บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เรื่องขำขันขององค์ในหลวง



เรื่องขำขันขององค์ในหลวง
ระยะแรกราวปี พ.ศ.2498 เป็นต้นมา
คราใดที่เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับ ณ พระราชวังไกลกังวลนั้น
จะทรงขับรถยนต์พระที่นั่งไปยังท้องที่ห่างไกลทุรกันดารย่านหัวหิน หนองพลับแก่งกระจาน ด้วยพระองค์เอง
ทำนองเสด็จประพาสต้นของรัชกาลที่ห้า
โดยที่ราษฎรไม่รู้ตัวล่วงหน้าว่าทรงมาถึงแล้ว
วันหนึ่งทรงขับรถยนต์พระที่นั่งผ่านไปถึงยังบริเวณหมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านหมู่บ้านห้วยมงคล อำเภอหัวหิน
ซึ่งราษฎรกำลังช่วยกันตบแต่งประดับซุ้มรับเสด็จกันอย่างสนุกสนานครื้นเครง
และไม่คาดคิดว่าเป็นรถยนต์พระที่นั่งส่วนพระองค์
ต้องให้ในหลวงเสด็จฯก่อนแล้วพรุ่งนี้ถึงจะลอดผ่านซุ้มได้..
วันนี้ห้ามลอดผ่านซุ้มนี้ เพราะขอให้ในหลวงผ่านก่อนนะ..
ทรงขับรถพระที่นั่งเบี่ยงข้างทางไม่ลอดซุ้มดังกล่าว
วัน รุ่งขึ้นเมื่อทรงขับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรใน หมู่บ้านนี้อย่างเป็นทางการพร้อมคณะข้าราชบริพารผู้ติดตามและทรงมีพระดำรัส ทักทายกับชายผู้นั้นที่เฝ้าอยู่หน้าซุ้มเมื่อวันวานว่า
”วันนี้ฉันเป็นในหลวง..คงผ่านซุ้มนี้ได้แล้วนะ.."

+++

อีกครั้งหนึ่งที่ภาคอีสาน
เมื่อ เสด็จขึ้นไปทรงเยี่ยมบนบ้านของราษฎรผู้หนึ่งที่คณะผู้ตามเสด็จทั้งหลายออก แปลกใจในการกราบบังคมทูลที่คล่องแคล่วและใช้ราชาศัพท์ได้อย่างน่าฉงน
เมื่อในหลวงมีพระราชปฏิสันถารถึงการใช้ราชาศัพท์ได้ดีนี้ จึงมีคำกราบทูลว่า
”ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผลิเกเก่า บัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวน พระพุทธเจ้าข้า.."
มาถึงตอนสำคัญที่ทรงพบนกในกรงที่เลี้ยงไว้ที่ชานเรือน ก็ทรงตรัสถามว่า เป็นนกอะไรและมีกี่ตัว..
พ่อ ลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่า "มีทั้งหมดสามตัว พระมเหสีมันบินหนีไป ทิ้งพระโอรสไว้สองตัว ตัวหนึ่งที่ยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลย และทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว"
เรื่องนี้ ดร.สุเมธเล่าว่าเป็นที่ต้องสะกดกลั้นหัวเราะกันทั้งคณะไม่ยกเว้นแม้ในหลวง

+++

มีเรื่องนึงเคยฟังจากผู้ใหญ่เล่าเมื่อนานมาแล้ว
มีช่างไปทำฝ้าเพดานในวัง คนนึงกำลังยืนบนบันได ส่วนหัวอยู่ใต้ฝ้า
อีกคนคอยจับบันไดอยู่ด้านล่าง พอดีในหลวงเสด็จมา
คนที่อยู่ข้างล่างเห็นในหลวงก็ก้มลงกราบ คนอยู่ด้านบนไม่เห็น ก็บอกว่า “เฮ้ย จับดีๆ หน่อยสิ อย่าให้แกว่ง”
ในหลวง ทรงจับบันไดให้ เค้าก็บอกว่า “เออ ดีๆ เสร็จงานนี้จะให้เป็นช่างจริง” (สงสัยคงจะเพิ่งเข้ามาทำงานยังไม่ผ่านโปร) พอเสร็จก็ก้าวลง พอเห็นว่าในหลวงเป็นคนจับบันไดให้
ถึงกับเข่าอ่อน จะตกบันได รีบลงมาก้มกราบ
ในหลวงทรงตรัสกับช่างว่า “แหม ดีนะที่ชมว่าใช้ได้ แถมจะปรับตำแหน่งให้เป็นช่างอีกด้วย"

+++

เมื่อครั้งท่านพระชนม์มายุ 72 พรรษา มีการผลิตเหรียญที่ระลึกออกมาหลายรุ่น
เจ้าของกิจการนาฬิกายี่ห้อหนึ่งได้ยื่นเรื่องขออนุญาตนำพระบรมฉายาลักษณ์ของท่านมาประดับที่หน้าปัดนาฬิกาเป็นรุ่นพิเศษ
ท่านทราบเรื่องแล้วตรัสกับเจ้าหน้าที่ว่า "ไปบอกเค้านะ เราไม่ใช่มิกกี้เมาส์"

+++

เรื่อง การใช้ราชาศัพท์กับในหลวง ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ใครต่อใครเกร็งกันทั้งแผ่นดิน เพราะเรียนมาตั้งแต่เล็กแต่ไม่เคยได้ใช้เมื่อออกงานใหญ่จึงตื่นเต้นประหม่า ซึ่งเป็นธรรมดาของคนทั่วไป
และไม่เว้นแม้กระทั่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ที่ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายรายงาน หรือกราบบังคมทูลทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทในพระราชานุกิจต่างๆนานัปการ
ท่าน ผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ รองราชเลขาธิการ เคยเล่าให้ฟังว่า ด้วยพระบุญญาธิการและพระบารมีในพระองค์นั้นมีมากล้นจนบางคนถึงกับไม่อาจ ระงับอาการกิริยาประหม่ายามกราบบังคมทูล จึงมีผิดพลาดเสมอ แม้จะซักซ้อมมาอย่างดีก็ตาม
ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน มีข้าราชการระดับสูงผู้หนึ่งกราบบังคมทูลรายงานว่า
”ขอ เดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า พลตรีภูมิพลอดุลยเดช ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตกราบบังคมทูลรายงาน ฯลฯ"
เมื่อคำกราบบังคมทูล ในหลวงทรงแย้มพระสรวลอย่างมีพระอารมณ์ดีและไม่ถือสาว่า "เออ ดี เราชื่อเดียวกัน..."
ข่าวว่าวันนั้นผู้เข้าเฝ้าต้องซ่อนหัวเราะขำขันกันทั้งศาลาดุสิดาลัยเพราะผู้รายงานตื่นเต้นจนจำชื่อตนเองไม่ได้

+++

เรา มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับท่านให้เพื่อนๆ ฟังตั้งหลายเรื่อง วันนี้เริ่มเรื่องนี้ก่อนแล้วกันนะ เรื่องมีอยู่ว่า เหตุการณ์เมื่อปี 2513 วันนั้นท่านทรงเสด็จไปหมู่บ้านท้ายดอยจอมหด พร้าว เชียงใหม่ ผู้ใหญ่บ้านลีซอกราบทูลชวนให้ไปแอ่วบ้านเฮา ท่านก็ทรงเสด็จ ตามเขาเข้าไปบ้านซึ่งทำด้วยไม้ไผ่และมุงหญ้าแห้ง เขาเอาที่นอนมาปูสำหรับประทับ แล้วรินเหล้าทำเองใส่ถ้วยที่ไม่ค่อยจะได้ล้างจนมีคราบดำๆ จับ ทางผู้ติดตามรู้สึกเป็นห่วง เพราะปกติไม่ทรงใช้ถ้วยมีคราบ จึงกระซิบทูลว่าควรจะทรงทำท่าเสวย แล้วส่งถ้วยมาพระราชทานผู้ติดตามจัดการเอง แต่ท่านก็ทรงดวดเอง กร้อบเดียวเกลี้ยง ตอนหลังทรงรับสั่งว่า "ไม่เป็นไร แอลกอฮอล์เข้มข้นเชื้อโรคตายหมด" ซึ้งไหมหล่ะ

+++

เคยมีคน เล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งพ่อหลวงทรงเสด็จไปทีตลาดสด ทรงแวะไปเสวยก๋วยเตี๋ยว แม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยว เห็นก็สงสัย จึงทูลถามท่านว่า
"ทำไมหน้า เหมือนในหลวงจัง?"
ท่านไม่ตอบอะไรได้แต่ยิ้มๆ ทรงจ่ายเงินค่าก๋วยเตี๋ยวแล้วตรัสชมว่าก๋วยเตี๋ยวอร่อย ส่วนแม่ค้ามารู้ที่หลังว่าเป็นท่านก็ได้แต่ปลื้ม

+++

มี อยู่ครั้งหนึ่ง ทรงเสด็จไปพระราชทานปริญญาบัตรให้กับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในระหว่างที่ทรงเปลี่ยนในครุย ทรงสูงมวนพระโอสถ แต่ว่าทรงหาที่จุดไม่ได้ ทางอธิการบดีซึ่งเฝ้าอยู่ก็จุดไฟให้พร้อมทูลว่า "ถวายพระเพลิงพระเจ้าข้า" ในหลวงทรงชะงัก ก่อนจะแย้มสรวลน้อยๆกับอธิการบดีว่า "เรายังไม่ตาย ถวายพระเพลิงไม่ได้หรอก"

+++

เคยมีเรื่องเล่าให้ฟังว่า ในหลวงเสด็จไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อเยี่ยมเยียนราษฎร มีอยู่ครั้งหนึ่งพระองค์ท่านทรงแจกพระเครื่องให้กับราษฎรจนหมดแล้ว ราษฎรผู้หนึ่งจึงกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานพระเครื่องว่า "ขอเดชะ ขอพระหนึ่งองค์"
ในหลวงทรงตรัสว่า "ขอเดชะ พระหมดแล้ว"
+++

>วันหนึ่งพระองค์ท่านเสด็จเยี่ยมเยียนพสกนิกรของท่านตามปกติที่ต่างจังหวัด
>ก็มีชาวบ้านมาต้อนรับในหลวงมากมายพระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาตามลาดพระบาท
>ที่แถวหน้าก็มีหญิงชราแก่คนหนึ่งได้ก้มลงกราบแทบพระบาทแล้วก็เอามือของแกมาจับ
>พระหัตถ์ของในหลวง แล้วก็พูดว่ายายดีใจเหลือเกินที่ได้เจอในหลวง
>แล้วก็พูดว่ายายอย่างโน้น ยายอย่างนี้ อีกตั้งมากมายแต่ในหลวงก็ทรงเฉย ๆ
>มิได้ตรัสรับสั่งตอบว่ากระไร แต่พวกข้าราชบริภารก็มองหน้ากันใหญ่
>กลัวว่าพระองค์จะทรงพอพระราชหฤหัย หรือไม่
>แต่พอพวกเราได้ยินพระองค์รับสั่งตอบว่ากับหญิงชราคนนั้น
>ก็ทำให้เราถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหวเพราะ พระองค์ทรงตรัสว่า
>"เรียกว่ายายได้อย่างไร อายุอ่อนกว่าแม่ฉันตั้งเยอะ ต้องเรียกน้าซิ
>ถึงจะถูก"

--------------------
>พระองค์ท่านเสด็จไปที่จังหวัดสกลนคร เพื่อเยี่ยมเยียนชาวบ้าน
>และพระองค์ก็ทรงตรัสถามชายคนหนึ่งที่มาเข้าเฝ้าเพราะแขนเจ็บเข้าเฝือก
>ในหลวงทรงรับสั่งถามว่า "แขนเจ็บไปโดนอะไรมา "
>ชายคนนั้นตอบว่า "ตกสะพาน"
>แล้วในหลวงทรงรับสั่งกลับไปอีกว่า " แล้วแขนอีกข้างหนึ่งละ "
>ชายคนนั้นก็ตอบกลับมาอีกว่า "
>แขนข้างนี้ไม่ได้ตกลงไปด้วยตกข้างเดียว"
>ในหลวงของเราก็ทรงพระสรวล

----------------------------
>พระองค์เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมพสกนิกรที่ ทางภาคใต้
> คือจังหวัดนราธิวาส ทางใต้นี้มีปัญหาเรื่องดินเป็นกรดมีความเค็ม
>พระองค์จึงทรงรับสั่งถามกับชาวบ้าน ที่มาเฝ้ารับเสด็จว่า
>"ดินหลังบ้านเป็นอย่างไร เค็มไหม " ชาวบ้านก็มองหน้ากันแล้วทำหน้างง
>ก่อนตอบกลับมาว่า " ไม่เคยชิมซักที "
>ในหลวงก็รับทรงสั่งกับข้าราชบริภารที่ตามเสด็จว่า
>"ชาวบ้านแถวนี้เขามีอารมณ์ขันกันดีนะ "
>ครั้งหนึ่งหลายๆ ปีมาแล้ว
>พระเจ้าอยู่หัวทรงประชวรนิดหน่อยเกี่ยวกับพระฉวีมีพระอาการคัน
>มีหมอโรคผิวหนังคณะหนึ่งไปเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายการรักษา
>คุณหมอเป็นผู้วชาญทางโรคผิวหนังแต่ไม่ได้วชาญทางราชาศัพท์
>ก็กราบบังคมทูลว่า "เอ้อ - ทรง... อ้า-
>ทรงพระคันมานานแล้วหรือยังพะยะค่ะ"
>พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระสรวล ตรัสว่า "ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนี่
>จะท้องได้ยังไง"
>แล้วคงจะทรงพระกรุณาว่าหมอคงจะไม่รู้ราชาศัพท์ทางด้านอวัยวะร่างกายจริงๆ
>ก็พระราชทานพระบรมราชานุญาตว่า - เอ้าพูดภาษาอังกฤษกันเถอะ-
>เป็นอันว่าก็กราบบังคมทูลซักพระอาการกันเป็นภาษาอังกฤษไป

+++

มี เรื่องอีกเรื่องหนึ่งค่ะ เกิดขึ้นที่ อ.พร้าว บ้านดิฉันเอง พระองค์ทรงเสด็จเยี่ยมราษฎรเผ่าลีซอ พอจะเสด็จกลับ ผู้เฒ่าคนหนึ่งยื่นถุงห่อข้าวให้ท่าน เกรงว่าท่านจะหิวขณะเดินทาง เป็นน้ำพริกตาแดง กับข้าวเหนียวหนึ่งห่อ พร้อมกับบอกในหลวงว่า "หมู่บ้านเฮามันไกล กว่าเฮาจะเดินเข้าเมืองได้ใช้เวลาหลายวัน กลัวว่าท่านจะหิวกลางทาง" ปลื้มไหมคะ เรื่องนี้พ่อเล่าให้ฟัง แต่พ่อไม่ได้เป็นลีซอนะคะ เป็นเพื่อนเฉย ๆ ค่ะ

+++

เช้า วันหนึ่ง เวลาประมาณ 7 โมงเช้า นางสนองพระโอฐ(เขียนไม่ค่อยถูกนะ) ของฟ้าหญิงองค์เล็ก ได้รับโทรศัพท์เป็นเสียงผู้ชาย ขอพูดสายกับฟ้าหญิง ทางนางสนองพระโอฐก็สอบถามว่าใครจะพูดสายด้วย ก้อมีเสียงตอบกลับมาว่า คนที่แบงค์ นางสนองพระโอฐก้อ งง ...งง ว่าคนที่แบงค์ทำไมโทรมาแต่เช้า แบงค์ก้อยังไม่เปิดนี่หว่า พอฟ้าหญิงรับโทรศัพท์แล้วถึงได้รู้ว่า คนที่แบงค์น่ะ ที่แบงค์จริงๆนะ ไม่เชื่อเปิดกระเป๋าตังค์ แล้วหยิบแบงค์มาดูสิ อิ อิ ขนลุกเลย

+++

เรื่องนี้รุ่นพี่ ที่จุฬาฯเล่าให้ฟังว่า มีอยู่ปีนึงที่ในหลวงทรงเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร อธิการบดีอ่านรายชื่อบัณฑิตแล้วบังเอิญว่ามีเหตุขัดข้องบางประการ ทำให้อ่านขาดตอน ก็ต้องรีบหาว่าอ่านรายชื่อไปถึงไหนแล้ว ปรากฏว่าในหลวงท่านทรงจำได้ ท่านเลยตรัสกับอธิการไปว่าเมื่อกี้นี้ (ชื่อ....) เค้ารับไปแล้ว และมีอีกปีนึงขณะที่พระราชทานปริญญาบัตรอยู่ดีๆ ไฟดับไปชั่วขณะ ทำให้บัณฑิตคนหนึ่งพลาดโอกาสครั้งสำคัญในการถ่ายรูป พอในหลวงทรงพระราชทานปริญญาบัตรเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะให้พระบรมราโชวาท ท่านทรงให้อธิการบดีเรียกบัณฑิตคนนั้นมารับพระราชทานอีกครั้งเพื่อจะได้มี รูปไว้เป็นที่ระลึก ตื้นตันกันถ้วนทั่วทั้งหอประชุม

+++
ครั้งหนึ่ง พระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนิน
ทางทะเล ระหว่างทางผ่านเกาะช้าง ทรงถาม
ข้ราชการท้องถิ่นคนหนึ่งว่า
"เกาะนั้นชื่ออะไร"
ข้าราชการทูลตอบว่า
"เกาะนั้นทรงพระนามว่า เกาะช้าพะย่ะคะ"
ตรัสว่า "ถ้างั้นก็เป็นญาติกับฉันน่ะสิ"
(ถ้างงก็กลับไปอ่านอีกรอบ)

สมัยก่อนเมื่อทรงเรือใบไปทางทะเล
แต่ละครั้งเป็นเวลานานๆ ก็มีผู้อยากรู้ว่า
ทางทำอะไรระหว่างเสด็จอยู่กลางทะเล
ตรัสว่า "ฟังลิเกวิทยุ"

พระเจ้าอยู่หัวของเรานั้นถือได้ว่าทรงใช้วิทยุ
มากที่สุดพระองค์หนึ่ง และทรงมีรหัสส่วนพระองค์
ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่ใช้วิทยุจะทราบดี วันหนึ่งก็เกิดเรื่องนี้ขึ้น
ตำรวจนายหนึ่งโอดครวญมาตามเสียงวิทยุว่า
เข้าเวรกลางคืนไม่มีอะไรกิน หิว โโยไม่ทราบว่าผู้อยู่
ปลายสายคือใคร หลังจากนั้นไม่นาน หลังจากปลายสาย
รู้ที่มาของต้นสายแล้ว จึงวิทยุไปยังหน่วยบัญชาการตำรวจว่า
"ขอตู้เย็น 1 เครื่องให้ตำวรจที่... เอาไว้เก็บอาหารไว้กิน"

เมื่อครั้งหนึ่ง มีเหตุการณ์นำ้ท่วมแรง
พระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นห่วงตรัสถามทางโทรพิมพ์
ถึงตี 1 ตี 2ถามเรื่องยๆจนเจ้าหน้าที่ปลายทางทูลบ่น
เมื่อตี 3 ว่า
"ไม่รู้จักหลับจักนอนหรือไง"
แต่ก็ไม่ลืมบอกว่า
"น้ำลดแล้ว"

เมื่อครั้งหนึ่ง กรมศิลปากรไม่มีครูที่จะประกอบพิธีไหว้ครู
เพราะเนื่องจากไม่มีการมอบหมายหน้าที่เอาไว้
ในที่สุดเพื่อแก้ปัญหานี้ ต้องไปทูลเชิญพระเจ้าอยู่หัว
ในฐานะว่าทรงเป็นเสมือนสมตุิเทพ ต้องให้ทรงเป้น
ผู้มอบหมาย เมื่อความทราบถึงพระเจ้าอยู่หัว
รับสั่งว่า "จะให้เป็นครูใหญ่ใช่ไหม"

พระเจ้าอยู่หัวของเรานั้นทรงได้ัรบปริญญาบัตรมากมาย
ครั้งหนึ่งเมื่อมีการถวายปริญญาทางดิน ตรัสว่า
"ตอนนี้เราเป็นหมอดินแล้ว"
ไม่นานก็มีการถวายปริญญาทางดนตรีอีก ตรัสอีกว่า
"ในตอนนี้เราเป็นหมอลำ"

เมื่อสมัยก่อนเสด็จแปรพระราชฐานไปยังหัวหิน
มักจะเสด็จออกไปยังตลาดหัวหินบ่อยครั้ง
และบางครั้งโโยลำพังพระองค์ มีครั้งหนึ่ระหว่างจะ
เสด็จกลับ ซาเล้งที่ตลาดูลถามว่า "ไปไหมเสี่ย"
ปรากฎว่าเสี่ยพระองค์นี้สนพระทัยก็ตรัสจ้างไปยัง
พระราชวังไกลกังวล โโยที่ซาเล้งคนนั้นไม่รู้ นึกว่าเป็น
ข้าราชการ แต่พอถึงหน้าพระราชวัง ทหารสั่ง
วันทยาวุธ เท่านั้นแหละ ซาเล็งถึงร้ว่า เสี่ยที่มาส่งน่ะเป็นใคร

นอกจากนี้ยังโปรดจะเสด็จพระดำเนินระยะไกลตามชายทะเลจาหน้าพระราชวังอีกด้วย และเสด็จกลับมาใน
ตนอเย็นๆ เมื่อเสด็จกลับถึงปรากฏวา ทหารนั้นไม่ให้พระองค์เข้า
"ไม่ได้ครับ ไม่มีบัตรผ่านเข้าไม่ได้" ทหารทูล
"ขอโทษที ฉันไม่มีบัตร แต่เอาเป็นว่าตอนนี้
เธอมีธนบัตรไหม"ทรง ตรัสตอบ
ทหารว่า มีครับ ทำไมหรือ ก็ตรัสว่า
"นั่นแหละบัตรของฉัน"

เมื่อไม่กี่ปีมานี้ พระเจ้าอยู่หัวเสด็จพร้อมด้วย
สมเด็จพระเทพฯ ไปทอดพระเนตรกิจการตาม
พระราชดำริ ซึ่งมีเรื่องเกี่ยวกับข้าวกล้องอยู่ด้วย
พระเจ้าอยู่หัวตรัสว่า "ข้าวกล้องนี้ดี เรากินข้าวกล้องทุกวัน" สมเด็จพระเทพฯเห็นว่า น่าสนใจแต่นักข่าว
ไม่สนใจเท่าไรจึงตรัสว่า "น่าสนใจนะ น่าจะเก็บไว้"
ก็เลยมีการทูลขอให้ทรงตรัสอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งสมเด็จพระ
เทพฯก็ทรงช่วยเหลือ และนำมาซึ่คำตอบที่ไม่คิดว่าจะได้
"ข้ากล้องนี้ดี มีประโยชน์ คนอื่นเขาว่าเป็นข้าวของคนจน
เรากินข้าวกล้องทุกวัน เรานี่แหละคนจน"



"ฑีฆายุโก โหตุ ปรมิทรมหาราชา"





เครดิต : http://www.pocketonline.net/board/view.php?id=911
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง