บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2554

จับตาสหรัฐอเมริกาประกาศหันกลับสู่เอเชีย




สหรัฐอเมริกาประกาศหันกลับสู่เอเชีย หลังจมอยู่กับสงครามตะวันออกกลางนานกว่า 10 ปี หวังลดอิทธิพลของจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นักวิชาการชี้ไทยไม่ควรผลีผลาม กระโดดผูกมัดตัวเองร่วมข้อตกลงเศรษฐกิจ แนะรอดูยาวๆ และจัดความสัมพันธ์กับทั้งสองมหาอำนาจให้ดี
 

โดย กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล ศูนย์ข่าว TCIJ

หลังจากสหรัฐอเมริกาทุ่มกำลังทางทหาร และงบประมาณจำนวนมหาศาล ลงไปในสงครามตะวันออกกลาง มานานกว่า10 ปี กระทั่งอิทธิพลของสหรัฐอเมริกาที่เคยมีต่อประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  และเอเชียตะวันออก อ่อนแรงลงเป็นเวลาเดียวกับที่มังกรจีนรุกคืบเข้ามาสู่เอเชียในเกือบทุกด้าน โดยเฉพาะเศรษฐกิจ การค้า การคมนาคม ฯลฯ ทำให้ เมื่อสหรัฐฯ ถอนทหารออกจากตะวันออกกลาง สหรัฐฯจึงหันกลับมาให้ความสำคัญกับเอเชียอีกครั้ง ด้วยการประกาศนโยบายกลับคืนสู่เอเชียของอเมริกา หรือ America is back in Asia

และคำพูดของนายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่กล่าวว่า

“สหรัฐฯ เป็นมหาอำนาจในแปซิฟิก และเราจะยังคงอยู่ที่นี่ต่อไป”

ทำไมอเมริกาต้องกลับคืนเอเชีย

ผศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล อาจารย์ประจำภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์ว่า คิดว่าสหรัฐฯ ประเมินแล้วว่าที่ผ่านมา การดำเนินนโยบายต่างประเทศและความมั่นคงก่อนหน้า เป็นการเน้นหนักไปในสิ่งที่เรียกว่า Hard Power ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จหลายเรื่องและนำไปสู่ความเกลียดชัง เช่น กรณีอาฟกานิสถาน วันนี้อาฟกานิสถานบอกว่าจะเชิญตาลีบันกลับมาแล้ว กรณีอิหร่านการเน้นการคว่ำบาตรก็ไม่สามารถกดดันให้เปลี่ยนแปลงอะไรได้และระหว่างที่สหรัฐยุ่งกับเรื่องเหล่านี้อยู่ หลายประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ก็ตักตวงและขยายอำนาจอย่างสนุกสนาน เหล่านี้ทำให้อเมริกาต้องมาพิจารณาใหม่ ถ้าสหรัฐฯ ละเลยเอเชียก็มีแนวโน้มค่อนข้างสูงว่า สหรัฐจะไม่สามารถเข้ามาในภูมิภาคนี้เพื่อมีอิทธิพลได้อีกเลย นี่คือสิ่งที่ผมตีความจากกระทำที่ผ่านมาและนโยบายของสหรัฐ

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความมุ่งหมายหนึ่งของสหรัฐฯ ที่กลับมาเอเชียอีกครั้งก็เพื่อเข้ามาจัดดุลอำนาจใหม่ หลังจากปล่อยให้จีนมีบทบาทมานาน โดยอาศัยจังหวะที่ฟิลิปปินส์และเวียดนามกำลังมีปัญหาพิพาทกับจีนประเด็นหมู่เกาะในทะเลจีนใต้ สหรัฐฯ วางตัวเป็นพี่ใหญ่ เพื่อช่วยทั้งสองประเทศเคลียร์ปัญหากับจีน ขณะที่การปฏิรูปการเมืองในพม่าก็มีการเคลื่อนไหวที่น่าจับตามอง และพม่าเองก็มีทีท่าที่จะจัดความสัมพันธ์กับจีนใหม่เพื่อไม่ให้ถูกมองว่าอยู่ใต้อาณัติของจีนจนเกินไป

ทีพีพี ต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วน

หากมองด้านเศรษฐกิจ สหรัฐฯหอบหิ้วเอาแผนความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิกหรือทีพีพี (Trans-Pacific Partnership)มาด้วย เป็นข้อตกลงที่มุ่งลดกำแพงภาษี ลดความยุ่งยากในระบบการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ ระเบียบของรัฐวิสาหกิจ และการปกป้องสิทธิบัตรทางปัญญา ซึ่งมีสมาชิกอยู่ 9 ประเทศ ได้แก่ ชิลี นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ ออสเตรเลีย สหรัฐ เวียดนาม มาเลเซีย เปรู แน่นอนว่า ในทางหนึ่งสหรัฐฯ หวังให้ข้อตกลงนี้จะช่วยลดแรงกดดันทางเศรษฐกิจในประเทศของตน

ด้านนายจักรชัย โฉมทองดี ผู้ประสานงานและแผนงานประเทศไทย โครงการศึกษาและปฏิบัติการงานพัฒนา สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์ว่า ไม่น่าจะมีผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจมากนัก เพราะการกลับมาของสหรัฐฯ มุ่งเน้นไปที่เรื่องการเมืองและการจัดดุลอำนาจในภูมิภาค ส่วนเศรษฐกิจจะเป็นผลพลอยได้ตามมาแม้ว่าสหรัฐฯ จะหยิบยกทีพีพีขึ้นมาเจรจาด้วยก็ตาม ทว่า ประเด็นที่จักรชัยกังวลก็คือ มุมมองของผู้วางนโยบายของประเทศไทยว่ามีความเข้าใจสถานการณ์มากน้อยเพียงใด

“ทีพีพีก็ที่น่าสนใจ เนื่องจากเป็นเขตการค้าเสรีขนาดใหญ่ที่สหรัฐใช้เป็นจุดขายและพยายามขายในบ้านตัวเองด้วย เพราะเขาพยายามชี้ว่าจะมาถ่วงดุลกับจีน ผมก็ยังมองเป็นเรื่องการเมืองอีก เพราะข้อตกลงในเอฟทีเอต่างๆ ก็เหมือนกัน อเมริกาก็เรียกร้องสิ่งนี้ตลอดเวลาอยู่แล้ว ถามว่าถ้าอเมริกาต้องการเข้ามาลงทุนหรือค้าขายในไทยมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องมีเอฟทีเอหรอกครับ บีโอไอก็เปิดให้อยู่แล้ว

“ทีนี้ ถ้าผู้กำหนดนโยบายเห็นว่าอเมริกากลับมาทำเขตการค้าเสรีผ่านทีพีพี แล้วมองว่าถ้าไทยไม่กระโดดร่วมขบวนจะทำให้เสียโอกาส วิธีการแบบนี้ผมว่าต้องมองให้ดี เราเองกำลังจะเปิดเขตการค้าเสรีกับอาเซียนซึ่งค่อนข้างเข้มข้นมากขึ้น การที่จะไปแตะกับประเทศใหญ่อย่างอเมริกาและยุโรปในช่วงเวลาแบบนี้ อาจทำให้เราไม่ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นเรื่องที่เราต้องพิจารณาอย่างถ้วนถี่”

นายจักรชัย โฉมทองดี ยกตัวอย่างการเยือนพม่าของนางฮิลลารี คลินตัน รมว.ต่างประเทศ สหรัฐฯ ในรอบ 50 ปี อาจทำให้ประเทศตะวันตกมองว่า โอกาสทางเศรษฐกิจในภูมิภาคกำลังเปิดกว้างมากขึ้น แล้วไทยมองว่าพม่าเป็นคู่แข่ง จนรู้สึกกดดันตนเองว่าจะต้องเปิดให้อเมริกาเข้ามาลงทุนได้ง่ายขึ้น แทนที่จะไปพม่า นายจักรชัยมองว่าวิธีคิดแบบนี้ค่อนข้างสุ่มเสี่ยง

ไทยอยู่ขั้วใคร‘สหรัฐฯ-จีน’

น่าสนใจที่ว่า ประเทศไทยจะวางตัวอย่างไร ต่อการกลับคืนสู่เอเชียของสหรัฐ ผศ.สุรัตน์ กล่าวว่า ก่อนที่ไปถึงจุดนั้น จำเป็นต้องวิเคราะห์ให้ชัดก่อนว่า อเมริกากลับมาครั้งนี้จะยั่งยืนแค่ไหน โดยจากสิ่งที่สหรัฐฯ จะทำต่อไป เนื่องจากในเชิงภูมิศาสตร์ห่างไกลจากเอเชียมากเมื่อเทียบกับจีน

“ยุทธศาสตร์ของไทยควรเป็นแบบไหน อย่างที่ผมให้สัมภาษณ์มาโดยตลอด ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศใหญ่ที่จะต้องมีนโยบายใดที่ชัดเจนต่อประเทศใดประเทศหนึ่ง เราจำเป็นต้องมีความยืดหยุ่นพอสมควร ดังนั้น ถ้าสหรัฐอยากเข้ามามีความสัมพันธ์ เขาก็ต้องใช้ Soft Powerซึ่งมีเยอะแยะ สังคมไทยต้องการสิ่งเหล่านี้ ไม่ว่าเรื่องนวัตกรรม เทคโนโลยี การส่งออก ที่เชื่อมโยงกับอาเซียน ย่อมมีประโยชน์ที่เราจะตักตวงได้เพิ่มเติมแน่นอน จุดนี้ถ้าเราวางตัวให้ดี แล้วเราบอกว่าคุณก็พี่ใหญ่ จีนก็พี่ใหญ่ เราต้องมองจากโลกแห่งความเป็นจริง ตรงไหนดี เราก็ดำเนินต่อไป แต่ถ้าตรงไหนที่ทั้งสองประเทศล้ำเส้นเข้ามาเรื่อยๆ เราก็อาจต้องบอกไป”

ด้านการจัดดุลความสัมพันธ์ระหว่างไทย-สหรัฐฯ-จีน นายจักรชัยเห็นว่า จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีจุดแข็งที่เป็นลักษณะเฉพาะตัวมายาวนานคือการสร้างสมดุลอำนาจระหว่างประเทศที่มีอิทธิพลในภูมิภาคนี้ได้ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ เขาจึงคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

อีกทั้งนายจักรชัยไม่คิดว่า ประเทศไทยจะเป็นจุดโฟกัสของสหรัฐฯ เพราะหากมองความเคลื่อนไหวในภูมิภาค อำนาจทางเศรษฐกิจของอินโดนีเซียและฐานะประเทศมุสลิมที่ใหญ่ที่สุดในโลก, ปัญหาความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ที่ฟิลิปปินส์และเวียนนามมีอยู่กับจีน และการปฏิรูปการเมืองในพม่า ดูจะเป็นที่สนใจของสหรัฐฯ มากกว่าไทย

อย่างไรก็ตาม ผศ.สุรัตน์ เห็นว่ายังไม่ควรด่วนสรุปต่อประเด็นความสำคัญของไทยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะถ้าเอ่ยถึงกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตย ไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ถือว่ามีความก้าวหน้าที่สุด ซึ่งอย่างน้อยก็สอดคล้องกับแนวคิดการส่งเสริมประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนของสหรัฐฯ

อีกประการหนึ่ง ประเทศไทยเป็นสมาชิกอาเซียนที่มีบทบาทสำคัญทางเศรษฐกิจ แม้ว่าจะไม่มีขนาดตลาดใหญ่เท่าอินโดนีเซียหรือสร้างผลิตภาพได้มากเท่าสิงคโปร์หรือมาเลเซีย แต่ต้องไม่ลืมว่าการตัดสินใจของอาเซียนอยู่บนพื้นฐานของฉันทานุมัติ เพราะฉะนั้นในภาพใหญ่แล้วจะมองแยกประเทศไม่ได้ ยิ่งในปี 2558 ที่จะมีการเปิดเขตเสรีการค้าของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี (ASEAN Economic Community) การตัดสินใจต่างๆ ของอาเซียนย่อมส่งผลถึงกันอย่างเลี่ยงไม่ได้

ทุกๆ การเคลื่อนไหวของประเทศมหาอำนาจที่มีต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญระดับโลกที่ทุกฝ่ายต่างต้องการมีอิทธิพล แน่นอนว่าประเทศเล็กๆ อย่างไทยย่อมเลี่ยงผลกระทบได้ยาก ดังนั้น การที่เราจะสามารถตักตวงผลประโยชน์ได้แค่ไหนก็คงขึ้นอยู่กับความสามารถของรัฐบาลเป็นสำคัญ

 

ภาพจาก www.matichon.co.th

“จตุพร” คิดการใหญ่… จะวัดรอยเท้า “ทักษิณ” อย่างนั้นหรือ ?


mmx5bulh
                                                                              ภาณุมาศ ทักษณา
        มติคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) 4 ต่อ 1 ที่เพิกถอนสมาชิกภาพการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ของ จตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทยเมื่อวันอังคารที่ 29 พ.ย.54
        ทำให้ข่าวการเมืองที่เคยถูกน้ำท่วมจนมิดมีโอกาสโผล่ขึ้นมาสร้างความคึกคักในสังคมอีกครั้งหนึ่ง,
        แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีข่าวการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเกิดขึ้นในสภาผู้แทนราษฎรมาก็ตาม แต่ข่าวนั้นก็ไม่เร้าใจเท่ากับข่าว จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดงจะถูกถอดถอนจากการเป็น ส.ส.จริงหรือ,
        และที่ผู้คนในสังคมให้ความสนใจอย่างยิ่งก็คือ ไม่ว่าก่อนหรือหลังศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินชี้ขาดนั้น กลุ่มคนเสื้อแดงทั่วประเทศที่ จตุพร พรหมพันธุ์ มักคุยอวดในทำนองว่า ให้ความรักและศรัทธาในตัวเขาอย่างท่วมท้นจะออกมาเคลื่อนไหวมากน้อยแค่ไหน ?
        หลังจากที่ จตุพร สื่อสารไปถึงว่า “รัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องเจอขวากหนามอีกมาก คนเสื้อแดงจึงมีหน้าที่ช่วยประคับประคองรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ซึ่งเท่ากับประคับประคองการปกครองระบอบประชาธิปไตยไปด้วย”
        และ “คน เสื้อแดงต้องยืนตั้งหลักอย่างมีสติ ขอให้จับจังหวะการต่อสู้ได้ดี ต้องเตรียมความพร้อม เพราะถึงอย่างไรบ้านเมืองนี้จะเกิดประชาธิปไตยด้วยน้ำมือของคนเสื้อแดง”
        คำพูดนั้น ฟังเหมือนว่า จตุพร พรหมพันธุ์ กำลังสถาปนาตัวเองเป็นผู้ทรงอิทธิพลทางการเมือง
        หรืออาจกล่าวได้ว่า จตุพร กำลังต้องการวัดรอยเท้าเทียบบารมี ทักษิณ ที่รู้กันดีว่าคือผู้สร้างมวลชนคนเสื้อแดงให้เป็นพลังการเมืองนอกสภาคู่ขนาน กับพรรคเพื่อไทยที่ทำงานการเมืองในสภา,
        สิ่งที่ผมสนใจในขณะนี้ ไม่ใช่ผลการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ว่าจะตัดสิน จตุพร พรหมพันธุ์ อย่างไร ,
        ทุกวันนี้ จตุพร ก็ไม่เคยให้เกียรติสภาผู้แทนราษฎร หนึ่งในสถาบันหลักของระบอบประชาธิปไตย อยู่แล้ว,
        จตุพรพูดบ่อยครั้งว่า “ตำแหน่ง ส.ส.เป็นเพียงหัวโขน หากเลือกได้ก็ขอเป็นคนเสื้อแดง”,
        สิ่งที่น่าสนใจต่อจากนี้คือ จำนวนของมวลชนคนเสื้อแดงที่ จตุพร มักอ้างอยู่เสมอว่าพร้อมสนับสนุนเขานั้น จะมีจำนวนมากน้อยแค่ไหน,
         ปรากฎการณ์คนเสื้อแดงครั้งใหม่นี้ ผมมองว่าไม่เพียงแต่จะสร้างความปั่นป่วนให้แก่สังคมไทยเท่านั้น,
         แต่ ปรากฎการณ์คนเสื้อแดงครั้งนี้ จะเป็นเครื่องชี้วัดว่ามวลชนคนเสื้อแดงเป็น “ฐานกำลัง” ของใครกันแน่ ระหว่าง ทักษิณ ชินวัตร กับ จตุพร พรหมพันธุ์
         หากมวลชนคนเสื้อแดงออกมาให้กำลังใจ จตุพร พรหมพันธุ์ กันมืดฟ้ามัวดิน คนที่ควรตกใจอย่างยิ่งหาใช่คนไทยทั่วไปไม่,
         ทว่า น่าจะเป็น ทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย มากกว่า,
        ..นั่น เท่ากับว่า หอกข้างแคร่ที่ทักษิณสร้างมากับมือ อาจหันปลายที่แหลมคมและหนักหน่วง มาทิ่มแทงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เมื่อไหร่ก็ได้นั่นเอง ?

พระอัจฉริยภาพเชิงประจักษ์/บิดาแห่งระบบชลประทาน

 

ตอนสร้างบ้านให้พ่อ พระตำหนักปากพนัง
โครงการลุ่มน้ำปากพนัง
                                                                โดย เบดูอิน
                   คำ ว่าเหมือนฟ้ามาโปรดจึงไม่เกินความจริงเลย แค่ได้ยินเพียงเท่านี้ ผู้คนในลุ่มน้ำปากพนังกลับมีความหวัง มีชีวิตชีวา มันเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ นี่ขนาดโครงการจริงๆยังไม่เกิด ทุกคนกลับยินดี ดีอกดีใจตื่นเต้นกับสภาพวิถีชีวิตใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น
                ครับผมกำลังจะพาทุกท่านไปสัมผัสกับลุ่มน้ำปากพนัง โครงการตามพระราชดำริ ที่เป็นอัจฉริยภาพเกี่ยวกับการจัดการน้ำของพระองค์ท่าน…..
(สัญญลักษณ์แห่งความรุ่งเรื่อง ป่องควันโรงสีไฟ)

                โครงการตามพระราชดำริ ลุ่มน้ำปากพนัง เป็นโครงการที่ทำให้ความหวังของคนอำเภอปากพนัง เชียรใหญ่ หัวไทร ชะอวด และบางส่วนของ อ.เมือง  จ.นครศรีธรรมราช บางอำเภอของ จ.สงขลาและ จ.พัทลุง

               โครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช

 ความเป็นมา 
               เมื่อวันที่ 9 และ 11 ตุลาคม 2535 และวันที่ 2 ตุลาคม 2536 พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริให้ ดำเนินการก่อสร้างประตูระบายน้ำปากพนังโดยเร็วเพื่อพัฒนาแหล่งน้ำควบคู่ไป กับการช่วยเหลือราษฎรในการประกอบ อาชีพและพัฒนาความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น โดยให้ ฯพณฯ นายจุลนภ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา เป็นประธานกรรมการโครงการ

วัตถุประสงค์ 
                 1. เพื่อ ป้องกันการรุกตัวของน้ำเค็มในแม่น้ำปากพนังและเพื่อให้เป็นแหล่งน้ำจืด และบรรเทาความขาดแคลนน้ำสำหรับการอุปโภคการเกษตรและอื่น ๆ ในเขตพื้นที่โครงการรวมถึงการเก็บน้ำใหญ่และสาขา การเก็บน้ำในพื้นที่ต้น น้ำลำธาร และในพื้นที่น้ำขังการจัดหาน้ำใต้ดิน ฯลฯ 
                2. เพื่อบรรเทาอุทกภัยทั้งในพื้นที่การเกษตร และในบริเวณชุมชนเมืองให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น 
                3. เพื่อปรับปรุงระบบชลประทานเดิม และพัฒนาระบบชลประทานใหม่เนื่องจากมีแหล่งน้ำจืดเพิ่มขึ้น 
                4. เพื่อปรับปรุงฐานะความเป็นอยู่ ระบบเศรษฐกิจและสังคมของราษฎรในพื้นที่ให้ดีขึ้น โดยมีผลกระทบต่อ สิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด 
ที่ตั้งโครงการ
 พื้นที่อำเภอชะอวด อำเภอร่อนพิบูรณ์ อำเภอเชียรใหญ่ อำเภอหัวไทร อำเภอปากพนังอำเภอลานสกา และอำเภอเมือง

หน่วยที่รับผิดชอบโครงการ 
                1. สำนักงานป่าไม้เขตนครศรีธรรมราช 
                2. สำนักอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ 
                3. สำนักวิชาการ 
                4. สำนักส่งเสริมการปลูกป่า 
                5. สำนักป้องกันและปราบปราม 
                6. กองแผนงาน 
                7. สำนักงานป่าไม้จังหวัดนครศรีธรรมราช

ระยะเวลาดำเนินการ เริ่มดำเนินการปี 2539 – 2544 รวม 6 ปี

พื้นที่โครงการ ประมาณ 1,871,875 ไร่

 

            นี่ คือข้อมูลโดยสังเขปของโครงการฯ ผมไปเยี่ยมบ้านพ่อครั้งนี้ พ่อของผมมีสองนัยยะด้วยกัน อันแรกกลับไปทำหน้าที่ตามที่ผู้นำชุมชนบ้านแสงวิมานขอร้องในเรื่องเกี่ยวกับ ส้มโอพันธุ์ ทับทิมสยามที่ พ่อผมเป็นคนแรกที่นำพันธุ์นี้มาปลูก(ซึ่งผมจะเขียนถึงในโอกาสต่อไป) ผมเลยต้องไปทำหน้าที่บอกความจริงให้ ที่ปรึกษาสำนักพระราชวังฝ่ายกิจกรรมพิเศษ และบรรดาผู้สื่อข่าวได้รับทราบ แทนคุณพ่อซึ่งท่านเสียชีวิตไปแล้ว

             พ่อ อีกนัยยะต่อมาคือพ่อหลวง ผมเองในฐานะที่เคยทำหน้าที่อนุกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ ในโครงการสร้างบ้านให้พ่อ อยากจะมาเยี่ยมบ้านของพ่อหลวง ซึ่งผมเองแอบภูมิใจลึกๆว่า ตัวเราเองมีส่วนเล็กๆในการบอกล่าวให้ผู้คนได้ช่วยกันสร้างบ้านให้พ่อ บ้านพ่อหลังนี้คือความตั้งใจของพี่น้องชาวลุ่มน้ำปากพนัง อยากจะสร้างที่ทรงงานให้พระเจ้าแผ่นดิน โดยไม่พึ่งพางบประมาณใดๆของรัฐ เป็นการรวมน้ำใจของประชาชน เงินของประชาชน บางคนมีเงินแค่เล็กน้อยอยากจะมีส่วนร่วม ก็บริจาค เป็นสิ่งที่คนไทยอยากทำให้พ่อ…

             ผม ว่าไม่เฉพาะคนในแถบๆลุ่มน้ำปากพนังเท่านั้นที่ร่วมกันสร้างบ้านให้พ่อ แต่ผมเองในช่วงนั้นทำรายการอยู่ที่ภาคอีสาน ได้นำเสนอเรื่องนี้ไปในรายการ มีผู้ฟังรายการภาคอีสานมากมายที่โทรศัพท์มาขอเลขบัญชีธนาคาร เพื่อโอนเงินไปร่วมสร้างบ้านให้พ่อ นั้นก็หมายความว่า บ้านของพ่อหลังนี้คนไทยหลายภาคมีส่วนร่วมสมทบทุนสร้าง

               ผม ไม่เคยมาเยี่ยมหรือมาดูความคืบหน้าบ้านหลังนี้มากนัก ก่อนหน้านี้หลายปีมากแล้ว ก็เคยมาเที่ยวดูครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่เคยแสดงตัวว่าเป็นใคร ก็เลยต้องมองดูแต่ภาพไกลๆ 

 

              พระ ตำหนักประทับแรมอำเภอปากพนัง เป็นพระตำหนักแห่งแรกของประเทศที่ประชาชนร่วมใจกัน สร้างถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งโครงการนี้เป็นที่รู้จักในนาม “สร้างบ้านให้พ่อ”  ริเริ่มโครงการโดย  มูลนิธิ รักษ์แผ่นดินเกิดลุ่มน้ำปากพนัง ซึ่งนำโดย นายสอน นนทภักดิ์ และได้มีการสานต่องานเรื่อยมาจากหน่วยงานหลายฝ่ายจนปัจจุบันได้เสร็จสมบูรณ์ แล้ว
ในปี พ.ศ.๒๕๔๗ ได้ส่งมอบให้สำนักพระราชวังดูแล  พระตำหนักปากพนัง เป็นหมู่อาคารศิลปะไทยประยุกต์ออกแบบโดย ดร.ภิญโญ สุวรรณคีรี ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์

           โดยมีบันทึกของ ดร.ภิญโญ ที่กล่าวถึงโครงการสร้างบ้านให้พ่อด้วยความปลื้มปีติไว้ตอนหนึ่งว่าหลังจากได้ศึกษาเรื่องทั้งหมดจากผู้หลักผู้ใหญ่แล้วก็มานั่งเขียนแบบพระตำหนัก  ช่วง นั้นในราวปลาย ปี พ.ศ.๒๕๓๘ ขณะนั่งอยู่ก็เห็นภาพพระองค์ท่านในทีวี ทรงมีพระราชดำรัสในวันที่ ๕ ความว่าเป็นที่ที่ประชาชนจะสร้างบ้านถวาย ได้ฟังขณะนั้นขนลุกไปทั้งตัวเพราะเรื่องที่ทำอยู่นี้เป็นที่สุดของชีวิตแล้ว ” 

 

             ใน อดีต อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช นับเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำที่อุดมสมบูรณ์มากที่สุดแห่งหนึ่ง แต่หลังจากประสบวาตภัยครั้งรุนแรง ประกอบกับผลกระทบจากอุตสาหกรรม “นากุ้ง”จึงทำให้สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรมอย่างหนัก ในหลวงได้ทรงช่วยเหลือ จน เกิดเป็นโครงการพัฒนาลุ่มน้ำปากพนัง โครงการในพระราชดำริ ชาวปากพนังซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอย่างใหญ่หลวงที่มีต่อชาวปากพนัง จึงสร้างพระตำหนักถวายพระองค์ท่านเป็นโครงการ สร้างบ้านให้พ่อ”

             ผมไม่เคยรู้จักนายสอน  นนทภัก ดิ์ หรือใครในมูลนิธินี้เลย และก็จำไม่ได้ว่าใครมาเป็นคนชวนผมให้มาทำหน้าที่อนุกรรมการฝ่ายประชา สัมพันธ์ ที่รับรู้อย่างเดียวก็คือ ถ้าเรื่องนี้แล้วเอาด้วยโดยไม่ต้องคิด ผมจึงรับปาก แล้วก็ทำหน้าที่นี้เสมอมาทุกๆวัน  

 

             โดย ปกติรายการที่ผมทำนั้นเป็นรายการเชิงวิเคราะห์ โดยมี ศ.ดร.อรรถ นันทจักร เป็นผู้อำนวยการผลิต เรียกได้ว่าวิเคราะห์ทุกเรื่อง ตั้งแต่การเมือง ยันศาสนา แต่ที่ผมชอบนำเสนอมากที่สุดคือ ศาสตร์ของพระราชาผม เป็นคนที่เป็นปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ขึ้นเสมอง ไม่ว่าจะวิเคราะห์อะไรผมสามารถลากเข้าสู่หลักปรัชญานี้ได้ทุกเรื่อง และผมทำรายการแบบคุย ใช้ภาษาชาวบ้าน ง่ายๆรูปแบบ มีทั้งบู้ทั้งบุ๋น ถ้าเรื่องที่เกี่ยวกับพระเจ้าแผ่นดิน ผมจึงพูดได้ทุกวัน

             สำหรับความเป็นมาของการ สร้างบ้านให้พ่อ”  เดิม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินมาทรงปฏิบัติพระราชกรณีย กิจที่ประตูน้ำอุทกวิภาชประสิทธิ์ แต่ไม่มีที่ประทับ ชาวลุ่มน้ำปากพนังจึงมีความคิดที่จะสร้างศาลาเล็กๆ ตรงประตูระบายน้ำ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2538 ต่อมา จึงมีพระราชดำรัสทางโทรทัศน์ตอนหนึ่งว่า มีชาวบ้านเขาบอกว่า เขาจะทำบ้านให้ สร้างขึ้นที่หัวงานประตูระบายน้ำ”  บ้านพ่อ หรือพระตำหนักปากพนังจึงถูกจัดสร้างขึ้นใช้พื้นที่ประมาณ 120 ไร่ ภายในพระตำหนักประทับแรมเฉลิมพระเกียรติ มีสวนพฤกษศาสตร์พื้นเมือง หลากหลายชนิด บางชนิดเราไม่รู้จักไม่เคยเห็นก็มี
 

        พระ ตำหนักปากพนังหรือพระตำหนักประทับแรม เป็นหมู่อาคารศิลปะไทยประยุกต์ มองเห็นได้ชัดเจนเมื่อขับรถขึ้นไปบนสะพานข้ามแม่น้ำปากพนัง เมื่อมองไปทางขวาจะเห็นหมู่อาคาร 15 หลังโดดเด่นเป็นสง่าแต่ไกลรูปแบบสถาปัตยกรรมเป็นลักษณะศิลปะไทยที่ผสมผสาน งานศิลปะแบบ ปักษ์ใต้” สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำพระตำหนักปากพนัง คือ บ่อน้ำพุพระนารายณ์ทรงสุบรรณตามคติความเชื่อที่ว่า พระมหากษัตริย์เป็นปางอวตารหนึ่งของพระนารายณ์ 

  

        นายรัตนาวุธ  วัช โรทัย ที่ปรึกษาสำนักพระราชวังฝ่ายกิจกรรมพิเศษและคณะ ลงมาในวันนั้นก็เพื่อมาบวงสรวงพระนารายณ์ทรงสุบรรณ แล้วก็ถือโอกาสมาเยี่ยมเยี่ยนพี่น้องประชาชนในโครงการฯด้วย

        ใครๆ ที่ผ่านไปบ้านพ่อจะมองเห็นประตูน้ำ ซึ่งมีลักษณะเดียวกันกับประตูน้ำคลองลัดโพธิ อ.พระประแดง ผมยอมรับว่าบางครั้งภาษาไทยเราเองยังงง อ่านว่าอะไร แปลว่าอะไร ที่นี่ก็เช่นกันผมได้มาพบกับนาม อุทกวิภาชประสิทธิคนไทยแท้ๆสองสามคนกว่าจะอ่านได้ นี่ขนาดภาษาไทยนะ
 

        อุทกวิภาชประสิทธิเป็น นามพระราชทานที่เป็นมงคลยิ่ง ไม่น่าเชื่อว่าความหมายของประตูน้ำจะให้ภาพที่ชัดเจนยิ่งนักต่อภูมิศาสตร์ ของโครงการ อันมีความหมายถึง ความสามารถ แบ่งแยก น้ำจืด น้ำเค็ม ได้สำเร็จ นั่นคือ มีการบริหาร จัดการ อย่างสมดุล ปิดกั้นน้ำเค็มไม่ให้รุกเข้าไปในแหล่งน้ำจืด กักเก็บน้ำจืดไว้ใช้ในการบริโภค การเกษตรและดำรงชีพ ซึ่งจะเป็นบทเริ่มต้นในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของ ผู้คน และเอื้ออำนวยให้มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติในลุ่มน้ำปากพนัง ให้เป็นไปอย่างคุ้มค่ายั่งยืน ซึ่งประตูระบายน้ำอันเป็นปฐมบทของโครงการพัฒนาลุ่มน้ำปากพนังอันเนื่องมา จากพระราชดำรินี้ ได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2542 มีความสามารถเก็บกักน้ำจืด เหนือประตูระบายน้ำได้ 72 ล้านลูกบาศก์เมตร มี 10 ช่องประตูและมีประสิทธิภาพในการระบายน้ำในอัตรา 1,246 ลูกบาศก์เมตร/วินาที

        วัน นั้นผมเดินทางไปเยี่ยมบ้านพ่อ หวังในใจลึกๆว่าอยากจะเห็นความสำเร็จเล็กๆที่เราก็มีส่วนอยู่ ด้วยความภาคภูมิใจ แต่ขอชมนิทรรศการของโครงการฯก่อน โชคดีมีโอกาสได้พบกับรองผู้อำนวยการโครงการฯซึ่งเมื่อวานพบกันในหมู่บ้าน แล้ว ท่านก็ทราบแล้วว่าผมเป็นใคร ท่านบอกว่า เสียดายถ้าทราบมาก่อนจะเชิญมาเมื่อวานนี้ด้วยจะได้เข้าชมด้วยกัน ปกติจะเปิดให้ชมในวันเสาร์-อาทิตย์ (ดูเหมือนท่านก็จะพาผมเข้าชมเป็นกรณีพิเศษ แต่ผมปฏิเสธ ท่านไปว่าไม่เป็นไร ผมต้องไปที่อื่นอีก เห็นแค่นี้ก็ดีใจแล้ว และขออนุญาตท่านเข้าไปชมรอบๆพระตำหนักด้านนอก)
        ด้าน ในห้องเป็นที่จัดแสดงนิทรรศการ หากประสานงานไปที่โครงการฯก่อนจะมีเจ้าหน้าที่ นำชม วันนั้นโชคดีที่มีคุณครูโรงเรียนแห่งหนึ่งในตัวจังหวัด นำนักเรียนมาทัศนศึกษา เลยตามคณะนักเรียนไปด้วยเลยได้ความรู้มากมาย
 

        มีการนำเสนอข้อมูลเรื่องราว เป็นขั้นเป็นตอนตั้งแต่ประวัติศาสตร์ ของลุ่มน้ำ การเสด็จประพาสจังหวัดนครศรีธรรมราช ของรัชกาลที่ 5 วิถี ชีวิตของผู้คนในท้องถิ่น ความเจริญรุ่งเรืองของอ่าวปากพนังในอดีต การเกิดมหาวาตภัยแหลมตะลุมพุก น่าสนใจจริงๆ ดูตรงนี้เสร็จแล้วผมแนะนำให้ท่าน ไปชมสถานที่จริงๆของแหลมตะลุมพุกซึ่งไปอีกไม่ไกลนัก จะได้บรรยากาศริมทะเลอ่าวไทย และย้อนอดีตที่รุ่งเรืองและตกต่ำ   

 

        บรรยากาศบริเวณ บ้านพ่อช่าง สงบร่มเย็นยิ่งนัก มีพันธุ์ไม้พื้นถิ่นหลายชนิด มีแปลงทดลองปลูกปาล์ม สถาที่พักผ่อนย่อนใจที่อิงไปกับบรรยากาศลุ่มน้ำปากพนัง ดูๆไปแล้ว พระตำหนักของ ในหลวงไม่ ว่าจะเป็นที่ใด ล้วนแล้วแต่เป็นสถานที่ต้นแบบ ของการส่งเสริมวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของประชาชน เป็นเสมือนสถานที่ทดลองทางการเกษตร เป็นที่เรียนรู้

 

        สมแล้วกับคำพูดที่ว่าพระราชวังของพระมหากษัตริย์ไทยแปลกที่สุดในโลก ไม่เหมือนพระราชวังโดยทั่วไป เป็นที่เพาะปลูก เป็นที่เลี้ยงสัตว์ เป็นที่ทดลองต่างๆ ทั้งหลายทั้งปวงก็เพื่อพสกนิกรชาวไทย

        พระมหากษัตริย์ไทย โดยเฉพาะ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรง อุทิศพระวรกายของพระองค์เพื่อเป็นแบบอย่างในทุกเรื่อง เริ่มตั้งแต่การเป็นผู้มีคุณธรรม การอยู่อย่างสมถะพอเพียง การเสียสละ การเป็นผู้ปิดทองหลังพระ การคิดและทำเพื่อผู้อื่น

 

           โครงการ พระราชดำริทุกโครงการ นอกจากจะมีขึ้นเพื่อคนไทยทุกคนแล้ว ยังเป็นการนำ และเสริม ในนโยบายที่รัฐบาลทุกรัฐบาลจะต้องทำเพื่อประชาชน จึงไม่มีเหตุผลใดๆที่คนไทยจะไม่รัก ในหลวง

 

                   เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2554 หนังสือ พิมพ์รายวันฉบับหนึ่ง ได้ลงคำสัมภาษณ์ของผมที่ว่า “โครงการลุ่มน้ำปากพนัง เปรียบเสมือนสวรรค์ ไม่เคยคิดว่าพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จะเกิดขึ้นที่ตรงนี้ ทำให้ชาวบ้านเริ่มมีความหวังในชีวิต การทำการเกษตรดูมีความหมายมากขึ้น ชีวิตความเป็นอยู่ของทุกคนดีขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการศึกษาสามารถเรียนต่อได้ไกลๆ”

          เมื่อเช้านี้(2 ธ.ค.)ข่าว เช้าไทยพีบีเอส ก็ได้รายงานข่าวในช่วงที่ผมได้เดินทางลงไปที่ลุ่มน้ำปากพนัง ท่านสามารถชมรายงานชิ้นนี้ได้ย้อนหลังในวันและเวลาดังกล่าว

ขอขอบคุณ ok nation

เฟซบุ๊คนายกรัฐมนตรีกระทำการผิดพลาดใหญ่หลวง แค่ขอพระราชทานอภัยโทษน่าจะไม่เพียงพอ

Posted Image
000000000000
เฟซบุ๊คนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทำเหตุระคายเคืองอีกแล้ว โดยทีงานได้ใช้ชื่อของนายกรัฐมนตรี
ขึ้นข้อความว่า ” 5 ธันวา รวมพลังคนไทย รวมหัวใจถวายพระพรชัยมงคล”
จากนั้นมีประชาชนพสกนิกรได้เข้าไปแจ้งให้เปลี่ยนแปลงภาพเพื่อให้ถูกต้อแต่เพิกเฉยก่า 9 ชั่วโมง
จึงมีการขึ้นข้อความใหม่

เฟซบุ๊คของนายกรัฐมนตรี ทำความเสื่อมเสียอย่างไม่น่าอภัย ใส่พระบรมฉายาทิศลักษณ์ผิดรัชกาล
มีผู้คนเข้าไปทักท้งเป็นเวลากว่า 9 ชั่วโมงแต่ไม่มีการแก้ไข
จากการตั้งกระทู้ของคุณ “เด็กปากดี” ที่ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ดแจ้งว่า
ได้ติดต่อประสานงานไปถึง สส.และนักการเมืองหลายคน ในที่สุดได้แจ้งไป่ที่ นายยงยุทธ์ วิชัยดิษฐ์
จึงมีการประสานต่อให้ลบรูปภาพดังกล่าว และในเฟซบุ๊คแจ้งว่า
“ด้วยทีมงานของเฟซบุ๊คนี้ได้ดำเนินการผิดพลาดขึ้นพระบรมฉายายาลักษณ์และได้รายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบ
นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้แก้ไข และจะได้มีหนังสือกราบเรียนท่านราชเลขาธิการเพื่อนำความกราบบังคมทูลเพื่อขอ พระราชทาอภัยโทษในข้อผิดพลาดดังกล่าว
(ทีมงาน)
00000
มีคำถามสั้นๆ ถึงทีมงานนายกรัฐมนตรีว่า ผิดพลาดหรือจงใจ
เพราะภาพพระบรมฉายาทิศลักษณ์ ปรากฎชัดเจนว่าเป็นพระองค์ใด รัชกาลที่ 8 หรือ 9
การหาภาพประกอบข่าว จำเป็นต้องคัดกรองหลายชั้นกว่าจะส่งภาพประกอบข้อความเชิญชวนในนามนายก รัฐมนตรีซึ่งถือเป็นผู้แทนประชาชนคนไทยทั้งประเทศ
ความผิดพลาดครั้งนี้ คนไทยรักในหลวงให้อภัยยากจริง ๆ
มันเกินไปแล้ว จะรับผิดชอบยังไง ความผิดใหญ่หลวงเช่นนี้
แค่ขอพระราชทายอภัยโทษน่าจะไม่เพียงพอซะแล้ว
แคนไท รักในหลวง

"แดงล้มเจ้า"ประกาศยุทธศาสตร์ 6 ยึด ล้มล้างระบอบกษัตริย์ ...จะอันตรายกว่านี้ถ้ารัฐอุ้มสมด้วยกม.นิรโทษกรรม!!

             ถือว่ามีความชัดเจนในระดับสำคัญ  หลังจากรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์”  กลับลำแปรสภาพ พ.ร.ฎ.อภัยโทษ ที่มุ่งประโยชน์ พ.ต.ท.ทักษิณ  ไปสนับสนุนให้นักโทษชั้นดีส่วนใหญ่   ยังคงได้รับพระมหากรุณาธิคุณเช่นเดิม   แต่ก็ใช่ว่าปฏิบัติการนำ “ทักษิณ” กลับบ้านจะจบลง แต่หนนี้  ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง   จะใช้พ.ร.บ.นิรโทษกรรม   เป็นฉากบังหน้า  เพื่อเปิดโอกาสให้ความฝันนายใหญ่เป็นจริง ???


                 ประเด็นสำคัญของการเดินหน้าพ.ร.บ.นิรโทษกรรม  ไม่ใช่แค่เพียงทำให้ทุกคดีที่เกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดง  ถูกยกระดับเป็นคดีการเมือง  โดยการกล่าวอ้างว่าเพื่อความปรองดองประเทศ  เพราะมีการนำคดีของคนเสื้อเหลืองมาบวกรวมไว้อย่างเสร็จสรรพ    แต่มากไปกว่านั้นเชื่อแน่ว่า  คดีที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 112   ก็จะถูกผนวกเข้าไว้ด้วยกับอานิสงส์ของ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม  ด้วยเช่นกัน


                   ข้อพิจารณาก็คือผลพวงของการเหวี่ยงแหปลดปล่อยความผิดในทุกคดี อันสืบเนื่องมาจากความวุ่นวายทางการเมืองเป็นเรื่องสมเหตุสมผลหรือไม่  โดยเฉพาะในกรณีของกลุ่มขบวนการล้มเจ้า  ที่มีเป้าหมายชัดเจนในเรื่องการล้มล้างสถาบัน  ที่มีการบิดเบือนในหมู่คนเสื้อแดงว่าเป็นเรื่องไม่ผิดกฎหมาย เ  พราะการเปลี่ยนแปลงระบอบ  ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลง  “ประชาธิปไตย” .... 


                    ทั้ง ๆ ที่ก็เข้าใจโดยทั่วกันว่า ที่สุดของแนวคิดนี้  ก็คือ   “การปกครองในรูปแบบสาธารณรัฐ”    ที่พระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพรักจะถูกทำให้เป็นแค่สัญลักษณ์ทางการเมือง  โดยไร้ซึ่งพระราชอำนาจใด ๆ  ทั้งสิ้น !!!


                   และนี่เป็นสัญญาณอันตรายยิ่งต่อความแตกแยกของผู้คนในประเทศรอบใหม่  ที่จะเกิดขึ้น   จากการออกมาสนับสนุนและคัดค้านการออกกฎหมาย    เปิดช่องให้ “พ.ต.ท.ทักษิณ”   กลับบ้าน     รวมถึงการใช้กฎหมายฉบับเดียวกันนี้     ปลดปล่อยขบวนการล้มเจ้าให้เป็นอิสระ     ตามทิศทางที่แกนนำล้มเจ้าอย่าง  “ใจ  อึ๊งภากรณ์”   หรือ  “จักรภพ  เพ็ญแข”     และ   แนวร่วมแดงทั้งหลายแสดงความต้องการ  มากไปกว่าการช่วย  “พ.ต.ท.ทักษิณ”  คนเดียว   ….
 

                   ท่ามกลางจุดเดือดกรณี  “ คุก  20 ปี SMS  อากง”   ...   ที่ถูกนำไปขยายความอย่างสบช่องโอกาส       ด้วยข้อกล่าวอ้างว่านี่คือความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นในสังคม    โดย      คน ล้มเจ้าทั้งหลายกลับไม่พูดความเป็นธรรม   สำหรับคนไทยผู้จงรักภักดี  และ  กระทั่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว   ที่ทรงอยู่ในฐานะไม่อาจทรงลงมาตอบโต้ได้เหมือนปุถุชน   จนพระองค์ท่านต้องทรงแบกรับพระราชภาระจากสารพัดข้อกล่าวหา  ที่คนเสื้อแดงยัดเยียดให้       ???
  


                    “ ยุทธศาสตร์และยุทธวิธีล้มเจ้า ”   แนวคิดที่  “สนข.ทีนิวส์”    ตรวจสอบค้นจากบุคคลที่อ้างตัวเป็นนักวิชาการด้านการเมือง  และใช้นามแฝงว่า   “   ดร.เพียงดิน  รักไทย ”      ซึ่งปรากฏตัวในเวปแดง     ตอกย้ำให้คนไทยทั้งประเทศ     โดยเฉพาะมวลชนเสื้อแดงประจักษ์ว่า     นอกจากแนวทางการเรียกร้องประชาธิปไตยที่พูดกันปากต่อปากว่า   ยังไม่สมบูรณ์เบ็ดเสร็จนั้น    การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง   มีกรณีซ่อนเร้นเรื่องการล้มล้างสถาบันเบื้องสูงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอย่าง แน่นอน 
 

                    “ถึงเวลาแล้วที่คนเสื้อแดงต้องกล้าพูดเรื่องล้มเจ้า  เพราะการล้มเจ้าไม่ใช่เรื่องผิด   เพราะเราไม่ได้ (ฆ่า)  ใคร  ซึ่งเป็นการกระทำผิดทางกฎหมาย  แต่การไม่เอาเจ้าหมายถึงการไม่เอาระบบและกลุ่มบุคคลที่ยึดโยงอำนาจไว้เป็น ประโยชน์ส่วนตน ...  ”


                        จากถ้อยคำของ   “ ดร.เพียงดิน  รักไทย  ”       ไม่ต้องตีความเป็นอย่างอื่น   เพราะการสื่อความข้างต้นบ่งบอกอย่างชัดเจน   สำหรับทัศนคติที่มีต่อสถาบันเบื้องสูงของแนวร่วมแดงกลุ่มนี้เป็นอย่างไร    และ   เป็นเหตุเป็นผลว่าทำไมขบวนการคนเสื้อแดง  จึงออกมาเคลื่อนกระบวนการต่อสู้ในเรื่องนี้อย่างเอาเป็นเอาตาย   กับ  กรณี  “ SMS  อากง ”    โดยไม่ใยดีกับข้อเท็จจริงทางกฎหมาย   ว่าด้วยการหมิ่นประมาท   กล่าวร้ายป้ายสี  ที่ทุกคนย่อมมีสิทธิได้รับการคุ้มครอง    ตั้งแต่บุคคลธรรมดา  ไปจนถึงพระมหากษัตริย์   และองค์รัชทายาท


                     “  ประเด็นของอากงเป็นกรณีที่ต้องนำมาเชื่อมโยงกับแผนการปฏิวัติ    ทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ    การแก้ไขกม. มาตรา 112    หรือ   กม.ที่เกี่ยวข้อง    ซึ่งจะเกี่ยวข้องไปถึงการล้มล้างระบอบไปเลย  ...  ” 


                   และด้วยถ้อยประโยคแบบนี้ใช่หรือไม่ว่า   ในมุมกลับของการต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรม      ให้กับ  “อากง”    แท้จริงแล้วก็มีเป้าหมายแฝงทางการเมืองซ่อนเร้นอยู่เป็นประเด็นสำคัญ    จน    “สนข.ทีนิวส์”     อดคิดไม่ได้เหมือนกันว่า   แท้ จริงแล้ว    “อากง”     กำลังตกเป็นเหยื่อของใครกันแน่    ถ้าพิจารณาจากสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์   ซึ่งตกเป็นฝ่ายถูกกล่าวหามาโดยตลอด ...  


                 ในขณะที่ผู้คนส่วนใหญ่ของประเทศ  ยังคงชัดเจนในจุดยืนเรื่องความจงรักภักดี   ภายใต้พระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อคนไทยมายาวนานกว่า  60 ปีแห่งการครองราชย์  ???    


                  “พี่น้องเสื้อแดงที่ต้องการแนวทางปฏิวัติ   ต้องเลิกแนวทางที่หน้อมแน้ม   เลิกเชียร์ยิ่งลักษณ์ไปวัน  ๆ  เลิกสนับสนุนทักษิณแบบเพ้อเจ้อ   ที่ไม่การกดดัน  ไม่มีการเสนอแนวคิด   เพราะการจะล้มเจ้า  การจะปฏิวัติประเทศ   ต้องมีการกำหนดยุทธศาสตร์   ยุทธวิธีให้ชัดเจน     รัฐสภาที่อยู่ภายใต้การนำของยิ่งลักษณ์   ต้องกล้าวิพากษ์วิจารณ์ปัญหาของสถาบันฯ  ต้องกล้าเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่ไม่เห็นด้วย ... ขณะที่คนเสื้อแดงก็ต้องรู้ว่าสู้เพื่ออะไร  และกับใคร ....  ”


                 ความเข้มข้นในการแสดงชุดความคิดอันเลวร้าย  ไม่ได้จบเพียงเท่านั้น   “   ดร.เพียงดิน  รักไทย ”   ยังก้าวล่วงไปถึงการปลุกระดม   ทำให้เกิดกระบวนการลดทอนอำนาจของมหากษัตริย์    ด้วยการกล่าวหาว่าทรงลงมายุ่งเกี่ยวทางการเมือง  และเรียกร้องให้เครือข่ายทักษิณร่วมพลังเดินหน้าไปสู่เป้าหมาย


                  “พรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงต้องร่วมกัน  ไม่นานนักเราจะได้เห็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าแดงสยาม  ขบวนการปฏิวัติกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว  ...   เราต้องมียุทธศาสตร์ที่มีเป้าหมายว่าด้วยการล้มล้างโครงสร้างเดิม ๆ  แล้วสร้างระบอบประชาธิปไตยขึ้นมาใหม่   ส่วนยุทธวิธีจะใช้วิธีการลุกฮิอขึ้นมายึดทุกสิ่งทุกอย่าง  หรือ ใช้กระบวนทางรัฐสภา  ผ่านการโหวตประชามติก็ว่ากันไป    


                 แต่สิ่งแรกที่ต้องทำคือ  1. แย่งชิงมวลชนทั้งหมดมาให้ได้   จากนั้นก็ 2.ยึดสื่อมวลชนมาอยู่ภายใต้การควบคุม  ภายใต้หลักกำกับให้มีการนำเสนอความจริงอย่างตรงไปตรงมา    ต่อด้วย 3.การยึดสภาที่ว่าด้วยคะแนนเสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภา   เพื่อนำไปสู่ขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงกฎหมายในระดับต่าง ๆ    4.ยึดอำนาจเจ้าหน้าที่ตำรวจ  ทหาร  ผ่านการกำกับการใช้อำนาจให้อยู่ภายใต้ขอบเขต   5.  ยึดกลไกลทางเศรษฐกิจ  เพื่อวันหนึ่งเราจะใช้ระบอบเศรษฐกิจจากพื้นฐานการผลิตทั้งหมด  เป็นเครื่องมือต่อสู้กับพวกชนชั้นสูง   และ 6. ยึดอำนาจศาลตุลาการ  เพื่อปกป้องไม่ให้เกิดการใช้อำนาจในส่วนนี้ ในการทำร้ายฝ่ายตรงข้าม


                 …  นี่คือทฤษฎีปฎิวัติที่เชื่อ ว่าจะไม่ทำให้เกิดการเสียเลือดเสียเนื้อ   และถ้าสามารถยึดทั้งหมดได้  สถาบันพระมหากษัตริย์  ก็เหมือนลูกไก่ในกำมือ    จับไปวางตรงไหนก็ง่ายดาย ..." 


                    นี่คือ ชุดความคิดจริง ๆ ของพวกล้มเจ้า  (ดร.เพียงดิน รักไทย)  ที่ถูกมองว่ากำลังฮึกเหิมยิ่งในยุคพรรคเพื่อไทยดำรงสถานะสูงสุดในฝ่าย บริหาร     และกำลังมีแนวโน้มจะทำให้เกื้อหนุนให้กลุ่มขบวนการยกระดับกลายเป็นเสือติด ปีก    ถ้ารัฐบาลเดินหน้าพ.ร.บ.นิรโทษกรรม   ด้วยการผนวก “แดงล้มเจ้า”    เข้าไว้ในข่ายคดีการเมืองเพื่อนำไปสู่การปลดปล่อยให้เป็นอิสระ    รวมทั้งจะกลายเป็นเชื้อชนวนจุดไฟเผาแผ่นดินรอบใหม่    เพราะนี่ไม่ใช่แนวทาง การปรองดองอย่างที่กล่าวอ้างแน่นอน   ???   
คลิกที่ภาพเพื่อดูภาพขนาดใหญ่


สื่อที่เกี่ยวข้องกับข่าว






วัน - เวลา 2011-11-29 18:16:20
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง