บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

VOTE NO ในอังกฤษ VOTE NO ในประเทศพัฒนา ประเทศต้นแบบประชาธิปไตย

การ VOTE ‘NO’  ในประเทศอังกฤษ ประเทศที่พัฒนาแล้วและเป็นประเทศต้นแบบประชาธิปไตย กระแส VOTE NO ก็มาแรงเหมือนกัน ไม่แพ้ประเทศไทย VOTE NO ใช้กันแพร่หลาย เป็นประชาธิปไตย และมีความเป็นสากล การโหวตโนของไทยและอังกฤษแตกต่างกันด้วยความหมายและสภาวะการณ์ การ Vote No ของไทยคือการปฏิเสธที่จะเลือกนักการเมืองที่ฉ้อฉล ส่วน Vote No ของอังกฤษ คือการปฏิเสธระบบการเลือกตั้งแบบใหม่ โดยการรณรงค์ VOTE NO ของอังกฤษนั้น เป็นการรณรงค์ เพื่อที่จะต่อต้านการลงคะแนนเสียงแบบใหม่ ของอังกฤษ ซึ่งเป็น โหวตโน ที่  No to AV หมายถึง ปฏิเสธการเลือกตั้งแบบทางเลือกที่เรียกว่า Alternative Vote หรือ AV ซึ่งเป็นระบบเลือกตั้งที่ซับซ้อน เป็นการสกัดกั้นผู้สมัครที่ไม่เป็นที่รู้จัก และสร้างความลำบากให้กับพรรคเล็ก

ความหมายของ ระบบทางเลือก Alternative Vote หรือ AV หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าระบบเสริม Supplementary Vote หรือ SV ระบบนี้เคยใช้กับการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีกรุงลอนดอนในปี 2000 โดยคำแนะนำของคณะกรรมการเลือกตั้งเจนกินส์ ภายใต้การเลือกตั้งในระบบนี้ ผู้สมัครเพียงคนเดียวได้รับการเลือกตั้ง ผู้ออกเสียงลงคะแนนจะเรียงลำดับความพอใจที่มีต่อผู้สมัครก่อน และถ้าปรากฏว่าผู้ที่ได้รับความพอใจเป็นลำดับแรกเป็นผู้สมัครที่ไม่เป็นที่ รู้จัก (Popular) อย่างกว้างขวางเพียงพอ ก็สามารถยกเลิกได้ และเลือกผู้ได้รับความพอใจในลำดับรองลงไป ระบบ AV ไม่สามารถสร้างความเป็นสัดส่วนระหว่างพรรคต่างๆในสภา และไม่สามารถทำให้เกิดสภาที่สะท้อนการสนับสนุนพรรคการเมืองของผู้เลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม ระบบ AV ช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้เลือกตั้งได้ผู้แทนที่ตนออกเสียงเลือก แม้ว่าอาจเป็นผู้ที่พอใจในลำดับรองหรือลำดับท้ายๆก็ตาม แต่ระบบนี้ก็ทำให้ผู้สนับสนุนพรรคเล็กๆมีความยากลำบากมากขึ้นที่จะได้ผู้แทน ที่ตนพอใจ ด้วยเหตุนี้คณะกรรมการเจนกิ้นส์จึงเสนอให้ใช้ผสมกับระบบบัญชีรายชื่อ (AMD) แบบเปิด— ข้อมูลจาก http://guru.sanook.com/pedia/topic/ระบบเลือกตั้ง/—
กระแสโหวตโนในอังกฤษมาแรงมาก มีการรณรงค์อย่างแพร่หลาย และมีเว็ปไซต์ด้วย สามารถแวะไปดูได้ที่  http://www.no2av.org/
และผลการโหวตในอังกฤษก็ออกมาแล้ว คือ Vote No ชนะ ที่ 67.9% ส่วน Vote Yes ได้ไป 32.1%
http://www.bbc.co.uk/news/uk-politics-13297573
หมายเหตุ – ต้องเป็นที่เข้าใจด้วยว่า การ vote no นั้นไม่ว่าจะที่ไหน ประเทศใดในโลก ร้อยทั้งร้อย จะมีช่องกาอยู่เพียงช่องเดียว ไม่มีการลงในรายละเอียด เช่น ไม่เห็นด้วยกับอะไร? ผู้สมัคร? พรรค? วิธีการ? ต่างๆเหล่านี้ไม่มีระบุไว้ แต่ก่อนจะถึงวันเลือกตั้ง ผู้มีสิทธิ์จะเป็นฝ่ายรณรงค์กันในเรื่องที่ผู้คนไม่เห็นด้วยกันเอง โดยภาคประชาชนเองเป็นสำคัญ จึงไม่ต่างกับพวกเราในครั้งที่ ที่ก็รู้จุดประสงค์กัน

กระจกส่องดูคนไทย




จดหมายถึงนาย

(“ จดหมายถึงนาย ” ที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้เป็นข้อเขียนของคนหนุ่มซึ่งมีความรู้ความสามารถมี ประสบการณ์ในแวดวงการทูตและแวดวงของศาลรัฐธรรมนูญ เป็นคนเก่งที่ซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งหายากยุคสมัยนี้ แนวคิดและวิธีเขียนอาจจะดูเหมือนรุนแรงแต่ถ้าเราไม่ปฏิเสธความจริง คงต้องยอมรับว่าสิ่งที่บรรยายไว้มีอยู่จริงในบ้านเมืองของเรา ผมเห็น ว่าเป็นข้อเขียนที่น่าจะเป็นประโยชน์ในการกระตุ้นเตือนทุกคนให้ตระหนักถึง พิษภัยที่เรากำลังเผชิญอยู่เพื่อจะได้ช่วยกันคิดอ่านป้องกันหรือแก้ไขให้ดี ขึ้น ในยุคนักธุรกิจครองเมืองจึงได้นำลงมาไว้ในคอลัมน์นี้ )

ข้าพเจ้า เป็นชาวต่างประเทศที่ทำงานอยู่ในเมืองไทย มีหน้าที่รายงานภาพรวมของประเทศไทยกลับไปยังนาย คือ บริษัทแม่ในต่างประเทศ หรือ บางครั้งก็แอบเสนอรายงานต่อรัฐบาลประเทศของข้าพเจ้า

ใน โอกาสล่าสุดนี้ นายต้องการทราบว่าควรจะดำเนินการในแง่ยุทธศาสตร์ต่อประเทศไทยอย่างไรดี เพื่อให้การครอบงำประเทศนี้สมบูรณ์ที่สุด ในระยะยาวข้าพเจ้าขอสนองความต้องการของนายด้วยจดหมายสั้นๆ ฉบับนี้

นายที่รัก ตามที่มอบหมายให้ข้าพเจ้ามาพำนักอยู่ในประเทศไทยเกือบ 20 ปีแล้วนั้นข้าพเจ้าพอจะสรุปคำตอบเพื่อเสนอต่อนายได้ดังต่อไปนี้

ภาพรวม ของประเทศไทย ยังคงเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่ค่อนข้างยากจน สังคมไทยโดยพื้นฐานมีลักษณะไร้ระเบียบกฎเกณฑ์ซึ่งเป็นอุปนิสัยประจำตัวของชน ชาตินี้

แม้ว่ารัฐบาล รัฐสภาและประชาชนส่วนหนึ่งได้พยายามแก้ไขกฎหมายต่างๆ จำนวนมากรวมทั้งรัฐธรรมนูญในการปกครองประเทศให้ดีขึ้น แต่โดยพฤติกรรมแล้ว คนไทยนิยมการดำเนินชีวิต ธุรกิจ และการใช้อำนาจรัฐ ที่อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ต่างๆ หรือที่มีคำกล่าวในประเพณีไทยว่า “ ทำได้ตามใจคือไทยแท้ ” ท่านจะประมาทต่อคำกล่าวนี้ไม่ได้เลย

ใน ทางกายภาพ กรุงเทพฯเป็นตัวอย่างของเมืองหลวงที่ไร้ระเบียบที่สุดแห่งหนึ่งของโลกซึ่ง เป็นต้นทุนทางเศรษฐกิจมหาศาล ความไร้ระเบียบนี้ดำเนินไปเรื่อยๆ ไม่หยุดยั้งหรือลดน้อยลงเลย เมืองเชียงใหม่ซึ่งน่าจะได้เรียนรู้บทเรียนราคาแพงจากกรุงเทพฯแต่ก็ไม่ทำ หรือทำไม่ได้ เมืองพัทยาซึ่งควรเป็นบทเรียนให้กับเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ แต่ก็ไม่เป็นหรือเป็นไม่ได้

ระบบการจราจรและพฤติกรรมของผู้ขับขี่ยานพาหนะก็เป็นอีกตัวอย่างที่เลวที่สุด นับเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติก็ว่าได้

การ รุกล้ำที่ดินสาธารณะ ที่ป่าสงวน เขตอุทยานแห่งชาติ ฯลฯ ก็เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แก้ไขไม่ได้ แม้แต่หน่วยงานราชการถึงขนาดทำเนียบรัฐบาลเอง ภายนอกดูสวยงามแต่ภายในนั้นไร้ระเบียบทางกายภาพอย่างน่ากลัว เช่น งานเอกสารที่ท่วมทางเดิน ซึ่งเป็นปัญหาของทุกหน่วยงานราชการตลอดกาลแก้ไม่ได้ ความไร้ระเบียบทางกายภาพนี้ ทำให้ประเทศไทยยังคงเป็นเพียงแค่ประเทศเล็กๆ ที่เราควรเข้ามากอบโกยเอาผลประโยชน์เมื่อมีโอกาสและก็กลับไปยังความศิวิไลซ์ ของเราโดยเร็ว เมืองไทยไม่ใช่ประเทศที่ควรเข้ามาปักหลักลงทุนหรืออยู่อาศัยอย่างยาวนานหรือ ถาวร เพราะเป็นการยากที่เราจะปกครองคนชาตินี้ให้อยู่ในระเบียบวินัยได้ เพราะฉะนั้น จึงไม่เหมาะกับวัฒนธรรมอันเจริญของเรา ความไร้ระเบียบทางศีลธรรม จริยธรรม

ท่านจะเห็นได้อย่างชัดเจน ว่าประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ แต่มีการค้าประเวณี และยาเสพติดอย่างเปิดเผยทั่วไป มีการฆาตกรรมกันมาก การฉ้อราษฎร์บังหลวงมีอยู่ทั่วหัวระแหง ไม่เว้นแม้แต่ในโรงเรียน มีครูโกงเด็กนักเรียนตัวเล็กๆ ในวัด ซึ่งพระโกงชาวบ้าน หรือราชการหลอกพระและพุทธศาสนิกชน หรือที่สื่อมวลชนทำกับเยาวชน ตำรวจเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาสังคม ทั้งนี้ไม่ต้องพูดถึงระบบราชการไทย ซึ่งข้าพเจ้าถือว่าเป็นสัญลักษณ์สุดยอดของความไร้ระเบียบทาง ศีลธรรม-จริยธรรม จนกลายเป็นสาเหตุบ่อนทำลายรากฐานของสังคมไทยให้ผุกร่อน เห็นได้จากการที่กลไกของรัฐไม่สามารถตอบสนองต่อปัญหาสังคมและศีลธรรมได้เลย ผู้นำทางศีลธรรมและจริยธรรม อันได้แก่ พระ ครู สื่อมวลชน ฯลฯ ได้เสื่อมอิทธิพลในการนำจิตใจลงอย่างมาก เพราะถูกเงินเข้าครอบงำ ทั้งโดยเจตนาในทางทุจริตจริงๆ และโดยสถานการณ์บังคับ

ส่วนผู้ นำประเทศและชนชั้นนำในสังคมก็ล้มเหลวในทางศีลธรรมและจริยธรรมโดยสิ้นเชิง ดังจะเห็นได้ชัดในแวดวงการเมือง สังคมไทยยังคง “ ยอมรับนับถือ ” นักการเมือง และข้าราชการระดับสูงซึ่งมีประวัติไม่สะอาดหรือพฤติการณ์ที่น่ารังเกียจ พวกเจ้าเล่ห์เพทุบาย หรือในวงการแพทย์ ซึ่งเคยเป็นวิชาชีพที่สังคมให้เกียรติอย่างมากกลับมีกรณีฉาวโฉ่เกิดขึ้น บ่อยๆ ในวงการผู้พิพากษาก็มีกรณีที่ทำให้สถาบันต้องมัวหมองอยู่เนืองๆ เชื่อหรือไม่ว่า คนไทยนั้น ที่หวังพึ่งผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างจริงจัง มีน้อยมาก ปัญหาเด็กหาที่เรียนในกรุงเทพฯกลายเป็นตลกเศร้าของพ่อแม่ตลอดกาลชั่วนาตาปี ฯลฯ

ในทางกฎหมาย ปรากฏว่ามีความไร้ระเบียบจนการใช้กฎหมายตั้งแต่รัฐธรรมนูญลงมาถึงระดับ ระเบียบปฏิบัติต่างๆ เกิดความวุ่นวายไปหมด สิ่งที่น่าขันก็คือ ในเรื่องๆ หนึ่งอาจมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกันมากมายหลายฉบับและให้อำนาจบุคคลต่างๆ ไว้แตกต่างกัน ทำให้สังคมไทยอยู่บนช่องว่างของกฎหมายมากกว่าตัวบทกฎหมายเอง ตัวอย่างที่ดีก็เช่นว่า เมื่อเกิดความเสียหายขึ้น สำนักงานการบริหารราชการแผ่นดินนายกรัฐมนตรีเกือบไม่ต้องรับผิดชอบเลย โดยอ้างว่าอำนาจต่างๆเป็นของรัฐมนตรี ส่วนรัฐมนตรีก็อ้างว่าเป็นอำนาจของปลัดกระทรวง ปลัดกระทรวงก็อ้างว่าเป็นอำนาจของอธิบดี อธิบดีมักจะกล่าวว่า “ เราจะป้องกันมิให้ปัญหาเช่นนี้เกิดขึ้นอีก ” โดยไม่มีผู้ใดแสดงความรับผิดชอบตามกฎหมายจริงๆ เลย และเมื่อมีผู้ถามว่าเหตุใดจึงมีกฎหมายที่ทำให้เกิดช่องว่างดังกล่าวมากเหลือ เกิน นักกฎหมายก็จะตอบด้วยความภูมิใจว่า “ เพื่อกระจายอำนาจและให้เกิดความคล่องตัวในทางปฏิบัติ ” ความไร้ระเบียบทางกฎหมายตั้งแต่ระดับกติกาสูงสุดในการปกครองประเทศลงมาถึง ระเบียบจุกจิกสารพัดเรื่องในหน่วยงานราชการหนึ่งๆ ได้กลายเป็น “ ต้นทุน ” ในการพัฒนาของประเทศไทยยุคใหม่ ทั้งๆ ที่ประชาชนในยุคนี้มีการศึกษาสูงกว่ายุคก่อนๆ จึงนับว่าเป็นเรื่องจริงที่น่าเศร้าเป็นอย่างยิ่ง และสะท้อนให้เห็นว่า มันสมองที่แท้จริงในสังคมไทยยังไม่ได้รับการพัฒนา หรือพูดง่ายๆ ยังไม่ได้เกิดมาเพื่อสร้างสรรค์สังคมแม้ว่ากาลเวลาผ่านมาแล้วอย่างยาวนาน

ใน ทางวัฒนธรรม อะไรเล่าคือ วัฒนธรรมไทย เมื่อข้าพเจ้าถามเกี่ยวกับวัฒนธรรมไทย เขาจะพาเราไปดูการฟ้อนรำที่ซ้ำๆ กัน ดูผ้าไหม ดูวัด และพาไปทานอาหารไทย เขาจะพาเราไปเที่ยวดูช้าง และชาวเขา ดูเรือในแม่น้ำและการพิธีต่างๆ มวยไทยและตลาดน้ำ เราได้ดูพระพุทธรูป ปราสาทราชวัง ซึ่งล้วนแต่เป็นอดีต แต่พวกเขาไม่เคยพาเราไปดูวัฒนธรรมในการศึกษาหาความรู้ของคนไทย วัฒนธรรมในการผลิตสินค้าและการให้บริการของคนไทย การคิดค้นสิ่งใหม่ประดิษฐกรรมและศิลปกรรม ข้าพเจ้าไม่เคยได้พบวัฒนธรรมที่ดีงามมากในธุรกิจของไทยและยิ่งพบเห็นได้ยาก ในระบบราชการของไทยซึ่งเน้นความเป็นเจ้าขุนมูลนายและสายสัมพันธ์มากกว่าการ มีวัฒนธรรมที่สร้างจิตสำนึกต่อสังคม คนไทยไม่สามารถชี้ให้เห็นวัฒนธรรมของพวกเขาในส่วนที่เป็นพลังขับเคลื่อนที่ แท้จริงของชาติได้อย่างเป็นรูปธรรม และไม่สามารถอธิบายให้น่าฟังได้ในระดับนามธรรม ความไร้ระเบียบทางกายภาพและทางศีลธรรม-จริยธรรม และความไร้ระเบียบทางกฎหมายและวัฒนธรรม ที่สรุปไว้ข้างต้นนี้นับว่าเป็นข้อดีสำหรับเรา ซึ่งเป็นคนต่างชาติที่มีอำนาจ เพราะแสดงให้เห็นว่าคนไทยนั้นอ่อนแอในทุกด้าน ผู้ใหญ่ก็อ่อนแอและเด็กก็อ่อนแอ คนมีความรู้ก็อ่อนแอและคนไม่มีความรู้ก็อ่อนแอ คนมีอำนาจหรือไม่มีอำนาจก็อ่อนแอทั้งสิ้น นับเป็นเวลากว่า 50 ปีมาแล้วที่คนไทยไม่มีผู้นำที่สามารถและเสียสละอย่างแท้จริง (ยกเว้นองค์พระมหากษัตริย์) อันสะท้อนกลับมาที่ลักษณะประจำชาติของคนไทยเอง

นาย ท่าน ! สังคมไทยเป็นสังคมที่ผุกร่อนมากแล้วรอวันแตกสลายลง เหมือนหินกับปูนซึ่งถูกน้ำกรดกัดกร่อนทุกวัน ในวันหนึ่งข้างหน้าก็จะไม่มีอะไรให้เห็นเป็นแก่นสารเลย นายควรที่จะพอใจว่ารัฐบาลข้ามชาติ รวมทั้งมาเฟียต่างๆ ของเรา ชาวต่างชาติ เพียงแต่ใช้กุศโลบายอันแยบยลอย่างเงียบๆ หลอกล่อให้คนไทยหลงอยู่ในความฝันว่าตนมีสติปัญญาเพียงพอแล้วโดยการเลียนแบบ ฝรั่งก็ใช้ได้ ความไร้ระเบียบจะเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ในทุกด้าน สังคมไทยในที่สุดจะตั้งอยู่ได้ด้วยประชาชนที่อ่อนแออย่างหลวมๆ เพียงอย่างเดียว

ไม่มีจุดเชื่อมโยงอย่างมีความหมายกับอำนาจ รัฐและอิทธิพลทางจิตใจของผู้นำทางการเมือง สังคม สถาบันหรือศาสนาใดๆ เมื่อนั้นเราจะบังคับเอาประเทศไทยเป็นทาสอย่างง่ายดาย เพียงแต่รอเวลาเท่านั้น สิ่งที่เป็นเวทย์มนต์อันศักดิ์สิทธิ์ที่เราชาวต่างชาติจะใช้สะกดผู้นำของ ชาติไทยก็คือ จงหลอกล่อให้พวกเขาหลงใหลเข้าใจว่า พวกเราชาวต่างชาติจะอยู่ในระเบียบวินัยทางการค้าและการลงทุนอันเสรีใน กฎเกณฑ์ที่เรานั่นเองเป็นผู้คิดค้นขึ้น เราจะต้องสะกดให้เขาเชื่อว่าเราชาวต่างชาติจะอยู่ในระเบียบวินัยของกฎบัตรสห ประชาชาติ และหลักการด้านสันติภาพ ประชาธิปไตย และมนุษยธรรมต่างๆ รวมทั้งมาตรฐานอันสูงส่งในการพัฒนาทางเศรษฐกิจ อย่าให้พวกเขาได้มีโอกาสเรียนรู้ศาสตร์ชั้นสูงของการลูบหน้าปะจมูกหรือมือ ถือสากปากถือศีลของชนชาติเราเป็นอันขาด ชาติเล็กๆ ที่น่าสงสารชาตินี้ย่อมอยู่ในอุ้งมือของเราเป็นแน่แท้ แม้คนอยากจะลุกขึ้นสู้ แต่พวกเขาก็มีแต่ความรักชาติเท่านั้น ไม่มีระเบียบวินัยและพลังภายในของสังคม อันเป็นจิตวิญญาณของชาติที่แท้จริงซึ่งจะผลักดันให้ต่อสู้ได้สำเร็จเลย “ สิ่งที่พึงระวัง ” เราชาวต่างชาติจะต้องระวังย่างก้าวของเราบางประการเพื่อมิให้การครอบงำอย่าง เงียบๆ นี้สะดุดหยุดลง ข้าพเจ้าขอเสนอแนวคิดต่อนายดังนี้

1.อย่า ให้เมืองไทยมีผู้นำที่เข้มแข็งและเสียสละ สังคมไทยส่วนใหญ่ยังหวังพึ่งหัวหน้าฝูงและสิ่งที่มีอำนาจ เขายังไม่หวังพึ่งพาตนเองมากนัก หากสังคมไทยได้ผู้นำที่เสียสละ พวกเขาจะกลายเป็นชาติที่รุ่งเรืองได้ในเวลาอันรวดเร็ว ดังเช่นที่ปรากฏมาทุกยุคในประวัติศาสตร์ชาติไทย สิ่งที่เราควรทำคือ ส่งสัญญาณสนับสนุนผู้ที่จะได้รับเลือกมาเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากแม่พิมพ์ ( mold ) แบบเก่าของไทย เช่น นาย ช. นาย ก. นาย บ. ฯลฯ หรือผู้ที่แสวงประโยชน์สูงสุดจากการเมือง คนพวกนี้จะช่วยให้เราชาวต่างชาติใช้เวทย์มนต์ของเราได้ง่ายขึ้นเหมือนที่ ผ่านๆ มา

2.อย่าให้ผู้นำของไทยคิดออกนอกแนวโลกาภิวัฒน์ เพราะโลกาภิวัฒน์คือเวทย์มนต์ของเรา จงทำให้พวกเขาหลงใหลมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าโลกาภิวัตน์ที่ถูกต้อง คือ การเอาใจท้องถิ่น (localization of globalization) เพื่อว่าเขาจะได้แคลงใจสงสัยน้อยลง จงทำให้พวกเขาเชื่อว่าปัญหาต่างๆ ของพวกเขานั้น จะพึ่งพากลไกของรัฐไม่ได้ แต่ต้องพึ่งพานักคิดแก้ปัญหาอิสระในนามผู้เชี่ยวชาญและเอ็นจีโอบางแห่งที่ เราสนับสนุนอยู่ จงจูงมือพวกเขา จงจูงใจพวกเขาและให้อามิสแกพวกเขา ทำให้เขารู้สึกว่าภาคประชาชนเท่านั้นที่สำคัญ พวกเขาจะดูหมิ่นเหยียดหยามอำนาจรัฐ พวกเขาจะเกลียดชัง พวกเขาจะเคียดแค้น ซึ่งจะเป็นผลดีแก่ความก้าวหน้าของเรา ขณะเดียวกัน เราเองจะต้องสนับสนุนให้อำนาจรัฐพัฒนาประเทศไปในแนวทางที่ประชาชนเกลียดชัง มากขึ้นทีละน้อย โดยแสร้งทำเป็นว่าอย่าช่วยเหลืออย่างจริงใจ

3.จง เร่งให้คนไทยรู้สึกว่าพวกเขาพ้นจากปัญหาเศรษฐกิจแล้ว เมื่อพวกเขาหลงเชื่อว่าทุกอย่างดีขึ้น นิสัยประจำชาติของพวกเขาจะพลุ่งพล่าน พวกเขาจะลืมตัวสร้างความไร้ระเบียบมากขึ้นเป็นทวีคูณ เริ่มจากการเมืองระดับชาติ ข้าราชการ นักธุรกิจ ฯลฯ ลงมาจนถึงการเมืองท้องถิ่น พระ ตำรวจ ชาวบ้าน พวกเขาจะรีบเร่งออกกฎหมายต่างๆ จนยุ่งเหยิงไปหมด ไม่ทราบว่าในเรื่องใดเรื่องหนึ่งจะใช้กฎหมายใด ในกรณีใดเมื่อใด พวกเขาจะย่อหย่อนต่อวินัยทางเศรษฐกิจ การคลัง และการเงิน พวกเขาจะเมินเฉยต่อศีลธรรม-จริยธรรม จะฟุ้งเฟ้อ ทำตัวเป็นคางคกขึ้นวอ เพื่อให้เราชาวต่างชาตินิยมชมชอบ ดังนั้นพลวัตทางเศรษฐกิจเพราะความเชื่อผิดๆว่า ทุกอย่างดีขึ้น จะนำไปสู่จิตวิญญาณของชาติที่เป็นอัมพาตหนักกว่าเดิมในเวลาอันไม่ช้า ซึ่งจะเป็นโอกาสทองของพวกเราชาวต่างชาติอย่างแท้จริง

4.จง ช่วยสนับสนุนการศึกษาของคนไทย (ให้แคบขึ้นเรื่อยๆ ) จนคนทั้งชาติเชื่อว่า การใช้คอมพิวเตอร์ไม่เป็น คือการไม่ได้รับการศึกษา พวกเขาจะชำนาญและหลงใหลได้ปลื้มกับเทคนิคต่างๆ ซึ่งนำเอาความสะดวกสบาย และเงินเดือนสูงๆ มาให้ จนลืมไปว่าการสร้างชาตินั้นสำคัญกว่าการสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือการส่ง e-mail เราทำให้พวกเขาเชื่อไปได้เปลาะหนึ่งแล้วว่าต่อไปคำว่า “ ชาติ ” จะไม่มี เพราะ internet ได้ทำลายพรมแดนธรรมชาติลงเสียแล้ว ต่อไปก็ต้องทำให้พวกเขาลืม “ ความรักชาติ ” และแรงปรารถนาที่จะ “ สร้างชาติ ” เพื่อว่าจะได้หมดความปรารถนาแบบโบราณที่จะยืนอยู่ในโลกอย่างทรนง เช่นเสรีชนอื่นๆ อย่าให้พวกเขาสนใจศิลปศาสตร์มากนัก เพราะวิชาเหล่านี้ทำให้พวกเขา “ คิดอย่างมีจินตนาการ ” อย่าให้พวกเขา “ คิดได้ ” มากๆ หรือ “ อยากคิด ” มากๆ เพราะมันจะเป็นฐานพลังให้สังคมไทย “ คิดสู้ ” จงเน้นให้พวกเขาหลงใหลในวิชาการเทคนิคและอิเล็กทรอนิกส์เป็นสำคัญ

5.หลีก เลี่ยงการวิพากษ์วิจารณ์ระบบราชการไทย เพราะระบบราชการไทยนั้นล้าหลังมาก และเป็นทั้งอุปสรรค์ต่อการพัฒนาประเทศพร้อมๆกับเป็นเชื้อโรคที่กัดกินสังคม ไทยโดยส่วนรวมมากขึ้นทุกที ระบบราชการไทยเต็มไปด้วยความกดดันทำลายทรัพยากรบุคคล เต็มไปด้วยความไร้ประสิทธิภาพ และความไร้สำนึกต่อสังคม ทำให้ระบบราชการไทยเป็นมหามิตรของเราชาวต่างชาติ อย่าชี้จุดอ่อนของเขา อย่าวิพากษ์วิจารณ์ ปล่อยให้มันเป็นตัวบ่อนทำลายคนไทยทั้งทางกายและทางจิตใจ ทุกลมหายใจของชีวิตจนกว่าจะหมดลม เมื่อไม่วิพากษ์วิจารณ์ มหามิตรของเราก็จะทำงานอย่างขะมักเขม้นโดยหลงเชื่อว่าตนนั้นดีเลิศประเสริฐ ที่สุดในชาติ มีความชอบธรรมที่จะเขมือบงบประมาณแผ่นดินมากขึ้นเรื่อยๆ จนชาติไทยทั้งชาติเป็นอัมพาตเพราะมะเร็งร้ายนี้ อย่าลืมว่าเฟืองตัวใหญ่ที่ขึ้นสนิมเขรอะ ย่อมทำให้จักรกลทั้งหมดสามารถหยุดหมุนได้ เราชาวต่างชาติไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเลย นั่งยิ้มให้มหามิตรของเรา และยื่นหัตถ์แห่งมัจจุมิตรแก่พวกเขา จนกว่าเวลาจะมาถึง

6.จง นำรายงานฉบับนี้ให้คนไทยอ่านเพื่อทดสอบปฏิกิริยาของพวกเขา ข้าพเจ้ามั่นใจว่าพวกผู้นำจะตอบด้วยใบหน้าที่ยิ้มละไมว่า “ เพิ่งได้รับเอกสาร ขอเวลาให้เราแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาศึกษาก่อน ” ส่วนคนไทยทั่วไปจะตอบว่า “ ไม่เป็นไร ” แล้วหัวเราะเห็นฟันขาว นายท่านจงตระเตรียมเครื่องปรุงรสให้พร้อม เพื่อลิ้มรสเนื้ออันโอชะจากแผ่นดินไทย

รายงานของข้าพเจ้าฉบับ นี้มีเพียงเท่านี้ หากรัฐบาล บริษัทข้ามชาติและมาเฟียของเราวางแผนเข้ามาผูกมิตรกับคนไทยโดยมีเป้าหมาย เช่นว่านั้นแล้ว ข้าพเจ้ารับรองว่าคนไทยจะภาคภูมิใจในการผูกมิตรกับเราเป็นอย่างยิ่ง เพราะพวกเขาโดยเนื้อแท้ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงมากนักและไม่ชอบคิดแก้ไขปัญหา ด้วยตัวเอง พวกเขาชอบการยกยอปอปั้น หลีกเลี่ยงความขัดแย้งและใช้ชีวิตตามสบาย

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล บทราบข้อกล่าวหาหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์



นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ท่ามกลางผู้มาให้กำลังใจกว่า 100 คน โดยเจ้าหน้าที่ได้ใช้เวลาสอบปากคำนานกว่า 2 ชั่วโมง ก่อนอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวออกไป
      
       นายสมศักดิ์เปิดเผยว่า กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจากเมื่อประมาณปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมาได้เขียนบท ความขึ้นจำนวน 2 บทความในหนังสือประชาไทย หลังจากนั้นมีผู้กล่าวหาตน ทางพนักงานสอบสวนจึงได้เชิญตัวมาสอบสวน ซึ่งก็ขอขอบคุณทางพนักงานสอบสวน และ ผกก.สนนางเลิ้ง ที่ให้ความเป็นธรรมตามกระบวนการตามกฏหมาย โดยในเบื้องต้นได้ให้การปฏิเสธไป ทั้งนี้ในเรื่องของความเป็นธรรมคงพูดยาก เพราะเป็นการสร้างบรรยากาศทางการเมือง เป็นสร้างความกดดัน และคิดว่าบทความดังกล่าวไม่ถือว่าเข้าข่ายมาตรา 112 ซึ่งหลังจากนี้ประมาณ 2 สัปดาห์จะเข้าพบพนักงานสอบสวนอีกครั้ง

ประกาศแบบนี้ อย่ายุบสภาเลยดีกว่า.....ม้างงงงง!!!




ใน ที่สุดก็ประกาศอย่างเป็นทางการ สำหรับการยุบสภาผู้แทนราษฎร โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งได้แถลงไปเมื่อค่ำวานนี้ (9 พ.ค.) เวลา 2 ทุ่มทางสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง เป็นเวลากว่า 15 นาที น่าจะถือเป็นความตั้งใจของรัฐบาลที่เลือกช่วงเวลานี้ เพราะเห็นว่าเป็นช่วงเวลาไพร์มไทม์ที่มีผู้ชมอยู่หน้าจอมากที่สุด (มีเพื่อนผมกล่าวติดตลกว่า ถ้ารัฐบาลประกาศยุบสภาวันที่ดอกส้มสีทองฉาย ปชป.อาจแพ้เลือกตั้งก็เป็นได้)

การประกาศยุบสภาครั้งนี้ถือว่าได้มี การเตรียมการมาเป็นอย่างดี มีการถ่ายทำเอาไว้ก่อน ไม่ได้เป็นการประกาศอย่างฉุกละหุก ในส่วนของเนื้อหาก็มีลักษณะที่ผ่านการร่างและคิดพิจารณาเป็นอย่างดี ที่น่าตลกก็คือเนื้อหาในคำประกาศยุบสภาตลอด 15 นาทีนั้น เป็นส่วนที่เกี่ยวกับยุบสภาจริงๆ น้อยมาก ขณะที่ส่วนที่เหลือกลับเป็นการเรื่องการพูดถึงผลงานการบริหาร (ในด้านดี) ตลอด 2 ปีที่ผ่านมาของรัฐบาล ซึ่งบรรยายไว้เป็นดิบดี
จนเกิดความสงสัยว่าถ้าบริหารดีขนาดนี้จะยุบสภาไปทำไป

ปกติ แล้วตามหลักวิชาการ การยุบสภาผู้แทนราษฎรนั้น มักจะใช้ในกรณีที่เกิดความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารคือรัฐบาล กับฝ่ายนิติบัญญัติคือสภาผู้แทนราษฎร โดยถือว่าการยุบสภาเป็นเครื่องมือหนึ่งการถ่วงดุลกับฝ่ายนิติบัญญัติของฝ่าย บริหาร แต่สำหรับประเทศไทยอาจไม่ค่อยเข้าตำรานัก เพราะที่ผ่านมา ฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติก็คือพวกเดียวกันตลอด การยุบสภาครั้งนี้ก็เช่นกัน ไม่ได้เกิดจากความขัดแย้งระหว่างสภากับรัฐบาล แต่เป็นลักษณะของการทำสัญญาตอนรับตำแหน่งของอภิสิทธิ์ที่บอกว่าจะไม่อยู่ครบ เทอมมากกว่า (การประท้วงเรียกร้องให้ยุบสภาของเสื้อแดง ไม่น่าจะส่งผลอะไรต่อการยุบสภามากนัก เพราะถ้ามีผลจริง คงยุบไปนานแล้ว)

พูด ง่ายๆ คือการจะยุบหรือไม่ยุบครั้งนี้ เป็นเรื่องของรัฐบาลล้วนๆ ปัจจัยภายนอกแทบไม่มีผล และเพราะเป็นเรื่องของรัฐบาล การตัดสินใจว่าจะยุบ จึงผ่านการเตรียมการมาเป็นอย่างดี เพื่อเป้าหมายสูงสุดคือ
การสร้างความได้เปรียบให้รัฐบาล (ปชป.) กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งหนึ่ง ไม่เว้นแม้แต่ในเนื้อหาคำประกาศยุบสภาเมื่อค่ำวานนี้ ก็แอบแฝงด้วยการหาเสียงของรัฐบาล หรือพูดให้ตรงกว่านั้นก็คือ ประชาธิปัตย์

สิ่งหนึ่งที่อภิสิทธิ์เน้นอยู่ตลอดการแถลงก็คือ ปัญหาต่างๆ ในไทยตอนนี้ ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างสมบูรณ์ แต่ที่ผ่านมาเราก็ได้
"เริ่มต้น" แก้ไปแล้ว ซึ่งก็ได้ผลไปในทิศทางทีดี สิ่งที่รัฐบาลได้ทำลงไปตลอด 2 ปีกว่าๆ ที่ผ่านมา จะเป็นฐานสำหรับการแก้ไขปัญหาในอนาคตต่อไป

การใช้คำว่า
"เราได้เริ่มต้นไปแล้ว" นั้น ถือเป็นการสร้างเครดิตให้รัฐบาลเป็นผู้ริเริ่มแก้ปัญหาต่างๆ ในไทยอย่างแท้จริง ขณะเดียวกันก็เป็นการลดเครดิตแนวทางการบริหารของรัฐบาลชุดก่อนหน้าให้เป็น แนวทางที่ไม่ถูกต้องด้วย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มในรัฐบาลในสมัยนี้ ไม่ใช่ก่อนหน้านั้น

การใช้คำว่าเริ่ม ยังหมายถึงว่างานของรัฐบาลยังไม่จบ รัฐบาลชุดต่อไปต้องมาสานต่อ และรัฐบาลที่จะมาสานต่องานเหล่านั้นได้ก็จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากรัฐบาลชุด นี้นี่เอง เพราะหากเป็นฝั่งตรงข้าม ก็อาจเสี่ยงที่ฝั่งนั้นอาจมาเริ่มอะไรใหม่ๆ ที่ไม่เป็นไปในแนวทางที่รัฐบาลชุดที่แล้ววางฐานไว้

ในช่วงท้ายของคำ ประกาศ ที่อภิสิทธิ์ฝากถึงผู้ที่จะมาเป็นรัฐบาลชุดต่อไปนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเกษตร หรือเรื่องการศึกษานั้น จริงๆ แล้วก็เป็นการกล่าวถึงประชาธิปัตย์ทั้งนั้น โดยเฉพาะการเน้นความสำคัญของการศึกษา ซึ่งถือเป็นนโยบายหลักของประชาธิปัตย์เลยก็ว่าได้ การพูดของอภิสิทธิ์เช่นนี้ จึงไม่ใช่อะไรมากไปกว่าบอกอ้อมๆ ว่า ถ้าอยากให้สิ่งที่อภิสิทธิ์ฝากเป็นจริง ก็เลือกอภิสิทธิ์เข้ามาอีกรอบเถอะ

มีจุดน่าสังเกตอีกอย่างคือ การที่อภิสิทธิ์บอกว่า
ความศรัทธาในรัฐบาลนั้นจะต้องเกิดจากความโปร่งใส เมื่อเทียบกับผลโพลล่าสุดที่ออกมาว่าสิ่งเดียวที่ประชาธิปัตย์เหนือกว่า เพื่อไทยก็คือเรื่อง ความโปร่งใส การเน้นเรื่องความโปร่งใสในประกาศนี้ ก็เป็นเหมือนการหาเสียงให้ประชาธิปัตย์อีกทางหนึ่ง พรรคนี้เท่านั้นที่เป็นพรรคที่ควรแก่การศรัทธาและเป็นรัฐบาล ไม่ใช่อีกพรรคที่มีเรื่องอื้อฉาวเรื่องโกงกินเยอะ เชื่อว่าประชาธิปัตย์จะชูเรื่องโปร่งใสเป็นแกนหลักในการรณรงค์การเลือกตั้ง ครั้งนี้แน่นอน (แต่ทั้งหมดในคำประกาศนี้ อภิสิทธิ์ไม่พูดเรื่องการคอรัปชั่นในสมัยที่เขาเป็นนายกเลย)

ในส่วนของที่ผาของรัฐบาล ที่หลายฝ่ายบอกว่าไม่ชอบธรรม แต่อภิสิทธิ์ก็ยืนยันว่่าที่มาของเขานั้นชอบธรรมแล้ว เพราะได้กล่าวว่า
การเข้ามาของเขานั้นเกิดจากประชาชนที่มอบความไว้วางใจผ่านสภาผู้แทนราษฎร รัฐบาล ของอภิสิทธิ์จึงเป็นรัฐบาลของประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ใช่แย่งมาอย่างบางฝ่ายกล่าวหา ที่น่าสนใจคือการเน้นเรื่องสภาผู้แทนราษฎรเช่นนี้ เท่ากับว่าประชาธิปัตย์ให้ความสำคัญกับผู้แทนในสภามากกว่าประชาชน นั่นอาจหมายความว่า แม้หลังเลือกตั้งต่อให้ประชาธิปัตย์ไม่ได้เสียงเป็นอันดับ 1 แต่สามารถรวมเสียง สส.ได้มากกว่า ก็มีสิทธิเป็นรัฐบาลเช่นกัน และเป็นรัฐบาลที่ชอบธรรมด้วย เพราะได้รับเลือกจากผู้แทนก็เหมือนได้รับเลือกจากประชาชนนั่นแหละ

จาก เนื้อหาคำประกาศทั้งหมด แทบจะไม่พบข้อเสียของรัฐบาลนี้เอง ความขัดแย้งกับสภาก็ไม่มี แถมยังมีขอบคุณสภาในคำประกาศด้วย การตัดสินใจยุบสภานั้น ก็เป็นการด้วยเจตนาคืนอำนาจให้ประชาชนได้มีโอกาสเลือกเท่านั้น
แต่ ในเมื่อบรรยายรัฐบาลไว้เสียดิบดีขนาดนี้ อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย เลือกประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลอีกครั้งเถอะ ...และนั่นคือใจความสำคัญของคำประกาศยุบสภานี้

ส่วนพวกเราก็ยังได้แต่สงสัยต่อไปว่า ก็ในเมื่อที่ผ่านมาทำงานดีเยี่ยมขนาดนี้ ปัญหากับสภาก็ไม่มี แล้วจะยุบสภาไปทำ-่าอะไร (ประชด)

คนอีสานก็แค่ขี้ข้าคนกรุง"ดร.เจริญ คันธวงศ์ สมาชิกอาวุโสพรรคประชาธิปัตย์กล่าว

สำนักข่าวBBCเคยลงรายงานข่าววิกฤตการณ์ทางการเมืองไทยว่า คือการต่อสู้ขัดแย้งทางชนชั้น ระหว่างคนที่ยากจนในเขตชนบท กับคนที่ร่ำรวยในกรุงเทพฯ ระหว่างคนที่ได้รับผลประโยชน์และสิทธิของความเป็นมนุษย์จากนโยบายของรัฐบาล ทักษิณ กับบรรดาอภิชนที่เสียผลประโยชน์ สื่อมวลชนต่างประเทศหลายสำนักก็ต่างนำเสนอเรื่องนี้

แต่ไม่มีใครตอก ย้ำได้ดีเท่าสมาชิกอาวุโสของพรรคประชาธิปัตย์ ดร.เจริญ คันธวงศ์ ที่บอกกับสำนักข่าวต่างประเทศว่า รัฐบาลประชาธิปัตย์ ไม่ได้กังวลนักกับการที่คนในเขตภาคอีสานเป็นฐานพลังมวลชนไพศาลให้แก่อดีต นายกฯทักษิณ และเป็นคนกลุ่มเสื้อแดงที่จะต่อต้านรัฐบาล โดยการนำของนายวีระ มุสิกพงษ์

"คนในภาคอีสานก็เป็นเพียงแรงงานให้กับคนกรุงเทพฯ คนรับใช้ในบ้านผมก็มาจากภาคอีสาน เด็กปั๊มน้ำมันที่มาให้บริการแก่คนกรุงก็มาจากอีสานทั้งนั้น"ดร.เจริญกล่าว
แม้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อาศัยโอกาสที่เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กล่าวจีบคนอีสานให้หันกลับมาสนับสนุน ผ่านนิยายเรื่องแหวนหมั้นยายเนียม เพื่อสมานแผลที่ร้าวลึกคาใจกับคนภูมิภาคนี้ กลบเรื่องราวขุ่นข้องหมองใจที่คนอีสานโกรธแค้นรัฐบาลประชาธิปัตย์สมัยนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี ปล่อยหมากัดม็อบ ซึ่งคนอีสานถือมากว่าเหยียดหยาม แต่คำพูดของดร.เจริญอาจทำให้ขยายแผลที่กำลังจะสมานได้ลงเสียแล้ว

หนังสือ พิมพ์สเตรทไทมส์ โดย Nirmal Ghosh เขียนบทวิจารณ์ “How long can the new Thai govt last?” รัฐบาลใหม่ของไทยจะอยู่ได้นานแค่ไหน) เผยแพร่เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. เนื้อหาส่วนหนึ่งกล่าวถึง ดร.เจริญ คันธวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งไม่กี่นาทีหลังจากที่อภิสิทธิ์ได้รับการลงมติในสภาเมื่อวันที่ 16 ธ.ค. ดร.เจริญ คันธวงศ์ ได้บอกกับผู้สื่อข่าวจากสเตรทไทม์ว่าพรรคประชาธิปัตย์ต้องให้ความสำคัญกับ สองสิ่ง คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่อยู่ในภาวะตกต่ำ และเยียวยาความแตกแยกอย่างรุนแรงในชาติ

แต่เขาไม่กังวลเกี่ยวกับความ นิยมทางการเมืองที่แบ่งแยกออกเป็นภูมิภาค ที่กรุงเทพฯ และภาคใต้เป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ ขณะที่ภูมิภาคที่มีประชากรหนาแน่นอย่างภาคเหนือและภาคอีสานเป็นฐานเสียงของ พรรคเพื่อไทย


“คุณรู้ไหม, คนจากภาคอีสานเป็นลูกจ้างให้คนในกรุงเทพฯ คนรับใช้ของผมมาจากภาคอีสาน ลูกจ้างปั๊มน้ำมันในกรุงเทพฯ ก็มาจากภาคอีสาน” นายเจริญกล่าว
ทั้ง นี้คำพูดของนายเจริญ ถูกอ้างถึงอีกครั้งในดิการ์เดียนของอังกฤษ เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. ในบทวิเคราะห์ที่ชื่อ “Class war behind Thai colour clash” รายงานโดย Bill Condie ผู้สื่อข่าวเดอะการ์เดียนในกรุงเทพฯ

สำหรับ ดร.เจริญ คันธวงศ์ เกิด เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2476 เป็นบุตรของนายคำมูลและนางน้อย คันธวงศ์ สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลายจากโรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก ปริญญาตรีจากคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (เกียรตินิยมอันดับ 2) ปริญญาโท ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และปริญญาเอก การบริหารอุดมศึกษา จากมหาวิทยาลัยซีราคิวส์ สหรัฐอเมริกา

ดร.เจริญ เคยเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ 2516 เคยเป็น ส.ส. หลายสมัยในการเลือกตั้งปี 2518, 2519, 2529, 2531, 2535/2, 2538, 2539, 2548 (บัญชีรายชื่อ), 2550 (บัญชีรายชื่อ) โดยสอบตก 2 ครั้งในปี 2535 ที่กระแสพรรคพลังธรรมมาแรง และปี 2544 ที่พรรคไทยรักไทยมาแรง

ดร.เจริญ เคยเป็นเลขานุการ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปี 2519 เคยเป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีปี 2523-2526 เคยเป็น รมช.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปี 2531-2533 เคยเป็น รมว.กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม 2533 และเป็น รมช.กระทรวงศึกษาธิการในปี 2538

ปัจจุบันเป็น ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อกลุ่ม 6 ของพรรคประชาธิปัตย์ มีรายชื่อในบัญชีเป็นอันดับ 2 ต่อท้ายนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

นอก จากนี้ยังเป็นที่ปรึกษาอาวุโส บริษัทติลลิกี แอนด์ กิบบินส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งแรกในประเทศไทย คือ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ในปี พ.ศ. 2505 โดยดำรงตำแหน่งเป็นอธิการบดีคนแรกด้วยวัยเพียง 29 ปี ปัจจุบัน ทางมหาวิทยาลัยกรุงเทพได้เรียนเชิญให้เป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยกรุงเทพ และยกย่องให้เป็น อธิการบดีกิตติคุณก่อตั้ง หรือ Emeritus (อีกทั้งยังมี “อาคาร ดร.เจริญ คันธวงศ์” เพื่อเป็นการรำลึกถึงที่วิทยาเขตกล้วยน้ำไทย
 
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง