โดย...ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย/ชัยรัตน์ พัชรไตรรัตน์
กระแสคัดค้านรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เริ่มมีให้เห็นเป็นระยะนับตั้งแต่ทำงานครบ 1 ปี โดยเฉพาะนโยบายประชานิยมที่เริ่มพ่นพิษ กระทั่งถึงจุดที่เกิดแรงต้านนอกสภาจากการประกาศชุมนุมขับไล่รัฐบาลของ “กลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม”
มีคำถามตามมามากถึง “เสธ.อ้าย” พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์การพิทักษ์สยาม ถึงเหตุผลในการชุมนุมวันอาทิตย์ที่ 28 ต.ค. ที่สนามม้านางเลิ้ง ท่ามกลางความแคลงใจว่าทหารเก่าผู้เคยเป็นกบฏ 26 มี.ค. 2520 ร่วมกับ พล.อ.ฉลาด หิรัญศิริ กำลังเปิดประตูสู่การรัฐประหารหรือไม่
“คงไม่มีเวลาไหนเหมาะสมกว่าตอนนี้อีกแล้ว ยิ่งนานไปรัฐบาลยิ่งทำไม่ดีมากขึ้นๆ จนชาวบ้านเขาชินชา แต่อย่างว่าทุกอย่างจะเอาเร็วไม่ได้ ต้องมีปัจจัยหลายอย่างนะ” เหตุผลแรกจากปากนายทหารใหญ่ที่ให้ไว้กับโพสต์ทูเดย์
เสธ.อ้าย เล่าถึงการมาเป็นผู้นำองค์การพิทักษ์สยามว่า มาจาก นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำกลุ่มหลากสี พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม สว.สรรหา พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ อดีตรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด วรินทร์ เทียมจรัส อดีต สว. อาจารย์ปราโมทย์ นาครทรรพ พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ อดีตประธานที่ปรึกษากองบัญชาการกองทัพไทย และคนอื่นๆ อีก มาคุยกันที่ราชตฤณมัยสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์
“พวกเขาไม่มีคนนำ เขาเลยขอให้ผมนำ ผมไม่รู้เหมือนกันนะว่าทำไมต้องเป็นผม แต่พวกเขาบอกว่าเขาขาดแคลนคนนำประเทศไทย
...ผมถามกลับไปยังที่ประชุมว่า ผมบารมีถึงหรือไม่ มีความรู้ความสามารถหรือเปล่า มีประโยชน์ต่อกลุ่มหรือไม่ และคำตอบที่ได้รับคือ มี จึงตอบกลับไปตรงๆ ว่า ผมรับ เลยเป็นที่มาและกำเนิดกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม”
จัดตั้งองค์การเพื่อล้มรัฐบาลนี้โดยเฉพาะ?
เสธ.อ้าย ยืนยันเสียงแข็งว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ว่าตอนเริ่มตั้งกลุ่มก็เพื่อเดินสายทำบุญประเทศ แต่หลังมาเห็นการทำงานของรัฐบาลชุดนี้ว่าไม่ไหวจริงๆ จึงมาคิดกันต่อว่าจะทำอย่างไรเป็นที่มาของการชุมนุมครั้งนี้”
“การชุมนุมก็เพื่อนำเสนอข้อมูล 3 เรื่อง คือ 1.การปล่อยให้มีการพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์ 2.รัฐบาลบริหารประเทศไร้ประสิทธิภาพ และ 3.เกิดการทุจริตคอร์รัปชัน ที่นำโดย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถือเป็นหุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร 3.การบริหารงานของรัฐบาลไร้ประสิทธิภาพ”
ประเด็นไหนที่มองว่ารัฐบาลไปต่อไม่ได้แล้ว?
“ผมว่าคอร์รัปชันก็เป็นมะเร็งร้ายนะสำหรับผมในฐานะนายทหารมหาดเล็กนะ ผมว่าเรื่องจาบจ้วงผมทนไม่ได้ ผมมันอาจจะคนรุ่นเก่า แต่เป็นคนมีความกตัญญูรู้คุณต่อพระองค์ผู้ทรงคุณประเสริฐกับแผ่นดิน พระเจ้าอยู่หัวไม่เคยทำอะไรให้ราษฎรเดือดร้อนเลยนะ มีแต่ดูทุกข์สุขของประชาชน สร้างโน่นสร้างนี่ไปเยี่ยมเยียนราษฎรทุกหย่อมหญ้า ทุกอำเภอ ทุกตำบล โดยทรงไม่เห็นแก่ความยากลำบาก คิดโครงการต่างๆ ที่ดี โครงการน้ำ โครงการป่า โครงการเกษตร เยอะแยะไปหมด”
ด้านหนึ่ง พล.อ.บุญเลิศ ยอมรับถึงการเคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาลว่า มีความยากลำบากและเหนื่อยมาก การเรียกคนเพื่อมาชุมนุมไม่ใช่ง่ายๆ กว่าจะติด วันที่ 28 ต.ค. จึงมีความสำคัญมาก ถ้ามวลชนมาน้อยทุกอย่างก็จบ แต่ถ้าคนไม่เยอะแล้วเราจะบอกรัฐบาลได้อย่างไรว่ามีคนไม่ชอบท่าน
“ถ้าวันที่ 28 จุดไม่ติดผมก็เลิก ภาษามวยเขาเรียกว่าไม่มีราคา ขายไม่ได้เน่าแล้ว ของค้างคืนไม่น่าจะได้ จบเลยไม่มีราคาจะไปเดินเกมทำไม ขนาดสื่อมวลชนช่วยกันขนาดนี้ยังไม่มีคนมาจะไปเดินอะไรก็ต้องจบ”
จะไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างไร?
“ลำบากดิ ถ้าง่ายเขาก็ไล่กันไปหมด 15 ล้านเสียงของเขามันเป็นสัญลักษณ์เท่านั้น ไม่รู้ว่าเลือกตั้งพวกท่านเปลี่ยนหีบมาหรือเปล่า ไปบีบบังคับราษฎรหรือเปล่า หรือท่านทำประชานิยมเขาชอบหรือเปล่า”
เมื่อถามถึงโมเดลข้อเสนอการแก้ไขปัญหาประเทศภายใต้สมมติฐานว่าไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์สำเร็จ เสธ.อ้าย ตอบว่า “เราก็จะมีคณะบุคคลขึ้นมาดูแล เหมือนเล่นบาสเกตบอล ถ้าทีมเกิดเพลี่ยงพล้ำก็ขอเวลานอกให้เอ็งหยุดเล่นกันสักพักได้ไหม 2-3 นาที ถ้าเป็นเวลาทางการเมืองก็อาจเป็น 1 ปี 2 ปี 3 ปี 5 ปีแล้วจากนั้นมาเลือกตั้งกันใหม่
...ถ้าปีเดียวแบบตอนปี 2549 ก็เจ๊งกันพอดี เดี๋ยวเขาก็แค่ไปหลบเดี๋ยวค่อยมาใหม่ ระยะเวลาประมาณนี้ก็ถือว่าไม่มากไปไม่น้อยไป แต่เราต้องทำให้แข็งแรง”
แช่แข็งประเทศไทย?
“ถูก...หยุดและให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้”
ซักไปว่า คณะบุคคลที่ว่ามานี้หมายถึงรัฐบาลแห่งชาติใช่หรือไม่ แล้วจะมีที่มาอย่างไร เสธ.อ้าย บอกว่า ก็แล้วแต่จะเรียก แต่ไม่ให้นักการเมืองเข้ามาดูแลบ้านเมือง เพราะลองนึกดูมีนักการเมืองคนไหนทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศบ้าง
“พูดง่ายๆ ก็เหมือนเป็นคณะปฏิวัติ แต่ปฏิวัติโดยประชาชนแทนที่จะเอาปืนไปจี้ให้เขาลงมาจากตำแหน่งแต่เป็นการเอาเป็นล้านไปบีบให้ลง ส่วนที่มาของคณะบุคคลก็อาจให้องค์กรวิชาชีพไปเลือกกัน เช่น ด้านสื่อมวลชนไปเลือกกันมา ด้านสาธารณสุขไปเลือกกันมา ด้านความมั่นคงไปเลือกกันมา เสนอชื่อกันเข้ามา เป็นต้น คณะบุคคลต้องมีจำนวนพอสมควร แต่ต้องไม่มากเกินไป ไม่งั้นมากหมอก็มากความ”
การสนทนาในประเด็นนี้เป็นไปอย่างเข้มข้น พล.อ.บุญเลิศ เล่าต่อถึงภารกิจ 4 ข้อที่คณะบุคคลต้องทำภายใน 5 ปี ระหว่างมีอำนาจ คือ 1.การแก้รัฐธรรมนูญ 2.การเพิ่มการศึกษา 3.การเพิ่มความรู้ให้กับประชาชนเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และ 4.นำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ กลับประเทศไทย เพื่อรับโทษตามกฎหมาย
เสธ.อ้าย อธิบายรายละเอียดแต่ละภารกิจว่า “อย่างรัฐธรรมนูญที่มีตั้ง 309 มาตรา ต้องทำให้มีมาตราน้อยๆ แต่ต้องชัดเจนและไปออกกฎหมายลูกแทน แต่ที่สำคัญต้องแก้เพื่อดูแลประชาชนให้ทั่วถึงสำคัญที่สุด
...จากนั้นต้องให้การศึกษาคนมากขึ้น และให้มีจรรยาบรรณ ศีลธรรม อบรมให้คนรู้จักผิดรู้จักถูก เพราะทุกวันนี้คนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีโดยเฉพาะนักการเมือง เพราะการเมืองปัจจุบัน คือ การใช้เงินไปเลือกตั้ง ท่านทราบไหม คนกว่าจะเป็นผู้แทนราษฎรจะต้องใช้เงินเท่าไร แค่ 20 ล้านบาทก็ลำบากแล้ว แล้วเขาจะเอาจากไหน เขาก็เอามาจากการทุจริต มันก็วนเวียนอยู่อย่างนี้ ส่วนการอบรมให้ความรู้ความเข้าใจสถาบันพระมหากษัตริย์มากขึ้น อาจถึงขั้นจำเป็นต้องแก้กฎหมายลงโทษการหมิ่นให้แรงขึ้น
“ต้องนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาลงโทษให้ได้ หรือเงินที่ได้มาไม่ถูกต้องก็ยึด ก็จบ...ที่ผ่านมาที่ทำไม่ได้ ก็เพราะพระเอกกลัวตาย ผู้ร้ายกลัวเจ็บ เขาก็ไม่ทำจริง หนังเรื่องนี้เลยไม่สนุก”
จากข้อเสนอในการปฏิรูปประเทศทั้งหมด เสธ.อ้าย บอกแบบมั่นใจว่า เป็นไปได้และประเทศจะไม่เกิดการชะงัก
“ก็เป็นไปได้ถ้าคนมาก เยอะ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ไปถึงตอนนั้น ขอคิดแค่วันที่ 28 ต.ค. ก่อนว่าจะมีคนมาขนาดไหน ถ้าไม่ถึงล้านก็ขอหลายๆ แสน ไม่งั้นเขาก็ไม่กลัว ท่านมีเงินหมื่นจะไปทำธุรกิจได้มั้ย มีเงินแสนก็ไม่ได้ มันก็ต้องมีมากกว่า
...เรื่องประเทศชะงักไม่มี พูดกันไปเอง ประเทศไหนชะงัก ชะงักเรื่องอะไร มันไม่ได้มีชะงัก แต่คำว่าต่างชาติไม่เห็นด้วย คือ สื่อช่วยกันพูด หรือนักการเมืองมาบอกหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่จริงๆ ไม่มี พม่าก็ไม่เห็นชะงัก”
เสธ.อ้าย ทิ้งท้ายเสียงดังฟังชัดเพื่อตอบคำถามที่หลายคนคาใจว่า แนวทางนี้ไม่ใช่ประชาธิปไตย
“มันเป็นไปไม่ได้หรอกประชาธิปไตยมันมีที่ไหน เลอะเทอะ พูดกันส่งเดช ...แต่แนวทางผมแบบนี้จะดีกว่าที่ให้นักการเมืองมาทำ ไม่มีทางเลือกอื่น ต้องปฏิวัติโดยประชาชน เลือกตั้งเมื่อไหร่พรรคทักษิณก็ชนะตลอด ชนะตลอดกาล”
อดีตเสธ.อ้าย กบฏ 26 มี.ค. 2520
พลิกแฟ้มประวัติ “เสธ.อ้าย” แล้ว นับว่าเป็นนายทหารมากคอนเนกชันคนหนึ่ง เพราะมิเช่นนั้นคงไม่สามารถสวมหมวกในตำแหน่งสำคัญได้หลายใบในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น ประธานมูลนิธิศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมทหาร นายกสมาคมมวยสากลสมัครเล่นแห่งประเทศไทยฯ รวมไปถึงเลขาธิการกิตติมศักดิ์ราชตฤณมัยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ
แต่ที่น่าสนใจคือ การเป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 1 ร่วมกับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี
“กับ พล.อ.สุรยุทธ์ ยอมรับว่าสนิทกัน เพราะเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน แต่วีรกรรมสมัยเก่าผมไม่ขอพูดถึง เดี๋ยวบางเรื่องอาจไม่ยอมรับ เอาเป็นว่าเรียนด้วยกันมา 7 ปี คิดว่าไม่สนิทกันเหรอ และเดี๋ยวนี้ พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นสภานายกฯ ราชตฤณมัยให้” เสธ.อ้าย เลี่ยงไม่ตอบถึงความสัมพันธ์ที่มีต่อ พล.อ.สุรยุทธ์
เมื่อไม่อยากพูดถึงองคมนตรีท่านนี้เท่าไรนัก จึงขอตอบคำถามถึงสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับ “เสธ.หนั่น” พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ผู้ร่วมเหตุการณ์กบฏ 26 มี.ค. 2520 แทน
ย้อนอดีต กบฏ 26 มี.ค. 2520 เป็นความพยายามก่อรัฐประหาร นำโดย พล.อ.ฉลาด หิรัญศิริ และนายทหารกลุ่มหนึ่งที่ต้องการล้มรัฐบาลของนายธานินทร์ กรัยวิเชียร ซึ่งมาจากการแต่งตั้งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินของ พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ แต่ไม่สำเร็จ ถูก พล.ร.อ.สงัด เข้าปิดล้อม จนนำไปสู่การเจรจาและฝ่ายผู้ก่อการยอมมอบตัวและขอให้ผู้นำการปฏิบัติการครั้งนี้ลี้ภัยไปยังต่างประเทศ แต่ พล.อ.ฉลาด ผู้นำกบฏถูกจับและตัดสินประหารชีวิตด้วยการยิงเป้า
เสธ.อ้าย เล่าว่า “ผมกับ เสธ.หนั่น ติดคุกมาด้วยกัน หลังพ้นคุกอีกหลายปี ผมช่วยหาเสียงให้ เสธ.มาเรื่อยๆ พอท่านชวน หลีกภัย มาเป็นรัฐบาลสมัยสอง ผมไปเป็นหัวหน้าฝ่าย เสธ. รมว.กลาโหม อัตราพลเอก และได้เป็นพลเอกในตอนนั้นมา
...เวลานี้ เสธ.ก็โทรศัพท์มาถามว่า ‘อ้ายเกิดอะไรขึ้น ไล่รัฐบาลหรือ’ เราก็ตอบไปว่า ครับ และ เสธ.หนั่นก็บอกว่า ‘เดี๋ยวพี่จะมา’แต่ไม่ได้มาร่วมชุมนุม แต่คล้ายๆ ว่าจะเป็นห่วงว่าเรากำลังคิดอะไร”
เสธ.อ้าย ไม่ปฏิเสธการได้รู้จักกับ เสธ.หนั่น ทำให้คุ้นเคยกับพรรคประชาธิปัตย์พอสมควร จนได้รู้จักกับนักการเมืองมากหน้าหลายตา ไม่เว้นแม้แต่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีปัจจุบัน ที่ฝ่ายหลังนัดทานข้าวมื้อการเมืองก่อนชุมนุมใหญ่ไม่กี่วัน
“...ผมสนิทหลายคน เช่น คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ คุณนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ คุณนิพนธ์ บุญญามณี เจือ ราชสีห์ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นคนในพรรคประชาธิปัตย์ แม้จะรู้จักกับคนในพรรคประชาธิปัตย์เยอะ แต่ผมไม่ใช่คนของพรรคประชาธิปัตย์ ผมไม่เอาทั้งนั้น
...ท่านเฉลิมกับผมรู้จักกันมานานมาก สมัยผมมียศเป็นพันโท ขณะที่ท่านเฉลิมเป็นสารวัตรตำรวจ มีนายทหารรุ่นพี่คนหนึ่งอยู่บ้านเดียวกับผมที่ จ.สิงห์บุรี ท่านเฉลิมก็ไปดูการดูดทรายที่ จ.สิงห์บุรี ซึ่งอยู่ใกล้ๆ บ้านผมและรุ่นพี่ ทำให้รู้จักกันเรื่อยมา มาตอนนี้ลูกชายท่านกับลูกชายผมสนิทกัน”
ขณะเดียวกัน แม้ เสธ.อ้าย จะไม่ชอบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพียงใดจนเป็นเหตุผลให้มานำม็อบไล่รัฐบาลของน้องสาวในวันที่ 28 ต.ค. แต่ในช่วงสั้นๆ ก็ได้เคยร่วมกันก่อน เสธ.อ้าย จะเกษียณอายุราชการปี 2545 ในตำแหน่ง “ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพบก”
“เคยร่วมทำงานกับรัฐบาลสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ 1 ปี ก็มีโอกาสสัมผัสกันบ้าง แต่ด้วยตำแหน่งที่ผมมีค่อนข้างห่างกับนายกฯ อยู่แล้ว แต่ครั้งหนึ่งเคยทำงานร่วมกันเรื่องค่ายเพื่อนรักเพื่อน เพื่อปราบปรามยาเสพติด ซึ่งเคยอ่านรายงานให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ฟัง
ตอนที่ร่วมงานกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็มองว่าดี ที่ว่าดีเพราะขณะนั้นยังไม่มีปัญหา แต่หลังจากได้ฟังว่าเขามีปัญหาทางการเมืองในหลายเรื่อง ก็มีความไม่ชอบ...
การทำงานร่วมกัน ผมไม่เคยขอตำแหน่ง เพราะผมมีอัตรายศเป็นจอมพลแล้ว และไม่ได้เสียใจที่รัฐบาลทักษิณไม่ได้ตั้งให้เป็นโน่นเป็นนี่”
เสื้อแดงมหาดเล็ก
การสนทนาประเด็นกลุ่มเสื้อแดง “เสธ.อ้าย” เปิดใจว่า รู้จักกับ วีระ มุสิกพงศ์ จากเหตุการณ์กบฏในอดีต เพราะไปติดคุกด้วยกัน และขณะนั้น วีระ ก็เริ่มเข้าวงการการเมือง รวมไปถึง สุธรรม แสงประทุม
ทว่าบิ๊กทหารรายนี้ไม่ค่อยอยากพูดถึงวันวานที่มีต่อแกนนำเสื้อแดงรายนี้เท่าไรนัก แต่ขอเลือกที่จะระบุถึงความเป็นสีแดงในตัวเองมากกว่า
“ตอนพวกเขามาชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล ผมไม่ให้ใช้ห้องน้ำของสนามม้านะ แต่ตอนพันธมิตรฯ เสื้อเหลืองผมให้ใช้นะ โอเค”
“เสื้อแดงคืออะไร สัญลักษณ์ของอะไร ชาติไม่ได้มีแต่สีแดง ผมก็เสื้อสีแดง สัญลักษณ์ของทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ หมายถึงทหารราบ...สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่เคยทำให้ใครได้เจ็บช้ำน้ำใจเลย พระองค์เป็นผู้ทรงคุณประโยชน์ให้กับแผ่นดิน ทั้งน้ำ ป่า อาหาร พระองค์ท่านดูแลทุกเรื่อง รวมถึงพลังงานท่านรู้เรื่องหมด ทรงทราบเป็นอย่างดี
เสธ.อ้าย บอกว่า เสื้อแดงจะมาฟังวันที่ 28 ต.ค.ด้วยก็ได้ จะได้มารู้ว่าเขาใช้น้ำมันแพงเพราะอะไร มันไม่ใช่เพราะเสื้อสีนี้ สีนั้น หรือเสื้อแดงใช้น้ำมันถูก มันไม่ใช่
“คุณยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ ได้ ก็อาจมีคนบอกว่า ผมก็เป็นได้ ผมยังจดยังเขียนหนังสือดีกว่าอีก ต้องพูดความจริงนะ ถ้าไม่พูดความจริงก็ไม่ไหว คุณเป็นผู้นำระดับนายกรัฐมนตรี จะพูดถูกพูดผิดได้หรือ ไม่งั้นเอาใครก็ได้มาเป็นนายกฯ ผมก็เป็นได้” เสธ.อ้าย ตบท้าย
ที่มาgo6