บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

'สัมปทาน'ใครรับประทาน?


'สัมปทาน'ใครรับประทาน? : ต่อปากต่อคำ โดย ดร.อมร วาณิชวิวัฒน์ a.wanichwiwatana@gmail.com /twitter@DoctorAmorn
พอพูดเรื่องสัมปทานเป็นต้องได้กลิ่นหรือมีเรื่องคาวๆ เกี่ยวกับการฉ้อราษฎร์บังหลวงกล่าวหากันออกมาอยู่ร่ำไป โดยเฉพาะสัมปทานหรือการได้ถือสิทธิครอบครองเก็บกินผลประโยชน์ระยะยาวในหลายโครงการทั้งในน้ำบนดินและเหนือน่านฟ้า ขนาด “คลื่นที่มองไม่เห็น” เรายังเอามาแสวงหากำรี้กำไรร่ำรวยกันไม่รู้เรื่อง

ตั้งแต่ต้นสัปดาห์ได้ยิน “นักการเมืองสองฟากฝั่งทั้งพรรครัฐบาลและฝ่ายค้าน” ออกมาโจมตีชี้ถูกผิดไปตามจุดยืนที่ตัวเองสังกัด พูดกันไปถึงเรื่องอำนาจ จรรยาบรรณ หน้าที่ความรับผิดชอบต่อกรณีการต่ออายุสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าลอยฟ้า (บีทีเอส) ออกไปอีกยาวนานร่วมๆ 30 ปี เรียกว่า คนที่ผลักดัน นับถึงวันท้ายสุดของสัญญา ยังไม่ค่อยแน่ใจจะเหลือรอดอยู่ถึงวันนั้นกันกี่คน แต่เรื่องนี้ถูกนำไปเป็นเรื่องของ “ศักดิ์ศรี ทีใครทีมัน”

มีทั้งวิจารณ์ไปถึงเรื่องตลาดนัดสวนจตุจักรที่เดิมอยู่ในความดูแลของ “กทม.” ถึงค่าเช่าจะถูกแสนถูก ก็ยังมีคนนินทาว่าร้ายกล่าวหาไป มีทั้งที่บอกว่าถูกเพราะทุกฝ่ายสมประโยชน์แต่ราคาจริงที่จ่ายนั้นแพงลิบลิ่ว เรื่องนี้เท็จจริงเช่นไรก็ไม่เห็นมีใครเอาหลักฐานมาโชว์หรือยืนยันให้เห็นดำเห็นแดง พอมาถึงเรื่องสัมปทานเลยทำให้ คนชอบนินทาได้นินทาต่อไปอีกว่า เป็นการ “เอาคืน” ของทาง กทม. ที่ต้องปล่อยทำเลทองซึ่งอุ้มชูดูแลมาหลายสิบปีคืนกลับให้การรถไฟฯ โดย กทม. ก็ยืนยันว่าที่รีบต่อสัญญานั้นไม่ผิดกฎกติกามารยาท แต่ต้องทำก็เพราะกลัวนักการเมืองจะมาฮุบเอาผลประโยชน์มหาศาลไปเป็นของตัว

ของแบบนี้ ได้ยินมาแบบนี้ เราเป็นชาวบ้านนั่งอ่านข่าว ฟังเขาพูดคนละทีสองที ใครพูดเก่งมีวาจาน่าเชื่อถือก็อาจหลงเชื่อไปครึ่งหนึ่ง แต่ผลประโยชน์ของบ้านเมืองจะมาอาศัยเพียง “ลมปากคน” พูดกรอกใส่หูให้เราเชื่อง่ายๆ ก็ดูไม่ต่างกับ “การเป็นพวกหูเบา ตื่นตูมเหมือนกระต่ายในนิทานอีสปอย่างไรอย่างนั้น” จึงจำเป็นต้องตั้งสติคิดให้รอบคอบว่า เรื่องที่เกิดขึ้นจะตรงไปตรงมาไม่มีนอกในหรือคดเคี้ยวเลี้ยวลดลงเหวไปถึงไหน

ตาม พรบ.ร่วมทุนรัฐเอกชน ถ้าจะถือเอาเกณฑ์ที่สำนักงานอัยการสูงสุดตีความกรณี กสท กับ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น ในการดำเนินกิจการสามจี ซึ่งชี้แจงว่าไม่ถือเป็นการเข้าข่ายข้อกฎหมายร่วมทุน เพราะมิใช่เป็นการนำเอาทรัพย์สินของทางราชการหรือหน่วยงานของรัฐไปหาประโยชน์ เนื่องด้วย กสท ในสถานะปัจจุบันกลายสภาพเป็นคู่แข่งขันทางธุรกิจเช่นเดียวกับเอกชนรายอื่นๆ ที่ได้รับจัดสรรคลื่นความถี่มาจาก กสทช ต่างจากในอดีตที่เป็นผู้เอาคลื่นมาจัดสรรเองได้

ถ้าจะนำเอากรณีนี้มาเทียบเคียงก็อาจมองได้ว่าในแง่ของกฎหมาย ทาง กทม. จะอ้างเป็นเจ้าของที่ดินสิ่งปลูกสร้างที่วางรางให้รถไฟวิ่งคงฟังไม่ขึ้น แต่เนื่องด้วยที่ดินทั้งหมดเป็นทางสาธารณะ (สมบัติของแผ่นดิน) วิเคราะห์ตามเจตนารมณ์ของ พรบ.ร่วมทุนจะพบว่าต้องการให้การลงทุนในโครงการขนาดใหญ่มีความโปร่งใส ให้มีคณะกรรมการเข้ามากำกับดูแล แต่ที่ผ่านๆ มามีทั้งบทวิเคราะห์และข้อมูลที่สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามหลีกเลี่ยงการเข้าสู่การบังคับใช้กฎหมาย พรบ.ร่วมทุนนี้กันของหลายหน่วยงานทางราชการ


ทำให้โดยส่วนตัวมีใจโน้มเอียงไปทางเห็นว่า การดำเนินการในการต่ออายุสัมปทานของ กทม. กับทางบีทีเอสนั้นน่าจะเข้าข่าย พรบ.ดังกล่าวนี้ แม้การทำสัญญาจะไม่ใช่ทาง กทม.กระทำโดยตรง แต่ก็ต้องตั้งคำถามว่า “ตัวแทน” ซึ่งเข้าไปเชื่อมต่อในการขยายอายุสัญญาสัมปทานนั้น ได้รับมอบหมายอำนาจมาจากผู้ใดหรือหน่วยงานใด ซึ่งใครผิดถูกอย่างไร ทำได้หรือไม่ ตรงนี้เป็นมุมมองทางวิชาการ ส่วนตัวคงต้องอาศัยนักกฎหมายผู้เชี่ยวชาญชี้ชัดลงไป ผมเข้าใจว่าในทางการเมือง ทางซีกรัฐบาลกำลังเดินหน้าให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตีความและเห็นว่าจะเอาผิดกันถึงเรื่อง “กฎหมายฮั้ว” และให้ ปปช. พิจารณาความโปร่งใสต่างๆ พวกเราในฐานะประชาชนก็อยากเห็น “การทำความจริงให้ปรากฏ” ว่าเรื่องสำคัญและมีเม็ดเงินมหาศาลขนาดนี้จะจบลงแบบที่ผ่านๆ มาหรือไม่ เมื่อผลประโยชน์ลงตัว ก็ซุกปัญหาเอาไว้ ทำลืมๆ กันไปเหมือนเคย ใครผิดใครถูกใครพูดจริงใครพูดโกหก เราเองก็อยากรู้เหมือนกัน

โลก..มันล้อมประเทศกันเช่นไร? โดยว.ร.ฤทธาคนี


โดย ดร.ไก่ Tanond

ในบรรดาสาวกทักษิณ ที่เคยเป็นนักคิดตามลัทธิเหมา เจ๋อตง - เลนินในพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ก็สามารถประยุกต์ตำราพิชัยสงครามของเหมา เจ๋อตุงได้ไม่ยากนัก มีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งชื่อว่า “สารนิพนธ์การทหารเหมา เจ๋อตง ศาสตร์ใหม่การบริหารท่ามกลางความขัดแย้ง” โดยมี ประพต เศรษฐกานนท์ เป็นบรรณาธิการ ซึ่งพิมพ์ที่สำนักงานศรีธัญญา

เนื้อหาในหนังสือใช้เป็นหนังสือที่พรรณนาถึงประวัติการทำสงคราม ปฏิวัติจีนของเหมา เจ๋อตง สงครามปฏิวัติในยุค ค.ศ. 1917-1960 จะมีลักษณะเด่นชัดในเรื่องการใช้กำลังอาวุธยึดอำนาจรัฐจนคัมภีร์แดงของเหมา เจ๋อตงพูดไว้ว่า “อำนาจมาจากกระบอกปืน” แต่ลักษณะการใช้กำลังอาวุธของการปฏิวัติรัสเซีย 1917 นั้น ต่างจากสงครามปฏิวัติจีน 1928

การปฏิวัติรัสเซีย 1917 นั้น มีลักษณะ “บัวตูมบัวบานจากในเมือง” อันหมายถึงการสร้างมวลชนระดับล่างชนบทแล้วนำเข้าสู่ตัวเมือง ก่อการปลุกระดม ป่วนเมือง และจัดการขั้นเด็ดขาดด้วยสงครามก่อการร้าย ที่มุ่งทำลายรัฐ แนวร่วมรัฐ และโครงสร้างของสังคม โดยเน้นที่สงครามจิตวิทยา ให้ประชาชนตกอยู่ในภาวการณ์หวาดกลัว ไม่สามารถที่จะดำรงชีพได้อย่างปกติสุข

การปฏิวัติจีน 1928 นั้น เป็นการสร้างแนวมวลชน กำลังทหารปลดแอกติดอาวุธ และสงครามจิตวิทยาจากชนบทแล้วล้อมเมือง สร้างความระแวง ความหวาดกลัว และความไม่มั่นคงในการดำรงชีวิตปกติ จนในที่สุดเมืองอ่อนแอทุกมิติ ข้าราชการแปรพักตร์ ชนชั้นกลางเข้าเป็นพวก นักธุรกิจระดับกลางและล่างสนับสนุนการปฏิบัติ ส่วนข้าราชการระดับสูง นักธุรกิจระดับสูง และชนชั้นสูงจะหนีออกจากเมือง ซึ่งทฤษฎีเหมา เจ๋อตงเรียกว่า ยุทธศาสตร์ “ป่าล้อมเมือง”

ตามนัยเรียกยุทธศาสตร์การสร้างแนวสังคม “การเมืองชนบทก่อนเมืองทีหลัง” ดังนั้น จึงเป็นการล้อมเมืองที่แนบเนียนและสูญเสียน้อย หากไม่สำเร็จในระยะสั้น ก็สร้างสงครามยืดเยื้อ ซึ่งสัมฤทธิผลเป็นอย่างดีที่กองทัพปลดแอกประชาชนจีน มีชัยชนะกองทัพเจียงไคเช็คเป็นขั้นเป็นตอน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1938

หลักความยืดหยุ่นในสงครามปฏิวัติจีน เป็นหลักการที่ได้ผลมาก เพราะสงครามปฏิวัติจีน โดยเหมา เจ๋อตงนั้น มีลักษณะ “ลูกล่อลูกชน” หากพ่ายแพ้ก็ถอนตัวออกจากแนวปิดล้อมเมือง ถ้าได้เปรียบก็จะกระชับวงล้อมให้แคบเข้า ด้วยการสร้างแนวร่วมสงครามปฏิวัติทุกระดับสังคม จากระดับล่างถึงระดับสูง และลักษณะความยืดหยุ่นนั้นจะผ่านชนชั้นกลางทุกครั้งที่มีการรุกหรือการถอย ทางการเมือง และในปัจจุบันสังคมไทยก็เกิดชนชั้นกลางมากขึ้นกว่ายุค พ.ศ. 2500 โดยเฉพาะนักการเมืองท้องถิ่น นักวิชาการ และนักธุรกิจ SME จึงเหมาะสมในการทำการปฏิวัติทางการเมือง

หลังจากที่ทักษิณถูกคณะทหารกระทำรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 ด้วยมีสาเหตุเป็นภัยสังคม และบ่อนทำลายชาติหลายกรณี เช่น การทุจริตคอร์รัปชัน การใช้อำนาจเผด็จการทางการเมือง การจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ การส่งเสริมให้มีการจาบจ้วงสถาบัน และการสร้างมวลชนให้ต่อสู้กับมวลชนเพื่อชัยชนะทางการเมือง การเอาเปรียบทางการเมือง และการใช้เงินซื้อพรรคการเมือง เช่น ศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาให้พรรคไทยรักไทยมีความผิด ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตัดสินจำคุก 2 ปี และหนีความผิดไปอยู่ต่างประเทศ

ถูกศาลฎีกาที่มีองค์ประกอบผู้พิพากษา 9 คน ตัดสินยึดทรัพย์จำนวน 46,373 ล้านบาท ซึ่งผ่านกระบวนการยุติธรรมที่ซับซ้อน ทั้งถูกกดดันด้วยอำนาจเงินและมวลชนเสื้อแดง ต่างกับการยึดทรัพย์จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในปี พ.ศ. 2507 โดยรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร ตาม ม.17 และการยึดทรัพย์ของจอมพลถนอม กิตติขจร จอมพลประภาส จารุเสถียร และ พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร โดยรัฐบาลนายสัญญา ธรรมศักดิ์ ในปี พ.ศ. 2516 ตาม ม.21 ซึ่งไม่มีแรงกดดัน การดำเนินคดีมีลักษณะเชิงพฤตินัยมากกว่านิตินัยเสียด้วยซ้ำ ขณะที่คณะตุลาการศาลฎีกาพิพากษาคดีของทักษิณนั้น เป็นการพิจารณาเชิงนิตินัยละเอียดล้วนๆ

หลังจากที่ทักษิณถูกรัฐประหารโค่นอำนาจ ก็วางแผนยุทธศาสตร์สำคัญหลายประการ และสัมฤทธิผลเกือบทุกประการ ยกเว้นการปฏิวัติประชาชน พ.ศ. 2551, 2552 และ 2553 ที่ไม่สามารถใช้การปฏิวัติประชาชนเอาชนะรัฐบาลฝ่ายตรงข้าม ได้อำนาจรัฐอย่างเด็ดขาด แต่แผนรองรับคือการสร้างพรรคการเมืองที่มีฐานเสียงจากมวลชนระดับล่างเป็น หลัก ได้อำนาจรัฐผ่านระบบการเลือกตั้งจากการชนะการเลือกตั้ง พ.ศ. 2554 เพราะความสับสนทางการเมือง และการแตกแยกของพรรคการเมืองใหม่ จึงสามารถสร้างนายกรัฐมนตรีหุ่นได้อย่างสมบูรณ์แบบ

แต่ยุทธศาสตร์ “โลกล้อมเมือง” นั้น เป็นมหายุทธศาสตร์ที่ต้องใช้ต้นทุนสูง แต่ผลลัพธ์นั้นได้มหาศาล ยุทธศาสตร์นี้เห็นได้จากการที่ทักษิณตระเวนไปตามประเทศต่างๆ รอบโลก โดยใช้โครงการธุรกิจเป็นกลไกเชื่อมสัมพันธ์ เพราะตัวเองไม่มีตำแหน่งทางการเมือง ซ้ำยังเป็นนักโทษต้องคดีทุจริตคอร์รัปชัน

กลไกหลักเกิดจากการที่ทักษิณได้ว่าจ้างบริษัทล็อบบี้สหรัฐฯ ที่มีความชำนาญทางการเมือง การทูต และการโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อประโยชน์ทางการเมือง The Hill ออนไลน์ โดยนายเควิน โบการ์คัส ได้เขียนบทความเมื่อ 2 ปีที่แล้วว่า “ทักษิณได้ว่าจ้างบริษัทล็อบบี้ และสำนักกฎหมาย 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท เบอร์เกอร์ กริฟฟิช แอนด์ โรเจอร์ บรัทโคเบอร์ แอนด์ คิม และบริษัท อัมสเตอร์ดัม แอนด์ เพอร์รอฟฟ์ ที่โด่งดังเข้ามารวบรวมข้อมูลเหตุการณ์เสื้อแดงหฤโหดพฤษภาคม พ.ศ. 2553 และสรุปว่าทหารทำร้ายเสื้อแดง

นายเควิน โบการ์คัส ได้รายงานว่า "มีบุคคลที่ใกล้ชิดกับทักษิณ และมีสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับข้าราชการในรัฐบาลอภิสิทธิ์ สนับสนุนเงินในการยึดครองราชประสงค์ ขณะที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ ดำเนินการจับกุมผู้กระทำผิดด้วยข้อหาการก่อการร้าย แต่ผู้ต้องหาทั้งหมดปฏิเสธ” “แม้ว่าทักษิณยังคงหนีโทษอาชญากรรมทุจริต แต่เขายังคงทรงอิทธิพลทางการเมือง และการเงินในวงการเมืองของไทย” “สัญญาที่ทักษิณกระทำกับบริษัทล็อบบี้และสำนักงานกฎหมายอเมริกัน มีวัตถุประสงค์หลัก คือ การรักษาสัมพันธ์กับกลุ่มนักการทูต และนักการเมืองอเมริกัน ด้วยคาดหวังให้เกิดอิทธิพลกดดันการเมืองภายในประเทศไทย”

ดังนั้น เบอร์เกอร์ กริฟฟิช แอนด์ โรเจอร์ จึงดำเนินการตามสัญญาระหว่างทักษิณกับบริษัทนี้ ดังนี้ “ให้คำปรึกษาและข้อมูลเกี่ยวกับทักษิณ ให้กับผู้บริหารในรัฐบาลสหรัฐฯ และวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ เพื่อสร้างนโยบายสนับสนุนทักษิณเพื่อการพัฒนา และส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย”

ผู้รับผิดชอบโครงการนี้ คือ นายสตีเฟน เมคเกอร์ อดีตผู้อำนวยการด้านความมั่นคงของวุฒิสมาชิกเสียงข้างมากพรรครีพับลิกัน นายบิล ฟริสต์ และอีกหลายคน รวมทั้งนางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ขณะเป็นวุฒิสมาชิกรัฐสภานิวยอร์ก พรรคเดโมแครต

ส่วนสำนักกฎหมายอัมสเตอร์ดัม แอนด์ เพอร์รอฟฟ์ และโคเบอร์ แอนด์ คิม มีหน้าที่แนะนำหาช่องทางให้ทักษิณเข้าถึงวุฒิสมาชิกในรัฐสภาสหรัฐฯ และผู้นำประเทศต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับความสามารถทางธุรกิจและอิทธิพล ทางการเมืองของทักษิณ

ส่วนยุทธศาสตร์ที่สำคัญยิ่ง เมื่อบริษัทล็อบบี้ได้จัดการให้นายโคฟี อันนัน อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ และนายมาร์ตติ อะห์ติซาริ อดีตประธานาธิบดีฟินแลนด์ ซึ่งทั้งสองคนได้รับรางวัลโนเบล มีมูลนิธิในเรื่องมนุษยธรรม ซึ่งเป็นองค์กรที่ต้องการเงินทุนสูง

ความคาดหวังของบริษัทล็อบบี้ที่ทักษิณว่าจ้างนั้น มีวัตถุประสงค์ที่จะกดดันให้ประเทศไทยยอมรับหลักการปรองดองที่ทักษิณและ รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังดำเนินกลยุทธ์อยู่

โดยเบื้องต้นนั้น นายโคฟี อันนัน ขอเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ แทน ที่วังสระปทุม เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 โดยหวังสร้างภาพการนำเสนอหลักการปรองดองของนายโคฟี อันนัน ซึ่งบริษัทล็อบบี้และทักษิณหวังจะได้ประโยชน์จากการเข้าเฝ้าฯ ครั้งนี้แต่ผิดหวัง

อย่างไรก็ดี นายโคฟี อันนัน มิได้เป็นบุคคลสมบูรณ์แบบ มีจุดด่างกรณีการสังหารฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดา โดยคนเผ่าทุตซี 800,000 คน ถูกฆ่าตาย เพราะนายโคฟี อันนัน ไม่ได้อนุมัติส่งกำลังทหารสหประชาชาติไปช่วย ตามคำร้องขอของนายพลโรมิโอ คัลแลร์ แห่งกองทัพบกแคนาดา ซึ่งเป็น ผบ.กองกำลังสหประชาชาติขณะนั้น ซึ่งเขียนหนังสือเรื่อง “Shake Hands With Devil : The Failure of Humanity” เน้นเรื่องนายโคฟี อันนัน ปฏิเสธที่จะส่งทหารไปช่วยชีวิตคน 800,000 คน

นอกจากนั้น ลูกชายนายโคฟี อันนัน ถูกกล่าวหาว่าทุจริตโครงการ “น้ำมันและอาหาร” แต่พ้นผิดโดยมีนายซีเจน ชาวไซปรัสรับผิดแทน

ทุกอย่างจึงเป็นการสร้างภาพ เพื่อยุทธศาสตร์พลิกผันชาติให้เป็นไปตามความต้องการของทักษิณและพรรคพวก อนาธิปไตย โดยเฉพาะการที่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง