวอิศราว่า สาเหตุของการแต่งตั้งคณะทำงานฯ ชุดดังกล่าว เนื่องจากบอร์ด อสมท  มีข้อสงสัยเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ของนายธนวัฒน์ วันสม หลายประเด็นใน ช่วง 1 ปีที่ผ่านมา      ทั้งการทำงานล่าช้า หรือไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่คณะกรรมการบอร์ดมอบหมายภารกิจหรือไม่  รวมทั้งมีการปฏิบัติหน้าที่บกพร่องในการบริหารงานบุคคล  จนก่อให้เกิดความแตกแยกภายในองค์กรหรือไม่
           “ประเด็นสำคัญที่ทำให้บอร์ดมีมติแต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบสัญญาฯ จากข้อสงสัยในประเด็นที่มอบหมายให้กรรมการผู้อำนวยการใหญ่    ทำหน้าที่ชี้แจงการปรับโครงสร้างองค์กรให้กับพนักงานได้รับทราบเป็นระยะ    พร้อมให้สะท้อนความคิดเห็นจากพนักงานมายังบอร์ด    แต่เหตุการณ์ที่พนักงานได้ไปยื่นหนังสือร้องเรียนการทำงาน ของคณะกรรมการปรับโครงสร้าง    ต่อรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และหลังจากบอร์ดได้มารับฟังความคิดเห็นจากสหภาพ อสมท  จึงทำให้เกิดข้อสงสัยว่า กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ได้ทำหน้าที่ตามที่บอร์ดมอบหมายหรือไม่” นายสุรพล กล่าว
          ประธานบอร์ด อสมท กล่าวว่า นอกจากนี้ยังประเด็นอื่นๆ อีกเช่น คณะกรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดี (CG) ได้ขอให้กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ชี้แจงการใช้งบประมาณด้านซีเอสอาร์   ของหน่วยงานต่างๆ ผ่านสื่อ อสมท ที่มีมูลค่ากว่า 100 ล้านบาทต่อปี  แต่ไม่ได้รับการชี้แจงจาก กก.ผอ.ใหญ่ เป็นต้น
        “ ปัญหาที่คณะกรรมการ อสมท. แต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาตรวจสอบ มีประเด็นหนึ่งที่อาจเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์มหาศาลคือ คณะกรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดี (CG) ได้ขอให้กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ชี้แจงการใช้งบประมาณด้านการทำกิจกรรมที่รับผิดชอบต่อสังคม(ซีเอสอาร์ )ของหน่วยงานต่างๆ ผ่านสื่อ อสมท. มูลค่าหลายร้อยล้านบาทต่อปี  แต่ไม่ได้รับการชี้แจงจากกรรมการผู้อำนวยการใหญ่” นายสุรพล กล่าว
         นอกจากนี้   ในที่ประชุมบอร์ด ยังมีมติให้ระหว่างที่คณะทำงานตรวจสอบสัญญาฯ ยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ    ห้ามนายธนวัฒน์ วันสม   กรรมการผู้อำนวยการใหญ่  ปฏิบัติหน้าที่ใช้อำนาจในการแต่งตั้งโยกย้ายพนักงานทุกระดับ มีผลตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน เป็นต้นไป
         ทั้งนี้ ในกรณีเร่งด่วนที่ต้องมีการแต่งตั้งโยกย้ายในตำแหน่งสำคัญ ที่ส่งผลต่อการทำงานขององค์กร โดยเฉพาะในตำแหน่งที่ว่างลง จากบุคลากรเกษียณอายุการทำงาน ให้ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่  เสนอมายังคณะกรรมการบอร์ด อสมท  ซึ่งจะทำหน้าที่ในการพิจารณาการแต่งตั้งโยกย้ายดังกล่าวเอง   คณะกรรมการมีมติให้ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่   ออกคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายบุคลากร ที่บอร์ดมีมติเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ 16 กันยายนให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 กันยายน นี้ด้วย
        “มติบอร์ด ที่ห้ามกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทำหน้าที่แต่งตั้งโยกย้ายบุคลากร เนื่องจากอยู่ระหว่างการสอบสวนการปฏิบัติหน้าที่ของคณะทำงาน  อีกทั้งเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ในการแต่งตั้งโยกย้ายบุคลากรตามโครงสร้างใหม่  ที่กำลังอยู่ในความสนใจของพนักงาน อสมท บอร์ดจึงมีหน้าที่ต้องดำเนินการทุกขั้นตอนอย่างโปร่งใส”นายสุรพล กล่าว
         ประธานบอร์ด อสมท กล่าวด้วยว่า  ผลการสอบสวนของคณะทำงานฯ ที่มีระยะเวลา 15 วัน นับจากวันที่ 28 กันยายน นี้   หากพบว่าการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ไม่มีความผิด ก็สามารถปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาจ้างต่อไป แต่หากพบว่ามีความผิด จะต้องไปดูรายละเอียดว่าผิดในสัญญาข้อใด ซึ่งมีบทลงโทษกำกับไว้ในสัญญาชัดเจน
        “ หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมีแรงกดดันมายังคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ ต่างๆ รวมทั้ง อสมท เช่นเดียวกัน เพื่อให้กรรมการลาออก แต่ ตน และกรรมกา คนอื่นๆ  อีก 3 คนที่จะครบวาระการทำงานในเดือนเมษายน 2555 ยืนยันว่า จะไม่ลาออกก่อนวาระแน่นอน โดยตนประกาศไว้ในวันรับตำแหน่งประธานบอร์ดแล้วว่าจะทำหน้าที่จนครบวาระ 3 ปี


การเมืองแทรกแซง อสมท ?

               ความขัดแย้งระหว่าง นายสุรพล นิติไกรพจน์ ประธานบอร์ด หรือคณะกรรมการ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) กับ นายนายธนวัฒน์ วันสม  กรรมการผู้อำนวยการใหญ่    ที่ประชุมบอร์ดยัง มีมติแต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาจ้างบริหารงานใน ตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่   โดยมีนายญาณศักดิ์  มโนมัยพิบูลย์  เป็นประธาน  โดยคณะกรรมการชุดนี้จะต้องตรวจสอบให้เสร็จภายใน 15 วันนับจากวันที่ 28 กันยายน 2554 ซึ่งได้เริ่มประชุมครั้งแรกไปแล้วเมื่อวันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม  
           เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พนักงาน อสมท.ที่ทำงานในองค์กรแห่งนี้มายาวนาน ส่วนหนึ่งเห็นว่าเป็นเรื่องรุนแรง   แม้ว่าที่ผ่านๆมา   เคยมีความขัดแย้งกันระหว่างบอร์ดกับผู้บริหาร ก็ยังไม่เคยถึงขั้นมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบสัญญาจ้างบริหารกรรมการผู้ อำนวยการใหญ่มาก่อน   และเรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นเรื่องการบริหารจัดการภายในของ อสมท. หากเกี่ยวพันถึงเรื่องการเมืองภายนอกเข้าแทรกแซง อสมท.ซึ่งปัจจุบันอยู่ในรูปบริษัทมหาชน
           “ ใน อสมท.ก็รู้กันอยู่ว่าเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการการเมือง   รัฐบาลไม่ว่าชุดไหนก็พยายามเข้ามาแทรกแซงการทำงานของ อสมท. อาจใช้วิธีการหาทางให้คนของนักการเมืองเข้ามาเป็นผู้อำนวยการ หรือปัจจุบันคือกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ เมื่อการเมืองเปลี่ยนขั้ว ผู้บริหารก็ต้องไป หรือถ้าผู้บริหารอยู่ต่อไป ก็ต้องร่วมงานกับพรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาลได้ดี   แล้วก็เหมือนกัน ถ้ารัฐบาลใหม่อยู่ตรงกันข้ามกับประธานบอร์ดคืออยู่กันคนละข้างชัดเจน ประธานบอร์ดก็ต้องไป ” แหล่งข่าวใน อสมท กล่าว
           “ การตั้งคณะกรรมการตรวจสอบสัญญาจ้างกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ เกิดขึ้นในการประชุมบอร์ดวาระพิเศษ วันที่ 28 กันยายน วันนั้นมีการลงมติว่าจะปลดกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ด้วย แต่เสียงไม่พอ 3 ใน 4 ของที่ประชุม จึงต้องตั้งคณะกรรมการตรวจสอบสัญญาจ้างบริหาร แทน” แหล่งข่าวอีกคนหนึ่ง ใน อสมท.กล่าว
           เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน อสมท.สอดคล้องกับที่นายสุรพล นิติไกรพจน์ เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า หลังเปลี่ยนแปลงรัฐบาลมีการเมืองแทรกแซงคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจหลายองค์กร รวมทั้ง อสมท.   การตั้งคณะกรรมการตรวจสอบสัญญาจ้างบริหาร ก็คือการส่งสัญญาณเตือนฝ่ายการเมืองในรัฐบาล  ว่าอย่าใช้อำนาจทางการเมืองเข้ามาแทรกแซงการทำงานของ อสมท หรือกดดันให้คณะกรรมการลาออก   ซึ่งนายสุรพลเองก็ประกาศชัดเจนว่า จะไม่ลาออกจากตำแหน่งประธานคณะกรรมการ อสมท แต่จะอยู่จนครบวาระในเดือนเมษายน 2555
         “ หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง มีแรงกดดันมายังคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจต่างๆ รวมทั้ง อสมท เพื่อให้กรรมการลาออก แต่ผมและกรรมการคนอื่นๆอีก 3 คนที่จะครบวาระการทำงานในเดือนเมษายน 2555 ยืนยันว่าจะไม่ลาออกก่อนวาระแน่นอน โดยผมประกาศไว้ในวันรับตำแหน่งประธานบอร์ดแล้วว่า จะทำหน้าที่จนครบวาระ 3 ปี นายสุรพล กล่าวกับทีมข่าวอิศรา ก่อนหน้านี้
           นายสุรพลกล่าวอย่างเชื่อมั่นว่า อสมท มีคุณสมบัติแตกต่างจากรัฐวิสาหกิจอื่น นอกจากเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้ว ยังเป็นกิจการด้านสื่อสารมวลชน ดังนั้น นักการเมืองในรัฐบาลต้องระมัดระวังที่จะไม่เข้ามาแทรกแซงเพราะอาจขัดต่อ กฎหมายและรัฐธรรมนูญได้
         “   อย่างไรก็ตาม มีกระแสข่าวระบุว่า หลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ฝ่ายบริหารของ อสมท บางคนพยายามดึงฝ่ายการเมืองเข้ามาแทรกใน อสมท  ถึงขนาดมีการล่ารายชื่อเพื่อกดดันให้คณะกรรมการลาออก   กอปรกับเป็นช่วงที่ ปัญหาการบริหารงานของนายธนวัฒน์ วันสม ซึ่งคณะกรรมการ อสมท เคยอุ้มชูและปกป้องมาตลอดสร้างปัญหาให้แก่  อสมท มากขึ้นเรื่อยๆจนพนักงานไม่พอใจ คณะกรรมการจึงถือโอกาสสะสางปัญหาและส่งสัญญาณเตือนฝ่ายการเมืองพร้อมกันใน คราวเดียว” นายสุรพล กล่าว
       
เรื่องภายในโยงการเมืองภายนอก
         แหล่งข่าวระดับผู้บริหารระดับสูงใน อสมท. ให้ข้อมูลว่า   นอกจากความขัดแย้งระหว่างประธานบอร์ดกับกรรมการผู้อำนวยการใหญ่   ยังมีเรื่องภายในของ อสมท เอง ที่โยงไปถึงการเมืองภายนอก เป็นสาเหตุที่ทำให้มีการเชื่อกันว่าอาจจะมีการ “เชื่อมโยง” อสมท.ไปเกี่ยวกับการเมืองภายนอก
           “ เรื่องหนึ่งคือ มีความพยายามจะแต่งตั้งพนักงานคนหนึ่งให้ดำรงตำแหน่งพนักงานอาวุโส แล้วให้นับเวลาอายุการทำงานย้อนหลัง เพื่อที่จะได้ขึ้นเป็นระดับ “หัวหน้าส่วน” พนักงานคนนี้เคยถูกตั้งกรรมการสอบ ทำให้เงินเดือนไม่ขึ้นนานหลายปี ภายหลังผลการสอบสวนไม่มีความผิด อสมท.จึงจ่ายเงินค่าเสียโอกาสเป็นเงินนับล้านบาท และต่อมาก็มีความพยายามจะคืนความเป็นธรรมให้อีก โดยให้นับอายุงานย้อนหลังเพื่อให้เป็นระดับ “อาวุโส” เพื่อมีโอกาสขึ้นเป็นผู้บริหารระดับต้น คือระดับส่วน แต่พนักงานคนนี้ มีพรรคพวกเพื่อนฝูงอยู่ในพรรคเพื่อไทย   ก็เป็นที่วิตกกังวลว่าจะนำการเมืองเข้าแทรก อสมท. เพราะพนักงานคนนี้ถูกดึงไปทำงานใกล้ชิดกับกรรมการผู้อำนวยการใหญ่”   แหล่งข่าวระดับผู้บริหารใน อสมท.กล่าว
              นอกจากนี้   การแต่งตั้งพนักงานให้ดำรงตำแหน่งทั้งระดับผู้บริหาร ลงมาถึงพนักงานพนักงานระดับล่าง ก็ยังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อยู่เหมือนเดิม ว่ามีการเล่นพรรค เล่นพวก   ทำให้บุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ มีประสบการณ์และอาวุโส   ไม่ได้รับการส่งเสริมสนับสนุน
             “ ยกตัวอย่าง ระดับผู้อำนวยการฝ่ายคนหนึ่ง ทำงานในสำนักข่าวไทยมายาวนานมาก พูดไปนักการเมืองรุ่นเก่าส่วนใหญ่ต้องรู้จัก โดนย้ายออกนอกสำนักข่าวมาคุมงานอีกสายงานหนึ่งหลายปีแล้ว ถึงวันนี้ควรได้รับการพิจารณาผ่านกระบวนการสรรหาอย่างถูกต้องร่วมกับผู้อยู่ ในข่ายมีคุณสมบัติเหมาะสม   ไปเป็น ผอ.สำนักข่าว ไทยแทนคนเดิมที่เกษียณอายุ   แต่ยังไม่มีการสรรหา บอร์ดก็มีมติให้แต่งตั้งโยกย้ายตัวบุคคลไปดำรงตำแหน่งนี้เลย ตรงนี้ก็คือเหตุผลหนึ่งทีมีการร้องเรียนกับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ” แหล่งข่าวกล่าว     
   
ปัญหาภายในกลายเป็นปัญหาการเมือง
             การยื่นหนังสือร้องเรียนของ นางสุนทรีย์ แก้วกรณ์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ อสมท.กับพนักงานส่วนหนึ่ง   ถึง น.ส.กฤษณา สีหลักษณ์       รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 22 กันยายน เรื่องการปฎิบัติหน้าที่ของบอร์ด อสมท.   ในมติปรับปรุงโครงสร้างใหม่ของ อสมท.      มติการโยกย้ายผู้บริหารให้ไปดำรงตำแหน่ง ซึ่งไม่เป็นไปตามระเบียบ อสมท.  และไม่เป็นเป็นธรรมกับบุคลากรอีกหลายคนที่มีคุณสมบัติอยู่ในข่ายได้รับการ พิจารณา  
             โดยอ้างถึงมติการประชุมบอร์ด เมื่อวันที่   กันยาน ที่ผ่านม 15 และ 16 กันยายน ที่ผ่านมา      ซึ่งต่อมา วันที่ 30 กันยายน รัฐมนตรี ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทำหนังสือถึงนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล         รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะกระทรวงการคลังเป็นผู้ ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)   โดยมีเหตุผลว่า   จากการรับเรื่องร้องเรียนจากฝ่ายบริหารและพนักงาน อสมท. พิจารณาแล้วเห็นว่าเรื่องร้องเรียนดังกล่าว เป็นเรื่องสำคัญ อาจมีผลกระทบโดยรวมกับนโยบายรัฐบาล และการบริหารงานของ อสมท. จึงขอให้กระทรวงการคลัง แจ้งไปยังนายสุรพล นิติไกรพจน์ ประธานบอร์ด อสมท สรุปว่า

           ให้ระงับการประกาศและการดำเนินการปรับปรุงแก้ไขโครงสร้างใหม่ของ อสมท. ตามมติที่ประชุมบอร์ด เมื่อวันที่ 15 กันยายน และ 16 กันยายน จนกว่าการสอบสวนจะแล้วเสร็จ และรายงานผลต่อรัฐมนตรีประจำสำนักนายก เมื่อเห็นชอบแล้วจึงดำเนินการต่อไปได้
           ระงับการแต่งตั้งโยกย้ายผู้บริหารและพนักงาน ตามมติที่ประชุมบอร์ด วันที่ 16 กันยายน จนกว่าการสอบสวนจะแล้วเสร็จ และรายงานต่อรัฐมนตรีประจำสำนักนายก เมื่อเห็นชอบแล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ หากผลการสอบสวนไม่ปรากฎความ “ไม่เป็นธรรม” ให้พิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายมีผลย้อนหลังได้
       วัน เดียวกันนั้น นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ส่งหนังสือส่งให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร)   วันนั้น นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ   ทำหนังสือถึงนายสุรพล นิติไกรพจน์ ประธานบอร์ด อสมท.   อ้างถึงหนังสือของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และมีข้อความต่อท้ายในหนังสือระบุว่า
          สำนัก งานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(สคร.)โดยได้รับ มอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง  ใคร่ขอให้ท่านในฐานะประธานกรรมการ บมจ.อสมท ได้โปรดพิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีดัง กล่าวด้วย    จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาดำเนินการต่อไป หากผลเป็นประการใด    ขอโปรดแจ้งให้ สคร.ทราบในโอกาสแรกด้วย จักขอบคุณยิ่ง
       ในหนังสือฉบับนี้ นายสุรพล  นิติไกรพจน์ ประธานบอร์ด ลงนามทราบ และให้ทำหนังสือทบทวนการสั่งการของของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีประจำสำนักนายก สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร)   อีกครั้งหนึ่ง เพื่อมิให้เป็นปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และให้สำเนาแจกให้คณะกรรมการบอร์ดทราบ
           โดยการสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี   ถือเป็นการแทรกแซง การทำงานของ อสมท.  ซึ่งเป็นกิจการด้านสื่อสารมวลชนและบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลัก ทรัพย์แห่งประเทศไทยอันเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่   เพราะแม้ .อสมท จะเป็นรัฐวิสาหกิจซึ่งต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐ ขณะเดียวกัน  อสมท ก็เป็นบริษัทมหาชนและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ด้วย

           ดังนั้น การกำกับดูแล อสมท ต้องทำผ่านมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น  ถ้าผู้ถือหุ้นห็นว่า คณะกรรมการบริษัท ไม่ทำตามระเบียบข้อบังคับหรือมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น ผู้ถือหุ้นก็มีสิทธิแต่งตั้งหรือถอดถอนโดยที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง   ไม่น่าจะมี อำนาจใดๆที่จะแทรกแซงการทำงานของคณะกรรมการบอร์ด          โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อสมท ประกอบกิจการด้านสื่อสารมวลชนได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษจากรัฐธรรมนูญที่ ห้ามผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเข้าแทรกแซงการบริหารกิจการ


เข้าข่ายกระทำอันขัดต่อรัฐธรรมนูญ
           นายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ผู้อำนวยการสถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย ได้เขียนบทความ “เปิด หลักฐาน”รมต.สำนักนายกฯ-รมว.คลัง”แทรกแซง อสมท ขัด รธน. ระวังถูกถอดถอน ลงในเวปไซต์สำนักข่าวอิศรา   สรุปว่า การที่ทั้งน.ส.กฤษณา สีหลักษณ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ขอ ให้ประธานคณะกรรมการ บมจ.อสมท ระงับการปรับปรุงโครงสร้างบริษัทและแต่งตั้งโยกย้ายพนักงาน จึงอาจเข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญหลายมาตรา ดังนี้
      "    มาตรา 48 ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นในกิจการหนังสือ พิมพ์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หรือโทรคมนาคม มิได้ ไม่ว่าในนามของตนเองหรือให้ผู้อื่นเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นแทน หรือจะดำเนินการโดยวิธีการอื่นไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมที่สามารถบริหาร กิจการดังกล่าวได้ในทำนองเดียวกับการเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นในกิจการ ดังกล่าว
         มาตรา 266  สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาต้องไม่ใช้สถานะหรือตำแหน่งการเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาเข้าไปก้าวก่ายหรือแทรกแซงเพื่อ ประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่น หรือของพรรคการเมือง ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ในเรื่องดังต่อไปนี้
         (1) การปฏิบัติราชการหรือการดำเนินงานในหน้าที่ประจำของข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ กิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ หรือราชการส่วนท้องถิ่น
         (2) การบรรจุ แต่งตั้ง โยกย้าย โอน เลื่อนตำแหน่ง และเลื่อนเงินเดือนของข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำและมิใช่ข้า ราชการการเมือง พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ กิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือ
         มาตรา 268 นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีจะกระทำการใดที่บัญญัติไว้ในมาตรา 266 มิได้ เว้นแต่เป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ในการบริหารราชการตามนโยบายที่ได้แถลง ต่อรัฐสภาหรือตามที่กฎหมายบัญญัติ
         อาจมีการโต้แย้งว่า การกระทำดังกล่าวของ น.ส.กฤษณาและนายธีระชัย เป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ในการบริหารราชการตามนโยบายที่ได้แถลงต่อรัฐสภา หรือตามที่กฎหมายบัญญัติซึ่งเป็นข้อยกเว้นตามรัฐธรรมนูญมาตรา 268 ซึ่งทั้งสองต้องแน่ใจว่า  มีบทบัญญัติในกฎหมายใดที่ให้อำนาจรัฐมนตรีทั้งสองในการ“ล้วงลูก”ถึงขั้น สั่งให้ระงับการปรับโครงสร้างการบริหารบริษัท และระงับการแต่งตั้งโยกย้ายพนักงาน เพราะขนาดข้าราชการประจำรัฐมนตรียังแค่เสนอให้มีการโยกย้ายแต่งตั้งข้า ราชการได้เพียงผู้บริหารระดับสูงหรือซี 10 เท่านั้น
         เพราะ เท่าที่ตรวจสอบไม่มีกฎหมายใดที่ให้อำนาจรัฐมนตรี ประจำสำนักนายกฯหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในการระงับหรือแต่งตั้งโยก ย้ายผู้บริหารหรือพนักงานของบริษัทมหาชนและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
         ดังนั้นการกระทำของทั้ง น.ส.กฤษณาและนายธีระชัย จึงสุ่มเสี่ยงต่อการขัดรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย อาจถูกพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านล่ารายชื่อ ส.ส.1 ใน 4 หรือ 125 คนยื่นถอดถอนออกจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 270 ที่บัญญัติว่า
          “ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี …ผู้ใดมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง วุฒิสภามีอำนาจถอดถอนผู้นั้นออกจากตำแหน่งได้”
           ทั้งนี้การกระทำของน.ส.กฤษณาและนายธีระชัย ปรากฏหลักฐานชัดเจนเป็นหนังสือทั้งสองฉบับที่ขอให้ประธานคณะกรรมการ บมจ.อสมท ระงับการปรับโครงสร้างการบริหารบริษัทและระงับการแต่งต้งโยกย้ายผู้บริหาร ระดับสูง "
       
อสมท.ปั่นป่วน   
             ความขัดแย้งระหว่างประธานบอร์ด อสมท.กับกรรมการผู้อำนวยการใหญ่   ทำให้พนักงาน อสมท.จับตาว่าต่อจากนี้อะไรจะเกิดขึ้นใน “แดนสนธยา ” ซึ่งเวลานี้ก็มีผู้สนับสนุนทั้งฝ่ายประธานบอร์ด และฝ่ายกรรมการผู้อำนวยการใหญ่
         “ มีเรื่องโยกย้ายแต่งตั้งอีกประมาณ 10 คำสั่ง ที่กรรมการผู้อำนวยการใหญ่จะแต่งตั้ง   แต่เมื่อมีคำสั่งประธานบอร์ดห้ามไม่ให้กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ดำเนินการ จนกว่าผลการสอบสวนสัญญาจ้างบริหารของกรรมการผู้อำนวยการใหญ่จะเสร็จสิ้น (ภายใน 15 วัน หลังวันที่ 28 กันยายน เป็นต้นไป)   เรื่องก็ยังคาอยู่ ในร่างคำสั่งแต่งตั้ง เฉพาะของสำนักข่าวไทยมากถึง 17 ตำแหน่ง ก็มีการพิจารณากันแล้วว่าเป็นการโยกย้ายที่เหมาะสม แต่จะเหมาะสมจริงหรือไม่ ก็ยังไม่รู้” แหล่งข่าวระดับสูงใน อสมท.ให้ข้อมูล
           “ ส่วนเรื่องตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายเทคโนโลยี่   ซึ่งไม่มีในโครงสร้างใหม่ ที่มีการร้องเรียนกัน ปรากฎว่าในการทำโครงสร้างตั้งแต่เริ่มต้น ก็ไม่มีมาก่อนแล้ว เรื่องไปถึงบอร์ดก็เลยไม่มี เป็นที่รู้กันว่า อสมท. มาถึงทุกวันนี้ได้ก็ด้วยเสาหลักคืองานด้านข่าว และงานด้านวิศวกรรม แม้จะมีรองกรรมการผู้อำนวยการดูแล แต่ตำแหน่งผู้ช่วยฯที่หายไป มีความสำคัญมาก เมื่อก่อนคือตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักวิศวกรรม เมื่อบอร์ดรู้ปัญหานี้แล้วก็ให้ไปพิจารณามาใหม่ในการประชุมบอร์ดครั้งหน้า เชื่อว่าจะต้องมีการเพิ่มเข้าไป” แหล่งข่าวคนเดิมกล่าว
           “ พนักงานก็ทำงานกันต่อไปตามปกติ   ใครจะไป ใครจะมา ก็รู้อยู่ว่ามีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง เหมือนที่นี่มีวัฒนธรรมองค์กรอย่างหนึ่งว่า ต้องทำงานไปตามที่นักการเมืองกำหนด เรื่องเปลี่ยนสี   ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์เป็นเรื่องที่รู้กันดีอยู่แล้ว แม้กระทั่งการปรับตัวให้เข้ากับหัวหน้างานก็ต้องทำ เข้ากันไม่ได้ก็เกิดเรื่อง ทนไม่ไหวก็ต้องลาออกไป เป็นเรื่องธรรมดา ” พนักงาน อสมท. คนหนึ่งกล่าว
          เรื่องของความขัดแย้งระหว่างประธานบอร์ด อสมท กับ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ หนนี้ ถือว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจะเป็นประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งขององค์กรแห่งนี้อย่างแน่นอน   ไม่ว่าเรื่องของการตรวจสอบสัญญาจ้างบริหารกรรมการผู้อำนวยการใหญ่  ว่าจะลงเอยอย่างไร   เรื่องของประธานบอร์ดที่กล่าวว่ามีการเมืองแทรกแซง อสมท   เรื่องของรัฐมนตรีประจำสักนักนายกรัฐมนตรี กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กระผำผิดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่    จะมีการถอดถอนกันหรือไม่   ล้วนแล้วแต่ต้องถูกบันทึกไว้ทั้งสิ้นใน “แดนสนธยา”
          



น้ำลดตอผุด!!! จุดสลบใหม่ ปชป.






DMNEWS

กลุ่ม ผู้อกหักส่งออกข้าวจากการระบายข้าวในสต๊อกรัฐบาลที่ผ่านมา เสนอ "กิตติรัตน์" ตรวจสอบสัญญาย้อนหลัง สงสัยรัฐเสียประโยชน์ เหตุเอกชนไม่มารับมอบข้าว เผย "เอ็มทีฯ" ได้รับสัญญาขายข้าวกว่า 1.9 ล้านตัน แต่ส่งออกจริงแค่ 2,000 ตัน ตั้งคำถามส่วนที่เหลือหายไปไหน

แม้ ว่านางพรทิวา นาคาศัย กับนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี จะกลายเป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กับอดีตรองนายกรัฐมนตรีไปแล้ว แต่ผลการอนุมัติขายข้าวในสต๊อกรัฐบาลเพื่อการส่งออกไม่น้อยกว่า 1.9 ล้านตัน มูลค่าเกือบ 20,000 ล้านบาท ให้กับบริษัทเอ็มที เซ็นเตอร์เทรด ผู้ส่งออกข้าวในเครือเม้งไต๋ อินเตอร์เนชั่นแนล ที่ อ.ม่วงสามสิบ ที่มีทุนจดทะเบียนเพียง 10 ล้านบาท ยังไม่จบ

แหล่งข่าวจากวงการค้า ข้าว เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้มีผู้ส่งออกข้าวที่ผิดหวังจากการเปิดประมูลดังกล่าว ได้เรียกร้องให้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ตรวจสอบสัญญาการซื้อขายข้าวในสต๊อกรัฐบาลย้อนหลัง ในสมัยของนางพรทิวา นาคาศัย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ระบายข้าวไปแล้ว 3-4 ล้านตัน จากเดิมที่มีสต๊อกอยู่ในระดับ 5-6 ล้านตัน ในเดือนมกราคม 2553

ทั้ง นี้ รัฐบาลชุดที่ผ่านมาได้ทยอยระบายสต๊อกข้าวเรื่อยมาจนถึงลอตสุดท้ายที่เปิด ระบายในเดือนสิงหาคม 2553 และมีการวิพากษ์วิจารณ์กันมาก เนื่องจากเป็นการเปิดประมูลเฉพาะกลุ่ม ส่งผลให้มีบริษัทผู้ส่งออกข้าวเพียง 4 รายเท่านั้นที่สามารถซื้อข้าวในสต๊อกรัฐบาลได้ ประกอบด้วย บริษัทเอเชีย โกลเด้นท์ไรซ์ บริษัทนครหลวงค้าข้าว บริษัทข้าวไชยพร และบริษัท เอ็มที เซ็นเตอร์เทรด จำกัด

แหล่งข่าวกล่าวว่า 3 บริษัทแรกถือเป็นท็อปไฟฟ์ผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของประเทศ และมีความสามารถที่จะเข้าถึงข้าวในสต๊อกรัฐบาลมาทุกสมัย ส่วนบริษัทเอ็มทีฯนั้นน่าสนใจมากกว่า เนื่องจากเป็นบริษัทขนาดเล็กและไม่เป็นที่รู้จักในวงการ แต่คว้าสัญญาซื้อขายข้าวไปได้ถึง 1.9 ล้านตัน ซึ่งมากกว่าที่ 3 บริษัทข้างต้นได้รับ แม้ว่าถึงที่สุดแล้ว เอ็มทีฯจะไม่สามารถหาเงิน 690 ล้านบาท มาวางค้ำประกันสัญญาซื้อขายข้าวทั้ง 1.9 ล้านต้นได้ก็ตาม

อย่าง ไรก็ตาม ต่อมามีข้อน่าสงสัยว่า ทำไมรัฐบาลโดยคณะกรรมการนโยบายข้าว ที่มีนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในขณะนั้น ได้อนุมัติให้เอ็มทีฯซื้อข้าวในสต๊อกรัฐบาลได้อีกเป็นครั้งที่ 2 ในปริมาณ 450,000 ตัน มูลค่า 5,000 ล้านบาท ทั้ง ๆ ที่การทำสัญญาข้าวลอตแรก 1.9 ล้านตันก็แสดงให้เห็นแล้วว่า บริษัทไม่มีความสามารถในการหาเงินมาวางค้ำประกันได้

นอกจากนี้ ยังมีข้อน่าสังเกตว่าการขายข้าวให้เอ็มทีฯทั้ง 2 ลอต เป็นราคาที่เท่ากันทั้ง 2 ครั้ง ในราคาตันละ 12,000 บาท ทั้ง ๆ ที่ราคาข้าวในตลาดขณะนั้นเคลื่อนไหวอยู่ในระดับตันละ 13,000-14,000 บาท นั่นหมายความว่า นอกจากจะให้โอกาสกับบริษัทนี้แล้ว ยังให้ขายข้าวในราคาที่รัฐขาดทุนด้วย

"การ ขายข้าวลอตที่ 2 ไม่ได้จบลง แค่นี้ เพราะมีกระแสข่าวว่า มีการนำเงินจากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ของวิทยาลัยโปลีเทคนิคภาคตะวันออกเฉียงเหนือมาให้บริษัทนี้วางค้ำประกันค่า ข้าว แต่เรื่องก็เงียบไปพร้อม ๆ กับการเปลี่ยนรัฐบาลชุดใหม่"

ล่าสุด ได้มีการตรวจสอบข้อมูลการส่งออกข้าวของคณะกรรมการตรวจข้าว-คณะกรรมการสาขา ข้าว สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย พบว่า บริษัทเอ็มทีฯมีการส่งออกข้าวในระดับที่ต่ำ ซึ่งไม่สอดคล้องกับการได้รับสัญญาซื้อขายข้าวจากรัฐบาลชุดที่ผ่านมา โดยปี 2553 มีปริมาณส่งออกข้าวไปเพียง 480 ตัน และช่วง 6 เดือนแรกของปี 2554 ส่งออก 1,430 ตัน รวมมีปริมาณการ ส่งออกข้าวไม่น่าเกิน 2,000 ตัน

รัฐบาล ชุดที่ผ่านมาเปิดระบายข้าวใน สต๊อกครั้งสุดท้ายในช่วงเดือนสิงหาคม 2553 คาบเกี่ยวต้นปี 2554 มีปริมาณข้าวส่งออกประมาณ 4 ล้านตัน และหากคำนวณการส่งออกเฉลี่ยเดือนละ 600,000-700,000 ตัน จะต้องใช้เวลาประมาณ 5 เดือน (150 วัน) หรือส่งออกหมดไม่เกินเดือนกุมภาพันธ์ 2554 ตามที่บริษัทผู้ส่งออกข้าวที่ได้ทำสัญญาซื้อขายข้าวในสต๊อกรัฐบาลขอขยายระยะ เวลารับมอบข้าวจาก 90 เป็น 150 วัน

"ตรงนี้เราอยากให้คุณกิตติรัตน์ เข้ามาตรวจสอบการส่งออกข้าวของบริษัทที่ได้ทำสัญญาซื้อขายข้าวในสต๊อกรัฐบาล ในสมัยที่ผ่านมา ว่ามีการทำสัญญา การค้ำประกัน ทยอยรับมอบข้าวกันอย่างไร และมีการทิ้งสัญญาไม่มารับมอบข้าวหรือไม่ เพราะสุดท้ายแล้ว รัฐบาลจะเป็นฝ่ายเสียประโยชน์ หากเกิดกรณีไม่ยอมวางค้ำประกัน หรือไม่มารับมอบข้าว มีการลงโทษหรือไม่ ไม่ใช่ปล่อยให้เรื่องเงียบหายไปแบบนี้" แหล่งข่าวกล่าว


ส่วน กรณีการเปิดรับจำนำข้าวของรัฐบาลชุดใหม่ที่กำหนดไว้ว่า จะรับจำนำข้าวขาว 15,000 บาท ข้าวหอมมะลิ 20,000 บาท ล่าสุดได้มีการเรียกประชุมเพื่อชี้แจงนโยบายการรับจำนำข้าวกับทุกภาคส่วน มีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน ปรากฏที่ประชุมไม่สามารถกำหนดแนวทางและวิธีการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปี 2554/2555 ได้ เพียงแต่ปรับเลื่อนระยะเวลาเริ่มโครงการจำนำจาก 15 เป็น 7 ตุลาคมนี้แทน

หากการตรวจสอบพบว่า "เอ็มทีฯ" ได้สต็อคข้าวไปล้านกว่าตัน แต่ส่งออกข้าวไปเพียง 2,000 กว่าตันเป็นจริง เราอาจได้พบทุจริตครั้งใหญ่ เพราะข้อบกพร่องของการรับประกันราคาข้าวของรัฐบาลชุดที่แล้ว ที่เอื้อประโยชน์ให้กับบางบริษัท

แค่เงินประกันราคาข้าวคูณกับจำนวนข้าวที่หายไปล้านกว่าตัน ก็เป็นเงินหลายหมื่นล้านทีเดียว

อัยการกับขื่อแปของบ้านเมือง

       อัยการเป็นหน่วยงานหนึ่งในกระบวนการยุติธรรม เดิมสังกัดกระทรวงมหาดไทย มีฐานะเป็นกรมตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2465 ตลอดมาจนกระทั่งวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2534 ได้มีประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ฉบับที่ 47 ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2534 เปลี่ยนชื่อกรมอัยการเป็นสำนักงานอัยการสูงสุด กำหนดให้เป็นส่วนราชการอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2534 ในปี 2549 ได้มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3509/2549 วินิจฉัยว่า จำเลยซึ่งเป็นพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นประมาทโจทก์ โดยลงข้อความในหนังสือพิมพ์เป็นความเท็จและก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์เป็นการใช้ดุลพินิจที่มิได้อยู่บนรากฐานของความสมเหตุสมผล แต่เป็นการใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจจึงเกินล้ำออกนอกขอบเขตของความชอบด้วยกฎหมาย
       
        และในฐานะที่จำเลยเป็นข้าราชการอัยการชั้นสูง จำเลยย่อมทราบดีถึงเกณฑ์วินิจฉัยมูลความผิดของพนักงานอัยการ การใช้ดุลพินิจผิดกฎหมายในกรณีนี้จำเลยเห็นได้อยู่ในตัวแล้วว่าเป็นการมิชอบและมีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหาย อีกทั้งเพื่อจะช่วยผู้ต้องหามิให้ต้องโทษจากการกระทำความผิดของตนอีกด้วย จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมาตรา 200 วรรคหนึ่ง จากคำวินิจฉัยของศาลฎีกาดังกล่าวจึงมีการผลักดันให้มีบทบัญญัติมาตรา 255 ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ที่ให้พนักงานอัยการมีอิสระในการพิจารณาสั่งคดีและการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปโดยเที่ยงธรรม
       
        ต่อมาได้ตราพระราชบัญญัติ องค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ.2553 ยกเลิกพระราชบัญญัติพนักงานอัยการ พ.ศ. 2498 และที่แก้ไขเพิ่มเติมเพื่อให้อัยการสูงสุดมีอำนาจอย่างกว้างขวาง เช่น
       
        มาตรา 21 พนักงานอัยการมีอิสระในการพิจารณาสั่งคดี และการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและตามกฎหมายโดยสุจริตและเที่ยงธรรม
       
        ถ้าพนักงานอัยการเห็นว่า การฟ้องคดีอาญาจะไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณชน หรือจะมีผลกระทบต่อความปลอดภัยหรือความมั่นคงของชาติหรือต่อผลประโยชน์อันสำคัญของประเทศให้เสนอต่ออัยการสูงสุดและอัยการสูงสุดมีอำนาจสั่งไม่ฟ้องได้ ทั้งนี้ตามระเบียบที่สำนักงานอัยการสูงสุดกำหนดโดยความเห็นชอบของ กอ.
       
        ให้นำความในวรรคสองมาใช้บังคับกับกรณีที่พนักงานอัยการไม่ยื่นคำร้อง ไม่อุทธรณ์ ไม่ฎีกา ถอนฟ้อง ถอนคำร้อง ถอนอุทธรณ์และถอนฎีกาด้วยโดยอนุโลม
       
        มาตรา 22 ดุลพินิจของพนักงานอัยการในการพิจารณาสั่งคดีและการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 21 ซึ่งได้แสดงเหตุผลอันสมควรประกอบแล้ว ย่อมได้รับความคุ้มครอง
       
        ต่อมาอัยการสูงสุดได้ประกาศระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุด ว่าด้วยการสั่งคดีอาญาที่จะไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณชน หรือจะมีผลกระทบต่อความปลอดภัยหรือความมั่นคงของชาติหรือต่อผลประโยชน์อันสำคัญของประเทศ พ.ศ. 2554 มีสาระสำคัญว่า โดยที่พนักงานอัยการมีอิสระในการพิจารณาสั่งคดีและการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ และตามกฎหมายโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ถ้าพนักงานอัยการเห็นว่า การฟ้องคดีอาญาจะไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณชนหรือจะมีผลกระทบต่อความปลอดภัยหรือความมั่นคงของชาติหรือต่อผลประโยชน์อันสำคัญของประเทศ ให้เสนอต่ออัยการสูงสุด และอัยการสูงสุดมีอำนาจสั่งไม่ฟ้องได้ตามระเบียบข้อ 5 ข้อ 6 ข้อ 7 ข้อ 9 และในข้อ 11 ให้นำความในข้อ 5 ข้อ 6 ข้อ 7 ข้อ 8 ข้อ 9 และข้อ 10 มาใช้บังคับ แก่กรณีที่พนักงานอัยการจะไม่ยื่นคำร้อง ไม่อุทธรณ์ ไม่ฎีกา ถอนฟ้อง ถอนคำร้อง ถอนอุทธรณ์ และถอนฎีกาด้วยโดยอนุโลม
       
        ประกาศดังกล่าวอัยการสูงสุดลงนาม ณ วันที่ 22 เมษายน 2554 หลังจากนั้นไม่นานราวปลายเดือนกันยายน 2554 อัยการสูงสุดก็สั่งไม่ฎีกาคดีภาษีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้ยกฟ้องจำเลยบางคน และให้รอการลงโทษจำเลยบางคน สร้างความฉงนแก่สังคม ทำให้สังคมสงสัยว่า การกระทำของอัยการสูงสุดจะเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ เห็นว่าแม้กฎหมายจะให้อิสระแก่พนักงานอัยการในการสั่งคดีก็ตาม พนักงานอัยการก็มีอำนาจสั่งคดีโดยปราศจากการแทรกแซงเท่านั้น หาใช่ใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจไม่ ต้องเป็นการใช้ดุลพินิจที่อยู่บนรากฐานของความสมเหตุสมผลและไม่ล้ำออกนอกขอบเขตของความชอบด้วยกฎหมาย
       
        การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นให้ยกฟ้องจำเลยบางคนและให้รอการลงโทษแก่จำเลยบางคนนั้น โดยเหตุผลต้องฎีกาเพื่อให้ศาลฎีกาวินิจฉัยเป็นบรรทัดฐาน หาใช่ใช้ความรู้สึกสำนึกของตนเองว่าเห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยถูกต้องแล้ว การใช้ดุลพินิจดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยเหตุผล การกระทำของอัยการสูงสุดจึงเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ดังนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 3509/2549 นอกจากนั้นการที่กฎหมายกำหนดให้อัยการสูงสุดแต่เพียงผู้เดียวมีอำนาจสั่งไม่ฟ้อง ไม่อุทธรณ์ ไม่ฎีกาหรือถอนฟ้อง ถอนคำร้อง ถอนอุทธรณ์-ฎีกา โดยพนักงานอัยการอื่นไม่มีอำนาจ จึงขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 255 ที่ให้พนักงานอัยการมีอิสระในการพิจารณาสั่งคดี
       
        เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 อัยการสูงสุดได้บรรยายในหัวข้อ “บทบาทพนักงานอัยการในกระบวนการยุติธรรม” ให้แก่ผู้เข้าอบรมหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง รุ่นที่ 16 ณ สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม อัยการสูงสุดเรียกร้องให้มีกฎหมายห้ามละเมิดการใช้ดุลพินิจของอัยการเพื่อคุ้มครองเช่นเดียวกับศาล ให้ยอมรับให้ได้ว่าสั่งอะไรต้องยุติไม่ต้องอธิบายต่อสาธารณะอยู่อย่างทุกวันนี้ เห็นว่า ศาลเป็นผู้ใช้อำนาจตุลาการในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์จึงสั่งลงโทษผู้กระทำผิดได้
       
        การกระทำหน้าที่ของศาลเปรียบเสมือนกรรมการห้ามมวยบนเวทีซึ่งมีกติกาให้อำนาจไว้ ศาลผู้พิจารณาพิพากษาอรรถคดีของคู่ความถ้าไม่มีบทบัญญัติให้อำนาจศาลแล้วศาลจะควบคุมการพิจารณาได้อย่างไร จึงต้องมีบทบัญญัติละเมิดอำนาจศาลไว้เพื่อใช้ควบคุมการพิจารณาคดี พนักงานอัยการเป็นเพียงทนายแผ่นดินทำหน้าที่ว่าความเช่นเดียวกับทนายความหาใช่ผู้ควบคุมการพิจารณาคดีเหมือนผู้พิพากษาจึงไม่จำต้องมีกฎหมายให้อำนาจเช่นเดียวกับศาล ถ้าอัยการถูกวิจารณ์ในการทำหน้าที่จนถึงขั้นหมิ่นประมาทอัยการย่อมฟ้องศาลได้ หาใช่ให้อำนาจสั่งลงโทษโดยไม่มีการไต่สวนซึ่งผิดหลักของการลงโทษอาจก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในสังคม
       
        บทสรุป จากการวิเคราะห์บทบัญญัติในพระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. 2553 ระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการสั่งคดีอาญาที่จะไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณชน หรือจะมีผลกระทบต่อความปลอดภัยหรือความมั่นคงของชาติหรือต่อผลประโยชน์อันสำคัญของประเทศ พ.ศ. 2554
       
        และสรุปคำบรรยายของนายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด ในหัวข้อบทบาทพนักงานอัยการในกระบวนการยุติธรรมให้แก่ผู้เข้าอบรมหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง รุ่นที่ 16 สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 แล้ว เห็นว่า พระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. 2553 มาตรา 21 ให้อำนาจอย่างกว้างขวางแก่อัยการสูงสุดในการสั่งไม่ฟ้อง ไม่ยื่นคำร้อง ไม่อุทธรณ์ ไม่ฎีกา ถอนฟ้อง ถอนคำร้อง ถอนอุทธรณ์และถอนฎีกาได้ในคดีอาญาที่ไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณชน เช่น เรื่องลักทรัพย์ ถ้าสั่งไม่ฟ้องไม่กระทบกระเทือนผู้ใดอัยการสูงสุดก็สั่งไม่ฟ้องได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นคดีเกือบทุกเรื่องอัยการสูงสุดมีอำนาจสั่งไม่ฟ้องได้
       
        หากเห็นว่าการฟ้องคดีอาญาจะไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณชน เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมสาธารณะจึงขอให้มีการแก้ไขปรับปรุงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาให้ผู้เสียหายอุทธรณ์ ฎีกาได้แม้มิได้เป็นโจทก์ร่วม ให้หน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจมีสิทธิฟ้องหรือต่อสู้คดีได้เองหรือจะมอบให้อัยการดำเนินคดีแทนก็ได้ และในกรณีศาลอุทธรณ์พิพากษากลับหรือแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น อัยการต้องฎีกาให้ศาลฎีกาวินิจฉัยเป็นบรรทัดฐาน

สงครามไม้บรรทัด

คอลัมน์ : บ้านเกิดเมืองนอน : สงครามไม้บรรทัด
สงครามไม้บรรทัด
ผลงาน หลังสุดของคณะนิติราษฎร์ก่อให้เกิดความเห็นมากมาย ต่างกลุ่มต่างสำนักกฎหมาย ต่างแสดงความเห็นกันต่อเนื่อง แสดงความไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอให้มีการลบล้างผลพวงจากการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549-ต้นไม้พิษ ผลไม้พิษ

คณาจารย์นิติศาสตร์ จำนวน 19 คน อาทิ ศ.แสวง บุญเฉลิมวิภาส, ศ.ดร.ไพโรจน์ กัมพูสิริ, ศ.ดร.อุดม รัฐอมฤต, รศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ และ รศ.ศาสตรา โตอ่อน เป็นต้น ออกแถลงการณ์เมื่อวันอาทิตย์ระบุว่า

หากกลุ่มนิติราษฎร์ถือว่าการ รัฐประหารเป็นความเลวร้ายสมบูรณ์แบบ จนถึงขนาดต้องลบล้างการกระทำทั้งหมดให้สิ้นผลไป ก็คงต้องพิจารณาย้อนกลับไปถึงการทำรัฐประหารทุกครั้งที่ผ่านมา เริ่มตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 จนถึงการรัฐประหาร โดยคณะ รสช.2534 ย่อมต้องถือเป็นความเลวร้ายสมบูรณ์แบบเช่นเดียวกัน

นอก จากนี้คณาจารย์นิติศาสตร์ยังตั้งข้อสังเกตกลุ่มนิติราษฎร์ โดยเห็นว่านักวิชาการที่ละเลยหรือบิดเบือนหลักการทางวิชาการ เป็นผู้ไร้ซึ่งคุณธรรม จริยธรรม อันจะเป็นการสร้างค่านิยมผิดและทัศนคติที่ผิดพลาดแก่ประชาชน

ทั้งใน หลักนิติธรรม ย่อมต้องถือเป็นหลักการสำคัญต่อการคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพของประชาชน มิใช่เป็นเพียงเครื่องมือทางวาทกรรมสำหรับผู้หวังผลในการแสวงหาประโยชน์ส่วน ตนและพวกพ้อง

และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น มิได้ยึดถือเพียงแค่หลักการเสียงข้างมากเป็นเสียงสวรรค์ โดยไม่รับฟังเสียงข้างน้อย หรือไม่คำนึงความถูกต้องชอบธรรมที่มีอยู่ตามกฎหมาย
นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เขียนบทความระบุว่า การรัฐประหารมีเพื่อยึดอำนาจ ไม่ใช่มีเพื่ออยากจะตรากฎหมาย จะเอาทฤษฎี “ต้นไม้พิษ ผลไม้พิษ” มาใช้ป้องปรามไม่ได้

“ผลพวงทางกฎหมายจากการรัฐประหารนั้น พูดก็พูดได้ แต่จะหยุดอยู่ตรงไหนในเรื่องอะไรบ้างมันอธิบายไม่ได้หรอกครับ ความสับสนคลุมเครือแค่นี้ก็ชัดเจนแล้วว่าข้อเสนอนี้ไม่ใช่ข้อเสนอทางกฎหมาย เลย”
ดร.ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขียนบทความเรื่อง “คณะนิติราษฎร์...ผลไม้พิษของฮิตเลอร์??” ระบุแถลงการณ์คณะนิติราษฎร์ออกมา ในขณะที่คนทั้งหลายกำลังเริ่มจะปรองดอง กลับถูกจุดประเด็นให้คลาดเคลื่อนหลงประเด็นและเกิดแตกแยกขึ้นมาอีก

ก่อน 19 ก.ย. กลุ่มนิติราษฎร์ไปอยู่ที่ไหน ถึงไม่รู้ว่าความขัดแย้งมีมาก่อน 19 ก.ย.
นาย คณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) กล่าวถึงข้อเสนอกลุ่มนิติราษฎร์ว่า ยังไม่ทราบรายละเอียดเท่าที่ควรว่าข้อเสนอทุกข้อเป็นอย่างไร และจะไม่ขอออกความเห็น

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงรายการ “ซูเปอร์ ซันเดย์” ความเห็นจากนักกฎหมาย หรือคนที่ศึกษาวิชากฎหมาย ส่วนผมเป็นเพียงลูกเหลืองแดงเมื่อ 60 ปีก่อนที่ศึกษาวิชาการบัญชี หลักวิชาการของผมคือตัวเลขทั้งสองด้านต้องสมดุลกัน แตกต่างแม้สตางค์แดงเดียวก็ไม่ได้

คนที่เป็นแฟนหนัง “แฮร์รี่ พอตเตอร์” สงครามกายสิทธิ์ คราวนี้ก็ลองติดตามชมสงครามนักกฎหมาย ความบันเทิงเริงรมย์ระหว่าง “ไม้กายสิทธิ์” กับ “ไม้บรรทัด” คงให้รสชาติต่างกันแน่ครับคุณ...!!
 


ไท ทองเค

ตะลึง! คนในราชสกุล "ยุคล" จำนำพระบรมอัฐิ ร.5




ตะลึง! คนในราชสกุล "ยุคล" จำนำพระบรมอัฐิ ร.5


"เทพมนตรี" ถวายฎีกา หลังพบคนในราชสกุลยุคลนำพระ บรมอัฐิ ร.5 ไปจำนำย่านเยาวราช

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์ ได้เปิดเผยข้อความลงในโซเชียลมีเดีย "เฟซบุ๊ก" โดยใช้ชื่อ Thepmontri  Limpaphayom ระบุว่า พระบรมอัฐิในพระบรมโกศลงยาราชาวดีประดับถนิมพิมพาภรณ์ห้อยระย้าประดับเพชร เป็นพระบรมอัฐิของใน หลวงรัชกาลที่ 5 ถูกนำไปจำนำไว้ที่เยาวราช ซึ่งด้านในมีพระนลาฏ 1 องค์ พระทนต์ 2 องค์"

นายเทพมนตรี เปิดเผยว่า จำนำหลุดไปแล้ว ตอนนี้เหลือระหว่างคนจำนำกับใครก็ได้ที่จะไปไถ่ เท่าที่ทราบพระบรมอัฐิของในหลวงรัชกาลที่ 5 แยกไปบรรจุไว้ที่วัดเบญจมบพิตรฯ ส่วนที่ตนเองนำมาเสนอนี้อยู่ในส่วนของทายาทและเป็นมรดกสายตรงลงมา ส่วนจำนำแล้วเอาเงินไปทำอะไรนั้น ตนเองไม่อาจทราบได้

นายเทพมนตรี ยังระบุด้วยว่า บุคคล ที่นำไปจำนำนั้นก็คือ หม่อมอุ่นเรือน ยุคล ถ้าคนรับจำนำเกิดขายออกไปนอกประเทศอะไรจะเกิดขึ้น ขณะนี้พอรู้ราคาแล้วเพราะตอนเอาไปจำนำนั้นเขาคิดดอกเบี้ย 1.50 บาท แล้วไม่ส่งดอกเขา ตอนนี้มันหมดเวลาแล้ว แต่เขาเกรงใจ


"ขอประกาศว่า ผมจะไม่มีการระดมทุนครับ ไม่มีการเรี่ยไรแต่อย่างใด เพราะต้องการให้ทายาทรับผิดขอบ คนในตระกูลยุคลต้องรับผิดชอบครับ" นายเทพมนตรี กล่าว


ทั้งนี้นายเทพมตรี กล่าวว่า พระนลาฏ (หน้าผาก) นั้น ห่อด้วยแผ่นพระสุพรรณบัฏทองคำและรวมถึงพระทนต์สองซีกด้วย ตอนนี้พระ ทนต์ถูกขายไปแล้ว อนึ่งคนจำนำรู้เรื่องแล้ว หากเป็นตนเองจะทำทุกวิถีทางที่จะ นำของเหล่านี้กลับคืนมาเพราะมีคุณค่าประมาณค่าไม่ได้ และได้ทราบว่าพวกท่าน พวกคุณ ได้ทราบแล้วคิดเห็นเป็นประการใด ควรเร่งให้เรื่องนี้ยุติเสียที ถ้ายังไม่ทำอะไร ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ตนจะทำได้ดังนี้



1.จะนำเรื่องนี้ไปให้ประชาชนที่ลานพระบรมรูปทรงม้าได้ รับรู้

2.นำความนี้ขึ้นถวายฎีกาให้พระเจ้าอยู่หัวได้ทรงทราบ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 27 กันยายน นายเทพมนตรีโพสต์ข้อความพร้อมหนังสือถวายฎีกา โดยแนบภาพถ่ายห้องทรงงานของ ม.จ.ฐิติพันธ์ ยุคล ซึ่งนำพระบรมโกศบรรจุพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ วังอัศวิน


ภายในหนังสือฎีการะบุว่า ตามที่กระผม นายเทพ มนตรี  ลิมปพยอม และประชาชนผู้มีชื่อใน ท้ายจดหมายนี้ ขอกราบเรียนข้อความร้องทุกข์เรื่องเกี่ยวกับพระบรมโกศบรรจุพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระจุลจอม เกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ซึ่งได้ถูกนำไปจำนำแก่พ่อค้าทองเก่าย่านเยาวราช เป็นเงินหลายล้านบาท จึงเป็นเรื่องที่มิบังควรและสมควรที่จะหาหนทางนำพระบรมโกศบรรจุพระบรมอัฐิองค์นี้ไปประดิษฐานในสถานที่ที่เหมาะสม



นายเทพมนตรียังระบุว่า เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา ราชสกุลยุคล จัดการประชุมเรื่องพระบรมโกศโดยไม่มีการแจ้งผลการประชุมแต่อย่างใด       

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ม.จ.มงคลเฉลิม ยุคล กรรมการตรวจสอบธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ราชสกุลยุคล ในสายของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ระบุว่า เรื่องนี้คงเหมารวมให้ทายาทราชสกุลยุคลทุกคนรับผิดชอบไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของราชสกุลยุคลในสายของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล ที่ต้องลงมาดูแล เนื่องจากหม่อมอุ่นเรือน ยุคล ผู้ถูกกล่าวหาว่านำพระบรมโกศของรัชกาลที่ 5 ไปจำนำ ได้เสกสมรสกับ ม.จ.ฐิติพันธ์ ยุคล หรือท่านกบ


"ส่วนตัวคิดว่าเป็นการขโมยเอาไปจำนำส่วนตัวมากกว่า แต่ในอีกแง่หนึ่งนั้น ต้องเรียนว่าเจ้าหรือนายที่ทุกคนคิดว่ามีสมบัติเยอะนั้น ไม่เป็นความจริง พวกเราไม่ได้มีสมบัติพัสถานอะไรมากมาย เจ้าทุกคนก็ต้องทำงาน อย่างตัวเองก็ยังต้องทำงานอยู่ ถ้าเปรียบกับนักการเมืองหรือพ่อค้ายังรวยกว่าเจ้าเสียอีก"

ม.จ.มงคลเฉลิม กล่าวต่อว่า ในเรื่องราชสกุลยุคลสายอื่นจะว่าอย่างไรไม่อาจทราบได้ แต่สำหรับสายของตัวเองขอนิ่งไว้ก่อน ที่นิ่งไม่ได้หมายความว่าเราไม่ร้อนใจไม่เคารพบรรพชน แต่หากเป็นความเลวของคนเพียงหนึ่งคน ก็ต้องใช้กฎหมายไปจัดการในตรงนี้ หากมีการพาดพิงก็จะฟ้องกลับฐานหมิ่นประมาทแน่นอน และถ้าผู้ที่นำข่าวเรื่องนี้มาเผยแพร่จะจัดแถลงข่าวว่าราชสกุลยุคลไร้ความรับผิดชอบต่อสมบัติชาติ ตนก็พร้อมจัดแถลงข่าวสู้ว่าข้อเท็จเป็นอย่างไร


ทั้งนี้กรณีที่มีการนำความ ขึ้นถวายฎีกาให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัวทรงทราบ สามารถทำได้อย่างที่กล่าวอ้าง แต่เชื่อว่าในหลวงคงไม่มีพระบรมราชวินิจฉัยใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ อีกอย่างในหลวงทรงมีเรื่องที่หนักพระราชหฤทัยมากแล้ว อย่าพยายามนำเรื่อง "ไม่ค่อยสะอาด" ยัดเยียดให้พระองค์ท่านพิจารณาอีกเลย


"ท้ายนี้ผมอยากให้คิดด้วยว่า การนำข้อมูลดังกล่าวออกมาเป็นข่าวนั้นเป็นการ ดิสเครดิตเจ้าหรือไม่ เป็นขบวนการล้มเจ้าหรือไม่ เพราะราชสกุลยุคลสามารถเชื่อมโยงกับเจ้านายอื่นๆ ได้ด้วย และการใช้เทค โนโลยีที่มีประโยชน์เฟซบุ๊กนั้น หากเอาไปใช้ในทางที่ไม่มีประโยชน์ ก็อาจเป็นการทำ ร้ายผู้อื่นได้" ม.จ.มงคลเฉลิมแจง



ม.จ.มงคลเฉลิม ชี้แจงด้วยว่า หากนายมนตรีต้องการให้พระ บรมโกศของรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นสมบัติส่วนตัวของราชสกุลยุคลสายพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล กลายเป็นสมบัติของชาติ ก็ควรให้กรมศิลปากรเป็นผู้ไปรับซื้อคืน และจดทะเบียนเป็นสมบัติชาติต่อไป


ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

พระบรมโกศบรรจุ "พระบรมอัฐิของในหลวงรัชกาลที่ 5" ถูกนำไปจำนำไว้ที่เยาวราช เรื่องโดยอ.เทพมนตรี ลิมปพยอม

โดย Annie Handicraft เมื่อ 28 กันยายน 2011 เวลา 16:09 น.

Thepmontri Limpaphayom September 15
 พระ บรมอัฐิในพระบรมโกศลงยาราชาวดีประดับถนิมพิมพาภรณ์ห้อยระย้าประดับเพชร เป็นพระบรมอัฐิของในหลวงรัชกาลที่ 5 ถูกนำไปจำนำไว้ที่เยาวราช มันน่าเจ็บปวดครับ ด้านในมีพระนลาฏ ๑องค์พระทนต์ ๒องค์ (มันขายกินไปแล้ว) ที่จำนำคือพระบรมอัฐิพระนลาฏและพระบรมโกศ ภาพนี้เป็นภาพที่ประดิษฐ์ของพระบรมโกศเป็นรูปเก่าถ่ายที่วังอัศวิน

น้ำตา ตกครับ นี่คือในหลวงรัชกาลที่5นะและที่เห็นอยู่ข้างล่างก็คือพระอัฐิเจ้านาย(อาจขาย กินไปแล้วเช่นกัน) พระบรมโกศเป็นทองคำและอัญมณีเขาจึงขายได้จำนำได้ ผมไม่ถือว่าเรื่องนี้ทำลายราชวงศ์ ถ้าเป็นกระดูกพ่อแม่คุณละคุณจะขายหรือจำนำไหม หรือว่าคุณเคยทำไปแล้ว ผมรู้ว่าเรื่องนี้เรื่องใหญก็หวังไว้ในใจว่าจะทำสำเร็จ ผมไม่ต้องการอะไร ต้องการเอาคืนไปประดิษผฐานในปราสาทพระเทพบิดรครับ

มันจำนำ หลุดไปแล้วตอนนี้เหลือระหว่างคนจำนำกับใครก็ได้ที่จะไปไถ่ เท่าที่ผมทราบพระบรมอัฐิของในหลวงรัชกาลที่5แยกไปบรรจุไว้ที่วัดเบญจมบพิตร ส่วนที่ผมนำมาเสนอนี้อยู่ในส่วนของทายาทและเป็นมรดกสายตรงลงมา ส่วนจำนำแล้ว เอาเงินไปทำอะไรผมไม่อาจทราบได้ครับ ลองนึกดูถ้าสถาบันประมูลมันได้ไป ขายหน้ากันทั้งชาติ

ชีวิตรันทดครับ เมื่อสักครู่โทรศัพท์หาคนที่เป็นนายหน้าของเรื่องนี้ บอกว่าตอนนี้พระบรมโกศยังอยู่จะบอกราคาอีก ๑ อาทิตย์ข้างหน้า ตัวเลขให้มาไม่แพงแต่คุณค่าของพระบรมโกศมีค่าจนหาค่าไม่ได้ มันเห็นเป็นทองเป็นเพชรจึงเอาจำนำ คนในตระกูลยุคล ทราบข่าวแล้วครับและถามว่าใครเอาไปจำนำ จำนำที่ไหน ราคาเท่าไหร่ ผมเลยบอกเขาไปแล้วว่าใครเอาไปจำนำ

Thepmontri Limpaphayom September 16 
บุคคลที่นำพระบรมอัฐิและพระบรมโกศลงยาราชาวดี รัชกาลที่ ๕ ไปจำนำนั้นก็คือ หม่อมอุ่นเรือน ยุคคล ถ้า ไม่มีปัญญารักษาของสูงค่าเช่นนี้ทำไม่ปรึกษาหารือกับพี่น้องในตระกูลยุคล ถ้าคนรับจำนำเกิดขายออกไปนอกประเทศอะไรจะเกิดขึ้น เพื่อนๆพิจารณาเอาเองก็แล้วกัน  พระบรมโกศลงยาราชาวดีมีสีแดงสีเขียวและถนิมพิมพาภรณ์ประดับครับ เขาถ่ายที่วังอัศวินใช้ไฟแฟชจึงไม่เห็นสีพระบรมโกศชัด อนึ่งยังมีพวงอุบะระย้าซึ่งประดับเพชรครับ วังก็เอาไปขายฝากเอาไว้ครับ ยังเคยผ่านมือผมเลยแต่ผมไม่รับไว้ แต่นี่คือพระบรมอัฐิผมจึงทนไม่ได้

ผมพอรู้ราคาแล้ว เพราะตอนเอาไปจำนำนั้นเขาคิดดอกเบี้ย ๑.๕๐ บาท แล้วไม่ส่งดอกเขา ตอนนี้มันหมดเวลาแล้ว แต่เขาเกรงใจ อนึ่งผมก็พยายามไม่บอกราคาเพราะเดียวจะถูกใส่ร้ายป้ายสีอีกมีพระทนต์ ๒ องค์ เลี่ยมทอง พระธรรมรงค์ (แหวน) เดี๋ยวโพส์ตให้ดูนะครับ ถ้าเป็นของอย่างอื่นก็โอเค แต่นี่เป็นพระบรมอัฐิมันเอาไปจำนำได้ มันก็เหลืออดจริงๆครับ

 ท่านประทานให้ลูกหลานแต่เหลนมาขายกิน เวลาเดือนเมษาเขาต้องนำพระอัฐิของบรรพบุรุษมาทำบุญ ที่เห็นในภาพนั่นนะข้างล่างก็มีเดี๋ยวนี่้หายไปหมดแล้ว คนตระกูลยุคลต้องรับ ผิดชอบ ของสำคัญแบบนี้ปล่อยให้สะใภ้ไพร่มันครอบครองได้อย่างไร ความเสื่อมเสียมาถึง ส่วนรวม ผมต้องไปถวายบังคมด้วยดอกไม้ พวงมาลา ทุกวันอังคาร ยกเว้นถ้าไปต่างจังหวัดหรือต่างประเทศก็จะวานให้คนรู้จักนำไปถวาย ผมต้องไปขอขมาพระองค์ท่านที่กล่าวอ้างพระนาม พระเกียรติคุณ พอมาเจอเรื่องนี้จะให้ผมเงียบเฉยอยู่ได้หรือ พระองค์ท่านเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีพระมหากรุณาธิคุณ แต่มีอีไพร่คนหนึ่งเอาพระบรมอัฐิไปจำนำ สมบัติอื่นผมไม่สนใจหรอก มันจะเอาไปขายก็เรื่องของมัน ส่วนลูกของมันเป็นถึงเชื้อสายแต่ปล่อยให้แม่เอาไปจำนำได้ ลองคิดดู

เรื่อง พระบรมโกศสำคัญกว่าเรื่องอื่นครับ ถ้าเอาไว้กับชนชั้นสามัญจะนำซึ่งความความเสื่อมเสียม ลูกป้าอุ่นมี หม่อมราชวงศ์นำหน้า ก็เป็นเชื้อพระวงศ์นะ กินเงินเดือนหลวงด้วย เกิดมาก็มีเงินเดือนเลย  ผมน้ำตาตกใน ที่ทำอยู่เนี่ยก็เสี่ยงนะ แต่มาถึงจุดนี้แล้วเราต้องทำให้สำเร็จ

 ขอประกาศว่าผมจะไม่มีการระดมทุนครับไม่มีการเรี่ยไรแต่อย่างใด เพราะต้องการให้ทายาทรับผิดขอบ คนในตระกูยุคลต้องรับผิดชอบครับ

Thepmontri Limpaphayom September 17
เรื่องนี้ไม่มีการเรี่ยไรนะครับ ทายาทต้องรับผิดชอบครับ ขอบคุณทุกท่านที่ปรารถนาดีครับไม่มีการระดมทุน ตระกูล"ยุคล"ต้องรับผิดชอบครับ ถ้านำออกมาจากการจำนำแล้วไม่ต้องการพระบรมอัฐิและพระบรมโกศ ก็นำไปประดิษฐานไว้ที่ปราสาทเทพบิดรเถอะ ขอร้องล่ะ มีพวกอีเดียดบางคนมาบอกผมว่าทำไมผมถึงทำแบบนี้ ปล่อยเป็นเรื่องของคนในตระกูลเขาจัดการเอง และจะทำให้เสื่อมพระเกียรติหรือเปล่า ผมก็บอกไปว่าถ้าอยู่โรงจำนำอยู่กับไพร่มึงชอบหรือ กูทนไม่ได้ เพราะนี้เป็นพระบรมอัฐิในหลวงรัชกาลที่5นะ ถ้าเป็นพ่อแม่มันผมก็ไม่สนหรอก

 ใน ภาพทุกท่านก็จะเห็นว่ามีพระโกศทองอยู่หลาบองค์นั่นก็กระดูกพ่อกระดูกแม่มัน จะให้ผมเฉยก็ได้นะ แล้วต่อไปถ้าเกิดมีคนไปทำกับพระองค์อื่นล่ะจะเฉยๆไหม ถ้าไม่คิดจะทำอะไรอย่ามาปรารถนาดีกับผมดีกว่า ยิ่งถ้าเป็นพวกที่เคย ไปไหว้พระบรมรูปของพระองค์ท่านที่ลานพระบรมรูปทรงม้าด้วยแล้ว ผมก็บอกกับมัน ไปว่า "มึงขอท่านอย่างเดียว นี่ท่านเดือดร้อนเสือกมาสอนกูอีก ไปไกลๆเท้าเลย".

พวกมันไม่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ถ้าไม่มีพระองค์ท่านป่านนี้เรากลายเป็นเมืองขึ้นฝรั่งเศสไปแล้วรวมทั้งอาจเป็นทาสอยู่  ท่านมุ้ยทราบแล้วครับ ก็หวังว่าท่านจะรับเป็นธุระ ขอบอก เรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่ผมมาทำเรื่องนี้ไม่ใช่อยากจะดังอะไรกับเขา แต่ผมให้คำสัตย์ต่อพระองค์ท่านว่าผมจะปกป้องพระองค์ท่านด้วยชีวิต เสียดายที่ผมไม่ได้เรียน โรงเรียนนายร้อย จปร. ไม่ได้เป็นทหารอย่างที่เขาเป็นกัน มีกำลังแค่นี้ก็ทำเต็มที่ครับ

Thepmontri Limpaphayom September 19 
ได้ทราบข่าวเพิ่มเติมมาครับว่า พระนลาฎนั้นห่อด้วยแผ่นพระสุพรรณบัฏทองคำ และรวมถึงพระทนต์สองซีกด้วย ตอนนี้พระทนต์ถูกขายไปแล้ว อนึ่งคนจำนำรู้เรื่องแล้ว แต่คงไม่มีปัญญาไปไถ่คืน เหนื่อยหน่ายต่อเรื่องนี้เต็มทน แต่ต้องนำพระบรมอัฐิกลับไปไว้ในที่ที่เหมาะสมให้ได้

ผม เชื่อว่าพระองค์ท่านได้ทรงทราบแล้วถึงความตั้งใจของพวกเรา เสียดายที่ผมใช้เงินส่วนใหญ่ไปซื้อลายพระหัตถเลขาของพระองค์ แต่จะขอร้องให้คนในตระกูลช่วยจัดการเป็นธุระเรื่องนี้ พระองค์ท่าน มีพระมหากรุณาธิคุณกับพวกเรา ผมอ่านลายพระหัตถ์ทั้ง ๗๐ หน้า น้ำตาไหลออกมายังไม่หยุดเลยครับ นี่ขนาดเป็นจดหมายลับส่วนพระองค์ ประชาชนในสมัยนั้นถ้าได้รู้ถึงน้ำพระทัยพระองค์ท่านที่จะปกปักษ์รักษาบ้านเมืองพระองค์ท่านทรงหนังสือถึงพระยาสุริยานุวัตร อ่านแล้วกลั่นน้ำตาไม่อยู่จริงๆ เรื่องพระบรมอัฐิเป็นเรื่องใหญ่ เกินกำลังของผมครับ ได้แต่นั่งเสียใจ เสียใจจริงครับ

Thepmontri Limpaphayom September 20 
ถ้า พวกท่านพวกคุณทั้งหลายที่ทราบเรื่องแล้วยังนิ่งดูดายหรือแค่ไปไล่เบี้ยผู้ ที่นำพระบรมอัฐิและพระบรมโกศไปจำนำแล้วไม่ทำอะไรต่อหรือหาหนทางนำพระบรมอัฐิ และพระบรมโกศไปไว้ในที่ที่เหมาะสมกว่านี้ ผมคงต้องกล่าวคำว่าเสียใจ และคงต้องตำหนิคนในตระกูลยุคลทุกคน เพราะพวกท่านพวกคุณเกิดในชาติตระกูลที่สูงส่งกว่าผู้อื่นแต่กลับกระทำการ ปล่อยปละละเลยได้เพียงนี้ ไพร่สามัญประชาชนที่ไหนเขาจะนับถือ ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ หากเป็นผม ผมจะทำทุกวิถีทางที่จะนำของเหล่านี้กลับคืนมาเพราะมีคุณค่าประมาณค่าไม่ ได้ ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ หากเป็นผม ผมจะทำทุกวิถีทางที่จะนำของเหล่านี้กลับคืนมาเพราะมีคุณค่าประมาณค่าไม่ได้ ผมได้ทราบว่าพวกท่านพวกคุณได้ทราบแล้ว คิดเห็นเป็นประการใดควรเร่งให้เรื่องนี้ยุติเสียที ถ้ายังไม่ทำอะไรทำเป็นทองไม่รู้ร้อนผมจะทำได้ดังนี้
1.จะนำเรื่องนี้ไปให้ประชาชนที่ลานพระบรมรูปทรงม้าได้รับรู้
2.นำความนี้ขึ้นถวายฎีกาให้พระเจ้าอยู่หัวได้ทรงทราบ

ผม หวังว่าพวกท่านพวกคุณทั้งหลายคงจะเข้าใจสิ่งที่ผมได้กระทำ มันไม่ใช่เรื่องที่ผมอยากดังอยากมีชื่อเสียงแต่เรื่องนี้มันกระทบกระเทือน จิตใจต่อผู้ที่จงรักภักดีต่อล้นเกล้าฯรัชกาลที่5 หากคนที่เอาพระบรมอัฐิและพระบรมโกศไปจำนำมาฟ้องผมเพราะมันเป็นความ"ลับ" เนื่องจากผมทำตัวเสือกไม่เลือก เพราะเขาคงคิดว่าไม่ใช่กระดูกพ่อกระดูกแม่มึงสักหน่อย เออกูจะตอบมึงต่อหน้าศาลเลยว่านั่นคือพระบรมอัฐิและพระบรมโกศ มึงจะให้คนทั้งแผ่นดินศรัทธาในหลวง หรือมึงคิดหากิน เอาซิกูจะสู้จนถึงที่สุด ถ้าเป็นกระดูกพ่อแม่มึงกูจะไม่สนเลย นี่มันพระบรมอัฐิในหลวงรัชกาลที่ ๕ เสด็จปู่ของในหลวงองค์ปัจจุบัน

ถ้าศาลบอกว่ากูเสือกกูผิดก็คอยดูตอนนั้นก็แล้วกัน กูผิดตรงไหนมึงเอาพระองค์ท่านไปจำนำไว้กับใครก็ไม่รู้ กูรู้มาว่าถ้าไปไถ่ประมาณ ๕-๖ บาท นี่เป็นพระบรมอัฐิของในหลวงรัชกาลที่ ๕นะ มึงทำไมทำได้ลงคอ ดี แล้วกูรู้ว่ามึงมาดูเฟสบุ้คส์กู กูจะไปบอกเพื่อนกูที่เขามาเคารพและสักการะพระองค์ท่านที่พระบรมรูปทรงม้า แล้วมึงคอยดูว่าอะไรจะเกิดขึ้น คนเขาศรัทธามึงทำไปไม่รู้จักคิด คนในตระกูลยุคลเขาเอือมระอากับมึงแต่กูมีเวลาว่างจะจัดการเรื่องนี้ ถ้ามึงแน่จริงจัดแถลงข่าวแล้วโชว์ของให้ครบนะ กูจะคอยดู มึงทำกับในหลวงรัชกาลที่ ๕ ได้อย่างไร หัวใจของมึงทำด้วยอะไร

Thepmontri Limpaphayom September 21 
เพื่อนๆ ครับเพื่อเป็นบทเรียนสำหรับเรื่องนี้ ผมจะนำความขึ้นกราบบังคมทูลฯให้ทรงทราบที่มาที่ไปของเรื่องนี้และจะขอราย ชื่อของเพื่อนๆต่อท้ายฎีกา ผมจะดำเนินการวันอังคารที่ี ๒๗ กันยายน ๒๕๕๔ นี้ นะครับ ส่งเป็นข้อความมาทาง facebook หรือทางมือถือก็ได้นะครับ จำเป็นต้องเข้าชื่อถวายฎีกา ต้องขอพึ่งพระบารมีแล้วครับในเมื่อคนในตระกูลนี้ยังวางเฉยอยู่ ขอบคุณครับส่งเข้ามาทางข้อความเฟสบุ้คส์นะครับ ขอชื่อ-นามสกุล เลขที่บัตรประจำตัวประชาชน เบอร์โทรศัพท์ เมื่อร่างเสร็จแล้วจะส่งให้ดูทาง FB ครับ ขอบุณทุกท่านนะครับ ผมต้องทำตรงนี้เรื่องด่วนครับ ปล่อยไว้กับสามัญชนนานๆไม่ดีครับ   หนทางนี้เป็นหนทางหนึ่งที่จะทำให้พระบรมอัฐิปลอดภัยครับ อย่างน้อยใครที่เกี่ยวข้องก็ไม่กล้าทำลาย และถูกขายไปต่างประเทศ เราต้องร่วมแรงร่วมใจกันกระทำการสิ่งนี้เพื่อทดแทนคุณในพระมหากรุณาธิคุณของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผมจะทำทุกอย่างตามกำลังความสามารถครับ แล้วผมจะส่งจดหมายให้คนในตระกูลยุคลต้องอ่าน

Thepmontri Limpaphayom September 22  
ขอบคุณทุกท่านนะครับรายชื่อพอเพียงสำหรับการทำหนังสือกราบบังคมทูลฯแล้วนะครับ ขอบคุณทุกท่านครับ
ผม เป็นแค่ชนชั้นสามัญก็ทำเท่าที่จะทำได้ แต่ก็ทำเต็มที่เรียกหาจิตสำนึกแม่งทุกวัน พวกท่านพวกคุณจะเกลียดผมก็ได้แต่ขอช่วยลงขันแล้วไปบอกให้คนที่พวกท่านพวกคุณ รู้จักดีให้เขานำเงินไปไถ่คืนมาเถอะ ขอร้องเถอะจะให้ไปกราบตีน(พระบาท/เท้า)พวกท่านพวกคุณผมก็ยอม

Thepmontri Limpaphayom September 23
ผม ขอให้ข้อมูลเพิ่มเติม ภาพที่ผมนำมาลงนี้เป็นเหตุการณ์ช่วงสงกรานต์ปีไหนสักปีหนึ่ง แต่ตอนนั้นท่านกบยังมีพระชนมชีพอยู่ พระสหายของท่านกบเล่าให้ผมฟังเมื่อสักครู่ว่า ในภาพนี้คือตอนที่อัญเชิญพระบรมโกศและพระโกศของเจ้านายในตระกูลยุคลลงมาไว้ ในห้องทรงงานของท่านกบ เพื่อนให้บรรดาเครือญาติได้สรงน้ำเนื่องในวันสงกรานต์และทำบุญพระบรมอัฐิของ ในหลวงรัชกาลที่ ๕ ส่วนพระโกศที่ประกอบอยู่่ด้านล่างก็สันนิษฐานว่าคงไม่อยู่แล้วเช่นกัน

 อนึ่ง ที่ผมเข้ามาทำเรื่องนี้ก็เพื่อต้องการให้พวกท่านและคุณทั้งหลายจงเร่งที่จะ นำพระบรมอัฐิพระบรมโกศที่ถูกจำนำไว้กลับคืนมา ไม่ได้มีเจตนาให้ร้ายหรือต้องการให้เสื่อมเกียรติแต่อย่างใด ปรากฏว่าพวกท่านและคุณทั้งหลายแทนที่จะหาทางทำอย่างใดอย่างหนึ่งแต่กลับที่ จะหาช่องทางมาทำร้ายทำลายผม มันเรื่องอะไรกัน แต่ผมก็ไม่กลัวอะไรเพราะผมคิดว่าได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ดวงพระวิญญาณของในหลวงรัชกาลที่ ๕ คงจะรับรู้ได้ว่าไพร่สามัญคนหนึ่งที่เกิดในยุครัตนโกสินทร์ได้พยายามที่จะปก ป้องพระเกียรติยศมิให้มีรอยมลทิน เหมือนที่คนในตระกูลนี้ได้ปล่อยปละละเลยอย่างที่เห็นกันอยู่ ผมจึงต้องตัดสินใจที่จะนำความขึ้น กราบบังคมทูลฯอย่างเป็นทางการโดยมีเพื่อนๆร่วมลงชื่อโดยหวังใจว่าจะมีข่าวดี จากวันนี้ไปจนก่อนสิ้นเดือนนี้ครับ ผมจะถวายฏีกาในความเดือนเนื้อร้อนใจครั้งนี้ในวันอังคารครับ

เรื่องนี้ผมทำส่วนตัวผมเอง ไม่ใช่พันธมิตรอย่าเข้าใจผิดนะครับ เดียวคนอื่นเขาจะเดือดร้อน

ผม ได้รับไมตรีจิตด้วยการที่เพื่อนๆได้ส่งชื่อ-นามสกุลและเบอร์โทรศัพท์มาให้ เพื่อนำไปลงท้ายหนังสือกราบบังคมทูลเกล้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยจะผ่านไปทางสำนักราชเลขา ซึ่งมีที่ทำการอยู่ในพระบรมมหาราชวัง เหตุที่ต้องขอเบอร์โทร.นั้นก็เพื่อบางทีอาจมีเจ้าหน้าที่โทรไปตรวจสอบ สำหรับคนที่ลงชื่อ-นามสกุลในท้ายจดหมายนี้ ผมขออนุญาตลงเบอร์โทร.ของแต่ละท่านเอาไว้ด้วยนะครับ แต่จะไม่นำไปโพส์ตในที่ใดนอกจากหนังสือ และเมื่อผมร่างหนังสือเสร็จ จะให้ดูฉบับร่างเท่านั้นนะครับจะไม่มีเบอร์โทรศัพท์ ต้องขอบคุณทุกท่านอีกครั้งหนึ่ง ผมจะทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะมีความสามารถทำ ได้ หลังจากนี้แล้วเราค่อยว่ากันอีกครั้งนะครับ กำหนดยื่นยังคงเป็นวันอังคารนี้เหมือนเดิมครับ

Thepmontri Limpaphayom Sunday 
วัน อังคารนี้ยื่นหนังสือถวายฎีกาแล้วขอรับ เชื่อไหมทำเรื่องนี้เรื่องเดียว ทั้งๆที่เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องกระทำ ผมมีศัตรูเพิ่มนับ1000คนทั้งคนในตระกูลและคนในวงการบันเทิงที่มีประโยชน์ อยู่ พวกนี้บางคนบอกผมว่า "คุณทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสม ไปว่าเขาทำไมเรื่องของเขา". (แต่เป็นเรื่องของกูด้วย) ในที่สุด ผมก็ได้ค้นพบสัจจะธรรมอย่างหนึ่งคือ แม้เป็นถึงลูกหลานก็ยังไร้สำนึก ขอให้พ่อมหาจำเริญแม่มหาจำเริญทุกคนใน ตระกูลนี้ จงพบกับสิ่งที่ได้ทำไว้

Thepmontri Limpaphayom  Monday
ขอ พูดสักหน่อยเถอะ ที่ผมมาทำเรื่องพระบรมอัฐิ ก็ทำได้ในวงจำกัด มีความสามารถเท่าใดก็จะทำเต็มที่ อย่าคาดหวังว่าผมจะดลบันดาลอะไรได้นะครับ ผมทำเท่าที่เห็นว่าควรจะทำ เมื่อถวายฎีการ้องทุกข์แล้วก็ต้องรอ มันอาจจะต้องใช้เงินซึ่งนั่นก็คือปัญหา คนที่ต้องไปไถ่ออกมาจากที่เอาไปจำนำ ต้องเป็น"ยุคล" ไม่ใช่นามสกุลอื่นเลยครับ ขอให้เข้าใจด้วยนะครับ
                              หนังสือฎีการ้องทุกข์ (ฉบับร่าง) พระบรมโกศ
                   by Thepmontri Limpaphayom on Monday, September 26, 2011 at 9:08pm
(ฉบับร่าง)
                                                                                                           ๒๗  กันยายน  ๒๕๕๔
เรื่อง   ขอนำความขึ้นกราบบังทูลเกล้าฯแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เกี่ยวกับพระบรมโกศบรรจุพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ หัวมหาราช  ถูกนำไปจำนำ
เรียน  ท่านราชเลขาธิการ
สิ่งที่ส่งมา ด้วย  ภาพถ่ายห้องทรงงานของ มจ.ฐิติพันธ์  ยุคล ซึ่งนำพระบรมโกศบรรจุพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ณ  วังอัศวิน

 ตามที่กระผมนายเทพมนตรี  ลิมปพยอมและประชาชนผู้มีชื่อในท้ายจดหมายนี้  ขอกราบเรียนข้อความร้องทุกข์เรื่องเกี่ยวกับพระบรมโกศบรรจุพระบรมอัฐิของพระ บาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕  ซึ่งได้ถูกหม่อม.......... นำไปจำนำแก่พ่อค้าทองเก่าย่านเยาวราช  กระผมได้สืบทราบมาจาก ............... ซึ่งอ้างว่าเป็นคนสนิทของมจ.ฐิติพันธ์  ยุคล  และได้เคยเห็นพระบรมโกศบรรจุพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า อยู่หัวประดิษฐานอยู่ณ วังอัศวิน  ซึ่งบัดนี้ได้ถูกนำไปจำนำเอาไว้เป็นเงินหลายล้านบาท  จึงเป็นเรื่องที่มิบังควรและสมควรที่จะหาหนทางนำพระบรมโกศบรรจุพระบรมอัฐิ องค์นี้ไปประดิษฐานในสถานที่ที่เหมาะสม

จากการศึกษาในราย ละเอียดของพระบรมโกศพบว่า  ภายในบรรจุแผ่นพระสุพรรณบัฏทองคำห่อพระบรมอัฐิส่วนพระนลาฏ ๑ องค์ และพระทนต์   จำนวน  ๒  องค์

กระผมได้ดำเนินการชี้แจงเรื่อง ราวต่างๆลงในสื่อออนไลน์  จนมีผู้ไปกราบเรียนคนในราชสกุลยุคลได้รับทราบกันอย่างทั่วถึง  แต่เมื่อเวลาผ่านไปเกือบ  ๒  สัปดาห์  ปรากฏว่า ไม่มีคนในราชสกุลยุคลเดือดเนื้อร้อนใจกับเรื่องนี้เลย  กระผมและประชาชนจึงได้ทำหนังสือฉบับนี้ขึ้นเพื่อเป็นการร้องทุกข์ในฐานะ ประชาชนที่มีความจงรักภักดีและทนต่อการกระทำที่เป็นการอกตัญญูแก่พระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ได้       

จึงขอกราบ เรียนให้ท่านได้โปรดนำความขึ้นทูลเกล้าฯให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ ทรงทราบถึงความเป็นไปตามที่กระผมและประชาชนได้นำเรียนไว้ข้างต้นนี้ จักเป็นพระคุณยิ่ง

                                                                                                          ขอแสดงความนับถือ

                                                                                                          ชื่อผมและเพื่อนๆครับ


Thepmontri Limpaphayom 18 hours ago 
กำหนด การร่วมชุมนุมพร้อมถวายราชสดุดีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระปิยะมหาราช ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า วันอังคารที่ 18 ตุลาคม 2554 เวลา 17.30 น. ขอเชิญประชุมปรึกษาหารือเพื่อนๆ เรื่องพระบรมอัฐิและพระบรมโกศ แต่งกายสีดำหรือสีชมพู ขอให้นำดอกกุหลายแดงหรือชมพูมาคนละ ๑ ดอก สำหรับผมได้เตรียมเอกสารและพวงมาลาไว้แล้วครับ (จะรายงานความคืบหน้าเป็นระยะนะครับ) ไปวันที่ ๒๓ ตุลาคม คนเยอะครับไม่สะดวก ผมเลือกวันที่สะดวกที่สุด เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่อยากให้ทุกคนได้รับรู้

ขาย บ้าน ขายที่ดิน ขายรถ ขายสมบัติ(เพชรทองพลอย) ขายลูก ขายเมีย ขายตัว ยังไม่เท่า ขายกระดูกปู่ย่าตาทวด คนเนรคุณ อัปรีย์จัญไร สัมภะเวสี เปรต อสุรกาย สัตว์นรก ผีห่าซาตานตนใดในสยามประเทศทำให้เป็นเช่นนี้ กูมันเป็นแค่ไพร่ กูยังรู้คุณเลย

กระดูกปู่ย่าของกูยังแย่งกันบูชา นี่กระดูกคนสำคัญของชาติพวกมึงปล่อยปล่อยปละละเลย บอกไม่รู้พึ่งรู้นะเนี่ย นั่นก็แสดงว่ามึงไม่ไปไหว้มาหลายปีแล้ว ให้นังไพร่เอาไปขายกินได้อย่างไร มึงปลูกฝังให้กูบูชา กูบูชาเข้าถึงหัวใจของกู แต่มึงกลับเอาท่านไปไว้กับคนจีนที่ไม่รู้เรื่อง พวกมึงอยู่ได้อย่างไร สำนึกบ้างไหม  ถ้ามึงเอาคืนมาแล้ว มึงจะไม่เอาพระองค์ท่านไว้ที่บ้านก็บอกมาเลย แต่ไม่ใช่ให้พวกกูต้องไปไถ่คืนเอากับคนรับจำนำ ดอกเดือนละหกสลึง กูมันแค่ไพร่จะเอาเงินที่ไหนไปไถ่คืน ถ้าจะเรี่ยไรเงินทองอย่างเดียว ไอ้พวกเลวมันก็ว่ากู ใครก่อกรรมนี้ต้องรับผิดชอบ

มึงทนให้กู ด่าได้ก็เอา ให้เพื่อนกูด่าแบบสุภาพได้ทุกวันก็เอา ตราบใดที่มึงไม่สนใจที่จะทำอะไรกูก็จะด่า จนเขาเลิก FACEBOOK ถ้าพวกมึงคิดว่า กูเป็นคนเลวที่เอาเรื่องนี้มาให้เพื่อนๆกูรู้ มึงมันก็สารเลวยิ่งกว่ากู

ถ้าไม่มีอะไรดีขึ้นจัดแถลงข่าวที่ลานพระบรมรูปทรงม้าเลยครับ ไม่เอาแล้วไม่ไหวแล้วครับ


หมายเหตุ เป็น การรวบรวมPost และ Comment ของอ.เทพมนตรี ลิมปพยอมใน Facebook นับตั้งแต่อ.เทพมนตรีได้นำเรื่องนี้ขึ้นมาตั้งแต่วันแรกจนถึงปัจจุบัน ได้มีการตัด ต่อ บางถ้อยคำเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพื่อความเข้าใจอย่างต่อเนื่องของผู้อ่านค่ะ

ปล.

ข้าพระพุทธเจ้าในฐานะพสกนิกรของพระองค์มียศศักดิ์เป็นเพียงแค่ไพร่ฟ้าประชาชน มิได้มีเจตนาที่จะทำให้ใครเสื่อมเสีย ความจริงแล้วเรื่องนี้หากข้าพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นชนชาวสยาม ข้าพระพุทธเจ้าก็จะหาได้ใคร่ใส่ใจไม่ แต่เนื่องจากข้าพระพุทธเจ้าเกิดบนแผ่นดินนี้ ถูกปลูกฝังให้มีควาามจงรักภักดีและรู้ซึ่งถึงพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ หาผู้ใดมาเสมอเหมือนมิได้ ข้าพระพุทธเจ้ายิ่นดีที่จะถูกว่ากล่าว หรือตำหนิติเตียนแบบไหนก็ได้ ขอเพียงแต่ให้พระบรมโกศของพระองค์ไปประดิษฐานในที่อันเหมาะสมอันสมควร มิให้ฝรั่งมั่งค่ามันนำพาไปยังต่างประเทศ นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปข้าพระพุทธเจ้าจะทำตามวิธีการของข้าพระพุทธเจ้า หากกาลต่อไปภายภาคหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าพระพุทธเจ้ายินดีรับผลจากการกระทำในครั้งนี้ทุกสิ่งทุกอย่างโดยจะไม่บ่นหาสิ่งใดเลย ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม

ข้าพระพุทธเจ้า นายเทพมนตรี ลิมปพยอม










นายเทพมนตรีได้ร่างหนังสือขึ้นกราบบังคมทูลทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต่อไป

(ร่างหนังสือฏีกา)
(ฉบับร่าง)
๒๗ กันยายน ๒๕๕๔
เรื่อง ขอนำความขึ้นกราบบังทูลเกล้าฯแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เกี่ยวกับพระบรมโกศบรรจุพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมหาราช ถูกนำไปจำนำ
เรียน ท่านราชเลขาธิการ
สิ่งที่ส่งมาด้วย ภาพถ่ายห้องทรงงานของ มจ.ฐิติพันธ์ ยุคล ซึ่งนำพระบรมโกศบรรจุพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระจุลจอเกล้าเจ้าอยู่หัว วังอัศวิน
ตามที่กระผมนายเทพมนตรี ลิมปพยอมและประชาชนผู้มีชื่อในท้ายจดหมายนี้ ขอกราบเรียนข้อความร้องทุกข์เรื่องเกี่ยวกับพระบรมโกศบรรจุพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ซึ่งได้ถูกหม่อม.......... นำไปจำนำแก่พ่อค้าทองเก่าย่านเยาวราช กระผมได้สืบทราบมาจาก ............... ซึ่งอ้างว่าเป็นคนสนิทของ มจ.ฐิติพันธ์ ยุคล และได้เคยเห็นพระบรมโกศบรรจุพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประดิษฐานอยู่ ณ วังอัศวิน ซึ่งบัดนี้ได้ถูกนำไปจำนำเอาไว้เป็นเงินหลายล้านบาท จึงเป็นเรื่องที่มิบังควรและสมควรที่จะหาหนทางนำพระบรมโกศบรรจุพระบรมอัฐิองค์นี้ไปประดิษฐานในสถานที่ที่เหมาะสม
จากการศึกษาในรายละเอียดของพระบรมโกศพบว่า ภายในบรรจุแผ่นพระสุพรรณบัฏทองคำห่อพระบรมอัฐิส่วนพระนลาฏ ๑ องค์ และพระทนต์ จำนวน องค์
กระผมได้ดำเนินการชี้แจงเรื่องราวต่างๆลงในสื่อออนไลน์ จนมีผู้ไปกราบเรียนคนในราชสกุลยุคลได้รับทราบกันอย่างทั่วถึง แต่เมื่อเวลาผ่านไปเกือบ สัปดาห์ ปรากฏว่า ไม่มีคนในราชสกุลยุคลเดือดเนื้อร้อนใจกับเรื่องนี้เลย กระผม และประชาชนจึงได้ทำหนังสือฉบับนี้ขึ้นเพื่อเป็นการร้องทุกข์ในฐานะประชาชน ที่มีความจงรักภักดีและทนต่อการกระทำที่เป็นการอกตัญญูแก่พระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ได้
จึง ขอกราบเรียนให้ท่านได้โปรดนำความขึ้นทูลเกล้าฯให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัวได้ทรงทราบถึงความเป็นไปตามที่กระผมและประชาชนได้นำเรียนไว้ข้างต้นนี้ จักเป็นพระคุณยิ่ง
ขอแสดงความนับถือ



โผล่อีก! "พระบรมราชโองการ ร.7" สมบัติราชสกุล "บริพัตร" ไปอยู่ร้านประมูล



นาย เทพมนตรี ลิมปพยอม ได้เปิดเผยผ่านเฟรซบุ๊คว่า มีหนังสือพระบรมราชโองการของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ ที่เป็นสมบัติของราชสกุล "บริพัตร" ไปโผล่อยู่ที่ร้านประมูล ผ่านมาหลายมือ จนนายเทพมนตรีได้ซื้อขึ้นไว้ และได้ประกาศผ่านเฟรซบุ๊คว่า "พระบรมราชโองการดังกล่าว" มาอยู่ในร้านประมูลได้อย่างไร?
Thepmontri Limpaphayom ขอเรียกค่าไถ่จากคุณชาย มันมีคนเอาไปประมูลครับ ท่านที่มีชื่ออยู่ในรับสั่งของในหลวงรัชกาลที่ ๘ เป็นเจ้าของวังสวนผักกาด คุณชายสุขุมพันธุ์ควรซื้อเก็บเข้าพิพิธภัณฑ์วังสวนผักกาดนะขอรับ คำเตือนมิฉะนั้นคงไปอยู่เมืองนอกเร็ววันนี้ขอรับ


โผล่อีกชิ้น! เข็มขัดทองคำฝังเพชร "สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ" ในพิพิธภัณฑ์อังกฤษ


ในเฟรซบุ๊คบันทึกของอาจารย์เทพมนตรี ลิมปพยอม ตามลิ้งดังกล่าวนี้
มี บันทึกที่น่าสนใจเรื่องหนึ่ง คือเรื่องการค้นพบเข็มขัดทองคำฝังเพชร ซึ่งระบุชัดเจนว่าเป็นสมบัติของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระพันปีหลวง ซึ่งจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์กรุงลอนดอน ทีมงานใครขออนุญาตนำภาพและข้อความในเฟรซบุ๊คดังกล่าวมาเผยแพร่เพื่อร่วมกัน ทวงถามสมบัติคืน

" เข็มขัดทองคำประดับเพชร ของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ สมเด็จพระพันปีหลวง จัดแสดงอยู่ที่ VICTORIA AND ALBERT MUSEUM กลางกรุงลอนดอน เข็มขัดทองคำฝังเพชรเป็นสมบัติอันล้ำค่าของราชวงศ์จักรี ป้ายคำบรรยายบอกชัดเจนว่าเป็นสมบัติของพระองค์ท่านพร้อมแสดงภาพที่พระองค์ท่านฉลองพระองค์ด้วยเข็มขัดดังกล่าว ผมเห็นว่าประเทศไทยควรเปิดศักราชใหม่ในการทวงสมบัติอันล้ำค่าที่ต้องไปอยู่ต่างแดนด้วยการขโมย ขายไปอย่างผิดกฏหมาย แต่สำหรับเข็มขัดเส้นนี้กลับเขียนว่า PRIVATE LOAN. ซึ่งน่าสนใจมากว่า อาจเป็นของถูกขายออกมาจาก ... ใคร? หรือถ้าตรวจสอบแล้วไม่มีที่มาที่ไปแน่ชัดรัฐบาลไทย (ใหม่) ควรทวงของชิ้นนี้กลับคืนสู่ประเทศไทย ผมได้แสดงให้เห็นภาพเข็มขัดอย่างชัดเจนแล้วครับ "

ทางเลือกทางรอดประเทศไทย “อำมาตยาฯหรือทุนทรราช”



ทางเลือกทางรอดประเทศไทย “อำมาตยาฯหรือทุนทรราช”
โดย Tan Rasana เมื่อ 5 ตุลาคม 2011 เวลา 12:34 น.
เขียนเอาไว้ตั้งแต่ปี ๒๕๕๒ เอามาให้อ่านกันใหม่ คิดว่ายังไม่เชย
 
ทางเลือกทางรอดประเทศไทย “อำมาตยาฯหรือทุนทรราช”
                                     
          วาทะกรรมอันร้อนแรงของทักษิณ ชินวัตรที่ประกาศจะล้ม “อำมาตยาธิปไตย”คือการแสดงท่าทีที่แจ่มชัดในการเคลื่อนไหวทางการเมืองซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการ “ทิ้งไพ่ใบสุดท้าย” ทำให้รอยปริร้าวบนความแตกต่างทางความคิดของผู้คนในประเทศแตกหักในทันที  คล้ายจะเป็นการปักป้ายประกาศทางเลือกระหว่างการปกครองแบบสองระบอบอ้างอิงความเป็นประชาธิปไตย
 
          และมันก็คือการประกาศสงคราม...//
 
          สงครามที่บรรดาเหล่าขุนพลเองไม่รู้ว่าด้วยซ้ำว่า แม่ทัพของเขากำลังอยู่บนส่วนไหนของเปลือกโลก  ขณะที่สงครามนี้ เป็นสงครามที่หมิ่นเหม่ที่จะเกิดการปะทะกันระหว่างมวลชนอย่างยิ่ง
 
          อนึ่ง วาทะกรรมทางการเมืองที่ใช้เรียก “อำมาตยาธิปไตย”และกลยุทธการใช้ข้ออ้างนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่  ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย การรัฐประหาร ๒๔๗๕ และการเรียกร้องสิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยในยุคนั้นก็ได้พุ่งปลายหอกไปสู่ “คณะอภิรัฐมนตรี”ที่อยู่แวดล้อมกษัตริย์ หรือหากจะใช้วาทะกรรมของทักษิณ ชินวัตร ก็ต้องบอกว่าเป็น “พวกรอบวัง” ต่างกันก็แต่บทบาท อำนาจและกาลเวลาหากสถานะและหน้าที่เกือบจะคล้ายคลึงกัน 
 
          ย้อนกลับไปพิจารณาทบทวนการพัฒนาประชาธิปไตยในบ้านเมืองของเรา หลังจากที่ระบบทุนได้เข้ามามีบทบาทเหนือการเมืองสักนิด 
 
          ใช่หรือไม่ว่า-ประชาธิปไตยได้กลายเป็นข้ออ้างของนักเลือกตั้งผู้หาวิธีเข้าสู่อำนาจได้อย่างง่ายๆโดยวิธีการล่อซื้อคะแนนด้วยเงินรายหัวที่มีค่าเท่ากับอาหารของคนชั้นกลางเพียงจานเดียว  โดยมีเป้าหมายเพื่อเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ทางธุรกิจของตนเอง
 
          ใช่หรือไม่ว่า-อาชีพนักการเมืองได้กลายเป็นอาชีพเพื่อการลงทุนไปเสียแล้ว
 
          และใช่หรือไม่ว่า-ระบบทุนได้เข้ากลืนกินระบอบประชาธิปไตยไปเกือบครึ่งค่อนเข้าไปแล้ว
 
          ไม่ใช่เพียงแต่เม็ดเงินจากการถอนทุนคืน  บรรดาผู้ที่อ้างตนมาจากการเลือกตั้งได้ยังได้รับอภิสิทธิ์ในเรื่องของเกียรติยศและศักดิ์ศรีที่สำคัญก็คืออำนาจ
 
          อำนาจ...ซึ่งในท้ายที่สุด มันจะกลายเป็นเครื่องมือที่ถูกนำกลับมาขูดรีดสังคมอย่างฝังเร้นและฉ้อฉล แต่มันได้ถูกทำให้กลายเป็นสิ่งชอบธรรมโดยช่องว่างของกฎหมาย บนความเพิกเฉยของเจ้าพนักงานแห่งรัฐที่ต้องคอยพินอบพิเทาต่อศูนย์อำนาจดังกล่าว
  
          สำหรับนักการเมืองที่มักน้อย กินน้อย ก็ยังได้อานิสงค์จากวิธีการเลือกตั้งว่า อย่างน้อยก็มีความชอบธรรมที่จะเชิดหน้าชูตาในรัฐสภาอันทรงเกียรติ และก็มักจะได้รับสมญาว่าเป็นนักการเมืองคุณภาพ  และได้กลายมาเป็นบุคลากรทางการเมืองผู้มีอุดมการณ์ ผู้ที่ได้สร้างความหวังให้แก่การพัฒนาระบอบประชาธิปไตยไทยที่ไม่เคยบรรลุสู่เป้าหมายในทางเป็นจริง
 
          อันเนื่องมาจากการที่นักเลือกตั้งในระบบทุนเข้าสู่อำนาจได้โดยการฉ้อฉลติดสิบบนหัวคะแนนและล่อซื้อเสียงจากผู้มีสิทธิ์  การดำรงอยู่ของพวกเขาจึงต้องขยันหมั่นเพียรอย่างยิ่งที่จะทำตนให้เป็นที่ปรากฎต่อสาธารณะในรูปแบบอันกล้าหาญต่างๆ ซึ่งอ้างว่าอิงแอบกับผลประโยชน์ประชาชน  เช่น
          -สร้างนโยบายรัฐสวัสดิการ เพื่อเรียกคะแนนนิยม แต่กลับปกปิดความจริงที่เกิดความเสียหายเชิงหลักการและผลกระทบอื่นๆที่ตามมา เพียงเพราะต้องการให้ถูกใจประชาชนมากกว่าความถูกต้องตามหลักการบริหารระบบที่ต้องพิจารณาอย่างเป็นองค์รวม
 
          -ปรากฏตัวตามสื่อ เพื่อสร้างวาระที่ให้ประชาชนลืมไม่ลง หรือแม้กระทั่งการชิงไหวชิงพริบที่น่าเอือมระอาเพื่อให้ได้มีโอกาสได้ลุกขึ้นถกเถียงกันอย่างดื้อด้านในช่วงเวลาของการถ่ายทอดสดการประชุมสภา
 
          -สร้างวาทกรรมทางการเมืองและนำเอาเทคนิคการใช้คำขวัญโฆษณา หากเวลาใดที่พวกเขาเกิดความไม่มั่นคงอันเนื่องมาจากถูกตรวจสอบ ถูกเปิดโปงคดีคอร์รัปชั่นของตนเอง พวกเขาจะเร่งรีบเค้นสมองเพื่อการนี้
 
          และวาทกรรมสำเร็จรูปแบบอาหารแดกด่วนที่ง่ายต่อการหยิบฉวยมาใช้ ก็คือ อ้างความเป็นรัฐบาลที่มาจากหีบเลือกตั้ง แต่ทำเป็นลืมไปว่า บัตรแต่ละใบในหีบได้มาจากการมือที่ตนซื้อเสียงไปทั้งหมดแล้ว
 
          ข้อเท็จจริงเหล่านี้ทำให้ผู้คนเบื่อหน่ายต่อนักเลือกตั้งและผู้ที่พล่ามพูดถึงความเป็น “รัฐบาลประชาธิปไตย”จนกลายเป็นบทอาขยานสำหรับเขา
 
          พวกเขาจงใจที่จะบิดเบือนความเป็นจริงที่ว่า ประชาธิปไตยหรือเผด็จการนั้นแท้ที่จริงเป็นทั้งได้วิธีการและอุดมการณ์  รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่อ้างว่าเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยนั้น ก็อาจจะกลายเป็นรัฐบาลเผด็จการได้ หากใช้วิธีการแบบเผด็จการในรัฐสภา เช่น ใช้อำนาจเงินฟาดหัวส.ส.ในรัฐสภาเพื่อโหวตให้กับผลประโยชน์ของตนในการออกกฎหมายเอื้อผลประโยชน์ให้แก่ธุรกิจ เป้าหมายก็คือการลดค่าสัมปทานที่ตนเองเป็นผู้ครอบครอง การใช้อำนาจเหนือเจ้าพนักงานของรัฐให้ช่วยหาช่องว่างทางกฎหมายเพื่อการหลีกเลี่ยงภาษี ปรากฏการณ์ดั่งนี้ย่อมไม่ใช่อุดมการณ์ประชาธิปไตยอย่างแน่นอน   
 
           ตรงกันข้าม หากนำเอาวิธีการเผด็จการมาใช้เพื่อผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ เพื่อรักษาแผ่นดินถิ่นเกิด รูปแบบที่เป็นเผด็จการนั้น ก็อาจจะสร้างสรรค์ประโยชน์สุขแก่คนส่วนรวมได้ และหลายครั้งยังจะสอดคล้องต้องกันกับอุดมการณ์ประชาธิปไตยมากกว่า
 
          และอย่าหลงลืมว่า รัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทย ได้มาจากปากกระบอกปืนและการรัฐประหารเมื่อ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๙๗
 
          ถามว่า..ทำไม นักการเมืองจึงต้องตีตรวนถาวร ล่ามโซ่ภาพลักษณ์เผด็จการอย่างไม่มีวันสลัดหลุดให้แก่กองทัพ รถถังและอำนาจปืน จนกระทั่งเกินเลยต่อความพอดี เกินเลยที่จะยอมรับว่า มันคือสิทธิเสรีภาพการแสดงออกในระบอบประชาธิปไตย เพราะมันเกินเลยต่อความเป็นธรรมของผู้ที่อยู่ในสถาบันหนึ่ง (การเมือง)จะยัดเยียดภาพลักษณ์อย่างนี้ให้กับผู้ที่อยู่ในอีกสถาบันหนึ่ง(กองทัพ)โดยที่พวกเขาไม่มีโอกาสได้ตอบโต้
 
          ซึ่งความเกินเลยแบบนี้มันก็คือรูปแบบของเผด็จการอย่างหนึ่ง..เผด็จการทางความคิด
 
          ตอบได้ง่ายๆว่า ศัตรูต่อความมั่นคงของนักเลือกตั้งไม่ใช่ใครที่ไหน  มันก็คือกองทัพ ปืนและรถถังที่พวกเขาตราหน้าเสมอมาว่า นั่นคือสัญลักษณ์ของระบบเผด็จการ ตอกย้ำกับประชาชนอย่างนั้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันโดยตัดตอนประวัติศาสตร์ทิ้ง  ทำให้ผู้คนลืมคิดไปว่า รัฐธรรมนูญและระบอบการปกครองที่บรรดานักการเมืองแอบอ้างความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอยู่เวลานี้นั้น ที่แท้ก็ได้มาจากปากกระบอกปืนและสิ่งที่พวกเขาเกลียดกลัวราวปีศาจนั่นก็คือการ “ปฏิวัติ”(รัฐประหาร)นั่นเอง
 
          หากพิจารณาด้วยความเป็นธรรมถึงขีดขั้นความรุนแรงระหว่างเผด็จการสองจำพวก
 
          จะเห็นได้ว่า เผด็จการทหารนั้น ลิดรอนเสรีภาพโดยเฉพาะต่อคนชั้นกลางที่โหยหาสิทธิอันพึงมีพึงได้ของตน หากแต่เผด็จการรัฐสภานั้นกลืนกินสังคมทั้งสังคม ไม่ว่าการขูดรีดโภคทรัพย์อันมีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ ทางการเมืองพวกเขาใช้เงินและความเป็นเสียงข้างมากแก้ไขกฎหมายรวมศูนย์อำนาจรัฐอย่างมั่นคงที่สุดไว้ที่ศูนย์กลางอำนาจบริหาร มีการเข่นฆ่าผู้คนและละเมิดสิทธิมนุษยชนไม่แพ้กัน ยิ่งไปกว่านี้ยังได้ปลูกฝังวัฒนธรรมใหม่ที่กลืนกินจิตวิญญาณ ประเพณี ค่านิยมความเชื่อ ให้ผู้คนคิดได้อย่างสามานย์เฉกเช่นผู้คนในระบบทุนที่ใกล้จะถึงจุดจบทั่วไป
 
           และการอ้างเอาว่า ประชาธิปไตยในประเทศต้องล้มลุกคลุกคลานเพราะเผด็จการทหารนั้น ก็อาจนับได้ว่าเป็นคำพูดที่เป็นจริง แต่มันเป็นความเป็นจริงเพียงครึ่งเดียว ความเป็นจริงที่เหลือและสำคัญกว่าที่ทำให้ประชาธิปไตยในบ้านเมืองมีพัฒนาการอย่างล่าช้า ล้มลุกคลุกคลานมาโดยตลอด ก็เพราะคุณภาพของนักการเมืองเอง และหลายต่อหลายเหตุการณ์ในอดีต ชี้ให้เห็นชัดว่า คุณภาพของนักการเมืองนี่เองเป็นเงื่อนไขหลักที่ทำให้เกิดการรัฐประหาร
 
           ในอดีต เราได้นักการเมืองผู้ปฏิสนธิมาจากนักโต้วาที ดาวไฮปาร์ค อิทธิพลท้องถิ่นและผู้รับเหมา เราเคยมีรัฐมนตรีกินป่า รัฐมนตรีกินยา  รัฐมนตรีกินอิฐหินดินปูน ทุกเมื่อเชื่อวัน ปัจจุบันก็ยังเป็นอยู่อย่างนี้ เรามีรัฐมนตรีปลากระป๋องเน่าข้าวสารบูด เรามีรัฐมนตรีมาเฟีย เรามีรัฐมนตรีกินลำไย กินกล้ายาง กินสายพานสุวรรณภูมิ ฯลฯ
 
          แต่ที่น่าทึ่งที่สุดในสำหรับระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆก็คือ..
 
          เราเคยมีนายกรัฐมนตรีผู้มาจากหีบเลือกตั้งที่โกงกินภาษีของประชาชน เราเคยได้นายกรัฐมนตรีผู้เป็นนักธุรกิจระดับแสนล้านซึ่งทั่วโลกต่างก็ยอมรับในความสามารถ แต่กลับหลบเลี่ยงการจ่ายภาษี ภาษีที่จะนำไปพัฒนาประเทศชาติเพื่อผู้ยากไร้ได้มีอยู่มีกิน
 
          ถ้าจะเปรียบเปรยเย้ยหยันแบบชาวบ้านก็ต้องบอกว่า เราเคยมีนายกรัฐมนตรีที่เป็นนักการเมืองแบบ “ทั้งกินที่ร้าน(โกงภาษี)-ทั้งห่อกลับบ้าน(หลบเลี่ยงการจ่ายภาษี)”
 
          บรรยากาศทางการเมืองทุกเมื่อเชื่อวันก็ยังเป็นอยู่อย่างนี้ สร้างความน่าเบื่อหน่าย ประชาชนเริ่มตั้งคำถามต่อการเลือกตั้งว่า วิธีการนี้จะสามารถนำพาประเทศไทยไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยได้อย่างแท้จริงหรือไม่ ในขณะที่บรรดานักการเมืองที่สังคมแทบไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าสลับสับเปลี่ยนเวียนกันเข้าเป็นรัฐมนตรีนั่งในตำแหน่งเจ้ากระทรวงเข้าบริหารประเทศกุมชะตาชีวิตคนไทย ๖๐-๗๐ ล้านคนชุดแล้วชุดเล่า
 
          วาทกรรมอันร้อนแรง“อำมาตยาธิปไตย” ที่นักการเมืองระบบทุนผู้อ้างความเป็นประชาธิปไตยสร้างขึ้น  หลังจากที่พวกเขาเองได้รับสมญาจากสังคมว่า “ทุนสามานย์”(ซึ่งแท้ที่จริงน่าจะใช้คำว่า “ทุนทรราช”เพราะเป็นคำที่มีสีสันทางชนชั้นมากกว่า)  ซึ่งเป็นอาการแกว่งปากหาเป้าและสาดน้ำลายรดฟ้าของพวกเขาในเวลานี้ ชี้ให้เห็นเจตนารมณ์อันชัดเจนของยุทธการ “ล้มเจ้า” แม้เพียงจะประกาศว่า ต้องการโค่น “อำมาตยาธิปไตย”เพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตยเอาไว้  แต่ในทางเป็นจริง มันได้บอกกล่าวกับสังคมให้เห็นอย่างชัดเจนถึงกลยุทธที่แม้ทหารเลวในกองทัพก็สามารถอ่านออกเข้าใจได้  
 
          ว่าความต้องการอันแท้จริงของพวกเขาก็คือการลิดรอนพระราชอำนาจของกษัตริย์โดยผลักดันให้ขึ้นไปสู่ที่สูง ในที่ที่ซึ่งไม่มีใครแตะต้องและแตะต้องใครไม่ได้ โดยตัดพระกรและสายพระเนตรพระกรรณทิ้งไปเสีย เพื่อสร้างระบอบใหม่ที่พวกเขาอ้างเอาว่ามันคือ ระบอบ“ประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข”.....???
 
          ปมเงื่อนของความแตกแยกในสังคม ไม่ใช่อะไรอื่น มันก็คือความพยายามแบ่งแยกมวลชนเพื่อใช้เป็นฐานในการเปลี่ยนแปลงสังคมประเทศไทยเสียใหม่ด้วยการ “รัฐประหารเงียบ”โดยระบบเผด็จการรัฐสภาที่ใช้เพียงกระสุนเงิน  พวกเขาได้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับ ๒๕๔๐ ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับ “นายทุนใหญ่”และได้ใช้ฐานมวลชนที่มีอยู่เรียกร้องเอามันกลับคืนมาแทนรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ซึ่งอ้างว่า เขียนขึ้นโดยนักกฎหมายที่มีปากกระบอกปืนจ่ออยู่เหนือศีรษะ   นอกจากนี้ยังพยายามแก้ไขกฎหมายอีกหลายฉบับเพื่อผลประโยชน์ทางการค้าและการหลบเลี่ยงภาษี  แก้ไขกฎหมายเพื่อรวมศูนย์ระบบราชการให้ขึ้นตรงต่อศูนย์อำนาจของฝ่ายบริหาร
 
          นั่นคือการเปลี่ยนนิยาม “ข้าราชการ”เสียใหม่ไปเป็น “เจ้าพนักงานแห่งรัฐ”..//
 
          อาจจะเป็นสิ่งที่ยอมรับกันได้ ถ้าหากอำนาจรัฐไม่ได้ตกไปอยู่ในมือของทุนทรราชและข้าราชการไม่ได้กลายเป็นพนักงานบรรษัทประเทศไทยที่กำลังจะพลัดหลงเข้าไปในกระแสโลกาวิบัติอันเชี่ยวกราก 
 
          ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ผู้คนตระหนักชัด คือ ความพยายามของทุนทรราชที่จะก้าวข้ามเส้นจากความแป็น “ผู้จัดการรัฐ”(GOVERNER)ไปสู่การเป็น “ผู้ครอบครองอำนาจรัฐแบบเบ็ดเสร็จ”( NEO-ABSOLUTE MONARCHY) เพราะนั่นมันเท่ากับการกบฎต่อประชาชน  กบฎต่อระบอบประชาธิปไตย..//
 
          หากจะกล่าวในแง่นี้ ความขัดแย้งระหว่าง “ทุนทรราช” กับสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “อำมาตยาธิปไตย”ก็น่าจะเดินทางมาถึงจุดแตกหักในหัวเลี้ยวประวัติศาสตร์พ.ศ.๒๕๕๒   ซึ่งจะเป็นการชี้ชะตาทิศทางประเทศไทยและชะตากรรมของคนไทยทั้งประเทศ
 
          ผลของงานวิจัยทั้งไทยและเทศในหัวเรื่องการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยในเมืองไทยเคยให้เหตุผลตรงกันว่า เมื่อใดประเทศไทยได้นักการเมืองคุณภาพด้อย เอาแต่โกงกินเมื่อนั้นระบอบที่เรียกว่า “อำมาตยาธิปไตย”ก็จะเข้มแข็ง แต่เมื่อใด เราได้นักการเมืองที่มีคุณภาพ ระบบการเมืองเข้มแข้ง อำนาจของบรรดาข้าราชการหรืออำนาจนอกรัฐธรรมนูญ(ซึ่งไม่มีในทางเป็นจริง)อื่นๆก็จะเข้ามาชำแรกแทรกแซงได้ยาก
 
          วีรชน ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ และวีรชน ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ พวกเขาได้พลีร่างและอุทิศชีวิตสู้กับเผด็จการทั้งรูปแบบและเนื้อหาของทหารกลุ่มหนึ่งเพื่อกรุยทางพัฒนาการเมืองให้ไปในทิศทางที่สมบูรณ์ทั้งวิธีการที่เป็นประชาธิปไตยและอุดมการณ์  ประชาธิปไตยที่เป็นของประชาชน เพื่อประชาชน โดยประชาชน หากวิญญาณลุกขึ้นร้องเรียนได้ เขาก็คงจะลุกขึ้นมาทวงชีวิตที่พวกเขาได้เสียสละไปกลับคืน เพราะไม่อาจทนเห็นการแอบอ้างเอาประชาธิปไตยขึ้นบังหน้าแล้วสร้างรูปแบบเผด็จการอย่างใหม่ขึ้น เผด็จการที่เต็มไปด้วยความรุนแรงแบบซ่อนเร้น อำนาจที่เหมือนจะกระจายแต่แท้จริงยิ่งกระจุก เป็นอำนาจที่เบ็ดเสร็จยากแก่การตรวจสอบ สภาพเศรษฐกิจที่ดูเหมือนจะดีแต่หนี้สินพอกพูนขึ้นทุกวัน ช่องว่างระหว่างความรวย-ความจนถ่างกว้างออกไปทุกที
 
          คนทำมาหากินหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินมาตลอดชีวิตโดยสุจริต ดำรงชีวิตอยู่อย่างชักหน้าไม่ถึงหลัง แต่บุตรหลานผู้เป็นทายาทนักการเมืองที่กำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย ไม่เคยปรากฏการลงแรงทำงานประกอบสัมมาอาชีพใด กลับกลายเป็นเศรษฐีพันล้านในช่วงเวลาเพียงปีสองปีที่บิดาดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้วยัดเยียดความร่ำรวยให้โดยการซุกหุ้นตบตาประชาชน
 
          เราควรจะเลือกระบอบไหน ระหว่าง “อำมาตยาธิปไตย”หรือ “ทุนทรราช”..หรือจะมีทางออกที่สาม???
                                                                  
                                                                  
                                                                                                                                                                    ๙ เมษายน ๒๕๕๒   
         
 
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง