บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554

เมื่ิอไพร่แม้วอยากเป็นอภิสิทธิ์ชน


ประเทศไทยเรานี้แสนดีนักหนา ในน้ำมีนา ในนามีปู ในปูมีควาย!! (ฮิๆ)
เรื่อง ขอพระราชทานอภัยโทษนั้น ทีผ่านมา ใครจะขอพระราชทานอภัยโทษ ต้องกำลังติดคุก และสำนึกในความผิดที่ตัวเองกระทำเท่านั้น ถึงจะมีสิทธิขอพระราชทานอภัยโทษ
ถ้าหากนักโทษไม่ได้ทำฎีกาขอเอง ก็ต้องญาติสนิทของนักโทษ เช่นลูกเมีย น้อง พ่อแม่ ของนักโทษเป็นคนขอแทน
แต่ ในกรณีไพร่ทักษิณ ลูกโอ๊ค ลูกเอม ลูกอุ๊งอิ๊ง และเมียในตอนนั้นอย่างคุณหญิงอ้อ ไม่มีใครกระเหี้ยนกระหือรืออยากจะเซ็นชื่อร่วมขอพระราชทานอภัยโทษช่วยพ่อ ช่วยผัวเลยสักกะคน ทำไม???
แม้แต่น้องสาวปู ที่สวยใสไร้ส... สิว หรือนายหน้ายับ เอ้ย! พายัพ และพี่น้องไพร่ทักษิณคนอื่นๆ ก็ไม่ได้ลงชื่อร่วมกับบรรดาขี้ข้าแดงทั้งแผ่นดินเลยสักคน
นั่นเพราะ ตระกูลชิน มันไม่โง่!! ที่จะลงชื่อ เพราะนั่นอาจเป็นการผูกมัดตัวพวกมันเองในภายหลังว่า ร่วมกระทำการไม่บังควร พวกตระกูลชินมันก็เลยแกล้งโง่ไม่เซ็น แต่แอบสั่งการให้พวกลิ่วล้อแกนนำแดง ไปหลอกชาวบ้านให้มาช่วยเซ็นชื่อซะ
แม้แต่ไอ้เป็ดเหลิม พ่อไอ้ปื๊ด เห็นมันแหกปากก้าบๆ อยากจะทำเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษลัดคิว แหกกติกาสากลช่วยนายใหญ่ของมัน แต่ไอ้เป็ดเหลิมมันก็ไม่ได้เซ็นชื่อร่วมกับพวกไพร่แดงเหมือนกัน
เพราะถึงเป็ดเหลิมมันจะชั่ว แต่มันไม่โง่นะคร้าบ!!
--------------------
นักโทษทุกคนเขาติดคุก เขาถึงทำเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นการต้องโทษประหาร ถึงได้ทำฎีกาของพระราชอภัยโทษ
ไพร่ ทักษิณ มันโดนแค่2ปี มันต้องการทำตัวเป็นอภิสิทธิ์ชนเหนือนักโทษอื่นๆ เพราะไพร่ทักษิณมันทั้งหนีคุก ทั้งไม่เคยยอมรับผิด ทั้งไม่เคยสำนึกในความผิด ซ้ำยังบังอาจให้พวกขี้ข้าของมันกระทำการมิบังควรให้ระคายเคืองเบื้องพระ ยุคลบาท กดดันเบื้องสูงด้วยรายเซ็นของคนไม่ใช่ญาตินักโทษมาขอพระราชทานอภัยโทษแทน
หนี คุก ไม่สำนึกความผิด แต่ต้องการรอดคุก นี่มันทำตัวเป็นอภิสิทธิ์ชนชัดๆ ทำตัวเป็นอภิสิทธิ์ชนเยี่ยงนี้ พวกเสื้อแดงก็ยอมให้ไพร่ทักษิณมันสนตะพายหลอกว่า มันคือผู้รักประชาธิปไตย ต้องการสร้างความเท่าเทียมกันในสังคม
ไพร่ทักษิณนี่แหล่ะ อภิสิทธิ์ชนตัวจริง
-----------------
ไพร่ทักษิณ มันขี้โม้ โอ้อวดตัวว่าเลิศประหนึ่งเนลสัน แมนเดลลา หรืออองซานซูจี ไปนั่น
ไพร่ ทักษิณมันช่างไม่ละอายปากเลย ที่บังอาจเอื้อมไปเทียบกับ2บุคคลแห่งโลกทั้งสอง ทักษิณมันปอดแหก ทิ้งประชาชน ขณะที่บุคคลระดับโลกอย่างแมนเดลลา และซูจี ไม่เคยหนี ไม่เคยกลัวคุก ไม่เคยทิ้งประชาชน
"เสียงปืนทหารยิงนักแรกเมื่อไหร่ ผมจะกลับมาเดินนำขบวนพี่น้องเดินเอง" ทักษิณมันหลอกให้เสื้อแดงไปตายแทนมันแท้ๆ
ใน ยามที่เสื้อแดงกินข้างถนน ขี้เยี่ยวข้างถนน แต่ไพร่ทักษิณกลับเสพสุขอย่างหรูหรา พร้อมโฟนเอ๋งบอกให้เสื้อแดงออกไปสู้ แต่ตัวมันกลับหัวหด!!
ในยามที่หน้าสิ่วหน้าขวานในสถานการณ์ชุมนุม ไพร่ทักษิณมันส่งญาติพี่น้องลูกเมียของมัน เผ่นออกนอกประเทศก่อนเพื่อน ให้ลูกเมียไปช้อปปิ้งเมืองนอก ในช่วงที่เสื้อแดงเสี่ยงตาย
ไม่มีรัฐบุรุษประชาธิปไตยของโลกคนไหน หนีไปเสพสุข แล้วทิ้งให้ประชาชนต่อสู้เสี่ยงตายแทนตัวเอง
ฉะนั้นไพร่ทักษิณ มันก็เป็นแค่ไอ้จอมลวงโลกคนนึงเท่านั้น
ถ้า เสื้อแดงรักประชาธิปไตยจริงๆ นางสาวปู คงไม่ต้องหาเสียงแหกปากว่าจะแจกนั่นแจกนี่หรอก เสื้อแดงก็ต้องเลือกพรรคเพื่อไทยอยู่แล้วจริงมั้ย??
แต่ความจริงเสื้อ แดงส่วนใหญ่มันเห็นแก่ของแจก ของแถม ของฟรี ทั้งนั้นนั่นแหล่ะ นางสาวปูแดง จึงต้องแหกปากแจกไม่ยั้ง ตามที่ไพร่ทักษิณสั่งมา
นั่นเพราะไพร่ทักษิณ มันอ่านขาดว่า เสื้อแดงและคนไทยส่วนใหญ่ เห็นแก่ประโยชนฺ์ส่วนตัวมากกว่าคำว่าประชาธิปไตย!!
------------------
ที่ จริงถ้าวันนั้นไพร่ทักษิณไม่หนี ลงทุนยอมติดคุกสักหน่อย ผมเชื่อว่าไม่ทันถึงอาทิตย์ก็ได้ออกจากคุกแล้ว เผลอๆติดคุกไม่เกิน2วันก็ได้ออกมา เพราะจะมีคนเดือนเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษให้อย่างรวดเร็ว
ก็คนเคย เป็นถึงนายกรัฐมนตรี มีคะแนนเสียงท่วมท้น ถ้าทำผิด แล้วยอมรับผิด ก็ประชาชนพร้อมให้อภัย และพร้อมจะกลับมายกย่องในความเป็นลูกผู้ชายตัวจริง
เพราะลูกผู้ชายกล้าทำ ต้องกล้ารับ!!
แต่นี่ไพร่ทักษิณกลับหนีความผิด ปลุกระดมสร้างความแตกแยก ผมเลยขอบอกว่า ไพร่ทักษิณเลวแท้!


เซียนแซวการเมือง

ผ่าขุมทรัพย์ตระกูล“อยู่บำรุง”ในวัน" ร.ต.อ.เฉลิม" เรืองอำนาจ


ผ่า ขุมทรัพย์ตระกูลอยู่บำรุง ในวัน ร.ต.อ.เฉลิม เบ่งบารมีทางการเมืองแบบไม่ต้องรอ“หิมะ”ตกในเมืองไทย จากอสังหาฯ โลจิสติก ไนต์คลับ สู่สนามมวย ในอุ้งมือ 2 ทายาท“อาจหาญ –ดวง”และเครือญาติ
     หลังการขึ้นสู่อำนาจของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร   คีย์แมนพรรคเพื่อไทยคนหนึ่งที่มีบทบาทเป็นอย่างมากคือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ไม่ว่ากรณีการโยกย้าย พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบตร.หรือการย้าย นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ซึ่งเจ้าตัวออกมาให้ความเห็นผ่านสื่อมวลชนตลอดเวลา
     ไม่นับการรับลูกจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กรณีการสรรหาคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่ง ชาติ (กสทช.) 11 คน เป็นคดีพิเศษ
     นั่นคือ "บทบาท" ทางการเมือง
     ภายใต้ "กำปั้นเหล็ก" หลายคนอาจไม่รู้ว่า ครอบครัวอยู่บำรุงว่าทำธุรกิจอะไร?
     ศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง เจาะข้อมูลมานำเสนอดังนี้
     ร.ต.อ.เฉลิม และ นางลำเนา ภรรยา มีลูก 3 คน ได้แก่ นายอาจหาญ (โต้ง) อยู่บำรุง นายวัน อยู่บำรุง และ นายดวง อยู่บำรุง
     ทั้ง 3 คนเคยเป็นเจ้าของ หจก. โต้ง หนุ่ม ชาย ขายน้ำมันเชื้อเพลิง  ,บริษัท เฉลิมไมน์นิ่ง จำกัดกิจการเหมืองแร่  ,บริษัท ดวงเฉลิม จำกัดประกอบธุรกิจหนังสือพิมพ์ , บริษัท โต้งหนุ่มชายการเกษตร จำกัดปลูกป่า ทั้ง 4 แห่งแจ้งเลิกกิจการนานแล้ว
     ปัจจุบันนายวันได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (เลขาฯนายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ รมช.คมนาคม)
     นายอาจหาญ (โต้ง)  และ นายดวง อยู่บำรุง ถือหุ้นและเป็นกรรมการธุรกิจ 6 แห่ง ได้แก่
     1.บริษัท เบสท์ บอสส์ บิสซิเนส จำกัด   (เดิม ชื่อ บริษัท เบสท์ออฟบอสส์โปรโมชั่น จำกัด) รับถมที่ดิน จดทะเบียนวันที่  วันที่ 9 มิถุนายน 2538 ทุน 1 ล้านบาท ตั้งอยู่ใน ต.อ้อมน้อย อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร  ณ วันที่ 30 เมษายน 2554  นายอาจหาญถือหุ้น 28.6% เท่ากับ นายธีระยุทธ หอประเสริฐกิจ   นายผจญ อุลปาทร 19%  พ.ต.อ. ไวพจน์ โชติธาดา 9.5% นายศิริชัย แดงสุภา 9.5%  นายสุรัศมิ์พรรณ ดุลยจินดา 4.5%
     ไม่มีผลประกอบการหลายปีติดต่อกัน ปี 2553  สินทรัพย์ 946,398  บาท
     2. หจก. โต้ง หนุ่ม ชาย ทรานสปอร์ต  ธุรกิจขนส่ง จดทะเบียนวันที่ 22 มกราคม 2539  ทุน 3.5 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่ 950 ถนนเอกชัย แขวงบางบอน เขตบางบอน กรุงเทพฯ มีหุ้นส่วน 3 คนคือ  นายอาจหาญ  อยู่บำรุง นายดวง อยู่บำรุง และ นางสาวอุบล แก้วสามสี   ผลประกอบการปี 2552 รายได้  14,524,448 บาท  กำไรสุทธิ 897,775   บาท  สินทรัพย์ 7,721,093  บาท
     3.บริษัท บอสส์ บ๊อกซิ่ง 2000 จำกัด  สนามมวยอ้อมน้อย ก่อตั้ง วันที่  24 สิงหาคม 2543  ทุนจดทะเบียน 7 ล้านบาท  ที่ตั้งเลขที่ 74 หมู่ที่ 12 ถนนเพชรเกษม ตำบลอ้อมน้อย อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร  ณ วันที่ 30 เมษายน 2554 นายดวง อยู่บำรุง  ถือหุ้น 25%   นายธีรยุทธ หอประเสริฐกิจ 26.5 %   นายธนา ไชยประสิทธิ์ 13% นายเถลิง อยู่บำรุง 8% นายอภิชัย อุลปาทร 7% นางจันทนาอยู่บำรุง 5%  นายอาจหาญ อยู่บำรุง 2% ผลประกอบการปี 2553 รายได้ 51,658,181บาท กำไรสุทธิ  2,113,719  บาท สินทรัพย์ 21,182,605  บาท
     4. บริษัท มิราเคิล คอมเมอร์เชียล จำกัด ขายเครื่องบริโภค  จดทะเบียนวันที่ วันที่ 13 มิถุนายน 2546  ทุน  1 ล้านบาท  ที่ตั้งเลขที่ 813 ซอยแสงทิพย์ แขวงพระโขนงเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ  นายอาจหาญ อยู่บำรุง ถือหุ้น 100%  นายชาคริต มิดดี้  เป็นกรรมการ ไม่มีผลประกอบการหลายปีติดต่อกัน ปี 2552 สินทรัพย์ 244,000  บาท
     5. บริษัท เอ.เอช.เอ็นเตอร์เพล็กซ์ จำกัด  โรงแรม บาร์ ไนท์คลับ จดทะเบียนวันที่ 13 มิถุนายน 2546 ทุน 1 ล้านบาท  ที่ตั้งเลขที่ 813 ซอยแสงทิพย์ แขวงพระโขนงเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ  นายอาจหาญ อยู่บำรุง ถือหุ้น 100%  นายชาคริต มิดดี้  เป็นกรรมการ ไม่มีผลประกอบการหลายปีติดต่อกัน ปี 2553 สินทรัพย์ 244,000บาท
     6. บริษัท โต้ง หนุ่ม ชาย โลจิสติค จำกัดประกอบ ธุรกิจขนส่งสินค้า จดทะเบียนวันที่  30 มิถุนายน 2553 ทุน   1 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่  170 หมู่ที่ 3 ถนนเอกชัย แขวงบางบอน เขตบางบอน กรุงเทพฯ  ณ วันที่ นายอาจหาญ อยู่บำรุงถือหุ้น 80% นายดวง อยู่บำรุง10% นางอุบล แก้วสามสี 10%  ปี 2553 สินทรัพย์  998,432  บาท
     ก่อนหน้านี้นายอาจหาญ อยู่บำรุง เคย ถือหุ้น บริษัท บอสส์ วิลล์เลจ จำกัด ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จดทะเบียนวันที่  29 พฤษภาคม 2549 ทุน 1 ล้านบาท  ที่ตั้งเดียวกับสนามมวยอ้อมน้อย เดิมนายอาจหาญ อยู่บำรุง ถือหุ้น 15%   นายเถลิง อยู่บำรุง 10%  นายสัมมวงศ์ มโนมัยลาภ17.5%  ณ วันที่   6 มิถุนายน 2554  นางวรรณา พันธุ์ผดุงกุล   ถือหุ้น 99.8% ปี 2553 แจ้งว่ามีรายได้เพียง  6.89   บาท  ขาดทุนสุทธิ 6,993  บาท  ปี 2553 สินทรัพย์ 93,218,187  บาท
     นายวัน อยู่บำรุงบุตรชายคนกลาง เคยถือหุ้นร่วมกับนายอาจหาญพี่ชาย และ นายดวง น้องชายในกิจการสนามมวย ล่าสุดปี 2554 ไม่พบถือหุ้นหรือเป็นกรรมการบริษัทแต่อย่างใด
     ขณะที่นายเถลิง อยู่บำรุง น้องชาย ร.ต.อ.เฉลิม  นอกจากถือหุ้นกับบุตรของพี่ชายแล้ว ยังมีชื่อทำธุรกิจ
     1.บริษัท บอสส์ การ์เด้น อินน์ จำกัด ธุรกิจโรงแรม จดทะเบียนวันที่ 8 พฤษภาคม 2539  ทุน  1 ล้านบาท  ที่ตั้งเลขที่ 74 หมู่ที่ 12  ต.อ้อมน้อย อ.กระทุ่มแบน  จ.สมุทรสาคร นาย เถลิง อยู่บำรุง    60%  นายธีรยุทธ หอประเสริญกิจ    30% นางจันทนา อยู่บำรุง4% นางสาวกุลยา อยู่บำรุง  2 % นางสุมิตรา หอประเสริญกิจ  2%  ไม่มีรายได้ ปี 2553 สินทรัพย์ 1,000,000 บาท
     และเป็นกรรมการ บริษัท เถลิงชัยยุทธพันธุ์ คอนสตรัคชั่น จำกัด รับเหมาก่อสร้าง จดทะเบียนวันที่  15 สิงหาคม 2550 ทุน 1 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่  46/3 หมู่ที่ 5 ถนนกาญจนาภิเษก แขวงบางบอน เขตบางบอน กรุงเทพฯ นายยงยุทธ รอดคล้ายขลิปถือหุ้น  57% นายชาญชัย บุญสมพงษ์  20% นายพันธุ์รัช รักษาสุข  20%
     ส่วนบริษัทที่เลิกกิจการแล้ว ได้แก่บริษัท โปรอินทีเรีย จำกัด  ขายที่ดินก่อตั้งวันที่ 14 กรกฎาคม 2532 ทุน 1 ล้านบาท นายเถลิง  ถือหุ้น 25 %  นายธนวัฒน์ ทองสุทธิกุล 35 %  เลิกกิจการวันที่ 5 สิงหาคม 2553
     บริษัท เฉลิมไมน์นิ่ง จำกัด  ,บริษัท ซูพรีม สปอร์ตส์ จำกัด  ,บริษัท ดวงเฉลิม จำกัด และ  ห้างหุ้นส่วนจำกัด โต้งหนุ่มชาย
     กล่าวสำหรับ ร.ต.อ.เฉลิมตอนเข้ารับตำแหน่ง ส.ส.สัดส่วน วันที่ 22 มกราคม 2551 แจ้งบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการ ทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ด้วยทรัพย์สินรวม 160.8ล้านบาท
     ร.ต.อ.เฉลิมกับภรรยามีที่ดิน 18 แปลง เนื้อที่ 166-2-52 ไร่ มูลค่า 78.6 ล้านบาท อยู่ในอันดับ 18 (คิดตามมูลค่า)  มากกว่านายวิชาญ มีนชัยนันท์ มีเงินฝาก 22.6 ล้านบาท อยู่ในอันดับ 6  มากกว่านายจักริน  พัฒน์ดำรงจิตร  ส.ส.ขอนแก่น
     ตอนพ้นตำแหน่ง ส.ส.วันที่ 23 มีนาคม 2554 (กรณีลาออก)   แจ้งว่ามีทรัพย์สิน 107.1 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินสด 800,000 บาท เงินฝาก 378,501 บาท ที่ดิน 12 แปลง  57,864,450 บาท  โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 40,100,000 บาท  ยานพาหนะ 8,000,000 บาท  ไม่มีหนี้สิน 
     นางลำเนา ภรรยามีทรัพย์สิน 50,616,924 บาท แบ่งเป็นเงินสด 700,000 บาท เงินฝาก 13,278,602 บาท  เงินลงทุน 14,374,322 บาท  (ในจำนวนนี้เป็นพันธบัตรออมทรัพย์ช่วยชาติ และพันธบัตรไทยเข็มแข็ง 3.7 ล้านบาท ) ที่ดิน 6 แปลง 20,765,000 บาท  โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 1,500,000 บาท ไม่มีหนี้สิน
รวม  2 คน 157,759,876 บาท
     ถ้าจำกันได้ก่อนเลือกตั้งปลายปี 2550  ร.ต.อ.เฉลิมออกมาปรามาสพรรคประชาธิปัตย์ทำนองว่าไม่มีทางชนะเลือกตั้ง และ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่มีทางได้เป็นนายกฯ ยกเว้นมีหิมะตกในเมืองไทย ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงเพราะปรากฏว่าพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง และ นายสมัคร สุนทรเวช ได้เป็นนายกฯ
     หลังนายสมัครพ้นตำแหน่ง กรณี “ชิมไปบ่นไป”  นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็เข้ามารับช่วงต่อ
     เมื่อนายสมชายพ้นตำแหน่ง อันเนื่องจากกรณียุบพรรคพลังประชาชน นายอภิสิทธิ์ ก็เข้ามาเป็นผู้นำ
การ นั่งเก้าอี้นายกฯของนายอภิสิทธิ์ อยู่บนข้อเท็จจริงที่ว่า พรรคประชาธิปัตย์  ไม่ได้เสียงข้างมากในการเลือกตั้งปลายปี 2550  เป็นเพียงพรรคอันดับ 2 แต่ก็ได้เป็นรัฐบาล
     ในการเลือกตั้งถัดมา เดือนกรกฎาคม 2554  พรรคเพื่อไทยชนะประชาธิปัตย์และได้เป็นรัฐบาล พร้อมกับการเรืองอำนาจของ ร.ต.อ.เฉลิม บนเก้าอี้รองนายกฯ
     ไม่ต้องรอให้ “หิมะ”ตกในเมืองไทย


แนวหน้า

"สมชัย"ปูดพรรคการเมืองตามทวงเงินหัวคะแนนทำงานไม่เข้าเป้า! ชี้"ผู้ใหญ่"ช่วยเก็บเงินซื้อเสียง

"สมชัย"ปูดพรรคการเมืองตามทวงเงินหัวคะแนนทำงานไม่เข้าเป้า! ชี้"ผู้ใหญ่"ช่วยเก็บเงินซื้อเสียง

"สมชัย"ปูดพรรคการเมืองตามทวงเงินหัวคะแนนทำงานไม่เข้าเป้า! ชี้"ผู้ใหญ่"ช่วยเก็บเงินซื้อเสียง

“สม ชัย” เผย ตั้งศูนย์ศอส. ช่วยจัดการเลือกตั้งเรียบร้อย- ร้องเรียนลดน้อยลง  ระบุ หลังการเลือกตั้งมีพรรคการเมืองตามทวงเงินหัวคะแนนหลังทำงานไม่เข้าเป้า ชี้ บางคนต้องหนีเข้าลาว เหตุกลัวตาย  ปูด มีผู้หลักผู้ใหญ่ตำแหน่งสูง ช่วยเก็บเงินซื้อเสียง
     ที่โรงแรมแกรนด์ แปซิฟิค ซอฟเฟอริน รีสอร์ท แอนด์ สปา จ. เพชรบุรี  นายสมชัย จึงประเสริฐ  กรรมการการเลือกตั้งด้านกิจการสืบสวนสอบสวน กล่าวถึงผลการดำเนินงานของศูนย์อำนวยการสืบสวนสอบสวนการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร (ศอส.) ว่า ขณะนี้ศูนย์ศอส.มีคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งส.ส.เข้ามาทั้งสิ้น 563 คำร้อง จำหน่ายออก จำนวน 188 คำร้อง คงเหลือเป็นสำนวน 375 สำนวน ซึ่งใน 375 สำนวน ได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวน 113 สำนวน แบ่งเป็น ใบเหลือง 2 สำนวน สั่งให้นับคะแนนใหม่ 1 สำนวน ยกคำร้อง 109 สำนวน และอื่นๆ อีก 1 สำนวน  คงเหลือ 262 สำนวน  โดยแบ่งเป็น ด้านสืบสวนสอบสวนดำเนินการ 152 สำนวน ส่งจังหวัดให้ผ่านกกต.จังหวัด ทำความเห็น 7 สำนวน  อยู่ที่สำนักงานกกต.จังหวัด กับกกต.กลาง 78 สำนวน  และอยู่ระหว่างที่ผอ.กต.จว. พิจารณาคำร้อง  25 คำร้อง  ซึ่งจากการที่ได้ตั้งศูนย์ศอส. ขึ้นมาช่วยทำให้มีคำร้องคัดค้านลดลง ใบเหลือง-ใบแดง ลดลง  การสืบสวนสอบสวน  รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ  และการจัดการเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สุจริต เที่ยงธรรม เป็นที่ยอมรับของสังคม
     นายสมชัย กล่าวต่อว่า  สำนวนต่างๆ ที่เหลืออยู่  จำนวน 262 สำนวน จะทยอยเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของกกต.ในเร็วๆ นี้  อาทิ เช่น กรณีที่ จ. บุรีรัมย์  และที่จ. สุรินทร์ที่กำลังอยู่ระหว่างการรวบรวม อย่างไรก็ตาม ในการประเมินการทำงานในส่วนของศูนย์ศอส. นั้น ตนเห็นว่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยการทำงานของกกต.พิจาณาได้รวดเร็วขึ้น  แม้จะมีอุปสรรคอยู่บ้าง ก็จะต้องมีก ารปรับปรุงเพื่อการพัฒนาและคงมีศูนย์ศอส. เป็นเครื่องมือของกกต. ต่อไปในอนาคต ซึ่งจะได้ไม่ต้องไปยืมจมูกคนอื่นหายใจ ดังนั้น ต้องมีการพัฒนาบุคลากรให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน
     นายสมชัย กล่าวต่อว่า ผลงานของศอส.ที่เป็นการป้องปรามในการซื้อสิทธิขายเสียง ได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งขณะนี้ ได้มีการรายงานให้ทราบว่า หลังจากการเลือกตั้งมีหัวคะแนนหลายคนถูกยิง  เนื่องจากมีการทวงเงินของพรรคการเมือง เนื่องจากทำงานไม่เข้าเป้า  นอกจากนี้ มีหัวคะแนนบางส่วนต้องหลบหนี เข้าประเทศลาว  เพราะกลัวตาย อย่างไรก็ตาม กรณีดังกล่าวไม่มีพยานหลักฐานที่ชัดเจน เป็นเพียงการรู้กันเท่านั้น  และในการเลือกตั้งที่ผ่านมาได้มีการเปลี่ยนรูปแบบในการจ่ายเงิน โดยการนำเงินไปเก็บไว้กับผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีตำแหน่งสูง  จึงไม่สามารถเข้าไปตรวจค้นได้
     “ เดี๋ยวนี้มีการเปลี่ยนแปลงสถานที่ที่เก็บเงินในการซื้อเสียง โดยผ่านข้าราชการที่ใหญ่โต  ซึ่งทางชุดป้องปรามก็ได้ข่าวมา จึงได้มีการเฝ้าระวัง ทำให้หัวคะแนนไม่กล้าขยับ  จึงเป็นเครื่องมือของกกต. ได้เยอะ  ซึ่งกกต. ทำงานไม่ได้ต้องการที่กลั่นแกล้งใคร ถ้ามีข้อมูลเราก็เก็บรวบรวมไว้และนำมาประกอบการพิจาณา ถ้าชัดเจนเราก็สามารถวินิจฉัยให้ใบเหลือง-.ใบแดง ได้ อย่างเช่นกรณีของนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์  ซึ่งผมมีใจให้ 100 เปอร์เซ็นต์กับการตั้งศูนย์ศอส. แต่กกต. มีวิจารณญาณและแนวคิดต่างกัน แต่เพราะผมเห็นว่า การประกาศผลการเลือกตั้ง ตามกฎหมายจะต้องเร็ว และตามกฎหมายต้องให้กกต. วินิจฉัยโดยใช้หลักฐานเพียงเชื่อได้ว่าก็เพียงพอแล้ว  แต่กกต.บางคนยังต้องให้ไปสอบพยานเพิ่มเติมเพราะกลัวว่าจะไปกลั่นแกล้ง แต่พอลงไปสอบแล้ว พยานก็ไม่ยอมมาเป็นพยาน เพราะกลัวจึงทำให้ไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะเอาผิดเขา ไม่ใช่ว่าศูนย์ศอส. จะไม่มีประสิทธิภาพ ฉะนั้นจากการประชุมในครั้งนี้จะมีการนำเสนอ  ให้กกต. อีก 4 คน ได้พิจารณา ว่าควรมีศูนย์ศอส. ต่อไปอีกหรือไม่ “

ทำใจ วัดใจ ถูกย้ายโดยไม่โม้


     เมื่อสองสามวันก่อน มีนักเลงดีชื่อดร.อัมมาร สยามวาลา แห่งสำนักทีดีอาร์ไอ ให้ฉายารัฐบาลชุดนี้ว่ารัฐบาลดีแต่โม้
     โดยให้เหตุผลสนับสนุนว่านักการเมืองเอาแต่หันซ้ายหันขวา ไม่ทำเหมือนกับยุคทักษิณที่พูดแล้วทำ รับจำนำข้าวเอย ค่าแรง 300 บาทเอย ดีแต่โม้
     ขณะเดียวกันนักวิชาการสำนักเดียวกัน รศ.ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงศ์ บรรยายให้บรรดานายจ้างฟังว่าช่วง 10 ปีที่ผ่านมาค่าแรงคนไทยห่างจาก(ต่ำกว่า)ค่าครองชีพถึง 60% แม้ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ก็ไม่พอเลี้ยงครอบครัว จึงเห็นสมควรขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศ
     แต่ที่รัฐบาลทำไม่ได้ตามโม้ก็เพราะ ถูกต้านจากประดานายจ้างเพราะเป็นธรรมดาอยู่เอง ใครๆก็อยากได้ของถูก ไม่เช่นนั้นแรงงานจากพม่า เขมร ลาวจะเข้ามาเต็มบ้านเต็มเมืองหรือ
     เพราะฉะนั้นถ้าแรงงานที่ไม่ได้ขึ้นค่าแรงตามที่คนเพื่อไทย “โม้”เอาไว้ พวกเขาก็ต้องไปเดินขบวนเอากับนายจ้างผู้คัดค้านค่าแรง 300 บาทแทน
     เพราะ ตัวรัฐบาลเองนั้น อยากจะทำตามที่โม้ไว้ใจจะขาด เพราะนั่นหมายถึงคะแนนเสียงท่วมท้นในอนาคต ไม่ซื้อ(ด้วยเงินงบประมาณฯ)ตอนนี้ จะไปซื้อกันตอนไหน
     สำหรับฉายาดีแต่โม้นี้ ฟังแล้วคิดถึงสมรักษ์ คำสิงห์ นักชกเหรียญทองโอลิมปิกเหรียญแรกของประเทศไทยที่ได้ฉายาจากนักข่าวว่า”จอม โม้”
    ฉายานี้เจ้าตัวชอบมาก เพราะทำให้ได้ค่าจ้างโฆษณาหลายล้านบาทด้วยสโลแกนตอบโต้“ไม่ได้โม้” ตบท้ายสป็อตโฆษณากางเกงชั้นในชายที่เขาใส่เป็นนายแบบ
แต่ก็โดนแซวเมื่อเสียพนันมวยว่า “ดีแต่โม้จนเหลือแต่กางเกงในตัวเดียว”
     วันนี้ รัฐบาลถูกหาว่าดีแต่โม้ จะใช้งบประมาณแผ่นดินจนเหลือแต่กางเกงในตัวเดียวแบบเจ้าบาสหรือไม่ แฟนคลับเจ๊ปูดูใจกันสัก 6 เดือนก็แล้วกัน
     แต่ก่อนจะถึงเวลานั้น มีช็อตเด็ดๆให้ดูกันระหว่างทางในมหกรรมการโยกย้าย
     การเข้ามาเป็นรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยนั้น ถ้าเป็นภาคธุรกิจต้องถือเป็นเป็นการครอบครองปรปักษ์(hostile takeover) คนที่ไม่ใช่พวกเขา เขาก็เอาออกไปเป็นธรรมดา เพื่อมิให้เกิดการต่อต้าน ดื้อแพ่ง ปลุกระดม วางยา “เข้าเกียร์ว่าง” ขายความลับบริษัท ฯลฯ
     จึงต้องทำใจเมื่อกิจการเปลี่ยนมือ ประชาธิปัตย์เองก็ทำแบบนี้ เมื่อเข้ามาเป็นรัฐบาลเพราะเกิดภาวะ “เกียร์ว่าง” ไปแทบทุกกระทรวง
     ส่วนเรื่องการยุบหรือสวมหน่วยงานนั้น ต้องเท้าความไปยังสมัยชวน หลีกภัย เป็นนายกฯครั้งที่ 1 มีการแต่งตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆ รวมแล้วกว่า60 ชุด
     มาถึงยุคบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกฯ หน่วยงานในยุคชวนถูกโละหมด ทีมของบิ๊กเติ้งเข้ามาสวมแทน
     ถึงยุค พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกฯ ก็ทำอีหรอบเดียวกันกับบิ๊กเติ้ง
     พอมาถึงยุคชวนรีเทิร์น นายหัวชวนก็ทำแบบเดียวกันกับบิ๊กเติ้ง บิ๊กจิ๋ว แต่เพิ่มจำนวนเป็นราวๆร้อยกว่าคณะ
     มาถึงยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หน่วยงานยุคนายหัวชวนถูกยุบเหลือประมาณ 64-65 ชุดและก็ทำแบบเดียวกับบิ๊กเติ้ง บิ๊กจิ๋ว บิ๊กชวน คือเอาคนไทยรักไทยเข้าไปแทน
     ถึงยุคพลเอกสุรยุทธ จุลานนท์ เป็นรัฐบาลรัฐประหาร จึงไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก
     มาถึงยุคอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ทำไม่ต่างไปจากบิ๊กเติ้ง บิ๊กจิ๋ว นายหัวชวน และเสี่ยแม้ว
     ถึงขนาดพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งหลายฉบับทำนองว่า “โยกย้ายใหญ่คนของป๋าพรึบ”
     คณะกรรมการยุคมาร์ค์มีถึง 168 ชุด ตามที่นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สั่งให้รองนายกฯกิตติรัตน์ ณ ระนอง นำมาทบทวนพิจารณา
     ใครที่ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการและหน่วยงานเหล่านั้น ต้องทำใจ หรือบางคนทำใจไว้แล้ว ตั้งแต่เพื่อไทยชนะเลือกตั้งว่า “ถึงเวลาเราต้องไป” แล้ว
     คนที่ช่วยงานพรรคแกนนำรัฐบาลยังรอต่อคิวยาวเหยียด คงได้ตอบแทนกันอีกรอบ
     เรื่องการใช้คนของตนทำงานแทนคนที่อยู่ในหน่วยงานรัฐบาลชุดเก่านั้น มิใช่มีแต่ในประเทศไทย ชาติอื่นๆเขาก็ทำกัน
     โดยเฉพาะสหรัฐฯนั้น ตรากันเป็นกฎหมายเลยว่าข้าราชการที่ทำงานสังกัดทำเนียบขาวนั้นอายุการจ้าง งาน 4 ปีตามวาระของตำแหน่งประธานาธิบดี
     ทั้งนี้เพื่อให้ประธานาธิบดีมีอิสระในการคัดเลือกคนและสามารถเอาทีมงานที่ทำงานเข้ากันได้กับตนมาทำงาน
     แต่ละเทอมจะมีทั้งคนเก่าได้ต่อสัญญาและคนใหม่คละกันราวครึ่งต่อครึ่ง เพราะคนเก่าบางส่วนต้องสานงานต่อเนื่องจากรัฐบาลชุดที่แล้ว
     รัฐบาลเจ้าแม่หวยปูก็คงจะต้องทำตามกรอบนี้ ใครที่ไม่ทำใจก็ต้องกินยาทัมใจแก้ปวด
     เพราะแม้แต่คนเพื่อไทยที่ตั้งกันพรึบพรับก็เถอะ ถึงคิวคนที่รออยู่ข้างหลังมาสะกิดสีข้างเตือน ก็ต้องไปเหมือนกัน โดยเฉพาะพ.ค.หน้าที่พวกบ้านเลขที่ 111 พ้นที่กักกันออกมา
     สำหรับข้าราชการ ถ้าทำใจได้ ก็ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ ใครจะว่าจิ้งจกเปลี่ยนสีก็ช่างเถอะ เราเป็นข้าราชการอาชีพไม่มีทางเลือก
     จะเหยียบเรือสองแคมก็ไม่ว่ากัน เพราะ10 ปีหลังรัฐประหาร การเมืองไทยมีแต่รัฐบาลอายุสั้นๆไม่ครบเทอม จึงต้องแทงกั๊กกันไว้ก่อน
     คนที่ลืมแทงกั๊ก อย่างงวดนี้หวยเจ้าแม่ตะเคียนทองปูไปออกที่ผบ.ตร.ก็ทำใจกันลำบาก
     ส่วนงวดหน้าจะออกที่ไหน เลขอะไรคงต้องเดากันวันต่อวัน
     แต่ประดาแฟนคลับหวย เขาเล็ง 3834 เลขทะเบียนเบนซ์ประจำตำแหน่งนายกฯ
     ถูกกันแล้ว เอาทองคำเปลวไปปิดตัวเจ้าแม่กันบ้างก็แล้วกัน งวดหน้าจะได้ถูกอีก


แสงไทย เค้าภูไทย

แฉหนังสือลับ“ปุระชัย”ถึง “แม้ว” ยันหลบหนีคดีขอพระราชทานอภัยโทษไม่ได้

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
หนังสือ รายงานลับของกระทรวงมหาดไทยที่ออกโดย ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ รมว.มหาดไทย กรณีผู้ต้องหาหลบหนีคดีขอพระราชทานอภัยโทษ เมื่อวันที่ 18 เม.ย.2545



ASTVผู้จัดการ - คำต่อคำ เอกสารลับ “ปุระชัย” ทำเรื่องถึง “ทักษิณ” เมื่อ 9 ปีก่อน ยกเลิกคำขอพระราชทานอภัยโทษของผู้ต้องหาหลบหนีคดี หลังถูกศาลฎีกาพิพากษาสั่งจำคุก ระบุเหตุผลชัดเจน ไม่ได้แสดงตัวต่อเรือนจำระหว่างบุตรสาวทำหนังสือ ถือว่าไม่มีความสำนึกผิด
     
       หลังจากที่วานนี้ (7 ก.ย.) นายถาวร เสนเนียม ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะ รมว.ยุติธรรมเงา ได้กล่าวถึงความพยายามที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ด้วยการเดินหน้ากระบวนการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ โดยได้นำเอกสารเทียบเคียงการยกเลิกคำขอพระราชทานอภัยโทษของนักโทษหลบหนีคดี หลังถูกศาลฎีกาพิพากษาสั่งจำคุกรายหนึ่งมาเปรียบเทียบนั้น
     
       จากการตรวจสอบของผู้สื่อข่าว พบว่าเอกสารดังกล่าวเป็นหนังสือรายงานลับของกระทรวงมหาดไทยที่ออกโดย ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ รมว.มหาดไทยในขณะนั้น ลงวันที่ 18 เม.ย.2545 ทำหนังสือรายงานถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น กรณีที่ น.ส.อรภา แสงขำ บุตรสาวนายสุรินทร์ แสงขำ ได้ยื่นเรื่องราวทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่บิดา ซึ่งถูกพิพากษาจำคุก 24 เดือน ในข้อหาฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ
     
       สำหรับเนื้อหาของเอกสารดังกล่าว มีดังต่อไปนี้
     
       - 1 -
     
       ลับ
     
       ที่ มท 0911/806
     
       กระทรวงมหาดไทย
       ถนนอัษฎางค์ กทม. 10200
     
       18 เมษายน 2545
     
       เรื่อง ขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่นายสุรินทร์ แสงขำ
     
       กราบเรียน นายกรัฐมนตรี
     
       อ้างถึง หนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ นร 0207/11881 ลงวันที่ 21 สิงหาคม 2543
     
       สิ่งที่ส่งมาด้วย (1) ฎีกาทูลเกล้าฯ พร้อมเอกสารตามบัญชีแนบท้าย จำนวน 1 ชุด
       (2) สำเนาหนังสือฉบับนี้ 1 ฉบับ
     
       ตามหนังสือที่อ้างถึงแจ้งว่า นางสาวอรภา แสงขำ ได้ยื่นเรื่องราวทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่นายสุรินทร์ แสงขำ ผู้เป็นบิดาบุญธรรม ซึ่งต้องโทษในคดีความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรม โดยอ้างมูลเหตุแห่งคดีเกิดจากบุคคลหลายฝ่ายที่เป็นลูกหนี้นายสุรินทร์ฯ ไม่พอใจที่ถูกนายสุรินทร์ฯ ฟ้องร้องดำเนินคดีเพื่อบังคับให้ชำระหนี้ จึงกลั่นแกล้งให้เกิดเป็นคดีพิพาท โดยประสงค์ให้นายสุรินทร์ฯ รับโทษจำคุกเพื่อจะได้ไม่ต้องชำระหนี้ ปัจจุบันผู้ฎีกาและน้องได้รับความเดือดร้อนเนื่องจากขาดผู้นำครอบครัวโดยไม่ ทราบว่าขณะนี้นายสุรินทร์ฯ อยู่ที่ใด และเห็นว่าเมื่อมีกฎหมายว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฉบับใหม่ออกมายก เลิกกฎหมายฉบับเก่าแล้ว การที่นายสุรินทร์ฯ ฟ้องคดีความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฉบับใหม่ออกมายกเลิกกฎหมายฉบับเก่าแล้ว การที่นายสุรินทร์ฯ ฟ้องคดีความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คตามกฎหมายเก่าจึงควรสิ้นผลไปด้วย เมื่อการฟ้องคดีตามกฎหมายเก่าสิ้นสุดลง นายสุรินทร์ฯ จึงไม่มีความผิดฐานฟ้อง หรือเบิกความในคดีดังกล่าวอันเป็นเท็จต่อไปอีก โดยอาศัยหลักกฎหมายเป็นคุณตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 ตลอดเวลาที่ผ่านมานายสุรินทร์ฯ ประกอบคุณงามความดีเพื่อสังคมมาโดยตลอด มีโรคประจำตัวเป็นโรคหัวใจและเบาหวาน ต้องอยู่ในความควบคุมของแพทย์อย่างต่อเนื่อง จึงขอพระมหากรุณาธิคุณเป็นที่พึ่งขอพระราชทานอภัยโทษ โดยขอให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาพร้อมถวายความเห็นเพื่อจะได้นำความกราบบังคม ทูลพระกรุณาประกอบพระราชดำริต่อไป นั้น
     
       - 2 -
     
       กระทรวงมหาดไทยได้ตรวจสอบเรื่องราวของนายสุรินทร์ แสงขำ แล้ว ปรากฎข้อเท็จจริงว่า
     
       1. นายสุรินทร์ฯ อายุ 66 ปี ต้องคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5433/2528 ของศาลอาญา คดีความผิดฐานฟ้องเท็จ และฐานเบิกความเท็จ คดีสิ้นสุดชั้นศาลฎีกา กำหนดโทษจำคุก 2 เดือน แต่นายสุรินทร์ฯ หลบหนียังไม่ได้ตัวมาบังคับโทษตามคำพิพากษา ศาลจึงออกหมายจับนายสุรินทร์ฯ ไว้เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2543
     
       2. พฤติการณ์กระทำความผิด เหตุเกิดที่แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร นายสุรินทร์ฯ มีอาชีพออกเงินให้กู้ เมื่อมีผู้กู้ซึ่งไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันมาขอกู้เงิน นายสุรินทร์ฯ จะใช้วิธีให้ผู้กู้ออกเช็คไว้จำนวน 2 ฉบับ เช็คฉบับแรกจะระบุจำนวนเงินเท่าที่กู้ไปจริง ส่วนเช็คฉบับที่สองจะระบุจำนวนเงินสูงกว่าฉบับแรกเพื่อค้ำประกันหนี้ตามเช็ค ฉบับแรก และจะให้ผู้กู้ทำหนังสือประกอบการออกเช็คไว้ด้วย สำหรับมูลเหตุแห่งคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2527 โจทก์ (พันตำรวจโทวิชิต อิทธิไมยยะ) ได้มากู้เงินจากนายสุรินทร์ฯ จำนวน 100,000 บาท และนายสุรินทร์ได้ให้โจทก์ออกเช็คไว้ 2 ฉบับ คือ ฉบับแรกเป็นเช็คธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาถนนมหาไชย ลงวันที่ 27 พฤษภาคม 2527 จำนวนเงิน 100,000 บาท เท่ากับจำนวนเงินที่กู้ไปจริง ส่วนฉบับที่สอง ลงวันที่ 20 กันยายน 2547 จำนวนเงิน 290,000 บาท เพื่อค้ำประกันเช็คชำระหนี้เงินกู้ฉบับแรก พร้อมกับทำหนังสือประกอบการออกเช็คทั้งสองฉบับมอบให้ไว้แก่นายสุรินทร์ฯ ด้วย ต่อมาเช็คฉบับ 100,000 บาท ถูกปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ไม่ชำระเงินตามเช็คให้นายสุรินทร์ฯ วันที่ 21 ธันวาคม 2527 นายสุรินทร์ฯ จึงดำเนินการฟ้องร้องโจทก์ (พันตำรวจโทวิชิตฯ) เป็นจำเลยในข้อหาความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้ เช็ค ตามคดีหมายเลขดำที่ 31382/2527 โดยนายสุรินทร์ฯ เอาความอันเป็นเท็จในกรณีเช็คฉบับจำนวนเงิน 290,000 บาท ซึ่งเป็นเช็คค้ำประกันที่ไม่มีมูลหนี้จริงมายื่นฟ้อง และเบิกความอันเป็นเท็จทำนองเดียวกันในชั้นศาล แต่ในคดีที่นายสุรินทร์ฯ ฟ้องโจทก์ (พันตำรวจโทวิชิตฯ) ศาลฎีกาได้ยกฟ้องในที่สุด โจทก์จึงนำเหตุแห่งการฟ้องเท็จในคดีดังกล่าวมาฟ้องนายสุรินทร์ฯ ในคดีนี้ โดยนายสุรินทร์ฯ ให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาเรียงกระทงลงโทษนายสุรินทร์ฯ ฐานฟ้องเท็จ จำคุก 1 ปี ฐานเบิกความเท็จ รวม 2 กระทง จำคุกกระทงละ 1 ปี รวมจำคุกทั้งสิ้น 3 ปี นายสุรินทร์ฯ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าฐานฟ้องเท็จ จำคุก 6 เดือน ฐานเบิกความเท็จ 2 กระทง จำคุกกระทงละ 9 เดือน รวมจำคุกทั้งสิ้น 24 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นายสุรินทร์ฯ ฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายืน
     
       3. เนื่องจากในปัจจุบันนายสุรินทร์ฯ ได้หลบหนีคดีไม่อยู่ในความควบคุมของทางราชการ และจากการตรวจสอบพบว่านายสุรินทร์ฯ ยังต้องโทษในคดีความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรมอีกคดีหนึ่ง จึงได้มีหนังสือประสานงานไปยังนางสาวอรภาฯ ในฐานะผู้ฎีกา ทราบว่าคดีดังกล่าวเป็นคดีที่นายสุรินทร์ฯ ถูกฟ้องร้องโดยนายนิทัศน์ ละอองศรี ตามคดีหมายเลขดำที่ 1186/2537 หมายเลขแดงที่ 6136/2541 ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษจำคุก 18 เดือน และศาลได้ออกหมายจับไว้เช่นเดียวกัน
     
       - 3 -
     
       กระทรวงมหาดไทยพิจารณาแล้วขอเรียนว่า กรณีที่นายสุรินทร์ฯ ซึ่งมีอาชีพออกเงินให้กู้และใช้วิธีการให้ลูกหนี้ออกเช็คเพื่อเป็นการชำระ หนี้ที่กู้ยืมไว้หนึ่งฉบับ แล้วยังให้ออกเช็คที่มีมูลค่าสูงกว่าเพื่อเป็นการค้ำประกันเช็คฉบับแรกอีก เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ นอกจากนายสุรินทร์ฯ จะฟ้องร้องบังคับให้ชำระหนี้ที่มีอยู่จริงแล้ว ยังนำเช็คค้ำประกันที่ไม่มีมูลหนี้ไปฟ้องร้องเป็นคดีอาญาตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คอีก ซึ่งนับได้ว่านายสุรินทร์ฯ มีพฤติการณ์เอารัดเอาเปรียบ และฉ้อฉลผู้กู้อย่างร้ายแรง และน่าจะมีการกระทำในลักษณะเช่นนี้กับผู้อื่นมาแล้วหลายครั้ง ฉะนั้นการที่ศาลพิพากษาลงโทษให้จำคุกนายสุรินทร์ฯ จึงสมควรกับความผิดที่ได้กระทำแล้ว สำหรับประเด็นที่ผู้ฎีกาได้หยิบยกเรื่องการใช้กฎหมายอาญาในส่วนของกฎหมาย เป็นคุณตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 มาอ้างนั้น เห็นว่าผู้ฎีกายังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนในหลักกฎหมาย เพราะนายสุรินทร์ฯ จะได้ประโยชน์และพ้นจากความผิด หรือไม่ต้องรับโทษโดยอาศัยหลักกฎหมายเป็นคุณได้นั้น จะต้องปรกฎว่าในภายหลังได้มีบทบัญญัติขึ้นใหม่ว่าด้วยการฟ้องเท็จและการเบิก ความเท็จไม่เป็นความผิดอีกต่อไป แต่ตามข้อเท็จจริงในปัจจุบันประมวลกฎหมายอาญายังบัญญัติให้การฟ้องเท็จและ การเบิกความเท็จเป็นความผิด และผู้กระทำความผิดยังต้องรับโทษอยู่ ดังนั้นกรณีนายสุรินทร์ฯ จึงมิใช่กรณีที่จะได้รับประโยชน์ตามหลักกฎหมายเป็นคุณดังที่ผู้ฎีกากล่าว อ้างแต่อย่างใด ประกอบกับคดีของนายสุรินทร์ฯ ได้ผ่านกระบวนการยุติธรรมจนถึงชั้นศาลฎีกาย่อมเป็นที่ยุติได้ว่านาย สุรินทร์ฯ กระทำผิดตามฟ้อง และเมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงในส่วนที่นายสุรินทร์ฯ ได้หลบหนีคดีแสดงให้เห็นว่านายสุรินทร์ฯ ไม่มีความสำนึกผิด ข้ออ้างประการอื่นๆ จึงไม่อาจรับฟังและไม่มีเหตุพิเศษอื่นใดที่จะสนับสนุนขอพระราชทานอภัยโทษให้ ได้ จึงเห็นควรยกฎีการายนี้เสีย
     
       จึงกราบเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณานำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทในโอกาสอันควร
     
       ขอแสดงความนับถืออย่างยิ่ง
     
       ร้อยตำรวจเอก ..........(ลายมือชื่อ)..........
     
       (ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์)
       รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
     
       กรมราชทัณฑ์
       กองนิติการ
       ฝ่ายอภัยโทษ
       โทร. 0 2967 3361
       โทรสาร 0 2967 3360

เปิดชื่อคณะทำงานกรองฎีกาช่วยแม้ว

พล.ต.อ. ประชาเซ็นตั้งคณะทำงานพิจารณารายชื่อคนเสื้อแดงยื่นถวายฎีกาขอพระราช ทานอภัยโทษทักษิณด้านประธานคณะทำงานเผยประชุมนัดแรกพรุ่งนี้ ยันไม่ถือเป็นเรื่องด่วน
 
พล.ต.อ. ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีคำสั่งกระทรวงยุติธรรม ที่ 350/2554 ลงวันที่ 7 ก.ย. 2554 แต่งตั้งคณะทำงานกลั่นกรองและตรวจสอบข้อเท็จจริง รายชื่อของกลุ่มคณะบุคคล ที่ยื่นทูลเกล้าฯถวายฎีกาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
เนื้อหา ในคำสั่งระบุว่า ตามที่กรมราชทัณฑ์ได้เสนอเรื่อง กรณีคณะบุคคลทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อให้การพิจารณาเป็นไปอย่างถูกต้อง รอบคอบ เป็นไปตามหนังสือของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 ส.ค.2552 จึงเห็นควรแต่งตั้งคณะทำงานกลั่นกรอง และตรวจสอบข้อเท็จจริง ดังต่อไปนี้
1. ผศ.วุฒิศักด์ ลาภเจริญทรัพย์ คณบดี คณะรัฐศาสตร์ ม.รามคำแหง ประธานคณะทำงาน
2. นายจุมพล ณ สงขลา อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกาและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
3. ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ธงทอง จันทรางศุ เลขาธิการสภาการศึกษา
4. นายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ อธิบดีอัยการคดีพิเศษ
5. ผศ.ดร.ศรีสมบัติ โชคประจักษ์ชัด ประธานหลักสูตรสาขาวิชาอาชญาวิทยาการบริหารงานยุติธรรมและสังคม ม.มหิดล

6.นายนัทธี จิตสว่าง ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม
7.ผู้บังคับการกองคดีอาญาสำนักงานกฎหมายและคดีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
8.อธิบดีกรมราชทัณฑ์ คณะทำงานและผู้ช่วยเลขานุการ
9.ผอ.กองนิติการ กรมราชทัณฑ์ ผู้ช่วยเลขานุการ
10.หัวหน้าฝ่ายอภัยโทษ กรมราชทัณฑ์ ผู้ช่วยเลขานุการ
       
คณะทำงานดังกล่าว มีอำนาจหน้าที่
1.รวบรวมข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย หลักเกณฑ์และรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนผู้ถวายฎีกาและการดำเนินการของเจ้าหน้าที่รัฐว่าเป็นไปตามกฎหมาย และหลักเกณฑ์หรือไม่ 
2.พิจารณากลั่นกรองให้ข้อเสนอแนะว่าควรมีความเห็นกับการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาตามหนังสือของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ว่าอย่างไร 
3.พิจารณาเสนอหลักเกณฑ์หรือระเบียบ เพื่อเป็นแนวทางการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับกระบวนการขอพระราช ทานอภัยโทษ หรือข้อเสนออื่นที่มีประโยชน์ต่อไป
4.ให้คณะทำงานสามารถมีหนังสือสอบถามหรือเรียกบุคคลใดมาให้ถ้อยคำหรือให้ส่ง เอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้ประกอบการพิจารณา และให้หน่วยงานหรือบุคคลให้ความร่วมมือต่อคณะทำงาน และรายงานผลให้ทราบเมื่อมีความคืบหน้าหรือมีข้อเท็จจริงที่ควรให้ทราบ ทุกระยะ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ทั้ง นี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าคณะทำงานชุดดังกล่าว พล.ต.อ.ประชา แต่งตั้งผศ.วุฒิศักดิ์ เป็นประธานคณะทำงาน นายจุมพลอดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นหนึ่งในตุลาการที่ตัดสินคดีซุกหุ้นภาค1ให้กับพ.ต.ท.ทักษิณพ้นผิด ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ธงทอง มีกระแสข่าวว่าอาจจะได้เข้ารับตำแหน่งเป็นเลขาธิการคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลชุด นี้.
ด้าน ผศ.วุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ คณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ในฐานะประธานคณะทำงาน กลั่นกรองและตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีมีคณะบุคคลทูลเกล้าฯถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี  ระบุ ได้เรียกประชุมคณะกรรมการในวันพรุ่งนี้ โดยคำสั่งไม่ได้กำหนดกรอบเวลาทำงาน จะไม่ถือเป็นเรื่องเร่งด่วน ยืนยันจะทำตามขั้นตอนทางกฎหมายอย่างรอบคอบ

รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง