บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ดร.เสรี ฟันธง "คนที่ปีที่แล้วน้ำไม่ท่วม จะท่วมปีนี้"


สำนักข่าวอิศรา

ดร.เสรี ศุภราทิตย์ โชว์แบบจำลองการไหลของน้ำ ตั้งสมมติฐานปริมาณน้ำเท่าปี 54 ชี้แผนเร่งด่วน กยน.ไม่รับประกัน น้ำไม่ท่วม ถามเพิ่งผ่านมาแค่ 3 เดือน จะทำอะไรได้บ้าง ขุดคลอง สร้างฟลัดเวย์ ก็ใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 ปี



เมื่อเร็วๆ นี้ นิสิตโครงการปริญญาโท สาขาบริหารธุรกิจ ภาคค่ำ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดสัมมนาเรื่อง “รู้ทันภัยธรรมชาติ เพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ” ณ อาคารสารนิเทศ 50 ปี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยเชิญ รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม อุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร และในฐานะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายสุเวทย์ ธีรวชิรกุล กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) ร่วมนำเสนอความคิดเห็นวิธีการบริหารจัดการ การวางแผนกลยุทธ์

รศ.ดร.เสรี กล่าวอ้างข้อมูลจากองค์กรอุตุนิยมวิทยาของประเทศอังกฤษ (UK Met) ซึ่งได้มีการคาดการณ์ออกมาแล้วว่า ประเทศไทย ในฤดูแล้งก็จะแล้ง ในฤดูฝนฝนก็จะตกหนัก ฉะนั้นการบริหารจัดการน้ำในเขื่อนจึงเป็นเรื่องสำคัญ การที่เราไปคิดสร้างเขื่อนขนาดใหญ่บริเวณที่คิดว่าฝนจะตก แล้วน้ำเต็มเขื่อนนั้น เกิดขึ้นได้ยากในอนาคต

“ในระยะใกล้ตัว 1-2 ปีนี้จะเป็นอย่างไร ก็มีข้อมูลจาก JAMSTEC ประเทศญี่ปุ่น คาดการณ์ว่า ปรากฏการณ์ลานินญา จะค่อยๆ ลดอิทธิพลลง ช่วงกลาง –ปลายปีนี้ ถึงปีหน้า ประเทศไทยจะเข้าสู่ปรากฏการณ์เอลนิโญ ต้องเผชิญกับภัยแล้ง ซึ่งเป็นสัญญาณที่ทำให้เรารู้ล่วงหน้าได้ ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของรัฐต้องคอยเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เดือนต่อเดือน”

กรรมการ กยน. กล่าวว่า เมื่อปี 2554 มีพายุเกิดขึ้นในมหาสมุทรแปซิฟิก 40 ลูก แต่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย 4 ลูก หรือ 10% ของพายุที่เกิดขึ้นจะมีอิทธิพลกับบ้านเรา ซึ่งในปี 2555 พายุก็ยังเกิดขึ้นจำนวนมากอยู่ เห็นได้จากล่าสุด มีรายงานพายุดีเปรชั่นเกิดขึ้นแล้วที่ทะเลจีนใต้ และกำลังทวีความรุนแรงเป็นพายุโซนร้อน ส่งผลกระทบต่อประเทศเวียดนาม

ส่วนที่รัฐบาลมีแผนการบริหารจัดการน้ำในเขื่อน โดยจะปรับเกณฑ์การบริหารจัดการ (Rule Curve) ใหม่ โดยให้มีปริมาณน้ำต่ำสุดอยู่ที่ 45% นั้น รศ.ดร.เสรี กล่าวว่า ชาวนาภาคกลางทำนาประมาณ 10 ล้านไร่ ใช้น้ำ 1,000 ลูกบาศก์เมตรต่อไร่ หรือ 8,000 – 10,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ที่เราต้องเก็บให้ชาวนาได้ปลูกข้าวนาปรัง ฉะนั้นการปล่อยน้ำให้เหลือปริมาณต่ำสุดไว้ เพราะกลัวน้ำท่วมมาก หมายความว่า น้ำในอ่างก็จะไม่มี

“หากฝนไม่ตกตามที่คาดการณ์ ต้นปี 2556 น้ำในเขื่อนภูมิพลจะเหลือ 3,000 ล้านลูกบาศก์เมตร เขื่อนสิริกิติ์ 1 ,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ฉะนั้นปลายปีหน้า ชาวนาไม่มีน้ำจะเกิดอะไรขึ้น” กรรมการ กยน. กล่าว และว่า หากสถานการณ์เป็นอย่างที่ JAMSTEC คาดการณ์ ประเทศไทยมีความเสี่ยงสูงมากจะเจอกับภัยแล้ง รัฐบาลต้องคิดให้หนัก จะรักษาระดับการกักเก็บน้ำในเขื่อนให้ต่ำอย่างนี้หรือไม่

สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหากน้ำมาอีกในปี 2555 รศ.ดร.เสรี กล่าวว่า คนที่ปีที่แล้วน้ำไม่ท่วม จะท่วมปีนี้ เพราะคนที่ท่วมปีที่แล้ว จะมีระบบการป้องกันอย่างเข้มแข็ง เช่น กรณีที่อยุธยา นิคมอุตสาหกรรมก่อสร้างเขื่อนกั้นน้ำเต็มไปหมด ชุมชนก็ป้องกัน เกาะเมืองอยุธยาก็ป้องกัน แถมจะมีการยกถนนอีก 80 เส้นทาง ถามว่า น้ำจะไปทางไหน ในเมื่อน้ำต้องการที่อยู่

“การจัดทำแบบจำลองการไหลของน้ำ (ซิมูเลชั่น)ด้วยสมมติฐานปริมาณน้ำเท่ากับปี 2554 แผนเร่งด่วนของ กยน.ไม่ได้หมายความว่า จะทำให้น้ำไม่ท่วมกรุงเทพฯ ซึ่งเราเพิ่งผ่านเหตุการณ์มาแค่ 3 เดือน เราสามารถทำอะไรได้บ้างในความเป็นจริง จะสร้างคลอง ทำฟลัดเวย์ ได้ทันหรือไม่ ไม่มีทางทัน นี่คือคำถาม ขณะที่การมีฟลัดเวย์ เร็วที่สุดก็ใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 ปี”

ด้านนายกรณ์ กล่าวถึงอุทกภัยปี 2554 สร้างความเสียหายสูงถึง 1.4 ล้านล้านบาท จัดเป็นภัยพิบัติที่สร้างความเสียหายมากที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลก ซึ่ง 90% เป็นความเสียหายต่อทรัพย์สินของประชาชน ภาคเอกชน ขณะที่ภาครัฐเสียหายน้อยมาก พร้อมมองว่า หากเรายังไม่สามารถบริหารจัดการน้ำได้ คนไทยก็จะจนไปตลอด เพราะอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่เพียงแค่ 1-2 % ไม่เพียงพอต่อการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน

กรณีการบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาด จนส่งผลให้น้ำท่วมผิดที่ผิดทางนั้น นายกรณ์ กล่าวว่า เกิดขึ้นจากการตัดสินใจหลายขั้นตอนด้วยข้อมูลไม่ครบด้าน พร้อมตั้งคำถาม หากเกิดเหตุการณ์ขึ้นอีก รัฐบาลจะมีการขมวดรวมอำนาจการตัดสินใจในหน่วยราชการอย่างไร เพื่อให้คนไทยมั่นใจได้ว่า สถานการณ์จะดีกว่าครั้งที่แล้ว โดยเฉพาะเรื่องโครสร้างการบริหารจัดการ

และในฐานะผู้ประกอบการ นายสุเวทย์ กล่าวถึงบทเรียนจากน้ำท่วมในปีที่ผ่านมา “ข้อมูล” มีความสำคัญ แต่กลับพบว่า มีไม่พอสำหรับการตัดสินใจในการดูแลตนเอง ขณะที่ข้อมูลบางอย่างฟังแล้วก็ยังสับสน ไม่เข้าใจ และนำมาใช้ประโยชน์ได้น้อย ดังนั้นสิ่งที่ตนเป็นกังวล คือเรื่องการปฏิบัติ มากกว่า การมีแผนบริหารจัดการน้ำ เพราะเชื่อว่า มีแผน ฯ ก็ไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้ 100%



จาก "โจรกระจอก" ถึง "จิ๊กโก๋ปากซอย"...ปัญหาซ้ำรอยไทยในวังวนก่อการร้าย



 เขียนโดย ปกรณ์ พึ่งเนตร
เห็น ข่าว พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปรียบกลุ่มผู้ต้องหาต่างชาติที่ถือพาสปอร์ตอิหร่านก่อเหตุระเบิด 3 จุดกลางกรุงเทพฯเมื่อวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมาว่าเป็นเหมือน "จิ๊กโก๋ปากซอย" แล้วรู้สึกสะท้อนใจ
          ขณะเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะย้อนนึกถึงวาทกรรม "โจรกระจอก" หรือ "โจรห้าร้อย" ของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ที่ปรามาสกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้เมื่อหลายปีก่อนเอาไว้ และนั่นได้กลายเป็นการ "ส่งสัญญาณผิด" กระทั่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ปัญหาความไม่สงบ ณ ดินแดนปลายสุดด้ามขวานยืดเยื้อยาวนานมาจนทุกวันนี้
          ฉะนั้นการแสดงท่าทีของรัฐบาล โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ระดับสูงของฝ่ายความมั่นคงในประเด็นอ่อนไหวจึงต้องใช้ ความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง

ไทยในวังวนขัดแย้งมหาอำนาจและก่อการร้าย
          เป็นที่ทราบกันอย่างกว้างขวางว่า สัปดาห์แห่งความรักที่เพิ่งจะผ่านพ้นไป ประเทศไทยของเรามีแต่ "ข่าวร้ายๆ" ตั้งแต่เหตุระเบิด 3 จุดในวันวาเลนไทน์ ตามด้วยการถูกขึ้นบัญชีดำโดยกลุ่มคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการ เงินเกี่ยวกับการฟอกเงิน (Financial Action Task Force on Money Laundering ; FATF) ที่ระบุว่าไทยมีความเสี่ยงจากการฟอกเงินและสนับสนุนการก่อการร้าย
          ไม่ว่าข่าวสารจากทางภาครัฐจะออกมาแก้ไข-แก้ตัวหรือเบี่ยงประเด็นอย่างไร แต่ความจริงก็คือ เหตุระเบิดกลางกรุงเทพฯ 3 จุดเกิดขึ้นหลังจากเหตุลอบสังหารนักการทูตหญิงอิสราเอลในกรุงนิวเดลี เมืองหลวงของประเทศอินเดียเพียง 1 วัน โดยผู้ลงมือเป็นสายลับที่ผ่านการฝึกมาอยางดี ด้วยการขี่รถจักรยานยนต์เข้าไปใกล้รถมินิแวน และลอบนำระเบิดแม่เหล็กไปติดไว้หลังรถนักการทูตหญิงซึ่งเป็นภรรยาของผู้ช่วย ทูตทหารอิสราเอลประจำกรุงนิวเดลี เมื่อรถทิ้งห่างไประยะหนึ่งจึงกดระเบิด
          ในวันเดียวกันนั้น ยังเกิดเหตุลอบติดระเบิดแม่เหล็กใต้ท้องรถยนต์ของพนักงานสถานทูตอิสราเอลประ จำกรุงทบิลิซี ประเทศจอร์เจียด้วย แต่เจ้าของรถสังเกตเห็นความผิดปกติเสียก่อน จึงแจ้งตำรวจและปลดชนวนได้สำเร็จ
          ที่น่าสนใจก็คือ เหตุลอบวางระเบิดในอินเดียและจอร์เจียมีขึ้นในวาระครบรอบการเสียชีวิตของสมาชิกระดับสูง 2 คนแห่งกลุ่ม "ฮิซบอลเลาะห์" (กลุ่มต่อต้านและทำสงครามขับไล่อิสราเอลออกจากเลบานอน) ซึ่งมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอิหร่าน และในวาระครบรอบการเสียชีวิตนี้ก็ทำให้อิสราเอลต้องออกคำเตือนด้านการเดิน ทางแก่ชาวอิสราเอลทุกปี
          วิธีที่ใช้ลอบทำร้ายนักการทูตอิสราเอล คล้ายคลึงกับแทคติกที่ใช้สังหารนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์อิหร่านจนเสียชีวิต ไป 3 รายในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ด้วยการวาง "ระเบิดแม่เหล็ก" ซึ่งมีส่วนประกอบของแม่เหล็ก ทำให้ติดแน่นกับรถยนต์
          และระเบิดที่พบภายในบ้านเช่าเลขที่ 66 ซอยปรีดี พนมยงค์ 31 กลางมหานครกรุงเทพฯ ซึ่งผู้ต้องหาชาวอิหร่านอาศัยอยู่นั้น เป็นระเบิดแบบแสวงเครื่องที่ใช้ซีโฟร์เป็นดินระเบิด ประกอบใส่ไว้ในวิทยุทรานซิสเตอร์เครื่องเล็ก มีแก๊ประเบิดและสลักเป็นตัวจุดชนวน แล้วก็มีแม่เหล็กก้อนเล็กๆ 6 ก้อนอยู่ในตัววิทยุ นัยว่าเพื่อใช้ติดกับวัตถุเป้าหมายที่เป็นโลหะ อาทิ รถยนต์เช่นกัน!!! 
          เป็นระเบิดที่มีความคล้ายคลึงกับ "ระเบิดแม่เหล็ก" หรือ Sticky Bomb ซึ่งคนร้ายใช้ประทุษร้ายนักการทูตอิสราเอลที่อินเดียและจอร์เจีย
          ถึงวันนี้คงปฏิเสธไม่ได้อีกต่อไปแล้วว่า ประเทศไทยกำลังเป็นหนึ่งในสนามรบของ "คู่ขัดแย้ง" ในเวทีโลก คืออิหร่านกับผู้สนับสนุนข้างหนึ่ง กับอิสราเอลและสหรัฐอีกข้างหนึ่ง พร้อมกันนั้นยังตกอยู่ในวังวนก่อการร้ายด้วย เพราะด้วยความเป็นประเทศเปิด มีจุดขายที่การท่องเที่ยว จึงทำให้เป็นแหล่งชุมนุมของกลุ่มก่อการร้าย
          ข้อมูลของนักวิชาการด้านความมั่นคงอย่าง ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ชี้ว่าประเทศไทยมีกลุ่มก่อการร้ายกลุ่มต่างๆ เคลื่อนไหวในลักษณะใช้เป็นทางผ่าน กบดาน ซ่อนตัว และพักผ่อนมากถึงราว 20 กลุ่ม แต่สามารถแบ่งหยาบๆ เป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ
          1.กลุ่มตะวันออกกลาง ได้แก่ ฮิซบอลเลาะห์ ฮามาส และพวกอาหรับเอ็กซ์ตรีมมิสต์ (อาหรับหัวรุนแรง) เช่น อียิปต์ ตูนีเซีย อัลจีเรียนคอนเนคชั่น รวมถึงอัลไกด้าแต่มีไม่มากนัก
          2.กลุ่มเอเชียใต้ ได้แก่ พยัคฆ์ทมิฬอีแลม (จากศรีสังกา) กลุ่มหัวรุนแรงในปากีสถาน บังคลาเทศ
          และ 3.กลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ อาบูไซยาฟ (ในฟิลิปปินส์) เจมาห์อิสลามิยาห์ หรือเจไอ (ในอินโดนีเซีย)
          คำถามก็คือรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงไทยจะกำหนด "ท่าที" ของประเทศอย่างไรในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ท่ามกลางปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ไทยก็อ่วมอยู่แล้ว

อย่าถูกชี้นำปม"ก่อการร้าย"
          แหล่งข่าวซึ่งเป็นอดีตผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล กล่าวว่า ผู้ใหญ่ในรัฐบาลหรือฝ่ายความมั่นคงไม่ควรให้สัมภาษณ์โดยไม่รู้หรือหรือพูด ตามการชี้นำของชาติมหาอำนาจ เพราะไม่มีใครมากะเกณฑ์เราได้ว่าเรื่องนั้นเรื่องนี้เป็นก่อการร้ายหรือไม่ ผู้ที่จะกำหนดแนวทางได้มีอยู่ 3 หน่วยงานคือ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ศูนย์รักษาความปลอดภัย และกองบัญชาการตำรวจสันติบาล
          "แค่สามหน่วยนี้เท่านั้นที่จะบอกว่าเหตุการณ์ไหนเป็นก่อการร้าย ไม่ใช่ใครก็พูดได้ และไม่มีใครหรือชาติใดสั่งให้เราพูดได้ ที่ผ่านมาหลายสิบปีก็ไม่เคยมีการแทรกแซงหรือชี้นำ"
          นายตำรวจที่คร่ำหวอดในวงการข่าวกรองมาเกือบตลอดชีวิตราชการ บอกด้วยว่า แนวทางการทำงานที่ถูกต้องคือ 3 หน่วยนี้ต้องมานั่งประชุมกัน แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน แต่จนถึงขณะนี้เขายังไม่เห็นภาพลักษณะนั้นเลย
          "ผมคิดว่าสถานการณ์ตั้งแต่วันนี้ถึงสิ้นเดือน มี.ค.เป็นห้วงเวลาอ่อนไหว อิหร่านเพิ่งเปิดตัวโรงงานปรมาณู อิสราเอลก็ต้องการจะไปทิ้งระเบิด สงครามโลกครั้งที่ 3 อาจจะเกิดขึ้นก็ได้ ถ้าสหรัฐไฟเขียวก็เกิดแน่ ทุกอย่างจะชัดเจนภายในสิ้นเดือน มี.ค.นี้ เพราะหลังจากนั้นสหรัฐจะเข้าสู่โหมดการเลือกตั้งประธานาธิบดี การจะทำหรือไม่ทำต้องตัดสินใจในช่วงนี้เท่านั้น และจุดยืนไทยต้องชัดเจน" อดีตผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล ระบุ

ระวังกระทบสัมพันธ์คู่ขัดแย้ง
          จุดยืนของรัฐบาลไทยในวังวนปัญหาก่อการร้ายและความขัดแย้งของชาติมหาอำนาจในโลก ถูกตั้งคำถามโดย พันเอก ดร.ธีรนันท์ นันทขว้าง นายทหารนักยุทธศาสตร์ชื่อดังเช่นกัน
          "ผมย้ำมาตลอดว่าเหตุระเบิด 3 จุดกลางกรุงเทพฯไม่ใช่การก่อการร้าย หากจะเป็นการก่อการร้ายต้องถามว่าเป็นการก่อการร้ายในทัศนะของใคร ต้องให้สหรัฐประกาศถึงจะเป็นก่อการร้ายหรือเปล่า หรือเราดูที่รูปแบบการกระทำ ดูอุดมการณ์การต่อสู้ของผู้กระทำ เพราะที่ผ่านมาการก่อการร้ายมักถูกประกาศโดยประเทศมหาอำนาจ ทั้งๆ ที่เป็นความขัดแย้งของบางประเทศกับบางประเทศเท่านั้น"
          "เราไม่ได้เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งนี้อย่างแน่นอน และต้องตั้งคำถามว่าเราเป็นเป้าตรงไหน สมมติคนสองคนทะเลาะกันอยู่นอกบ้านของเรา ต่อมาฝ่ายหนึ่งทราบว่าบุคคลสำคัญของอีกฝ่ายหนึ่งจะเดินผ่านหน้าบ้านเรา เขาก็เลยมาดักตีหัว ถามว่าเราเกี่ยวอะไร เพราะเขาไม่ได้เลือกไทยเป็นเป้า แต่พอดีมีเป้าหมายที่คุ้มค่าผ่านเข้ามาในพื้นที่ของเรา"
          พันเอก ดร.ธีรนันท์ มองว่า การกระทำของกลุ่มผู้ต้องหาที่ถือพาสปอร์ตอิหร่านอาจไม่ใช่การกระทำในระดับ รัฐ แต่เป็นกลุ่มบางกลุ่มที่ต้องการทำหรือต้องการแก้แค้นก็ได้ ฉะนั้นรัฐบาลไทยจะต้องพยายามหาคำตอบที่ตอบแล้วไม่กระทบความสัมพันธ์ระหว่าง ประเทศกับทั้งสองฝ่าย เนื่องจากไทยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคู่ขัดแย้งทั้งสอง คำชี้แจงของรัฐบาลไทยจะต้องไม่นำไปสู่การเลือกข้างใดข้างหนึ่ง สิ่งที่ดีที่สุดคือพูดตามข้อเท็จจริง เอาหลักฐานจริงๆ มาชี้แจงว่าเกิดอะไรขึ้น เพื่อทำให้ทุกฝ่ายเข้าใจภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและความเชื่อมโยงต่างๆ
          "ฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องใช้นิติวิทยาศาสตร์และหลักฐานเชิงประจักษ์ อย่าไปชี้ว่าใครผิด ผมยังยืนยันว่าการก่อการร้ายกับเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน แต่ถ้าเราไปพูดให้เป็นเรื่องเดียวกันจะอ่อนไหวมาก"

แนะ"ซื้อเวลา"ดีกว่า"รีบสรุป"
          พันเอก ดร.ธีรนันท์ ย้ำด้วยว่า ประเทศไทยไม่ใช่เป้าหมายและไม่มีความเสี่ยงเรื่องการก่อการร้ายมากนัก ตรวจสอบย้อนหลังกลับไป 10 ปีก็ไม่มีความรุนแรงจากการก่อการร้ายเกิดขึ้นเลย ขณะที่ประเทศอื่นมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ดีกว่า พร้อมกว่าไทยทุกด้านแต่ก็ยังโดน ส่วนไทยไม่เคยโดน
          "วันนี้เขาชกกันนอกบ้าน จะไปดึงมาเป็นเรื่องของเรามันไม่น่าจะถูก ถ้าวันนี้เราเดินเกมผิด ไปโยงเรื่องก่อการร้าย จะนำปัญหาตามมามากมาย แต่ถ้าเราประเมินสถานการณ์ดีๆ และหาช่องทางสร้างความสัมพันธ์กับทุกฝ่าย เราจะรอดจากสถานการณ์นี้ได้อย่างสง่างามและปลอดภัย"
          พันเอก ดร.ธีรนันท์ บอกอีกว่า นโยบายด้านความมั่นคงของไทยยังดีอยู่ แต่ปัญหาคือทิศทางหลังจากเกิดเรื่องนี้ต้องยึดหลักการผลประโยชน์ของชาติคือ การดูแลชีวิตของคนไทย ไม่ใช่ดูแลชีวิตชาวตะวันตกหรือคนชาติอื่น
          "ถ้าเราเสี่ยงไปเล่นในเวทีนี้ วันหน้าเราตกเป็นเป้าจริงๆ ถามว่าชาติตะวันตกจะดูแลช่วยเหลืออะไรเราหรือไม่ ฉะนั้นนโยบายและการแสดงท่าทีในช่วงนี้จะมีผลมาก ผมย้ำว่ารัฐบาลไทย ฝ่ายความมั่นคงไทย และสื่อไทยต้องดูแลคนไทย ไม่ใช่ดูแลคนตะวันตก ถ้าเราดูแลคนตะวันตกมากกว่า เราเดือดร้อนแน่"
          "ที่สำคัญการรีบแสดงท่าทีอาจไม่ดีนักในสถานการณ์นี้ แต่การซื้อเวลาน่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่า เห็นได้จากอินเดียซึ่งเกิดเหตุการณ์ลอบสังหารนักการทูตอิสราเอลก่อนหน้า ระเบิดในไทยเพียง 1 วัน จนถึงขณะนี้เขายังไม่สรุปเลยว่าเป็นการกระทำของอิหร่าน ซ้ำยังบอกว่าไม่ว่าจะอย่างไรก็จะซื้อน้ำมันจากอิหร่านต่อไป นี่คือท่าทีที่น่าสนใจ และไทยน่าจะพิจารณาเพื่อรักษาดุลให้ดี" พ.อ.ธีรนันท์ กล่าว

ห่วงสะเทือนโอไอซีทำใต้วุ่น
          ความเห็นของนายทหารด้านยุทธศาสตร์ สอดคล้องกับความเห็นของนักวิชาการด้านความมั่นคงอย่าง ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ที่บอกว่า การสร้างความเข้าใจที่ผิด หรือถ่วงดุลไม่ดีพอ อาจมีผลกับสถานการณ์ในภาคใต้ของไทยด้วย ฉะนั้นต้องชี้แจงต่อสาธารณะว่าไทยไม่ได้มีปัญหากับอิหร่านหรือกับชาติตะวัน ออกกลาง ไทยให้การสนับสนุนการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ด้วยซ้ำไป ซึ่งอิสราเอลก็ประท้วงไทยอยู่
          "เราได้เปรียบดุลการค้ากับอิหร่านหมื่นล้าน เรามีความสัมพันธ์เชิงสัญลักษณ์ ทั้งภาษา วัฒนธรรม ชาวอิหร่านเข้ามารับราชการตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นต้นตระกูลสำคัญๆ หลายตระกูล ฉะนั้นรัฐมนตรีต่างประเทศต้องต่อสายคุยกับอิหร่าน ไม่ใช่ปล่อยให้เขาโต้กับอิสราเอลแล้วเรายืนดู บอกว่าเราไม่เกี่ยวไม่พอ"
          "อย่าลืมว่าชาติตะวันออกกลางเป็นสมาชิกหลักของโอไอซี (องค์การการประชุมชาติอิสลาม ซึ่งจับตาตรวจสอบปัญหาชายแดนใต้ของไทย) ฉะนั้่นจะบอกว่าเราไม่เกี่ยวอย่างเดียวไม่พอ ควรมีแถลงการณ์ร่วมระหว่างรัฐมนตรีของไทยกับรัฐมนตรีของอิหร่านจะดีกว่าไหม แทนที่จะโต้กันไปมาผ่านสื่อกับอิสราเอล" ปณิธาน เสนอ
          การดำรงอยู่อย่างปลอดภัยในวังวนก่อการร้ายและความขัด แย้งของมหาอำนาจในโลก คือบทพิสูจน์อีกหนึ่งบทของรัฐไทยในยุค “สงครามสมัยใหม่” ที่หากก้าวพลาดนิดเดียวย่อมหมายถึงพ่ายทั้งประเทศ!


ข้อมูลประกอบ
เปิดนิยาม "ก่อการร้าย"
ความต่างของ "ความรู้สึก" กับ "กฎหมาย"  
          มีความเห็นที่น่าสนใจจากพนักงานสอบสวนมือดีของกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ว่าการจับกุมและออกหมายจับกลุ่มผู้ต้องหาที่ถือพาสปอร์ตอิหร่าน ซึ่งเชื่อว่าเกี่ยวโยงกับเหตุระเบิด 3 จุดในวันวาเลนไทน์ 14 ก.พ.ที่ผ่านมานั้น จะดำเนินคดีในข้อหาก่อการร้ายได้จริงหรือไม่
          เพราะ "ความรู้สึก" ของผู้คนในสังคมที่มีต่อภาพเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้น กับพฤติการณ์ตาม "ข้อกฎหมาย" นั้น หลายๆ ครั้งก็เป็น "คนละเรื่องเดียวกัน"
          หากยังจำกันได้ การจับกุม นายอาทริส ฮุสเซน ชาวเลบานอน พร้อมของกลางปุ๋ยยูเรียหนัก 4 ตัน และสารแอมโมเนียมไนเตรท เมื่อกลางเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่มีการให้ข่าวจากรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ระดับสูงฝ่ายความมั่นคงว่าน่าจะ เกี่ยวโยงกับ "กลุ่มฮิซบอลเลาะห์" ซึ่งหลายประเทศตีตราว่าเป็นกลุ่มก่อการร้าย ทว่าในการดำเนินคดี ก็ไม่ปรากฏว่าพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาก่อการร้ายแต่อย่างใด
          คงแจ้งเพียงข้อหากระทำผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 เท่านั้น
          "เรื่องของกฎหมายต้องทำความเข้าใจก่อนว่า เรื่องก่อการร้ายในความรู้สึกของประชาชนกับข้อกฎหมายค่อนข้างต่างกัน กรณีผู้ต้องหาชาวอิหร่านที่ปาระเบิดกลางกรุงเทพฯ ในความรู้สึกของสังคมอาจจะเป็นการก่อการร้ายแล้ว แต่ในทางกฎหมายมีองค์ประกอบมากมาย ซึ่งเรื่องนี้อาจเป็นปัญหาในอนาคต เพราะส่วนตัวก็เห็นว่าพฤติกรรมของผู้ต้องหายังไม่เข้าองค์ประกอบความผิดฐาน ก่อการร้าย เพราะไม่ได้มีลักษณะของการบังคับขู่เข็ญให้รัฐบาลไทยหรือรัฐบาลของประเทศใด กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง" พนักงานสอบสวนกองปราบปราม กล่าว
          พลิกดูประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1-4 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมเมื่อปี พ.ศ.2546 จะพบนิยามและองค์ประกอบของความผิดฐานก่อการร้ายตามกฎหมายไทยดังนี้
          มาตรา 135/1 ผู้ใดกระทำการอันเป็นความผิดอาญา ดังต่อไปนี้
          (1) ใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการใดอันก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต หรืออันตรายอย่างร้ายแรงต่อร่างกาย หรือเสรีภาพของบุคคลใดๆ
          (2) กระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ ระบบการขนส่งสาธารณะ ระบบโทรคมนาคม หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ
          (3) การกระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของรัฐหนึ่งรัฐใด หรือของบุคคลใดหรือต่อสิ่งแวดล้อม อันก่อให้เกิดหรือน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างสำคัญ
          ถ้าการกระทำนั้นได้กระทำโดยมีความมุ่งหมายเพื่อขู่เข็ญหรือบังคับรัฐบาลไทย รัฐบาลต่างประเทศ หรือองค์การระหว่างประเทศให้กระทำหรือไม่กระทำการใดอันจะก่อให้เกิดความเสีย หายอย่างร้ายแรง หรือเพื่อสร้างความปั่นป่วนเพื่อให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน ผู้นั้นกระทำความผิดฐานก่อการร้าย ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สามปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงหนึ่งล้านบาท
          การกระทำในการเดินขบวน ชุมนุม ประท้วง โต้แย้ง หรือเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้รัฐช่วยเหลือ หรือให้ได้รับความเป็นธรรมอันเป็นการใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ไม่เป็นการกระทำความผิดฐานก่อการร้าย
          มาตรา 135/2 ผู้ใด
          (1) ขู่เข็ญว่าจะกระทำการก่อการร้าย โดยมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่าบุคคลนั้นจะกระทำการตามที่ขู่เข็ญจริง หรือ
          (2) สะสมกำลังพลหรืออาวุธ จัดการหรือรวบรวมทรัพย์สิน ให้หรือรับการฝึกการก่อการร้าย ตระเตรียมการอื่นใด หรือสมคบกันเพื่อก่อการร้าย หรือกระทำความผิดใดๆ อันเป็นส่วนของแผนการเพื่อก่อการร้าย หรือยุยงประชาชนให้เข้ามีส่วนในการก่อการร้าย หรือรู้ว่ามีผู้ก่อการร้ายและกระทำการใดอันเป็นการช่วยเหลือปกปิดไว้
          ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท
          มาตรา 135/3 ผู้ใดเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดตาม มาตรา 135/1 หรือ มาตรา 135/2 ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับตัวการในความผิดนั้นๆ
          มาตรา 135/4 ผู้ใดเป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งมีมติหรือประกาศภายใต้คณะมนตรีความมั่นคง แห่งสหประชาชาติกำหนดให้เป็นคณะบุคคลที่มีการกระทำอันเป็นการก่อการร้ายและ รัฐบาลไทยได้ประกาศให้ความรับรองมติหรือประกาศดังกล่าวด้วยแล้ว ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปีและปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท


-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ :
1 บ้านเช่าของผู้ต้องหาชาวต่างชาติที่ถือพาสปอร์ตอิหร่าน เลขที่ 66 ซอยปรีดี พนมยงค์ 71 เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร ซึ่งเกิดระเบิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 ก.พ.2555
2 ระเบิดที่ประกอบใส่ในวิทยุทรานซิสเตอร์ขนาดเล็ก มีส่วนประกอบของแม่เหล็กคล้าย Sticky bomb
ขอบคุณ : ภาพประกอบจากศูนย์ภาพเนชั่น
หมายเหตุ : บางส่วนของรายงานชิ้นนี้ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ หน้า 2 ฉบับวันอาทิตย์ที่ 19 ก.พ.2555 ด้วย\


สำนักข่าวอิศรา

ฝ่าย'ทักษิณ'ตระเตรียมเพื่อการทำ'สงคราม

       (เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)
      
       Thailand's Thaksin prepares for war
       By John Cole and Steve Sciacchitano
  
      
        ในขณะที่นายกรัฐมนตรีไทย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พยายามที่จะแสวงหาอำนาจควบคุมเหนือการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับอาวุโส ตลอดจนพยายามลบล้างลดทอนความสามารถของกองทัพที่จะกระทำการรัฐประหารยึดอำนาจ อีกครั้งภายหลังที่ได้โค่นล้มพี่ชายของเธอลงไปในปี 2006 อยู่นั้น พวกที่จงรักภักดีต่ออดีตนายกรัฐมนตรีผู้หลบหนีโทษจำคุกอยู่ในต่างแดนผู้นั้น ยังกำลังวางแผนการที่จะรื้อฟื้นกองบัญชาการลับของ “พวกเสื้อแดง” ในปี 2010 ขึ้นมาใหม่ แผนการจัดตั้ง “วอร์รูม” อีกคำรบหนึ่งดังกล่าว เป็นสัญญาบ่งบอกให้ทราบว่า ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้น มองอย่างจริงจังขนาดไหน ในเรื่องความเป็นไปได้ที่จะเกิดสถานการณ์ความขัดแย้งแบบเปิดเผยขึ้นใหม่อีก ยกหนึ่ง
      
  
      
       มีรายงานระบุว่า พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต ผู้ได้รับแต่งตั้งให้เข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไทยคน ใหม่ อาจจะกำลังวางแผนการอย่างเงียบๆ เพื่อเปิดใช้งาน “วอร์รูม” ซึ่งหมายถึง ศูนย์บัญชาการลับๆ อย่างไม่เป็นทางการ แห่งใหม่แห่งหนึ่งขึ้นมา วอร์รูมนี้จะทำหน้าที่สั่งการกำหนดทิศทางให้แก่การชุมนุมเดินขบวนของมวลชนคน เสื้อแดงนิยมรัฐบาลชุดปัจจุบัน ซึ่งได้รับการวางแผนเอาไว้ว่าจะมีขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนต่อจากนี้ ทั้งนี้เป็นการเปิดเผยของแหล่งข่าวหลายๆ รายซึ่งเป็นทหารไทยระดับอาวุโสที่คุ้นเคยกับสถานการณ์
      
       วอร์รูมดังกล่าวนี้ ซึ่งก่อตั้งขึ้นตามคำชี้แนะคำบัญชาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีผู้กำลังหลบหนีโทษจับคุกอยู่ในต่างประเทศ จะเริ่มการปฏิบัติการได้ภายในเดือนมิถุนายนนี้ แหล่งข่าวหลายรายเจ้าเดิมๆ ระบุ นอกจากนั้น แหล่งข่าวทหารอาวุโสเหล่านี้กล่าวด้วยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ปัจจุบันเนรเทศตนเองไปพำนักอาศัยอยู่ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์นั้น ได้ออกคำสั่งให้ปกปิดอย่าให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันผู้เป็นน้องสาวของเขา ทราบเรื่องเกี่ยวกับการก่อตั้งวอร์รูมนี้ เพื่อที่ว่าถ้าหากถูกสื่อมวลชนซักถาม เธอจะได้ให้คำตอบด้วยความซื่อสัตย์ และปฏิเสธเด็ดขาดว่าไม่มีเรื่องนี้
      
       การชุมนุมเดินขบวนของพวกเสื้อแดงตามที่กำหนดออกมานี้ ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่ามันจะเป็นแผนการในลักษณะลงมือจู่โจมก่อนเพื่อเข้าควบ คุมท้องถนนของกรุงเทพฯเอาไว้ ตั้งแต่ก่อนที่อาจจะเกิดวิกฤตครั้งใหม่ขึ้นมา หรือว่าจะเป็นกลอุบายในลักษณะของยุทธศาสตร์ตั้งรับเพื่อตอบโต้ความเคลื่อน ไหวใดๆ ของฝ่ายทหารหรือของกลุ่มประท้วงต่อต้านรัฐบาลกลุ่มต่างๆ แต่การก่อตั้งวอร์รูมแห่งใหม่ขึ้นมาเช่นนี้ ย่อมเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า ฝ่ายทักษิณมองสถานการณ์อย่างจริงจังเคร่งเครียดถึงขนาดไหน ในเรื่องความเป็นไปได้ที่จะเกิดการขัดแย้งกันอย่างเปิดเผยยกใหม่ขึ้นมา
      
       แท้ที่จริงแล้ว ในเวลานี้ก็มีประเด็นอยู่ 2 ประเด็นแล้ว ที่สามารถเป็นตัวเติมเชื้อโหมไฟให้เกิดความไร้เสถียรภาพระลอกใหม่ ประเด็นแรกคือการที่พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นแกนนำของคณะรัฐบาลชุดปัจจุบัน ได้เริ่มต้นเดินเครื่องกระบวนการที่จะทำให้รัฐสภาอนุมัติรับรองการแก้ไขรัฐ ธรรมนูญ อันเป็นความเคลื่อนไหวซึ่งพวกวิพากษ์วิจารณ์ทักษิณมองเห็นกันอย่างกว้างขวาง ว่า จุดมุ่งหมายสำคัญที่สุดอยู่ตรงที่ต้องการทำให้คำพิพากษาของศาลที่ตัดสินว่า พ.ต.ท.ทักษิณ กระทำความผิดจริงในข้อหาอันเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชั่น และให้ลงโทษเขาด้วยการจำคุก 2 ปีนั้น กลายเป็นโมฆะ เพื่อที่เขาจะสามารถกลับคืนมาประเทศไทยได้ในฐานะเสรีชน
      
       ส่วนอีกประเด็นหนึ่ง คือแผนการริเริ่มที่จะทำให้ฝ่ายพลเรือนมีอำนาจมากขึ้นในการควบคุมสั่งการ เรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับอาวุโส เรื่องนี้มีความเป็นไปได้ที่จะจุดชนวนให้ฝ่ายทหารเปิดการตอบโต้โดยตรง มากกว่าเรื่องแรกเสียด้วยซ้ำ ในปัจจุบัน กฎหมายของไทยในทางปฏิบัติแล้ว ให้อำนาจการตัดสินใจในเรื่องดังกล่าวเหล่านี้แก่ผู้บัญชาการของ 3 เหล่าทัพ นั่นคือ ผู้บัญชาการทหารบก, ผู้บัญชาการทหารเรือ, และผู้บัญชาการทหารอากาศ อย่างไรก็ตาม รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ กำลังพยายามผลักดันเพื่อให้มีการแก้ไขกฎหมาย ซึ่งจะให้อำนาจเพิ่มมากขึ้นแก่รัฐมนตรีกลาโหม ที่ทางรัฐบาลเป็นผู้แต่งตั้ง ในการตัดสินใจเรื่องดังกล่าว
      
       ถ้าหากมีการแก้ไขกฎหมายได้สำเร็จ ฝ่ายทักษิณก็จะอยู่ในฐานะที่เข้มแข็งขึ้นมากในการเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งพวก ที่จงรักภักดีต่อเขาให้ขึ้นสู่ตำแหน่งบังคับบัญชาทหารที่ทรงความสำคัญ และโยกย้ายผู้ที่กล่าวโทษว่าร้ายเขาออกไป โดยที่นายทหารสำคัญที่สุดซึ่งถูกระบุว่าอยู่ในข่ายนี้ ได้แก่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกคนปัจจุบัน ซึ่งเป็นที่ทราบกันอยู่ทั่วไปว่าเป็นผู้ที่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหา กษัตริย์ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อที่จะลบล้างลดทอนความสามารถของ กองทัพในการกระทำการรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งชุด ปัจจุบัน ซึ่งมีน้องสาวของเขาเองเป็นนายกรัฐมนตรี
      
       สถานการณ์ในปัจจุบันมีความหนักหน่วงร้ายแรงขนาดไหน อาจจะเปรียบเทียบได้จากสิ่งที่เกิดขึ้นในปี 2006 ซึ่งการต่อสู้ช่วงชิงกันในเรื่องการแต่งตั้งโยกย้านนายทหารชั้นผู้ใหญ่ทำนอง เดียวกันนี้ กลายเป็นสาเหตุใกล้เคียง (proximate cause) ของการก่อรัฐประหารของฝ่ายทหารซึ่งโค่นล้มคณะรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งนี้ก่อนหน้าที่จะมีการประกาศแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารชั้นผู้ใหญ่ประจำปี ในเดือนตุลาคม 2005 พ.ต.ท.ทักษิณได้พยายามที่จะให้ผู้ที่จงรักภักดีต่อเขา ได้อยู่ในตำแหน่งสำคัญๆ ซึ่งจะทำให้ในปีถัดไป นายทหารเหล่านี้ก็จะอยู่ในลำดับที่สมควรจะได้รับการพิจารณาแต่งตั้งให้ครอง ตำแหน่งระดับสูงสุด เป็นต้นว่า ผู้บัญชาการทหารของ 3 เหล่าทัพ
      
       มีรายงานว่า เมื่อ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ซึ่งเป็นทั้งอดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตผู้บัญชาการทหารบก ได้ทราบเรื่องการเข้าไปแทรกแซงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ได้มีการโต้แย้งบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายดังกล่าว และไม่มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งจนกระทั่งได้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขแล้ว การต่อสู้ช่วงชิงอำนาจเบื้องหลังฉากในที่สุดแล้วก็ได้ต่อเนื่องติดตามมาด้วย การก่อรัฐประหารยึดอำนาจในปี 2006 ทั้งนี้ในระหว่างการต่อสู้กันในตอนต้นๆ นี้เอง ที่ทำให้พวกนายทหารระดับท็อปเริ่มตระหนักรับรู้ความเป็นจริงที่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณนั้นมีจุดอ่อน และสามารถที่จะโค่นล้มให้ตกลงจากอำนาจได้
      
       **ศูนย์บัญชาการลับ**
      
       ในช่วงเวลาแห่งฤดูใบไม้ผลิของปี 2006 ก่อนหน้าที่จะเกิดการรัฐประหารยึดอำนาจในเดือนกันยายนของปีนั้น มีรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้ออกคำสั่งให้ก่อตั้งศูนย์ปฏิบัติการลับแห่งหนึ่งขึ้นมา อันเป็นความเคลื่อนไหวที่ในหมู่นายทหารใหญ่ของกองทัพยังไม่เป็นที่รับรู้กัน อย่างกว้างขวางอะไรในตอนนั้น (อย่างไรก็ตาม วอร์รูมที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้ก่อตั้งขึ้นเพื่อกำกับสั่งการการประท้วงของพวกเสื้อแดงในปี 2010 ซึ่งได้บานปลายกลายเป็นความรุนแรงนั้น เป็นที่ทราบกันของพวกนายทหารอาวุโสอย่างกว้างขวางมากกว่า)
      
       ตอนต้นปี 2006 เกิดข่าวลือแพร่สะพัดว่าฝ่ายทหารกำลังจะทำรัฐประหารยึดอำนาจในเร็ววัน มีรายงานว่า นายทหารระดับนายพล ที่เป็นเพื่อนนักเรียนซึ่งเรียนจบจากโรงเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 10 (ตท.10) อันเป็นรุ่นเดียวกันกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เสนออย่างลับๆ ให้ดำเนินการตอบโต้ด้วยการก่อตั้งศูนย์ปฏิบัติการแบบนอกตำรา เพื่อติดตามตรวจสอบหน่วยกำลังของกลุ่มที่มีข่าวจะก่อรัฐประหาร ตลอดจนบรรดาผู้เข้าร่วมคนสำคัญๆ ในที่สุดแล้วดูเหมือนว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะตัดสินใจว่า ศูนย์ปิดลับดังกล่าวควรที่จะจัดตั้งขึ้นในกองบัญชาการกองพลทหารปืนใหญ่ ต่อสู้อากาศยาน ของกองทัพบก ซึ่งตั้งอยู่ในเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ตามคำบอกเล่าของแหล่งข่าวทางทหารหลายราย
      
       ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทำรัฐประหารที่นำโดย ตท.10 ดังกล่าวนี้ ได้รับมอบหมายภารกิจให้ติดตามตรวจสอบความเคลื่อนไหวและสถานที่ตั้งต่างๆ ของบรรดากองกำลังที่อาจจะก่อการรัฐประหารได้ทั้งหมด โดยที่ในเวลานั้นคิดกันว่าน่าจะมีศูนย์กลางอยู่ที่ หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ของกองทัพบก ในจังหวัดลพบุรี ที่อยู่ห่างจากกรุงเทพฯไปทางเหนือประมาณ 160 กิโลเมตร
      
       ถึงแม้การปฏิบัติหน้าที่ของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทำรัฐประหารนี้ ไม่เคยเปิดเผยต่อสื่อมวลชนเลย แต่มีรายงานว่าศูนย์แห่งนี้ประสบความสำคัญเป็นอย่างมากในการติดตามตรวจสอบ พวกวางแผนก่อรัฐประหาร และก็มีส่วนรับผิดชอบอย่างมากที่ทำให้ พล.อ.สนธิ บุญรัตกลิน ซึ่งกลายเป็นผู้นำการก่อรัฐประหารในที่สุดและเวลานั้นดำรงตำแหน่งผู้ บัญชาการทหารบก ต้องสั่งยกเลิกแผนการต่างๆ ที่วางไว้สำหรับการทำรัฐประหารครั้งดั้งเดิม ซึ่งกำหนดเอาไว้ว่าจะลงมือในช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่จะมีการเปิดคูหา หน่วยลงคะแนน เพื่อทำการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วประเทศ ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2006 (หมายเหตุผู้แปล - แปลตามต้นฉบับ ในความเป็นจริงแล้ว การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคราวนั้น จัดขึ้นในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 หรือ ค.ศ.2006)
      
       รายงานระบุว่า ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยแถลงต่อสาธารณชนว่าเขาได้ค้นพบแผนทำรัฐประหารยึดอำนาจ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ทำให้ พล.อ.สนธิ ทราบว่าเขารู้พฤติการณ์ต่างๆ ของพวกก่อการแล้ว และจะจับกุมสมาชิกของกลุ่มรัฐประหารถ้าหากกลุ่มนี้ยังไม่ยอมยุติและเดินหน้า ต่อไป อย่างไรก็ดี ภายหลังที่การเลือกตั้งเดือนพฤษภาคม 2006 นี้ ได้ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้เป็นโมฆะ พล.อ.สนธิก็ได้หวนกลับมาวางแผนทำรัฐประหารอีกครั้งอย่างเงียบๆ โดยที่คราวนี้ได้รวบรวมกำลังทหารเข้ามาร่วมมือด้วยมากขึ้นกว่าครั้งก่อน เพื่อเป็นการเพิ่มเติมจากหน่วยทหารสงครามพิเศษ ซึ่งเขาได้ไปชักชวนเอาไว้ในตอนแรก
      
       การรัฐประหารยึดอำนาจที่วางแผนกันเป็นครั้งที่ 2 นี้ ได้เปิดฉากปฏิบัติการเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2006 และก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยเหตุผลข้อหลักเป็นเพราะ 1 ในหมู่พันธมิตรกลุ่ม ตท.10 ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เอง นั่นคือ พล.ท.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ซึ่งในเวลานั้นเป็นนายทหารผู้บังคับบัญชาที่รับผิดชอบกองทัพภาคที่ 1 อันมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบความมั่นคงปลอดภัยของกรุงเทพมหานคร ปรากฏว่า พล.ท.อนุพงษ์ (ยศขณะนั้น) ได้ตีจากเพื่อนร่วมรุ่นของเขา และหันมาเป็น 1 ในคณะผู้นำกลุ่มก่อการรัฐประหาร ในเวลาต่อมาพวกผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ได้พยายามกล่าวหา พล.อ.เปรม ว่า เป็นผู้บงการประสานงานการทำรัฐประหารยึดอำนาจคราวนั้นอยู่หลังฉาก ทว่ารัฐบุรุษผู้อาวุโสผู้นี้ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง



           ในระหว่างการชุมนุมประท้วงของพวกเสื้อแดงในปี 2010 พวกผู้ชุมนุมเดินขบวนเหล่านี้ส่วนใหญ่เดินทางมาจากพื้นที่ภาคเหนือและภาค ตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ อันเป็นที่มั่นทางภูมิศาสตร์ที่แข็งแกร่งของฝ่ายนิยมทักษิณ พวกเขาได้ใช้เวลาอยู่หลายวันทีเดียวในพื้นที่แห่งหนึ่งทางแถบตอนกลางๆ ของกรุงเทพฯ พื้นที่ดังกล่าวนี้ ตั้งอยู่ทางด้านเหนือของเมืองหลวง และอยู่ทางฟากตะวันตกของถนนวิภาวดีรังสิต ตลอดจนทางรถไฟสายหลักที่แล่นไปสู่ภาคเหนือ ในเวลาต่อมาที่ตรงนี้ก็ได้กลายเป็นศูนย์ส่งกำลังบำรุงแห่งหลักสำหรับขบวนการ คนเสื้อแดง
      
       ศูนย์ส่งกำลังบำรุงแห่งนี้ ยังอยู่ติดๆ กับวัดดอนเมือง วัดทางพุทธศาสนาขนาดใหญ่ ซึ่งตลอดหลายๆ ปีที่ผ่านมาได้ทำหน้าที่เป็นผู้ตอบสนองความต้องการต่างๆ ในทางจิตใจ ให้แก่ผู้คนที่อพยพมาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พวกเขาเหล่านี้จำนวนมากมายอพยพโยกย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงในช่วงที่ เศรษฐกิจเฟื่องฟูเมื่อตอนทศวรรษ 1980 และทศวรรษ 1990 ด้วยเหตุนี้เอง จึงเป็นเรื่องสมเหตุสมผลในทางการส่งกำลังบำรุง ถ้าหากวอร์รูมดังที่กล่าวมาข้างต้น ก็ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกันนี้ ในเมื่อมันเป็นพื้นที่ซึ่งพวกคนเสื้อแดงที่มาชุมนุมประท้วง จะมีฐานสนับสนุนที่เป็นมิตรและคุ้นเคย ชาวบ้านแถบนั้นจำนวนมากต่างก็เป็นพวกที่เห็นอกเห็นใจพวกเขา ตลอดจนการติดต่อเชื่อมโยงด้านการคมนาคมขนส่งกับจังหวัดบ้านเกิดของบรรดาผู้ ประท้วงก็พรักพร้อมมาก ทั้งนี้รวมถึงท่าอากาศยานดอนเมือง ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนี้ด้วย
      
       ถึงแม้ไม่เคยมีการเปิดเผยกันเลยว่า สถานที่ตั้งวอร์รูมฝ่ายเสื้อแดงในปี 2010 นั้นอยู่ตรงจุดไหนแน่ๆ แต่พวกเจ้าหน้าที่ซึ่งคุ้นเคยกับสถานการณ์บอกว่า โรงแรมแห่งหนึ่งในพื้นที่เขตดอนเมือง ซึ่งเป็นโรงแรมที่ประสบความยากลำบากทางการเงิน ภายหลังที่มีการเปิดใช้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นท่าอากาศยานนานาชาติแห่งใหม่ของประเทศแทนที่ดอนเมืองแล้ว คือจุดหนึ่งที่ถูกใช้เป็นฐานในคราวนั้น
      
       เนื่องจากมีความเหมาะสมในด้านการรักษาความปลอดภัย แล้วสภาพของโรงแรมซึ่งแทบจะว่างเปล่าทั้งหมดยังสามารถใช้การได้ดีสำหรับการ ปฏิบัติการดังกล่าว โดยที่มีทั้งห้องพักว่างๆ ให้พวกเจ้าหน้าที่ได้ใช้นอนหลับพักผ่อน, มีอาหารร้อนๆ บริการ, ตลอดจนการสื่อสารคมนาคมก็สะดวกง่ายดาย ถึงแม้ในทางปฏิบัติแล้ว คำสั่งคำชี้แนะของทางวอร์รูม ไปถึงบรรดามือปฏิบัติการของกลุ่มคนเสื้อแดง โดยวิธีจัดให้คนไปส่งตรงถึงมือ ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายรัฐบาลที่มีสมรรถนะในการดักฟังอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์ สามารถตรวจจับได้ ทั้งนี้ตามคำบอกเล่าของพวกแหล่งข่าวที่เป็นทหารซึ่งคุ้นเคยกับสถานการณ์
      
       **โครงสร้างพื้นฐานที่พรักพร้อมอยู่แล้ว**
      
       เมื่อพิจารณาจากเรื่องโครงสร้างพื้นฐานของพวกเสื้อแดงที่มีพรักพร้อม อยู่แล้วเช่นนี้ พวกเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารจึงเชื่อว่า วอร์รูมแห่งใหม่ตามการบงการของทักษิณและมีกระทรวงกลาโหมเป็นผู้นำนั้น น่าจะเป็นสถานที่ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณใกล้ๆ วัดดอนเมืองเหมือนเดิม พวกเขาชี้ว่า ยิ่งเมื่อคำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่าอาคารสิ่งปลูกสร้างแห่งใหม่ๆ ของกระทรวงกลาโหม ก็ตั้งอยู่ทางด้านเหนือของกรุงเทพฯด้วยแล้ว ทำให้ความเป็นไปได้ในเรื่องนี้ยิ่งเพิ่มสูงขึ้นอีก
      
       ในปัจจุบันถึงแม้ห้องทำงานของตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยังคงตั้งอยู่ในเขตตัวเมืองเก่าของกรุงเทพฯ ใกล้ๆ กับพระบรมมหาราชวังและสนามหลวง แต่ตลอดระยะเวลา 14 ปีที่ผ่านมา (เริ่มตั้งแต่ปี 1997) หน่วยงานต่างๆ ที่อยู่ใต้การบังคับบัญชาของกระทรวง ส่วนใหญ่แล้วได้โยกย้ายไปตั้งอยู่ที่เมืองทองธานี ในอาคารสำนักงานสูง 14 ชั้นขนาดใหญ่หลังหนึ่ง
      
       อาคารแห่งนี้ ซึ่งอยู่ห่างจากท่าอากาศยานดอนเมืองไปทางเหนือประมาณ 15 กิโลเมตร และประชิดกับทางหลวงแผ่นดินสายที่มุ่งไปสู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แรกเริ่มเดิมทีเป็นส่วนหนึ่งในโครงการพัฒนาที่ดินซึ่งประสบภาวะล้มละลายใน ช่วงวิกฤตการเงินเอเชียปี 1997-98 แล้วต่อมากระทรวงกลาโหมก็ได้ไปซื้ออาคารหลังนี้ไว้
      
       ในปี 2009 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในเวลานั้น ได้ริเริ่มโครงการสร้างอาคารสูง 20 ชั้นขนาดใหญ่โต 2 หลังขึ้นมา เพื่อใช้เป็นที่พำนักอาศัยของบรรดานายทหารและนายทหารชั้นประทวนที่ได้รับคำ สั่งให้มาปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่นั่น ตลอดจนครอบครัวของพวกเขา ขณะที่ทั้งสถานที่ตั้งของกระทรวงทั้งที่ใกล้ๆ สนามหลวง และที่อยู่ในเมืองทองธานีเวลานี้ ต่างยังคงมีฐานะเป็นพื้นที่สำนักงานกันทั้ง 2 แห่ง แต่ตามแผนการที่กำหนดขึ้นในปี 2009 ดังกล่าวระบุว่า ที่พักอาศัยที่ได้รับความอนุเคราะห์จากรัฐบาลสำหรับข้าราชการของกระทรวงนั้น ส่วนใหญ่ที่สุดจะต้องไปรวมกันอยู่ในพื้นที่เมืองทองธานี
      
       ด้วยเหตุนี้เอง จึงพอที่จะนึกภาพได้ว่า อาคารใหม่หลังหนึ่งใน 2 หลังเหล่านี้ ก็น่าจะยังมีพื้นที่เหลือใช้เพียงพอแก่การนำเอามาทำเป็นสถานที่ปฏิบัติการ ลับอีกแห่งหนึ่งสำหรับวอร์รูมใหม่ของฝ่ายทักษิณ มีรายงานว่าศูนย์บังคับบัญชาลับแห่งนี้ จะมีเจ้าหน้าที่ทำงานผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเป็น 4 ทีม แต่ละทีมมีกำลัง 30 คน และประกอบด้วยผู้นำทีมที่อยู่ในระดับอาวุโสคนหนึ่ง, รองหัวหน้าทีม, และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการระดับอาวุโส, ทั้งนี้ตามปากคำของพวกนายทหารที่คุ้นเคยกับคำสั่งในเรื่องนี้ การที่มีทีมงานผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน 4 ทีมเช่นนี้ ก็เพื่อให้วอร์รูมสามารถปฏิบัติงานได้วันละ 24 ชั่วโมง และสัปดาห์ละ 7 วัน นั่นเป็นคำบอกเล่าของพวกแหล่งข่าวทางทหารที่คุ้นเคยกับแผนการนี้เช่นกัน
      
       บรรดาแหล่งข่าวทหารอาวุโสเดียวกันนี้กล่าวว่า ได้มีการทาบทามดึงตัวผู้ที่สามารถจะเป็นหัวหน้าทีมระดับอาวุโสได้ให้เข้ามา ร่วมอยู่วอร์รูมนี้แล้วรวม 3 คน ทุกคนต่างเป็นเพื่อนร่วมรุ่น ตท.10 ของ พ.ต.ท.ทักษิณ และต่างก็เคยปฏิบัติหน้าที่ในกองบัญชาการลับของพวกเสื้อแดงในปี 2010 มาแล้ว
      
       นอกจากนั้น ยังจะมีทีมสนับสนุนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) ซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีจำนวนสิบกว่าคน ทีมสนับสนุนนี้จะเป็นส่วนประกอบที่สำคัญยิ่งยวด เมื่อพิจารณาจากเครื่องมืออุปกรณ์สื่อสารไฮเทคล่าสุดต่างๆ ที่กำหนดไว้ว่าจะนำมาใช้งาน ตรงกันข้ามกับการประท้วงปี 2010 แผนการต่างๆ ในปัจจุบันจะจัดให้พวกผู้นำขบวนแถวคนเสื้อแดงในแนวหน้า มีอุปกรณ์สื่อสารแบบมือถือและเข้ารหัสใช้งานกัน ซึ่งจะทำให้สามารถดำเนินการควบคุมแบบรวมศูนย์, ต่อเนื่อง, และทันทีทันใด ได้ดียิ่งกว่าเมื่อปี 2010
      
       ขณะเดียวกัน นี่ก็อาจจะเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าวอร์รูมยุคปัจจุบันกำลังวางแผนจะควบคุมสั่ง การการประท้วงที่มีขนาดใหญ่โตยิ่งกว่าการชุมนุมเดินขบวนของพวกเสื้อแดงในปี 2010 เสียอีก โดยที่การประท้วงในปีนั้นมักจะมีจำนวนผู้เข้าร่วมขึ้นๆ ลงๆ ไม่แน่นอน และได้ถูกวาดภาพเอาไว้อย่างกว้างขวางว่าเป็นขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยที่ มีชีวิตชีวาน่าประทับใจ อย่างไรก็ตาม เมื่อมองกันในมุมกลับ เรื่องนี้อย่างน้อยที่สุดก็อาจทำให้วอร์รูมแห่งใหม่เกิดจุดอ่อนที่จะทำให้ ถูกเล่นงานโดยสมรรถนะในการดักจับสัญญาณและรบกวนสัญญาณการสื่อสารของทางกอง ทัพ
      
       **สันติภาพที่ง่อนแง่น**
      
       แต่ถึงจะมีความเคลื่อนไหวและวางแผนใช้กลยุทธ์ต่างๆ เหล่านี้ มันก็ยังไม่ใช่เรื่องแน่นอนแล้วที่ประเทศไทยจะประสบกับความเจ็บปวดชอกช้ำซ้ำ รอยความปั่นป่วนวุ่นวายและความรุนแรงที่ได้พบเห็นประจักษ์กันมาในปี 2010 ถ้าฝ่ายที่คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญประสบความล้มเหลวไม่สามารถรวบรวมผู้คน ให้เป็นขบวนการมวลชนออกมาทำการตอบโต้ได้สำเร็จ และถ้าหากฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณสามารถที่จะเดินหมากอย่างหลักแหลมแทนที่จะก่อให้เกิดการกระแทก กระทั้นในการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารชั้นผู้ใหญ่ จนกระทั่งทหารฝ่ายที่จงรักภักดีต่อเขามีกำลังเพียงพอที่จะทำให้การลงมือ กระทำการเล่นงานรัฐบาลน้องสาวของเขาเป็นไปด้วยความยากลำบากยิ่งขึ้นแล้ว เขาก็อาจจะสามารถบรรลุจุดมุ่งหมายต่างๆ ของเขาได้โดยใช้วิธีการสันติ
      
       สัญญาณบ่งชี้เกี่ยวกับเส้นทางความเป็นไปทางการเมืองในอนาคตประการ หนึ่งที่จะปรากฏออกมาให้เห็นในเร็วๆ นี้ ได้แก่การแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารชั้นผู้ใหญ่ช่วงกลางปี ซึ่งตามปกติจะประกาศกันในเดือนเมษายน ทั้งนี้การแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของไทยนั้นในแต่ละปีจะทำกัน 2 ครั้ง ครั้งหนึ่งในเดือนเมษายน และอีกครั้งหนึ่งในเดือนตุลาคม โดยที่การโยกย้ายเปลี่ยนแปลงบุคลากรสำคัญที่สุดจะเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม ดังนั้น ถ้าหาก พ.ต.ท.ทักษิณมีแผนการที่จะโยกย้าย พล.อ.ประยุทธ์ ดังที่มีบางคนเชื่อว่าการแต่งตั้ง พล.อ.อ.สุกำพลเป็นเจ้ากระทรวงกลาโหมคือสิ่งบอกเหตุในเรื่องนี้ ความเคลื่อนไหวอันท้าทายยิ่งดังกล่าวก็เป็นไปได้มากที่สุดที่จะกระทำกันใน เดือนตุลาคมไม่ใช่เดือนเมษายน
      
       กระนั้นก็ตามที บัญชีรายชื่อการแต่งตั้งโยกย้ายในเดือนเมษายนนี้ พวกผู้จงรักภักดีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณในกองทัพจะได้รับตำแหน่งอันพึงปรารถนามากน้อยแค่ไหน และพวกผู้นำกองทัพในปัจจุบันจะถูกโยกย้ายหรือไม่ ตลอดจนการต่อสู้ช่วงชิงเบื้องหลังฉากที่จะเกิดขึ้นในระหว่างการจัดทำบัญชี รายชื่อซึ่งคาดหมายกันว่าจะเต็มไปด้วยการขับเคี่ยวชิงชัยกันอย่างเผ็ดร้อน เหล่านี้ก็อาจจะเป็นสัญญาณบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า การประจันหน้ากันทางการเมืองกำลังจะบังเกิดขึ้นหรือไม่
      
       อย่างไรก็ตาม จากการวางแผนจัดตั้งวอร์เรมแห่งใหม่ขึ้นมา ย่อมเป็นสิ่งชี้แนะให้เห็นไปว่า ตัว พ.ต.ท.ทักษิณเองคาดการณ์ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเกิดความไร้เสถียรภาพครั้ง ใหม่ และในเวลานี้กำลังฝ่ายจงรักภักดีต่อตัวเขากำลังชิงลงมือปฏิบัติการก่อน แท้ที่จริงแล้ว เดิมพันที่กำลังต่อสู้ช่วงชิงกันอยู่ ก็มีความสำคัญอย่างลึกซึ้งยิ่ง ต่างฝ่ายต่างก็เห็นว่าจำเป็นที่จะต้องมีอำนาจควบคุมเหนือระบบการเมืองใน อนาคตอันใกล้นี้ รวมทั้งจะต้องมีอำนาจบังคับบัญชากองทัพด้วย และนั่นอาจจะทำให้การประนีประนอมระหว่างฝ่ายที่ฝักใฝ่ทักษิณ และฝ่ายที่ต่อต้านทักษิณ กลายเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เสียแล้ว
       จอห์น โคล และ สตีฟ สกิอักกีตาโน พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลาหลายปี ขณะที่ประจำการอยู่ในกองทัพบกสหรัฐฯ ทั้งคู่ได้รับการฝึกอบรมให้เป็นนายทหารประจำพื้นที่ต่างประเทศ (Foreign Area Officers) ผู้มีความชำนาญเป็นพิเศษในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และต่างก็สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเสนาธิการทหารบกของไทย ปัจจุบันทั้งสองคนเกษียณจากกองทัพแล้ว และทัศนะความคิดเห็นที่แสดงไว้ในที่นี้เป็นของพวกเขาเอง มิใช่ของหน่วยงานที่พวกเขาเคยทำงานอยู่


 ASTV

ลัทธิเพื่อไทย กางสูตรรัฐบาล + พล.อ.เปรม = การเมืองนิ่ง....


นิวัฒน์ธำรง-ลงธรรมาสน์ ธุดงค์ในทำเนียบ เผยแพร่ลัทธิเพื่อไทย กางสูตรรัฐบาล + พล.อ.เปรม = การเมืองนิ่ง....

;

เขาลงจากตึกชินวัตร หันหลังให้ธุรกิจมือถือ ครั้งแรกไปประจำการที่สถานีโทรทัศน์ไอทีวีเมื่อ 10 ปีก่อน

เมื่อไอทีวีโดนมรสุมการเมืองพัดถล่มจนล้มเลิก เขากลับขึ้นตึกชินวัตรอีกครั้ง

เมื่ออำนาจวาสนาของ "ทักษิณ

ชินวัตร" อัสดงอยู่ในพงหนามรัฐประหาร 2549 เขาหันหลังให้ "ชินคอร์ป" อีกหน ไปค้นหาทางธรรมที่วัดป่าพุทธพจน์หริภุญไชย จ.ลำพูน

ระหว่างบวชได้สนทนาธรรมกับพี่-น้องในตระกูล "ชินวัตร" สม่ำเสมอ

เมื่อ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ลงสมัครเลือกตั้ง จีวรเคยเย็นร่ม ก็รุ่มร้อน

"นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล" กลับจากวัดป่ามาสู่เมือง ขึ้น-ลงตึกไทยคู่ฟ้าในฐานะมือขวา ที่ปรึกษาส่วนตัวนายกรัฐมนตรีอยู่หลายเดือน

เมื่อเขาลงจากธรรมาสน์ ขึ้นบัลลังก์รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กับประสบการณ์ 17 ปีที่ทำงานให้ครอบครัว "ชินวัตร"

จากบรรทัดนี้ไปจนถึงบรรทัดสุดท้าย คือประวัติศาสตร์ใหม่ของ "นิวัฒน์ธำรง"

- อยากให้ประชาชนรู้จัก "นิวัฒน์ธำรง" แบบไหน เป็นวอลเปเปอร์ นักจัดฉาก หรือคนของทักษิณ พี่เลี้ยงนายกฯ

เป็นนักทำงาน "เป็นลูกน้องนายกฯ งานของผมมี 3 ข้อคือ เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ทำงานประชาสัมพันธ์ เรื่องสำนักพุทธ และเรื่องดูเรื่องสื่อ ก็เรียกว่านักทำงานมืออาชีพ ผมมีความรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ ว่าเรามาทำงาน เหมือนที่เคยทำสมัยทำงานตั้งแต่หนุ่มจนแก่

- การจัดอีเวนต์ให้กับนายกฯในการปรากฏตัวต่อหน้าสื่อ หรือพบกับบุคคลสำคัญ ถือเป็นภารกิจสำคัญ
มันอาจเป็นเพราะงานพาไป งานเรื่องน้ำก็ไปเจอคนเยอะ โครงการรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นจำนำข้าว, เอสเอ็มแอล หรือว่าแท็บเลตพีซี เราก็เป็นผู้ประสานงานให้ คอยสนับสนุนเขา เขามีปัญหาให้ช่วยแก้ไขก็เข้าไปช่วย

- นอกจากอีเวนต์นายกรัฐมนตรีพบประธานองคมนตรี หรือนายกรัฐมนตรีพบผู้นำเหล่าทัพ พบนักธุรกิจ จะมีอีเวนต์อะไรอีก
อย่ามาให้เครดิตผมมากนัก การพบผู้นำเหล่าทัพเขาก็พบกันมานานแล้ว แสดงว่าผมบุญหล่นทับ ผมไม่ได้เป็นคนเขี่ยบอล แต่นายกรัฐมนตรีท่านเก่ง การที่ประสานกับผู้หลักผู้ใหญ่ ท่านเข้ากับคนง่าย เป็นผู้หญิงอ่อนหวาน นุ่มนวล ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกับใคร ทุกคนก็เอ็นดู

- เบื้องหลังงานนายกฯพบกับประธานองคมนตรี ต้องการถ่ายทอดอะไรมากกว่าการให้ทีวีถ่ายทอดสด 2 ชั่วโมง
สิ่งที่เราอยากเห็นคือ ความเชื่อมั่นของทั้งคนไทยและต่างประเทศว่าเราผ่านวิกฤตอะไรมาเยอะ จะเป็นความแตกแยกหรืออะไรก็แล้วแต่ วันนี้เราพร้อมเพื่อเดินหน้าประเทศไทย ต้องคิดว่าวันนี้มาเลเซีย สิงคโปร์ วันนี้เขานำเรา เวียดนามเปิดประเทศมาวันนี้เขาก็เทียบเท่าเรา และพม่าจะเปิดประเทศอีก แล้วเราจะมานั่งอยู่อย่างนี้ได้อย่างไร

ดังนั้น ความเชื่อมั่นของคนไทยและต่างประเทศนั้นสำคัญ เราต้องแย่งนักลงทุน นักธุรกิจ นักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศ ถ้าเรายังไม่ไปด้วยกันทุกฝ่ายก็คงจะไม่ได้

- งานนายกรัฐมนตรีพบประธานองคมนตรี รัฐบาลกำลังบอกว่าการเมืองนิ่ง
การเมืองเป็นปัจจัยสำคัญของประเทศ ถ้าถามว่านิ่งแล้วหรือไม่ ผมว่ามันดีขึ้นกว่าเมื่อหลายปีที่ผ่านมา ผมว่ารัฐบาลของนายกฯยิ่งลักษณ์จะช่วยการเมืองนิ่งขึ้น และมีความสามัคคี

ปรองดองได้ง่ายกว่ารัฐบาลอื่น ๆ

- แสดงว่าฝ่ายคุณทักษิณ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ยอมรับแล้วว่าที่ผ่านมาฝ่ายตรงข้ามของรัฐบาลคือ พล.อ.เปรม
ไม่ใช่...ท่านเป็นผู้ที่หลายฝ่ายเคารพนับถือ และมีหลายคนที่จะช่วยประเทศไทยผนึกกำลังกันได้ ซึ่งท่านก็เป็นผู้หนึ่ง ไม่ใช่ว่าเป็นฝ่ายตรงข้าม ท่านเป็นผู้ที่คนยอมรับ รวมทั้งรัฐบาลก็ต้องยอมรับนับถือผู้หลักผู้ใหญ่

- จะเสียแนวร่วมหรือไม่ เพราะแนวร่วมรัฐบาลอย่างคนเสื้อแดงก็เผชิญหน้ากับ พล.อ.เปรม มาโดยตลอด
เรื่องมันมีหลายมิติ และรัฐบาลต้องมองประเทศชาติ ผมเชื่อว่าทุกสีทุกฝ่ายก็ต้องมองประเทศชาติ อะไรที่ทำแล้วประเทศชาติไปได้ดี ผมเชื่อว่าไม่มีปัญหา ทุกวันนี้ก็ไม่มีเสียงสะท้อนว่ารัฐบาลเขาจัดเอาใจใคร ก็ไม่เห็นมี ทุกคนทุกฝ่ายต้องการให้ประเทศดีขึ้น

- ประเมินว่ารัฐบาลจะได้แต้มต่ออะไรในงานรักเมืองไทยเดินหน้าประเทศไทย
ผมว่าเราไม่ได้มองว่ารัฐบาลจัดงานนี้ขึ้นมาเพื่อให้ได้คะแนนเสียงขึ้นมา มากกว่าพรรคฝ่ายค้านหรือคนอื่น แต่ผมมองว่านี่ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะต้องผนึกกำลัง เราต้องแข่งกับคนอื่น ไม่ใช่แข่งกันเอง เราจะเข้าสมาคมอาเซียน ประเทศอื่นเขาไปกันแล้ว แต่เรายังไม่ไปไหน เราจะสู้เขาไหวได้อย่างไร

- หมายความว่าสูตรรัฐบาลบวก พล.อ.เปรม เท่ากับการเมืองนิ่ง ประเทศไปข้างหน้า
มันอาจจะเป็นส่วนหนึ่ง แต่เราต้องทำหลายอย่าง เพื่อทำให้ประเทศเข้าสู่แนวทางที่จะช่วยกันพัฒนาประเทศให้ดี อย่าไปจับคู่ป๋าเปรมกับรัฐบาล ต้องมีขาอื่นที่เดินไปด้วย เราต้องทำหลาย ๆ อย่างไปพร้อมกันเพื่อให้ประเทศมันดี ทุกคนเข้ามาผูกกันเหมือนเดิม

- แม้ภาพในทำเนียบจะแสดงให้เห็นถึงความปรองดอง แต่ภาพข้างนอกยังถกเถียงเรื่องแก้รัฐธรรมนูญยังเขย่ารัฐบาล
เรามีรัฐธรรมนูญมาเป็น 18 ฉบับ บางมาตราตั้งแต่ฉบับที่ 1 โครงรัฐธรรมนูญยังเหมือนเดิม แต่เนื้อหาอันไหนไม่ดีก็เปลี่ยนให้มันดีขึ้น มันไม่ใช่สิ่งเลวร้ายนะแต่เราเอาสิ่งที่ดีเข้าไปใส่ เพื่อให้ประเทศเดินหน้าได้อย่างคล่องแคล่วเป็นประชาธิปไตย

- แต่เมื่อไรที่รัฐธรรมนูญถูกนำไปรวมกับเรื่องที่ว่าด้วยกฎหมายอาญา 112 ก็จะมีปัญหา
มันคนละเรื่อง มาตรา 291 เป็นรัฐธรรมนูญ มาตรา 112 เป็นกฎหมายอาญา เราไม่แตะตรงนั้น แม้จะมีบ้างก็เป็นความคิดเห็นส่วนตัว เป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่ไม่ใช่พรรคเพื่อไทย ไม่ใช่รัฐบาลแน่นอน

- ทำไมพรรคเพื่อไทยถึงมองว่ามาตรา 112 เป็นของต้องห้าม
สังคมไปมองและพยายามป้ายให้พรรคเพื่อไทยเข้าไปเกี่ยวข้อง ผมกำลังบอกว่ามาตรา 112 เป็นอะไรที่ไม่ใช่เวลานี้ เมื่อไรไม่รู้ เราไม่ได้เข้าไปเกี่ยว ไม่ได้ไปยุ่งด้วย

- บทบาทคุณนิวัฒน์ธำรงคือต้องไปทำความเข้าใจเรื่องนี้ด้วยหรือไม่
ผมก็เป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายประชาสัมพันธ์ ผมก็มาคุยกับสื่อเพื่อให้เห็นให้เข้าใจว่า นี่คือสิ่งที่รัฐบาลคิด รัฐบาลทำ เป้าหมายเป็นอย่างนี้ ต้องการทำให้ประเทศดีขึ้น เพราะเราหยุดการพัฒนามาหลายปีแล้ว

- ถ้าคนมองว่าพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลเป็นแนวร่วมในการล้มสถาบันจะอธิบายอย่างไร
ก็บอกว่าไม่ใช่ เราไม่ได้เกี่ยวข้องกับการล้มสถาบัน เพราะดูพฤติกรรมจากรัฐบาลก็ไม่มี มีแต่ถวายความจงรักภักดี

- แต่คนจำนวนหนึ่งก็ยังแคลงใจ คาใจ
ก็เป็นเรื่องของเขา เขาสามารถมองได้ คิดอย่างนั้นได้ด้วยใจบริสุทธิ์หรือไม่ผมไม่รู้ อาจจะมีใจไม่บริสุทธิ์ก็มีไม่น้อยนะ แต่เราไม่ว่าเขา เขาจะคิดไปก็ปล่อยเขา จะไปบังคับไม่ได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเราต้องพิสูจน์

- รัฐบาลชุดนี้จำเป็นต้องมีคนประสานงานกับราชสำนักโดยตรงหรือไม่
เวลาทำงานเขาก็ต้องทำอยู่แล้ว เลขาธิการคณะรัฐมนตรีกับสำนักราชเลขาธิการก็ประสานงานกันหลายเรื่อง

- เรื่องน้ำที่พระองค์ท่านพระราชทานคำแนะนำมาให้ หลักใหญ่ ๆ คืออะไร
ท่านปราโมทย์ (ไม้กลัด) ท่านสุเมธ (ตันติเวชกุล) ดร.สมิทธ (ธรรมสโรช) ท่านรอยล (จิตรดอน) ท่านอานนท์ (สนิทวงศ์ ณ อยุธยา) คือทุกคนที่พระองค์ท่านใช้ทั้งนั้น คนพวกนี้แล้วคุณคิดว่าอย่างไร ก็ไม่ต้องตอบอย่างอื่น ถามว่าสิ่งที่พระองค์ท่านคิดถูกต้องหรือไม่ ก็ถูกต้องมาตั้งนานแล้ว พวกเราต่างหากที่ไม่ทำตั้งแต่ปี 2538 ทำอะไรก็ไม่ตรงกับที่พระองค์ท่านได้ออกแบบไว้ มัวแต่ไปสร้างบ้านจนทางน้ำหายหมด

- ในฐานะที่ดูเรื่องการประชาสัมพันธ์ ทำไมรัฐบาลถึงยังไม่มีโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
เราจะหาดีที่สุด ต้องเป็นคนที่สามารถประชาสัมพันธ์ให้กับประชาชนได้ดี และต้องรู้จักวิธีการหลาย ๆ วิธีในการประชาสัมพันธ์ ไม่ใช่พูดเพียงอย่างเดียว ซึ่งคนในพรรคก็พอมี แต่อาจจะคนข้างนอกก็ได้ คือเรื่องนี้มันต้องการคนมีไอเดีย มีความคิดสร้างสรรค์

- เป็นมืออาชีพสายธุรกิจ ทางธรรมก็ผ่านมาแล้ว ในทางการเมืองหวังจะบรรลุอะไรที่นี่
หวังจะช่วยประเทศชาติ เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองเรา นี่คือสิ่งที่อยากได้ เราก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้งานที่ตั้งใจจะทำไปสู่ความสำเร็จ

- การเมืองมีเงื่อนไขที่ควบคุมไม่ได้เยอะ จะบริหารจัดการอย่างไร
ก็ต้องอธิบาย เชิญชวน ชักชวน

ลาก ๆ กันไป เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้สังคมรวมกันเป็นก้อนเดียว ยิ่งเป็นประชาธิปไตยด้วยแล้วการอธิบายอะไรก็เป็นเรื่องใหญ่ มันไม่ใช่ระบบทุบโต๊ะ

- คิดว่าตัวเองจะทนทานการเมือง จนอยู่ครบสมัยรัฐบาลหรือไม่
ถ้าถามใจก็อยากอยู่สิ (หัวเราะ) แต่เขาจะให้อยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้

- การลาออกจาก ส.ส.ระบบปาร์ตี้ลิสต์หมายความว่าต้องอยู่ยาวในรัฐบาล
ถ้าไม่ได้อยู่ก็ตกงาน (หัวเราะ) แต่ต้องเข้าใจว่าเราเข้ามาก็ตั้งใจใช้เวลา 100% กับการทำงานที่นี่ จะให้ผมวิ่งไปรัฐสภาก็จะไม่ดี ผมยังมีงานตามที่ได้รับมอบหมายอีกเยอะ ก็อยากทุ่มเท

- ได้คุมงานด้านสื่อ ถูกมองว่าจะทำให้การจัดการกับสื่อแนบเนียนยิ่งขึ้นหรือไม่
เวลาส่วนใหญ่ผมไปอยู่ที่เรื่องน้ำ เรื่องโครงการ เรื่องการควบคุมสื่อ ผมก็มาช่วยเขามากกว่า ผมเชื่อว่าจากความเข้าใจกัน รู้งานกัน น่าจะช่วยเขาในมุมนั้น อย่างอื่นก็ปล่อยเขาทำไปเถอะ

- รัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ 2" มีรัฐมนตรีและที่ปรึกษาส่วนใหญ่จากกลุ่มชินคอร์ป (อินทัช) เป็นการเข้ามาครอบครองอำนาจในรัฐบาลหรือครอบงำกันแน่
ที่พวกเรามาคือนักทำงาน ไม่ใช่นักการเมืองสักคน ก็เข้ามาทำงานให้สำเร็จตามนโยบายที่วางเอาไว้ เพราะคนนิยมถึงได้คะแนนเสียงมามาก ก็ไม่มีวัตถุประสงค์อื่น เราก็ต้องเอาคนทำงานเป็นเข้ามา อย่าคิดว่าเป็นรัฐบาลเอานักการเมือง อาจารย์ นักกฎหมายเข้ามาแล้วทำงานไม่เป็น ประเทศชาติก็เสียโอกาส วันนี้ต้องทำงานแข่งกับต่างประเทศ ก็ต้องเอาคนทำงานเป็นเข้ามา

- จากโลกไปทางธรรมครั้งหนึ่งแล้ว ทำไมถึงกลับมาทางโลกอีก
จริง ๆ ผมไปบวชเพราะผมเออร์ลี่งานไป เพราะไม่มีไอทีวีแล้ว ไปอยู่ตึกชินสักพักหนึ่ง และผมก็บวชที่ลำพูน ท่านก็ชวนบวชมาตั้งนานแล้ว ก็ไม่รู้จะบวชยาวหรือสั้น ผมก็เขียนใบลาออกว่า หลวงพ่อชวนไปบวชและไม่รู้ว่าจะนานหรือไม่ ถ้าบวชนานก็ขอให้เป็นเรื่องลาออก ถ้าบวชสั้นผมก็จะกลับมาทำงานใหม่

ทิ้งครอบครัวมา 2 ปีแล้ว เป็นห่วงครอบครัวก็เลยสึกออกมา ก็ไม่ได้ทำอะไรมาเกือบปี จนกระทั่งเลือกตั้ง เขาก็ชวนให้มาช่วย เราก็เลยมา ฉะนั้นไม่ใช่จีวรร้อนเพราะการเมือง เพราะผมสึกมาก่อนเลือกตั้งตั้ง 1 ปี

จริง ๆ แล้วคุณทักษิณก็ไม่ได้ขอให้เราสึกนะ ก็เคยเจอคุณยิ่งลักษณ์ เพราะมีสนามกอล์ฟอัลไพน์ที่เชียงใหม่จัดงานประจำปีก็นิมนต์ให้ไปฉันอาหาร แต่สนทนาธรรมเรื่องการเมืองไม่ได้มันบาป (หัวเราะ) ผมสึกมาตอนพฤษภาคม 2553 พอดี ก็ไม่ได้ยุ่งอะไรกับเขาเลย จนกระทั่งเลือกตั้งนั่นล่ะ เพราะงานเยอะไม่มีใครช่วย เราก็ยินดี เพราะเราทำงานกับเขามาครึ่งชีวิตกับตระกูลนี้ อยู่ไอบีเอ็ม 17 ปี อยู่ที่นี่อีก 17 ปี ก็พอกันเลย

- คิดว่าตัวเองจะติดการเมืองหรือไม่
อายุปูนนี้ 64 ปีแล้ว จะติดไปได้อีกกี่น้ำ จะครบสมัยก็ 70 ปี แต่การเมืองจะอยู่อายุเกิน 70 ปีก็ได้ (หัวเราะ) ชีวิตเราก็มีครบหมดแล้ว ครอบครัว ลูกหลาน อะไรที่เราช่วยได้เราก็ช่วยแล้ว


ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์


เหตุผลที่อิสราเอลจะโจมตีอิหร่าน

ฝันหวานของพรรคเพื่อไทย ! ?

หลบ ฉากออกไปเดินสาย พบปะพี่น้องประชาชนไล่ตั้งแต่จังหวัดภาคเหนือตอนล่างลงมาถึงภาคกลาง นานถึง 5 วัน  เพื่อเดินหน้ากวาดเรทติ้ง ดึงคะแนนจากพี่น้องประชาชน ผ่านการทำงานในภาคสนามสร้างความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะสามารถบริหารจัดการ ปัญหาน้ำ ได้ดีกว่าที่ผ่านมา
     หวังว่ากระแสข่าวว่าด้วยเรื่อง "ว. 5" ณ โรงแรมโฟร์ซีซั่น ของตนเองจะเงียบงันลงไป เมื่อบนพื้นที่สื่อถูกยึดกุมด้วยข่าวคราวความเคลื่อนไหวของผู้นำรัฐบาลต่อ การแก้วิกฤติน้ำ ที่กำลังจ่อคิวในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
     แต่ แล้ว ประเด็นร้อนว่าด้วยเรื่อง "ว. 5" ของนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้วนกลับมาถล่มเธออีกคำรบหนึ่ง และดูเหมือนว่าทั้งพลพรรคประชาธิปัตย์  และเอกยุทธ อัญชันบุตร  นักธุรกิจชื่อดังและเจ้าของเว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์   ที่ประสานเสียงออกมาเรียกร้อง ถามหา "คำตอบ" จากนายกฯยิ่งลักษณ์ ว่า ว.5 บนชั้น 7 ที่โรงแรมโฟร์ซีชั่น ที่ผ่านมานั้นคืออะไร
     ได้กลายเป็น "ของร้อน" ที่สร้างความปั่นป่วนขึ้นทั้งตัวนายกฯยิ่งลักษณ์ และลูกทีมในพรรคเพื่อนกันถ้วนหน้า
     จนล่าสุดเจ้าตัวถึงกับตัดพ้อ ครวญผ่านสื่อขอความเห็นใจไปยัง "ฝ่ายตรงข้าม" ที่ออกมาเปิดประเด็นในท่วงทำนองที่ว่า "อย่ารังแกผู้หญิง" ก็ตาม

     ทว่าเรื่อง "ส่วนตัว" ของนายกฯหญิง กำลังทำให้ถูกมองว่าที่สุดแล้วเธอจะ "ติดบ่วง" จนทำให้ไม่สามารถ "ไปต่อ" เดินหน้าภารกิจใหญ่ทั้งในฐานะฝ่ายบริหารและงานในทางการเมืองได้หรือไม่ ?
     อย่างไรก็ดี หากมองในภาพรวม จะเห็นได้ชัดเจนว่า การที่พรรคประชาธิปัตย์และเอกยุทธ กำลังช่วยกัน "หาคำตอบ" เพื่อให้สาธารณชนได้รู้ความจริงว่า  "ว.5" ของผู้นำรัฐบาลกับ ผู้บริหารแสนสิริ ที่ผ่านมานั้น
     เป็นเรื่องส่วนตัวจริงๆ หรือมีเรื่อง "ผลประโยชน์" ส่วนรวมเข้าไปเกี่ยวข้องบนโต๊ะเจรจานั้น พรรคเพื่อไทยและหลายต่อหลายคนในรัฐบาลต่างพยายาม ทำหน้าที่ "ป้องกัน" และ "โต้กลับ" ในทุกทิศทุกทาง เท่าที่พวกเขาจะทำได้
     ทั้งด้วยการเปิดศึก "วิวาทะ"ชนิดรายวัน ระหว่างทีมโฆษกพรรคเพื่อไทย ร่วมกับรองโฆษกรัฐบาลที่ต้องโดดลงมาเล่นเอง ไปจนถึงแกนนำในรัฐบาล  เพื่อ "กัน" ไม่ให้นายกฯยิ่งลักษณ์ ต้องบอบช้ำและเผชิญหน้ากับแรงเสียดทานอย่างใช่เหตุ 
      ขณะที่นายกฯยิ่งลักษณ์ เองได้พยายามงดการตอบโต้ หรือหากมีก็ให้เป็นไปอย่างน้อยที่สุด เพื่อไม่ให้ตนเองต้องตกเป็นฝ่าย "เสียรังวัด" เสียเอง
     การตอบโต้และปกป้องตนเองจากเรื่อง "ส่วนตัว" นั้น ดูจะเป็นเรื่องยากที่จะบอกได้ว่า ที่สุดแล้วสิ่งที่จะได้รับกลับมานั้น จะคุ้มค่ามากน้อยแค่ไหน
     และยิ่งเมื่อเทียบกับ "งานใหญ่" อย่างการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญของฝ่ายรัฐบาล ดูจะยิ่งมีความชัดเจนว่า หากงานนี้พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลทำสำเร็จ !!
     นั่นหมายความว่าหน้าตาของ "สมาชิกร่างรัฐธรรมนูญ" หรือ "ส.ส.ร.3" ทั้ง 99 คน ประกอบด้วย "กลุ่มคน" ที่น่าพึงพอใจ สำหรับฝ่ายที่ต้องการให้มีการแก้หรือรื้อกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมากที่สุด
     ไปจนถึงได้มีการปรับแก้ ในบางมาตราที่เป็นเสมือน "อุปสรรค" ต่อการเติบโตและการมุ่งสู่ชัยชนะของพรรคเพื่อไทย ในวันข้างหน้า  ที่ยากต่อการคาดเดาได้ว่า บรรยากาศและสถานการณ์ทางการเมืองจะบวกหรือลบต่อพรรคเพื่อไทย
     ภารกิจหลักเหล่านี้ต่างหากคือ "งานหลัก" ซึ่งทั้งนายกฯยิ่งลักษณ์ และพรรคเพื่อไทยต้องหาทาง "ก้าวข้าม" กับดัก เรื่องราวส่วนตัว "ว.5"  ที่พวกเขากำลังถูกฝ่ายตรงข้าม ดึงให้ต้องลงไป "เล่นเกม" ดังกล่าวไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม
     สถานการณ์สำหรับพรรคเพื่อไทยและฝ่ายรัฐบาล หลังจากที่ได้ออกมา "ปักธง" ประกาศแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 พร้อมทั้งได้กำหนด "ปฏิทิน" กระบวนการขั้นตอนเอาไว้เสร็จสรรพ นั้นด้านหนึ่งคือการป้องกัน "รัฐธรรมนูญฉบับเพื่อไทย"ไม่ให้ "ถูกฉีก" จากฝ่ายต่อต้าน 
     อีกด้านหนึ่งคือการกำหนด "วัน ว. เวลา น." กำหนดกรอบการทำงานสำหรับเครือข่ายฝ่ายรัฐบาลด้วยกันเองเพื่อป้องกันการผิดพลาด
     เป้าหมายที่ว่ากันว่าถูกพูดถึงมากที่สุดในบรรดากลุ่มส.ส.พรรคเพื่อไทย เอง ในรัฐบาล หรือแม้แต่ "คนเสื้อแดง" ซึ่งต่างต้องร่วมกันประดิษฐ์รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้แล้วเสร็จตามกรอบ หรือก่อนเวลาที่ตั้งเอาไว้นั้น
     เพราะมีความเชื่อว่าที่ชัดเจนว่า หากพวกเขาได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เป็นเครื่องมือแล้ว รัฐบาลพร้อมที่จะ "ยุบสภา" ให้มีการเลือกตั้งใหม่ เพื่อ "ทดสอบ" เครื่องมือใหม่
     ทั้ง นี้หากพวกเขา "ลงสนาม" ด้วยรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ "ชัยชนะ" ที่พรรคเพื่อไทยจะได้คือการกวาดส.ส.เอาไว้ในมือได้ไม่ต่ำกว่า 300 ที่นั่ง มากกว่า ณ เวลานี้ที่มีอยู่ 265 เสียง
     และจำนวน ส.ส.ไม่ต่ำกว่า 300 เสียงนี่เองที่จะทำให้พวกเขากลายเป็น "พยัคฆ์ติดปีก" ได้ในที่สุด !!
                                                                                                                                                                                                           ทีมข่าวคิดลึกสยามรัฐ.

ใส่เกียร์เร่งงานการเมืองชิดซ้าย


Pic_239349 พิสูจน์ภาวะผู้นำ “ยิ่งลักษณ์” ทัวร์เอาอยู่สู้อุทกภัย

ตระเวนรอนแรมลงพื้นที่ 5 วันเต็ม

น.ส.ยิ่ง ลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นำทีม “ทัวร์นกขมิ้น” ที่ประกอบด้วยรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง และอธิบดีทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เดินสายลงพื้นที่ติดตามการแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ

ไล่ตั้งแต่เขื่อนสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ พิษณุโลก นครสวรรค์ ชัยนาท ลพบุรี พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี

มี การประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดกลุ่มพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ เพื่อติดตามและสั่งการเกี่ยวกับการวางระบบระบายน้ำ การสร้างเขื่อนและการป้องกันพื้นที่ การหาพื้นที่รับน้ำหรือแก้มลิง การขุดลอกแม่น้ำคูคลอง รวมทั้งการซ่อมแซมฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ

ทุ่ม งบประมาณหลายหมื่นล้านบาท เพื่อบริหารจัดการระบบการระบายน้ำให้เป็นไปตามแผนของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ เพื่อวางระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.)

เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์อุทกภัยในช่วงฤดูฝนของปีนี้

งานนี้ต้องยอมรับว่า การเดินทางลงพื้นที่ตรวจงานป้องกันน้ำท่วมของนายกฯยิ่งลักษณ์ ได้เสียงขานรับจากสังคม

เพราะเป็นการลงไปสัมผัสรับรู้ปัญหาแบบเข้าถึงพื้นที่ เข้าถึงจุดเกิดเหตุ เข้าถึงประชาชนที่ประสบความเดือดร้อนจากเหตุอุทกภัย

ติดตาม สำรวจตรวจตราเส้นทางเดินของน้ำตั้งแต่ภาคเหนือที่เป็นต้นน้ำ ลงมาถึงภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน ที่เป็นช่วงกลางน้ำ และพื้นที่ราบลุ่มภาคกลางยันเขตปริมณฑล ที่ถือเป็นช่วงปลายน้ำ

เพื่อ หาทางแก้ไขปัญหาอุปสรรคที่ทำให้การระบายน้ำติดขัด ผิดพลาด บกพร่อง รวมไปถึงการหาช่องทางให้การบริหารจัดการในการระบายน้ำเกิดประสิทธิภาพมาก ขึ้นกว่าเดิม พร้อมที่จะทุ่มงบประมาณเพื่อแก้ปัญหาอย่างเต็มที่

อาทิ การแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ต้นน้ำ 10 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย สุโขทัย อุตรดิตถ์ ตาก น่าน แพร่ ลำปาง ลำพูน พะเยา

มี โครงการระยะเร่งด่วนที่ต้องทำภายใน 3 เดือน จำนวน 581 โครงการ งบประมาณ 10,700 ล้านบาท โครงการระยะยาว 1,935 โครงการ งบประมาณ 38,500 ล้านบาท

ยังไม่รวมโครงการที่ กยน.และจังหวัด เสนอเพิ่มเติมอีก 55 โครงการ การทำฝายชะลอน้ำ แก้มลิง และปลูกป่าในพื้นที่เสื่อมโทรม 10 ล้านไร่

ได้ใจทั้งฝ่ายข้าราชการและประชาชน ที่มองว่านายกฯยิ่งลักษณ์มีความตั้งใจจริงในการเดินหน้าแก้ปัญหาน้ำท่วม

เสียงขนานนามกล่าวขานถึง “ทัวร์นกขมิ้น” “ทัวร์นกแก้ว” “ทัวร์เอาอยู่” ของนายกฯยิ่งลักษณ์ ดังกระหึ่มไปหมด

ฝากความหวังว่ารัฐบาลจะสามารถบริหารจัดการแก้ปัญหาป้องกันน้ำท่วมรอบใหม่ได้

ขณะ เดียวกัน ก็เป็นการกระตุ้นให้ผู้มีหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาอุทกภัยทุกหน่วยงาน ตื่นตัวกันไปทั่วทุกจังหวัด ตั้งแต่พื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ ยันปลายน้ำ

เป็นการส่งสัญญาณให้เห็นกันชัดๆว่าการเดินหน้าแก้ปัญหาน้ำท่วมรวมศูนย์สั่งการอยู่ที่ตัวผู้นำ

อย่าง ไรก็ตาม มาถึงวันนี้ การเดินสาย “ทัวร์เอาอยู่” เพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ของนายกฯยิ่งลักษณ์ จบทริปลงไปแล้ว

แน่นอน การลงพื้นที่ตรวจงานติดตามการแก้ไขปัญหาอุทกภัยของนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ เป็นการสร้างความหวังให้กับประชาชน เพิ่มความมั่นใจให้แก่นักลงทุนต่างประเทศ

นายกฯยิ่งลักษณ์ได้ภาพไปแล้วเต็มๆ ในเรื่องความมุ่งมั่นตั้งใจในการทำงาน หากมองในแง่การตลาดถือว่าเรตติ้งกระฉูด

แต่เมื่อนายกฯกลับมาแล้วก็ใช่ว่าความหวังของประชาชนจะเป็นจริง หรือความมั่นใจของนักลงทุนต่างประเทศจะกลับมาเต็มร้อย

เพราะ ความหวังของชาวบ้านและความมั่นใจของนักลงทุนจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อโครงการต่างๆตามแผนบริหารจัดการน้ำที่ประกาศเอาไว้ มีการปฏิบัติให้เป็นจริงอย่างเป็นรูปธรรม

ซึ่งโครงการต่างๆตามแผนระยะเร่งด่วนที่มอบหมายให้หน่วยงานต่างๆไปดำเนินการ จะเดินหน้าไปได้มากน้อยแค่ไหน

ก็ ขึ้นอยู่กับการเร่งรัดติดตามและตรวจสอบขององค์กรบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ ที่รัฐบาลตั้งขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่บูรณาการข้อมูลและการปฏิบัติของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการ บริหารจัดการน้ำทั้งในภาวะปกติและภาวะที่เกิดอุทกภัย ได้แก่

คณะ กรรมการนโยบายน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (กนอช.) ที่มีหน้าที่กำหนดนโยบายจัดทำแผนปฏิบัติการ รวมทั้งนโยบายอื่นที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย

คณะ กรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ที่มีหน้าที่จัดทำแผนปฏิบัติการอื่นๆ ตามนโยบายของคณะกรรมการนโยบายน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ รวมทั้งตรวจสอบและติดตามประเมินผลการปฏิบัติของหน่วยงานรัฐ

สำนัก นโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (สนอช.)ที่ทำหน้าที่ประสานกับหน่วยงานของรัฐ ในการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ สภาพน้ำในลุ่มน้ำหรือเขื่อน และรายงานความคืบหน้าสถานการณ์ที่เกี่ยวกับน้ำและการปฏิบัติตามระเบียบต่อ คณะกรรมการ กนอช.และ ครม.

แผนงานบริหารจัดการน้ำที่วางกันไว้จะปฏิบัติให้ลุล่วงเป็นจริงได้ ช้าหรือเร็ว ทันเวลา ทันต่อสถานการณ์หรือไม่

ก็ขึ้นอยู่กับการจัดระบบติดตามงานขององค์กรเหล่านี้ให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งถือเป็นหน้าที่โดยตรงของนายกฯยิ่งลักษณ์ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล

ทั้ง นี้ เมื่อรัฐบาลประกาศแผนยุทธศาสตร์บริหารจัดการน้ำเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมเป็น วาระแห่งชาติ และเป็นแผนยุทธศาสตร์ที่ต้องทำงานแข่งกับเวลา

การ บริหารจัดการระบบติดตามงานให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้สารพัดโครงการในการแก้ปัญหาอุทกภัยสำเร็จลุล่วงเป็นไปตามแผนงาน จึงถือเป็นเรื่องที่ท้าทาย

และเป็นบทพิสูจน์ภาวะผู้นำครั้งสำคัญของ “ยิ่งลักษณ์”

“เอาอยู่” หรือ “ท่วมซ้ำซาก” “เชื่อมั่น” หรือ “หมดศรัทธา” เดิมพันมันอยู่ตรงนี้

อย่าง ไรก็ตาม ในห้วงที่รัฐบาลภายใต้การนำของนายกฯยิ่งลักษณ์เร่งเดินหน้าทำงานแก้ไขปัญหา น้ำท่วม ลงพื้นที่ติดตามการแก้ไขปัญหาอุทกภัยตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ

แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีภาพของการชิงไหวชิงพริบชิงความได้ เปรียบทางการเมืองแฝงอยู่ อย่างเช่น การที่นายกฯนำ “ทัวร์เอาอยู่” เดินทางไปตรวจงานพื้นที่ต้นน้ำทางภาคเหนือ

ปรากฏว่าไม่มีโปรแกรมเดิน ทางไปตรวจงานติดตามการป้องกันปัญหาอุทกภัยที่เขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก ที่ถือว่าเป็นเขื่อนสำคัญในพื้นที่ต้นน้ำ

จนทำให้เกิดเสียงวิพากษ์ วิจารณ์อย่างหนาหูว่า เป็นเพราะจังหวัดตาก เป็นพื้นที่ฐานเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ใช่ฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย

จากปรากฏการณ์ตรงนี้ จึงทำให้ถูกมองว่า การช่วงชิงความได้เปรียบทางการเมืองอาจจะเป็นอุปสรรคลดทอนประสิทธิภาพการทำงานบริหารจัดการน้ำ

ทั้งที่การวางระบบบริหารจัดการน้ำของประเทศ เพื่อแก้ปัญหาอุทกภัยอย่างยั่งยืน เป็นวาระแห่งชาติที่ต้องเร่งทำแข่งกับเวลา

ถือเป็นงานใหญ่ที่ต้องได้รับความร่วมไม้ร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งฝ่ายการเมือง ข้าราชการ รวมไปถึงภาคประชาชน

หากเกิดปัญหาความขัดแย้ง ขัดแข้งขัดขากัน ก็จะส่งผลให้การทำงานสะดุด ไม่เป็นไปตามแผน ตามกรอบเวลา ย่อมส่งผลกระทบต่อเป้าหมายที่วางไว้

ที่สำคัญ ในบรรยากาศขณะนี้มีความเคลื่อนไหวหลายเรื่องที่เปรียบเสมือนเป็นทุ่นระเบิดการเมืองรออยู่ข้างหน้า

ไล่ตั้งแต่เรื่องการตีความพระราชกำหนด 2 ฉบับ ได้แก่

พ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคต ประเทศ พ.ศ.2555 และ พ.ร.ก.ปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกอง ทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ.2555

ที่คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัยชี้ขาดในวันที่ 22 กุมภาพันธ์นี้

ตามมาด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ เข้ามาแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550

รวม ถึงประเด็นร้อนๆในการผลักดันร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง 6 มาตรา ที่จะเป็นกุญแจสำคัญปลดพันธนาการโละความผิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ

ขณะเดียวกัน ก็ยังมีเรื่องที่นักวิชาการและคนบางกลุ่มออกมาเคลื่อนไหวล่ารายชื่อขอแก้ไข ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เกี่ยวกับการดำเนินคดีหมิ่นสถาบัน

โดยเฉพาะ 3 เรื่องหลัง ถือเป็นประเด็นสุ่มเสี่ยงที่จะเป็นชนวนนำไปสู่ความขัดแย้งและการเผชิญหน้าในสังคม

ที่อาจกลายเป็นปมเหตุให้เกิดอุปสรรคต่อการทำงานของรัฐบาลในการเร่งเดินหน้าแผนบริหารจัดการแก้ปัญหาน้ำท่วม

ส่งผลเสียหายไปถึงประเทศชาติและประชาชน ที่ต้องเผชิญกับมหาอุทกภัยรอบใหม่ซ้ำซาก

ฉะนั้น ในห้วงที่รัฐบาลพยายามแสดงความมุ่งมั่นที่จะเร่งเดินหน้าทำงานแก้ไขปัญหาอุทกภัยที่เป็นงานสำคัญของประเทศชาติ

นายกฯยิ่งลักษณ์ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ก็สมควรที่จะต้องแสดงบทบาทแสดงศักยภาพในการลดทอนความร้อนแรงทางการเมือง

เพื่อ ทำให้การเมืองชะลอชิดซ้าย เปิดทางให้รัฐบาลสามารถใส่เกียร์เดินหน้าเร่งเครื่องทำงานแก้ปัญหาอุทกภัย ที่เป็นวาระแห่งชาติได้อย่างเต็มที่

เพราะเห็นๆกันอยู่ว่า เกือบทุกเรื่องที่เป็นปัญหาเป็นปมร้อนแรงทางการเมืองอยู่ในขณะนี้

ส่วนใหญ่เป็นการขับเคลื่อนโดยคนของพรรคเพื่อไทย แกนนำกลุ่มเสื้อแดง และเครือข่ายแนวร่วมเกือบทั้งนั้น

การลดแรงเสียดทาน ลดปัญหาอุปสรรค ที่อาจกลายเป็นชนวนทำให้เกิดผลกระทบต่อการทำงานของรัฐบาล จึงถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุด

ตรงนี้แหละจะเป็นบทพิสูจน์ภาวะผู้นำของ “ยิ่งลักษณ์”

ว่าจะ “เอาอยู่” จริงหรือไม่.

“ทีมการเมืองไทยรัฐ"

เปิดขุมทรัพย์“ธิดา”ประธาน นปช.

เปิดขุมทรัพย์“ธิดา”ประธาน นปช. ชังอำมาตย์-คู่ค้า ม.มหิดล ฟัน 380 ล้าน

โดย เสนาะ สุขเจริญ หมวด isranews,
alt
เปิดขุมทรัพย์ “ธิดา ถาวรเศรษฐ”ประธาน นปช.และเครือญาติ ผู้อยู่ตรงข้ามระบบอำมาตย์ ครอบครัวทำธุรกิจหน่วยงานรัฐ เป็นคู่ค้าคณะ แพทย์ รพ.ศิริราช ม.มหิดล รพ.ลำปาง ฟันรายได้-กำไรต่อเนื่อง 5 ปีกว่า 380 ล้าน

          ขณะที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขณะเป็นแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ถือหุ้น บริษัท เพื่อนพ้อง น้องพี่ จำกัด บริษัทพีทีวี ทีวีเพื่อประชาชน จำกัด และบริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จำกัด รวมมูลค่า 23 ล้านบาท (มูลค่าหุ้นตามสัดส่วนทุนจดทะเบียน)
          ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย แกนนำ นปช. มีเงินลงทุนในห้างหุ้นส่วนจำกัด 5 แห่ง 8.6 ล้านบาท ในช่วงปี 2545 จากเงินลงทุนกับพวกทั้งหมด 25 ล้านบาท และมีเงินลงทุนในบริษัท เพื่อนพ้อง น้องพี่ จำกัด บริษัท พีทีวี ทีวีเพื่อประชาชน จำกัด ในช่วงปี 2549-2550 นับสิบล้านบาท
          นางธิดา ถาวรเศรษฐ (ภรรยานายเหวง โตจิรากร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย) เพิ่งได้รับเลือกเป็นประธาน นปช.หมาดๆ (บทบาทของ นปช.มักโจมตีอำมาตย์อยู่บ่อยๆ) เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2555 ที่ผ่านมา ทำธุรกิจอะไร?
          ก่อนตอบคำถามขอให้ดูทรัพย์สินของนายเหวงและภรรยาเสียก่อน
          ตอนรับตำแหน่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ วันที่ 2 สิงหาคม 2554 นายเหวง แจ้งทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ระบุว่า มีทรัพย์สิน 13,414,265.64 บาท ประกอบด้วย เงินฝาก 1,450.64 บาท เงินลงทุน 12,210 บาท ที่ดิน 10 แปลง 129-1-03 ไร่ มูลค่า 11,494,175 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 1,906,430 บาท หนี้สิน 9,995,719.48 บาท
           นางธิดามีทรัพย์สิน7,865,772.93 บาท แบ่งเป็น เงินฝาก 1,223,202.93 บาท เงินลงทุน 257,300 บาท ที่ดิน6 แปลง 30-1-09 ไร่ มูลค่า 5,782,500 บาท (รวม 2 คน 16 แปลง เนื้อที่ 159-2-12 ไร่) โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 602,770 บาท หนี้สิน 29,999.75 บาท
          รวมทรัพย์สินของทั้งคู่  21,280,038.57 บาท
          นายเหวงมีเงินลงทุน 3 แห่ง บริษัท พัฒนาการเวชกิจ จำกัด 1,120 หุ้น รพ.ปิยะเวช 1,000 หุ้น ธนาคารนครหลวงไทย 1 หุ้น
          นางธิดามีเงินลงทุน 4 แห่ง บมจ.จุฑานาวี 10,000 หุ้น บมจ.เค-เทค คอนสตรัคชั่น 35,000 หุ้น บมจ.เอสโซ่ 5,000 หุ้น NNCL, NNCL-2 82,500 หุ้น
          สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ตรวจสอบพบว่า ปัจจุบันตระกูลถาวรเศรษฐ มีธุรกิจอย่างน้อย 2 แห่งคือ บริษัท เฟอร์โน่ จำกัด และ บริษัท สเพรด บิสซิเนส จำกัด
          บริษัท เฟอร์โน่ จำกัด ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายแอลกอฮอล์แห้ง จดทะเบียนวันที่ 4 มิถุนายน 2529 ทุนปัจจุบัน 3 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่ 30/61 หมู่ที่ 7 ซอยแฟ็คเฮ้าส์ ถนนลำลูกกา ตำบลลาดสวาย อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี
          จากการตรวจสอบพบว่า นางธิดา โตจิราการ (ถาวรเศรษฐ) ถือหุ้นร่วมกับตระกูลถาวรเศรษฐตั้งแต่อย่างน้อยปี 2536 ถือหุ้นเรื่อยมา ณ วันที่ 30 เม.ย.2554 นางธิดา ถือครอง 20 หุ้น นางสาวสุพร ถาวรเศรษฐ ถือหุ้นใหญ่ (ดูตาราง)
          บริษัท สเพรด บิสซิเนส จำกัด ประกอบธุรกิจ ผลิตและจำหน่ายแอลกอฮอล์ น้ำยากันบูด และเคมีภัณฑ์ จดทะเบียนวันที่ 13 มกราคม 2549 ทุนปัจจุบัน 1 ล้านบาท ที่ตั้งเดียวกับบริษัท เฟอร์โน่ จำกัด นางธิดา โตจิราการ ถือหุ้นร่วมกับตระกูลถาวรเศรษฐมาตั้งแต่ต้นจำนวน 20 หุ้น นางสาวสุพร ถาวรเศรษฐ ถือหุ้นใหญ่
          จากการตรวจสอบพบว่า นับตั้งแต่ปี 2549 - 2553 บริษัท เฟอร์โน่ จำกัด มีรายได้รวม 180,476,351 บาท กำไรสุทธิรวม 7,381,562 บาท สินทรัพย์ 2553 จำนวน 25,352,010 บาท
          บริษัท สเพรด บิสซิเนส จำกัด นับตั้งแต่ปี 2549 -2553 มีรายได้รวม 203,152,991 บาท กำไรสุทธิรวม 10,275,471 บาท สินทรัพย์ปี 2553 จำนวน 12,411,833 บาท
รวมรายได้ 2 บริษัท 383,629,342 บาท
          ที่น่าสนใจ บริษัท เฟอร์โน จำกัด เป็นคู่ค้าขายน้ำยาวิทยาศาสตร์/สารเคมี ให้แก่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2548 กว่า 1.2 ล้านบาท ขณะที่บริษัท สเพรด บิสซิเนส จำกัด เป็นผู้ขาย Ethyl alcohol 95% (Denatured) ให้แก่ โรงพยาบาลจังหวัดลำปาง สำนักงานปลัดกระ ทรวงสาธารณสุข ในช่วงปลายเดือนกันยายน 2551 และต้นเดือนมกราคม 2553 กว่า 2 ล้านบาท
          และน่าสังเกตว่าแม้นางธิดาถือครองหุ้นบริษัททั้ง 2 แห่ง เพียงบริษัทละเพียง 20 หุ้น แต่ไม่ปรากฎรายการเงินลงทุน 2 รายการในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของนายเหวงที่ยื่นต่อ ป.ป.ช.ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2554 แต่อย่างใด

รายชื่อผู้ถือหุ้นบริษัท เฟอร์โน จำกัด
alt
ที่มา:กรมพัฒนธุรกิจการค้า , สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รวบรวม

ผลประกอบการ บริษัท เฟอร์โน จำกัด
alt
ที่มา:กรมพัฒนธุรกิจการค้า , สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รวบรวม

รายชื่อผู้ถือหุ้น บริษัท สเพรด บิสซิเนส จำกัด
alt
ที่มา:กรมพัฒนธุรกิจการค้า , สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รวบรวม

ผลประกอบการ บริษัท สเพรด บิสซิเนส จำกัด
alt
ที่มา:กรมพัฒนธุรกิจการค้า , สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รวบรวม
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง