บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง "นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ"

บทพระราชนิพนธ์แปลเรื่อง "ติโต"

by SIAM1932 -----------------------------------------------------------------------------
ความนำ
"ประเทศ ของเรา ไม่ใช่ประเทศของหนึ่งคน สองคน เป็นประเทศของทุกคนต้องเข้าหากัน ไม่เผชิญหน้ากันแก้ปัญหาเพราะว่าอันตรายมีอยู่ เวลาคนเราเกิดความบ้าเลือด ปฏิบัติการรุนแรงต่อกันด้วยความลืมตัว ลงท้ายไม่รู้ว่าตีกันเพราะอะไรแล้วจะแก้ปัญหาอะไร เพียงแต่ว่าจะต้องเอาชนะ แล้วใครจะชนะ มีแต่แพ้ คือ ต่างคนต่างแพ้ ที่แพ้ที่สุดก็คือประเทศชาติ ประชาชนที่แพ้จะเป็นประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่ประชาชนเฉพาะในกรุงเทพฯ ถ้าสมมติว่ากรุงเทพมหานครเสียหายประเทศก็เสียหายไปทั้งหมด แล้วจะมีประโยชน์อะไร ที่จะทะนงตัวว่าชนะเวลาอยู่บนกองสิ่งปรักหักพัง"
(พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ)
เมื่อ วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๓๕ สภาพเหตุการณ์ในวันนั้น ตลอดทั้งวันเต็มไปด้วยความสับสน ประชาชนทั่วไปทุกแห่งทุกหนมีความหวาดระแวงว่าเกิดอันตราย ความหวาดระแวงว่า ประเทศชาติของเรากำลังอยู่ในภาวะวิกฤติ มีการเผชิญหน้ากันอย่างรุนแรง ทำให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิต เลือดเนื้อ แก่วัตถุของประชาชนและบ้านเมือง โดยเฉพาะทางจิตใจและทางเศรษฐกิจของประเทศชาติอย่างมาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าฝ่ายค้านของรัฐบาลเข้าเฝ้าฯ รับพระราชทานกระแสพระราชดำริ เพื่อที่จะน้อมรับไปพิจารณาหาทางระงับเหตุการณ์ และหันหน้าเข้าหากัน ไม่เผชิญหน้ากัน สมมติให้ฟังว่า ถ้ากรุงเทพมหานครเสียหาย ประเทศชาติก็เสียหายไปทั้งหมด แล้วก็จะมีประโยชน์อย่างไรที่จะทะนงตัวว่า ชนะเวลาอยู่บนกองสิ่งปรักหักพัง ทรงขอให้ช่วยกันแก้ปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นให้สิ้นสุดลง แล้วช่วยกันเยียวยา และพูดกันปรึกษากันว่า จะทำอย่างไรที่จะให้ประเทศไทยจะได้รับสร้างสรรค์พัฒนาเจริญก้าวหน้าขึ้นมา ได้ ความร่มเย็นเป็นสุขของประชาชนกลับคืนมาได้
กระแสพระราชดำรินี้ มุ่งให้ทุกฝ่ายยุติการเผชิญหน้ากัน ยุติความรุนแรง ทรงวิเคราะห์ว่า เมื่อเกิดการปฏิบัติต่อกันด้วยอารมณ์ ถือฝ่ายถือพวกอย่างรุนแรงแล้ว ก็มักจะลืมตัวลงท้ายก็ไม่รู้ตีกันเพราะอะไร แล้วก็จะแก้ไขปัญหาอย่างไร ด้วยมัวแต่มุ่งเอาชนะต่อกัน ทรงอธิบายว่าจะไม่มีใครชนะ มีแต่จะแพ้ คือต่างคนต่างแพ้ แต่ที่แพ้ที่สุดก็คือประเทศชาติ กระแสพระราชดำรินี้สามารถหยุดยั้งความรุนแรงที่กำลังปะทุอยู่แก่บุคคลผู้ แบ่งพวกพ้อง หลายฝักหลายฝ่าย ซึ่งเหมือนกับกำลังเกิดสงครามกลางเมือง ให้ยุติการชุมนุมอย่างยืดเยื้อ ซึ่งนับวันจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นได้ ในทันทีที่มีกระแสพระราชดำรัสอันทรงคุณค่าทางจิตใจของบุคคลทุกฝ่าย แพร่ออกทางสถานีวิทยุ โทรทัศน์ และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย โทรทัศน์แห่งประเทศไทย ด้วยเดชะพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม ประเทศไทยจึงกลับเข้าสู่สภาพปกติในวันรุ่งขึ้น ห้างร้าน ตลอดจนธนาคารเปิดการตามปกติ การจราจรก็หนาแน่นขึ้นตามเดิม กระแสพระราชดำริที่พระราชทานบุคคลสำคัญของชาติ ให้ยุติทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังเผชิญหน้าที่กำลังรุนแรง ทรงขอให้นำกลับไปพิจารณาด้วยความรักชาติ ช่วยกันแก้ปัญหาและช่วยกันฟื้นฟูความเป็นกลาง ช่วยกันสร้างสรรค์ความสงบของประเทศชาติเข้าสู่ทางแห่งความวัฒนาถาวร ความร่มเย็นเป็นสุข อันเป็นกระแสพระราชดำริที่ทรงใช้หลักรัฐศาสตร์ และหลักขัตติยธรรมโดยแท้ ต่อมาจึงมีประกาศพระราชกำหนดพระราชทานอภัยโทษแก่ทุกฝ่าย เพื่อให้เกิดความสงบสุขแก่ประเทศชาติ ได้ระงับเหตุที่กำลังรุนแรงอยู่ขณะนั้นได้อย่างรวดเร็ว และเพื่อที่ทุกฝ่ายมีโอกาสร่วมกัน เกื้อกูลปรับปรุงบูรณะประเทศ ตามกระแสพระราชดำริของพระมหากษัตริย์เจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ เหตุวิกฤติในครั้งนั้นจึงกลับคืนสู่สภาพปกติโดยเร็ว
[กลับสู่ตอนต้นของเอกสาร]
นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ
เรื่อง ราวของ "นายอินทร์" และผู้ร่วมงานของเขา เป็นตัวอย่างของบุคคลพิเศษที่มีความกล้าหาญ เสียสละ ผู้ยอมอุทิศแม้ชีวิตเพื่อความถูกต้อง ความยุติธรรม เสรีภาพและสันติภาพ อันเป็นที่รักยิ่งของพวกเขา ทั้งนี้โดยไม่หวังให้ใครรับรู้ หรือหวังลาภยศคำสรรเสริญเยินยอใดๆ ทั้งสิ้น พวกเขานี้ คือ "ผู้ปิดทองหลังพระ" โดยแท้จริง
พระราชนิพนธ์แปลของพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวเรื่อง "นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ" นั้น ทรงเริ่มงานตั้งแต่วันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๐ ถึง ๒๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๓ รวมเวลา ๓ ปี หนังสือเล่มนี้ทรงแปลจากต้นฉบับภาษาอังกฤษ เรื่อง "A man called Intrepid" ของวิลเลียม สตีเฟนสัน เขียนจากชีวิตจริงของ "นายอินทร์" หรือ "INTREPID" เป็นนามรหัสของเซอร์วิลเลียม สตีเวนสัน เป็นหัวหน้าหน่วยราชการลับอาสาสมัครของอังกฤษ สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ท่านผู้มีบทบาทสำคัญในการต่อต้านแผนร้ายของฮิตเลอร์ ซึ่งหวังแผ่อำนาจเข้าครอบครองโลก ท่านเป็นผู้จัดตั้งหน่วยงานลับขึ้น เพื่อแสวงหาความลับทางทหารของฝ่ายเยอรมันรายงานแก่เซอร์วินสตัน เชอรซิลล์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ และประธานาธิบดีรูสเวลแห่งสหรัฐ ซึ่งได้ร่วมมือกันวางแผนต่อต้านฮิตเลอร์จนประสบชัยชนะในที่สุด
ผลงาน ของ "นายอินทร์" และผู้ร่วมงานของเขานั้นมีคุณค่าต่อโลกยิ่งนัก หากไม่มีพวก "นายอินทร์" ฮิตเลอร์อาจจะชนะสงครามก็ได้ และถ้าเป็นเช่นนั้น โฉมหน้าของโลกคงไม่เป็นเช่นทุกวันนี้ อย่างไรก็ตามการปฏิบัติงานของพวกเขา มีผู้รู้เบื้องหลังเพียงไม่กี่คนเท่านั้น จนกระทั่งเมื่อมีหนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ขึ้นมาแล้ว เรื่องราวที่เคยเป็นความลับมาก่อนจึงได้เผยขึ้น และต้นฉบับภาษาอังกฤษของเล่มนี้ ได้กลายเป็นหนังสือเบสท์เซลเลอร์ มียอดจำหน่ายมากกว่า ๒ ล้านเล่ม
เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ เป็นเรื่องราวของความร่วมมือทางสงครามจารกรรมระหว่างอังกฤษกับสหรัฐ ที่ได้ร่วมกันต่อต้านการขยายอำนาจของเยอรมันยุคนาซี โดยมีนายอินทร์เป็นผู้ประสานระดับสูง เรื่องราวต่างๆ ที่ผู้เขียนเลือกมาเปิดเผย โดยได้รับการตรวจสอบว่าถูกต้องตามข้อเท็จจริงด้วยตัว "นายอินทร์" เอง บางเรื่องน่าทึ่งยิ่งกว่านิยายสายลับที่แต่งขึ้นเสียอีก เช่น ปฏิบัติการขโมยเครื่องใส่-ถอดรหัสลับ "เอนิกมา" อันทันสมัยที่สุดของเยอรมัน ซึ่งฮิตเลอร์ภูมิใจหนักหนาว่าข่าวต่างๆ ที่ส่งด้วยเครื่อง "เอนิกมา" จะไม่มีผู้ใดสามารถแปลความได้ แต่ "นายอินทร์" สามารถวางแผนขโมยเครื่องได้ โดยฝ่ายเยอรมันไม่ระแคะระคายเลย จึงเป็นก้าวแรกที่ทำให้หน่วยจารกรรมของ "นายอินทร์" สามารถสืบข่าวสำคัญๆ ของฝ่ายเยอรมันได้สำเร็จ นอกจากนั้นยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับการปฏิบัติอย่างกล้าหาญของ "มาเดอแลน" สายลับของ "นายอินทร์" ที่เสี่ยงชีวิตเข้าไปในแดนข้าศึกแล้วส่งข่าวให้ "นายอินทร์" ตลอดจนการปฏิบัติการของสาว "ซินเธีย" สายลับอังกฤษแสนสวย ที่ใช้เสน่ห์ของตน ล้วงความลับเกี่ยวกับการถอดรหัสจากนักการทูตฝ่ายข้าศึกได้สำเร็จ
หนังสือ เล่มนี้ยังได้เปิดเผยเบื้องหลังปฏิบัติการของหน่วยกล้าตายของ "นายอินทร์" ในการสังหารไฮดริด สมุนมือขวาจอมโหดของฮิตเลอร์ เบื้องหลังการช่วยเหลือนักวิทยาศาสตร์ชั้นหัวกระทิออกจากดินแดนยึดครองของนา ซี การขัดขวางมิให้เยอรมันคิดค้นระเบิดปรมาณูได้สำเร็จ การวางแผนปฏิบัติการทางยุทธศาสตร์เพื่อต่อต้าน การยึดครองทวีปยุโรป อเมริกา และแอฟริกา ของนาซี ซึ่งทุกขั้นตอนต้องอาศัยความลับทางทหารที่เครือข่าย "นายอินทร์" เสาะหามาได้เป็นข้อมูลสำคัญ
"นายอินทร์" เขียนไว้ในคำนำหนังสือเล่มนี้ว่า เหตุผลที่เขายินยอมให้วิลเลียม สตีเวนสัน นำเรื่องราวเหล่านี้มาเปิดเผย ก็เพื่อเป็นการสดุดีผู้ที่ได้ต่อสู้เพื่อชาติเป็นจำนวนมาก ที่ต้องถูกฝังไว้ในหลุมศพ ที่ไร้นามไร้ที่อยู่ที่ตาย น้อยคนที่จะได้รับการกล่าวขวัญถึง นอกจากชื่อที่บันทึกในเอกสารลับ ส่วนใหญ่ที่รอดตายก็กลับมาประกอบอาชีพธรรมดา โดยไม่ได้รับเกียรติหรือรางวัลใดๆ ได้รับคำกล่าวถึงในหนังสือเล่มนี้ เป็นเพียงส่วนน้อยในจำนวนคนเป็นกองทัพมหึมา ซึ่งโลกเสรีเป็นหนี้บุญคุณซึ่งจะไม่มีทางใช้คืน และเหตุผลอีกข้อหนึ่งด้วย เพื่อเป็นบทเรียนสำหรับการป้องกันและการต่อสู้เพื่อเสรีภาพ
เรื่อง ราวของ "นายอินทร์" และผู้ร่วมงานของเขา เป็นตัวอย่างของบุคคลพิเศษที่มีความกล้าหาญ เสียสละ ผู้ยอมอุทิศแม้ชีวิตเพื่อความถูกต้อง ความยุติธรรม เสรีภาพและสันติภาพ อันเป็นที่รักยิ่งของพวกเขา ทั้งนี้โดยไม่หวังให้ใครรับรู้ หรือหวังลาภยศคำสรรเสริญเยินยอใดๆ ทั้งสิ้น พวกเขานี้ คือ "ผู้ปิดทองหลังพระ" โดยแท้จริง
[กลับสู่ตอนต้นของเอกสาร]
ติโต
"ติโต" คือใคร มีความสำคัญอย่างไร
นายอานันท์ ปันยารชุน ได้กล่าวถึงติโตในพระราชนิพนธ์แปลเรื่องที่ สองแล้วสรุปได้ว่า
"คุณลักษณะ ของติโตนี้ ปรากฏเห็นชัดว่าเขาเป็นผู้นำทางด้านทหาร เป็นเสนาธิการที่ยอดเยี่ยม เป็นแม่ทัพที่มีความละเอียด ที่มีความกล้าหาญ ในขณะเดียวกันเป็นนักการเมืองที่ยอดเยี่ยม ที่สามารถรักษาอิสรภาพของยูโกสลาเวีย สร้างความเป็นปึกแผ่นของประเทศ รวบรวมชนชาติต่างๆ ในรัฐยูโกสลาเวียให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ให้มีสิทธิเท่าเทียมกัน ให้มีการปกครองซึ่งมีการกระจายอำนาจอย่างแท้จริง"
พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแปลเรื่อง ติโต ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ เมื่อ ๒๐ ปีที่แล้วมา ทรงปรับปรุงต้นฉบับและพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดพิมพ์ เพื่อเผยแพร่เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พ.ศ. ๒๕๓๗ ด้วยทรงหวังว่าโลกนี้จะมีสันติภาพและความสงบขึ้น
ประเทศที่ติโต สามารถสร้างขึ้นมา ซึ่งหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ เรียกว่ายูโกสลาเวีย ประกอบด้วยชนชาติมากหลาย มีทั้งเซิร์บ มีทั้งโครแอต มีทั้งมอนตานิโกร มีทั้งมาซิโดรเนียน มีบอสเนีย เฮอร์เซโกวินา ต่างชาติต่างความคิด มีเลือดรักชาติรุนแรงทุกกลุ่ม ต่างศาสนา มีทั้งออร์โธด็อกซ์ มีทั้งโรมันคาทอลิก และมุสลิม
หลายคนอาจจะบอกว่า ทำไมเราจะต้องยกย่องหรือเยินยอติโต ติโตเป็นคอมมิวนิสต์ไม่ใช่หรือ.....ใช่ แต่เขาเป็นคอมมิวนิสต์ด้วยความผันผวนทางชีวิตของเขา
สมัยก่อนสงคราม โลกครั้งที่ ๒ ส่วนหนึ่งของดินแดนยูโกสลาเวียอยู่ภายใต้อาณาจักรออสโตร-ฮังการี และมีการสู้รบกับประเทศรัสเซีย แล้วเขาถูกจับที่พรมแดน และถูกต้อนไปเป็นเชลยศึกที่รัสเซีย จึงทำให้เขาสามารถเรียนรู้ภาษารัสเซีย สามารถไต่เต้าขึ้นไปในวงการเมืองขององค์การที่เรีกว่า "โคมินเทิร์น" หรือองค์กรคอมมิวนิสต์สากล ที่คุมกระบวนการคอมมิวนิสต์ทุกประเทศ
เมื่อ ตอนเด็กๆ นั้น เขาไม่ได้มีความฝันอะไรเลย เขาเป็นเพียงแต่อยากจะเป็นช่างตัดเสื้อ เพราะเขาอยากจะได้แต่งตัวได้สูทดีๆ สูทสวยๆ เพื่อทดแทนเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นของเขา ที่เขาต้องการใส่ในสมัยที่เขายังเป็นเด็กอยู่ เขามีการศึกษาในระบบโรงเรียน บิดามารดายากจน เขาเห็นความทุกข์ทรมานของคนจน แต่เขาก็ไม่ได้เป็นนักอุดมการณ์ ที่จะส่งเสริมให้มีการต่อสู้ที่เรียกว่า CLASS WARFARE
เขาเรียนหนังสือด้วยตนเอง เขาศึกษาด้วยตนเอง เขาอ่านหนังสือต่างๆ แม้แต่หนังสือที่แปลมาจากหนังสือต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเชอร์ล็อคโฮล์มส์ หรือเรื่องอื่น
ติโตไม่เคย ยอมสยบให้ใคร หรือก้มหัวให้กับใคร รักความอิสระ ระหว่างที่เขาต่อสู้ด้านการทหารนั้น เขาก็ดูแลพรรคการเมืองของเขาไม่ให้มีความวุ่นวาย ไม่ให้มีการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ไม่ให้ก่อผลประโยชน์แต่เฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เขามีจิตมุ่งมั่นว่า สิ่งที่เขาต้องการทำระหว่างสงคราม คือ เอาชนะต่อกองทัพนาซี สร้างประเทศยูโกสลาเวียให้เป็นปึกแผ่น แล้วจึงจะมาดูแลทุกข์สุขของประชาชนให้มีฐานะดีขึ้น
เขาต่อสู้ด้วย ความทรหด ต่อสู้ต่อภัยพินาศต่างๆ แม้แต่ในชีวิตส่วนตัว มีลูก ๔ คน ตายไปแล้ว ๓ คน ชีวิตนั้นต้องคอยหนีคอยหลบ และต้องกลัวต่อการประทุษร้ายตลอดเวลา และเมื่อเขาสามารถสร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับยูโกสลาเวียเขาก็ไม่ได้หยุด เท่านั้น
เขาอาจจะเป็นคอมมิวนิสต์ แต่ก็เป็นคอมมิวนิสต์ที่เป็นอิสระในความคิดเห็น ไม่ต้องการเป็นลูกน้องใคร ไม่ยอมจำนนต่ออิทธิพลของสหภาพโซเวียต ทั้งทางด้านทหาร และทางการเมืองระหว่างประเทศ
เขาเป็นส่วนหนึ่งหรือเป็นผู้หนึ่ง ที่มีความสำคัญมากในการก่อตั้งกระบวนการกับกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ร่วมกับนายกรัฐมนตรีเนรูห์ของอินเดีย ประธานาธิบดีนัสเซอร์ของอียิปต์ ประธานาธิบดีซูการ์โนของอินโดนีเซีย และประธานาธิบดีของแอลจีเรีย
ตลอด ระยะเวลาหลังจากสงครามโลกครั้งที่ ๒ นโยบายการเมืองภายในของเขาก็ไม่ขึ้นกับองค์การคอมมิวนิสต์สากล เขาเป็นคอมมิวนิสต์ก็จริง แต่เขาไม่เคยคิด และไม่ได้นำนโยบายร่วมหรือที่เรียกว่า COLLECTIVE FARM ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายในสหภาพโซเวียต และประสบความล้มเหลว เขาไม่นำมาใช้ในยูโกสลาเวีย เขาถูกไล่ออกจากองค์การคอมมิวนิสต์สากล
เขา กล้าพอเมื่อสหภาพโซเวียตบุกรุกเข้าในประเทศเชโกสลาเวีย ใน ค.ศ. 1968 เขาเป็นผู้นำประเทศคอมมิวนิสต์ ประเทศซึ่งมีพรมแดนใกล้ชิดกับโซเวียตมาก ประณามและวิจารณ์รุนแรงต่อนโยบายอันไม่ชอบธรรมของสหภาพโซเวียต
ในขณะ เดียวกันเขาเป็นผู้ที่ต้องยอมรับความจริงว่า เขาเป็นประเทศเล็ก และเมื่ออยู่ใกล้ประเทศใหญ่ซึ่งมีอิทธิพลมากมาย บางครั้งบางคราวถ้าไม่เสียหลักการมากเกินไปเขาก็ยอมโอนอ่อนบ้าง เขาเองทำตัวอยู่ในจุดศูนย์กลางระหว่างประเทศอภิมหาอำนาจ สหภาพโซเวียตกับสหรัฐอเมริกา แต่เขาก็ไม่เคยทำอะไรที่ขัดผลประโยชน์กับสหรัฐอเมริกาอย่างจริงจัง แต่เขายึดถือหลักการของกระบวนการที่ไม่ร่วมกับฝ่ายใด ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
ความ สำคัญของติโตไม่ใช่ในแง่ของการเป็นคอมมิวนิสต์ คือ การปกครองในลักษณะเผด็จการบ้าง แต่ความสำคัญของติโตในฐานะที่เป็นบุคคล พ่อเป็นชาวโครแอต แม่เป็นชาวสโลเวเนีย เขาคือชาวสลาฟที่แท้จริง สามารถดลบันดาล สามารถเรียกร้องศรัทธาของชนทุกกลุ่ม สามารถสร้างความเข้าใจ และสามารถชี้นำให้คนทุกชนชาติตั้งเขามารวมกันจัดตั้งสมาพันธ์ และสร้างความเป็นปึกแผ่นในยามวิกฤติ สามารถรักษาความสมบูรณ์และเพิ่มพูนความเจริญของประเทศตลอดชีวิตของเขา
ติ โตเป็นผู้ทำให้ประเทศยูโกสลาเวีย ซึ่งประกอบด้วยชนชาติที่แตกต่างกันทั้งด้านเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม ให้กลับมารวมกันเป็นปึกแผ่นในยามวิกฤติ สามารถรักษาความสมบูรณ์ และเพิ่มพูนความเจริญของประเทศตลอดชีวิตเขา
ติโตสิ้นชีวิตไปตาม อายุขัย เมื่ออายุได้ ๘๘ ปี ในปี ๒๕๒๓ ประเทศยูโกสลาเวีย ก็ค่อยๆ สลายลง จนกระทั่งมีสภาพแตกแยกอันยากที่จะแก้ไขได้ ดังที่เห็นในทุกวันนี้
ปัจจุบัน เมื่อเรามองดูบอสเนีย เราก็คงมองดูด้วยความสลดใจว่า ประเทศใดก็ตามสังคมใดก็ตาม ที่ยอมให้ทิฐิมานะ ที่ยอมให้อคติในเรื่องของชนชาติ ในเรื่องศาสนา ในเรื่องของวัฒนธรรม หรือถ้ายอมให้ความรักชาติที่ไม่ถูกทางเข้ามาครอบงำจิตใจ และประหัตประหารกันต่อไป
พวกเราคนไทยนับว่าโชคดีที่เกิดมาในแผ่นดิน นี้ เกิดมาในสังคมที่ควรจะรู้จักรอมชอมกันได้ ในสังคมที่ยึดมั่นอยู่ในสถาบันอันสูงสุด และสังคมที่มีความอะลุ่มอะล่วยแบ่งรับแบ่งสู้ และไม่ประหัตประหารซึ่งกันและกัน อันนี้เป็นความเข้าใจของนายอานันท์ ปันยารชุนว่า เหตุใดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงสนพระราชหฤทัยกับชีวประวัติของติโต รวมทั้งผลงานในการรวบรวมประเทศของเขา
"เราเรียนชีวประวัติของคนเพื่อ สะสมความรู้ และเพื่อที่จะสอนให้เราไม่กระทำอะไรทั้งสังคมในอันที่จะก่อให้เกิดความผิด พลาด ที่ประเทศอื่นเขาได้ประสบมาแล้วในประวัติศาสตร์"
นายอานันท์ ปันยารชุน ได้มีความเห็นในเรื่องที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงแปลหนังสือเรื่องติโตนี้ว่า "เป็นการแปลที่กะทัดรัด เก็บสาระและประเด็นได้อย่างแยบคาย และรักษาเนื้อหาความตื่นเต้นของแนวเรื่องได้อย่างดี
ถ้าใครมีโอกาส ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ นอกจากจะได้ความรู้และสนุกสนานแล้ว ยังจะได้เห็นว่าติโตนั้น มิใช่เป็นเพียงตัวแสดงที่สำคัญในประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่เป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยตนเอง ประวัติศาสตร์ของการรวมตัวกันด้วยความสมานฉันท์ และเสถียรภาพของชนชาติที่แตกต่างกัน ทั้งด้านเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์"
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นห่วงบ้านเมืองของเรายิ่งกว่าสิ่งใด พระราชทานรายได้จากการพิมพ์หนังสือเรื่อง "นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ" และเรื่อง "ติโต" แก่มูลนิธิชัยพัฒนา ทรงเชิญชวนประชาชน และผู้ที่มาเฝ้าถวายพระพรเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ให้ช่วยกันอุดหนุนมูลนิธิชัยพัฒนา ซึ่งมีการจัดหาและพัฒนาประเทศจนมีชัยชนะ ชัยชนะประเทศนี้โดยงานของมูลนิธิชัยพัฒนา ก็คือความสงบ ไม่เป็นบอสเนีย เป็นไทยแลนด์ เป็นเมืองไทยที่จะมีความเจริญพัฒนาจนเป็น เมืองของชัยชนะ ในการพัฒนาตามที่พระราชทานชื่อมูลนิธิชัยพัฒนา ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อความสงบ ความเจริญ ความอยู่ดีกินดีของประชาชน
พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งเน้นตลอดเวลา เรื่องการรู้รักสามัคคี เมื่อทรงหายจากพระอาการประชวรแล้วในวันที่ ๑๓ เมษายน ศกนี้ ได้พระราชทานกระแสพระาชดำรัสทางโทรทัศน์ว่า จะทรงมีพระกำลังที่จะทรงพัฒนาให้ประชาชน และประเทศชาติมีความเจริญมั่นคงได้ต่อไปอีก ๒๐-๓๐ ปี จึงขอให้พสกนิกรร่วมใจ ถวายพระพรชัยมงคลให้ทรงพระเจริญยิ่งตลอดกาลนาน
ทีมา-มรม.

ผลเลือกตั้ง


พรรคการเมือง กทม กลาง ใต้ เหนือ อีสาน ปาร์ตี้ลิสต์ รวม
33 เขต 96 เขต 53 เขต 67 เขต 126 เขต 125 500
1 เพื่อไทย 10 41 0 49 104 61 265
10 ประชาธิปัตย์ 23 25 50 13 4 44 159
16 ภูมิใจไทย 0 13 1 2 13 5 34
21 ชาติไทยพัฒนา 0 11 1 2 1 4 19
2 ชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน 0 0 0 1 4 2 7
6 พลังชล 0 6 0 0 0 1 7
5 รักประเทศไทย 0 0 0 0 0 4 4
26 มาตุภูมิ 0 0 1 0 0 1 2
12 รักษ์สันติ 0 0 0 0 0 1 1
30 มหาชน 0 0 0 0 0 1 1
3 ประชาธิปไตยใหม่ 0 0 0 0 0 1 1

บทความ พระเนตรขวาของในหลวง”...เรื่องที่หลายคนอาจยังไม่เคยรู้ โดย kataypooh

ทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์
พระองค์ทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์
ขณะทรงประทับอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
เมื่อตอนที่พระชนมายุครบ 20 พรรษา

ด่วน : ในหลวงประสบอุบัติเหตุ
ในหลวงประสบอุบัติเหตุอาการสาหัส
ประธานอภิรัฐ ฯ จะทูลถามอาการในวันนี้

นั่นคือข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์ใหญ่ ๆ
ซึ่งตีพิมพ์จำหน่ายในกรุงเทพ ฯ เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2491
มีเนื้อข่าวด่วนจากวิทยุ B.B.C. เมื่อเวลา 13.00 น. แจ้งว่า
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงประสบอุบัติเหตุด้วยรถยนต์ ณ
ที่แห่งหนึ่งใกล้ ๆ เมืองโลซานน์ เมื่อค่ำวันที่ 3 เดือนนี้ พระอาการค่อนข้างสาหัส
วิทยุของรอยเตอร์ก็ส่งรายละเอียดกระจายเสียงไปทั่วโลกว่า
(รอยเตอร์) โลซานน์ 25 ตุลาคม สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
กษัตริย์ปัจจุบันผู้มีพรรษาครบ 20 แห่งประเทศไทย ซึ่งทรงได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส
เนื่องจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เมื่อคืนวานนี้ (ที่ 4)นั้นในตอนบ่ายวันนี้ (ที่ 5) มีข่าวว่า
ทรงมีพระอาการดีขึ้นและพ้นเขตอันตรายแล้ว
วิทยุ บี.บี.ซี. กระจายข่าวว่าพระสาเหตุที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ทรงประสบ
อุปัทวเหตุครั้งนี้ เนื่องจากรถยนต์พระที่นั่งชนกับรถบรรทุกคันหนึ่ง สมเด็จพระอยู่หัวฯ
กับนายอร่าม รัตนกุล ซึ่งเป็นบุคคลเดียวที่โดยเสด็จขึ้นในรถพระที่นั่งนั้นด้วย
ในคืนที่ทรงประสบอุปัทวเหตุนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ทรงขับรถพระที่นั่ง
ไปถึงสี่แยกที่มีป้อมจราจรแห่งหนึ่ง และพอดีกับตำรวจจราจร ได้ให้สัญญาณหยุดเพื่อ
ให้ทางแก่จักรยานอีก 2 คัน รถบรรทุกคันหน้าจึงหยุดลงทันที ที่ได้สัญญาณจากตำรวจ
จราจร ขณะนั้นประจวบกับมีรถยนต์อีกคันหนึ่งขับสวนขึ้นมาและเปิดไฟหน้าสว่างจ้า
จึงทำให้พระเนตรพร่ามองไม่เห็นรถบรรทุกคันนั้น รถพระที่นั่งจึงชนเอาท้ายรถบรรทุก
โครมใหญ่
รายงานข่าวจากการออกประกาศล่าที่สุดของสถานีวิทยุ บี.บี.ซี.เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม
เวลา 14.47 น.แจ้งว่าพระการสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พ้นอันตรายแล้ว หลังจากได้รับบาดเจ็บ
จากถูกรถยนต์บรรทุกชน เมื่อวันจันทร์ที่แล้ว
อย่างไรก็ดีราชเลขานุการแถลงว่าพระเนตรข้างขวาเศษกระจกเข้าและยังไม่ทราบว่า
อีกหลายวันสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ จะทรงใช้พระเนตรข้างขวาได้หรือไม่

หนังสือพิมพ์สยามนิกรฉบับวันที่ 8 ตุลาคม 2491 ลงพาดข่าวขนาดใหญ่ว่า

“ อาจเสียพระเนตร ใกล้พระเนตรขวาสาหัสที่สุด ”

ตามเนื้อข่าวกล่าวว่า...รายงานข่าวล่าที่สุด ซึ่งสยามนิกรได้รับเมื่อเช้าวันนี้ (ที่7)
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ผู้ทรงเป็นที่รักใคร่ของพสกนิกรชาวไทยได้ทรงบาดเจ็บที่
พระเนตรข้างขวา หลวงประเสริฐราชไมตรี ราชเลขานุการในพระองค์แถลงข่าว
อันน่าเศร้าใจแก่ รอยเตอร์ว่า “พระองค์อาจเสียพระเนตรข้างขวาก็ได้
วิทยุ บี.บี.ซี.เวลา 19.45 น. วันที่ 8 แจ้งต่อไปว่าพระอาการของ
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ กำลังเป็นที่พอใจของนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ทางตาถวายการรักษา เหตุการณ์กล่าวว่าอาการ
ของพระเนตรข้างขวาดีขึ้นบ้าง แต่ยังบอกไม่ได้ว่าจะหายดีดังเก่าหรือไม่
วันที่ 17 เวลา 16.00 น. เศษ ประธานผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ได้ส่งโทรศัพท์ทางไกลถามพระอาการอีก สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ
มีพระราชดำรัสตอบโดยพระองค์เองจากโรงพยาบาลที่ประทับอยู่นั้นว่า

“ฉันปลอดภัยแล้ว ขอฝากความขอบใจมายังคณะผู้สำเร็จราชการ
คณะอภิรัฐมนตรี คณะรัฐบาล และประชาชนของฉัน
ที่มีความห่วงใยในอาการป่วยของฉัน”

เช้าวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๑ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ
ได้เสด็จเข้าโรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้แพทย์ทำการผ่าพระเนตรข้างขวา
หลังจากนั้นพระองค์ท่านทรง มีพระอาการแทรกซ้อนเรื่อง พระเนตรขวา
ซึ่งแพทย์ที่ถวายการรักษาอีกหลายครั้งก็ไม่ดีขึ้น จึงได้ถวายการแนะนำ
ให้พระองค์ทรงพระเนตรปลอมในที่สุด


พระองค์ทรงเก็บความทุกข์ส่วนพระองค์ไว้
จากนั้นก็ทรงใช้พระเนตรเพียงข้างเดียว
ทรงศึกษาค้นคว้า อ่านหนังสือต่างๆมากมาย
เพื่อทรงงานของบ้านเมือง บำบัดทุกข์บำรุงสุข
แก่ราษฎรของพระองค์มาตลอดระยะเวลา ๖๐ ปี

โดย kataypooh

อันเฟรล” กังวลการเลือกตั้งไทย จำนวนผู้เสียสิทธิและจำนวนบัตรเกินสูงผิดปกติ


เครือข่ายเอเชียเพื่อการเลือกตั้ง เสรี หรือ “อันเฟรล” แถลงผลการสังเกตการณ์การเลือกตั้ง ชี้ ภาพรวมถือว่าผ่าน แต่พบผู้เสียสิทธิในการเลือกตั้งล่วงหน้าสูงถึงหนึ่งล้านคน
วานนี้ เครือข่ายเอเชียเพื่อการเลือกตั้งเสรี (Asian Network for Free Election – ANFREL) หรือ อันเฟรล ออกแถลงการณ์พร้อมรายงานเบื้องต้นเกี่ยวกับผลการสังเกตการณ์การเลือกตั้งใน ประเทศไทย พบว่าภาพรวมในการจัดการการเลือกตั้งในครั้งนี้เป็นไปอย่างเรียบร้อย อย่างไรก็ตาม พบว่ามีข้อน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะการจัดการการเลือกตั้งล่วงหน้าที่มีปัญหา และความรุนแรงในพื้นที่หลายจังหวัด
ประธานเครือข่ายอันเฟรล นายดามาโช แมคบูอัล ให้ความคิดเห็นถึงการเลือกตั้งที่ผ่านมาว่า การจัดการเป็นไปได้ด้วยดีและไม่มีข้อกังขาใดๆ อย่างไรก็ตาม ทางอันเฟรลได้แสดงความกังวลถึงการจัดการการเลือกตั้งล่วงหน้าของคณะกรรมการ การเลือกตั้ง (กกต.) ที่มีความขัดข้อง เนื่องจากทางกกต. ใช้ทะเบียนรายชื่อเก่าจากการเลือกตั้งปี 2550 ส่งผลให้ผู้ที่เปลี่ยนสถานภาพไม่สามารถใช้สิทธิในการเลือกตั้งล่วงหน้าได้ ซึ่งคิดเป็นประชาชนราว 500,000 -1,000,000 คน หรือราวร้อยละ 50 ของผู้ที่แจ้งใช้สิทธิล่วงหน้า
นอกจากนี้ ยังพบว่า ในการเลือกตั้งล่วงหน้า กกต. ได้ลดระยะเวลาการเลือกตั้งลง โดยเมื่อเทียบกับการเลือกตั้งในปี 2550 การเลือกตั้งล่วงหน้ามีระยะเวลาสองวัน ครอบคลุมเสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 8.00 – 17.00 น. แต่ในการจัดการการเลือกตั้งในปี 2554 พบว่าเวลาย่นลงมาเหลือเป็นวันอาทิตย์วันเดียว เวลา 8.00 – 15.00 น. เท่านั้น ทำให้ประชาชนจำนวนมากที่ประสบปัญหาการจราจรไม่สามารถไปถึงจุดเลือกตั้งได้ ทันเวลา
ในรายงานเบื้องต้นของอันเฟรล ยังได้ตั้งข้อสังเกตถึงบัตรเลือกตั้งที่พิมพ์เกินมาจำนวนมาก โดยในครั้งนี้ พบว่ามีการพิมพ์บัตรเลือกตั้งเกินมาถึง 12% ซึ่งระดับที่กฎหมายกำหนดนั้นอนุญาตให้พิมพ์ได้ไม่เกิน 7% ของจำนวนทั้งหมดเท่านั้น และเสริมด้วยว่า แม้ในประเทศที่อนุญาตให้ประชาชนกาบัตรใหม่ หากทำบัตรเก่าเสียหรือผิดพลาดนั้น ยังมีจำนวนของบัตรเลือกตั้งที่เกินมาในสัดส่วนที่น้อยกว่านี้มาก ทางอันเฟรลจึงเรียกร้องให้กกต. เปิดเผยที่ไปที่มาของบัตรที่เหลือดังกล่าวด้วย
นอกจากนี้ ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และจังหวัดอยุธยา กาญจนบุรี และขอนแก่น พบว่าทหารที่ใช้สิทธิเลือกตั้ง มีการพกอาวุธปืนเข้าคูหา ซึ่งถือว่าเป็นการละเมิดหลักสากลของการจัดการการเลือกตั้งอย่างร้ายแรง และในรายงานยังระบุว่า การใช้กฎหมายพิเศษ เช่น พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ กฎหมายอาญามาตรา 112 และพ.ร.บ. ความมั่นคง ในระหว่างการรณรงค์หาเสียง ถือเป็นการจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และละเมิดสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร
00000000
แถลงการณ์
การเลือกตั้งวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ในประเทศไทย
เครือข่ายเอเชียเพื่อการเลือกตั้งเสรี (อันเฟรล) ขอแสดงความยินดีกับประชาชนชาวไทยที่ออกมาเลือกตั้งตามกระบวนการประชาธิปไตย เป็นจำนวนมากเป็นประวัติการณ์ ขอชื่นชมคณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งประเทศไทย กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ การบินไทย และไปรษณีย์ไทยที่ช่วยสนับสนุนให้การจัดการเลือกตั้งวันที่ 3 กรกฎาคมที่เป็นไปอย่างเรียบร้อย ท่ามกลางความกดดันทางการเมืองที่หนักหน่วง คณะกรรมการการเลือกตั้งก็ยังสามารถดำเนินการจัดการเลือกตั้งให้ผ่านพ้นไป อย่างราบรื่นและได้ผลการเลือกตั้งที่สะท้อนถึงความต้องการของคนส่วนใหญ่ใน ประเทศ
ประเทศไทยได้เผชิญกับความขัดแย้งและความรุนแรงทางการเมืองที่ทำให้เกิด ความแตกแยกมาเป็นเวลาหลายปี ขณะนี้ประชาชนคนไทยได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการแสดงความคิดเห็นทางการ เมืองที่แตกต่าง ด้วยความสงบเรียบร้อยและเป็นไปตามกฎหมายแล้ว
นายดามาโซ แมคบูอัล ประธานเครือข่ายอันเฟรลกล่าวว่า การจัดการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 ที่ผ่านมานั้น เป็นไปด้วยดีและปราศจากข้อกังขาใดๆ ในผลการเลือกตั้งที่ออกมา ถึงแม้จะมีกรณีร้องเรียนบ้างก็ตาม ในส่วนของกรณีร้องเรียนนั้นอันเฟรลขอเรียกร้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง ดำเนินการไต่สวนโดยให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดได้เข้าไปมีส่วนร่วมใน กระบวนการที่ควรดำเนินการด้วยความเป็นธรรม เป็นมืออาชีพ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดและเป็นไปด้วยความรวดเร็ว
ในช่วงระหว่างการหาเสียง ยังเต็มไปด้วยการอภิปรายอันเผ็ดร้อน การกล่าวหาซึ่งกันและกัน การซื้อเสียง และความรุนแรงที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งต่างๆ สิ่งเหล่านั้นกำลังได้รับการตรวจสอบ การซื้อเสียงยังคงเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งในกระบวนการเลือกตั้งของไทยใน ระยะยาว รวมทั้งปัญหาความรุนแรงทั้งก่อน และระหว่างการเลือกตั้ง มีการทำร้ายและข่มขู่หัวคะแนนอยู่ทั่วไป
อันเฟรลมีความเป็นห่วงในกรณีของการเลือกตั้งล่วงหน้าเมื่อวันที่ 26 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งกว่า 500,000 ถึง 1,000,000 คนไม่สามารถใช้สิทธิได้ เนื่องจากการใช้บัญชีรายชื่อของปี 2550 ทำให้ประชาชนที่เปลี่ยนสถานภาพไม่สามารถใช้สิทธิออกเสียงได้ และไม่ได้รับแจ้งข้อมูลที่เพียงพอจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง กรณีดังกล่าวนี้เป็นกรณีที่เป็นปัญหาที่สำคัญที่สุดในการจัดการเลือกตั้ง ครั้งนี้
ประการต่อมาคือ การลดจำนวนวันเลือกตั้งล่วงหน้าลงจาก 2 วันเป็นเพียง 1 วัน ทำให้ประชาชนไปใช้สิทธิล้นหน่วยเลือกตั้งที่ตั้งอยู่ในตัวเมือง และทำให้หลายคนไม่สามารถใช้สิทธิได้ทันเวลาที่กำหนดเพราะปัญหาการจราจร อันเฟรลหวังว่าปัญหานี้คงได้รับการแก้ไขปรับปรุงในการจัดการเลือกตั้งครั้ง ต่อไปในระดับรัฐบาล
การจัดพิมพ์บัตรเลือกตั้งเกินกว่า 12% ซึ่งกฏหมายกำหนดไว้ที่เพียง 7% ทำให้เกิดการร้องเรียนขึ้นหลายกรณี ถึงแม้ว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งจะพยายามอธิบายถึงความจำเป็นในการพิมพ์บัตร เกิน แต่ก็ยังไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจนว่าทำไมจึงต้องพิมพ์บัตรเกินกว่าที่กฏหมาย กำหนดไว้จำนวนมาก นายดามาโซกล่าวว่า การฝ่าฝืนกฏหมายข้อนี้เป็นเรื่องที่น่าเสียดายและอาจบั่นทอนความชอบธรรมของ การเลือกตั้ง รวมทั้งมุมมองในเรื่องของความเป็นกลางและความสามารถในการจัดการของคณะ กรรมการการเลือกตั้งในสายตาของสาธารณชนได้
ในส่วนของเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้งและบทบาทของผู้นำชุมชน เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ในบริเวณหน่วยเลือกตั้งนั้น อันเฟรลสังเกตเห็นว่าในช่วงระหว่างการเลือกตั้งในบางพื้นที่ควรมีการป้อง ปรามอย่างเคร่งครัด โดยนายดามาโซกล่าวว่าบุคคลเหล่านั้นอาจให้คุณ ให้โทษ หรือชี้นำผู้มาใช้สิทธิได้
ในหน่วยเลือกตั้งที่ไม่มีตัวแทนพรรคการเมืองมาร่วมเป็นสักขีพยานและ สังเกตการณ์ อันเฟรลเรียกร้องให้ตัวแทนภาคประชาชนเข้ามามีบทบาทในส่วนนี้ และเรียกร้องให้พรรคการเมืองมีส่วนร่วมสังเกตการณ์มากกว่านี้เพื่อความโปร่ง ใสและเป็นธรรมในกระบวนการการเลือกตั้ง
อันเฟรลรู้สึกยินดีที่เห็นว่าทหารได้แสดงความเป็นกลางและมีความเป็นมือ อาชีพในการเลือกตั้งครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม ยังมีทหารบางส่วนที่มีการติดอาวุธเข้าไปใช้สิทธิในคูหาเลือกตั้งซึ่งเป็นการ ขัดต่อหลักปฏิบัติของนานาชาติ อันเฟรลขอเรียกร้องให้กองทัพคงความเป็นมืออาชีพและปล่อยให้ผู้ที่ได้รับการ เลือกตั้งดำเนินการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อบริหารประเทศต่อไปอย่างราบรื่น
อันเฟรลขอแสดงความชื่นชมต่อนายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่ประกาศยอมรับผลการเลือกตั้งและยอมรับความพ่ายแพ้ ต่อพรรคเพื่อไทยในคืนวันเลือกตั้ง ท่านนายกฯ อภิสิทธิควรได้รับความชื่นชมเป็นอย่างยิ่งในการกระทำดังกล่าวนี้
ในท้ายที่สุดนี้อันเฟรลมีข้อเสนอแนะ (ตามเอกสารแนบ) ที่รวบรวมมาจากผู้สังเกตการณ์กว่า 60 คนที่ลงพื้นที่ทั่วประเทศไทย ในการแก้ไขปรับปรุงการจัดการเลือกตั้งครั้งต่อไป อันเฟรลจะดำเนินการสังเกตการณ์กระบวนการเลือกตั้งครั้งนี้ไปจนสิ้นสุด ซึ่งรวมถึงการรายงานผลคะแนนอย่างเป็นทางการ ปฏิกิริยาจากฝ่ายต่างๆ และการจัดการเรื่องร้องเรียนต่างๆ ด้วย อันเฟรลจะรวบรวมรายงานทั้งหมดเป็นรายงานในขั้นตอนสุดท้ายต่อไป
นายดามาโซกล่าวสรุปว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ดำเนินไปอย่างสงบเรียบร้อย ถึงแม้จะมีความผิดพลาดในด้านการบริหารจัดการบ้างก็ตาม

จับมือแล้ว รบ. 5 พรรค

วันที่ 05 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7523 ข่าวสดรายวัน


จับมือแล้ว-รัฐบาล5พรรค! ปูปึ้ก299เสียง

ชทพ.ชพน.พลังชล มหาชน-ถูกหวย มาร์ค-เทือกออก พร้อม19กก.ปชป. เปิดโผรมต.พท. ขุนค้อนปธ.สภา "โกวิท"คุมมั่นคง


ว่าที่นายกฯหญิง"ยิ่งลักษณ์"เดินหน้าตั้งรัฐ บาล 299 เสียง ผนึกชาติไทยพัฒนา-ชาติพัฒนาฯ-พลังชล-มหาชน ย้ำชัดอีกไม่เอาภูมิใจไทย ปิดประตูงูเห่าสมศักดิ์-สรอรรถ ประกาศปรองดองเป็นภารกิจเร่งด่วน และแก้ปัญหาให้กับประชาชน "มาร์ค"ลาออกหัวหน้าปชป.รับผิดชอบพาพรรคแพ้เลือกตั้ง กก.บห. ต้องออกด้วยทั้งชุด "ขุนค้อน"มาแรงนั่งประธานสภา ทาบ"โกวิท วัฒนะ"รองนายกฯความมั่นคง ควบดูแลตร. "นิวัฒน์ธำรง"เลขาฯนายกฯ "เติ้ง" ต่อรองขอคุมกระทรวงเดิม พลังชลไม่อ้อมค้อมบอกชอบงานกีฬา-ท่องเที่ยว สื่อนอกพร้อมใจประโคมข่าวชัยชนะเพื่อไทย ชัยชนะทักษิณ และนายกฯหญิงคนแรกของไทย

กองเชียร์ปลอบใจ"มาร์ค"

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 4 ก.ค. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกจากบ้านในซอยสุขุมวิท 31 ด้วยรถฟอร์ด เอฟเวอ เรสต์ ฌฌ 1777 กรุงเทพฯ มายังที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อมาถึงได้เข้าพูดคุยกับนางอาภรณ์ รองเงิน รองผอ.พรรค และนายอนุชา บูรพชัยศรี ว่าที่ส.ส.กทม. โดยนำสมุดรายชื่อและรูปผู้สมัครของพรรคมาดู จากนั้นโทรศัพท์ตรวจสอบผลคะแนนอย่างเป็นทางการด้วยสีหน้าปกติ นายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ รองเลขาธิการพรรค เข้ามาลูบแขนเพื่อปลอบโยนที่พรรคพ่ายแพ้เลือกตั้ง จากนั้นนายอภิสิทธิ์เดินทักทายเจ้าหน้าที่พรรคที่มามอบแจกันดอกไม้ให้กำลังใจ

เวลา 10.40 น. นายอภิสิทธิ์แถลงข่าวอย่างเป็นทางการ ที่ห้องแถลงข่าวของพรรคด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีว่า ขอถือโอกาสนี้เรียนประชา ชนทุกคน เมื่อคืนที่ผ่านมาต้องขอขอบคุณประชา ชนจำนวนมากที่ให้กำลังใจตนและพรรค โดย เฉพาะผู้ที่ให้การสนับสนุนพรรคในการเลือกตั้ง ตนยังทำหน้าที่ส.ส.และเป็นสมาชิกพรรค ถ้า กกต.รับรองผลการเลืยกตั้งเรียบร้อย ถือเป็นหน้า ที่ที่จะเดินหน้าต่อสู้เพื่อประชาชนอย่างเต็มความสามารถต่อไป โดยเฉพาะจุดยืนที่ประกาศไว้เมื่อวันที่ 3 ก.ค. คือต้องการเห็นบ้านเมืองสงบ จะเป็นฝ่ายค้านที่ทำหน้าที่อย่างสร้างสรรค์ให้บ้านเมืองมีความสามัคคี แต่จะคัดค้านอย่างถึงที่สุดหากข้อเสนอใดทำลายหลักของบ้านเมือง ทำลายหลักนิติรัฐ

แถลงลาออกหัวหน้าปชป.

"ในฐานะหัวหน้าพรรค นำพรรคลงสู่สนามเลือกตั้งครั้งนี้ และเมื่อเทียบเคียงปี 2550 พบว่าพรรคได้คะแนนเสียงน้อยลง ได้ที่นั่งน้อยลง ผมคิดว่าการเป็นผู้นำที่ดีขององค์กรต้องแสดงความรับผิดชอบ วันนี้ผมได้ตัดสินใจจะลาออกจากหัวหน้าพรรค และเป็นหน้าที่ของพรรคซึ่งมีข้อบังคับและกระบวนการชัดเจนอยู่แล้วที่จะจัดประ ชุมใหญ่ภายใน 90 วัน ผมขอขอบคุณสมาชิก ผู้สนับสนุนพรรค เพื่อนส.ส. เจ้าหน้าที่พรรคทุกคนที่ได้เหน็ดเหนื่อยให้การสนับสนุนการทำงานอย่างดีมาตลอด ขอย้ำว่าผมยังเดินหน้าทำงานให้ประชาชนต่อไป แต่เป็นเรื่องของสมาชิกพรรคที่จะทบทวนแนวทางต่างๆ ของพรรคในช่วงที่ผ่านมาเพื่อเดินหน้าอย่างดีที่สุดสำหรับพรรค สำหรับบ้านเมือง ประเทศชาติ ผมขอขอบคุณสมาชิกทุกคนและประชาชนอีกครั้งสำหรับกำลังใจ" นายอภิสิทธิ์ กล่าว

กก.บห.พรรคพ้นสภาพไปด้วย

ผู้สื่อข่าวถามว่าหากที่ประชุมใหญ่ของพรรคเสนอให้กลับมารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคจะรับหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ ไม่ตอบ แต่เดินลงจากโพ เดียมแถลงข่าวทันที เมื่อพยายามถามว่าคณะกรรมการบริหารพรรคทั้ง 19 คน จะพ้นจากตำแหน่งด้วยหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า "พ้นครับ" เมื่อถามว่ามีโอกาสกลับมาเป็นหัวหน้าพรรคอีกหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ เพียงแต่ยิ้ม ก่อนตอบว่า อยู่ที่สมาชิกพรรค

จากนั้นนายอภิสิทธิ์เดินกลับไปยังอาคาร 100 ปี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ด้วยสีหน้าผ่อนคลายมากขึ้น ทั้งนี้ มีแกนนำพรรคหลายคนเข้ามาพูดคุยกับนายอภิสิทธิ์ หลังทราบข่าวเรื่องการลาออก เช่น น.พ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ นายวิทยา แก้วภราดัย นายกษิต ภิรมย์ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ นายอิสรา สุนทรวัฒน์ และเมื่อนายอภิสิทธิ์เจอหน้านายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ได้แจ้งทันทีว่าแถลงข่าวลาออกแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนแถลงข่าว นายอภิ สิทธิ์พยายามโทรศัพท์แจ้งการตัดสินใจดังกล่าวต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค แต่นายชวนไม่ได้รับสาย

อภิรักษ์-กรณ์ชื่อโผแคนดิเดต

จากนั้น 11.20 น. นายอภิสิทธิ์ออกจากพรรคโดยแจ้งว่าจะกลับไปพักผ่อนที่บ้าน วันที่ 5 ก.ค. จะเข้าไปยังทำเนียบรัฐบาล เนื่องจากมีภารกิจอยู่ ซึ่งก่อนที่นายอภิสิทธิ์จะขึ้นรถมีสมาชิกพรรคหลายคนเดินมาส่งและโผเข้ากอด บางคนถึงกับร่ำไห้

รายงานข่าวจากพรรคประชาธิปัตย์เปิดเผยว่า หลังจากผลเอ็กซิทโพลออกมา นายอภิสิทธิ์รวบรวมผลเอ็กซิทโพลทั้งหมดมานั่งเปรียบเทียบกัน และบอกกับแกนนำพรรคที่ร่วมลุ้นผลเลือกตั้ง ว่า แม้ว่าผลเอ็กซิทโพล จะไม่น่าเชื่อถือ แต่หากเจาะลงไปดูเฉพาะประชาธิปัตย์ พบว่าส่วนใหญ่จำนวนส.ส.อยู่ในช่วง 140-150 เสียง ไม่มีเคลื่อนไหวขึ้นลงเหมือนเพื่อไทย และเมื่อผล ออกมาค่อนข้างชัดเจนว่าประชาธิปัตย์แพ้เลือกตั้งอย่างหลุดลุ่ย แกนนำหลายคนต่างเข้าใจกันดีว่านายอภิสิทธิ์ต้องลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบ แกนนำบางส่วนหารือกันว่า กรรมการบริหารพรรคน่าจะร่วมกันแสดงความรับผิดชอบ ด้วยการรักษาผู้นำพรรคให้อยู่กับพรรคต่อไป ทั้งนี้ มีการพูดคุยกับนายกรณ์ จาติกวณิช และนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ที่หลายฝ่ายมองว่ามีความเหมาะเป็นแคนดิเดตหัวหน้าพรรค แต่บุคคลทั้งสองต่างยืนยันว่ายังสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ต่อไป

แกนนำดัน"มาร์ค"คัมแบ๊ก

รายงานข่าวแจ้งอีกว่า แกนนำพรรคนัดหารือกันช่วงสายวันเดียวกันนี้เพื่อแก้ปัญหาเรื่องดังกล่าว แต่นายอภิสิทธิ์ชิงแถลงลาออกเสียก่อน โดยไม่ได้แจ้งให้แกนนำพรรคคนใดทราบ เมื่อลาออกแล้วทุกอย่างต้องเป็นไปตามข้อบังคับพรรค คือต้องนัดประชุมใหญ่วิสามัญพรรคเพื่อคัดเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ การประชุมครั้งนั้นจะมีผู้เสนอชื่อนายอภิสิทธิ์กลับเข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคอีกครั้ง ซึ่งแกนนำพรรคเชื่อว่านายอภิสิทธิ์ยังมีใจนักสู้ไม่ตัดสินใจทิ้งพรรค และจะรับเป็นหัวหน้าพรรคนำพรรคสู้ศึกอีก 1 ครั้ง

อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกของการตั้งรัฐบาลเพื่อไทย ประชาธิปัตย์จะเปิดให้รัฐบาลใหม่ได้ทำ งานในช่วงฮันนีมูน แต่เชื่อว่าเหตุการณ์จะเริ่มตึงเครียดช่วงเดือนธ.ค. ที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ประกาศว่าจะกลับมา โดยเชื่อว่าพ.ต.ท.ทักษิณ พยายามจะเอาเงิน 4.6 หมื่นล้านบาทคืนให้ได้ โดยใช้เงื่อนไขที่รัฐบาลประชาธิปัตย์ และกอง ทัพมีส่วนสั่งฆ่าประชาชนมาแลกเปลี่ยน

สำหรับกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ชุดปัจจุบันที่พ้นตำแหน่งไปพร้อมกับนายอภิสิทธิ์ ได้แก่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ นายกรณ์ จาติกวณิช นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน นายวิทยา แก้วภราดัย รองหัวหน้าพรรค นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค นายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ นายธีระ สลักเพชร รองเลขาธิการพรรค น.พ. บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรค นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ นายทะเบียนพรรค ขณะที่กรรมการบริหารพรรค ได้แก่ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย นายสาธิต ปิตุเตชะ และนายวิรัช ร่มเย็น ส่วนนางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู ลาออกจากรองเลขา ธิการพรรคและเหรัญญิกพรรคก่อนหน้านี้แล้ว

นายชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ที่บ้านจ.ตรัง กรณีนายอภิสิทธิ์ ลาออกจากหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ว่า นายอภิสิทธิ์เป็นคนรักษาคำพูด ไม่พูดจาเหลวไหล พูดอะไรก็ทำอย่างนั้น ส่วนตัวยังมองว่านายอภิสิทธิ์เหมาะสมจะดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคต่อไป

ประยุทธ์งดสัมภาษณ์

ที่สำนักงานตรวจสอบภายในทหารบก พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. เป็นประธานวันสถาปนาสำนักงานตรวจสอบภายในทหารบก ครบ 33 ปี โดยมี พล.อ.ธีระวัฒน์ บุณยะประดับ รองผบ.ทบ. พล.อ.พิเชษฐ์ วิสัยจร ผู้ช่วยผบ. ทบ.(1) พล.อ.ยุทธศิลป์ โดยชื่นงาม ผู้ช่วยผบ. ทบ.(2) พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เสธ.ทบ. และนายทหารระดับสูงเข้าร่วมงานพร้อมเพรียง โดยมีสื่อมวลชนจำนวนมากดักรอสัมภาษณ์ถึงสถานการณ์การเมืองหลังจากพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง แต่พล.อ.ประยุทธ์ไม่ตอบข้อซักถามใดๆ โดยเดินทางกลับสำนักงานทันที มีเพียงเจ้าหน้าที่สำนักงานเลขานุการกองทัพบก แจ้งว่า พล.อ.ประยุทธ์ยังไม่ให้สัมภาษณ์ช่วงนี้ ให้จัดตั้งรัฐบาลเสร็จเรียบร้อยก่อน

ภท.ยอมรับสู้กระแสพท.ไม่ได้

ที่พรรคภูมิใจไทย นายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า การที่ประชาชนลงคะแนนเสียงให้พรรคเพื่อไทยจำนวนมาก เพื่อให้เข้ามาแก้ไขปัญหา ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับ และประชาชนให้โอกาสและไว้วางใจให้พรรคเป็นอันดับที่ 3 ถือว่าดีมากสำหรับพรรคเล็กอย่างภูมิใจไทย การที่พรรคไม่ได้คะแนนเสียงจากบุรีรัมย์ทั้งจังหวัด ไม่ได้เป็นการล้มเหลว ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พรรคได้รับความไว้วางใจหลายพื้นที่ ต้องยอมรับว่าทุกพรรคไม่ว่าพรรคเล็กหรือพรรคใหญ่ ไม่สามารถสู้กระแสหลักของเพื่อไทยได้เลย

นายศุภชัย กล่าวว่า นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรค ทราบผลคะแนนที่พรรคได้รับแล้วคือ 34 ตำแหน่ง แม้จะต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้คือ 70 ตำแหน่ง แต่พรรคยังยืนยันว่าพร้อมทำหน้าที่ ส.ส.เพื่อรับใช้ประชาชน แม้จะเป็นฝ่ายค้านก็ตาม ทั้งนี้ นายเนวินยอมรับผลคะแนน ไม่เครียด และต้องพูดคุยกันในพรรคเพื่อปรับการทำงาน เพราะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นขนาดรมต.ของพรรคทั้ง 3 คนยังสอบตก แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้นัดแกนนำพรรค

นายศุภชัย กล่าวอีกว่า ส่วนที่มีข่าวว่ากลุ่มมัชฌิมาของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน จะไปจับขั้วตั้งรัฐบาลกับเพื่อไทยนั้น ยังไม่ทราบและยังไม่ได้รับการติดต่อจากพรรคชาติไทยพัฒนา ทั้งนี้การที่เพื่อไทยยิ่งได้รับคะแนนเสียงจากประชาชนมากเท่าใด ยิ่งแสดงให้เห็นว่าเพื่อไทยได้รับภาระหนักอึ้ง ต้องทำงานอย่างหนักให้สมกับที่ประชา ชนไว้วางใจ

เติ้งไม่รู้เรื่องพท.ทาบชทพ.

เมื่อเวลา 10.30 น. ที่พรรคชาติไทยพัฒนา นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัว หน้าพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวถึงกรณีชาติไทยพัฒนาเข้าร่วมรัฐบาลกับเพื่อไทยว่า ตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ เพราะถูกเว้นวรรค 5 ปี ยุ่งเกี่ยวการเมืองไม่ได้ เพื่อไทยคงประสานหัวหน้าพรรค ตนไม่ได้ยุ่ง เท่าที่สอบถามหัวหน้าพรรคทราบว่าเพื่อไทยติดต่อมาตอนเย็นวันที่ 3 ก.ค. ส่วนรายละเอียดไม่ทราบชัดเจน

เรียกเต็มปากนายกฯยิ่งลักษณ์

"เท่าที่ดูจากข่าว จะตั้ง 4 พรรค คือ พรรคภูมิใจไทย เอ๊ย! ไม่ใช่ พรรคภูมิใจไทยเอาไว้ทีหลัง นายกฯ ยิ่งลักษณ์ไปออกว่าจับมือกับชาติไทยพัฒนา ผมก็ตกใจ อะไรกัน แต่หัวหน้าพรรคไปต่างประเทศ ผมตามตัวยุ่งทั้งคืน มีการเจรจากันบ้างหรือเปล่า ไม่มี เพียงแต่ผู้ใหญ่ในเพื่อไทยโทร.มาหาว่าเมื่อได้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง ก็คงไม่ขัดข้อง แต่ต้องขอมติพรรคอีกครั้ง เลยเป็นข่าวขึ้นมา แล้วคงไปทาบทามอีก 2-3 พรรค แต่ผมไม่เกี่ยว ไม่ได้ชี้แนะ" นายบรรหารกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่าชาติไทยพัฒนากับภูมิใจไทยยังเป็นพันธมิตรกันอยู่หรือไม่ นายบรรหาร กล่าว ว่า ยังเป็นอยู่ แต่ได้บอกกับนายเนวิน ชิดชอบ ว่าต้องได้ 70 ที่นั่ง ไม่งั้นจะมีปัญหาแน่ในการตั้งรัฐบาล เพราะถ้า 70 บวกกับประชาธิปัตย์ 160 ที่นั่ง และชาติไทยพัฒนาอีก 20 ที่นั่ง ทุกอย่างก็จบตั้งรัฐบาลได้ นายเนวินยืนยันมากับตน แต่ทีนี้เหลือแค่ 34 คน มันคล้ายของเดิม ซึ่งได้ 160 บวก 34 เป็น 194 บวกอีก 20 แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะฝ่ายโน้นเกิน 250 เสียงไปแล้ว ตั้งรัฐบาลได้แล้ว มันเป็นเดดล็อก

"ทำไมพระเจ้าให้การเมืองเป็นอย่างนี้เหมือนครั้งที่แล้วเมื่อปี 2550 ไม่มีผิด ตำราเดียวกันเลย ไม่รู้ใครเขียนมา ผมสังหรณ์ใจว่าขออย่าให้เป็นอย่างนี้ ขาดก็ขาดไปเลย แต่ในเมื่อเหตุการณ์เป็นอย่างนี้ก็ต้องไปว่ากัน แต่ผมไม่ได้เกี่ยวใดๆ ทั้งสิ้น" นายบรรหาร กล่าว

ลูบหลังเนวินพยายามดึงร่วมรบ.

เมื่อถามว่าแสดงว่าไม่ได้เป็นไปตามสัญญาที่ให้ไว้กับภูมิใจไทยใช่หรือไม่ นายบรรหาร กล่าวว่า ไม่ใช่อย่างนั้น ต้องดูช่วงจังหวะเวลา แต่ยังไม่ทิ้ง พยายามดึงภูมิใจไทยไปว่าเขาจะร่วมรัฐบาลหรือไม่ พูดคุยกันอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้ทิ้ง เมื่อถามว่าเพื่อไทยออกแถลงการณ์ย้ำหลายครั้งว่าไม่เอาภูมิใจไทย นายบรรหาร กล่าวว่า บทเรียนมีมาแล้ว มีปัญหาก็พูดคุยเจรจากันได้ ที่ปรองดองกันไม่ได้เพราะปัญหาอย่างนี้ คนที่โกรธกันทะเลาะกัน ถ้าหันหน้าเข้าหากันก็ไม่มีปัญหาเกิดขึ้น แต่ขึ้นกับพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลว่าตอบรับได้แค่ไหน เราเสนอได้แต่อยู่ที่พรรคแกนนำว่าจะตอบรับแค่ไหน เรายังตอบไม่ได้ ต้องดูว่าทางโน้นจะโอเคหรือไม่ เราก็พูดคุยกันอยู่ ยิ่งตอนนี้เสียงมันไป 290 กว่า มันนิ่งแล้ว

เมื่อถามว่ารัฐบาลเกือบ 300 เสียงจะมั่นคงขนาดไหน นายบรรหาร กล่าวว่า ครั้งที่แล้วประชาธิปัตย์ตั้งรัฐบาล 280 เสียง แต่ปัญหาอยู่ที่การคุมลูกพรรคให้อยู่ในสภาเวลาโหวตเรื่องสำคัญ แต่ถ้าจะให้ดีต้องมากกว่า 300 เสียง

หน้าตาครม.ขึ้นกับเพื่อไทย

ต่อข้อถามถึงภาพของครม.ชุดใหม่ นายบรร หาร กล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นพรรคเสนอนายกันต์ เดอะสตาร์ ดีไหม เรื่องหน้าตาตอบไม่ได้ต้องให้นายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคกลับมาก่อน เมื่อถามว่าโฉมหน้าครม.ภายใต้การควบคุมของนายกฯ หญิงจะเป็นอย่างไร นายบรรหาร กล่าวว่า ภาพลักษณ์คงไม่ได้อยู่ที่พรรคร่วมรัฐบาล เพราะพรรคร่วมรัฐบาลเป็นเพียงซีกหนึ่งเท่านั้น แต่เสี้ยวใหญ่อยู่ที่เพื่อไทยว่าจะจัดกันอย่างไร อยู่ในตำแหน่งเหมาะสมหรือไม่ ตรงนี้สำคัญกว่า เพราะอย่างน้อยเพื่อไทยต้องควบคุมกระทรวงเศรษฐกิจ ไม่ปล่อยพรรคร่วมเอากระทรวงเศรษฐกิจแน่ ถ้ามาปรึกษาตนเป็นการส่วนตัวก็พร้อมแนะนำ แต่ถ้าไม่ปรึกษาก็จบ ตนคงไม่ต้องให้คำแนะนำอะไรมาก เพราะมีซือแป๋เก่งจะตายอยู่ที่โน่น

เมื่อถามว่าต้องชูเรื่องเศรษฐกิจเป็นหลักหรือไม่ นายบรรหาร กล่าวว่า ต้องเอาเรื่องความ ปรองดองเป็นหลัก ถ้าไม่มีตรงนี้เศรษฐกิจก็ไปไม่รอด เดี๋ยวเดินขบวน เดี๋ยวเสื้อสีโน่นสีนี่ออกมา ตนขอให้ทำเรื่องปรองดองก่อนและต้องเดินหน้า อย่าชักช้า มีความจริงใจ

ตกใจมาร์ค-เทือกโทร.มาหา

เมื่อถามว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิ การพรรคประชาธิปัตย์ โทรศัพท์มาหาบ้างหรือไม่ นายบรรหาร กล่าวว่า ตนจะนัดกินข้าวกับนายสุเทพ 1-2 วันนี้ เพราะบังเอิญวันที่ 2 ก.ค. ร้อยวันพันปีไม่เคยคุยโทรศัพท์กัน แต่วันนั้นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โทร.มาหาทำเอาตกใจหวิดตกเก้าอี้ คุยกันถึงห้าทุ่ม กำลังนอนหลับนายสุเทพโทร.มาอีกทำเอาตนตื่นจากที่นอน จนนอนไม่หลับทั้งคืน ตนให้กำลังใจทุกคนไม่ว่าใครโทร.มาก็ให้กำลังใจทั้งนั้น ขอให้อดทน ได้รับชัยชนะ และตนยังถามนายอภิสิทธิ์ด้วยว่า แล้วนายกฯ ยุบสภาทำไม พวกตนลำบาก ถ้าอยู่จนครบเทอม งบประมาณผ่านสภาก็ค่อยยังชั่ว แต่ต้องมาแก้ไขมาจัดทำงบประมาณกันใหม่ ซึ่งนายอภิสิทธิ์บอกว่าขอให้เห็นใจเพราะไม่ไหวแล้ว

นายบรรหาร กล่าวอีกว่า ขอให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้ โดยเฉพาะการปรองดองเป็นเรื่องสำคัญต้องเดินหน้าต่อไป แต่จะปรองดองในรูปใดค่อยมาพูดกันอีกที หากบ้านเมืองไม่มีความ ปรองดองก็ทำอะไรไม่ได้

แต่สายจาก"ทักษิณ"ยังเงียบ

เมื่อถามว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โทรศัพท์มาหาหรือไม่ นายบรรหาร กล่าวว่า ไม่มี โทร. มา 2 ปีมาแล้วไม่เคยพูดกันเลย เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่โทร.มาขอคำแนะนำเลยหรือ นายบรรหาร กล่าวว่า จะมาขอตนทำไม เพราะเขาเซียนอยู่แล้ว

เมื่อถามถึงกรณีนายอภิสิทธิ์ลาออกจากหัว หน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายบรรหาร กล่าวว่า ถ้าให้ตนเดา ขอเดาว่าเดี๋ยวประชาธิปัตย์จะมีมติเลือกนายอภิสิทธิ์กลับมาเป็นหัวหน้าพรรคอีก ลาออกได้ก็กลับเข้ามาใหม่ได้ เพราะประชาธิ ปัตย์หาคนมาแทนลำบาก หรือจะให้นายสุเทพเป็นหัวหน้าพรรคแทนได้หรือไม่ แต่เดาว่าประ ชาธิปัตย์คงมีมติให้นายอภิสิทธิ์กลับมาเป็นหัว หน้าพรรคอีก

ทักษิณชี้ภารกิจแรกปรองดอง

วันเดียวกันที่สนามกอล์ฟมอนโกเมอรี่คลับ เอมิเรตส์ ฮิลล์ ดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิ เรตส์(ยูเออี) พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงการตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย ว่า จริงๆ 300 เสียงก็พอแล้ว ตอนนี้มีเพื่อไทยกับชาติไทยพัฒนา ถ้ารวมชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดินเข้าไปด้วยยังเป็นเสียงที่มีเสถียรภาพอยู่ เพราะการที่รัฐบาลมีเสถียรภาพอยู่ที่วินัยของ ส.ส. ถ้ามีวินัยมาประชุมก็โอเค แต่ถ้าไม่มีวินัยถึงมีมากก็แย่

ผู้สื่อข่าวถามว่าต้องเพิ่มพรรคเล็กอีกหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ยังไม่ทราบ ต้องถามทางกทม. ตนอยู่ไกล ที่มาคุยตอนนี้เป็นการเชื่อมต่อเท่านั้น เมื่อส่งไม้ผลัดแล้วตนก็ไม่เกี่ยวแล้ว เมื่อถามว่าภารกิจหลักของรัฐบาลที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกฯ ควรมีอะไรบ้าง พ.ต.ท. ทักษิณ กล่าวว่า ภารกิจแรก ส่งเสริมเรื่องความปรองดอง ภารกิจที่ 2 พลิกฟื้นเศรษฐกิจ เริ่มต้นด้วยการลดราคาสินค้า เหมือนที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ประกาศไว้เมื่อวันที่ 1 ก.ค. ภารกิจปรองดองเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทำควบคู่ไปกับฟื้นเศรษฐกิจ ไม่ใช่ทำทีละอย่าง

ผ่านแล้วผ่านไปไม่มีล้างแค้น

เมื่อถามว่าต้องดูแลเรื่องการเมืองเป็นพิเศษหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า การเมืองไม่น่ามีอะไร เมื่อเลือกตั้งเสร็จใหม่ๆ การเมืองน่าจะนิ่ง คงไม่มีอะไรช่วงนี้ มันเปลี่ยนไปจากคราวที่แล้ว ความรุนแรงของการต่อต้านอะไรลดละไปเยอะ อุณหภูมิลดไปเยอะ เมื่อถามว่าประเมินกองทัพด้วยหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ทุกฝ่ายลดไปเยอะ ที่ผ่านมาความพยายามต่อสู้เอาชนะมันเป็นเรื่องธรรมดาของการแข่งขัน เป็นธรรมดาของคนที่ไม่เชื่อว่าตนจะไม่ล้างแค้น จริงๆ ยืนยันได้ว่าเรื่องล้างแค้นไม่มี ความแค้นก็ไม่มี เป็นเรื่องผ่านมาก็ผ่านไป จบไปก็ไม่มีอะไร ใครจะมาคุยมาทักทายอะไรก็ยินดี ไม่ขัดข้อง แต่การทำงานร่วมกันต้องมีองค์ประกอบหลายอย่างตัดสินใจ

ถ้ากลับไทยแล้วไม่สงบ-ไม่กลับ

เมื่อถามว่าตอนเพื่อไทยหาเสียงว่าจะพา พ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้าน แต่ตอนนี้กลายเป็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะยังไม่กลับประเทศไทย ประชา ชนที่เลือกเพื่อไทยจะเข้าใจหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า การเอาตนกลับบ้านเป็นความตั้งใจของคนในเพื่อไทย แต่การกลับไม่กลับต้องไม่ไปซ้ำเติมความขัดแย้ง มันต้องเป็นการดับไฟความขัดแย้งมากกว่า นี่คือสิ่งที่สำคัญ

"ไม่ใช่ว่าผมบอกว่าจะกลับ มันจะเป็นยังไง จะตีกันช่างมัน ผมอยากกลับ แต่ถ้ากลับไปแล้วไม่เกิดความสงบก็อยู่เมืองนอกต่อได้ ผมก็ไม่ได้เดือดร้อน" พ.ต.ท.ทักษิณกล่าว

แนะประคองรบ.รอบ้าน 111

ต่อข้อถามว่าจากนี้จะวางบทบาทตัวเองอย่าง ไร พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ตนคงอยู่ห่างๆ หากรัฐบาลหรือน.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องการคำปรึกษา ก็พร้อมให้คำปรึกษา ถ้าไม่อยากปรึกษาตนก็ทำมาหากินไปเรื่อย เดินทางไปเรื่อย เมื่อถามว่าตั้ง ครม.ต้องถามพ.ต.ท.ทักษิณก่อนหรือไม่ พ.ต.ท. ทักษิณ กล่าวว่า ไม่จำเป็น ไม่ต้องเลย อาจตั้งกันแล้วถามว่ารู้จักคนนั้นคนนี้หรือไม่ เพราะตนรู้จักคนเยอะกว่า อาจให้ข้อมูล แต่การตัดสินใจเป็นเรื่องของน.ส.ยิ่งลักษณ์และกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย

เมื่อถามว่ายืนยันว่าจะไม่เข้ามายุ่งหรือก้าวก่ายการบริหารงาน พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ไม่ต้องเลย ตนไปทำมาหากินได้เลย ตอนนี้สบายใจแล้ว จบแล้ว สิ่งที่ห่วงชาวบ้านว่าที่ทำงานแล้วไม่เสร็จกลับถูกปฏิวัติ กลับมาตอนนี้มีคนสานต่อแล้ว คนมาดูแลชาวบ้านประชาชนแล้วถือว่ามาสานไม้ต่อแล้ว ถ้าเทียบกันแล้วเขาเก่งกว่าตนหลายอย่าง ละเอียดกว่า รอบคอบกว่า เข้าถึงเทคโนโลยีได้มากกว่า จับประเด็นเก่ง คิดเร็ว และทำงานหนัก ปัญหาอาจมีเรื่ององค์ประกอบของน.ส.ยิ่งลักษณ์มีไม่เท่าตน เพราะพรรคถูกยุบไป 2 รอบ จึงเป็นหน้าที่ต้องประคองไปจนกว่าเดือนพ.ค.ปีหน้า ที่พวก 111 จะได้กลับมาช่วย ทั้งนี้ ยืนยันว่าที่พรรคเลือกน.ส.ยิ่งลักษณ์มาทำงานไม่ใช่ทางเลือกที่ผิด เพราะเท่าที่ได้รับเสียงตอบรับมากขนาดนี้ก็ถูกเกินครึ่งแล้ว เหลือแค่ทำงานให้ได้เท่านั้น

รายงานข่าวจากคนใกล้ชิดพ.ต.ท.ทักษิณเปิดเผยถึงกระแสข่าวที่ว่าพ.ต.ท.ทักษิณเดินทางไปฮ่องกงเพื่อเจรจาจัดตั้งรัฐบาลนั้นไม่เป็นความจริง เพราะตั้งแต่วันที่ 3-5 ก.ค. พ.ต.ท.ทักษิณมีนัดให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวทั้งไทยและต่างประเทศหลายสำนัก ทั้งนี้ ตลอดคืนวันที่ 3 ก.ค.มีชาวไทยและต่างประเทศทยอยเข้าพบจนถึงดึก

ยิ่งลักษณ์หารือจับขั้ว 4 พรรค

สำหรับความเคลื่อนไหวของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 1 พรรคเพื่อไทย ว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเช้าเก็บตัวพักผ่อนอยู่ภายในบ้าน ซอยโยธินพัฒนา 3 ย่านบึงกุ่ม โดยมีสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประ เทศจำนวนมากรอติดตามทำข่าว ขณะที่บริเวณหน้าบ้านมีตำรวจสน.ลาดพร้าว มาอำนวยความสะดวกด้านการจราจร และดูแลความปลอดภัย ช่วงสายผู้บริหารบริษัทเอสซี แอสเสท เข้ามอบกระเช้าดอกไม้แสดงความยินดี จากนั้นเวลา 12.00 น.น.ส.ยิ่งลักษณ์เดินทางมายังโรงแรมเอสซีปาร์ค เพื่อรับประทานอาหาร และหารือกับแกนนำ 4 พรรคการเมือง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทีมงานของน.ส.ยิ่งลักษณ์เตรียมพื้นที่บริเวณลานจอดรถด้านข้างบ้านพักไว้รองรับสื่อมวลชน โดยนำตู้คอนเทนเนอร์ติดตั้งเครื่องปรับอากาศไว้เป็นที่พักและที่ทำงานสำหรับสื่อมวลชน

ชัดๆอีกครั้งไม่เอาภูมิใจไทย

ต่อมาเวลา 14.20 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้สัม ภาษณ์กรณีนายอภิสิทธิ์ลาออกจากหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ว่า ไม่ขอแสดงความคิดเห็น เพราะเป็นเรื่องภายในประชาธิปัตย์ และถือเป็นเจตนา รมณ์ของนายอภิสิทธิ์

ผู้สื่อข่าวถามว่ารัฐบาลใหม่จะไม่มีพรรคภูมิใจไทยเข้าร่วมใช่หรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า "ไม่มีค่ะ"

ปิดประตูงูเห่าสมศักดิ์-สรอรรถ

เมื่อถามว่ายืนยันตัวเลขรัฐบาล 299 เสียงใช่หรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า จนถึงวันนี้เราจบที่ 4 พรรค ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง และการหารือวันนี้ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา ไม่ได้ยื่นข้อเสนอเรื่องดึงภูมิใจไทยเข้าร่วมรัฐบาล เราคุยเฉพาะ 4 พรรคเท่านั้น

เมื่อถามว่ามีความเป็นไปได้แค่ไหนที่จะดึงกลุ่มนายสมศักดิ์ เทพสุทิน และนายสรอรรถ กลิ่นประทุม จากภูมิใจไทยเข้าร่วมรัฐบาล น.ส. ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า วันนี้พรรคพูดเรื่องเจตนา รมณ์และอุดมการณ์ระหว่างเพื่อไทยกับภูมิใจไทยไปแล้ว เมื่อถามว่าการตั้งรัฐบาลพ.ต.ท. ทักษิณ ได้ให้คำปรึกษาหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตอบว่า ไม่ได้ให้คำปรึกษา

ตั้งรบ. 5 พรรค 299 เสียง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านั้นที่ห้องพระรามเก้า ชั้น 6 โรงแรมเอสซี ปาร์ค น.ส.ยิ่งลักษณ์พร้อมด้วยแกนนำเพื่อไทยนัดหารือแกนนำ 4 พรรค ประกอบด้วย ชาติไทยพัฒนา ชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน พลังชล และมหาชน เพื่อจัดตั้งรัฐบาล ต่อมานายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยนายพายัพ ชินวัตร แกนนำภาคอีสาน นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช ทีมเศรษฐกิจ และนายวิทยา บุรณศิริ อดีตเลขา ธิการพรรค เดินทางมาถึง ตามด้วยคณะของพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน นำโดยน.พ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล และร.ต.ประพาส ลิมปะพันธุ์ ซึ่งพูดคุยกับแกนนำเพื่อไทยว่า การเลือกตั้งครั้งนี้พรรคเล็กเหนื่อยจริงๆ เหนื่อยมาก กระแสพรรคใหญ่มาแรงมากจริงๆ

จากนั้นนายเชาว์ มณีวงษ์ หัวหน้าพรรคพลังชล พร้อมด้วยนายวิทยา และนายอิทธิพล คุณปลื้ม เดินทางเข้ามาถึง ตามด้วยพล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา และนายธีระ วงศ์สมุทร และนายอภิรัตน์ ศิรินาวิน หัวหน้าพรรคมหาชน ซึ่งเป็นพรรค 1 เสียงที่ได้ร่วมรัฐบาล รวมเสียงส.ส.ทั้งหมด 299 เสียง

จากนั้นเวลา 12.05 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ร่วมรับประทานอาหารกับแกนนำพรรคต่างๆ ที่ห้องพระราม 9 ชั้น 6 โดยนั่งร่วมโต๊ะกับแกนนำ 5 พรรคด้วยบรรยากาศเป็นกันเอง เมนูอาหารประกอบด้วยออร์เดิร์ฟ กุ้งทอด หูฉลาม ปลานึ่ง หมี่ผัด ขณะที่ห้องอาหารจีน ชั้น 1 ของโรงแรม แกนนำคนสำคัญของว่าที่พรรคร่วมรัฐบาลมารับประทานอาหารเพื่อร่วมสังเกตการณ์ ประกอบด้วย นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ แกนนำชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา นายวราเทพ รัตนากร นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ แกนนำเพื่อไทย และนายสนธยา คุณปลื้ม แกนนำพลังชล

เปิดแถลงภารกิจเร่งด่วน

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ น.ส.ยิ่งลักษณ์พร้อมด้วยแกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา ชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน พลังชล ขึ้นเวทีแถลงข่าว ยกเว้นแกนนำพรรคมหาชนนั่งอยู่ด้านล่างเวทีกับแกนนำเพื่อไทย น.ส.ยิ่งลักษณ์แถลงว่า ขอบคุณพี่น้องประชาชนทุกคนสำหรับทุกคะแนนเสียงที่มอบให้ รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกคนและทุกพรรคการเมืองที่ทำให้การเลือกตั้งผ่านไปอย่างสมบูรณ์ ตนและแกนนำ 5 พรรค แสดงเจตนารมณ์ที่สอดคล้องกันในการเข้ามาทำงานบริหารประเทศ แก้ไขปัญหาให้พี่น้อง สิ่งที่ต้องทำอย่างแรกคือ รอผลของกกต.อย่างเป็นทางการก่อน ลำดับถัดไปแต่ละพรรคที่เราเชิญมาทั้งหมด รวมแล้วเลขสวยอยู่ที่ 299 เสียง คิดว่ามีเสถียร ภาพพอ จากนี้พรรคจะเข้าไปดูเรื่องข้อกฎหมายและข้อบังคับพรรคเพื่อเตรียมแถลงอย่างเป็นทางการอีกครั้ง

น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ภารกิจเร่งด่วนเพื่อแก้ปัญหาบ้านเมือง คือ 1.ทำอย่างไรให้ประเทศชาติก้าวไปสู่ความสามัคคีปรองดอง ทุกพรรคเห็นตรงกันว่าต้องวางนโยบายนี้ในการพูดคุยกับทุกภาคส่วน เบื้องต้นมอบหมายคณะกรรมการอิสระค้นหาและตรวจสอบความจริงเพื่อความ ปรองดอง (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน ทำงานร่วมกับคณะทำงานจาก 5 พรรค และทีมคณะกรรมการอิสระที่จะแต่งตั้งเพิ่ม 2.จะจัดงานเฉลิมฉลอง 84 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 3.พลิกฟื้นเศรษฐกิจ กระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดขึ้นโดยเร็ว โดยเฉพาะปัญหาสินค้าและค่าครองชีพ และ 4.ฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างประเทศให้กลับคืนมาโดยเร็ว รวมทั้งสร้างขวัญกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ส่วนราชการ ในการขับเคลื่อนประเทศเดินต่อไป

ให้อิสระกก.ปรองดองทำงาน

น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวอีกว่า ประเด็นคอร์รัปชั่นเป็นอีกปัจจัยที่เป็นปัญหา ต้องมีแนวทางและนโยบายขจัดเพื่อให้เกิดความโปร่งใส การทำ งานของนักการเมืองสามารถตรวจสอบได้และมีความชัดเจน ตนและพรรคเพื่อไทยจะนำวิสัยทัศน์ที่เคยหาเสียงเมื่อ 1 ก.ค. รวมถึงนโยบายทั้งหมดมาหารือร่วมกับทุกพรรคเพิ่มเติม เป็นแผนการทำงานและฟื้นฟูแก้ปัญหาให้ประชาชน หวังว่าเจตนารมณ์ของ 5 พรรคการเมืองจะมีความมุ่งมั่นในการทำงาน

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะผลักดันนโยบายความ ปรองดองให้เป็นวาระแห่งชาติหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ต้องทำงานต่อไปเพื่อเร่งรัดเรื่องนี้ ขณะนี้ได้ตอบรับในเรื่องเร่งรัดค้นหาความจริง ส่วนนโยบายปรองดองวันนี้หารือแล้ว ทุกคนเห็นตรงกันและนั่งคุยกันเพื่อให้เข้าใจสอดคล้องในนโยบายตรงกัน ส่วนคณะกรรมการจะต้องทำให้ชัดเจน ภาคการเมืองจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว อยากให้คณะกรรมการทำงานอย่างอิสระ ซึ่งจะทำเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด พล.ต.สนั่นมีส่วนเริ่มตั้งแต่ต้น คงเข้ามามีส่วนร่วมช่วยผลักดันให้เกิดความปรองดองโดยเร็วที่สุด เบื้องต้นเราอยากให้กรรมการชุดนี้เป็นอิสระและทำงานอย่างเป็นธรรมที่สุด

เลิกประกันราคาใช้รับจำนำข้าว

เมื่อถามว่าจะสามารถปรองดองกันได้หรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ทุกคนในชาติมีความรักความหวงแหนประเทศชาติ อยากเห็นประเทศก้าวไปข้างหน้า เมื่อถามถึงการจัดตั้งครม.ใช้เวลานาเท่าไหร่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า หลังจากที่ มีการแต่งตั้งจากสภา หลักการอะไรที่เป็นประ โยชน์ต่อประชาชน พรรคไม่มีเจตนายกเลิก แต่จะคงไว้และต้องดูว่าอะไรบ้างที่ควรปรับปรุงให้ดีขึ้นจึงจะเข้าไปแก้ไข โดยหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

ต่อข้อถามถึงนโยบายเศรษฐกิจ เรื่องราคาสินค้า รวมถึงนโยบายรับประกันราคาข้าวของรัฐบาลที่แล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ต้องดูรายละเอียดสินค้าแต่ละประเภท เช่น ข้าว เราจะนำระบบรับจำนำกลับมา ส่วนผลไม้ต้องดูไปตามฤดูกาล แต่จะทำให้สินค้าเป็นไปตามกลไกของตลาด จะดูตั้งแต่ต้นทุนการผลิตและการผูกขาด และขอเข้าไปทำงานก่อนโดยมีทีมเศรษฐกิจศึกษาเรื่องงบประมาณ ถ้าส่วนใดเป็นงบที่ไม่จำเป็นต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือไม่ ตรงกับวัตถุประสงค์การใช้จ่ายก็ต้องปรับปรุง แต่สิ่งใดที่ต้องผลักดันเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต้องดำเนินการต่อ

รมต.มีความสามารถตามกระทรวง

เมื่อถามถึงโควตารมต.กำหนดสัดส่วนอย่าง ไร น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า เมื่อได้รับแต่งตั้งเป็นทางการจะชี้แจงเรื่องครม.อีกครั้ง รอให้ประกาศอย่างเป็นทางการก่อน แล้วทุกพรรคคงต้องหารือกันภายใน ส่วนครม.จะต้องเป็นผู้มีความรู้ความสามารถตรงตามแต่ละกระทรวง เพราะการบริหาร จะดูที่ผลงานเป็นหลัก เมื่อถามว่าการตั้งรมต.ต้องฟังเสียงคนเสื้อแดงด้วยหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวย้ำว่า ต้องเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถและดูที่ผลการบริหารงาน

เมื่อถามว่าการทำงานร่วมกับกองทัพจะเชิญพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มาร่วมทำงานด้วยหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ขอทีละสเต็ป ตอนนี้เร็วเกินไปที่จะคุยเรื่องเหล่านี้

ไม่มีนโยบายทำเพื่อคนๆเดียว

เมื่อถามว่ามั่นใจรัฐบาล 299 เสียงจะมีเสถียร ภาพแค่ไหน น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า เสียงของเพื่อไทยเกินกึ่งหนึ่งอยู่แล้ว เชื่อว่ามีเสถียรภาพในการบริหารประเทศ แต่เราต้องการผู้มีความรู้ความสามารถมาร่วมกันแสดงเจตนารมณ์เพื่อแก้ปัญหาประเทศ เมื่อถามถึงแนวทางนิรโทษกรรม น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า พรรคแถลงจุดยืนไปแล้วว่าไม่มี ปล่อยให้คณะกรรมการคอป.ดำเนินการอย่างอิสระ พรรคไม่มีนโยบายทำเพื่อคนๆเดียว

ด้านน.พ.วรรณรัตน์ กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับเชิญเข้าร่วมรัฐบาล พรรคยินดีตอบรับคำเชิญด้วยเหตุผล 3 ข้อ 1.เพื่อไทยได้ที่นั่งเกินครึ่งในสภา มีความชอบธรรมเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และเห็นด้วยที่น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ 2.พรรคเคยร่วมงานกับไทยรักไทยในอดีต สามารถทำงานร่วมกันได้ 3.มีนโยบายสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ร่วมถึงร่วมแก้ปัญหาเศรษฐกิจร่วมกัน

ขณะที่นายเชาว์ กล่าวว่า เหตุผลที่เข้าร่วมรัฐบาลสอดคล้องกัน โดยเฉพาะการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และสร้างความปรองดอง ซึ่งความปรองดองเป็นหัวใจสำคัญในการทำงานเพื่อประเทศชาติ

พลังชลไม่อ้อมค้อมชอบกีฬา

จากนั้นน.พ.วรรณรัตน์ ให้สัมภาษณ์หลังการแถลงข่าวว่า ครั้งนี้เป็นการหารือจัดตั้งรัฐบาลเท่านั้น ยังไม่ได้พิจารณารายละเอียดการจัดรมต. กระทรวงต่างๆ คงหารือในโอกาสต่อไป ส่วนการต่อสายเพื่อชวนเข้าร่วมรัฐบาลนั้น ผู้ใหญ่ในเพื่อไทยติดต่อมา ส่วนระยะเวลาจัดตั้งรัฐบาลนั้น คงเป็นไปตามรัฐธรรมนูญกำหนดว่าหลังเลือกตั้ง ในเวลา 1 เดือนต้องเปิดสภา คงจะแต่งตั้งประ ธานสภา รองประธานสภา รวมถึงนายกฯ ส่วนการเข้าร่วมรัฐบาลครั้งนี้เชื่อว่าการปรองดองจะเกิดขึ้น

นายเชาว์ ให้สัมภาษณ์ถึงข่าวพรรคพลังชลสนใจงานด้านการท่องเที่ยวและกีฬาว่า พลังชลมีความสามารถและประสบการณ์หลายด้าน ทั้งด้านอุตสาหกรรม และการขนส่ง เพียงแต่เรามีประสบการณ์เรื่องกีฬา ขณะนี้นายวิทยา คุณปลื้ม แกนนำพรรค เป็นนายกสมาคมกีฬาด้วย

หนั่นการันตีเสถียรภาพมั่นคง

ผู้สื่อข่าวถามว่าจำนวนส.ส. 7 คนของพรรคจะต่อรองตำแหน่งรมต.อย่างไร นายเชาว์ กล่าวว่า ยังไม่ได้พูดคุย วันนี้เป็นเพียงการหารือตั้งรัฐบาล พลังชลไม่มีข้อแม้ มีเพียง 1 ข้อที่ต้องทำคือเรื่องความปรองดองสมานฉันท์ ให้ประเทศเดินหน้าไปได้เท่านั้น เมื่อถามว่าเห็นด้วยกับกฎหมายนิรโทษกรรมหรือไม่ นายเชาว์ กล่าวว่า ต้องดูความหมายว่าหมายถึงใคร หากหมายถึงนิรโทษกรรมของทุกคนที่ทำกรรมต่างๆไว้ ก็เห็นด้วย เพื่อให้บ้านเมืองอยู่ได้ โดยการให้อภัยทาน

ขณะที่พล.ต.สนั่น ให้สัมภาษณ์ว่า เสียงพรรคร่วม 299 เสียงถือว่ามีเสถียรภาพมั่นคง ครม.จะเป็นผู้แทนทั้งหมดก็ไม่เป็นไร เมื่อถามว่าชาติไทยพัฒนาได้กี่กระทรวง พล.ต.สนั่น กล่าวว่า ยังไม่ทราบ เมื่อถามว่าพลังชลต้องการดูแลด้านการท่องเที่ยวและกีฬาเหมือนกับชาติไทยพัฒนา พล.ต.สนั่น กล่าวว่า ไม่รู้เหมือนกัน เมื่อถามถึงกระแสข่าวว่าจะลาออกจากส.ส.บัญชีรายชื่อเพื่อให้ลำดับถัดไปเลื่อนขึ้นมา โดยเฉพาะนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ แกนนำพรรคที่สอบตกงวดนี้ พล.ต.สนั่น กล่าวว่า เอาไว้คุยกันทีหลัง

ไม่ได้ทิ้งภท.แต่มันจบแล้ว

เมื่อถามว่านายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ระบุจะพยายามดึงภูมิใจไทยร่วมรัฐบาลด้วย พล.ต.สนั่น กล่าวว่า เพื่อไทยประกาศไปแล้ว ปัญหานี้คงไม่ต้องพูดแล้ว อย่างไรก็ตามนายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรค คงจะไปพูดคุยกับภูมิใจไทยว่ามีความจำเป็นอย่างไร ไม่ได้ทิ้งเพื่อน ไม่ได้ผิดสัญญา นักการเมืองเขาเข้าใจกันดี ทั้งนี้ การนิรโทษกรรมอย่าไปพูดถึงเลย ถ้าปรองดองได้ทุกอย่างในประเทศอะไรก็อภัยกันได้หมด ความเป็นธรรมทั่วถึงกัน การเหลื่อมล้ำอยู่ในเรื่องของการปรองดองทั้งสิ้น ยืนยันว่าเพื่อไทยไม่เสนอนิรโทษกรรมแน่

ต่อข้อถามว่าพ.ต.ท.ทักษิณจะมีโอกาสกลับประเทศไทยหรือไม่ พล.ต.สนั่น กล่าวว่า เป็นเรื่องที่คณะกรรมการปรองดองจะพิจารณา ส่วนตัวคิดว่าทุกอย่างต้องเสมอภาค และมาตรฐานเดียวกัน ไม่ใช่อยู่ๆจะนิรโทษกรรม เป็นไปไม่ได้

เผยที่มา 1 เสียงมหาชนส้มหล่น

รายงานข่าวจากพรรคชาติไทยพัฒนา เปิดเผยว่า สำหรับ 1 เสียงของมหาชนที่ได้เข้าร่วมรัฐ บาลเพื่อให้เสียงเป็น 299 เสียงนั้น นอกจากจะเป็นตัวเลขที่สวยแล้ว ยังเพิ่มความมั่นคงมากยิ่งขึ้น โดยมีที่มาที่ไปคือพล.ต.สนั่นขอร้องแกนนำเพื่อไทย เนื่องจากมหาชนเป็นพรรคที่พล.ต.สนั่นก่อตั้งขึ้นมา แล้วมอบหมายนายอภิรัต ศิรินาวิน ที่มีความใกล้ชิดสนิทแนบแน่นดูแลรักษาพรรค ขณะที่พล.ต.สนั่นเข้ามาสังกัดชาติไทยพัฒนา ขณะที่นายอภิรัตถือเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ เรียนจบปริญญาโท เลือกตั้งที่ผ่านมาก็ทำคะแนนเสียงได้มากจนพรรคได้ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 ที่นั่ง เหนือกว่าพรรคที่มีนักการเมืองชื่อดังเป็นหัวหน้าพรรคหลายคน

รายงานข่าวแจ้งอีกว่า สำหรับตำแหน่งรมต. ของชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดินนั้น น่าจะได้รมต. 1 ตำแหน่ง แต่คงไม่ได้กระทรวงพลังงานที่เคยดูแลอยู่เดิม ทั้งนี้แกนนำพรรคจะต่อรองส่งคนเข้าไปเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจใหญ่ๆ ด้วย

เติ้งต่อรองขอคุมกระทรวงเดิม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนการหารือของแกนนำ 5 พรรคที่โรงแรมเอสซี ปาร์ค พล.ต.สนั่นเข้าพบนายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ที่พรรค นานประ มาณ 30 นาที โดยมีนายธีระ วงศ์สมุทร ร่วมหารือด้วย และภายหลังแถลงข่าวร่วมกันน.ส.ยิ่งลักษณ์ นายธีระกลับมาที่พรรคเพื่อรายงานผลการหารือกับแกนนำเพื่อไทยและพรรคร่วมอื่นๆ ต่อนายบรรหาร

รายงานข่าวจากแกนนำชาติไทยพัฒนา เปิดเผยว่า ชาติไทยพัฒนาที่มี 19 เสียงขอรมต. กระทรวงเดิมทั้งหมด ได้แก่ รองนายกฯ รมว. เกษตรและสหกรณ์ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา รมช.คมนาคม นอกจากนี้พล.ต.สนั่นยังต่อรองขอรมช.สาธารณสุขอีก 1 ตำแหน่ง แต่อย่างไรก็ตามการตัดสินใจขึ้นกับพรรคเพื่อไทย เพียงแต่ชาติไทยพัฒนายื่นเงื่อนไขเข้าไปเท่านั้น

หนั่นส่งลูกยอดเป็นรมต.แทน

รายงานข่าวแจ้งอีกว่า เบื้องต้นแกนนำเพื่อไทยตอบรับให้ตำแหน่งรองนายกฯ รมว.เกษตรฯ และรมช.คมนาคม ขณะที่พล.ต.สนั่นแจ้งกับนายบรรหารว่าจะไม่ขอรับตำแหน่งในรัฐบาลชุดนี้ โดยขอให้นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ บุตรชาย ได้โควตาเป็นรมต.แทน ทั้งนี้หากชาติไทยพัฒนาได้ดูแลกระทรวงเกษตรฯอีกครั้ง นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรฯ มีโอกาสนั่งเก้าอี้เดิมต่อไป ส่วนนายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรค มีแนวโน้มขึ้นเป็นรองนายกฯ อย่างไรก็ตามชาติไทยพัฒนายื่นขอแลกตำแหน่งรองนายกฯ เป็น 2 รมช. รวมโควตาที่ได้คือ 1 รมต.กับ 3 รมช. ขณะนี้อยู่ระหว่างต่อรองกับทางเพื่อไทย

เติ้งส.ส.หดสั่งปรับฮวงจุ้ยพรรค

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า หลังจากผลเลือกตั้งออกมาชาติไทยพัฒนาได้ส.ส.ลดลง นายบรร หารสั่งปรับฮวงจุ้ยที่ทำการพรรคชาติไทยพัฒนาทั้งหมด โดยถอนต้นปาล์มบริเวณด้านหน้าพระตำหนักเดิมของพระองค์เจ้าอัพพันตรีประชา ที่ตั้งของร้านกาแฟพรรค พร้อมจัดทำพิธีขอขมาในวันที่ 7 ก.ค.นี้ โดยมีความเชื่อตามหลักฮวงจุ้ยว่าต้นปาล์มที่อยู่หน้าอาคารถือเป็นเรื่องไม่ดี เป็น การขัดขวางสิ่งดีๆ ที่จะเข้ามา อีกทั้งการปลูกไว้ต้นเดียวเปรียบเหมือนปักธูปขนาดใหญ่หน้าบ้าน อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง นายบรรหารสั่งปรับฮวงจุ้ยแล้วครั้งหนึ่ง โดยติดตั้งน้ำพุและให้เปิดตลอดเวลา เพื่อนำเรื่องดีๆ มาสู่พรรค รวมทั้งปรับทัศนียภาพโดยรอบ

ขณะที่รายงานข่าวจากพลังชลที่มี 7 เสียง ระบุว่า พรรคสนใจตำแหน่งรมว.การท่องเที่ยวและกีฬา โดยอ้างว่าเป็นงานถนัด และแกนนำพรรคเคยดูแลงานกระทรวงนี้ รวมถึงเป็นนโย บายของพรรคที่ใช้หาเสียง

ชพน.ขอพลังงานของเดิม

ทางด้านพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน ซึ่งน.พ. วรรณรัตน์ นั่งรมว.พลังงานอยู่แล้ว ก็แสดงความจำนงขอดูแลกระทรวงพลังงานต่อไป โดยอยู่ระหว่างเจรจาต่อรองกับทางเพื่อไทย

นิวัฒน์ธำรงจ่อเลขาฯนายกฯ

ในส่วนความเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทย มีรายงานข่าวว่า ตำแหน่งเลขาธิการนายกฯ น่าจะเป็นนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล หรือชื่อเดิมนิวัฒน์ บุญทรง อดีตผู้บริหารเครือชินคอร์ป ที่พ.ต.ท.ทักษิณไว้เนื้อเชื่อใจมาก โดยนายนิวัฒน์ธำรงเป็นผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์ ลำดับ 21 พรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้งครั้งนี้และได้รับเลือกตั้ง

"ขุนค้อน"มาแรงปธ.สภา

สำหรับตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ชื่อที่มาแรงคือนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตรองประธานสภา เจ้าของฉายา"ขุนค้อน" โดย พ.ต.ท.ทักษิณ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และแกนนำเพื่อ ไทย ต้องการผู้ที่ไว้วางใจได้ มีความหนักแน่น มั่นคงต่อพรรค และมีชั้นเชิงทันเกมในสภาเพื่อรับมือกับฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งนายสมศักดิ์มีคุณสมบัติเหล่านี้ ทั้งนี้พ.ต.ท. ทักษิณเคยมีบทเรียนในการตั้งนายชัย ชิดชอบ เป็นประธานสภา เมื่อเกิดงูเห่าภูมิใจไทย นายชัยย้ายไปอยู่กับขั้วประชาธิปัตย์ ทำให้การทำงานและขับเคลื่อนในสภาเสียเปรียบทันที แม้เพื่อไทยจะมีส.ส.มากที่สุดในสภาขณะนั้นก็ตาม

โกวิท วัฒนะคุมมั่นคง-ชัจจ์ยธ.

รายงานข่าวแจ้งอีกว่า แกนนำเพื่อไทยได้ทาบทามพล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตผบ.ตร. และอดีตรองนายกฯ สมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และอดีตรมว.มหาดไทย สมัยรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ มาเป็นรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ควบคู่กับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ส่วนรายชื่อบุคคลที่มีโอกาสเป็นรมต.ในรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้แก่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก มีชื่อเป็นแคนดิเดตรมว.มหาดไทย เพราะทั้งหมดต่างทุ่มเทให้กับพรรคในการหาเสียงเลือกตั้งที่ผ่านมา โดยเฉพาะพล.ต.อ.ประชาสามารถนำผู้สมัครได้รับเลือกตั้งยกจังหวัดอุดรฯ อย่างไรก็ตามพล.ต.อ. ประชายังมีลุ้นเป็นรองนายกฯดูแลความมั่นคงเช่นกัน ขณะที่ร.ต.อ.เฉลิมแสดงความจำนงขอเป็นรมว.มหาดไทยอีกครั้ง หลังจากเคยเป็นสมัยรัฐบาลนายสมัคร

พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก อดีตผบช.ก. ที่ทำงานอยู่เบื้องหลังเหมือนปิดทองหลังพระให้กับพรรคมานาน ได้รับรางวัลเป็นรมว.ยุติธรรม

สำหรับรมว.กลาโหม มีหลายตัวเก็ง อาทิ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหมคนปัจจุบัน พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ อดีตผบ.สส. พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี อดีตผบ.หน่วยอากาศโยธิน เพื่อนเตรียมทหาร รุ่น 10 ของ พ.ต.ท.ทักษิณ และพล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผบ.สส. เพื่อนเตรียมทหารของพ.ต.ท.ทักษิณเช่นกัน ที่จะเกษียณอายุราชการในเดือนก.ย.นี้ อย่าง ไรก็ตามตำแหน่งแกนนำเพื่อไทยเห็นตรงกันว่าต้องได้รับการยอมรับทั้งฝ่ายการเมือง และผบ. เหล่าทัพ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหากระทบต่อรัฐบาล อย่างไรมีกระแสข่าวว่าหากตำแหน่งนี้มีปัญหาในการหาผู้เหมาะสม น.ส.ยิ่งลักษณ์อาจควบรมว. กลาโหมเอง โดยใช้ภาพความปรองดองประสานงานกับกองทัพ

โอฬาร-ยงยุทธ-ณัฐวุฒิติดโผ

รายงานข่าวแจ้งอีกว่า ส่วนกระทรวงเกรดเอ โดยเฉพาะกระทรวงเศรษฐกิจ เช่น กระทรวงการคลัง นายโอฬาร ไชยประวัติ มีแนวโน้มนั่งรมว. ส่วนรมช.มีชื่อนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช และนายพิชัย นริพทะพันธุ์ โดดเด่นที่สุด กระทรวงพาณิชย์มีชื่อนายคณวัฒน์ วศินสังวร กระทรวง คมนาคมมีชื่อนายสันติ พร้อมพัฒน์ อดีตรมว. คมนาคม

ขณะที่รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวด ล้อม นายปลอดประสพ สุรัสวดี เป็นตัวเก็ง นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรค ที่มีความอาวุโสและทุ่มเททำงานหนักให้พรรคมาตลอด จะได้รับตำแหน่งรองนายกฯ ส่วนกระทรวงที่อาจนำคนนอกมารับตำแหน่ง คือ กระทรวงการต่างประเทศ

นอกจากนี้นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ก็มีโอกาสเป็นรมต. ในฐานะตัวแทนคนเสื้อแดง

วันเดียวกัน นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล อดีตแกนนำไทยรักไทย คนสนิทพ.ต.ท.ทักษิณ เปิดบ้านในหมู่บ้านเกศินีวิลล์ให้อวยพรวันคล้ายวันเกิด โดยมีกลุ่มว่าที่ส.ส.ภาคเหนือ อีสานและ ภาคกลางของเพื่อไทย และข้าราชการกระทรวงคมนาคมบางส่วนที่เคยร่วมงานในสมัยเป็นรมว.คมนาคมมาร่วมอวยพร

สรุปผล การเลือกตั้ง 3 กค 54 (ผลจาก กกต.ล่าสุด)



<><><> แบบบัญชีรายชื่อ

- จำนวนผู้มีสิทธิ์ 46,921,682 คน
- ใช้สิทธิ์ 35,203,107 คน 75.03 %
- บัตรเสีย 1,726,051 บัตร 4.9 %
- ไม่ประสงค์เลือกใคร 958,0532 บัตร 2.72 %

<><><> แบบแบ่งเขต

- จำนวนผู้มีสิทธิ์ 46,921,777 คน
- ใช้สิทธิ์ 35,119,885 คน 74.85 %
- บัตรเสีย 2,039,694 บัตร 5.79 %
- ไม่ประสงค์เลือกใคร 1,419,088 บัตร 4.03 %

<><> หมายเหตุ โปรดสังเกตุ จะเห็นว่าตัวเลขจำนวนผู้มีสิทธิ์ ต่างกันอยู่ 95 คนคงไม่มีผลอะไรมาก

<><><><> จังหวัดที่ใช้สิทธิ์ มากที่สุด 3 ลำดับ

1. ลำพูน 88.61 %
2. เชียงใหม่ 83.13 %
3. ตรัง 82.65 %

<><><<> พรรคที่ได้รับการเลือกตั้ง <><><>

1. เพื่อไทย - เขต = 204 คน
- บัญชีรายชื่อ = 61 คน

2. ปชป. - เขต = 115 คน
- บัญชีรายชื่อ = 44 คน

3. ชทพ. - เขต = 15 คน
- บัญชีรายชื่อ = 4 คน

4. ชพน. - เขต = 5 คน
- บัญชีรายชื่อ = 2 คน

5. พช. - เขต = 6 คน
- บัญชีรายชื่อ = 1 คน

6. รปท. - เขต = 0 คน
- บัญชีรายชื่อ = 4 คน

7. มาตุภูมิ - เขต = 1 คน
- บัญชีรายชื่อ = 1 คน

8. มหาชน - เขต = 0 คน
- บัญชีรายชื่อ = 1 คน

9. ประชาธิปไตยใหม่ - เขต = 0 คน
- บัญชีรายชื่อ = 1 คน

10. รักษ์สันติ - เขต = 0 คน
- บัญชีรายชื่อ = 1 คน

รวมจำนวน ทั้งหมด 500 คน

ปชป.สับพท.แค่48ชม.ลุอำนาจไล่ปิดวิทยุชุมชน


Pic_184129


"บุญยอด" แฉเพื่อไทยเข้ามานั่งรัฐบาลแค่ 48 ชม.ลุอำนาจ-คุกคามสื่อไล่ปิดวิทยุชุมชนที่ "เนวิน" หนุนอยู่ อยากทวงถามที่ว่า "ไม่แก้แค้นมาแก้ไข" หมายความอย่างไร...

เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 5 ก.ค. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายบุญยอด สุขถิ่นไทย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตนได้รับรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 12.00 น. มีการดำเนินการจากเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งไม่ชัดว่าสังกัดใด ได้นำกำลังเข้าตรวจค้นสถานีวิทยุชุมชนคลื่นปกป้องสถาบัน คลื่นความถี่ 90.25 ซึ่งมีที่ตั้งอาคารบริเวณย่านประตูน้ำ ในกรุงเทพฯ ซึ่งมีนายสมพร หลงจิ เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยกลุ่มตำรวจดังกล่าวได้ตรวจยึดเสาเครื่องส่งสัญญาณเสียงไว้และขู่เจ้าของ อาคารว่าผิดกฎหมายทั้งที่คลื่นดังกล่าวเปิดทำการมานาถึง 4 ปีแล้ว

ทั้ง นี้ การกระทำดังกล่าวถือเป็นกรณีแรกที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่เพิ่งได้รับการ เลือกตั้งใช้อิทธิพลคุกคามสื่อที่ไม่ใช่ข้างของตัวเอง เพราะเป็นที่เข้าใจตรงกันว่าสถานีวิทยุชุมชนแห่งนี้มีนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทยสนับสนุนอยู่ โดยก่อนหน้านี้มีการประกาศว่า ไม่แก้แค้นแต่มาแก้ไข ทั้งนี้หมายความว่า พรรคเพื่อไทยที่เพิ่งได้เข้ามาเป็นรัฐบาลได้ไม่ถึ ง48 ชั่วโมงก็เริ่มปฏิบัติการสั่งปิด คุกคามสื่อมวลชนที่ไม่ได้อยู่ข้างตัวเอง ถามว่านี่หรือไม่แก้แค้นแต่มาแก้ไข.

“ไอ้กี้ร์” ผู้ต้องหาก่อการร้ายส่งทนายประสานถึงขั้นตอนเข้ามอบตัว

อธิบดีดีเอสไอ รับคำร้องทนายเสื้อแดง ขอเลื่อนให้แกนนำ นปช.19 คน เข้ารับทราบข้อกล่าวหาคดีล้มเจ้า อ้างอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานต่อสู้คดี ยันแกนนำ นปช.ไม่มีเจตนาหลบหนี โดย “ธา ริต” พิจารณาแล้วเห็นว่าคำร้องมีเหตุผลเพียงพอ อนุญาตให้เลื่อนได้ แต่ยังไม่กำหนดวันเมื่อใด ขณะที่ “ไอ้กี้ร์” ผู้ต้องหาก่อการร้ายส่งทนายประสานถึงขั้นตอนเข้ามอบตัว แต่ไม่แจ้งจะมาวันใด
      
       วันนี้ (5 ก.ค.) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวถึงกรณีที่ดีเอสไอนัดหมายให้แกนนำ นปช.ทั้ง 19 ราย มารับทราบข้อกล่าวหาคดีหมิ่นสถาบัน (ล้มเจ้า) ในวันพฤหัสบดี ที่ 7 ก.ค.ที่จะถึงนั้น ว่า ล่าสุด ทนายความ นปช.ได้ยื่นคำร้องขอเลื่อนการเข้ารับทราบข้อกล่าวหาของแกนนำ นปช.ออกไป โดยระบุ เหตุผลในคำร้องว่า คดีดังกล่าวทนายความยังอยู่ระหว่างขั้นตอนการรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อที่จะต่อสู้คดีด้วยความเป็นธรรม ประกอบกับแกนนำ นปช.ทั้ง 19 ราย ไม่มีเจตนาหลบหนี จึงขอเลื่อนการรับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งตนพิจารณาแล้วเห็นว่า คำร้องมีเหตุผลเพียงพอ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ต้องหาได้ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ จึงอนุญาตให้เลื่อนรับทราบข้อกล่าวหาได้ แต่ยังไม่ได้กำหนดว่าจะเลื่อนไปวันไหน โดยจะเรียกประชุมคณะพนักงานสอบสวนเพื่อกำหนดวันเลื่อนรับทราบข้อกล่าวหาต่อไป
      
       ส่วนกรณีที่มีข่าวว่า นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง แกนนำ นปช.และผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายที่หลบหนีอยู่ จะเข้ามอบตัวในเร็วๆ นี้ นั้น นายธาริต กล่าวว่า คดีดังกล่าวทนายความ นปช.ได้สอบถามมายังตนเกี่ยวกับรายละเอียด และขั้นตอนในการเข้ามอบตัว แต่ยังไม่ได้แจ้งว่านายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง ผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายจะเข้ามามอบตัวกับดีเอสไอเมื่อไหร่ หรือ วันไหน
      
       ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับข้อหาของนายอริสมันต์ ถือว่าไม่ธรรมดา และมีหมายจับมากมาย
      
       โดยเมื่อ วันที่ 11 และ 17 ต.ค.52 ขึ้นปราศรัยบนเวทีชุมนุมคนเสื้อแดง ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และที่ทำเนียบรัฐบาล กล่าวหา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่า เป็นต้นเหตุทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระอาการประชวร และเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการปล้นอำนาจประชาชน เป็นผู้สั่งการให้ฆ่าประชาชน อีกทั้งได้โฆษณาชวนเชื่อและปราศรัยผ่านสถานีโทรทัศน์เคเบิลทีวี (ช่องแดง) ด้วยการกล่าวหาว่า นายกฯ เป็นผู้สั่งฆ่าประชาชน และหน่วงเหนี่ยวการถวายฎีกาของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคุก จนทำให้ นายอภิสิทธิ์ ฟ้องในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณาหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ขณะนี้อยู่ระหว่างหนีหมายจับจากศาล
      
       8 เม.ย.53 ศาลอนุมัติหมายจับนายอริสมันต์ ความผิดตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการภายในสถานการณ์ฉุกเฉินเข้าข่ายความผิด และ พ.ร.บ.ความมั่นคง มาตรา 11(1) และความผิดข้อหาร่วมกันบุกรุกสถานที่ราชการ (รัฐสภา) กักขังหน่วยเหนี่ยว และข่มขู่ โดยบุกรุกรัฐสภา เมื่อวันที่ 7 เม.ย.53
      
       6 พ.ค.53 ศาลออกหมายจับ ข้อหาความผิดก่อการร้าย ขู่บังคับรัฐบาล ประทุษร้ายต่อประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ และการกระทำต่ออาวุธยุทธภัณฑ์ของทางราชการ ข้อหาสร้างความวุ่นวายในบ้านเมือง และศาลอาญาได้อนุมัติออกหมายจับ ตามที่ดีเอสไอเสนอ
      
       นอกจากนี้ นายอริสมันต์ ยังมีคดีล้มละลายติดตัว กรณีที่บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย เจ้าหนี้ ยื่นฟ้องเรื่องขอให้พิทักษ์ทรัพย์ มูลค่า 17 ล้านบาท โดยศาลนัดฟังคำสั่งพิทักษ์ในวันที่ 30 มิ.ย.53 ไปแล้ว
      

มาร์ค เป็นไร?????

ควันหลงเลือกตั้ง ประธานอมรินทร์ส่งสารสั่งพนักงานเลือกประชาธิปัตย์เพราะจงรักภักดีพระมหากษัตริย์



โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
4 กรกฎาคม 2554

เลือกตั้งจบไปแล้ว แต่ยังมีควันหลง มีผู้เปิดเผยเอกสารที่ลง ลายมือชื่อนางเมตตา อุทกะพันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน)เจ้าของร้านหนังสือนายอินทร์ และผู้ผลิตนิตยสารแพรว และหนังสือในเครืออมรินทร์พริ้นติ้ง ได้ส่งสารจากประธานถึงพนักงานบริษัทฯลงวันที่ 30 มิถุนายน 2554 สั่งให้เลือกพรรคประชาธิปัตย์ ในการเลือกตั้งวันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้

สารจากประธานแจ้งว่า
แม้ว่าการเลือกตั้งจะเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่ไม่อาจบังคับได้ แต่ในฐานะประธานกรรมการบริหารบริษัท ซึ่งมีความห่วงใยชาติบ้านเมืองของเรา จึงมิอาจนิ่งนอนใจได้ในเวลานี้ สิ่งที่ทำได้ในขณะนี้คือให้คำแนะนำที่ถูกต้องแก่พนักงาน ข้อแนะนำคือ

1.อย่ากาช่องNOโหวตเด็ดขาด เพราะนั่นคือหลุมพรางของผู้ไม่หวังดีต่อบ้านเมือง

2.อย่าเลือกพรรคเล็กเพื่อความสะใจ เพราะไม่เกิดผลดีต่อประเทศชาติของเราเลย

3.จงเลือกพรรคใหญ่ที่มีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ถึงแม้ว่าการบริหารประเทศช่วงที่ผ่านมา อาจมีหลายสิ่งที่ไม่เป็นที่ถูกใจเรา หรือมีข้อบกพร่อง ก็ควรเป็นสิ่งที่น่าให้อภัยและน่าเห็นใจในข้อจำกัดที่บีบคั้นอยู่ ขอให้ดูที่ความตั้งใจของหัวหน้าพรรคที่เป็นผู้มีใจซื่อมือสะอาด เป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีที่สุดคนหนึ่งที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ชาติไทย

นางเมตตา อุทกะพันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ อมรินทร์ฯกับพนักงานระดับผู้บริหาร

นอกจากเป็นเจ้าของร้านหนังสือนายอินทร์แล้ว อมรินทร์ยังเป็นเจ้าของนิตยสารกว่า 11 หัว คือ บ้านและสวน, แพรว,แพรวสุดสัปดาห์, เนชั่นแนลจีโอกราฟฟิค, ชีวจิต, WE, Room, Real Parenting, Shape, Health and Cuisine และคือ Instyle

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยข้อมูลผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัทอมรินทร์ฯประกอบไปด้วย

1. นางเมตตา อุทกะพันธุ์ 74,393,662 หุ้น คิดเป็น 37.20 %

2. นายระพี อุทกะพันธุ์ 22,572,106 หุ้น 11.29 %

3. น.ส.ระริน อุทกะพันธุ์ 18,533,684 หุ้น 9.27 %

4. บริษัท บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด 5,863,158หุ้น 2.93 %

5. บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) 5,000,000 หุ้น 2.50 %

6. BNP PARIBAS SECURITIES SERVICES SINGAPORE BRANCH 4,924,730 หุ้น 2.46 %

7. BNP PARIBAS SECURITIES SERVICES, LONDON BRANCH 4,891,053 หุ้น 2.45 %

8. CHASE NOMINEES LIMITED 1 4,862,358 หุ้น 2.43 %

9. กองทุนเปิด อเบอร์ดีนโกรท 3,556,614หุ้น 1.78 %

10. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช 3,157,895 หุ้น 1.58 %

11. นายนิติ โอสถานุเคราะห์ 2,742,195 หุ้น 1.37 %

12. JEFFERIES & COMPANY, INC 1,622,400 หุ้น0.81%

13. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี 1,263,158 หุ้น 0.63 %

14. นายเชวง ประพิณวงศ์ 1,260,000 หุ้น 0.63 %

15. MR.KENNETH RUDY KAMON 1,201,053 หุ้น 0.60 %

16. บริษัท พรอสเพคท์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด 1,100,050 หุ้น 0.55 %

เงินหายตั้ง 100 ล้าน ว่าที่นายกหญิงไม่แจ้งความเหรอ

 by ก้อยกัลยา ,

พรรคเพื่อไทย ที่ปูยิ่งลักษณ์ ปั๊กยิ่งรู เจ้าของ เอสซี แอสเสท ที่เคยมีเงินในบัญชีหายไปก่อนเหตุการณ์เผาเมือง 100 กว่าล้านบาท คุณปู เธอเบิกเงินไปทำอะไรให้ใครที่ไหน 


และวันนี้ คุณปูเธอมาเป็นผู้สมัครสส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย เพื่อเป็นตัวเก็งนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 ของประเทศไทย และเท่าที่สำรวจดูประวัติของเธอ ไม่มีประวัติช่วงไหนเลยว่าเธอสนใจการเมือง เธอสนใจบ้านเมือง เธอมีความคิดในการพัฒนาประเทศ ไม่มีเลย มีแต่เธอทำงานในบริษัทของพี่ชายคือ ทักษิณ ที่มุ่งแสวงหากำไรและทำธุรกิจของครอบครัวเจริญและร่ำรวยขึ้นเท่านั้น แม้วิชาที่เธอเรียนมาเธอก็มาได้เรียนรัฐศาสตร์มาเพื่อบริหารประเทศ


ต้อง ไม่ปฏิเสธว่า ปั๊กยิ่งรู ปูยิ่งลักษณ์ มาในนามของพระเจ้าที่มีนามว่า "ท้าวมูลเมือง"ชื่อ ทักษิณ ที่ต้องการให้ น้องสาวเข้ามาแก้มือ แทน สมัคร สุนทรเวช และสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่ช่วยที่ ทักษิณ ผิด เป็น ทักษิณ ถูกไม่ได้


ฉะนั้นมีเหตุผลเดียวที่ยิ่งลักษณ์ ยอมมาเป็นตัวเลือกนายกรัฐมนตรี เพื่อต้องการเข้ามาช่วยเหลือ พี่ชายเพียงอย่างเดียว

แนวหน้า 20/6/2011
เด็จพี่ไม่ไปยื่นเรื่องแจ้งความตามโรงพักให้นายหญิงเหมือนที่เคยทำให้นายใหญ่ละคะ
ตั้ง 100 ล้านเชียวนะ ไม่เสียดายกันเลยเหรอ????? เอ๊ะ...หรือว่า มันน้อยกว่า 4.6หมื่นล้าน!!!!!

รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง