บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2555

จากแก้ ม.112 ถึงหมัดเด็ดบิ๊กตู่ vs หมัดเด็ดนิติราษฎร์!!!

ไทยรัฐ

Pic_233659 ถ้าเป็นมวยก็คงเรียกได้ว่าสูสี...

สูสีในแง่ หมัดที่ปล่อยออกมาเพราะว่าช่างได้น้ำหนักรุนแรง ที่ไม่เพียงสร้างผลกระทบเป็นวงแคบ มันยังขยายบานปลายเป็นวงกว้างอีกด้วย กับข้อเสนอของ คณะ  นิติราษฎร์ ที่เรียกเสียงฮือฮา

โดยเฉพาะ ข้อเสนอเกี่ยวกับการปฏิรูป ม.112 หรือกฎหมายหมิ่นพระมหากษัตริย์ แต่มีหรือที่จะชกได้ฝ่ายเดียว เพราะว่าอีกมุมหนึ่งผู้ที่ปกป้องพระมหากษัตริย์อย่างกองทัพ ก็ออกมาสวนหมัดให้ได้สติทันควัน ไทยรัฐออนไลน์รวบรวมหมัดเด็ดๆของทั้ง 2 ฝ่าย เทียบดูว่าหมัดใครจะเข้าเป้ามากกว่ากัน
สำหรับกลุ่มนิติราษฎร์ ที่เพิ่งจัดงานอภิปรายในหัวข้อ "ลบล้างผลพวง รัฐประหาร-นิรโทษกรรม-ปรองดอง พร้อมกับเสนอแนวทางลบล้างผลพวงจากการรัฐประหารทั้งหมด และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 50 ในส่วนที่ยึดโยงกับการรัฐประหาร ยกเลิกรัฐธรรมนูญ ปี 2550 โดยเสนอให้แก้มาตรา 291 เพื่อตั้งคณะกรรมการจัดทำรัฐธรรมนูญนิติรัฐ และประชาธิปไตย 25 คน..!
ให้ ส.ส.ตามสัดส่วนจำนวนแต่ละพรรคการเมืองเลือก 20 คน ส.ว.เลือกตั้ง 3 คน ส.ว.สรรหา 2 คน ให้คณะกรรมการวางกรอบแก้ไขรัฐธรรมนูญภายใน 30 วัน..!
อาจ ตั้งอนุกรรมการฯ ไปรับฟังความเห็นประชาชนทั่วประเทศ แล้วยกร่าง รธน.ฉบับใหม่ นำเข้าสู่สภาผู้แทนฯ และวุฒิสภา เพื่อรับฟังความคิดเห็น จากนั้นนำกลับมาแก้ไข และให้ประชาชนทำประชามติ หากเห็นชอบก็ประกาศใช้..!
หากประชาชนไม่เห็นชอบ ก็กลับไปใช้ รธน.50 ตามแนวทางนี้ จะใช้เวลาทั้งหมด 9 เดือน..!
มี สภาเดียวจากการเลือกตั้ง ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ศาล-กองทัพ-สถาบันการเมือง พระมหากษัตริย์ต้องสาบานตนจะพิทักษ์รัฐธรรมนูญก่อนรับตำแหน่ง..!

ประธานศาลต้องได้รับการเสนอชื่อจาก ครม.และรัฐสภาเห็นชอบ..!

ผบ.เหล่าทัพ ต้องได้รับการแต่งตั้งจากนายกรัฐมนตรี..!

ต้อง ลบล้างคำพิพากษาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับเพื่อนพ้อง เป็นต้น อีกทั้งยังเสนอให้แก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่บัญญัติไว้ว่าผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึง 5 ปี ซึ่งกำลังอยู่ในกระแสความสนใจของคนทั่วไปอยู่ว่า ท้ายที่สุดจะได้แก้ไขกฎหมายมาตรานี้หรือไม่นั้น

7 หมัดเด็ด คณะนิติราษฎร์ ม.112

มาดูหมัดเด็ดของกลุ่มนิติราษฎร์...!!
1. ให้ยกเลิกมาตรา 112 ออกจากลักษณะว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของราชอาณาจักร

2. เพิ่มหมวดลักษณะความผิดเกี่ยวกับพระเกียรติของพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และเกียรติยศผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

3. แบ่งแยกการคุ้มครองสำหรับตำแหน่งพระมหากษัตริย์ออกจากการคุ้มครองสำหรับตำแหน่งพระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

4. เปลี่ยนบทกำหนดโทษ โดยไม่มีอัตราโทษขั้นต่ำ แต่กำหนดเพดานโทษสูงสุดจำคุกไม่เกินสามปีสำหรับการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และไม่เกินสองปีสำหรับ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

5. เพิ่มเหตุยกเว้นความผิด กรณีแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต

6. เพิ่มเหตุยกเว้นโทษ กรณีข้อความที่กล่าวหานั้นได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นความจริง และการพิสูจน์นั้นเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ

7. ห้ามบุคคลทั่วไปกล่าวโทษผู้ที่ทำความผิด ให้สำนักราชเลขาธิการมีอำนาจเป็นผู้กล่าวโทษเท่านั้น

เป็นไม้เด็ดของคณะนิติราษฎร์ที่ปล่อยมาเรียกเสียงฮือข้างสนามได้มากโข แต่ใช่ว่าเสียงฮือที่ว่าจะเป็นเสียงชื่นชมเพียงอย่างเดียว

7 ไม้เด็ด กองทัพ ม.112!!!


มา ฟังเสียงของเซียนข้างสนามอย่างพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ที่ปล่อยประโยคเด็ดปีกนิติราษฎร์ไว้มากมาย ไทยรัฐออนไลน์รวม 7 ประโยคเด็ดๆ ตอบโต้ คณะนิติราษฎร์เกี่ยวกับการแก้ ม.112 เพื่อบันทึกเอาไว้เป็นประวัติศาสตร์กัน

1. ทุกคนต้องให้ท่านอยู่เหนือการเมือง ท่านทำองค์ของท่านอยู่เหนือการเมืองอยู่แล้ว ท่านครองราชย์มา 60 กว่าปีแล้ว ท่านทราบว่าท่านควรทำอย่างไร แต่พวกเราไม่ค่อยรู้กัน

2. ต่างชาติชื่นชมที่ประเทศไทยมีสถาบันพระมหากษัตริย์ ส่วนประเทศไทยเราเองจะคิดอย่างไรก็คิดเอา

3. สถาบันพระมหากษัตริย์ต้องอยู่เหนือความขัดแย้งทั้งปวง ดังนั้นเราต้องช่วยกัน ไม่ว่าจะเป็นฝั่งไหนก็แล้วแต่ หรือข้าราชการทางการเมือง ก็อย่าเอาท่านลงมา หรือเอามาเพื่อประโยชน์ของตนเองไม่ได้ ทุกคนต้องให้ท่านอยู่เหนือการเมือง

4. คนทั้งแผ่นดินเคารพเทิดทูน แต่ท่านมาทำลายความรู้สึกของคนทั้งแผ่นดิน ขอถามว่า ท่านจะได้อะไร อย่าให้ว่า ผมใช้คำรุนแรง เมื่อท่านรุนแรง ผมก็รุนแรงกับท่าน แต่ผมอยู่ในกรอบของกฎหมาย ไม่มีการทำอะไรนอกกฎหมายทั้งสิ้น ท่านอย่าทำผิดกฎหมายก็แล้วกัน

5. เราต้องรักษาประวัติศาสตร์ชาติไทยไว้ เพราะเป็นความสง่างามของชาติ เป็นวัฒนธรรม ประเพณี ท่านจะดำเนินการก็ว่ากันไป อย่าทำให้วุ่นวาย เราเคารพในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

6. เป็นสิ่งที่ไม่ควรพูดถึง เป็นความเห็นส่วนตัวของแต่ละฝ่าย แต่ในส่วนของตนซึ่งเป็นฝ่ายความมั่นคงและมีหน้าที่ในการพิทักษ์และปกป้อง ซึ่งตนเฝ้าและติดตามอยู่ เราเป็นประเทศประชาธิปไตย แต่อย่าให้เลยเถิดจนมากเกินไป

7. ขอให้รู้ว่าควรหรือไม่ควร ซึ่งจะไม่ขอพูดอีก เนื่องจากได้ออกมาพูดมากพอแล้ว และให้เป็นไปตามกระบวนการของรัฐบาล

และนี่คือ ไม้เด็ดที่หนักหน่วง และมีทีท่าว่าจะลงท้ายด้วยสงครามที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เลยหรือ…???

ไขคำตอบ!ก่อนถึงเก้าอี้อำมาตย์ “ณัฐวุฒิ & FRIEND” โอนหุ้น 32 ล้านให้ใคร?

alt
แกะรอยทางเดินไพร่“ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” จากปลายปี 2549 ก่อนถึงเก้าอี้“อำมาตย์”ต้นปี 2555 และเหล่าผอง“เพื่อนพ้อง น้องพี่” เงินลงทุนปริศนา 32 ล้านถูกโอนให้ใคร?
บนเส้นทางการต่อสู้ของ“ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ”แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ก่อนได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (ยิ่งลักษณ์ 2) วันที่ 18 มกราคม 2555 น่าสนใจ
มิใช่เพียงเพราะปืนบันได“ไพร่”ก้าวข้ามความยากจนไปสู่เก้าอี้ “อำมาตย์”ประการเดียว
หากแต่“ระหว่างทาง”มีเงื่อนงำให้น่าค้นหาไม่น้อย
ในช่วงขับเคลื่อนทางการเมืองปลายปี 2549 นายณัฐวุฒิมีเงินลงทุนอย่างน้อย 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท เพื่อนพ้อง น้องพี่ จำกัด และ บริษัท พีทีวี ทีวีเพื่อประชาชน จำกัด (โทรทัศน์ PTV)
บริษัท เพื่อนพ้อง น้องพี่ จำกัด จดทะเบียนวันที่ 1 เมษายน 2545 ทุนก้อนแรก 5 ล้านบาท วันที่ 18 มกราคม 2550 เพิ่มอีก 45 ล้านบาทเป็น 50 ล้านบาท ปัจจุบัน 90 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่ 2539 อาคารอิมพีเรียล เวิลด์ลาดพร้าว ชั้น 6 ถนนลาดพร้าว แขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ (ของนายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย)
ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าระบุว่า นายณัฐวุฒิ เข้ามาถือหุ้นครั้งแรก วันที่ 25 ธันวาคม 2549 จำนวน 20,000 หุ้น นายจตุพร พรหมพันธุ์ 10,000 หุ้น นายวีระ มุสิกพงศ์ 10,000 หุ้น จากทั้งหมด 50,000 หุ้น (มูลค่าหุ้นละ 100 บาท)
วันที่ 18 มกราคม 2550 บริษัท เพื่อนพ้อง น้องพี่ จำกัด เพิ่มทุนอีก 45 ล้านบาท เป็น 50 ล้านบาท แบ่งเป็น 500,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท นายณัฐวุฒิเพิ่มสัดส่วนถือครองเป็น 200,000 หุ้น (มูลค่า 20 ล้านบาท) นายจตุพร พรหมพันธุ์ เพิ่มสัดส่วนถือครองเป็น 100,000 หุ้น (มูลค่า 10 ล้านบาท) นายวีระ มุสิกพงศ์ เพิ่มเป็น 100,000 หุ้น (มูลค่า 10 ล้านบาท)  
วันที่ 4 มิถุนายน 2550 บริษัท เพื่อนพ้อง น้องพี่ จำกัด มีผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นมา 1 คนจาก 7 คนเป็น 8 คน นักลงทุนหน้าใหม่ คือ นายจักรภพ เพ็ญแข จำนวน 100,000 หุ้น ซึ่งหุ้นของนายจักรภพนั้นได้รับโอนมาจากนายณัฐวุฒิจำนวน 100,000 หุ้น ทำให้นายณัฐวุฒิเหลือหุ้นถือครอง 100,000 หุ้น (ดูตาราง)
อีก 5 เดือนถัดมา ก่อนเลือกตั้ง วันที่ 31 ตุลาคม 2550 (นายวีระ มุสิกพงศ์ กรรมการบริษัท ทำหนังสือถึงนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร ขอเปลี่ยนรายชื่อผู้ถือหุ้น เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2550)
นายณัฐวุฒิได้ถอนหุ้นออกทั้งหมด โดยหุ้นจำนวน 200,000 หุ้น ของนายณัฐวุฒิและนายจตุพร ถูกกระจายให้บุคคล 4 คน
     1.นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า 50,000 หุ้น
     2.นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า 50,000 หุ้น
     3.นายนิรันดร์ แก่นยะมูล จำนวน 90,000 หุ้น และ
     4.นายอุกฤษฎ์ ชลสินธุ์ 10,000 หุ้น
เท่ากับนายณัฐวุฒิและนายจตุพรไม่มีเงินลงทุนอีกต่อไป
ปัจจุบันผู้ถือหุ้นใหญ่คือ นายนิรันดร์ แก่นยะมูล นายสุชาติ ประเสริฐศรี (รับโอนหุ้นมาจากนายจักรภพ เพ็ญแข) นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า และ นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า มีนายวีระกานต์ (วีระ) มุสิกพงศ์ เป็นกรรมการ 
แจ้งผลประกอบการปี 2550 รายได้ 4,952,118 บาท ขาดทุนสุทธิ 46,454,076 บาท ปี 2551 รายได้ 34,227,553 บาท ขาดทุนสุทธิ 18,486,490 บาท ปี 2552 รายได้ 34,385,443 บาท กำไรสุทธิ 4,735,502 บาท
บริษัท พีทีวี ทีวีเพื่อประชาชน จำกัด จดทะเบียนวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2550 ทุน 5 ล้านบาท ประกอบกิจการขายหนังสือ ที่ตั้งเลขที่ 95/56 หมู่ที่ 8 ถนนนาคนิวาส แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ
ผู้ถือหุ้นช่วงก่อตั้ง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายวีระ มุสิกพงศ์ นายจักรภพ เพ็ญแข นายจตุพร พรหมพันธุ์ คนละ 10,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท เท่ากับคนละ 1 ล้านบาท (น่าสังเกตว่านายจักรภพเข้ามาถือหุ้นบริษัท พีทีวี ทีวีเพื่อประชาชน จำกัด ในช่วงเวลาใกล้เคียงกับถือหุ้น บริษัท เพื่อนพ้อง น้องพี่ จำกัด)
อีก 5 เดือนถัดมาวันที่ 31 ตุลาคม 2550 นายณัฐวุฒิและนายจตุพรถอนหุ้นออกทั้งหมด โดยหุ้นจำนวน 20,000 หุ้น ถูกกระจายให้บุคคล 3 คนคือ (นายวีระ มุสิกพงศ์ กรรมการบริษัท ทำหนังสือถึงนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร ขอเปลี่ยนรายชื่อผู้ถือหุ้น เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2550)
      1.นายนิรันดร์ แก่นยะมูล จำนวน 10,000 หุ้น
      2.นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า 5,000 หุ้น
      3.นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า 5,000 หุ้น
วันเดียวกัน นายนิรันดร์ แก่นยะมูล โอนต่อให้นายอุกฤษฎ์ ชลสินธุ์ จำนวน 1,000 หุ้น
เท่ากับนายณัฐวุฒิและนายจตุพรไม่มีเงินลงทุนเช่นเดียวกัน
ปัจจุบัน (ณ 30 เม.ย.54) บริษัท พีทีวี ทีวีเพื่อประชาชน จำกัด มีนายวีระ นายสุชาติ ประเสริฐศรี นายนิรันดร์ แก่นยะมูล ถือหุ้นใหญ่
แจ้งผลประกอบการปี 2550 รายได้ 5,187,810 บาท ขาดทุนสุทธิ 769,058 บาท ปี 2551 รายได้ 873,359 บาท ขาดทุนสุทธิ 2,792,822 บาท ปี 2553 รายได้ 8,211,458 บาท กำไรสุทธิ 1,757,404 บาท
รวมมูลค่าเงินลงทุนของนายณัฐวุฒิ 2 บริษัท 21 ล้านบาท นายจตุพร 11 ล้านบาท รวมเป็น 32 ล้านบาท
ไม่มีข้อมูลว่า บัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของนายณัฐวุฒิที่ยื่นต่อคณะกรรมการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตอนรับตำแหน่ง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ปี 2551 มีจำนวนเท่าไร แต่ตอนเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2554 แจ้งว่ามีทรัพย์สินเฉพาะเงินฝากรวม 5,276,558.69 บาท
ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ตอนรับตำแหน่ง ส.ส.วันที่ 22 มกราคม 2551 มีเงินฝาก 2,599,939.46 บาท ตอนเป็นส.ส.บัญชีรายชื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2554 มีเงินฝาก 3,849,639.98 บาท
ไม่มีใครทราบ“ที่มา”ของเม็ดเงินลงทุนในช่วงเคลื่อนไหวทางการ เมืองปลายปี 2549 แต่ทราบในเวลาต่อมาว่า“ผ่องถ่าย”ก่อนเข้าสู่อำนาจรัฐในช่วงปลายปี 2550 และออกผลอีกครั้งเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2555 ? 

รายชื่อผู้ถือหุ้นบริษัท เพื่อนพ้อง น้องพี่ จำกัด
alt
 ที่มา:กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ,สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รวบรวม

รายชื่อผู้ถือหุ้น บริษัท พีทีวี ทีวีเพื่อประชาชน จำกัด
alt
 ที่มา:กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ,สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รวบรวม

ชำแหละ 12 อบจ.เบิกงบฯซื้อ“ถุงยังชีพ”120 ล้าน ฮือฮา!“สุพรรณบุรี”ถี่ยิบ-2 จว.ใหญ่ส่อพิรุธ


เปิดงบฯจัดซื้อ“ถุงยังชีพ”ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมชั่ว 2 เดือน 12 อบจ.เหมา 120 ล้าน ฮือฮา!สุพรรณบุรีมากสุด 6 ครั้ง ส่อพิรุธขอนแก่น ผู้ขายเพิ่งก่อตั้ง สองแควเหมารวดจากนครสวรรค์รายเดียว 60 ล้าน 
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)มิใช่หน่วยงานเดียวของกระทรวงมหาดไทยที่จัดซื้อถุงยังชีพช่วยผู้ประสบ อุทกภัยในช่วงปลายปีที่ผ่านมา หากแต่พบว่าหน่วยงานในสังกัดกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้จัดซื้อถุงยัง ชีพนับร้อยล้านบาทเช่นกัน
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ตรวจสอบพบว่าในช่วงเดือนกันยายน-ต้นเดือนพฤศจิกายน 2554 องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) 12 แห่ง อบต.ห้วยโป่ง เทศบาลนครนนทบุรี และ เทศบาลนครเชียงใหม่ รวม 15 แห่งได้ใช้งบประมาณในการจัดซื้อถุงยังชีพเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 125,359,274 บาท ในจำนวนนี้พบว่า
องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สุพรรณบุรีจัดซื้อมากสุด 6 ครั้ง 16,500,000 บาท ,อบจ.พิษณุโลก 4 ครั้ง 33,840,000 บาท , อบจ. ตาก 4 ครั้ง 6,679,000 บาท ,อบจ.นครนายก 3 ครั้ง 7,399,970 บาท ,อบจ.ขอนแก่น 2 ครั้ง 18,203,692 บาท ,อบจ.อุดรธานี 2 ครั้ง 10,045,920 บาท ,อบจ.ลพบุรี 2 ครั้ง 3,592,000 บาท ,อบจ.เชียงใหม่ 2 ครั้ง 3,689,850 บาท ,อบจ.กระบี่ 2 ครั้ง 2,999,970 บาท ส่วน อบจ.ชลบุรี , อบจ.สมุทรปราการ และ อบจ.กาฬสินธุ์ แห่งละ 1 ครั้ง รวมวงเงิน 120,344,424 บาท (ดูตาราง)
ในส่วนของ อบจ.สุพรรณบุรี เป็นการจัดซื้อจาก บริษัท ตังฮั้วค้าข้าว จำกัด (นายสุชาติ พิทักษ์เกชา ถือหุ้นใหญ่ นายโสภณกิตติ์ จีรภากร เป็นกรรมการ) 2 ครั้ง และจากวิสาหกิจชุมชนสุพรรณพัฒนา 4 ครั้ง
จากการตรวจสอบพบว่านับจากเดือนพ.ย. 2553- พ.ย. 2554 อบจ.สุพรรณบุรี จัดซื้อถุงยังชีพจาก วิสาหกิจชุมชนสุพรรณพัฒนา 6 ครั้ง เป็นเงินทั้งสิ้น 18,500,000 บาท
ขณะที่ อบจ.พิษณุโลก น่าสังเกตว่า ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2554 เป็นต้นมาได้จัดซื้อจากผู้ประกอบการรายเดียว คือ หจก.นครสวรรค์เซอร์วิสกรุ๊ป ติดต่อกัน 8 ครั้ง รวม 50,983,380 บาท (ดูตาราง)
ทั้งนี้ หจก.นครสวรรค์เซอร์วิสกรุ๊ป จดทะเบียนวันที่ 29 เมษายน 2551 ทุน 3 ล้านบาท ประกอบธุรกิจขายอุปกรณ์สำนักงาน ที่ตั้งเลขที่ 43/24-25 หมู่ที่ 9 ตำบลวัดไทรย์ อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ นายพงษ์นรินทร์ สวนมณี นางพรนันท์ อินทร์เพ็ญ นางสาวไพรินทร์ ลิสุ นายสมพร อินทร์เพ็ญ ร่วมกันถือหุ้น
การจัดซื้อของ อบจ.ขอนแก่น จำนวน 2 ครั้ง (6 ต.ค. 54 กับ 26 ต.ค.54) เป็นการจัดซื้อจากผู้ขาย หจก.เมืองเก่ารุ่งเรืองซัพพลาย ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า หจก.ดังกล่าวขายอุปกรณ์สำนักงาน และเพิ่งจดทะเบียนต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2554 (ก่อนทำสัญญาขายประมาณ 1 สัปดาห์) ทุน 1 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่ 229/62 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น นางชตมล ผุยน้อย นายเดชา เมืองมูล ร่วมกันถือหุ้น ( นางชตมล ผุยน้อย เป็นกรรมการ บริษัท ซี.ที.เอ็ม.รุ่งเรือง จำกัด ขายสื่อการเรียนการสอน)

รายการจัดซื้อ “ถุงยังชีพ” เดือน ก.ย.2554 ของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
ที่มา:สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รวบรวม

รายการจัดซื้อ “ถุงยังชีพ” เดือน ต.ค.- 5 พ.ย. 2554 ของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
ที่มา:สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รวบรวม

รายการจัดซื้อถุงยังชีพขององค์การบริหารส่วนจังหวัดพิษณุโลก
ที่มา:สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รวบรวม
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง