บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2554

ดวงเมืองปี 2554

อาจารย์กรหริส บัวสรวง ผู้อำนวยการสถาบันพยากรณ์ขั้นสูง โหรชื่อดัง คือโหรคนแรกที่ทำนายไว้ว่าทักษิณ ชินวัตร จะไม่มีแผ่นดินอยู่ในช่วงบั้นปลายชีวิต โดยทำนายไว้ั้ตั้งแต่ปี 2549 ก่อนเกิดการรัฐประหาร นี่คือดวงเมืองที่อาจารย์กรหริสได้ทำนายไว้เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2554 จึงขอนำมาลงไว้เพื่อเป็นแนวทาง สำหรับเหตุการณ์ต่างๆไม่ว่าการเมือง เศรษฐกิจ ภัยธรรมชาติ ที่อาจเกิดขึ้นในประเทศไทย นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป แม้สิ่งนี้ อาจเป็นสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ในทางทฤษฎี แต่ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามด้วยประการทั้งปวง
ดวงเมืองปี 2554
ดวงดาววิวัฒน์ชี้ชัดดวงเมืองยังสดใส   

    การโคจรของดาวพระเคราะห์สำคัญในปี 2554 ประกอบด้วยดาวอังคารที่ตลอดทั้งปี โคจรเป็นปกติแตกต่างจากปี 2553 ทำให้อำนาจรัฐเข้มแข็ง ไม่มีทหารแตงโม ตำรวจ มะเขือเทศเพ่นพ่านแทรกซึมสร้างความอ่อนแอปวกเปียก จนทำให้การชุมนุมของคนเสื้อแดงยืดเยื้ออย่างอหังการ และจบลงด้วยการเผาบ้านเผาเมืองพร้อมความตายและบาดเจ็บ จึงเป็นข่าวดีที่กองทัพกับตำรวจจะทำงานอย่างเด็ดขาดจริงจัง
 
    ใครที่หวังปลุกระดมก่อความไม่สงบ ไม่ว่าจะเป็นแบบเปิดเผยหรือซึมลึกแบบคอมมิวนิสต์กลับชาติมาเกิด จะถูกจัดการอย่างถอนรากถอนโคน แต่ดาวที่ยังคงทำให้การบริหารจัดการของรัฐบาล เป็นไปอย่างมีอุปสรรคขวากหนามนั้นเกิดจากดาวเสาร์จรในภพอริไปจน ถึง 15 พฤศจิกายน 

     ดังจะเห็นได้ว่ารัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เผชิญกับวิกฤติทุกรูปแบบตลอดเวลาและยังจะต้องผจญกับเหตุการณ์หนักๆ อีกมากในปีนี้ แม้ว่าดาวเสาร์จะย้ายจากภพอริมาแล้ว อนาคตของผู้ที่จะมาเป็น รัฐบาลก็จะได้รับผลกระทบจากดาวนี้ไปอีกเป็นเวลา 2 ปีครึ่ง หมายถึงรัฐบาลใหม่จะอยู่ได้ไม่ครบวาระ หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโครงสร้างของสังคม การเมือง เศรษฐกิจ
    แต่ดวงเมืองยังได้รับผลดีจากดาวพฤหัสบดีที่โคจรเดินหน้าในภพวินาศ ทำให้ความ ลับต่างๆ รั่วไหลพรั่งพรู ได้รู้ได้เห็นนักการเมืองที่ไม่มีความละอายใจต่อการไม่ เคารพกฎหมาย พยายามทำร้ายชาติด้วยวิธีการสกปรกโสมมทั้งต่อหน้าและลับหลัง นำความอัปยศ เสื่อมเสียให้เกิดขึ้นจนคนหมดศรัทธา ดังนั้น ก่อนที่ดาวพฤหัสบดีจะย้ายไปสู่ราศีเมษในวันที่ 9 พฤษภาคม จะมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นอีกทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ แม้ว่าจะไม่มี พิษสง แต่ก็บั่นทอนความมุ่งมั่นของรัฐบาลที่จะสร้างสรรค์ประเทศให้เข้าสู่การ ปฏิรูปเพื่อความปรองดองและความสุขสงบ
    การโคจรเดินหน้าของดาวพฤหัสบดีในราศีมีนช่วงก่อนสิ้นปี 2553 ทำให้รัฐบาลผลักดันโครงการประชาวิวัฒน์เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงโอกาสใน การแก้ไขปัญหาหนี้สิน ลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางสังคม นโยบายมากมายที่จะ ทำให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่าเดิม แตกต่างจากสิ่งที่เรียกว่าประชานิยม โดยต้องเข้าใจว่าประชานิยมนั้นถ้าไม่มี กฎหมายรองรับ เมื่อนายกรัฐมนตรีพ้นตำแหน่งหน้าที่ไปแล้วก็จบสิ้นลง แต่ในรัฐบาลนี้เป็นการ สร้างสวัสดิการให้ยั่งยืน โดยประชาชนต้องพึ่งพาตัวเองได้ด้วย แม้จะมีรัฐบาลใหม่ก็ต้องดำเนินการต่อไปเพราะเป็นภาคบังคับตามกฎหมายซึ่งแตก ต่างจากยุคประชานิยมแบบทักษิณ
    ในปีนี้พระราหูยังโคจรทับดาวเสาร์และดาวพฤหัสบดีในภพศุภะไปจนถึงวันที่ 6 มิถุนายน จึงมีผลทำให้เกิดความระส่ำระสายทางการเมืองตลอดเวลาที่ผ่านมา ดาวนี้เปรียบเสมือนอันธพาลกวนเมืองที่ทิ่มแทงรัฐบาล มีการเปิดเผยความลับที่ไม่เป็นจริง มีปัญหาการใส่ร้ายป้ายสีไม่เว้นแต่อำนาจของตุลาการก็ต้องมัวหมองถูกคุกคาม หลังจากนั้นพระราหูจะย้ายเข้าสู่ภพมรณะ ตามหลักการพระราหูเดิมมาจากภพวินาศจึงทำให้มีอาชญากรรมและยาเสพติดมาก มีการชุมนุมทางการเมืองที่ไม่ได้ทำให้เกิดผลดีตลอดมา เมื่อโคจรมาในตำแหน่งนี้จึงกลับกลายเป็นเรื่องดี และการที่ได้มาตรฐานราชาโชคซึ่งมีอิทธิฤทธิ์มากทำให้ศัตรูของรัฐบาลแพ้ภัย ตัวเอง นักการเมืองที่ไม่ดีจะถูกกำจัดออกไปเมื่อมีการเลือกตั้ง
    ดาวพฤหัสบดีได้มาตรฐานราชาโชคเข้าทับดาวอาทิตย์ที่กุมลัคนาดวงเมืองในภพที่ หนึ่ง ซึ่งหมายถึงประเทศชาติประชาชนจะเกิดความรุ่งเรืองไพบูลย์ ชาติมีเกียรติยศศักดิ์ศรี มีโชคดีหลายด้านดังหลักโหรกล่าวไว้ว่า "พฤหัสบดีผิวประทับรวิวรรณ สิทธิโชค มหันตหิทธิบูชา" ทำให้การเมืองมีความโปร่งใส บ้านเมืองจะได้หลุดพ้นจากวงการอุบาทว์ของนักการเมืองบางพรรคที่ไม่เคยสร้าง คุณงามความดีให้เห็นประจักษ์
    การเลือกตั้งทั่วไปที่น่าจะมีขึ้นระหว่าง 9 พฤษภาคมถึง 31 สิงหาคม จะทำให้นักการเมืองที่ไม่มีจิตสำนึกรักชาติบ้านเมืองหมดโอกาส ดวงดาววิวัฒน์ให้ได้รัฐบาลและผู้นำที่ดีมีคุณธรรม มุ่งมั่นทำงานเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ดังนั้น นายกรัฐมนตรีคนต่อไปจะมีอักษรของดาวอาทิตย์และอักษรของดาวพฤหัสบดี ได้แก่ สระและ อ.อ่าง บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ ม หลังจากนั้นดาวพฤหัสบดีจะโคจรถอยหลังไปจนถึงปลายเดือนธันวาคม การพักร์องศาของดาวไม่ส่งผลเสียเพราะในดวงเมือง ดาวเดิมดวงนี้โคจรถอยหลังเช่นกันแต่อาจทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ได้ ถ้ารัฐบาลใหม่ไม่สามารถครองใจประชาชนได้ ในขณะเดียวกันพระราหูที่นักโหราศาสตร์บางคนมีความเห็นว่าทำมุมปลายศรหรือ ปลายหอกไปยังลัคนานั้น เห็นว่าไม่มีผลกระทบต่อบ้านเมืองเพราะอิทธิพลของดาวพฤหัสบดีมีมากกว่า
    แต่เหตุการณ์ในระหว่าง 4 เดือนตั้งแต่กันยายนถึงธันวาคม อาจทำให้เกิดภัยพิบัติธรรมชาติรุนแรงได้เนื่องจากพระราหูเป็นดาวธาตุลมพายุทำลาย โคจรในราศีธาตุน้ำที่มีดาวอังคารธาตุลมกรดเป็นเจ้าเรือน จะมีผลทำให้เกิดความเสียหายด้านเศรษฐกิจติดตามมา
    ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ดาวพฤหัสบดีให้คุณประโยชน์เต็มที่คือการพัฒนาคนให้มี ความรู้ความเข้าใจระบอบประชาธิปไตย ยอมรับกฎกติกา มากกว่าการหลงผิดหลงเชื่อกลุ่มการเมืองที่อยู่นอกระบบหรือเห็นแก่อามิส สินจ้างให้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เปิดโอกาสให้คนที่ไม่หวังดีต่อชาติเข้ามาเป็นนักการเมือง การกำจัดกวาดล้าง ความเลวร้ายให้หมดไป จึงขึ้นอยู่กับประชาชนสนธิเข้ากับดวงดาวที่โคจรมาสร้างความรุ่งเรืองด้าน ต่างๆ
    ในช่วงเวลาดังกล่าว ดวงดาววิวัฒน์แล้วแต่ประชาชนจะวิวัฒน์พัฒนาตามอิทธิพล ของดวงดาวหรือไม่จึงยังเป็นที่น่าสงสัย ในเมื่อดวงชะตาของคนจำนวนไม่น้อยยังด้อยคุณภาพอยู่มาก จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลปัจจุบันและในอนาคตต้องเร่งทำความเข้าใจกับประชาชน ให้หันหน้าเข้าหากันด้วยความสามัคคี โอกาสที่ดาวพฤหัสบดีให้คุณแบบนี้ไม่ได้ เกิดขึ้นง่ายๆ
    ดังนั้น การจัดการคนที่อ้างประชาธิปไตยจนเกิดขอบเขต ชุมนุมกันพร่ำเพรื่อเพื่อเรียก ร้องให้ปล่อยตัวผู้ก่อการร้ายนั้นเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายอย่างชัดเจน เมื่อดาว ดวงนี้บ่งชี้ถึงความชอบธรรมของอำนาจนิติรัฐจึงรอช้าอีกต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะการปรองดองไม่ได้หมายถึงการให้โอกาสแก่ผู้กระทำความผิด กระบวนการยุติธรรมต้องทำให้จบสิ้นโดยเร็วก่อนที่จะกลายเป็นวิกฤติฉุดให้การเมืองเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย และเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มด้านบวกจะผันแปรไม่แน่นอน
เศรษฐกิจและสังคมปี 2554
     ในปีนี้การโคจรของดาวศุกร์เป็นปรกติ ประกอบกับดาวอังคารเดิมที่อยู่ในภพของการเงินทำมุมสัมพันธ์ดีกับดาวศุกร์ เดิมและดาวนี้โคจรเป็นปรกติ ดังนั้น ด้านเศรษฐกิจของประเทศจึงมีความเข้มแข็งเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าค่าครอง ชีพจะสูงขึ้น มีภาวะเงินเฟ้อ แต่การว่างงานลดลงรวมถึงการช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันของภาครัฐกับภาค เอกชนอย่างเต็มที่ ทำให้เกิดความก้าวหน้าอย่างยั่งยืน ไม่มีการถดถอยเว้นแต่จะมีภัยพิบัติเกิดขึ้น กิจการด้านอัญมณี บันเทิงเริงรมย์ เสื้อผ้าแฟชั่น ความงามที่อาศัยการแพทย์ เฟอร์นิเจอร์ ทองรูปพรรณ ยวดยานพาหนะ โรงแรม รีสอร์ต มีโอกาสโกยกำไรสูง แต่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะตกต่ำ เกิดภาวะขายไม่ออก การลงทุนด้านนี้จะต้องขยายออกไปในต่างจังหวัดที่เป็นพื้นที่ปลอดภัยจากน้ำท่วม

     ในปีเถาะนี้มีคำพยากรณ์ว่าสินค้าอุปโภคบริโภคจะมีการปรับราคาสูง ขึ้น ประชาชนจะพากันใช้จ่ายเงินอย่างเต็มที่ เกิดการหมุนเวียนของเงินตราในระบบแต่ต้องแบกรับภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราใหม่ สังคมจะมีความฟุ้งเฟ้อ วัยรุ่น เยาวชนจะหมกมุ่นในเรื่องเพศสัมพันธ์ การ ลักลอบทำแท้งจะมีมากขึ้น กิจการร้านขายยา คลินิก โรงพยาบาล และสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาลจะสร้างเม็ดเงินมหาศาลเพราะในปีนี้จะ มีโรคระบาด โรคติดต่อเร็วเป็นระยะๆ
     เช่นเดียวกับดาวพุธโคจรเป็นปกติเกือบทั้งปี มีผลให้ธุรกิจมีความราบ รื่น กิจการด้านการสื่อสารโทรคมนาคมทุกประเภทเจริญเติบโต ทำรายได้มาก การปฏิรูปสื่อมีโอกาสเป็นจริง จิตสำนึกของสื่อจะมีมากขึ้น ข่าวรั่ว ข่าวลือ ข่าวลวง การให้ร้ายป้ายสีจะลดน้อยลง ความรับผิดชอบของสื่อโดยเฉพาะการเสนอข่าวทางโทรทัศน์เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วง   
     การเสนอข่าวรอบด้านเป็นเรื่องดี แต่มักจะมีการสัมภาษณ์ความเห็นจากนักวิชาการบ้างและใครต่อใครที่สร้างความ เข้าใจผิด รวมถึงการเสนอข่าวของพรรคการเมืองฝ่ายค้านที่สร้างความแตกแยก จรรยาบรรณของสื่อจะต้องปรับปรุง การให้ประชาชนคิดเองตัดสินใจเองนั้นเป็นอันตรายเพราะระดับของความรู้ความเข้าใจในข้อมูลแตกต่างกัน ความปรองดองต้องเริ่มจากสื่อซึ่งในปีนี้ ดาวพุธได้เปิดโอกาสให้แล้ว สำหรับปัญหาความรุนแรงทาง 3 จังหวัดภาคใต้จะเกิดขึ้นน้อยกว่าปีที่ผ่านมา
     การโคจรของดาวพฤหัสบดีจะช่วยให้สังคมมีความสงบสุข มีระเบียบแบบแผนและ ตระหนักถึงความรักชาติ มีความสามัคคีมากกว่าที่ผ่านมา ใครที่คิดร้ายต่อประเทศจะมีอันเป็นอันไปตามวาระแห่งกรรมและกฎหมาย ส่วนดาวมฤตยูในปีนี้เริ่มจากเดือนสิงหาคมถึง 20 ธันวาคม โคจรถอยหลัง สอดคล้องกับช่วงเวลาที่ดาวพฤหัสบดีถอยหลัง จึงน่าจะมีเหตุการณ์ที่เกิดความอาเพศได้ในเรื่องดินฟ้าอากาศ หรือแม้แต่ในด้านการเมืองที่ไม่คาดคิด จึงเป็นช่วงเวลาที่ต้องจับตาดูว่าความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นนั้นจะมาจาก กรณีที่ยังไม่มีการยุบสภาฯ เพื่อให้มีการเลือกตั้งทั่วไป สถานการณ์ความรุนแรงจากฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลจะทำ ให้เกิดวิกฤติในชาติได้
     ส่งท้ายด้วยดาวเสาร์ที่จะย้ายมาเล็งดวงเมืองในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2554 จนถึง 17 พฤษภาคม 2555 ย่อมก่อให้เกิดทุกข์เข็ญจากโรคระบาด มีปัญหาต่างๆ ในวงราชการ เกษตรกร ผู้ใช้แรงงาน รวมถึงผู้นำประเทศจะเผชิญกับสถานการณ์แห่งความยุ่งยากและภัยพิบัติร้ายแรง ที่ยากจะป้องกันแก้ไข เศรษฐกิจจะปั่นป่วนมีความผันผวน ประเทศตกอยู่ภายใต้ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แบบพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน
     อย่างไรก็ตาม ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของเดือนเมษายน-พฤษภาคม จะมีการต่อสู้ทางการเมืองที่ เข้มข้น เป็นชนวนแห่งความรุนแรง ความขัดแย้ง พรรคการเมืองถูกยุบ ผู้นำคนสำคัญของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลจบสิ้นชีวิต อีกช่วงหนึ่งคือระหว่างเดือน กันยายนถึงธันวาคม ที่สถานการณ์ทางการเมืองไม่น่าไว้วางใจ แต่ถ้าผ่านสองช่วงนี้ไปได้ ปี 2554 จะเป็นปีแห่งความรุ่งเรืองของประเทศ ประชาชนจะมีความสุข มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ความชั่วร้ายที่เกิดกับสังคมจะเบาบาง พิษภัยจากยาเสพติดจะลดลง คนส่วนใหญ่จะร่วมกันทำความดีมากขึ้น มีจิตสำนึกรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเห็นความสำคัญในการพัฒนาตนเองเพื่อคุณภาพของชีวิต
รหัสจักรวาลประจำปี 2554
     รหัสจักรวาลของปีนี้คือเลข 4 สัมพันธ์กับดาวยูเรนัสหรือดาวมฤตยู จึงเป็นปีแห่งความท้าทาย เกิดความเปลี่ยนแปลงไปทั่วทั้งโลกทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจ จะมีคนเป็นโรคจิตประสาทกันมากขึ้น มีพฤติกรรมแปลกประหลาด ผู้คนพากันเป็นนักต่อต้านระเบียบกฎเกณฑ์ เป็นฝ่ายตรงข้ามกับการปกครองของรัฐบาล ไม่พอใจในทุกเรื่องแม้จะเป็นสิ่งที่ดีงามหรือชอบธรรม เป็นศัตรูกับคนที่มีความคิดเห็นแตกต่าง มีเหตุการณ์ด้านดีหรือด้านร้ายเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน มนุษย์พยายามเอาชนะภัยธรรมชาติ มีการคิดค้นทางด้านวิทยาศาสตร์ อวกาศ พลังงาน มีปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่น่าสนใจและอาจเป็นอุบัติภัยต่อโลก คนบางส่วนมีความเชื่อในด้านไสยศาสตร์ งมงายกับลัทธิที่นอกรีตนอกรอย นับได้ว่าเป็นปีที่ทุกคนจะต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ และใช้ความฉลาดให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ยุติการแข่งขันชิงดีชิงเด่นเอาชนะกันอย่างคนป่วยทางจิตและสมองเสื่อม
------------------------------------------------------
รู้ไว้ไม่เสียหายครับ แล้วมาดูกันต่อไป ว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป  จะนำมาเทียบเคียงกับคำทำนายฉบับนี้ได้หรือไม่ ส่วนตัวแล้ว ผมว่าคำทำนายของอาจารย์ยังน่าอ่าน น่าฟัง มากกว่าคำทนายประเภท ฟันธง คอนเฟิร์ม อะไรประมาณนั้น อย่างน้อยอาจารย์ก็ไม่เคยไปขึ้นเวทีสีไหนๆ และคำทนายของอาจารย์ ป๋าเปลวสีเงิน แกก็ชอบนำเอามาลงให้อ่านกันบ่อยๆ เชื่อถือได้มั๊ย ขอตอบว่าไม่รู้ แต่ถ้ารับฟังได้หรือเปล่า ผมว่าน่ารับฟังไว้เป็นอย่างยิ่ง

แนวคิดการปฏิรูปการเมือง โดยใช้ระบบ (Quality System) เป็นหลักประกันป้องกันการทุจริตและมิให้พรรคการเมืองครอบงำ โดย ปรีดา กุลชล

ผม (อ.ปรีดา กุลชล ผู้เขียน) ชอบข้อเสนอให้ปรับโครงสร้างการเมืองใหม่ทั้งหมดของ ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ และ แนะนำให้มีการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่โดยมี ส.ส.ร.พิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ

1. การปรับโครงสร้างทางการเมืองต้องปรับให้ได้มาตรฐานสากลด้วย เช่น สหรัฐและยุโรปปรับเป็น"โครงสร้างตามระบบ"(Organization as a system)ตามมาตรฐานสากล(TQM).
ก. "โครงสร้างตามระบบ" หมายถึงระบบ Quality system นั่นคือ โครงสร้างที่มี Resources เช่น ผู้นำ Leadership บริหารระบบ(Documented Procedures) เน้นการทำงานเป็นทีม(Teamwork) โดยมีจุดประสงค์(Purpose)เพื่อปรับปรุงคุณภาพ(Quality Improvement) โดยยึดความพอใจของประชาชนเป็นตัวตั้ง(Customer Focus)
            - Leadership: ต้องสร้างระบบ(System design)ที่แสดงคุณสมบัติของ"ความเป็นผู้นำ"ที่กระทัดรัดและชัดเจนครบถ้วน ปกติ จะออกมาในรูป"ระบบงาน"(Work Systems)
            - Leadership: การบริหารระบบ(Documented Procedures)ของ Leadership ต้องมีพื้นฐานอย่างน้อย  2 รายการคือ "ระบบงาน"(Work Systems) และ "กระบวนการทำงาน(Work Processes).
‎            - Leadership: ต้องบริหารระบบสำคัญ 3 ระบบคือ
                1. ระบบยุทธศาสตร์(Strategy system)
            2. ระบบวิธีปฏิบัติ(Operation system)
            3. ระบบบริหารคน(Workforce system) โดยทำเป็น Work Systems และต้องมี Work     Processes ด้วย.
            - Leadership: ต้องมีระบบประเมิน(ราชการเรียกประเมินความคุ้มค่า)ในรูป Work Systems...จุดประสงค์ของการประเมินเพื่อหาจุดอ่อนเพื่อปรับปรุงคุณภาพ(Quality Improvement)ให้เป็นจุดแข็ง...มิใช่เพื่อความคุ้มค่าในการจัดงบประมาณ.
‎            - Leadership: ประเมินโดยวัด/วิเคราะห์/ความรู้ (Measurement, Analysis, and Knowledge Management) โดยมี Work Systems และ Work Processes เป็นพื้นฐาน.
ข้อสังเกต:...โครงสร้างสมัยใหม่(TQM)ตามมาตรฐานสากลมีเพียงลำดับชั้นเดียวเท่านั้น(Layer) คือ Leadership (Leadership council)หรือผู้แทน บริหารโดยตรงไปยังทีมผู้ปฏิบัติงาน เช่น Project Team โดยมีมีพี่เลี้ยง Facilitators หลายหน่วยคอยให้ความช่วยเหลือทีม

จากการที่โครงสร้างการบริหารสมัยใหม่มีการบริหารเพียงขั้นเดียวคือ Leadership council บริหารสั่งการโดยตรงไปยังผู้ปฏิบัติงาน(ทีม) ดังนั้น คณะรัฐมนตรี(โดยนายก ร.ม.ต.)หรือผู้แทน สามารถบริหารโดยตรงไปยังผู้ปฏิบัติงานตามกระทรวงต่างๆ หรือสั่งการโดยตรงไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้

ตัวอย่างการบริหารชั้นเดียวที่ดีมากคือ การบริหารของ GE ที่ Leadership council โดย CEO (หรือผู้แทน) สามารถบริหารสั่งงานโดยตรงไปยังหน่วยงานของ GE ทั่วโลกได้โดยไม่ต้องผ่านผู้บริหารระดับกลางแต่ประการใด

การปรับโครงสร้างทางการเมืองใหม่ทั้งหมดเพื่อแก้ไขวิกฤตการเมืองที่เกิดขึ้นได้ หมายถึงการปรับโครงสร้างจากการบริหาร Bureaucracy (ของรัฐบาลอภิสิทธิ์ปัจจุบัน) ให้เป็น"โครงสร้างตามระบบ" ดังกล่าวข้างต้น
Bureaucracy ของรัฐบาลทุกชุดตั้งแต่ พ.ศ. 2475 เป็นวิกฤตเพราะ "Bureaucracy means waste, slow decision making, unnecessary approvals, and all the other things that kill a company's competitive spirit. (Jack Welch).
Welch felt that ridding the company of bureaucracy was everyone's job. He urged all of his employees to "fight it, kick it." That's why "disdaining bureaucracy" became such an important part of GE's shared values (the list of behaviors that were expected of all GE employees).

2. ประเด็นสำคัญที่สุดของการแก้ไขรัฐธรรมนูญคือการปฏิรูปหรือเปลี่ยน(Change)การบริหาร Bureaucracy ของรัฐบาลปัจจุบันที่การบริหารยังไม่มีคุณภาพเพราะขาด"ระบบ" ไปสู่การบริหารคุณภาพ(TQM)ที่มี"ระบบ"(Quality system)ตามมาตรฐานสากลที่ UN สนับสนุน เท่านั้น

ส่วนการแบ่งแยกอำนาจให้ชัดเจนว่านายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีทำหน้าที่ฝ่ายบริหารเพียงอย่างเดียวมิใช่ประเด็นสำคัญ...ประเด็นสำคัญคือ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทุกคนต้องบริหารโดยมีระบบงาน Work Systems และ กระบวนการทำงาน Work Processes รองรับ และมี"โครงสร้างตามระบบ" (Organization as a system).

ส.ส.ทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติเพียงอย่างเดียวก็มิใช่ประเด็นสำคัญเท่ากับการปฏิรูปการบริหารของฝ่ายนิติบัญญัติให้มีโครงสร้างตามระบบ(Organization as a system) และมีการบริหารระบบ(Work Systems และ Work Processes)

การให้ประชาชนเลือกนายกรัฐมนตรีโดยตรงแทนการให้ ส.ส.เลือกนายกรัฐมนตรีมิใช่หลักประกันการทุจริต...หลักประกันการทุจริตได้คือ"ระบบ"ตามมาตรฐานสากล เพราะระบบสามารถสร้างเครื่องป้องกันการทุจริตได้

การให้ประชาชนเลือกนายกรัฐมนตรีโดยตรงผ่านการเลือกตั้งในระบบ ส.ส.บัญชีรายชื่อมิได้เป็นหลักประกันให้พรรคการเมืองพ้นจากการถูกครอบงำแต่ประการใด..."ระบบ"เท่านั้นที่เป็นหลักประกัน(Assurance)มิให้พรรคการเมืองถูกครอบงำ...เมื่อสามารถออกแบบระบบได้ดี(System design)ซึ่งไม่ยาก

การจัดระบบใหม่เรื่องนี้ เพื่อมิให้มีปัญหาเรื่องรัฐบาลมีเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎร และหากกฏหมายใดรัฐบาลเสนอแล้วไม่ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรก็ไม่จำเป็นที่จะต้องแสดงความรับผิดชอบเหมือนในอดีต เพราะถือว่าฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติเป็นอิสระต่อกันอย่างชัดเจน...ระบบใหม่นี้ต้องทำเป็นระบบงาน Work Systems และเพื่อให้ระบบใหม่สามารถปรับปรุงให้ทันสมัยเสมอ จึงจำเป็นต้องมีกระบวนการทำงาน Work Processes ด้วย

3. ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ มีเจตนาดีมากในการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อการปฏิรูปการเมืองซึ่งมีความพยายามทำเรื่องนี้มาหลายครั้ง..โดยมีรัฐธรรมนูญ 2540 เป็นความพยายามครั้งแรก...ทุกครั้งล้มเหลวหมดเพราะไม่เห็นหัวใจของการปฏิรูป และไม่รู้ประวัติว่าทำไมโลกต้องปฏิรูปการเมือง

‎3.1 "หัวใจ"ของการปฏิรูปการเมืองคือระบบ(Quality system)ซึ่งประกอบด้วย"โครงสร้างตามระบบ"Organization as a system, "ผู้นำ" Leadership, และเอกสารวิธีปฏิบัติงาน Documented procedures ในรูป Work Systems และ Work Processes.

‎3.2 ประวัติที่โลกต้องปฏิรูปการเมือง...ขอร่ายยาวนิดหน่อย

            3.2.1 Dr. Deming ทำวิจัยเมื่อต้นทศวรรษ 1970s พบว่าการบริหาร Bureaucracyที่ขาด"ระบบ"นั้นไม่มีประสิทธิภาพหรือบกพร่องสูงถึง 85-94% รัฐบาลไทยใช้การบริหาร Bureaucracy ตั้งแต่ พ.ศ. 2475 ถึง ปัจจุบัน.

            3.1.2 รัฐบาลสหรัฐรู้เรื่องนี้มาก่อนการวิจัยของ ดร.เดมมิ่ง...จึงเริ่มสร้างระบบบริหาร(Documented Procedures) ตั้งแต่หลัง WW-2 โดยลงทุนจ้างผู้เชี่วชาญถึง 300 คนมาช่วยออกแบบระบบ(System design)ประมาณต้นทศวรรษ 1950s

            3.1.3 นักร่างระบบบริหารทั้ง 300 คนประกอบด้วย
            1.อาจารย์บริหารของมหาวิทยาลัย Top Ten ของสหรัฐ 100 คน
            2. นักบริหารธุรกิจชั้นยอด 100 คน
            3. ผู้เชี่ยวชาญการบริหารของรัฐบาลทุกรัฐ 100 คน.

            3.1.4 ระบบที่ทั้ง 300 คนสำเร็จออกมาในรูป:- Federal......Manual, SOP(Standing Operation Procedure)และ Office Instructions เป็นต้น สำหรับระบบบริหารรวบรวมที่สำนักงา ก.พ.(US.Civil Service Commission ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น OPM: Office of Personnel Management).

            3.1.5 รัฐบาลสหรัฐมีระบบบริหารที่ดีที่สุดในโลกมากว่า 50 ปีแล้วแต่ยังมีจุดอ่อนเรื่องโครงสร้าง Bureaucracy ที่มีหลายลำดับชั้นเช่นของรัฐบาลไทยปัจจุบัน รัฐบาลสหรัฐเพิ่งสลัดโครงสร้างล้าสมัยหลุดเด็ดขาดหลังประกาศใช้กฏหมายปฏิรูปสู่ TQM. คือ Public Law 100-107, 1987.

            3.1.6 หลังการวิจัยของ ดร.เดมมิ่ง เมื่อต้นทศวรรษ 1970s ประเทศอังกฤษระดมผู้เชี่ยวชาญมาพัฒนาระบบเพื่อให้อังกฤษมีการบริหารระบบโดยสร้างมาตรฐานของอังกฤษ(British Standard)สำเร็จปี 1979 เรียกว่า BS-5750,

            3.1.7 ผู้เชี่ยวชาญที่ยกร่าง BS-5750 รู้ดีว่า"ระบบบริหาร"ที่ดีที่สุดคือระบบบริหารของ US. Federal Government. จึงพยายามเสาะหาเพื่อนำมาเป็นตัวอย่างของ BS-5750 ...ในที่สุดได้ระบบ MIL-Q-9858A ของกองทัพสหรัฐมาประกอบ BS-5750.

            3.1.8 ระบบ MIL-Q-9858A เป็น"ระบบจัดซื้อ" มืใช่"ระบบบริหาร"ตามที่ผู้เชี่ยวชาญอังกฤษต้องการ ดังนั้น BS-5750,1979 จึงสับสนเรื่องระบบ

            3.1.9 ชาวอังกฤษได้รับเลือกเป็นประธานคณะกรรมการยกร่างมาตรฐานสากล ISO 9000 คณะกรรมการดังกล่าวชื่อ TC-176 ใช้เวลายกร่างมาตรฐานสากลประมาณ 7 ปี ในที่สุดก็ลอก BS-5750 ทั้งหมด...และประกาศใช้เป็นมาตรฐานสากลเมื่อเดือนมิถุนายน 1987

            3.1.10 ISO 9000 จึงสับสนเรื่อง"ระบบบริหาร" เช่นเดียวกับ BS-5750 ดังนั้น ISO 9000 จึงมีปัญหาที่"ระบบ"ซึ่งเป็นหัวใจของการบริหารคุณภาพ...ประเทศทั่วโลกที่ใช้ ISO 9000 จึงมีปัญหาเรื่องระบบบริหารโดยทั่วหน้ากัน

การปฏิรูปการศึกษาของไทยประยุกต์ระบบ ISO 9000 มาเป็นระบบประกันคุณภาพคุณภาพการศึกษาตามหมวด 6 ของ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 จึงมี"โรคหัวใจ"เช่นเดียวกับ ISO 9000 และ BS-5750 ของอังกฤษ

การปฏิรูปการศึกษาของประเทศไทยซึ่งมีงบประมาณประมาณ 1 ล้านล้านบาท(Trillion)ในการปฏิรูปทศวรรษแรก 2542-2551 จึงล้มเหลวเหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำเพราะสับสนเรื่อง"ระบบ"(Documented Procedures)เท่านั้น

การปฏิรูปการเมืองนั้นง่ายนิดเดียว คือ ปฏิรูปจากการบริหารที่ไม่มีคุณภาพ Bureaucracy ของรัฐบาลปัจจุบัน...ไปสู่การบริหารที่มีคุณภาพ TQM (Total Quality Management)แค่นั้น...โดยมีระบบ(Quality system)เป็นหัวใจ 

ข้อสังเกต: 1. การปฏิรูปการเมืองครั้งแรกทำโดยรัฐธรรมนูญ 2540 จัดการโดย ดร.ชุมพล ศิลปอาชา และ อาจารย์กฏหมายมหาชนพร้อมสร้างภาพตีปี๊บว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดในโลก "ความจริง"ปรากฏว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่มีคุณภาพตามมาตรฐานสากล(เลว)เนื่องจากผู้ที่เกี่ยวข้องกับการร่างทุกท่านโดยเฉพาะ กมธ.ยกร่างฯขาดความรู้การบริหารตามมาตรฐานสากล ปฏิรูปการเมืองล้มเหลวครั้งแรก

ข้อสังเกต: 2 รัฐบาลชวน หลีกภัย โดยอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯดูแลสำนักงาน ก.พ. ตั้งคณะกรรมการปฏิรูประบบราชการ (ป.ร.ร.) โดยมีเลขาธิการชื่อ ดร.วรเดช จันทศร การปฏิรูปล้มเหลวโดยสิ้นเชิงระหว่าง พ.ศ. 2541 ถึง 2543 สาเหตุเพราะขาดความรู้เรื่องการบริหารคุณภาพ(TQM)ตามมาตรฐานสากลเช่นเดียวกับการปฏิรูปครั้งแรก

ข้อสังเกต: 3. รัฐบาลทักษิณชินวัตร 2544-2549 ตั้งคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ(ก.พ.ร.) เริ่มต้นก็ชี้ให้เห็นความล้มเหลวด้วย ก.พ.ร.เสนอโครงสร้าง Bureaucracy หลายลำดับชั้นตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2445 เพราะโครงสร้างของ TQM ซึ่งเป็นความสำเร็จเป็น"โครงสร้างตามระบบ"(Organization as a system) ทั้งนี้ เป็นเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และ ก.พ.ร. ทุกคนขาดความรู้การบริหารคุณภาพ TQM ตามมาตรฐานสากล

ข้อสังเกต: 4. รัฐบาลขิงแก่ของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุฬานนท์เล่นพวกเล่นพ้องตั้ง ตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติชุดขิงเน่าผ่าน พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2550 ที่มีโครงสร้างหลายชั้น(Multi-layered organization structure) ที่โลกเขาเลิกโครงสร้างชนิดนี้ไปตั้งแต่ พ.ศ. 2530 แล้ว โครงสร้างนี้นอกจากชี้ให้เห็นว่า ส.ส.ทุกคนล้าสมัยขาดความรู้ TQM ทุกคนแล้ว ยังตอกย้ำความล้มเหลวของการปฏิรูปการเมืองของไทยให้โลกรู้ด้วย

ข้อสังเกต: 5. รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ขาดความรู้ TQM, รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ขาดความรู้ TQM...การปฏิรูปการเมืองจึงล้มเหลวแน่นอน

ข้อสังเกต: 6. รัฐบาลอภิสิทธิ์ อ๊อกฟอร์ด น่าจะรู้แล้วว่า..ที่เคยล้มเหลวปฏิรูประบบราชการสมัยเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ เมื่อ พ.ศ.2541-2543 เป็นเพราะคณะกรรมการ ป.ร.ร.ขาดความรู้ TQM...แต่อภิสิทธิ์ก็ยังเลือกผู้ที่ขาดคุณสมบัติความรู้ TQM เข้ามาทำหน้าที่ปฏิรูปประเทศ ทั้ง คปร. คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป...ชี้ให้เห็นว่า อภืสิทธิ์ไม่ต้องการความสำเร็จของการปฏิรูปการเมือง เพราะท่านรู้ดีว่า TQM มี"ระบบ"ป้องกันการโกงชาติของรัฐบาลได้

ดังที่เขียนไว้ข้างต้น ความสำเร็จของการปฏิรูปการเมืองง่ายนิดเดียว..เพียงเปลี่ยน(Change)จากการบริหาร Bureaucracy ไปสู่การบริหารคุณภาพ TQM แค่นั้น ดังนั้น ความสำเร็จของปฏิรูปการเมืองนั้นไม่ยากถ้าได้ผู้มีคุณสมบัติความรู้การบริหารคุณภาพ TQM และจะง่ายมากเหมือนกินกล้วย...ถ้าได้ผู้มีความสามารถออกแบบระบบที่ดีได้ด้วย...และจะง่ายอย่างยิ่ง ถ้าได้นายกรัฐมนตรีที่มีความรู้ TQM และไม่แกล้งโง่.

TQM สร้างความสำเร็จให้การปฏิรูปการเมือง..ปฏิรูปการศึกษา และปฏิรูปแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมได้พร้อมๆกัน ด้วยเครื่องมือเหมือนกันคือ ผู้นำLeadership บริหารระบบให้เกิดผลงานประชาชนพอใจเท่านั้น ดังนั้น สามารถใช้เพียงทีมเดียวปฏิรูปทั้ง 3 ประเภทข้างต้นให้สำเร็จได้ไม่ยาก

ในทำนองเดียวกัน เราใช้ทีมปฏิรูปเพียงทีมเดียวปฏิรูปการบริหารของฝ่ายนิติบัญญัติ, การบริหารของรัฐบาลทุกกระทรวง และการบริหารกระบวนการยุติธรรมและตำรวจได้พร้อมๆกัน โดยจัดระบบให้ผู้นำของหน่วยงานดังกล่าวบริหารแค่นั้น.

การปฏิรูปประเทศทุกกระทรวงของรัฐบาล ปฏิรูปฝ่ายนิติบัญญัติและกระบวนการยุติธรรมควรมีผู้นำปฏิรูปเพียงหน่วยงานเดียวเป็นเอกภาพ...ขอให้ลืมการแยกหน่วยงานกันปฏิรูป เช่น ศธ.ปฏิรูปการศึกษา ก.พ.ร.ปฏิรูประบบราชการ กระทรวงเกษตรทำ GAP เป็นต้น เพราะนั่นคือการลองผิดลองถูก(Trial & Errors)ทำระบบเป็นเบี้ยหัวแตก มิใช่การปฏิรูปประเทศที่ถูกต้อง.

“พงษ์โพยม” แจง ไม่ต้องการให้ไทยเป็นสหพันธรัฐเหมือน มะกัน-มาเลย์



คปร.น้อมรับคำวิจารณ์สมาคมนักปกครองฯ ชี้ ทุกฝ่ายต้องช่วยกันวิจารณ์โมเดลปฏิรูป เพื่อพัฒนาอย่างยั่งยืนเช่นเดียวกับญี่ปุ่น ที่ท้องถิ่นเข้มแข็ง-ดูแลตนเองได้ ย้ำ ผู้ว่าฯ-กำนัน-ผู้ใหญ่บ้านไม่ถูกยุบ แค่ปรับบทบาทให้ทำงานคล่องขึ้น


เมื่อเร็วๆ นี้ นายพงษ์โพยม วาศภูติ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย และกรรมการปฏิรูป กล่าวถึงกรณีที่สมาคมนักปกครองแห่งประเทศไทยออกมาคัดค้านข้อเสนอปฏิรูปโครงสร้างอำนาจรัฐ ของคณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) เรื่องให้องค์กรปกครองท้องถิ่นจัดการและดูแลตนเองว่า ข้อคัดค้านของสมาคมนักปกครองแห่งประเทศไทยที่มีออกมานั้น คปร. น้อมรับคำวิจารณ์ดังกล่าว เนื่องจากข้อเสนอเป็นโมเดลที่ต้องการยื่นให้สังคม ไม่ว่าจะประชาชน พรรคการเมือง สื่อมวลชน ข้าราชการและทุกฝ่าย ช่วยกันคิดช่วยกันวิจารณ์ต่อว่า จะดำเนินการในรูปแบบใดถึงจะเกิดการพัฒนากับประเทศไทยอย่างแท้จริง การออกมาคัดค้านของสมาคมนักปกครองแห่งประเทศไทยครั้งนี้ จึงถือเป็นนิมิตหมายที่ดี ซึ่งสะท้อนว่า กำนัน ผู้ใหญ่บ้านสนใจในประเด็นเรื่องการปฏิรูปท้องถิ่นอย่างแท้จริง

“สำหรับข้อคัดค้านดังกล่าว คปร.จำเป็นจะต้องอธิบายในรายประเด็น ที่อาจมีความเข้าใจคลาดเคลื่อน เริ่มจากประเด็นแรกที่สมาคมนักปกครองมีความเป็นกังวลว่า การปฏิรูปครั้งนี้ จะทำให้การเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองจากรัฐเดี่ยวเป็นสหพันธรัฐนั้น คปร.ไม่ได้ต้องการให้ประเทศไทยเป็นเหมือนกับประเทศสหรัฐอเมริกา หรือประเทศมาเลเซีย แต่ต้องการให้ท้องถิ่นของเราเข้มแข็งและดูแลตัวเองได้เหมือนกับประเทศญี่ปุ่น ที่ท้องถิ่นสามารถดูและและจัดการตนเองได้ จนกระทั่งเกิดการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน”

กรรมการปฏิรูป กล่าวต่อว่า โมเดลที่ คปร. เสนอจึงเป็นการทำงานประสานกันระหว่างรัฐบาลกลางและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่าง อบจ. ไม่ได้เป็นเจ้านายของ อบต.หรือเทศบาล แต่ทุกฝ่ายจะต้องทำงานอย่างสอดประสานกัน

“คปร. ไมได้เสนอให้มีการยุบส่วนภูมิภาค แต่เสนอให้ส่วนภูมิภาคปรับรูปแบบการทำงานใหม่ ผู้ว่าราชการหรือกำนันผู้ใหญ่บ้านก็ยังมีอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ต้องปรับบทบาทของตนเอง ให้ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานระหว่างส่วนกลางกับส่วนท้องที่ ประสานงานระหว่างรัฐกับประชาชน เนื่องจากมองว่า หากข้าราชการทำให้ประชาชนทุกอย่าง ในที่สุด ประชาชนและประเทศชาติก็จะไม่เข้มแข็ง ดังนั้น ต้องฝึกให้ประชาชนดูแลตัวเอง ใช้อำนาจตัดสินชีวิตและความเป็นอยู่ในท้องถิ่นของตนเองซึ่งน่าจะเป็นสิ่งที่ดี สำหรับประชาชนและประเทศไทย” นายพงษ์โพยม กล่าว และว่า อยากให้ทุกฝ่ายที่เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกลับไปศึกษาข้อมูลที่ คปร.เสนอย่างละเอียด และจะเห็นชัดเจนว่า โมเดลต่างๆ ก็เพื่อต้องการเห็นบ้านเมือง เปลี่ยนแปลง พัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นและเข้มแข็งยิ่งขึ้น

กรรมการปฏิรูป กล่าวถึงข้อห่วงใยของสมาคมนักปกครองฯ เรื่องการสร้างอิทธิพลของ อปท. และการทุจริตคอรัปชั่นที่จะเพิ่มขึ้น หากมีการปฏิรูปการปกครองท้องถิ่นว่า เรื่องอิทธิพล การทุจริตคอรัปชั่นมีอยู่ในทุกที่ แต่มีกฎหมายหลายฉบับที่ใช้เอาผิดกับบุคคลที่สร้างอิทธิพลและทุจริต ไม่ว่าจะกฎหมายอั้งยี่ซ่องโจร กฎหมายของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ขณะเดียวกัน การปฏิรูปการปกครองท้องถิ่น จะยิ่งทำให้การตรวจสอบการทุจริตคอรัปชั่นง่ายขึ้น เนื่องจากมีกลไกของภาคประชาสังคม ในรูปแบบของคณะกรรมการเข้ามาตรวจสอบและยับยั้งคำสั่งที่ไม่ชอบธรรมของ อปท. ดังนั้น การกระทำที่ทุจริต จึงเป็นเรื่องน่ากลัว สำหรับการปกครองท้องที่รูปแบบใหม่ เนื่องจากการตรวจสอบของภาคประชาชนจะทำได้โดยง่าย ขณะที่ข้าราชการจะแข่งขันกันทำงานเพื่อท้องถิ่นมากขึ้น

นายพงษ์โพยม กล่าวอีกว่า ไม่ช้าหรือเร็วการเปลี่ยนแปลงการปกครองในท้องถิ่นของประเทศไทยจะต้องเกิดขึ้น เหมือนกับการมีลูกสาว ที่ต่อไปต้องแต่งงาน ไปอยู่กับสามี เราจึงต้องสอนให้ลูก รู้จักปรับตัวเข้ากับสามีและบ้านใหม่ให้ได้ โดยสิ่งใดที่ลูกยังทำไม่ได้ ก็ต้องบอก ต้องสอน ซึ่งหากทำดีที่สุดแล้ว แต่ยังไม่สามารถเข้ากับสามีหรือบ้านของสามีได้อีก ก็ต้องให้ลูกสาวเปลี่ยนสามี ซึ่งก็ไม่ต่างกับการปฏิรูปท้องถิ่น เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือ ทุกฝ่ายจะต้องช่วยกันประคับประคองลูกสาวหรือท้องถิ่น ให้พัฒนาในเร็ววัน เพื่อบ้านเมืองของเรา”

ปฏิรูประบบแรงงานไทย ลดเหลื่อมล้ำ สร้างเท่าเทียม"

ปัจจุบันจำนวนประชากรของประเทศไทยมีจำนวนทั้งสิ้น 69 ล้านคน แต่ประชากรที่ก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงานต่อปีมีเพียง 700,000 คนเท่านั้น ในขณะที่จำนวนผู้สูงวัยที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป กลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งในปีพ.ศ 2553 มีจำนวนผู้สูงอายุประมาณ 8 ล้านคน และมีการคาดการณ์กันว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าคือปี พ.ศ. 2558 จำนวนผู้สูงอายุจะเพิ่มเป็น 9.5 ล้านคน !!

ด้วยลักษณะของสัดส่วนประชากรของประเทศไทยที่ก้าวสู่สังคมผู้สูงวัยเช่นนี้ทำให้แรง งานหรือคนที่ทำงานได้ 1 คน ต้องเลี้ยงดู 2 คน คือเลี้ยงดูตัวเองและเลี้ยงดูคนอื่นอีก 1 คน ด้วยสภาพเศรษฐกิจและสภาพของสังคมในปัจจุบันทำให้แรงงาน 1 ชีวิตต้องใช้พละกำลังทุ่มเทในการทำงานอย่างหนักเพื่อเลี้ยงครอบครัวด้วยความยากลำบากยิ่ง

สิ่งที่น่าเป็นกังวลมากที่สุดคือประมาณร้อยละ 60 ของแรงงาน มีรายได้ประจำไม่ถึงเดือนละ 6,000 บาท แรงงาน 1 คนต้องทำงานวันละ 10-12 ชั่วโมง เพื่อให้มีรายได้จำนวนมากพอมาชดเชยค่าแรงขั้นต่ำที่ไม่พอเลี้ยงชีพ และส่งให้อีกหลายชีวิตที่รออยู่ที่บ้านในชนบท นี่คือภาพสะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นกับแรงงานไทยที่รัฐบาลใดก็ไม่เคยแก้ปัญหาได้อย่างเป็นรูป ธรรม !!

ณรงค์ เพ็รชประเสริฐ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในฐานะคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทย(คปร.) ได้เขียนบทความเรื่อง "การสร้างความเป็นธรรม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางด้านแรงงาน" เพื่อต้อนรับวันแรงงานไทยที่จะมาถึงในวัน 1 พ.ค. นี้ โดยในบทความชิ้นนี้ ได้มีการวิเคราะห์เจาะลึกถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับแรงงานไทยและได้นำเสนอทางออกในการแก้ปัญหาไว้อย่างน่าสนใจว่า "สังคมไทยเป็นสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำสูง ซึ่งความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยที่เห็นอย่างชัดเจนมี 5 มิติด้วยกันคือ มิติทางด้านรายได้ สิทธิ อำนาจ โอกาสและศักดิ์ศรี โดยเฉพาะแรงงานในประเทศไทยไม่เคยได้รับความเท่าเทียมใน 5 มิติที่ได้กล่าวมา ผมมองว่าแม้เรื่องเหล่านี้เราไม่สามารถทำให้เท่าเทียมกันทุกคนได้ แต่เราก็สามารถลดมันลงมาไม่ให้มันเหลื่อมล้ำกันมากเกินไป"

อย่างไรก็ตามอาจารย์ณรงค์ ยังมองมุมกว้างของปัญหาแรงงานในสังคมไทยว่า ระบบเศรษฐกิจแบบทวิลักษณ์ ที่นำโดยการค้าและการอุตสาหกรรมทำให้เกิดลักษณะ 1 ครัวเรือน 2 วิถียังชีพ คือคนรุ่นพ่อแม่ ปู่ย่าตายายยังคงอยู่ในภาคการเกษตร แต่เยาวชนคนหนุ่มสาว ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดอยู่ในภาคการค้าและอุตสาหกรรม ครัวเรือนของเกษตรกรส่วนใหญ่จึงพึ่งรายได้นอกภาคเกษตรมากกว่ารายได้จากภาคเกษตรกร ดังนั้นหากลูกจ้างมีรายได้เพิ่มมากขึ้น รายได้ของครอบครัวในภาคเกษตรก็มีโอกาสเพิ่มขึ้นด้วย

กรรมการปฏิรูปประเทศไทย(คปร.)ยังได้นำเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับแรงงานไทยในขณะนี้อย่างเป็นรูปธรรมว่า...

"ผมมองว่าแนวทางในการแก้ไขปัญหาของแรงงาน ที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้คือรัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องนำ 3 เรื่องนี้ไปปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อต้อนรับวันแรงงานที่กำลังจะมาถึงคือ การเพิ่มรายได้ เพิ่มผลิตภาพ และเพิ่มสวัสดิการ ให้กับแรงงาน ซึ่งการแก้ปัญหาต้องรวมถึงแรงงานยากจนต่าง ๆ ด้วย"

" ในส่วนของการเพิ่มรายได้นั้นผมมองว่าในปัจจุบันรายได้ขั้นต่ำของคนไทยได้เพียง 206 บาท ทำงาน 26 วันหยุดเสาร์ อาทิตย์คนงานก็จะมีเงินรายได้เพียงแค่ 5,356 บาทต่อเดือน ด้วยจำนวนค่าตอบแทนเพียงน้อยนิดเท่านี้ทำให้แรงงานจำนวนมากต้องทำงานล่วงเวลา เพื่อให้ได้เงินในจำนวนมากๆ มาเลี้ยงครอบครัวทำให้แรงงานหลายส่วนขาดโอกาสที่จะได้อยู่กับครอบครัวได้พักผ่อนซึ่งเป็นสิทธิและโอกาสขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ดังนั้นรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรต้องเพิ่มค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำเป็นวันละ 250 บาทเพื่อให้แรงงานเหล่านี้ได้ค่าจ้างเพื่อครอบครัวมนุษย์กลับคืนมา" อาจารย์ณรงค์กล่าว

กรรมการปฏิรูปประเทศไทยท่านนี้ ยังได้เสนอให้มีการเพิ่มค้าจ้างที่เป็นค่าตอบแทนทักษะและฝีมือ ของลูกจ้าง โดยลูกจ้างคนใด มีทักษะฝีมือที่สูงขึ้น เขาก็จะต้องได้รับค่าจ้างขั้นต่ำบวกกับค่าทักษะและค่าฝีมือของเขาด้วย พร้อมกันนี้นายจ้าง ควรจัดสวัสดิการขั้นพื้นฐานไว้คอยบริการแรงงานอาทิ การจัดบริการการศึกษาฟรี การสาธารณสุขฟรี ให้แก่บุตรธิดาของแรงงาน และการให้บริการหอพักให้แก่แรงงาน ก็จะช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายสำหรับแรงงานได้ และเพื่อเป็นการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมในส่วนของระบบประกันสังคมนั้นทุกอาชีพจะต้องเข้าสู่ระบบประกันสังคมได้หมดไม่ว่าจะเป็นลูกจ้าง เกษตรกร หรือ อาชีพอิสระ

ทั้งนี้หลายคนกล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นกับแรงงานไทยนั้น เกิดขึ้นจากการขาดอำนาจในการต่อรองเพื่อเพิ่มรายได้ หรือสวัสดิการของตนเอง เพราะถึงแม้ในรัฐธรรมนูญพ.ศ. 2550 มาตรา 64 จะส่งเสริมให้มีการจัดตั้งสมาคม,สหภาพ,สหพันธ์ และ สหกรณ์ แต่ในทางปฏิบัติ ก็ยังไม่สามารถดำเนินการให้คืบหน้าได้ในสังคมไทย อาจารย์ณรงค์ จึงได้เสนอแนวทางแก้ไขในประเด็นนี้อย่างชัดเจนด้วยว่า "หากแรงงานมีอำนาจที่จะใช้ต่อรองกับนายจ้างหรือกับรัฐบาล จะทำให้การเพิ่มค่าจ้างและสวัสดิการต่างๆ เป็นจริงได้ ดังนั้นรัฐ เองจะต้องให้สนับสนุนและให้เสรีภาพในการรวมตัวของคนงานกลุ่มต่างๆ และควรปฏิรูปรูประบบการออกเสียงเลือกตั้งส.ส. , ส.ว. , อบต. ,อบจ. ,สก. และ สข. โดยให้ลูกจ้างที่ทำงานในพื้นที่ใดๆ ในจังหวัดใดๆ ที่มีเวลาการทำงานนานตั้งแต่ 3 ปี ขึ้นไป ให้มีสิทธิเลือกตั้งและรับเลือกตั้งตัวแทนของเขตพื้นที่นั้นๆ ได้เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกจ้างเลือกตัวแทนของตน ที่เป็นตัวแทนในเขตพื้นที่ที่ทำงานอยู่ และเปิดโอกาสให้ผู้นำของลูกจ้างลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นตัวแทนของเขตพื้นที่นั้นๆ ได้ด้วยเช่นกัน"

นอกจากประเด็นเรื่องการปฏิรูปอำนาจ ในการต่อรองแล้วนั้น กรรมการปฏิรูปประเทศไทยท่านนี้ ยังได้เสนอทางออกเพิ่มเติมในการจัดตั้ง"ธนาคารแรงงาน" เพื่อแก้ปัญหาการเงิน ให้กับแรงงานอย่างเป็นระบบว่า "รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้มีการจัดตั้งธนาคารแรงงาน เพื่อเป็นแหล่งทุน กู้ยืมดอกเบี้ยต่ำ บรรเทาภาระหนี้สินนอกระบบ ที่มีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 10 - 20 ต่อเดือน โดยให้รัฐขายพันธบัตรให้แก่กองทุนประกันสังคม แล้วนำมาให้แรงงานกู้ผ่านธนาคารของรัฐ ลูกจ้างสามารถกู้ได้ในวงเงินเป็น 2 เท่าของเงินเดือน แต่ไม่เกิน 15,000 บาท ผ่อนส่ง 3 ปี แต่ผู้กู้ทุกคนต้องหักเงิน 10% จากวงเงินกู้ ฝากประจำไว้กับธนาคาร เพื่อเป็นการบังคับออม ด้านหนึ่งเป็นเงินประกันหนี้เบื้องต้น อีกด้านหนึ่งที่สำคัญ เมื่อผู้กู้ชำระหนี้หมดแล้ว เงินที่ฝากประจำไว้นี้ จะนำไปจัดตั้งธนาคารของแรงงานเอง โดยมีแรงงานเป็นเจ้าของที่แท้จริง" อ.ณรงค์กล่าวทิ้งท้าย

หากข้อเสนอเหล่านี้ได้ถูกนำไปสานต่อ และปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมจากหน่วยงานที่เกี่ยว ข้อง อนาคตของแรงงานไทยคงจะพัฒนาได้อย่างมีเกียรติและมีศักดิ์ศรีและมีความเท่าเทียมกับชนชั้นอื่นๆ ในสังคม และท้ายที่สุดวาทกรรม โง่-จน-เจ็บ ก็จะไม่ถูกหยิบลงมาเพื่อสร้างความเจ็บปวดให้กับชนชั้นแรงงานไทยอีกต่อไป
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง