บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2554

VOTE NO กับ VOTE YES บนสถานการณ์การเลือกตั้งที่เป็นโมฆะ

โดย ยินดี วัชรพงศ์ ต่อสุวรรณ 15 มิถุนายน 2554 19:07 น.

ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาจะฟื้นฝอยหาตะเข็บ และไม่ได้มีเหตุโกรธเคืองหรือมีเจตนาร้ายต่อผู้ใด แต่เหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นในอดีตได้เกิดผลเสียหายตามมาอย่างร้ายแรงใน ปัจจุบัน ในเรื่องอำนาจอธิปไตยของชาติและความเสียหายจากการปกครองภายในประเทศ จากการแย่งชิงอำนาจปกครองของชนชั้นผู้ปกครอง และกำลังจะมีผลเสียหายอันเป็นมหันตภัยในอนาคตอย่างสุดคณานับภายหลังการเลือก ตั้งครั้งนี้ ผู้เขียนเห็นว่าจำเป็นต้องเสนอข้อคิดทางวิชาการในความเป็นโมฆะของการเลือก ตั้งครั้งนี้ (ตอนที่ 2) ต่อสาธารณะเพื่อการตัดสินใจในการที่จะออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งของตนเอง และการเป็นโมฆะของการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นไม่ได้ เกิดขึ้นจากผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง แต่เกิดขึ้นจากน้ำมือของผู้ได้รับเลือกตั้งไปเป็นผู้ปกครองแล้วทั้งสิ้น
      
       จากการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 (หลังจากการปฏิวัติ 19 กันยายน 2549) พรรคพลังประชาชนได้รับเลือกเป็น ส.ส.มากที่สุดถึง 233 คน และได้เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลในวันที่ 2 ธันวาคม 2551 พรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย พรรคมัชฌิมาธิปไตย ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลได้ถูกศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคและเพิกถอน สิทธิการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการเมือง ในกรณีทุจริตการเลือกตั้งทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริตและเที่ยงธรรม และเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองประเทศ ซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
      
       หลังจากที่พรรคการเมืองทั้งสามพรรคถูกยุบไปแล้ว ก็ได้มีพรรคเพื่อไทย พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคภูมิใจไทย เข้ามาแทนที่ในสภา ได้มีการดำเนินการทางสภาลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่ ปรากฏว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้รับคะแนนเสียงมากกว่า พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคการเมืองที่เข้ามาในสภา ใหม่อีกสองพรรค โดยที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่รู้เลยว่าพรรคการเมืองใหม่ที่เข้ามาใน สภาสามพรรคนั้น เข้ามาในสภาและได้มีอำนาจในการดำเนินการทำหน้าที่ในสภาด้วยวิธีการอย่างไร และมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ด้วยวิธีใด จำนวนเท่าใดในแต่ละประเภทของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพราะไม่เคยพบข่าวการประกาศเกี่ยวกับการรับรองการเป็น ส.ส.ที่ยังคงสถานภาพของการเป็น ส.ส.ของคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือ กกต.แต่อย่างใด
      
       การได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ทั้งระบบลงคะแนนเลือกตั้งและระบบสัดส่วน สิทธิในการเป็น ส.ส.ทั้งสองระบบไม่ใช่เป็นสิทธิขาด (absolute right) หรือมีอำนาจสิทธิขาด (absolute power) ของความเป็น ส.ส.แต่อย่างใด การได้รับเลือกเป็น ส.ส.เป็นเพียงได้รับมอบอำนาจของประชาชนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งให้ไปทำหน้าที่ แทนประชาชนในสภา (นิติบัญญัติ) หรือในรัฐบาล (บริหาร) เพียงชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้น สิทธิในการเป็น ส.ส.ย่อมสิ้นสุดได้ด้วยเหตุตามรัฐธรรมนูญและตามกฎหมาย การที่พรรคการเมืองถูกยุบพรรคจึงมีผลกระทบต่อความเป็น “สมาชิกพรรคการเมือง” และ “ความเป็นสมาชิกภาพของสมาชิกผู้แทนราษฎร” กฎหมายรัฐธรรมนูญได้บัญญัติให้สมาชิกพรรคการเมืองที่ถูกยุบพรรค ต้องเข้าเป็นสมาชิกพรรคการเมืองอื่นภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งยุบพรรค
      
       เมื่อเข้าเป็นสมาชิกพรรคการเมืองอื่นภายในเวลาที่กำหนดไว้แล้ว การเป็นสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็ยังคงมีอยู่ต่อไปได้ (รธน.มาตรา 106 (8)) การที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้สมาชิกพรรคการเมืองที่ได้รับ การเลือกตั้งเป็น ส.ส.ให้ยังคงเป็น ส.ส.ต่อไปได้นั้น จะต้องไม่ขัดต่อสิทธิในการเลือกตั้งของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งที่มีอยู่ตามรัฐ ธรรมนูญด้วย เมื่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญได้บัญญัติให้ผู้ใช้สิทธิเลือก ตั้งต้องเลือก “ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง” และต้องเลือก “ส.ส.แบบสัดส่วน” โดยต้องเลือกพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวแล้ว (รธน.มาตรา 930 วรรคสอง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งและการได้มาซึ่ง ส.ส.มาตรา 6) เมื่อพรรคการเมืองถูกยุบพรรค การที่ ส.ส.จะยังคงเป็น ส.ส.อยู่หรือไม่ จึงต้องแยกเป็นสองกรณีคือ
      
       “ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง” หรือ “ส.ส.แบบลงคะแนนเลือกตั้ง” ซึ่งถือเป็นสิทธิเฉพาะตัวเพราะ ส.ส.ดังกล่าวได้รับการเลือกตั้งมาจากการลงคะแนนประชาชนโดยตรง เมื่อพรรคการเมืองถูกยุบแล้ว ส.ส.ดังกล่าวเมื่อเข้าเป็นสมาชิกพรรคการเมืองอื่นภายในเวลารัฐธรรมนูญกำหนด ไว้แล้ว ส.ส.นั้นก็ยังคงเป็น ส.ส.อยู่ต่อไปได้ (รธน. ม.106 (8))
      
       ส่วน “ส.ส.แบบสัดส่วน” หรือ “ส.ส.สัดส่วน” นั้น เมื่อผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง เลือกพรรคการเมืองเข้ามาเป็นผู้แทน โดยพรรคการเมืองเป็นผู้จัดทำบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งในแต่ละเขต เลือกตั้งนั้น รายชื่อของ ส.ส.ดังกล่าวไม่ได้เป็นผู้ได้รับการลงคะแนนเลือกตั้งจากประชาชนผู้มีสิทธิ เลือกตั้งโดยตรง แต่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเลือกพรรคการเมือง เมื่อพรรคการเมืองถูกยุบ ส.ส.สัดส่วนจึงถูกยุบและสิ้นสภาพการเป็น ส.ส.ไปโดยอัตโนมัติพร้อมพรรคการเมืองนั้นๆ ด้วย ดังจะเห็นได้จากบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญที่ได้บัญญัติไว้ชัดเจนว่า “ใน กรณีที่มีเหตุใดๆ ทำให้ในระหว่างอายุของสภาผู้แทนราษฎรมีสมาชิก ซึ่งได้รับการเลือกตั้งจากการเลือกตั้งแบบสัดส่วนมีจำนวนไม่ถึงแปดสิบคน ให้สมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบสัดส่วนประกอบด้วยสมาชิกเท่าที่มีอยู่” (รธน. มาตรา 93 วรรคห้า) โดยรัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติให้ต้องมีการเลือกตั้งเพิ่มให้ครบจำนวน 80 คน แต่อย่างใดไม่
      
       ดังนั้น เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคการเมืองที่ ส.ส.สัดส่วนสังกัดอยู่ ส.ส.สัดส่วนดังกล่าวจึงสิ้นสภาพการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทันที แต่ กรณีมี ส.ส.สัดส่วนพรรคที่ถูกยุบไม่ยอมออกจากตำแหน่ง โดยมีเจตนาที่ไม่ยอมออกจากตำแหน่ง หรือแกล้งโง่กับกฎหมายมาตรา 106 (8) ที่ไม่สามารถนำมาใช้บังคับกับตนเองได้แล้ว ส.ส.สัดส่วนดังกล่าวจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 92 แต่อย่างใด
      
       เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย พรรคมัชฌิมาธิปไตย เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2551 (สมัยที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี) พรรคพลังประชาชนมี ส.ส.สัดส่วน 34 คน พรรคชาติไทยมี 4 คน พรรคมัชฌิมาธิปไตยไม่มีสัดส่วนเลย ส.ส.สัดส่วน ที่สิ้นสภาพการเป็น ส.ส.ในขณะยุบพรรคมีจำนวน 38 คน ในสภาผู้แทนราษฎรจึงมี ส.ส.สัดส่วนเหลือเพียง 42 คน ซึ่ง ส.ส.สัดส่วน 42 คนนั้น เป็น ส.ส.สัดส่วนในสภาเท่าที่มีอยู่ที่จะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ ตาม รธน.มาตรา 93 วรรคห้าดังกล่าว แต่ ปรากฏว่า ส.ส.สัดส่วนที่สิ้นสภาพการเป็น ส.ส.จำนวน 38 คนนั้นไม่ยอมออกจากตำแหน่งและแสดงตนเป็น ส.ส.สัดส่วนยังคงทำหน้าที่เป็น ส.ส.สัดส่วนในสภาต่อไป ทั้งๆ ที่สิ้นสภาพการเป็น ส.ส.สัดส่วนไปแล้ว จนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554
      
       ผลของการที่มี ส.ส.สัดส่วนที่สิ้นสภาพการเป็น ส.ส.ไปแล้ว แต่แสดงตนเป็น ส.ส.สัดส่วนและกระทำการเป็น ส.ส.สัดส่วนในสภา ดังนั้นเมื่อมีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบให้นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญมาตรา 172 นั้น ใน ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรจึงมีบุคคล 38 คน ที่มิใช่เป็น ส.ส.สัดส่วน หรือเป็น ส.ส.สัดส่วนที่สิ้นสภาพการเป็น ส.ส.แล้วเข้าร่วมประชุมในสภาผู้แทนราษฎร โดยที่บุคคลดังกล่าวไม่มีสิทธิที่จะเข้าประชุมและไม่มีสิทธิที่จะออกเสียง รับรองหรือไม่รับรอง เห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีได้แต่อย่างใด จึงเป็นการประชุมสภาผู้แทนราษฎรโดยมิชอบด้วยกฎหมายและขัดต่อรัฐธรรมนูญ ก่อให้เกิดความเสียหายในระบบกลไกทางรัฐสภา (Technical mistake) ซึ่งมีปัญหาว่าการเป็นนายกรัฐมนตรีของนายอภิสิทธิ์นั้น ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่
      
       สภาผู้แทนราษฎรและรัฐสภาซึ่งมี ส.ส.สัดส่วนที่สิ้นสภาพการเป็น ส.ส.แล้ว แต่แสดงตัวเป็น ส.ส.สัดส่วนและทำหน้าที่เป็น ส.ส.สัดส่วนทั้งๆ ที่ไม่มีหน้าที่ดังกล่าว ได้เข้าร่วมดำเนินการทางรัฐสภาในนามพรรคเพื่อไทย พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคภูมิใจไทยในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 93, 94, 95, 96, 97, 98 และมาตรา 190 โดยที่ประชาชนไม่เคยเลือกพรรคการเมืองทั้งสามพรรคมาก่อนเลย จึงเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยมีพรรคการเมืองที่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง และพรรคการเมืองทั้งสามพรรคไม่เคยจัดทำบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งใน แต่ละเขตเลือกตั้งเพื่อเข้ารับการเลือกตั้งมาก่อนแต่อย่างใด และเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดย ส.ส.สัดส่วนที่สิ้นสภาพการเป็น ส.ส.แล้ว
      
       การแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุด แต่ถูกแก้ไขโดยรัฐสภาที่มีบุคคลที่ไม่ใช่เป็น ส.ส.และโดยพรรคการเมืองที่ไม่เคยได้รับการเลือกตั้งมาก่อนมาร่วมแก้ไข จึงเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญโดยมีความเสียหายเกิดขึ้น ในกลไกทางรัฐสภา ทำให้ไม่มีผลเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้แต่อย่างใด และขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 และเมื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญมีผลกระทบต่อสิทธิของประชาชน การแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวจึงขัดต่อระบอบประชาธิปไตยและอำนาจอธิปไตยของปวง ชนชาวไทย
      
       เมื่อการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญที่ แก้ไข และรัฐธรรมนูญที่แก้ไขมาโดยไม่ชอบนั้นได้นำมาใช้ในการเลือกตั้งโดยมีการ เปลี่ยนแปลงเขตเลือกตั้งใหม่ การเลือกตั้ง ส.ส.ในครั้งนี้จึงอยู่บนพื้นฐานของรัฐธรรมนูญที่แก้ไขขัดต่อรัฐธรรมนูญ ขัดต่อระบอบประชาธิปไตยและอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยดังกล่าว ซึ่งจะมีปัญหาว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะดำเนินการต่อไปได้หรือไม่ เพราะจะทำให้การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 เป็นโมฆะในที่สุด ผลของการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นก็จะก่อปัญหาอย่างไม่รู้จบสิ้น
      
       การที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสภาพการเป็น ส.ส.สัดส่วนนั้น เป็นเรื่องที่ประชาชนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งไม่สามารถถึงได้โดยง่าย (accessibility) แต่การได้รับเลือกเป็น ส.ส.สัดส่วน โดย ส.ส.สัดส่วนจะทำหน้าที่ในสภาได้ก็แต่เฉพาะต้องได้รับการเลือกตั้งมาจาก ประชาชนโดยทางอ้อม โดยประชาชนเลือกพรรคการเมืองเท่านั้น รัฐธรรมนูญ จึงได้บัญญัติให้เป็นอำนาจหน้าที่ของ ส.ส. หรือ ส.ว.ที่จะตรวจสอบการสิ้นสภาพของสมาชิกภาพด้วยกันเองได้ ส.ส.และ ส.ว.ต่างก็มีหน้าที่ที่จะต้องดูแลให้องคาพยพของรัฐสภาดำเนินการไปได้โดยกลไก ทางรัฐสภาชอบด้วยรัฐธรรมนูญและถูกต้องตามกฎหมาย
      
       หากมีส่วนใดส่วนหนึ่งในองคาพยพของรัฐสภาบกพร่อง หรือกลไกทางรัฐสภาไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายแล้ว ก็จะมีผลต่อการกระทำหน้าที่ของทั้งสองสภาได้ โดยรัฐธรรมนูญบัญญัติ ให้ ส.ส.จำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ในสภา มีสิทธิเข้าชื่อร้องต่อประธานสภาว่า สมาชิกภาพของสมาชิกคนใดคนหนึ่งแห่งสภานั้นได้สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ และประธานสภาที่ได้รับคำร้องต้องส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพของสมาชิกผู้นั้นสิ้นสุดหรือไม่ (รธน.มาตรา 91 วรรคแรก) การที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่ตรวจสอบการสิ้นสมาชิกภาพสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ด้วยกันเอง ทั้งๆ ที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติให้ต้องตรวจสอบในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบ พรรคการเมืองนั้น แต่ยังร่วมกันดำเนินการทางสภาผู้แทนราษฎรมีการประชุมสภาและดำเนินการต่างๆ ทางสภาในฐานะเป็นสภานิติบัญญัติตลอดมาเป็นเวลานานเกือบ 2 ปีนั้น ย่อมเป็นการกระทำที่ทำให้เกิดความเสียหายโดยกลไกของสภา
      
       กรณีจึงอาจเข้าข่ายเป็นการร่วมกันเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจใน การปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นการกระทำอันอาจเป็นปฏิปักษ์ ต่อการปกครองประเทศในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (รธน. มาตรา 68 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฯ มาตรา 94 (3)) และยังอาจเป็นการกระทำความผิดที่มีโทษทางอาญาโดยเฉพาะบุคคล ซึ่งผู้เขียนจะไม่ขอกล่าวในส่วนนี้
      
       สำหรับพรรคการเมืองที่ได้เข้าในสภา โดยที่ไม่ผ่านการเลือกตั้งในแบบ ส.ส.สัดส่วนมาก่อน แต่ได้มี ส.ส.สัดส่วนที่สิ้นสภาพเป็น ส.ส.แล้วจำนวน 38 คน หรือคนใดคนหนึ่ง โดยไปเป็นสมาชิกพรรคด้วยและทำให้พรรคการเมืองนั้นมี ส.ส.สัดส่วนด้วยแล้ว การกระทำของพรรคการเมืองนั้นย่อมเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะการเป็นพรรคการเมืองที่จะอาสาเข้ามาทำงานในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งต้องออกกฎหมายมาใช้บังคับกับประชาชนนั้น จะต้องทราบและมีความเชี่ยวชาญที่จะต้องรู้เกี่ยวกับกฎหมายที่จะใช้บังคับกับ ตนเองเป็นอย่างดี
      
       การที่พรรคการเมืองซึ่งต้องถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในทาง กฎหมายได้กระทำผิดรัฐธรรมนูญ โดยยินยอมให้ ส.ส.สัดส่วนที่สิ้นสภาพการเป็น ส.ส.มาเป็น ส.ส.สัดส่วนในพรรค โดยที่พรรคไม่เคยส่ง ส.ส.สัดส่วนลงเลือกตั้งมาก่อนนั้น จึงเป็นการที่พรรคการเมืองนั้นกระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครอง ประเทศ โดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เพราะได้ร่วมประชุมสภากระทำในเรื่องที่เป็นรากฐานแห่งความมั่นคงของประเทศ ทั้งสิ้น ทั้งในเรื่องการเลือกนายกรัฐมนตรีและการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การกระทำของพรรคการเมืองดังกล่าวเป็นการกระทำอันอาจจะเป็นปฏิปักษ์ต่อการ ปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ของการกระทำที่จะถูกยุบพรรคถูกเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งและ หัวหน้าพรรคตลอดจนกรรมการบริหารพรรคก็อาจจะต้องถูกดำเนินคดีอาญาต่อไปได้ (รธน. มาตรา 68 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฯ มาตรา 94, พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฯ มาตรา 103 วรรคห้า)
      
       ส่วนพรรคการเมืองที่ร่วมในสภาโดยที่ไม่มี ส.ส.สัดส่วนที่สิ้นสภาพการเป็น ส.ส. จำนวน 38 คนมาร่วมอยู่ในพรรคด้วยนั้น จะต้องทราบถึงการสิ้นสภาพของ ส.ส.สัดส่วน เพราะพรรคถูกยุบเป็นอย่างดี และรู้ว่า ส.ส.สัดส่วนที่สิ้นสภาพการเป็น ส.ส.แล้ว ไม่มีอำนาจในการดำเนินการในสภาได้ และหากให้ ส.ส.สัดส่วนดังกล่าวเข้ามาดำเนินการในสภาก็จะทำให้กลไกทางสภาเสียหายมีผลทำ ให้การประชุมในสภาเป็นโมฆะ แต่กลับมีการดำเนินการทางสภาผู้แทนราษฎรและทางรัฐสภาร่วมกับพรรคการเมืองที่ มี ส.ส.สัดส่วนที่สิ้นสภาพเป็น ส.ส.แล้ว ในการเลือกนายกรัฐมนตรีและแก้ไขรัฐธรรมนูญ อันเป็นการร่วมกันเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งเข้าข่ายเป็นการกระทำอันเป็นการปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และอยู่ในเกณฑ์ที่จะถูกยุบพรรคได้เช่นเดียวกัน (รธน. มาตรา 68, พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฯ มาตรา 94)
      
       ในกรณีเช่นนี้ ใครมีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงในการตรวจสอบสมาชิกภาพของ ส.ส.สัดส่วนในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคการเมือง?
      
       ประเด็นแรก ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 91 วรรคสามบัญญัติว่า “ใน กรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งเห็นว่า สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกวุฒิสภาคนใดคนหนึ่งมีเหตุสิ้นสุดลงตามวรรคหนึ่งให้ส่งเรื่องไปยัง ประธานแห่งสภาที่ผู้นั้นเป็นสมาชิกและให้ประธานแห่งสภานั้นส่งเรื่องไปยัง ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง” จากบทบัญญัติรัฐธรรมนูญดังกล่าวเป็นที่เห็นได้ว่า รัฐ ธรรมนูญได้กำหนดให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นองค์กรสูงสุดตามรัฐธรรมนูญ มีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ในกรณีที่สมาชิกภาพสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 106 (8)
      
       ดังนั้น ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคการเมือง จึงเป็นเรื่องที่ กกต.ไม่มีอำนาจที่จะวินิจฉัยว่า ส.ส.สัดส่วนสิ้นสภาพหรือไม่สิ้นสภาพการเป็น ส.ส.ได้แต่อย่างใดไม่ กกต.จะใช้ดุลพินิจไม่ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย หาได้ไม่ หรือหาก กกต.มีกรณีสงสัยว่า ส.ส.สัดส่วนที่ถูกยุบพรรคจะสิ้นสภาพหรือไม่ กกต.ก็ต้องส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในทุกกรณีโดยผ่านประธานสภา กกต.ไม่มีอำนาจวินิจฉัยได้เองแต่มีอำนาจในการตรวจสอบเท่านั้น และเหตุที่ต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก็เพราะการเป็นสมาชิกภาพสภาผู้ แทนราษฎรนั้นมาจากมติของมหาชน คือ มาจากการชนะการเลือกตั้งจากประชาชน การทำลายมติของมหาชนที่เลือกตั้ง ส.ส.มานั้น จำเป็นต้องใช้อำนาจศาลซึ่งถือว่าเป็นการใช้อำนาจของประชาชนเช่นเดียวกัน
      
       การใช้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญทำลายมติของมหาชนที่จะวินิจฉัยการ สิ้นสภาพของ ส.ส.สัดส่วนนั้น มิได้หมายความว่า ส.ส.สัดส่วนที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคแล้วนั้น จะมีอำนาจหน้าที่ในการทำหน้าที่ในฐานะ ส.ส.หาได้ไม่ (การใช้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญทำลายสถานภาพการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกับการมี อำนาจหน้าที่ของการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นคนละกรณีกัน)
      
       ประเด็นที่ 2 กกต.จึงมีอำนาจหน้าที่ควบคุมดูแลให้กรรมการบริหารพรรคการเมือง และสมาชิกพรรคการเมืองต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญและตามกฎหมายด้วย เมื่อสมาชิกพรรคการเมืองที่เป็น ส.ส.สัดส่วน เป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ต้องปฏิบัติงานในสภาในการออกกฎหมาย หรือกิจการอื่นใดตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และมีปัญหาการเป็น สมาชิกภาพสภาผู้แทนราษฎรของ ส.ส.สัดส่วนที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค ซึ่งจะต้องปฏิบัติหน้าที่ในสภา อันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกลไกแห่งสภาที่จะต้องทำให้องคาพยพในสภาเป็นไป โดยถูกต้องชอบด้วยรัฐธรรมนูญแล้ว จึงเป็นเรื่องที่ กกต.มีหน้าที่ต้องตรวจสอบและส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ส.ส.สัดส่วนซึ่งเป็นกลไกของสภานั้นเป็น ส.ส.ที่จะทำหน้าที่ในสภาได้หรือไม่เสียก่อน เพราะมิฉะนั้นจะเกิดความผิดพลาดในกลไกแห่งสภาได้ (Technical mistake) (รธน.มาตรา 235, 236 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฯ มาตรา 17,18)
      
       ประเด็นที่ 3 “สิทธิการเป็น ส.ส.” ของสมาชิกพรรคการเมืองเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ “สิทธิของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง” ทั้ง ในทางบวกและทางลบ เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคการเมืองแล้ว ส.ส.สัดส่วนจะยังเป็น ส.ส.สัดส่วนต่อไปหรือไม่ ย่อมมีผลกระทบต่อสิทธิของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง เมื่อ กกต.เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ตามหลักรัฐธรรมนูญแล้ว กกต.จึงมีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญที่ต้องคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของผู้ใช้ สิทธิเลือกตั้ง ให้มีความสมดุลกับสิทธิและเสรีภาพของผู้สมัครรับเลือกตั้งด้วย (รธน.มาตรา 26) เมื่อรัฐธรรมนูญได้บัญญัติให้กกต.ต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย (รธน.มาตรา 91) กกต.ก็ต้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในทุกกรณีไม่ว่าจะมีผู้โต้แย้ง ความเป็น ส.ส.สัดส่วนหรือไม่ และไม่จำเป็นต้องมีผู้ใดร้องขอ
      
       การที่ ส.ส.สัดส่วนได้เข้าไปดำเนินการในสภาทั้งๆ ที่รู้ว่าตนเองสิ้นสภาพการเป็น ส.ส.สัดส่วนไปแล้ว เพราะพรรคการเมืองที่ได้เสนอชื่อของตนเข้ารับการเลือกตั้งได้ถูกยุบไปแล้ว พรรคการเมืองที่ตนเองสังกัดอยู่ไม่มีชื่อพรรคการเมืองดังกล่าว ในสารบบการเลือกตั้งในการเลือกตั้งทั่วไป แต่ ส.ส.สัดส่วนทั้ง 38 คน เข้าไปทำหน้าที่ในสภาย่อมทำให้กลไกทางรัฐสภาเสียหายไปทั้งหมด การดำเนินการใดๆ ในสภาย่อมเป็นการอันไม่ชอบและเป็นโมฆะทั้งสิ้น
      
       รัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งได้ผ่านประชามติของมหาชนออกใช้บังคับในเดือนสิงหาคม 2550 มีการเลือกตั้งในวันที่ 25 ธันวาคม 2550 บุคคลที่ใช้บังคับรัฐธรรมนูญ บุคคลที่ถูกรัฐธรรมนูญใช้บังคับ บุคคลอาศัยรัฐธรรมนูญเข้าไปใช้อำนาจรัฐ บุคคลที่ใช้อำนาจรัฐโดยอาศัยสิทธิตามรัฐธรรมนูญ บุคคลที่ใช้อำนาจรัฐบังคับตามรัฐธรรมนูญ ฯลฯ การใช้รัฐธรรมนูญย่อมมีช่องทางการใช้อำนาจในทางที่ไม่ชอบ ช่องทางการทุจริต ช่องทางการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ ในขณะเดียวกับผู้ใช้รัฐธรรมนูญก็อาจมีข้อบกพร่องโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดยสุจริตหรือโดยไม่สุจริตย่อมเกิดขึ้นได้ในทุกที่ทุกช่องทาง และได้เกิดขึ้นแล้วแม้แต่ในสภา
      
       การเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคการเมืองและสมาชิกพรรคการเมืองต่างก็ต้องการให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งออก เสียงเลือกตั้งตนและพรรคของตน (VOTE YES) ในขณะที่ประชาชนซึ่งเรียกว่าพันธมิตรฯ ต้องการให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิไม่เลือกผู้สมัครคนใดและพรรคการเมืองพรรคใด (VOTE NO)
      
       การ VOTE YES บนสถานการณ์ของการเลือกตั้งที่จะเป็นโมฆะ จะเป็นชัยชนะของพรรคการเมืองหรือไม่ยังเป็นปริศนา เสี่ยงต่อการถูกยุบพรรคและอาจถูกดำเนินคดีอาญา ซึ่งมีสาเหตุเกิดจากการกระทำของฝ่ายการเมืองเองทั้งสิ้น และจะมีปัญหาตามมาอย่างไม่อาจประมาณได้ ผู้ชนะการเลือกตั้งจะได้มาซึ่งอำนาจการปกครองหรือไม่ก็ยังเป็นปัญหา
      
       แต่การ VOTE NO อาจจะเป็นยิ่งกว่ากฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่การกระทำที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ขาดความรู้ ความเข้าใจ คาดคิดไม่ถึง เพราะรัฐธรรมนูญเพิ่งออกบังคับใช้ การตีความในรัฐธรรมนูญอาจไร้ทิศทาง ไม่เป็นไปตามหลักวิชาการแห่งรัฐธรรมนูญ หรืออาจแกล้งโง่กับการใช้รัฐธรรมนูญ หรืออาจต้องการเหยียบย่ำการใช้รัฐธรรมนูญ หรืออาจเกิดขึ้นโดยความบกพร่องโดยสุจริตกับการใช้บังคับรัฐธรรมนูญและกฎหมาย
      
       VOTE NO สามารถแก้ปัญหาในสิ่งที่เกิดขึ้นโดยผิดพลาด หรือหลงผิดหรือบกพร่องโดยสุจริตได้ VOTE NO ไม่มีใครได้รับชัยชนะ แต่จะเป็นชัยชนะของประชาชนและประเทศชาติที่ไม่มีใครเป็นผู้แพ้ แต่ VOTE NO จะเป็นหนทางที่จะต้องมาร่วมมือกันแก้ปัญหาให้การเลือกตั้งต้องมีวินัย คุณธรรม จริยธรรม บนพื้นฐานแห่งนิติธรรมและนิติรัฐ เพื่อนำชาติไปสู่ความสงบและสันติสุขด้วยกันทุกฝ่ายได้ หากมี VOTE NO เกิดขึ้นอย่างถล่มทลาย

ประเด็นเลือกตั้ง กับ ดร. เขียน

รายการสะท้อนการเมือง เจาะข่าวตื้น ตอน เจาะหู(คัน)

16/6/54

ภูมิหลังนักการเมือง รู้ไว้ก่อนเลือกตั้ง




ใกล้เข้ามาทุกที สำหรับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม 2554 แต่จวบจนวินาทีนี้ เชื่อว่า ยังมีผู้มีสิทธิ์ออกเสียงจำนวนมากกำลังอยู่ในภาวะสับสน ลังเลว่า ไม่รู้จะกากบาทเลือกผู้แทนฯ คนใด หรือพรรคไหนดี
อาจด้วยเพราะตัวเลือกที่มีจำกัด พรรคเดิม คนหน้าเดิมๆ หรือไม่ก็พรรคใหม่ หน้าเก่า จับมือกันไปกันมาเป็นพัลวัน จนเกิดคำถามตัวโตว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ที่เลือกไปนั้น จะทำงานให้กับประชาชนได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย หรือจะซ้ำรอยเดิมกับเหตุการณ์ที่พบเห็นจนชินตา ไม่ว่าจะความประพฤติของผู้แทน หรือกระทั่งบรรยากาศ ‘สภาล่ม’ ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้ง
เครือข่ายข้อมูลการเมืองไทย (Thailand Political Database: TPD) เว็บไซต์ www.tdp.in.th เปิดผลสำรวจ ชุด “ถอดรหัสนักการเมือง” เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับภูมิหลังนักการเมือง กว่าจะมาเป็นนักการเมือง รวมทั้งพฤติกรรมการหาเสียงและรักษาฐานเสียง โดยเก็บข้อมูล ส.ส. เชิงลึกในพื้นที่ 15 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดเชียงราย นครสวรรค์ พิษณุโลก สุพรรณบุรี นครปฐม อุทัยธานี ขอนแก่น บุรีรัมย์ อุดรธานี นครศรีธรรมราช สงขลา นราธิวาส กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ และชลบุรี
ไล่ดูภูมิหลังของ ส.ส.มีข้อมูลที่น่าสนใจ ส่วนใหญ่ถึงร้อยละ 35.29 มาจากบุคคลที่อยู่ในตระกูลพ่อค้าคหบดีในจังหวัด รองลงมาร้อยละ 22.69 เป็นคนที่อยู่ในตระกูลการเมือง ตั้งแต่สมัยปู่ยาตายาย พ่อแม่ อีกทั้งโลดแล่นอยู่ในแวดวงการเมืองทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ ในทางกลับกัน มี ส.ส.เพียงร้อยละ14.29 เท่านั้นที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานก่อนเข้ามาเป็น ส.ส.
ถึงบรรทัดนี้คงหายสงสัยแล้วว่า ทำไม ส.ส. ดีๆ ถึงมีน้อย
นอกจากนี้ หากพิเคราะห์ภูมิหลัง ส.ส. โดยแบ่งตามภูมิภาค จะเห็นชัดเจนว่า
- ภาคกลางและภาคตะวันตก เป็นภาคที่ ส.ส.มีภูมิหลังประเภทอยู่ในตระกูลนักการเมืองมากที่สุดในประเทศ 
- ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส.ส. ส่วนใหญ่มาจากตระกูลคหบดีในจังหวัด 
- ภาคใต้ จัดว่าเป็นภาคที่มี ส.ส. น้ำดีมากที่สุด เนื่องจากมี ส.ส.ที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานก่อนเข้ามาดำรงตำแหน่งมากกว่าภาคอื่น
ทว่า  นอกจากเช็คภูมิหลังนักการเมืองแล้ว อีกขั้นเราต้องเข้าใจก้าวย่าง กว่าจะมาเป็นนักการเมืองด้วย ซึ่งเครือข่ายข้อมูลการเมืองไทย มีการวิเคราะห์ไว้อย่างละเอียด เช่น ส.ส. ร้อยละ 45 เข้ามาทำงานในสภาได้ เพราะคำชักชวนจากพรรคการเมือง มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับคนในพรรค หรือกระทั่งเป็นเด็ก ‘หิ้วกระเป๋า’ ติดสอยห้อยตามนักการเมืองมาก่อน ขณะที่ร้อยละ 21 มาเป็น ส.ส. ได้เพราะรับ ‘มรดก’ จากคนในครอบครัว จนในที่สุดก่อให้เกิดระบบผูกขาดทางการเมือง
แต่สิ่งที่น่าแปลกใจคือ ประเทศไทยมี ส.ส. ที่มุ่งหน้าสู่เส้นทางการเมือง เพราะ "จิตอาสา" อยากทำงานเพื่อประชาชน เพียงแค่ร้อยละ 3 เท่านั้น สัดส่วนดังกล่าว จึงนับว่า ‘น้อยมาก’ เมื่อเทียบกับจำนวน ส.ส. ที่มีอยู่ในรัฐสภา
ขณะเดียวกัน หากแจกแจงพฤติกรรมของ ส.ส. ที่ใช้ในการหาเสียง สร้างความนิยมในตัวเองและใช้รักษาฐานเสียงเก่า สร้างฐานเสียงใหม่ พบว่า เกมการเมืองที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด ทำให้ผู้สมัคร พรรคการเมือง จำต้องงัดยุทธวิธีนานัปการออกสู้ศึก ยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพชัดเจน อาทิ แจกข้าว แจกของ เป็นประธานงานศพ ร่วมงานแต่ง งานบวช นอกจากนี้ยังใช้กลุ่มประชาสังคม สื่อ และเครือข่ายนักการเมืองในพื้นที่เป็นหมากทางการเมืองอีกด้วย
แน่ นอนว่า ผลสำรวจของเครือข่ายข้อมูลการเมืองไทยอีกเช่นกัน ที่ตอกย้ำว่า ส.ส.ร้อยละ 86.21 มีพฤติกรรมแบบ ส.ส. อิงพวก ซึ่งหมายถึงว่า มีการสร้างเครือข่ายนักการเมือง ทั้งในระดับ ส.อบต. สท. ส.อบจ. เรื่อยไปกระทั่งระดับ ส.ส. เพื่อลงพื้นที่หาเสียงด้วยกัน เป็นก๊วนเดียวกัน ขณะที่ร้อยละ 86.07 เป็น ส.ส.พึ่งหัวคะแนน ฐานเสียงจัดตั้ง ส่งผลให้วงจรการเมืองไทย นักการเมืองไทยหนีไม่พ้นระบบอุปถัมภ์
นอกจากนี้ยังมี ส.ส. อีกร้อยละ 57.38 ซึ่งจัดอยู่ในประเภท ส.ส.ซุปเปอร์มาร์เก็ต ใช้สำนักงาน ส.ส. เป็นที่แจกข้าวของมากกว่ารับเรื่องร้องทุกข์เสียอีก
ในฐานะผู้บุกเบิก ตั้งเครือข่ายข้อมูลการเมืองไทยจนเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ดร.จรัส สุวรรณมาลา อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เชื่อว่า การตีแผ่ข้อมูลชุด ‘ถอดรหัสนักการเมือง’ เพราะต้องการชี้ให้เห็นว่า ภูมิหลังของนักการเมือง ซึ่งมีที่มาต่างกัน ย่อมมีผลโดยตรงต่อการรักษาฐานเสียง รวมถึงพฤติกรรมในสภา พร้อมกับยกตัวอย่าง นักการเมืองประเภทหิ้วกระเป๋า จะมีแนวโน้มขาดการประชุมสภา ไม่ค่อยเข้าร่วมโหวตผ่านกฎหมาย
"พูดง่ายๆ คือไม่ค่อยทำหน้าที่ อีกทั้งการรักษาฐานเสียง มักใช้วิธีการ ‘ซื้อเสียง’ สูงกว่าคนกลุ่มอื่น ฉะนั้น จึงต้องมีการเชื่อมโยงให้ประชาชนเห็นภาพดังกล่าวชัดเจน จะได้รู้ทันพฤติกรรมของนักการเมือง ท้ายที่สุดจะได้รู้ว่า ควรเลือกใครดี"
ขณะเดียวกัน อาจารย์จรัส ได้แนะวิธีเลือกเฟ้น ส.ส. ให้กับประชาชนที่จะไปใช้สิทธิเลือกตั้งด้วยว่า อย่าไปเลือกตามหัวคะแนน หรือตามที่ถูกกาหัวไว้แล้วว่าจะต้องเลือกใคร โดยไม่รู้ไม่เห็นข้อมูล หรือไม่ได้คิดเลยว่า คนที่เลือกไปนั้นจะทำหน้าที่เป็นผู้แทนประชาชนได้จริงหรือไม่ เพราะปัญหาสภาล้ม ส.ส.ไม่มีความรับผิดชอบ ล้วนเป็นผลจากการเลือกนักการเมืองที่มีคุณภาพต่ำ
ดังนั้น ส.ส.เก่าต้องดูที่ผลงาน สอบได้ หรือสอบตก ส่วนคนที่ไม่ได้เคยรั้งตำแหน่งก็ดูจากพื้นเพว่าเป็นมาอย่างไร ทั้งนี้ เพื่อสร้างความคิดที่เป็นเสรีชน รวมถึงสร้างเสรีภาพในการเลือกตั้งอย่างแท้จริง
ส่วนคนรุ่นใหม่ที่โดดมาเล่นการเมือง ดร.จรัส มองว่า จริงๆ แล้ว ไม่ว่าจะลูกหลานตระกูลนักการเมือง ดารา นักกีฬาหรืออะไรก็ตาม ที่เข้ามาท้าชิงตำแหน่ง ถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะในช่วงที่ผ่านมา นักการเมืองที่เข้าสู่อำนาจ มักกระจุกตัวอยู่แค่ในบางอาชีพ หรือคนบางกลุ่มเท่านั้น กลุ่มอาชีพอื่นๆ อาทิ เกษตรกร กรรมกร หรือผู้มีอาชีพรับจ้าง ซึ่งเป็นตัวแทนของคนจำนวนมาก กลับหายไป ดังนั้น  ต้องผลักดันให้นักการเมืองนึกถึงการส่งผู้สมัครที่มีภูมิหลังแบบอื่นๆ เพิ่มขึ้น จะได้มีองค์ประกอบที่หลากหลายมากกว่านี้
แต่ทั้งนี้ คงไม่สามารถบอกได้ว่า ใครดีหรือไม่ดี อย่างไร ต้องรอพิสูจน์จากผลงาน การทำหน้าที่หลังจากเข้าไปนั่งเก้าอี้ผู้แทนแล้ว แต่ขอย้ำว่า หน้าที่ของผู้แทนคือ ดูแลปัญหาของคนในพื้นที่ทั้งหมด ไม่ใช่ว่าดารา จะดูแลเฉพาะเรื่องกิจการบันเทิง หรือนักกีฬา จะดูเฉพาะเรื่องการส่งเสริมด้านกีฬาอย่างเดียวเท่านั้น
นักรัฐศาสตร์ผู้นี้ แสดงทรรศนะต่อไปว่า การเลือกตั้ง การมี สส. ยังเป็นสิ่งที่ความจำเป็นในระบอบประชาธิปไตย จะไม่มีไม่ได้ แต่หากรู้ว่าคนไหนไม่ดี โดดประชุม ก็ไม่ต้องเลือก ส่วนคนที่ยังไม่รู้ คงต้องลองเลือกๆ ไปก่อน หากทำหน้าที่ไม่ดีอย่างน้อยที่สุด 4 ปีก็จัดการได้อีกที หรือไม่ก็ใช้วิธีถอดถอนออกจากตำแหน่ง
แต่จากการมองประสบการณ์ของหลายๆ ประเทศที่เผชิญกับ ‘นักการเมืองไม่ดี’ ดร.จรัส พบว่า เมื่อชาวบ้านชาวเมืองลุกขึ้นมาตรวจสอบ ไล่จิกนักการเมืองให้ทำหน้าที่ให้ดี จะทำให้นักการเมืองเปลี่ยนพฤติกรรมได้ในที่สุด เนื่องจากต้องหันมาดูตลาด เพราะรู้แล้วว่าประชาชนเฝ้าติดตาม และมองผลงานมากกว่าเชื่อหัวคะแนน
ในทางกลับกัน ดร.จรัส ทิ้งท้ายถึงประชาชนที่มีสิทธิ์มีเสียงด้วยว่า ส.ส.ก็เหมือนนักเรียน เมื่อรู้ว่าไม่เข้าเรียน ไม่ส่งการบ้าน ถึงเวลาอยากสอบผ่าน ก็ใช้วิธีเอาอกเอาใจ เอาของไปฝากครู จนทำให้ครูกลายเป็นคนไม่ดี ไม่ได้ดูที่ผลงานหรือความตั้งใจของเด็ก เช่นเดียวกับประชาชน หากไม่ได้ดูที่การทำงาน แต่กลับให้ ส.ส. สอบผ่านด้วยวิธีการดังกล่าว เท่ากับว่าประชาชนกลายเป็นครูที่ไม่ดีเช่นกัน
ดังนั้น หากประชาชนพบเห็น ส.ส. ที่ทำงานไม่ดีก็จะต้องให้สอบตก ให้บ๊วย สส.รายนั้นไป จนกว่าจะเปลี่ยนพฤติกรรม กลายเป็น ส.ส.ที่ดี”
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง