บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554

แดงแตกเซลล์จากหมู่บ้านสู่อำเภอรากฐานประชาธิปไตยในมือประชาชน !!?

 

แม้จะคลาดเคลื่อนในเรื่องวันเวลา แต่ในท้ายที่สุด สมาพันธ์หมู่บ้านเสื้อแดงก็สามารถยกระดับหมู่บ้านคนเสื้อ แดง ตำบลคนเสื้อแดง ขึ้นเป็นอำเภอ คนเสื้อแดงจนได้ “ขณะนี้คนเสื้อแดง ยังไม่ได้ประชาธิปไตยมาเต็มใบ ยังคงมีฝ่ายอำมาตย์เข้ามาแทรกแซง เราจึงยืนยันที่จะร่วมต่อสู้ เพื่อให้ได้ประชาธิปไตยเต็มใบ โดยจะมีการยกระดับหมู่บ้าน ตำบลเสื้อแดง ขึ้นเป็นอำเภอเสื้อแดง เป็นการยกระดับการต่อสู้ขึ้น ในรูปแบบของหมู่บ้านเสื้อแดง ที่ใช้วิธีสันติอหิงสา โดยจะเปิดอำเภอเสื้อแดงแห่งแรกของจ.อุดรธานี ที่ อ.ประจักษ์ศิลปาคม ซึ่งต่อไปการเปิดหมู่บ้าน ตำบล และอำเภอเสื้อแดง จะมีการให้ความรู้เรื่องประชาธิปไตยกับประชาชนเพิ่มขึ้น ไม่เป็นการเปิดในรูปแบบเดิม”

“อานนท์ แสนน่าน” เลขานุการหมู่บ้านคนเสื้อแดง จังหวัดอุดรธานี ระบุถึงวัตถุประสงค์การยกระดับจากหมู่บ้านขึ้นเป็นอำเภอคนเสื้อแดงไว้ได้ อย่างน่าสนใจยิ่งอย่างไรก็ดี ยังมีเสียงทัดทานเล็กๆ ออกมาจากคนกันเองที่เคยรบเคียงบ่าที่สมรภูมิราชประสงค์ อย่าง “ขวัญชัย ไพรพนา” ที่แสดงอาการไม่เห็นด้วย

“ผมไม่เห็นด้วยตั้งแต่ต้น ซึ่งความเป็นจริงชาวอุดรธานีมีในรักประชาธิปไตยอยู่แล้ว ไม่ควรที่จะไปบังคับเขาให้เป็นหมู่บ้านคนเสื้อแดงเหมือนเอาอะไรไปประทับตรา เขาเอาไว้ ซึ่งที่ผ่านมากลุ่มคนเสื้อแดงที่เดินทางไปเปิดบ้านคนเสื้อแดง ก็เคยอยู่กับผมมาก่อน เคยต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยด้วยกัน แต่เนื่องจาก เรื่องผลประโยชน์ทำให้แยกตัวออกไปเปิดหมู่บ้านคนเสื้อแดง ซึ่งกำลังเป็นปัญหาให้หน่วยงานด้านความั่นคง จ้องเล่นงาน หากต้องการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ร่วมกับผม ก็พร้อมเปิดกว้างเพื่อความเป็นปึกแผ่นต่อไป”เป็นธรรมดาของคนหมู่มากที่ร่วม กันต่อสู้บนทฤษฎี “แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง” ที่ภายหลังเสร็จศึกจะมีความเห็นต่างกันไปบ้าง ยิ่งหากย้อนภาพ กลับไปในอดีตเมื่อไม่นานเท่าไหร่ แกนนำชมรมคนรักอุดรผู้นี้ ก็มีความเห็นไม่ตรงกันกับ “ธิดา ถาวรเศรษฐ์” รักษาการประธาน นปช.

กระนั้น เมื่อคลื่นลมพายุฝนสงบ อำเภอเสื้อแดง ก็อุบัติขึ้นบนประวัติศาสตร์การเมืองไทย โดยเมื่อวันอังคารที่ 11 ตุลาคมที่ผ่านมา “จตุพร พรหมพันธุ์” แกนนำ นปช.ได้เดินทางมาเป็นประธานในพิธีเปิดอำเภอเสื้อแดงแห่งแรกของจังหวัด อุดรธานี ที่หอประชุมที่ว่าการอำเภอประจักษ์ศิลปาคมโดยมี “น.พ.ประสงค์ บูรณ์พงษ์” ประธานที่ปรึกษาบ้านเลขที่ 111 ไทยรักไทย “ร.ต.ต.กมลศิลป์ สิงหะสุริยะ” ประธานสมาพันธ์หมู่บ้านเสื้อแดงเพื่อประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย “อานนท์ แสนน่าน” ผู้ริเริ่มก่อตั้งหมู่บ้านเสื้อแดงแห่งแรก พร้อมรองประธานสมาพันธ์ฯ ของภาคอีสาน และกรรมการสมาพันธ์ฯ นำสมาชิกกลุ่มหมู่บ้านเสื้อแดงในเขตอำเภอประจักษ์ศิลปาคม อำเภอและ จังหวัดใกล้เคียง มาร่วมงานกว่า 500 คน

สำหรับบรรยากาศภายในงาน “เดอะตู่” พร้อมแกนนำสมาพันธ์หมู่บ้านเสื้อแดง ได้เดินทางไปติดป้ายหมู่บ้านเสื้อแดง เพื่อประชาธิปไตย ที่เป็นรูป “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ชูภาษามือที่แปลว่า “รัก” ติดอยู่ ที่บ้านนาม่วง ต.นาม่วง อ.ประจักษ์ศิลปาคม เพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการเปิดอำเภอเสื้อแดงแห่งแรกของ จ.อุดรธานี โดยหลังจาก เสร็จพิธีเปิด แกนนำหมู่บ้านเสื้อแดงแต่ละหมู่บ้าน จะรับป้ายหมู่บ้านเสื้อแดงไปติดตั้งในวันนี้ทั้งหมด “ขณะนี้หมู่บ้านเสื้อแดง เพื่อประชาธิปไตย คือฐานหลักของประชาชนที่ปกป้องระบอบประชาธิปไตย ผมเชื่อมั่นว่า ถ้าหมู่บ้านเสื้อแดงได้ขยายออกไปเต็มทั่วประเทศ จะทำให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอันชอบธรรม จะได้มีเสถียรภาพ และจะได้มีโอกาสแก้ไข ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน”

เสียงคำรามของ “เดอะตู่” ในวันงานเปิดอำเภอเสื้อแดงแห่งแรก ไม่ต่างจากการส่งสัญญาณไป ถึงฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับวาระแดงทั้งแผ่นดิน ว่ากระบวน การการต่อยอด แตกเซลล์ ขยายผลหมู่บ้านคนเสื้อแดงที่แกนนำเชื่อมั่นถือมั่นว่านี่คือการสร้างรากฐาน แห่งประชาธิปไตยจะไม่หยุดนิ่งอยู่เพียงแค่นี้ ยิ่งจับจากจังหวะการเคลื่อนไหวของคนระดับมันสมองอย่าง “ธิดา ถาวรเศรษฐ์” ที่เล็งผลเลิศถึงขั้นจะลงไปเจาะยางฐานที่มั่นของพรรคประชาธิปัตย์ในภาคใต้ อย่างจริงจัง และเริ่มมีการเปิดหมู่บ้าน เสื้อแดงในภาคใต้ไปบ้างแล้ว ย่อมถือเป็นเรื่องท้าทายอำนาจพรรคเก่าแก่แบบเปิดหน้าชน 100 เปอร์เซ็นต์ และหากนับจำนวนการปูพรมเปิดหมู่บ้าน ตำบล และอำเภอเสื้อแดง ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน นั่นก็ได้ก่อตั้งไปแล้วกว่า 4,000 แห่งทั่วประเทศไทย มันย่อมถือว่าเป็นปรากฏการณ์แห่งการแตกเซลล์ทาง การเมืองที่ไม่ธรรมดาเอาซะเลย

และนั่นก็เป็นธรรมดาอีกเช่นกัน ที่ฝ่ายที่ยืนอยู่ฝั่ง ตรงกันข้าม จะไม่เห็นดีเห็นงามกับปรากฏการณ์ประกาย ไฟไหม้ลามทุ่งรอบนี้ของหมู่บ้านคนเสื้อแดงเป็นแน่แท้

อีกทั้งในทางตรงกันข้าม การก่อเกิดของหมู่บ้าน คนเสื้อแดง มันล้วนค่อนข้างสุ่มเสี่ยงหากมีการตี ความกันในแง่มุมของกฎหมาย โดยเฉพาะกระบวน การเหล่านี้ หากต้องถูกสแกนถี่ยิบผ่านเซียน เชี่ยวเขี้ยวลากดินอย่างประชาธิปัตย์ มันก็ย่อมเป็น เรื่องที่แกนนำคนเสื้อแดงต้องตระเตรียมงานใหญ่ ใน การตอบข้อสงสัยของสังคมให้กระจ่างชัดอีกเช่นกัน เรื่องหลักๆ ที่เชื่อมั่นว่าคนเสื้อแดงต้องโดยพรรคเก่าแก่ทิ้งบอมบ์แน่ๆ คือ วาระหมู่บ้านคนเสื้อ แดงในมือซ้ายต้นตำรับอย่าง “ธิดา ถาวรเศรษฐ์” เป็นการปลุกผีคอมมิวนิสต์หรือไม่??? อีกคำถามหนึ่งที่ถูกเปิดแผลโดย “ขวัญชัย ไพรพนา” เกี่ยวกับเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ระดับแกนนำต้องแจกแจงต่อลูกบ้านหมู่บ้านคนเสื้อแดง ให้เคลียร์เช่นกัน การรวมตัวของคนเสื้อแดง ในรูปแบบหมู่บ้าน ตำบล หรืออำเภอ ถือเป็นมิติใหม่ในการมีส่วนร่วมทางการเมืองของภาคประชาชน แต่จะจีรังยั่งยืนและเป็นหลักค้ำยันให้ประชาธิปไตยไทยที่คนเสื้อแดงเชื่อ มั่นถือมั่นได้เนิ่นนานมากมายเพียงใด ในที่สุดมันก็ต้องขึ้นอยู่กับกระบวนการการจัดการ ซึ่งต้องอาศัยความโปร่งใสและจริงใจต่อประชาชนรากหญ้า

นั่นแหละจะเป็นวัคซีนชั้นเยี่ยมใน การเยียวยาหมู่บ้าน ตำบล และอำ เภอคนเสื้อแดงให้อยู่รอดปลอดภัย..ขอรับ!!!

ที่มา:สยามธุรกิจ

สงครามน้ำ-สงครามอำนาจ "

ปู-บิ๊กตู่"คู่พระนาง กับเกาเหลา กอ.รมน. และศึกหน้าห้อง"บิ๊กอ๊อด"

ที่มา มติชน






รายงานพิเศษ


แม้ว่า วิกฤติน้ำท่วม จะช่วยกลบกระแสความขัดแย้งของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยกับกองทัพ ในเรื่องการแก้ไขพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551 ไปได้พักหนึ่ง

หากแต่มันก็พร้อมปะทุขึ้นมาได้ทุกเมื่อ หากพรรคเพื่อไทยเดินหน้าไปสู่การแก้ไข พ.ร.บ.กลาโหม ฉบับนี้ ที่ฝ่ายการเมืองถือว่าเป็นก้างขวางคอ ในการเข้าเบียดแทรกชิงอำนาจกองทัพ แต่กองทัพถือว่าเป็นเกราะคุ้มกันการเมืองล้วงลูกโผทหารได้เป็นอย่างดี

เพราะ ขนาดนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังเลี่ยงการเผชิญหน้า ด้วยการอ้างภารกิจสู้น้ำท่วม ยกเลิกการมาเยือนกลาโหม และ บก.กองทัพไทย เมื่อ 10 ตุลาคม และยกเลิกการประชุม กอ.รมน. ที่กองทัพบก 12 ตุลาคม เลื่อนนัดหมายทานข้าวกับ ผบ.เหล่าทัพ ออกไปก่อน

แม้จะได้ไปเจอหน้า ผบ.เหล่าทัพ แต่ก็บนโต๊ะประชุม หรือออกตรวจพื้นที่น้ำท่วม ไม่มีใครเอื้อนเอ่ยเรื่อง พ.ร.บ.กลาโหม แน่ เพื่อระดมแก้ปัญหาน้ำท่วม ที่เป็นงานพิสูจน์ฝีมือนายกฯ หญิงมือใหม่ ที่กำลังเป็นนางเอก ที่เดินลุยย่ำวารีที่ก่อตัวเป็นคลื่นยักษ์พร้อมถล่มสยาม

ในยามที่ ต้องทำสงครามกับน้ำเช่นนี้ ทั้งรัฐบาลเพื่อไทย และกองทัพ ก็ต้องพักรบเรื่องการแย่งชิงอำนาจในกองทัพ เรื่องแก้ไข พ.ร.บ.กลาโหม เอาไว้ก่อน ไม่เช่นนั้นก็คงถูกประชาชนก่นด่า ว่าเล่นการเมืองไม่ดูเวล่ำเวลา

จึง ไม่แปลกที่ บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. จะขอร้องสื่อให้งดถามเรื่องที่เป็นความขัดแย้ง ถามแต่เรื่องแก้ปัญหาน้ำท่วม และไม่โกรธแม้ถูกถามเรื่องที่เคยโกรธ หรือเรื่องจะถูกย้ายจาก ผบ.ทบ. หรือการโยกย้าย แม้คำพูดที่ใช้จะมีความหมาย เจ็บแสบ เหน็บแนม แกนนำเสื้อแดง แต่ก็ไม่ได้ใส่อารมณ์จึงไม่เสียอาการ

"ตอนนี้ เราต้องพักเรื่องอื่นๆ ไว้ก่อน หันมาช่วยประชาชนให้เต็มที่ เพราะครั้งนี้รุนแรงที่สุด หยุดทะเลาะกัน หยุดอารมณ์เสีย หงุดหงิดใส่กันนะ" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

ที่สำคัญ ในระยะหลังๆ มานี้ พล.อ.ประยุทธ์ มีพัฒนาการที่ดี ตรงที่ไม่อารมณ์เสีย ไม่เหวี่ยง ไม่วีน ไม่ปรี๊ดแตกง่ายเช่นที่ผ่านมา ยิ่งกับนักข่าว ยิ่งใจเย็น พูดจาปราศรัยทักทาย ส่งยิ้มให้เสมอๆ ด้วยเพราะรู้ดีว่า ในยามอำนาจเปลี่ยนขั้วเช่นนี้ สิ่งที่ต้องกระทำ คือ การสร้างศรัทธาจากประชาชน เพื่อเป็นเกราะกำบังภัย นอกเหนือจากที่มี พ.ร.บ.กลาโหม คุ้มกันไว้แล้ว

โดยฉวยวิกฤติน้ำท่วมให้เป็นโอกาส ระดมกำลังทหารเข้าช่วยแก้ไขปัญหา แบบที่ทหารทำงานกันหามรุ่งหามค่ำ เริ่มงานตั้งแต่ 6 โมงเช้า กว่าจะปิดภารกิจในแต่ละวันก็ราวเที่ยงคืน ตี 2 โดยที่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็เป็นงาน ออกตรวจการช่วยเหลือน้ำท่วมของ ทบ. เกือบทุกวัน

รวมทั้งการร่วมคณะนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ไปตรวจพื้นที่ด้วยหลายครั้ง แม้ว่าจะไม่ค่อยได้เห็นแววตาหรือสีหน้าที่ยิ้มแย้มจาก ผบ.ทบ. คนนี้ เวลาที่อยู่ใกล้ๆ นายกฯ หญิงนักก็ตาม แต่ "ปู กับ ตู่" ก็เป็นที่จับตามองในทุกอิริยาบถที่ต้องเผชิญหน้า และได้ใกล้เชิดและรู้จักกันมากขึ้น จากการนั่ง ฮ. และตรวจน้ำท่วมด้วยกัน

มี รายงานว่า บิ๊กตู่ เปรยๆ กับคนใกล้ชิดเวลาต้องตรวจน้ำท่วมกับนายกฯ หญิง ว่า ต้องระวังตัว สีหน้า และแววตา เพราะนักข่าวจับตามอง ช่างภาพจ้องถ่ายตลอด จะมองหน้านายกฯ ปู ตรงก็ไม่เหมาะ จะแอบมอง เดี๋ยวก็เป็นข่าว ถูกแซวเหมือนตอนแพนเค้ก อีก อึดอัดเหมือนกัน แต่เป็นหน้าที่ที่ต้องทำ



ตั้งแต่ เปิดศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่ดอนเมือง ทั้ง บิ๊กอ๊อด พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม และ ผบ.เหล่าทัพ ก็ต้องไปประชุมทุกวัน ไม่เว้นแม้แต่เสาร์อาทิตย์ ซึ่งทำให้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ได้แสดงความเป็นผู้นำหญิง นั่งหัวโต๊ะ ประชุมสั่งการ ผบ.เหล่าทัพระดมสรรพกำลังเต็มพิกัดสู้น้ำท่วม

ในส่วนของ ทบ. พล.อ.ประยุทธ์ สั่ง บิ๊กโด่ง พล.ท.อุดมเดช สีตบุตร แม่ทัพภาคที่ 1 บินด่วนไปตั้งวอร์รูมสู้กับน้ำที่อยุธยา กินนอนอยู่ที่นั่นเลย โดยมีกำลังทหารจากกองทัพภาคที่ 1 โดยเฉพาะบรรดาทหารวงศ์เทวัญของกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.)

ส่วนลพบุรี ให้ พล.ท.ศุภรัตน์ พัฒนาวิสุทธิ์ ผบ.หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (นสศ.) เพื่อน ตท.12 ดูแล และให้ บิ๊กหยอย พล.ท.วรรณทิพย์ ไวว่อง แม่ทัพภาคที่ 3 เพื่อนรัก ดูแลนครสวรรค์

ขณะที่กรุงเทพฯ และชานเมือง ผบ.ทบ. ก็สั่งให้แต่ละหน่วยที่รับผิดชอบพื้นที่ตามปกติเข้าไปดูแลช่วยเหลือ โดยเป็นการจัดแบ่งกำลังทหารเหมือนตอนปฏิวัติ ว่า หน่วยทหารใดเวลาปฏิวัติเข้ายึดพื้นที่ไหน ตอนนี้ก็ต้องไปช่วยน้ำท่วมชาวบ้านในพื้นที่นั้น เป็นการสร้างคะแนนนิยมและความศรัทธา เผื่อว่าปฏิวัติครั้งหน้า ชาวบ้านจะเข้าใจ

แต่ที่เม้าธ์กันหนัก คือ ไม่ได้เห็นทหารบูรพาพยัคฆ์ ออกมาช่วยน้ำท่วม มีแต่วงศ์เทวัญเป็นส่วนใหญ่ ทั้งๆ ที่โผทหารล่าสุด มีแต่บูรพาพยัคฆ์ได้ดี




นํ้าท่วม มีโอกาสในวิกฤติที่ พล.อ.ประยุทธ์ คว้าไขว่ได้มาก ที่นอกจากจะได้ใกล้ชิดและรู้จักนายกฯ ยิ่งลักษณ์ บ่อยขึ้นมากขึ้นแล้ว ยังหวังพลิกฟื้นภาพพจน์ ทบ. ด้วยการให้นำอาวุธยุทโธปกรณ์ออกมาช่วยน้ำท่วมเพื่อนสร้างภาพพจน์ที่ดี

ทั้ง ฮ. MI-17 ของรัสเซีย ที่ถูกเรียกว่า "ป๋องนมบินได้" ที่ บิ๊กตู่ ให้เอาออกมาบิน เพราะมีคำสั่งให้ ฮ. ขึ้นทุก 3-5 ช.ม. เพื่อสำรวจและช่วยเหลือทางอากาศ รวมทั้ง ฮ. Enstrom ใหม่ที่ซื้อมาด้วยข่าวฉาว แม้แต่การจะให้เอารถเกราะยูเครน BTR-31 ของบูรพาพยัคฆ์ พล.ร.2 รอ. มาลุยน้ำท่วม เพราะ 4 ปีแล้ว สั่งซื้อไป 96 คัน เพิ่งได้มา 14 คัน แถมซื้อเฟส 2 ไปแล้ว 121 คัน รวมงบฯ ทั้งหมดราว 1 หมื่นล้าน แต่ยังไม่มีวี่แววมาเลย แต่เพราะทดสอบครั้งก่อน มีน้ำรั่วซึมเข้า และยังไม่ชำนาญนัก จึงชะลอไว้ก่อน

ที่ฮือฮากว่านั้นคือ พล.อ.ประยุทธ์ จะชุบตัว เรือเหาะ ทบ. หรือ air ship ที่มีเรื่องฉาวทั้งการรั่วซึม บินไม่ได้ กล้องและอุปกรณ์เสียใช้การไม่ได้ และล่าสุด ลงจอดฉุกเฉินเสียหาย จนซ่อมใหญ่มาแล้วนั้น ด้วยการให้นำขึ้นบินจากปัตตานีมากรุงเทพฯ เพื่อมาใช้เป็น บก. ลอยฟ้าในการแก้ปัญหาน้ำท่วม โดยใช้เวลาบิน 10 วัน

ท่ามกลางการลุ้นว่าจะบินถึงหรือไม่ ระหว่างทางจะเกิดอะไรขึ้น



ความโดด เด่นและความ สำคัญของเก้าอี้ ผบ.ทบ. และการมีสื่อทั้งทีวีและวิทยุของ ทบ. เอง ส่งผลให้การช่วยเหลือน้ำท่วม ปรากฏเป็นข่าวทุกวันและทั้งวัน ส่งผลให้ พล.อ.ประยุทธ์ พึงพอใจกับผลงาน แม้ว่าคนที่เหนื่อยจริงๆ คือพลทหาร และทหารระดับล่าง ที่ต้องไปแช่น้ำ ทำงานหามรุ่งหามค่ำ หลายคนกำลังจะพาครอบครัวไปต่างจังหวัด ก็ถูกเรียกตัวกลับมาสู้น้ำท่วม ทหารหลายนายบ้านตัวเองก็น้ำท่วม แต่ก็ต้องทิ้ง เพราะต้องไปช่วยชาวบ้านตามคำสั่ง ผบ.ทบ. ก่อน

แต่คะแนนไปตกอยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ แบบเต็มๆ ยิ่งช่วงนี้เขาเล่นเป็น เล่นบททหารอาชีพ "ไม่เหนื่อยไม่ท้อ เพราะประชาชนเดือดร้อน ทหารต้องเป็นหน่วยแรกที่เข้าถึงช่วยเหลือประชาชนให้ได้ในทุกพื้นที่"

"เราต้องเป็นพระเอก" คือคำสั่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ กระซิบไปยังแม่ทัพนายกอง

จึง ไม่แปลกที่ทหารเหล่าอื่นจะกลายเป็นพระรอง หรือประชาชนไม่ค่อยรู้ว่าออกมาช่วยชาวบ้านมากมายเหมือน ทบ. เพราะไม่มีสื่อของตัวเอง เพราะทั้งทหารเรือและทหารอากาศ และ บก.ทัพไทย โดยหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (นทพ.) ก็ออกมาเต็มที่

โดยเฉพาะ ทร. บิ๊กหรุ่น พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผบ.ทร. ที่แม้บ้านตัวเองย่านรังสิตจะน้ำท่วม แต่ก็ต้องออกมาช่วยชาวบ้านก่อน ระดมกำลังทหารเรือ ทั้งหน่วยรบและหน่วยสนับสนุน หน่วยซีล มนุษย์กบ ยุทโธปกรณ์เข้าช่วยที่อยุธยา และหลายจังหวัดภาคกลาง โดยมี บิ๊กจุ๊ พล.ร.ท.ทวีวุฒิ พงศ์พิพัฒน์ รอง เสธ.ทร. เป็นแม่ทัพลงลุยในพื้นที่ รวมทั้งการช่วยผลักดันน้ำในเขตกรุงเทพฯ

แม้ว่าความกังวลของทหารเรือ ในเวลานี้คือ รมว.กลาโหม ดองดึงโครงการเรือดำน้ำเยอรมนี ไม่ส่งเข้า ครม. จนอาจเลยเดตไลน์ที่เยอรมนีจะรอ เพราะจะขายให้ชิลีแล้วก็ตาม แต่ พล.ร.อ.สุรศักดิ์ ก็ให้เป็นเรื่องรองๆ ลงไป เพราะเวลานี้ต้องมาช่วยเรื่องน้ำท่วมก่อน เพราะไม่เหมาะที่จะมาผลักดันเรื่องนี้ในยามที่ชาวบ้านเดือดร้อน แม้ว่าผลพวงจากการโยกย้ายทหาร ที่มีบิ๊ก ทร. หลายคนอกหักไม่ได้เป็น ผบ.ทร. จะส่งผลให้แก้แค้นด้วยการใช้สื่อที่สนิทสนม โจมตีเรือดำน้ำก็ตามที

ขณะ ที่ทัพฟ้าของ บิ๊กเฟื่อง พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผบ.ทอ. ดูจะจมเงียบหายไปกับน้ำท่วม แต่ ทอ. ก็ปิดทองหลังพระในการบินถ่ายภาพทางอากาศ เตรียมเครื่องบินและ ฮ. และทหาร พร้อมสำหรับการขนย้าย โดยเฉพาะกองบิน 4 ตาคลี นครสวรรค์ และกองบิน 2 ลพบุรี โดยมี บิ๊กม้า พล.อ.อ.วินัย เปล่งวิทยา ผช.ผบ.ทอ. เป็น ผบ.ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย ทอ.



ใกล้ชิด กันมากขึ้นแบบ นี้ แต่หาใช่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะชื่นชมนายกฯ หญิงผู้นี้มากขึ้น รอยยิ้ม และการตะเบ๊ะ หาใช่การยอมสยบต่ออำนาจการเมืองไม่ เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ ยังสั่งฝ่าย เสธ. กลั่นกรองเรื่องต่างๆ ที่นายกฯ สั่งการอีกชั้น เพราะกลัวพลาด

ไม่ ต่างจากที่เมื่อครั้งนายกฯ ปู ไปเยือนพม่า พล.อ.ประยุทธ์ ก็สั่งผู้ช่วยทูตทหาร เกาะติดใกล้ชิด เพราะเกรงนายกฯ หญิงคนแรกของไทย จะไปพลาดเจรจาหรือรับปากใดๆ กับผู้นำทหารพม่า เพราะขนาดเรื่อง หญ้าแพรก กับหญ้าแฝก และเรือดันน้ำกับเรือดำน้ำ เธอก็ยังพลาดมาแล้ว

แต่น้ำ ท่วมก็ใช่จะกลบเกลื่อนความขัดแย้งทุกอย่าง ได้ เพราะที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) สวนรื่นฤดี ที่แม้จะมี พ.ร.บ.ความมั่นคง 2551 เป็นเกราะป้องกันไม่ให้การเมืองเข้ามาแทรก จน พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ที่ปรึกษานายกฯ เข้ามาคุมไม่ได้ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ในฐานะ ผอ.รมน. ต้องส่งแค่ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรี มาได้เท่านั้นก็ตาม แต่ศึกบารมีกำลังอุบัติขึ้น

ด้วยเพราะ บิ๊กหนุ่ย พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ ขยับจาก เสธ.ทบ. ขึ้นเป็น รอง ผบ.ทบ. จึงต้องหลุดจากเก้าอี้ เลขาธิการ กอ.รมน. ไปด้วย โดยมี บิ๊กบี้ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รอง เสธ.ทบ. ขึ้นมาเป็น เสธ.ทบ. เป็นเลขาฯ กอ.รมน. แทน

แต่ดูเหมือน พล.อ.ดาว์พงษ์ ยังเป็นห่วง กอ.รมน. และไม่เชื่อมือ พล.อ.ศิริชัย เท่าใดนัก จึงต้องการจะเข้ามาช่วยดูแลต่อ

อีก ทั้งสิ่งที่เคยทำไว้ตอนที่เป็นเลขาฯ กอ.รมน. ทั้งงานลับ งานการเมือง ที่ พล.อ.ดาว์พงษ์ ต้องการดูแลต่อเองเพื่อความมั่นใจ แถมอาจมองว่า พล.อ.ศิริชัย เป็นทหารสายพิราบ ไม่เหยี่ยวอย่างที่ต้องการ เพราะในเวลานี้ หน่วยข่าวทหาร และ กอ.รมน. ยังคงมีเป้าหมายอยู่ที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง

หรือเรียกว่า หาข่าวและความเคลื่อนไหวของรัฐบาล หาใช่ตรวจสอบฝ่ายค้าน เช่นเมื่อรัฐบาลอื่นๆ มายึด กอ.รมน.

แต่ เพราะรัฐบาลเพื่อไทย ไม่อาจเข้าแทรก กอ.รมน. ได้ เช่นเดียวกับที่แทรกกองทัพไม่ได้ เพราะมี พ.ร.บ.กลาโหม เป็นเกราะนั่นเอง จึงมีความพยายามที่จะเสนอต่อนายกรัฐมนตรีในฐานะ ผอ.รมน. แต่งตั้ง รอง ผบ.ทบ. เป็น ผช.ผอ.รมน. เพิ่มอีกคน เพื่อให้ พล.อ.ดาว์พงษ์ มีอำนาจหน้าที่เข้ามาดูแล กอ.รมน.

ซึ่งเรื่องนี้ถูกวิจารณ์ภายในว่า เป็นการแบ่งแยกอำนาจของ พล.อ.ศิริชัย และสะท้อนว่า ไม่เชื่อมือ ลธ.รมน. คนใหม่คนนี้

พล.อ.ศิริ ชัย เป็น ตท.13 มีอายุราชการถึงปี 2558 ที่กำลังถูกมองว่า สามารถเป็น ผบ.ทบ. ต่อจาก พล.อ.ประยุทธ์ ที่เกษียณ 2557 ได้ เพราะเป็นบูรพาพยัคฆ์ น้องรักของ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีต รมว.กลาโหม แต่ทว่า อาจไม่ได้โตมาในสายคอมแมนด์ สายกำลังรบ

อีกทั้งใน กอ.รมน. ก็ยังคงมีนายทหาร ตท.12 รุ่นของ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ดาว์พงษ์ นั่งคุมพรึบเต็มไปหมดเช่นเดิม จนหวั่นกันว่า บิ๊กบี้ จะถูกบี้เละคา กอ.รมน.

แต่ เชื่อกันว่า หาก กอ.รมน. เสนอเรื่องนี้ขึ้นมา นายกฯ ยิ่งลักษณ์ จะไม่อนุมัติให้ พล.อ.ดาว์พงษ์ เข้ามาเพิ่ม หรืออาจอาศัยโอกาสนี้เสนอปรับโครงการคณะกรรมการอำนวยการ ให้มีฝ่ายการเมือง เข้ามาได้อีกคน เพื่อเปิดทางให้ พล.อ.พัลลภ เข้ามา

ทาง ทบ. จะยอมหรือไม่ ซึ่งน่าจับตามองยิ่ง



ก็อีก นั่นแหละ น้ำท่วมไม่ได้แก้ปัญหาความขัดแย้ง แต่แค่กลบเกลื่อนรอยร้าว แต่ก็ไม่สามารถท่วมทับเกาเหลาที่กลาโหม ที่หน้าห้อง รมว.กลาโหม ของ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ได้

เนื่องจากโผโยกย้ายนายพลล่าสุด นายทหารที่เป็นน้องรัก พล.อ.ประวิตร กลับมีชื่อได้ดีอยู่ต่อในทีมฝ่าย เสธ. หน้าห้อง พล.อ.ยุทธศักดิ์ มากกว่าครึ่ง เนื่องจาก บิ๊กหมู พล.อ.กิตติพงษ์ เกษโกวิท ปลัดกลาโหมน้องรักของบิ๊กป้อม ในเวลานั้นจัดเอาไว้ โดยที่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ก็ปล่อยผ่าน ไม่แก้ไข ทั้งๆ ที่เป็นตำแหน่งที่ต้องมาทำงานกับตนเอง เพราะเกรงใจ พล.อ.ประวิตร และ พ.ร.บ.กลาโหม

ถึงขั้นที่ยอมถูกภริยาตำหนิ ที่ทำให้ชื่อของนายทหารทายาท "กิตติขจร" คนหนึ่ง ไม่ได้เป็นนายพล ในตำแหน่งฝ่าย เสธ.รมว.กลาโหม ทั้งๆ ที่เป็นอำนาจเต็มๆ ของ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ซึ่งเป็นเขยตระกูลจารุเสถียร ซึ่งดองกับกิตติขจร

จึงทำให้ทีมฝ่าย เสธ. หน้าห้อง รมว.กลาโหม มีหลายสีหลายขั้ว ทั้งบูรพาพยัคฆ์ ทั้งน้องรักของ พล.อ.ประวิตร ทั้งทหารสายสีเหลือง สายประชาธิปัตย์ โดยที่ทีมฝ่าย เสธ. ของ พล.อ.ยุทธศักดิ์ จริงๆ ได้แค่ไม่กี่คน จนทำให้ต้องมานั่งทำงานแบบไม่มีตำแหน่ง ไม่ได้เลื่อนยศ เป็นการช่วยราชการเท่านั้น แถมมองกันไปก็คนละพวก จึงอยู่ด้วยกันแบบอีหลักอีเหลื่อ

แต่กระนั้น ฝ่ายอำนาจเก่า ก็ยังเดินเกม ด้วยการปล่อยข่าว และส่งข้อความถึงสื่อ ระบุว่า "เตรียมทหาร 10 ยึดกลาโหมแล้ว"

หาก สำรวจไปที่หน้าห้อง พล.อ.ยุทธศักดิ์ จะพบว่ามีทั้ง ตท.9 ที่นำโดย พล.อ.บัญชา มรินพงษ์ และ พล.อ.จงศักดิ์ พานิชกุล ที่ปรึกษา รมว.กลาโหม เท่านั้น

ส่วน ตท.10 เพื่อนร่วมรุ่นของ ทักษิณ ชินวัตร ก็มี บิ๊กกุ้ง พล.อ.วรวิทย์ ชินะนาวิน เลขานุการ รมว.กลาโหม บิ๊กโอ๋ พล.อ.พฤณท์ สุวรรณทัต หัวหน้าคณะนายทหารฝ่าย เสธ.ประจำ รมว.กลาโหม บิ๊กเปี๊ยก พล.อ.สุรวิตต์ ทองนิล และ บิ๊กปู่ พล.อ.อ.สมชัย พละพงศ์ เท่านั้น

โดย มี บิ๊กต่าย พล.อ.ภุชงค์ รัตนวรรณ แกนนำ ตท.10 มาเป็นจเรทหารทั่วไป ซึ่งขึ้นตรงกับ รมว.กลาโหม อีกคนเท่านั้น จึงทำให้ดูประหนึ่ง ตท.10 ยึดกลาโหม

แต่ก็ไม่มีบทบาทหน้าที่อะไรมากนัก เพราะ พล.อ.ยุทธศักดิ์ นอกจากไม่ค่อยได้เข้ากระทรวงกลาโหม เพราะชอบไปนั่งที่สำนักงานคณะกรรมการโอลิมปิคฯ แล้ว ยังเป็น รมว.กลาโหม ที่ไม่มีอำนาจ อันส่งผลจากโผโยกย้ายล่าสุดที่ยินยอม ผบ.เหล่าทัพทุกอย่าง แม้แต่ตำแหน่งหน้าห้องฝ่าย เสธ. ของตัวเอง



บรรยากาศใน กระทรวงปืนใหญ่ จึงมิค่อยจักน่าอภิรมย์เท่าใดนัก ไม่มีความเป็นหนึ่ง ต่างคนต่างพวกต่างสีต่างพันธุ์ แถม พล.อ.ยุทธศักดิ์ ก็ยังไม่เคยเรียกประชุมฝ่าย เสธ. เพื่อพูดคุยอย่างเป็นทางการ เรื่องแนวทางการทำงาน จึงประหนึ่งอยู่กันไป ทำงานกันไป แบบตามมีตามเกิด โดยมี พล.อ.จงศักดิ์ เป็น รมว.กลาโหม ตัวจริง ในการเดินงานทุกเรื่อง รวมทั้งคิดแผนระยะสั้นและยาว ในการต่อกรกับ ผบ.เหล่าทัพ

ด้วยเพราะ พล.อ.ยุทธศักดิ์ นั้น ไม่กล้าชน แต่เล่นบทคุณปู่ใจดี พี่ชายที่น่ารัก ยอมทุกเรื่อง ตั้งแต่โผทหารเรื่อยมา อาจจะเป็นเพราะด้วยวัย 74 และการเป็นสายพิราบที่ไม่กล้าทุบโต๊ะ ไม่อยากเดือดร้อน จึงทำให้ พล.อ.จงศักดิ์ ต้องเป็น "ตัวชน" ยอมเจ็บ ยอมมีเรื่องกับ ผบ.เหล่าทัพ ในเรื่องที่จำเป็นๆ แทน

ด้วยใจหวังกันว่า สักวันหนึ่ง พล.อ.ยุทธศักดิ์ จะมีแรงฮึดสู้ สวมบทเหยี่ยว กล้าทุบโต๊ะ ขึ้นมาสักวัน แต่นั่นหมายถึงว่า จะต้องถูก "นายใหญ่ ดูไบ" สะกิดมาก่อนแล้วเท่านั้น เมื่อนั้นคะแนนนิยมตอนน้ำท่วม ก็ไม่อาจปกป้องเก้าอี้ ผบ.ทบ. ไว้ได้แน่

สงคราม น้ำ จึงไม่น่าห่วงเท่า สงครามอำนาจ ที่กำลังเป็นอยู่ คือ รอวันปะทุ เดือด และปรอทแตก เท่านั้น โดยมีการแก้ พ.ร.บ.กลาโหม ของพรรคเพื่อไทย เป็นตัวคะตะไลต์ เร่งปฏิกิริยา เพราะในสงครามการเมือง ไม่มีนางเอก หรือพระเอก

ที่สุดแล้ว ประชาชนต่างหากที่จะเป็นหญ้าแพรกที่แหลกลาญ...

ร้อนกลางน้ำเชี่ยว!แดงหลากเฉดปรับกลยุทธ์“อยู่รอด”เป้าหมายเดิม “ทักษิณ”ต้องกลับไทย



ร้อนๆกลางน้ำเชี่ยว เจาะกลยุทธ์คนเสื้อแดงหลากสีเดินเกมต่อรองให้อยู่รอด ภายใต้การช่วงชิงการนำของ ขวัญชัย -เพชรศักดิ์ -อานนท์ -กมลศิลป์ - เดชา สอดรับแผนชักใยเปิดหมู่บ้านคนเสื้อแดงของสุชาติ ธาดาธำรงเวช เป้าหมายเดิมพา ทักษิณ ชินวัตร กลับเมืองไทย
แม้ “ขวัญชัย ไพรพนา” ประธานชมรมคนรักอุดรจะออกมาประกาศว่าเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2554 ที่ผ่านมากลุ่มคนเสื้อแดงภาคอีสาน 20 จังหวัดได้รวมตัวกันตั้งกลุ่ม“แดงรักเจ้า”เพื่อลบล้างข้อครหาว่าไม่ได้เป็นพวกล้มเจ้าตามที่ถูกกล่าวหา ทั้งยังต้องการสร้างความชัด เจน ให้กับกลุ่มต่างๆที่ต้องการสนับสนุนกิจกรรมของคนเสื้อแดง โดยด้วยการทำหนังสือขออนุญาตไปยังสำนักพระราชวังทำเสื้อแดงติดตราสัญลักษณ์ 84 พรรษา จำนวน 2 แสนตัว

และย้ำให้เห็นภาพความจงรักภักดีว่าต่อไปการจัดกิจกรรมของคนเสื้อแดงภาคอีสานจะมีคำว่า กลุ่มแดงรักเจ้า อยู่ในวงเล็บต่อท้ายด้วย เช่น ชมรมคนรักอุดร (แดงรักเจ้า) หรือชมรมคนรักโคราช (แดงรักเจ้า) โดยปฎิเสธว่าการตั้ง  “กลุ่มแดงรักเจ้า” ครั้งนี้ไม่ใช่เพราะแตกแยกออกจากกลุ่ม น.ป.ช. แต่เป็นการแสดงให้เห็นถึงความเป็นปึกแผ่นของคนเสื้อแดงในภาคอีสาน

อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่าการเคลื่อนไหวของ“ขวัญชัย”ครั้งนี้ ไม่มีเรียกตอบรับจาก“เพชรศักดิ์ กิตติดุษฎีกุล”ประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์กลุ่มหมู่บ้านเสื้อแดงอุดรฯหรือ“อานนท์ แสนน่าน”เลขานุการหมู่บ้านเสื้อแดงอุดร รวมทั้ง“ร.ต.ต.กมลศิลป์ สิงหะสุริยะ”ประธานหมู่บ้านเสื้อแดงอุดรธานี โดยเฉพาะสองรายหลังซึ่งเป็นอดีตคนคุ้นเคยที่ร่วมก่อตั้งชมรมคนรักอุดรมาด้วยกัน

แต่ในที่สุด ปรากฎการณ์น้ำก็แยกสายไผ่แยกกอก็ปรากฏเมื่อ"กลุ่มหมู่บ้านเสื้อแดงแห่งประเทศไทย" เกิดขึ้นมา ภายใต้นำโดย เพชรศักดิ์ หรือ "คุณพ่อเพชรศักดิ์" ของคนเสื้อแดงอุดรฯ ซึ่งได้ให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลังการจัดตั้งหมู่บ้านเสื้อแดงมาตั้งเริ่มแรก เพิ่งแสดงตัวออกมายืนอยู่แถวหน้า เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2554 ด้วยการเปิดตัวหมู่บ้านเสื้อแดง ที่บ้านนามั่ง ต.บ้านยวด อ.สร้างคอม จ.อุดรธานี โดยมี “สุชาติ ธาดาธำรงเวช”ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เดินทางเป็นประธาน

“หมู่บ้านเสื้อแดงคือหัวใจสำคัญ ในการขับเคลื่อนเรียกร้องประชาธิปไตยกลับคืนสู่ประชาชน ผมขอตอบโต้แกนนำบางคนที่ออกมาพูดว่าจะยุบหมู่บ้านเสื้อแดงว่า ขอเรียกแกนนำเสื้อแดงคนดังกล่าวว่า อำมาตย์เสื้อแดง...คำว่า อำมาตย์เสื้อแดงนั้น คือคนเสื้อแดงที่เวลานี้ลืมตัว เป็นคนเสื้อแดงที่กลายเป็นอำมาตย์เสื้อแดงไปแล้ว ทางกลุ่มถือว่าเป็นเรื่องปลีกย่อย” คำตอบโต้ของเพชรศักดิ์ ในขณะนั้น

“เพชรศักดิ์” และ“วรรณา”เป็นคนเสื้อแดงที่แกนนำ นปช. อย่างจตุพร พรหมพันธุ์ , ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อและ สุภรณ์ อัตถาวงศ์ ต่างเรียกขาน “คุณแม่วรรณา” ด้วยความเคารพ โดยชื่อของ “คุณแม่วรรณา” เป็นที่รู้จักมักคุ้นของแกนนำ นปช. มาตั้งแต่การชุมนุมใหญ่ในปี 2552-2553 โดยเฉพาะกลุ่มของ สุภรณ์ –อริสมันต์และ ชินวัฒน์ หาบุญพาด นายกสมาคมผู้พิทักษ์ผลประโยชน์คนขับรถแท็กซี่ ซึ่งปัจจุบันได้รับการแต่งตั้งให้เป็นปรึกษาที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในรัฐบาลชุดนี้

ขวัญชัย กล่าวอย่างคับแค้นใจว่า แกนนำคนเสื้อแดงที่เคยร่วมรบมากับเขาเปลี่ยนไปหลังจากหลายคนได้รับการปูนบำเหน็จให้มีตำแหน่งทางการเมือง โดยไม่ลงมาดูแลทุกข์สุขชาวบ้านและทำให้ประชาชนคนยากจนต้องกลับมาขอความช่วยเหลือจากเขาเหมือนเดิม

“เป้าหมายของเราคือ การต่อสู้เพื่อให้ได้ประชาธิปไตยและเรียกร้องความยุติธรรม การที่มีคนอีกกลุ่มแยกตัวมาเปิดหมู่บ้านเสื้อแดง ไม่ใช่เพราะคนเสื้อแดงขัดแย้งกันเอง หากเรามีเป้าหมายเดียวกันคือ ต้องการนำพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีกลับบ้านก็ไม่มีปัญหา ผมมองว่า คนที่แยกออกไปตั้งหมู่บ้านเสื้อแดง เขาก็เพื่อแสดงสัญลักษณ์และเพื่อต้องการได้รับเงินสนับสนุนจากคนไทยที่ไปอยู่ต่างประเทศเท่านั้น แต่คนพวกนี้เขาไม่ได้มวลชน ต่างจากผมซึ่งสามารถเรียกระดมมวลชนได้มากกว่า”ขวัญชัย กล่าว

การให้ความสำคัญกับทุกองค์กรเสื้อแดงของพ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยการโฟนอินหรือการพูดคุยกับเสื้อแดงทุกกลุ่มเป็นก้าวย่างสำคัญในการทำนโยบายเชิงรุกของ”ทักษิณ”โดยการเคลื่อนไหวของแดงหลายเฉกสีทั้ง ชมรมคนรักอุดร หมู่บ้านคนเสื้อแดงในจังหวัดต่างๆทางภาคอีสาน โดยเฉพาะการแต่งตั้งแกนนำในระดับจังหวัดและอำเภอที่ผ่านการอบรมจากโรงเรียนน.ป.ช.ของธิดา ถาวรเศรษฐ์

ประเด็นนี้แม้จะทำให้คนเสื้อแดงกลุ่ม“ขวัญชัย” เสียขบวนไปบ้าง เพราะถูกแย่งชิงมวลชน แต่เมื่อปลายทางมีจุดหมายเดียวกัน “กลุ่มประชาชนผู้ที่ประกาศตัวว่ารักทักษิณ”ทำให้ขวัญชัย อาจต้องกลืนเลือดลงคออย่างยากเย็น เนื่องจากไม่สามารถจะอธิบายสภาพการณ์ที่ถูกลูกน้องเก่าหักหลังแถมถูกช่วงชิงการนำในช่วงที่เขาต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำนานกว่า 9 เดือนได้อย่างไร

ในขณะที่“ขวัญชัย”พยายามกอบกู้สถานการณ์คืนด้วยการสร้างภาพลักษณ์ให้ต่างจากหมู่บ้านเสื้อแดง ที่ขณะนี้ไม่ได้มีอะไรใหม่ๆไปกว่าการให้  “สุชาติ ธาดาธำรงเวช”กุนซือฝ่ายเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยซึ่งพลาดเป้าจากตำแหน่งรัฐมนตรีและหวังใช้ฐานมวลชนคนเสื้อแดงผลักดันในได้รับตำแหน่งในอนาคตอันใกล้หากมีการปรับ ครม.เดินสายเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงตามหมู่บ้านในจังหวัดต่างๆทางภาคอีสาน

“กลุ่มแดงรักเจ้าจะรณรงค์ร่วมกันปลูกต้นไม้มงคล เช่น ต้นพะยูง ต้นราชพฤกษ์คนละ 1 ต้นที่หน้าบ้านของเสื้อแดงรักเจ้า ในภาคอีสานทั้ง 20 จังหวัด แล้วในวันที่ 5 ธันวาคม หากเราได้รับอนุญาตให้ติดตราสัญลักษณ์เสื้อแดงจำนวน 2 แสนกว่าตัว เราก็จะนำไปแจกจ่ายให้กับกลุ่มแดงรักเจ้าในภาคอีสานจังหวัดละ 1 หมื่นตัว นอกจากนี้ก็จะมีขบวนมอตอเตอร์ไซค์ 2.เฉลิมพระเกียรติสวมเสื้อแดงอีก 2.5 หมื่นคันด้วย”ประธานชมรมคนรักอุดรระบุ

ส่วนการเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงแห่งประเทศไทยซึ่งก่อนหน้านี้คุณเพชรศักดิ์-คุณแม่วรรณา มีแผนที่จะไปเปิดที่หมู่บ้านเสื้อแดง 101 หมู่บ้าน ที่ อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด เมื่อวันที่ 11ก.ย. และวันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน ก็จะเปิดอีก 50 หมู่บ้าน ที่ อ.ศรีธาตุ จ.อุดรธานี ก็มีอันต้องยกเลิกไปโดยปริยาย เนื่องจากคนเสื้อแดงแห่ไปดูฟุตบอลนัดกระชับมิตรไทย-กัมพูชาที่เขมร

“เปิดหมู่บ้านเสื้อแดง เพราะว่ามีคนได้ประโยชน์ เขาได้รับความสนใจจากนักข่าวทั้งในและต่างประเทศ ผู้หญิงไทยที่แต่งงานกับชาวต่างประเทศก็ส่งเงินมาช่วยทำกิจกรรม ของจริงมันต้องมีมวลชน ประกาศเรียกแล้วมา ของเรามีแต่คนบริจาคให้ ไม่ต้องเรียกร้อง เราของจริงจำไม่ใช่ต้องเปิดเพื่อสร้างภาพ”ขวัญชัยระบุ

ในขณะที่ เดชา โคตรเถร ประธาน น.ป.ช.อำเภอศรีธาตุ ยอมรับว่า เครือข่ายหมู่บ้านเสื้อแดงยังไม่เชื่อมกันหมด ขณะนี้การดำเนินการต่างฝ่าย ต่างคิด ต่างทำ แต่ทุกคนมีจุดประสงค์เดียวกัน คือ การต่อสู้เพื่อให้ได้ประชาธิปไตยและความเป็นธรรม โดยเฉพาะการคืนความเป็นธรรมให้กับคุณหญิงพจมานและ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

“คนเสื้อแดงรักประชาธิปไตย รักความเป็นธรรม เราอยากรู้ว่าท่านทักษิณและคุณหญิงผิดตรงไหน เราไม่เคลือบแคลงคำตัดสินของศาล เราไม่ละเมิด แต่เราอยากรู้ว่าความยุติธรรมอยู่ตรงไหน ตอนนี้เครือข่ายหมู่บ้านเสื้อแดงยังไม่เชื่อมโยงถึงกันหมด ตอนนี้ต่างคนต่างคิด แต่จุดหมายของเราสิ่งเดียวกัน เราไม่อยากคนเมืองดูถูกว่า ชาวบ้านไม่มีความรู้ เขาดูข่าวทุกช่อง เรามีข้อมูล แต่อาจจะเข้าใจข้อมูลคนละมุมกัน”ประธาน น.ป.ช.อำเภอศรีธาตุ กล่าว

ภาพการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงทุกองคาพยพทั้งในและนอกท้องถิ่นที่ นอกจากเรียกร้องประชาธิปไตยตามแบบฉบับของตนแล้ว ยังมีจุดหมายสุดท้ายเดียวกัน คือ ให้ทักษิณกลับประเทศไทย แม้ว่าภายใต้ข้อเรียกร้องนั้นจะมีกลุ่มผลประโยชน์หลายฝ่ายเข้ามาแอบอิง แต่ก็ไม่มีปัญหา เพราะทุกฝ่ายล้วนวินวินทั้งสิ้น




ข่าวเจาะพาดหัวTCIJ

“รถยนต์ประสบอุทกภัย”บริษัทประกันชดเชยอย่างไร ?

คอลัมน์ วาไรตี้ นสพ.เดลินิวส์
สถานการณ์ น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในปี 2554 นี้นับเป็นครั้งที่รุนแรงและหนักที่สุดในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนจนทำให้หลายคนเครียดจัด แต่สิ่งหนึ่งที่จะสามารถช่วยเหลือและบรรเทาความเสียหายได้นั่นก็คือ การประกันภัยที่ได้ทำไว้ให้กับทรัพย์สินต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รถยนต์ซึ่งหากต้องได้รับความเสียหายจากวิกฤติอุทกภัย ความครอบคลุมของประกันภัยจะชดเชยได้มากน้อยแค่ไหน…?!?
จัน ทรา บูรณฤกษ์ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ให้ความรู้ว่า สำนักงาน คปภ.มีความห่วงใยผู้ประสบอุทกภัยเป็นอย่างยิ่ง จึงเร่งให้บริษัทประกันภัยสำรวจความเสียหายเพื่อจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ ประสบภัยได้ทันทีหลังน้ำลด โดยสถิติความสูญเสียทรัพย์สินด้านการประกันภัยจากความเสียหายสถานการณ์น้ำ ท่วมเบื้องต้นแบ่งเป็นความเสียหายต่อรถยนต์มีจำนวน 818 คัน คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 53,199,744.30 บาท จ่ายเต็มจำนวนเงินที่เอาประกันภัยแล้ว 1,878,388.60 บาท ซ่อมแซมรถยนต์ที่ได้รับความเสียหายคิดเป็นมูลค่าเงินที่เอาประกันภัย 5,826,981.08 บาท อย่างไรก็ตามสถานการณ์น้ำท่วมยังไม่คลี่คลาย บริษัทประกันจึงไม่สามารถเข้าไปประเมินความเสียหายได้ทั้งหมด ต้องรอสรุปตัวเลขหลังน้ำลดต่อไป
ทั้ง นี้ ผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่จะได้รับความคุ้มครองจากประกันภัย แบ่งเป็นประเภท การประกันภัยเกี่ยวกับบุคคล คือ 1. การประกันชีวิต คุ้มครองการเสียชีวิตทุกกรณี (รวมถึงการเสียชีวิตจากภัยน้ำท่วม) 2. การประกันภัยอุบัติเหตุ ส่วนบุคคล คุ้มครองกรณีเสียชีวิตเนื่องจากการจมน้ำหรือถูกน้ำซัดจมหายไป 3. การประกันสุขภาพ คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากการเจ็บป่วยจากเหตุการณ์น้ำท่วม สำหรับ การประกันภัยเกี่ยวกับทรัพย์สิน (บ้าน ที่อยู่อาศัย สถานประกอบการ) คือ 1. การประกันภัย คุ้มครองผู้ที่ได้ทำประกันอัคคีภัย และ ต้องซื้อภัยคุ้มครองภัยน้ำท่วมเพิ่มเติมไว้2. การประกันความเสี่ยงทรัพย์สิน คุ้มครองผู้ที่ได้ทำประกันภัยความเสียหายทรัพย์สิน ซึ่งให้ความคุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สินที่เอาประกันอันเกิดจากภัยต่าง ๆ รวมถึงน้ำท่วมด้วย 3. การประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก คุ้มครองกรณีผู้ประกอบการต้องการปิดกิจการและขาดรายได้จากภัยน้ำท่วมด้วย
ส่วน การประกันภัยรถยนต์ คือ 1. การประกันรถยนต์ คุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้นหากเสียหายบางส่วนจะได้รับการชดเชยค่าเสีย หายตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง แต่ไม่เกินจำนวนเงินเอาประกันภัย หากรถยนต์เสียหายจนไม่สามารถซ่อมได้หรือความเสียหายที่มีมูลค่าความเสียหาย ตั้งแต่ร้อยละ 70 ของมูลค่ารถยนต์ บริษัทประกันจะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนเต็มตามจำนวนเงินเอาประกันภัยที่ระบุ ไว้ 2. การประกันภัยรถยนต์ประเภทอื่น (นอกจากประเภท 1) คุ้มครองสำหรับรถที่ประกันภัยภาคสมัครใจและได้มีการซื้อประกันภัยอุบัติเหตุ ส่วนบุคคลไว้ด้วยก็จะได้รับความคุ้มครองเพิ่มในส่วนนี้ตามจำนวนเงินที่เอา ประกันภัยไว้ 3. การประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (พ.ร.บ.) คุ้มครองในกรณีที่มีผู้เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บขณะที่ได้รับบาดเจ็บขณะ ที่ขับขี่หรือโดยสารในรถนั้นเบื้องต้นจะได้รับความคุ้มครองจากกรมธรรม์ ประกันภัยตาม พ.ร.บ.เป็นค่าเสียหายเบื้องต้น กรณีค่ารักษาพยาบาลตามจริงไม่เกิน 15,000 บาท กรณีเสียชีวิตได้รับ 35,000 บาท
ทั้ง นี้ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ให้คำแนะนำแก่ผู้เสียหายที่เป็นเจ้าของรถยนต์ที่ประสบภัยน้ำท่วมว่า ข้อควรปฏิบัติกรณีที่รถยนต์ได้รับความเสียหาย คือหลังจากน้ำลดผู้เป็นเจ้าของรถควรแจ้งความเสียหายต่อบริษัทประกันทราบโดย เร็ว แสดงรายละเอียดของเอกสาร หลักฐาน ที่สำคัญ กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์แก่บริษัทประกันภัยเพื่อดำเนินการเรียกร้องค่าสิน ไหมทดแทน (ในกรณีที่เอกสารทำการประกันภัยหรือกรมธรรม์ประกันภัยสูญหายขณะน้ำท่วม สามารถประสานสำนักงาน คปภ.จังหวัดได้ทันที) และนำรถเข้าศูนย์โดยรถยกให้เร็วที่สุด
ที่ สำคัญข้อห้ามสำหรับเจ้าของรถเพื่อไม่ให้รถได้รับความเสียหายมากยิ่งขึ้น คือ อย่าสตาร์ตรถยนต์ในทันที ควรเปิดฝากระโปรงรถเพื่อสำรวจให้มั่นใจว่าไม่มีเศษอะไรมาติดอยู่ในตัว เครื่อง รวมถึงตรวจเช็กชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ในตัวถัง พร้อมทั้งสายไฟในบริเวณต่าง ๆ ว่ายังอยู่ในสภาพที่สามารถใช้งานได้ หากไม่มั่นใจให้นำรถเข้าศูนย์โดยรถยกให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันความเสียหายที่ไม่คาดคิด และอย่าพ่วงไฟควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีระบบไฟฟ้าลัดวงจรที่จะก่อให้เกิด ความเสียหายกับระบบเครื่องยนต์และระบบไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ
นอก จากนี้ทางสำนักงาน คปภ.ได้จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือด้านการประกันภัยให้กับประชาชนที่ประสบอุทกภัย ทั่วประเทศ โดยให้บริการรับแจ้งเหตุและให้คำปรึกษาด้านการประกันภัยรวมถึงการประสานกับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยเหลือเจ้าของรถที่ได้รับความเสียหายในการให้ บริการรถลาก ซ่อมรถยนต์และการตรวจสภาพรถที่ได้รับความเสียหายจากภัยน้ำท่วมฟรี ดังนั้นผู้ประสบภัยที่เป็นเจ้าของรถสามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ที่ ศูนย์ช่วยเหลือด้านการประกันภัย ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น. ทุกวันจันทร์-ศุกร์ หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนประกันภัย 1186
ภัย ธรรมชาติเกิดขึ้นอย่างบ่อยครั้งโดยที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่สามารถบรรเทาความเสียหายและความเดือดร้อนทางด้านการเงินได้ด้วยการทำ ประกันภัย แต่สิ่งสำคัญเหนืออื่นใดคือก่อนซื้อประกันภัยควรพิจารณาเลือกซื้อกรมธรรม์ ประกันภัยให้เหมาะสมตรงกับความต้องการของตัวเอง รวมทั้งตรวจสอบใบอนุญาตตัวแทนหรือนายหน้าจากนายทะเบียนเท่านั้น ที่สำคัญอย่าลืมตรวจสอบเอกสารการชำระเบี้ยประกันภัยทุกครั้งเพื่อรักษาและคง ไว้ซึ่งประโยชน์ของตัวเอง.
………………………..
วิธีดูแลรถหลังประสบภัยน้ำท่วม
อาจารย์ รักชาติ แสงวงศ์ หัวหน้าสาขาวิชาวิศวกรรมยานยนต์และหัวหน้าศูนย์บริการยานยนต์ มหาวิทยาลัยรังสิต ให้ความรู้ในการดูแลรักษารถยนต์ที่ผ่านการจมน้ำว่า การสำรวจรถยนต์ที่ผ่านการจมน้ำต้องตรวจดูสภาพโดยรวมว่ามีความเสียหายมากน้อย แค่ไหน จากนั้น ควรเปิดฝากระโปรงรถเพื่อปลดขั้วแบตเตอรี่ออกเพื่อตัดระบบการจ่ายไฟ ที่สำคัญไม่ควรสตาร์ตรถ เพื่อลองเครื่องยนต์เนื่องจากระบบกลไกในรถยนต์รุ่นปัจจุบันมีอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์เป็นสมองกล ซึ่งระบบเหล่านี้จมน้ำเพียง 5 นาทีก็เกิดความเสียหายได้ ทั้งนี้หากจมน้ำ 1-2 วัน ระบบดังกล่าวอาจเป็นสนิมทำให้ระบบการทำงานเสียหายมาก และที่สำคัญต้องตรวจดูว่าเครื่องยนต์เสียหายมากน้อยแค่ไหน จากนั้น ให้ทำการเป่าหรือใช้สเปรย์ไล่ความชื้น เพราะในจังหวะที่เราดับเครื่อง กระบอกสูบบางกระบอกยังทำงานอยู่อาจทำให้น้ำเข้าได้ และควรถ่ายน้ำมันทุกชนิดที่อยู่ในรถออกทันที เช่น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรก น้ำมันคลัตช์ ฯลฯ เพราะน้ำที่ปนกับน้ำมันจะทำให้เกิดสนิม
สำหรับ รถยนต์ที่ผ่านการจมน้ำมาควรซ่อมแซมหรือขายทิ้ง อาจารย์รักชาติ แนะนำว่าต้องเอารถไปประเมินสภาพก่อนว่ามีความเสียหายมากน้อยแค่ไหน คุ้มค่าหรือไม่ที่จะนำไปใช้ต่อ โดยปกติค่าซ่อมแซมรถยนต์ที่เสียหายจากการจมน้ำมีมูลค่าต่อคันอยู่ที่ประมาณ 300,000 บาท เพราะทุกอย่างเสียหายหมดเหลือแต่โครงรถกับเครื่องยนต์ ซึ่งต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ ส่วนเครื่องยนต์ก็ต้องผ่าดูอีกว่ามีน้ำขังอยู่ข้างในหรือเปล่า ถึงแม้จะเสียเงินซ่อมแล้ว สภาพก็ไม่สมบูรณ์เหมือนเดิม เพราะมีอุปกรณ์บางตัวที่ติดอยู่กับรถซึ่งไม่สามารถถอดออกมาเปลี่ยนได้ หากต้องการส่งซ่อมควรใช้บริการศูนย์ของรถยนต์ยี่ห้อนั้นๆ หรือส่งซ่อมที่อู่รถที่ได้มาตรฐาน มีผู้เชี่ยวชาญดูแล สำหรับรถยนต์ที่มีประกันชั้นหนึ่ง บริษัทประกันจะรับผิดชอบความเสียหายทั้งหมด โดยบริษัทจะสำรวจว่ามีความเสียหายมากน้อยแค่ไหน แต่ต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของบริษัทประกันด้วย
ส่วน ข้อควรระวังในการซื้อรถยนต์มือสองหลังเกิดเหตุอุทกภัย เพื่อป้องกันการหลอกขายรถยนต์ที่เคยจมน้ำมา คือก่อนตัดสินใจซื้อรถต้องสำรวจดูสภาพโดยรวมก่อน เช่น รถที่ผ่านการจมน้ำเมื่อเปิดประตูเข้าไปจะได้กลิ่นอับ แม้จะซ่อมดีแค่ไหนแต่กลิ่นก็ไม่หาย เพราะน้ำท่วมไม่ใช่น้ำสะอาดต้องใช้เวลานานในการดับกลิ่น และผู้ซื้อควรตรวจสอบระบบจ่ายไฟว่ามีความขัดข้องหรือไม่ แม้จะซ่อมดีแค่ไหน หากรถยนต์ผ่านการจมน้ำมาระบบจะมีข้อบกพร่อง และจุดเด่นที่ต้องสังเกตคือ นอต ที่ใช้ขันเครื่องยนต์ ควรสำรวจดูว่ามีร่องรอยการรื้อหรือเป็นสนิมเพราะผ่านการจมน้ำมาหรือไม่
———————————————————————————————————————————————–
ที่มา : ทีมวาไรตี้ นสพ.เดลินิวส์

พังเพราะการเมือง?


Pic_210070 จะว่าน้ำท่วมจนขาดการติดต่อสื่อสารกันไปเลยก็ไม่ใช่

มัน จึงเป็นอะไรที่ฟ้องประจานกันโดยปรากฏการณ์กับมุกของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. ที่แถลงข่าวใหญ่เลยว่า พื้นที่น่าห่วงที่สุดคือด้านเหนือของกรุงเทพฯบริเวณเขตสายไหม เขตดอนเมือง เนื่องจากประตูน้ำคลอง 1 ยังคงเปิดอยู่ โดยจะมีผลต่อการระบายน้ำของคลอง 6 วา เพราะหากยังเปิดอยู่เรื่อยๆ ระดับน้ำในคลองจะเพิ่มสูงขึ้น

สุดท้ายจะส่งผลกระทบเขตสายไหม ดอนเมือง รวมถึงพื้นที่ฝั่งตะวันออกของ กทม.ด้วย

“เรา ขอร้องกรมชลประทานทุกวัน แต่กลับไม่มีผล ซึ่งหากไม่ปิดก็ไม่เป็นไร แต่จะส่งผลกระทบต่อคน กทม.แน่ๆ ดังนั้น เราจึงต้องพึ่งตัวเอง โดยได้ขอความร่วมมือกับกองทัพบก ได้ส่งทหาร 50 นายมาช่วยทำคันกั้นน้ำบริเวณคลอง 6 วา ยาว 6 กิโลเมตร สูง 1 เมตร เพื่อป้องกันแล้ว โดยจะทำให้เสร็จเร็วที่สุด เพื่อพี่น้องชาวสายไหม ดอนเมือง รวมทั้งพื้นที่ตะวันออกด้วย”

ต้องใช้วิธีตีปี๊บ สื่อสาร ประจานกันออกอากาศ

ตอก ย้ำอาการบริโภค “เกาเหลา” ระหว่างทีมผู้ว่าฯ กทม. พะยี่ห้อประชาธิปัตย์ กับศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย

ลุยน้ำกันไปคนละทิศคนละทาง

และ ก็อย่างที่เห็น มันขัดอารมณ์กันอย่างสิ้นเชิงกับข้อมูลที่นายธีระ วงศ์สมุทร รมว. เกษตรฯ นายชลิต ดำรงศักดิ์ อธิบดีกรมชลประทาน และ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รอง ผบ.ตร. ในฐานะโฆษก ศปภ. ตั้งโต๊ะแถลงข่าวดี

ขอให้ประชาชนมั่นใจน้ำไม่ท่วม กทม.แน่

เพราะ น้ำเหนือมวลใหญ่จากนครสวรรค์ไหลลงทะเลไปแล้วในวันที่ 15 ตุลาคม สถานการณ์น้ำในเขื่อนต่างๆค่อนข้างดีขึ้น เขื่อนภูมิพลปล่อยน้ำวันละ 50 ล้านลูกบาศก์-เมตร เขื่อนสิริกิติ์ปล่อยน้ำวันละ 20 ล้านลูกบาศก์เมตร เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ปล่อยน้ำวันละ 30 ล้านลูกบาศก์เมตร

ยืนยันได้ว่า ปริมาณน้ำสูงสุดในรอบนี้ผ่านไปแล้ว และน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาจะไม่สามารถท่วมคันกั้นน้ำของ กทม.ที่สร้างไว้อย่างแน่นอน

ศปภ.ก็อารมณ์หนึ่ง กทม.ไปอีกอารมณ์หนึ่ง

ข่าวร้าย ข่าวดี ประชาชนตาดำๆที่กำลังขนของหนีน้ำตาลีตาเหลือก ไม่รู้จะเชื่อใคร

มัน ก็เป็นอะไรที่เข้าใจได้ ในมุมของการเมืองที่ต่างฝ่ายก็ต้องช่วงชิงกระแสการนำ พื้นที่เมืองหลวงเป็นฐานเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ครองแชมป์อยู่ทั้งในส่วน ของเก้าอี้ผู้ว่าฯ และการเลือกตั้ง ส.ส.รอบที่ผ่านมา ยังไงก็ต้องกั๊กแต้มไว้ไม่ให้ไหลไปกับสายน้ำ ขณะเดียวกัน รัฐบาลพรรคเพื่อไทยก็ต้องโชว์ฟอร์มให้เข้าตากรรมการในการกู้วิกฤติอุทกภัย พลิกจังหวะกลับมาครองใจคนเมืองกรุง

โดยวิสัยนักเลือกตั้งไม่มีใครอยากให้คู่แข่งได้คะแนนมากกว่า

ทั้งที่ ณ ห้วงนี้ การเมืองต้อง “พักรบยาว” วาระแห่งชาติอยู่ที่การสู้กับน้ำ

ตาม วิกฤติที่จ่ออยู่ตรงหน้า ล่าสุด  พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการ ศปภ. ได้สั่งการให้นิคมอุตสาหกรรมนวนคร ปิดเครื่องจักร ขนของขึ้นที่สูง และอพยพประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงไปยังศูนย์อพยพที่รัฐบาลเตรียมไว้หลังน้ำ ไหลบ่าเข้าท่วมนิคมฯ

ส่อจมบาดาล สกัดกั้นไม่ไหว

แนวโน้มด่าน ต่อไปมวลน้ำก้อนใหญ่ที่ขังอยู่ในพื้นที่ลุ่มรับน้ำอยุธยา ปทุมธานี ก็จะไหลมาจ่อกรุงเทพฯด้านเหนือทั้งเขตดอนเมือง เขตสายไหม

ที่แน่ๆ บรรดา “กูรู” ด้านน้ำ ให้เฝ้าระวังสถานการณ์ในพื้นที่  กทม.ไปอีก 1 เดือน โดยเฉพาะช่วง 7-8 วันนับจากนี้ ที่ตามธรรมชาติทุกปีช่วงเทศกาลลอยกระทง “น้ำจะนองเต็มตลิ่ง” ตามข้อมูลจากกรมอุทกศาสตร์ฯ น้ำทะเลจะหนุนอีกรอบช่วงสิ้นเดือนตุลาคม

วิกฤติยังอยู่ในห้วงลูกผีลูกคน ยังนิ่งนอนใจไม่ได้

ถ้า ศปภ.กับ กทม.ยังปล่อยให้ปมการเมืองเรื่องแทรก “แนวคันกั้นน้ำ”

ก็มีหวังได้เห็นกรุงเทพฯจมบาดาล.

ทีมข่าวการเมืองนสพ.ไทยรัฐ รายงาน

ดันน้ำนะโว้ยไม่ใช่งานเดินการกุศล!!


คุณผู้อ่านครับ การใช้เรือดันน้ำซึ่งเป็นวิธีตามแนวคิดพระราชดำรินั้น มันต้องดันในวันที่น้ำทะเลลง ถึงจะได้ผลดี

และการดันน้ำ ต้องทำในคลองที่มีขนาดไม่ใหญ่และลึกจนเกินไป จึงจะเกิดแรงดันน้ำ และต้องใกล้ถึงปากแม่น้ำแล้ว ถึงจะได้ผลดี

แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทำแบบเอาหน้าว่าฉันได้ทำแล้วนะ มาใช้เรือดันน้ำในวันที่น้ำทะเลหนุนสูงคือวันที่16ก.ย.54 ซึ่งยังเป็นวันที่น้ำทะเลหนุนสูงสุด แถมมาดันในแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งมันไม่ได้ผลอะไรหรอก แค่สร้างภาพเท่านั้น

ไม่รู้เธอโง่หรือเธอไม่มีสมองกันแน่วะนี่? มาดันน้ำในวันที่น้ำทะเลหนุน มันจะไปได้ผลอะไร มันช่วยอะไรไม่ได้หรอก

แถม แห่กันมาทั้งโคตรเง่า ราวกับไปเปิดงานการกุศล ต้องมีกดปุ่มกดเปิดงาน บ้ารึเปล่าวะ? คนเขาเดือดร้อนกันทั้งประเทศ ดันมาทำเหมือนเปิดแพรคลุมป้าย

นี่ครับคุณผู้อ่าน ผมขอนำข้อมูลจากเว็บกรมอุทกศาสตร์มาให้ดู

กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ ขอแจ้งสภาวะระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณหน้ากองบัญชาการกองทัพเรือ ดังนี้
๑. เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๔ น้ำขึ้น ๒ ครั้ง ในเวลา ๐๙.๔๔ น. คาดว่าจะสูงกว่าระดับทะเลปานกลาง ๒.๑๓ เมตร และในเวลา ๒๐.๐๐ น. คาดว่าจะสูงกว่าระดับทะเลปานกลาง ๑.๙๗ เมตร
๒. ในวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๔ น้ำขึ้น ๒ ครั้ง ในเวลา ๐๙.๕๙ น. คาดว่าจะสูงกว่าระดับทะเลปานกลาง ๒.๑๑ เมตร และในเวลา ๑๙.๔๓ น. คาดว่าจะสูงกว่าระดับทะเลปานกลาง ๒.๐๐ เมตร


จากข้อมูลที่ผมนำมาให้ดู จะเห็นได้ว่าในวันที่16ต.ค.54 น้ำทะเลสูงในเวลา9โมง44นาที แต่นายกฯยิ่งลักษณ์ไปเปิดงานดันน้ำ ในเวลา10.00น. ซึ่งมันเป็นช่วงน้ำกำลังขึ้นพอดี!?

สรุปก็คือ มันเป็นการหลอกชาวบ้านชัดๆว่า ฉันได้ช่วยหาวิธีระบายน้ำลงทะเลแล้วนะ คือสร้างภาพว่าได้ทำ แต่ผลที่ได้คืออย่างไร ไม่รู้หรอก

ถ้ามันจะดันน้ำ มันต้องรอช่วงน้ำลง แค่แรงใบพัดเรือมาดันน้ำ ถึงจะใช้เรือมากแค่ไหน มันสู้แรงธรรมชาติของทะเลหนุนไม่ได้หรอกโว้ย!!




ผมขอเอาข้อมูลจากกรมอุทกศาสตร์มาให้ดูอีกสักนิด ว่าในแต่ละวันมีช่วงน้ำขึ้น น้ำลง อย่างไร เช่นในวันที่17ต.ต.54 เป็นต้น (พอดีข้อมูลของวันที่16 เลยไปแล้วย้อนดูไม่ได้ แต่จะเห็นได้ว่า น้ำลงต่ำสุดจะเป็นช่วงเช้ามืดในแต่ละวัน)



ถ้าจะอยากดันน้ำมันต้องไปดันตอนเช้ามืดสิโว้ย!!

อ้อ! เช้ามืดคนยังไม่ตื่น มันมืด เดี่ยวคนไม่ค่อยเห็นผลงาน แหวะ!!


ส่วนที่วันต่อมา ก็ให้กล้องไปถ่ายตอนช่วงน้ำลง แล้วมาคุยว่า ดันน้ำได้ผล ได้ผลจนทะลักเข้านวนครเลย!! 

----------------------

ทำบุญอย่างสนุกสนาน

ก็อย่างว่าแหล่ะนะ เมื่ออภิมหาเศรษฐีมาทำบุญ เขาย่อมมีความสุข เลยหัวเราะอย่างเมามัน ท่ามกลางผู้อพยพที่หนีภัยมา



พิณทองทา ชินวัตร” พาคู่หมั้น ร่วมช่วยบรรจุสิ่งของช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่ ศปภ.ดอนเมือง พร้อมนำไก่ทอด-ไส้กรอกแจกจ่ายเจ้าหน้าที่-ประชาชนจิตอาสา และนำเสื้อชูชีพ40ตัว-ไฟฉาย400กระบอก มอบ “ยิ่งลักษณ์” ให้ จนท.ไว้ใช้ปฏิบติการช่วยเหลือผู้ประสบภัย

เห็นจำนวนเสื้อชูชีพ40ตัวของน้องเอม คนสวยแล้ว

ทำให้ผมอดนึกถึงเสื้อชูชีพหมื่นตัวของคุณตันไม่ได้จริงๆ

ถึงคุณตันจะจนกว่า แต่คุณตันสุดยอด!!

เซียนแซวการเมือง

เปิดคำทำนายปี′55 “โสรัจจะ นวลอยู่”

เปิดคำทำนายปี′55 “โสรัจจะ นวลอยู่” การเมืองร้อนฉ่า สุขภาพบุคคลสำคัญ และเขื่อนใหญ่ยักษ์แตก ?!!

แม้จะไม่เคยยอมรับว่าตัวเองเป็นหมอดูอาชีพ แต่ชื่อเสียงของ “โสรัจจะ  นวลอยู่” กลับโด่งดังในฐานะนักพยากรณ์ชื่อดังมากกว่าอาชีพวิศวกรและข้าราชการกรมชล ประทานที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

จากคอลัมน์ “ส่องราศี” ในหนังสือ นรี เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว ได้ทำให้เจ้าของนาม “หมอโส” โลดแล่นเข้าสู่ยุทธจักรของการทำนายโชคชะตาราศี มาจนถึง “โสรัจ”  แห่งแพรวพยากรณ์ และ “โสรัจจะ “ แห่งดวงและดาว ในนิตยสารสกุลไทย ที่ผู้คนโดยเฉพาะทั้งวัยรุ่นและผู้หลักผู้ใหญ่ติดกันงอมแงม



ผูกขาดเป็นนักพยากรณ์ในหนังสือทายประจำปี “ศาสตร์แห่งโหร” ของสำนักพิมพ์ “มติชน” มาหลายปี แต่ละปีมักจะมีคำทำนายที่สร้างความฮือฮา เพราะแม่นราวจับวาง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจตกต่ำ อุทกภัย อัคคีภัย ไปจนถึงการสูญเสียบุคคลสำคัญ



ล่าสุดคำทำนายล่วงหน้าเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ “มหาภิบัติภัยสึนามิ” ที่ญี่ปุ่นในปี 2554 ได้ใกล้เคียง มีผู้คนเสียชีวิตและบ้านเรือนเสียหายจำนวนมาก

เช่นเดียวกับ พยากรณ์ประจำปีมะโรง  พ.ศ. 2555 ของเขาในศาสตร์แห่งโหรครั้งนี้ ซึ่งเขาตั้งคำถามไว้ว่า “โลกจะถึงกาลแตกดับฤา”
โสรัสจะทำนายว่า โลกจะสิ้นสุดก็เพราะไฟ ไฟจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างให้พินาศ สูญไป แต่ที่เราเห็นอยู่ในขณะนี้ก็คือไฟจากกิเลสตัณหาของมนุษย์ที่กำลังแผดเผาผู้ คนให้ย่อยยับไปทุก ๆ ขณะ อยู่แล้ว เพราะบัดนี้ ผู้ปกครองประเทศ และประชาชนไม่ตั้งมั่นในศีลธรรมและกุศลจิตของชนทั้งหลายเสื่อมคลายลง ก็จะเกิดความเดือดร้อนกันไปทั่ว ข้าวยากหมากแพง เกิดการรบราฆ่าฟันกันและเกิดภัยพิบัติจากธรรมชาติครั้งใหญ่ที่สุดที่มนุษย์ ไม่สามารถจะดำรงเผ่าพันธุ์ต่อไปได้
“ตั้งแต่ต้นปี “พระอังคาร” หัวหน้าใหญ่บาปเคราะห์เดินขบวนอยู่ราศีสิงห์ , ราศีกันย์เกตุ, ราศีตุลย์ดาวเสาร์, ราศีพิจิกราหูล้วนเป็นขบวนดาวบาปเคราะห์ทั้งสิ้น นับเป็นขบวนผีห่าซาตานเข้ามาคร่าผลาญชีวิตชาวโลก”
“ดาวพฤหัสบดี ดาวฝ่ายคุณธรรมความดี ย้ายเข้าสู่ราศีพฤษภ ในวันที่ 15 พฤษภาคม 2555 เล็งพระราหู ฝ่ายอธรรม ซึ่งสถิตราศีพิจิก แบบนี้คงได้เห็นลางว่าจะมีการสัปยุทธใหญ่เกิดขึ้น”
“พระราหูสถิตอยู่ราศีพิจิก จนกระทั่งวันที่ 10 ธันวาคม 2555 ย้ายเข้าสู่ราศีตุลย์ เล็งลัคนาดวงเมืองราศีเมษ เข้าร่วมพระเสาร์ดาวคู่มิตร จึงช่วยกันเข้าถล่มเมืองไทยอย่างแท้จริง”
แต่ดวงดาวของโลกในปีมะโรง 2555 ที่น่าเอาใจใส่และเป็นห่วงที่สุดก็คือ ประเทศไทยเรานี่แหละ ไม่ต้องไปดูอะไรให้ไกลตัว

ประเทศไทยในปี 2555 นี้ มีสิ่งที่น่าจะเพ่งเล็ง คือ ประเทศไทย เดือน มกราคม, กุมภาพันธ์, มีนาคม เริ่มเกิดความวิบัติทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยพายุโซนร้อนหลายระลอก เป็นสิ่งวิปริตอาเพศเพราะช่วงเวลาดังกล่าวไม่เคยเกิดขึ้นเลย น้ำท่วมจังหวัดในภาคเหนืออย่างรุนแรงเป็นแรมเดือน แล้วก็ลามลงมาภาคกลางไปจนทั่วประเทศ และรวมทั้งภาคใต้ด้วย สูญเสียผู้คนจำนวนมากและเสียหายเงินเหลือคณานับ ไร่นา ปศุสัตว์ล่ม กรุงเทพฯ ก็จมอยู่ในน้ำโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวฝั่งธนบุรี
และเหตุการณ์เช่นเดิมนี้ก็เกิดขึ้นอีกครั้งในเดือน มิถุนายน, กรกฎาคม, สิงหาคม, กันยายน, ตุลาคม, พฤศจิกายน และธันวาคม ประชาชนชาวไทยที่ยากจนจำต้องเผชิญกับความทุกข์ยากที่หนักและรุนแรงกว่าปี ก่อน ๆ เสียหายยับเยินไปทั่วทุกจังหวัด และทั่วทั้งประเทศเฉลี่ยไปโดยทั่วถึงกัน เป็นทุกขภิกภัยโดยแท้
อาถรรพ์ของดวงดาวบาปเคราะห์เสาร์อริอย่างเต็มที่ บ่งถึงว่าสภาวะของประเทศเกิดความแตกร้าวอย่างรุนแรง ไม่อาจจะผสานกันได้ แสดงให้เห็นจุดยุ่งยากของหัวหน้ารัฐบาลจะต้องเผชิญ

ดวงเมือง แห่งยุคการคลั่งไคล้ประชาธิปไตยครึ่งใบนี้ ในเดือนมีนาคม 2555 ดาวอาทิตย์ (คือประมุขของรัฐบาล) กำลังโคจรเข้าสู่ภพวินาศนะของราศีเมษพอดี และถูกบาปเคราะห์ทำมุมกากบาด แล้วยังโดนดาวเสาร์เล็งแบบหัวไม่วางหางไม่เว้น เท่านี้จะมีอะไรเหลือ
และขณะเดียวกัน ความยุ่งยากทางการเมืองภายใน จะก่อความร้าวฉานทวีขึ้นอย่างไม่มีจบสิ้น แล้วยังมีเหตุอันร้ายแรงแก่พรรคการเมืองที่ยิ่งใหญ่เก่าแก่พรรคหนึ่งของ ประเทศไทย ซึ่งมีลัคนาของดวงพรรคอยู่ราศีกันย์ กำลังโดนเกตุบาปเคราะห์ทับและโดนดาวบาปเคราะห์เสาร์กับอังคารบีบข้างหน้า และข้างหลัง ก็ย่ำแย่เฉกเช่นกัน อาจถึงขั้นพรรคแตก, ล่มสลายไปหมดทางแก้ไข เป็นระยะของการปลอดสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคยยึดเหนี่ยว เพราะความเสื่อมของผู้คนในพรรคนี้ก็เป็นได้ ที่ไม่จริงใจต่อประเทศชาติซ่อนเร้นมาตลอด
เดือนเมษายน ประชาธิปไตยของไทย จะพบความประหลาดใจว่าดาวเจ้าเรือนภพที่ 11 (คือประมุขของรัฐบาล) อันเป็นดาวเสาร์ ซึ่งดาวเสาร์ประมุขรัฐบาลกำลังเดินถอยหลังกรูด ซ้ำร้ายดาวมฤตยูดาวแห่งการปฏิวัติรัฐประหารยังคงเดินโคจรอยู่ในภพวินาศนะต่อ ราศีเมษแห่งไทยสยาม เป็นการยืนยันให้เห็นความเชื่อมโยงถึงการเสื่อมอำนาจของผู้นำโดยแท้ ทุกอย่างสอดคล้องกันอย่างซับซ้อนให้เห็นเช่นนี้ จึงสำแดงให้เห็นถึงสภาวะการตึงเครียด และการเดินขบวนต่อต้านหัวหน้ารัฐบาลกับปรากฎการณ์ที่ส่อเค้าแห่งการเสื่อม อำนาจวาสนาของผู้ปกครองประเทศในระยะนี้ ประมุขรัฐบาลจึงต้องออกจากประเทศไป เหตุการณ์ทุกอย่างจึงสงบและทุเลาลง
แม้จะมีรัฐธรรมนูญ มีการเลือกตั้ง มีคณะรัฐมนตรี มีสภาผู้แทนราษฎร มีศาล และมีพรรคการเมือง ล้วนมีขึ้นเพียงรูปแบบของระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาเท่านั้น แต่จิตวิญญาณยังมิได้เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงเลย
อำนาจทางการเมืองผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันอยู่ในกำมือ ของทหารกลุ่มต่าง ๆ ในระบบอำนาจนิยม และได้พัฒนาต่อ

“ตามดวงเมืองต้องปกครองด้วยทหาร”

ตามโบราณของการก่อตั้งดวงเมือง ท่านโหราจารย์ผูกดวงบ้านเมืองไว้กับผู้มีอำนาจในสมัยนั้น เพื่อปกป้องบ้านเมืองให้รอดพ้นจากศัตรู ผู้มีอำนาจใจสมัยโบราณก็คือ ทหารนั่นเอง เพราะฉะนั้นประเทศไทย คงหนีไม่พ้นสิ่งนี้ไปได้ นี่คือข้อเท็จจริง ดังนั้นไม่ต้องมาอ้างว่า เราเป็นประชาธิปไตย เลิกหลอกตัวเองซะทีและเชื่อไปตามที่ตัวเองหลอก เป็นความบ้าคลั่งประชาธิปไตยโดยแบบผิด ๆ ปีนี้ควรจะหันมามองความจริงและเผชิญกับมัน
แต่อย่างไรเสียประเทศก็มีดวงดาวที่แข็งกว่า ที่มีอะไรที่หนือกว่าดวงนักการเมืองชั่วเหล่านี้ ประเทศไทยก็จะมีการพัฒนาไปตามขบวนการหรือจะเรียกว่า การเดินทางของดวงดาว      ที่จะมาช่วยบ้านเมืองเอาไว้ได้ เราไม่ “สิ้นชาติ” หรอก แต่เราก็บอบช้ำจากน้ำมือผู้นำชั่วเหล่านั้นไปมากเหมือนกัน เราจะไม่ขอให้ใครหยุดทำเพื่อประเทศอีกต่อไปแล้ว ให้มันเป็นไปตามดวงดาวลิขิตไว้เช่นนี้ละ !!

ดาวของผู้นำประเทศในปี 2555 จะเป็นดวงที่แตกไม่สามารถที่จะเข้ามาประสานต่อไปได้แล้ว  ผู้คนทั้งประเทศสิ้นศรัทธาและเกลียดชัง เพราะฉะนั้นผู้นำที่เลวและไม่หวังดีต่อประเทศคิดแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง และพวกพ้องก็ต้องเป็นไป ดวงดาวที่โคจรเข้ามาบรรจบกันพอดี
อีกตำราหนึ่งกล่าวว่า ปีมะโรง 2555 นี้ ปรากฎว่าบาปเคราะห์ใหญ่ยังคงเล็งกันอยู่ในราศีทวารล้วนเป็นบาปเคราะห์เบิ้ม ๆ ด้วยกันทั้งนั้น เราก็ยังคงจะต้องได้ฟังปัญหาของประเทศไทย อันขัดแย้งกันอย่างน่ากลัวต่อไป ส่วนดาวในฝ่ายคุณธรรมคือ ดาวพฤหัสบดี ก็คงโคจรเล็งกับดาวเสาร์ บาปเคราะห์อันมีสภาพตรงกันข้ามกับดาวพฤหัสบดีทุกอย่าง การผสานกลมกลืนกันย่อมจะเป็นไปได้ยาก อีกประการหนึ่ง คู่พฤหัสบดีกับเสาร์ที่เปรียบเสมือนคู่ขัดแย้งกันโดยธรรมชาติ ได้ทำมุมอับกับดาวอังคาร (ดาวเลือดสีแดงกล่ำ) อยู่ด้วย เห็นเค้าของความรุนแรงปรากฎให้เห็นทุกแง่ทุกมุม อาการประนีประนอมกันคงมองไม่เห็น การทำสงครามระหว่างสีต่าง ๆ อาจจะลามปามกลายเป็นสงครามชนชั้น กลายเป็นคนจนจะลุกขึ้นฆ่าคนรวย เพราะความกดดันความคับแค้นที่สั่งสมมานานในช่วงที่นักการเมืองชั่วสลับสับ เปลี่ยนกันขึ้นมาปกครองประเทศตลอดมาอย่างไร้คุณธรรม สงครามกลางเมือง เป็นสงครามต่อเนื่องกันไปโดยไม่มีวันจบสิ้น ปี 2555 นี้ นับเป็นปีของอะไรต่อมิอะไรผยองขึ้นมาโดยขาดคุณธรรมเป็นเครื่องนำทาง จะไปหวังอะไรที่เป็นของดีงามเข้ามาช่วยเหลือหรือคุ้มครองมิได้เลย
บุคคลในเครื่องแบบใช้อำนาจไม่เป็นธรรมร่วมมือกับสมุนทำการย่ำยีประชาชนอย่าง โหดเหี้ยมทารุณ เป็นที่ครหาไปทั่วโลก ตรงนี้เป็นจุดเปราะบาง เพราะองค์กรของโลก เช่น สหประชาชาติ ทนต่อพฤติกรรมเลวร้ายและรุนแรงเช่นนี้ไม่ไหว ต้องส่งกำลังทหารจากทั่วโลก เข้ามากวาดล้าง ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปเป็นจำนวนมหาศาล และบ้านเมืองที่สวยงามของเราก็พังพินาศลงไปดูแล้วน่าเอนจอนาถเป็นที่ยิ่ง

ประเทศไทยซึ่งหวังกันว่าจะเริ่มสันติสุขปรองดองกันเสียที ก็ดูจะเลวร้ายยิ่งไปกว่าเดิม ดาวพฤหัสบดีอยู่ในมุมบังคับเป็นกากบาท ซึ่งอังคารทับเสาร์ เป็นเรื่องที่มิอาจมีการออมชอมกันได้ง่าย ๆ ฝ่ายรัฐบาลก็มีแต่การทะเลาะเบาะแว้งกันภายใน และรวมทั้งกับพรรคที่มาร่วมรัฐบาลด้วย

ปี 2555 นี้ ประเทศไทยระวังสุขภาพของบุคคลสำคัญต่าง ๆ เกิดการเจ็บไข้อย่างรุนแรงเกิดขึ้นแก่ผู้เป็นใหญ่ในประเทศและเกิดการสูญเสีย
เกิด “เขื่อนยักษ์ใหญ่แตก” ทั้งหมด 2 เขื่อนใหญ่ เป็นคลื่นยักษ์เข้าถล่มสู่เบื้องล่าง ท่วมไร่นา ที่อยู่อาศัย สิ่งก่อสร้างทั้งเล็กและใหญ่ และประชาชนที่อยู่ใต้เขื่อนแบบไม่รู้ตัว จมน้ำหายไปหลายหมู่บ้าน ตำบล และหลายจังหวัด เสียหายต่อเนื่องมาถึงกรุงเทพมหานคร มีผู้คนล้มตายหลายหมื่นคน

พื้นดินถล่มและทรุดตัวไปทั่วประเทศ รวมทั้งกรุงเทพมหานคร เราอาจจะต้องสูญเสียแผ่นดินแถบชายฝั่งทะเลอันดามัน ตั้งแต่จังหวัดระนองลงมาและจมลงสู่ใต้ทะเล
แถบชายฝั่งทะเลอันดามันตั้งแต่เกาะภูเก็ต กระบี่ พังงา ถูกคลื่นยักษ์สึนามิพุ่งเข้าถล่มครั้งใหญ่กว่าปี 2547  กวาดผู้คนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติรวมทั้งบ้านเรือน ยานพาหนะ ลงทะเลเกือบหมดสิ้น

 
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง