ศักดินา อำนาจแห่งการครอบครองที่นา ระบบการแบ่งชนชั้นฐานันดรศักดิ์ในสมัยโบราณ ปัจจุบัน “ศักดินา” สิ้นไปในเชิงรูปธรรม เหลือเพียงให้เราตีความกันว่าแท้จริงแล้วประเทศไทยเรานี้ยังมี “ศักดินา” หลงเหลือหรือไม่ และอยู่ในรูปแบบใด?
ในสมัยโบราณ “ที่ดิน” คือสิ่งสำคัญที่สุด ในประเทศจีนเมื่อสองพันปีก่อนการรบของบรรดากษัตริย์(อ๋อง)ในแต่ละแคว้นล้วนมีเหตุจูงใจจาก “ที่ดิน” ทั้งสิ้น รัฐฉินของจิ๋นซีฮ่องเต้ก่อนที่ก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจก็ได้เกิดการเปลี่ยน เเปลงครั้งใหญ่ เรียกว่าการปฏิรูปของซางยาง หลักๆคือการปฏิรูปที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่รัฐ แต่ทว่าเมื่อมีที่ดินแต่ไม่มีคนการปฏิรูปนี้จึงส่งผลไปถึงการทหารด้วย สงครามแย่งทรัพยากรมนุษย์เพื่อมาทำให้ทีดินที่ว่างเปล่าเกิดประโยชน์จึง บังเกิดขึ้น!
ในสมัย โบราณดินแดนที่เป็น ประเทศไทยปัจจุบัน แต่ก่อนเป็นประเทศเล็กๆที่เป็นอิสระต่อกันหลายประเทศ และแน่นอนว่าคงจะมีลักษณะเดียวกันกับประเทศจีนโบราณที่ต้องการ “ที่ดิน” และ “คน” เพื่อ เป็นกำลังผลิตทรัพยากรบำรุงประเทศต่อไป ดังนั้นระบบการเกณฑ์แรงงาน ระบบทาส จึงมีการพัฒนาการเต็มรูปแบบในระบบศักดินา การสังกัดมูลนายเพื่อทำงานด้านเกษตรกรรม หรือการส่งส่วย อากร ล้วนเป็นสิ่งที่ “ไพร่ฟ้า” ต้องพึงกระทำ
จิตร ภูมิศักดิ์ ผู้เขียนหนังสือ “โฉมหน้าศักดินาไทย” ได้พยายามอธิบายถึงความโหดร้ายของระบบศักดินา การเปรียบเทียบกับอารยะประเทศ รวมไปทั่งการนำเอาเอกสาร ถ้อยบันทึกในพงศาวดาร ตราพระอัยการต่างๆยกมาเป็นข้อมูลอ้างถึงในหนังสือ ซึ่งปัจจุบันติด ๑ ใน ๑๐๐ หนังสือดีที่คนไทยควรอ่านไปเรียบร้อยแล้ว
มุมมองของ จิตร ภูมิศักดิ์ และการพยายามอธิบาย “ความหมาย” ของคำต่างๆในหนังสือเล่มนี้นับได้ว่าเปิดหูเปิดตาได้มาก ด้วยความรู้ด้านอักษรศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และรัฐศาสตร์ของ จิตร ภูมิศักดิ์ ทำให้หนังสือเล่มนี้กลายเป็นผลงานที่ “คนรุ่นใหม่” ที่สนใจในประวัติศาสตร์พึงอ่านและทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ และต้องเข้าใจว่าแท้จริงแล้วศักดินาไทยที่ จิตร ภูมิศักดิ์ พยายามอธิบายนั้นอยู่บนพื้นฐานของแนวคิดของมาร์กซิสต์
หลักการของมาร์กซิสต์คือ “ประวัติศาสตร์ของสังคมทั้งหมดที่ผ่านมา ล้วนแต่ประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ระหว่างชนชั้น” หากพูดกันตรงๆคือการต่อสู้ระหว่าง “ไพร่ ขุนนาง เจ้า” ความไม่เท่าเทียมใน “ศักดิ์” และ “สิทธิ” บังเกิดให้เกิดปัญหาเรื้อรัง การปฏิวัติ รัฐประหาร การแย่งชิงอำนาจ และผลที่ตามมาคือฐานันดรที่ต่ำที่สุดอย่าง “ไพร่-ชาวนา” ต้องรับกรรมจากการกระทำของคนที่ฐานันดรสูงกว่า
ในหนังสือเล่มนี้ส่วนที่ชอบที่สุดคือ “อักษรศาสตร์” จิตร ภูมิศักดิ์ อธิบายความหมายของคำหลายๆคำซึ่งผมไม่รู้มาก่อนและคำหลายๆคำที่เรารู้จักกัน ดีนี้เช่นคำว่า พระราชอาณาจักร , กษัตริย์ มีความหมายที่ลึกซี้งถึงที่มาเลยทีเดียว รองลงมาที่ชื่นชอบคือ “ประวัติศาสตร์” จิตร ภูมิศักดิ์ อธิบายประวัติศาสตร์ผ่านแนวคิดของมาร์กซิสต์ นั่นย่อมทำให้เกิดแนวคิดที่เปลี่ยนไปจากหนังสือทั่วไปที่เราเคยอ่าน การวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์โบราณ ขุนนาง และชนชั้นศักดินาในมุมมองอาจจะไม่เคยได้อ่านที่ไหนมาก่อน
ส่วนตัว ผมเองแม้ว่าความรู้ด้านอักษรศาสตร์ ประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์ยังน้อย แต่ก็ใช่ว่าจะคล้อยตามที่ผู้เขียนอย่าง จิตร ภูมิศักดิ์ ได้พยายามโน้มน้าวไปซะทุกเรื่องไม่ เพราะส่วนตัวเองก็ยังคงม “ความเชื่อ” ของตนเองที่ว่า “จะไม่เอาสภาพในปัจจุบัน ไปตัดสินอดีตกาล” แม้ ว่าภาพรวมของแนวคิดมาร์กซิสต์จะสามารถครอบคลุมทุกปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม ศักดินาก็ตาม แต่ทว่านั่นก็หาได้ใช่อย่างที่เป็นไปในอดีตเสียทั้งหมด
เพราะจิตใจมนุษย์ปัจจุบัน “อ่อนโยน” มากขึ้น
ผมยังคง มีความเชื่อที่ว่าในอดีตนั้น วิทยาศาสตร์ไม่พัฒนา ศาสนายังคงเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจคนหมู่มาก หากผมจะบอกว่ายิ่งในอดีตเมื่อสองพันปีก่อนในประเทศจีน ศาสนายังไม่เข้าถึงครอบคลุม มีเพียงลัทธิการปกครองที่ศึกษากันเพราะชนชั้นสูง ดังนั้นในความคิดของประชาชน “กษัตริย์” คือเทพเจ้า และกษัตริย์เองก็ยังคงคิดว่า “ฆ่าคนไม่ผิด” ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ว่าทำไมในอดีตกษัตริย์จึงมีอำนาจที่มากมายที่จะทำอะไรก็ได้ เพราะกษัตริย์ไม่ได้มองว่า “คน” คือ “คน” ซึ่งนั่นคือความเป็นจริงในยุคนั้น
แต่หากไม่ “บริหาร” ให้ดีอำนาจนั้นก็จะกลับไปทิ่มแทงกษัตริย์ได้เช่นกัน
รวมทั้ง ในดินแดนที่เรียกว่าประเทศไทยในปัจจุบัน สมัยโบราณประเทศอย่างสุโขทัย เชียงใหม่ อยุธยา ย่อมมีกษัตริย์ และแน่นอนว่าความคิดในแนวทาง “เทพเจ้า” ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น ประชาชนคือคนของเทพเจ้า พระองค์ตรัสสั่งอะไรลงมาประชาชนต้องทำตาม ขัดขืนคือตาย นี่คือความเป็นจริงในโลกอดีต แต่ทว่าเมื่อมีการศึกษามากขึ้น วันเวลาผ่านไปมากขึ้นกษัตริย์เปลี่ยนแปลงจาก “เทพ” เป็น “ผู้รักษาธรรมของแผ่นดิน” กษัตริย์คือผู้ที่ต้องสร้างสมดุลให้กับทุกชนชั้นอย่างเท่าเทียม แต่ทว่าในปัจจุบันก็ยังผู้พยายามทำให้เกิดการ “แตกแยก” เพียงอ้างคำว่า “ศักดินา” “ฐานันดร” มากล่าวอ้างให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ประชาชน
พุทธ ศักราช ๒๔๗๕ คณะปฏิวัติยึดเอาพระราชอำนาจจากกษัตริย์ ส่งผลให้เกิดความเปลียนแปลงทางโครงสร้างอย่างมหาศาล สมุดไทยบนพานแว่นฟ้าที่มีสถานะสูงส่งกว่ากษัตริย์จะเข้ามาทำหน้าที่ “บริหารอำนาจ” แทน กษัตริย์ อันอำนาจที่คณะทหารกลุ่มนั้นได้มา กษัตริย์ผู้เสียสละทรงตั้งพระทัยอย่างยิ่งที่จะให้อำนาจของพระองค์นั้นอยู่ กับประชาชนทั้งมวลหาใช่กลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่ทว่าไม่เคยมี “นักการเมือง” หน้าไหนเลยในแผ่นดินที่จะเคยจดจำสิ่งที่กษัตริย์ผู้เสียสละได้ทรงตั้งพระทัย ไว้ ประเทศชาติถึงได้ง่อนแง่น สมุดไทยบนพานแว่นฟ้าก็เป็นเพียง “ฉากหน้า” ที่ให้พวกสันดานต่ำช้าหากินกับ “อำนาจ” ที่พวกเขายึดมาจากกษัตริย์เมื่อเกือบแปดสิบปีก่อน
นักการเมืองคือกลุ่ม “ศักดินาใหม่” อย่างแท้จริง แม้จะไม่มีที่นาที่เป็นรูปธรรม แตชั้นวรรณะของคนเหล่านี้นั้นสูงส่งกว่าผู้ใดในประเทศ ยโสโอหัง เล่นการเมืองสกปรก คดโกง โยงใยกับระบบราชการสร้างอำนาจ สร้างบารมีเพื่อกอบโกยสมบัติชาติ คนเหล่านี้ถือตนว่ามีศักดินาสูงส่ง เห็นประชาชนเป็นเครื่องมือใช้ต่อรองอำนาจรัฐ ดังเช่นที่ จิตร ภูมิศักดิ์ ได้พยายามอธิบายว่าแต่เดิมนั้นชนชั้นที่สูงกว่า(ศักดินา)ชาวนามักจะใช้คำ ขวัญเพื่อ “หลอกลวง” ชาวนาว่า “กษัตริย์มิตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม ให้พวกเรา(ชาวนา)ช่วยสนับสนุนผู้มีบุญองค์ใหม่” ชาวนาต่างหลงเชื่อคำโอ้อวดนี้ จึงเกิดเป็นสงครามดังที่ปรากฎในพงศาวดารต่างๆนานา
ซึ่งไม่ต่างไปจากสถานการณ์ในปัจจุบัน
ศักดินา ใหม่อย่างพวกนักการเมืองที่พยายามหลอกใช้ประชาชนเพื่อสร้างอำนาจรัฐให้ตนเอง ยังคงใช้วิธีการเดิมๆดังเช่นในอดีต ไม่รู้ว่าเพราะประชาชน “โง่” หรือประชาชน “ไม่ศึกษา” ประวัติศาสตร์ถึงได้ซ้ำรอยเดิม ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เกือบแปดสิบปีแล้วที่ “ศักดินาใหม่” อย่างพวกนักการเมืองได้เกาะกินทำให้โครงสร้างของประเทศง่อนแง่น เสื่อมโทรม “ศักดินานักการเมือง” คือสิ่งที่นักการเมืองไม่รู้ตัวว่าพวกเขาได้สร้างมันขึ้นมา การได้มาซึ่งอำนาจที่คนกลุ่มนี้ “กระหาย” และ “กระสัน” โดยง่ายยิ่งทำให้คนกลุ่มนี้ได้ใจ การพลัดเปลี่ยนหมุนเวียนขึ้นมาเสวยอำนาจจึงบังเกิดขึ้นใน “ตระกูล” เพียงไม่กี่ตระกูล จนกลายเป็น “อาชีพ” ที่ทำได้เฉพาะเท่านั้น ประชาชนตาดำๆที่มีความคิดดี แต่ไร้ทุน ไร้บารมี ไร้ความน่าเชื่อถือทางสังคม จึงไม่มีโอกาสที่จะได้เป็น “ผู้แทนราษฎร”
และ
ที่น่าเกลียดที่ สุดคือคำว่า “เล่น” การเมือง ผมสงสัยเสียเหลือเกินว่า
“การเมืองไทย”
นี้เป็นเพียงเรื่องเล่นๆของพวกศักดินาใหม่นี้หรืออย่างไรกัน??
และก็เป็นกลุ่มการเมืองอีกตามเคยที่พยายามดึงเอา “สถาบันพระมหากษัตริย์” มาใช้เพื่อหวังประโยชน์ทางการเมือง กลุ่มการเมืองกลุ่มแรกใช้เพื่อเป็น “เกราะ” ป้องกันตนเองจากภัยที่รายรอบตัว และอาศัย(ภาพ)ความจงรักภักดีเป็นฐานก้าวขึ้นสู่อำนาจ ส่วนอีกกลุ่มก็ใช้คำว่า “สถาบันพระมหากษัตริย์” ในทางที่เสื่อมเสีย พยายามใส่ร้ายให้คำว่า “กษัตริย์” เป็นคำที่แสดงถึงความ “ไม่เท่าเทียม” และ “ความกดขี่” ทางสังคม
หากจะเปรียบเทียบสภาพในปัจจุบันนี้ “นักการเมือง” เปรียบเสมือน “เสี้ยน” ในรองเท้าของประชาชน เพราะอำนาจแท้จริงในสมุดไทยบนพานแว่นฟ้านั้นเป็นของประชาชน แต่ทว่า “เสี้ยน”
อย่างพวกนักการเมืองที่ตำเท้าประชาชนอยู่นี้กำลังทำให้ประชาชนเดินลำบาก
จะเอาออกก็ยากเสียกระไร เจ้าเสี้ยนที่ตำเท้านี้กลับฝังลึกเข้าไปในเท้า
หากไม่เอาออกก็เดินไม่สบาย หากจะเอาออกก็คงต้องผ่าตัด เจ็บตัวไปอีกนาน
ระบบการเมืองได้ฝังรากลึกเข้าไปสู่ระบบที่ใหญ่ที่สุดอย่าง “ระบบราชการ” เพื่อความก้าวหน้าทางราชการของข้าราชการบางคนจึงต้องกระตนเยี่ยง “ทาส”
ของเจ้าศักดินา
รับใช้ระบบศักดินานักการเมืองเพื่อความรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน
หากใครก็ตามที่ไม่สนองงานนักการเมืองนอกจากจะไม่รุ่งเรืองแล้วอาจจะมีภัย
เข้าสู่ชีวิตก็เป็นได้
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าเมื่อการเมืองเปลี่ยนระบบราชการก็จะเปลี่ยนแปลงตามไปด้วยเสมอๆ ด้วยสารพัดข้ออ้างของพวกนักการเมือง
จิตร ภูมิศักดิ์ เขียนไว้ในหนังสือ “โฉมหน้าศักดินาไทย”
ว่าชนชั้นศักดินาสูงมักจะคอยเสี้ยมให้ประชาชนทะเลาะเบาะแว้ง กดขี่ทาส
โอ้อวดศักดานุภาพและอีกสารพัด แม้ว่าที่จิตร ภูมิศักดิ์
เขียนนั้นต้องการจะสื่อไปถึงชนชั้นกษัตริย์ก็ตามที
แต่ทว่าในยุคเกินกึ่งพุทธกาลมา ๕๓
ปีชนชั้นศักดินาใหม่อย่างพวกนักการเมืองหน้าหนาก็ยังคงใช้วิธีการแบบที่
จิตร ภูมิศักดิ์ กล่าวไว้คือยุยง กดขี่ โอ้อวด และแสดงศักดาสมกับที่เป็น “ศักดินาใหม่” อย่างแท้จริง
แต่
ก็ใช่ว่านักการเมืองจะเลว ๑๐๐% ซะทีเดียวส่วนดีก็มี เพียงแต่น้อยไปหน่อย
น้ำสะอาดเพียงน้อยนิดในวงล้อมน้ำเน่าย่อมไม่มีทางที่จะฟื้นคืนลำคลองให้ใส
ได้โดยง่าย ความพยายามที่จะปฏิรูปประเทศไทยของรัฐบาล
ก็เท่ากับว่ากำลังจะท้าทายอำนาจศักดินาใหม่
ความพยายามที่จะไปขัดเอาผลประโยชน์ชาติกลับคืนมานั้นตราบใดที่ยังมี “พวกมัน” เป็นหนามในยอดอกอยู่ หากไม่สิ้นความมานะต่อให้ต้องใช้เวลานับสิบปีก็ถือว่าคุ้มค่ากับการลงทุนครั้งมโหฬาร
สังคม
ไทยยังคงไว้ซึ่งระบบชน ชั้นที่ไม่ได้อยู่ในรูปธรรม
ทุกชนชั้นอยู่ร่วมกันได้โดยสันติ หากเมื่อทุกคนรู้จักหน้าที่อันพึงกระทำ
ไม่เบียดเบียนรังแก หรือคดโกงแย่งผลประโยชน์
ความแตกแยกของบ้านเมืองคงไม่ได้เกิดจนเป็นอย่างทุกวันนี้หรอก
คน
ไทยเป็นคน “คิดเก่ง” แต่ “ทำไม่เก่ง” ความรู้จุกอกแต่ทำอะไรไม่ได้
ตราบใดที่ประชาชนยังงมงายและมัวเมาตามพวก “ศักดินาใหม่” อย่างไม่ลืมหูลืมตา
เขาพูดอะไรก็เชื่อ เขาโปรยเงินเท่าไหร่ก็รับ
เมื่อนั้นประเทศไทยก็คงจะย่ำแย่และสิ้นสภาพอย่างแน่นอน!!!!