บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ชำแหละ"ทักษิณ" กลางสภา ! ?

บรรยากาศตื่นเต้น เร้าใจบนเวทีการเมืองได้ถูกปลุกขึ้นมารอบใหม่ ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้ !
เมื่อมีความชัดเจนแล้วว่าทั้ง ฝ่ายรัฐบาล -ฝ่ายค้านและวุฒิสภา ได้วางโปรแกรม "ตรวจสอบ" กันเองอย่างดุเดือด

     ทั้งที่การประชุมสภาผู้แทนราษฎรระหว่างวันที่ 23-24 ส.ค.นี้ วาระที่จัดเข้าสู่การพิจารณาเป็นการเพียงการแถลงนโยบายรัฐบาลใหม่อย่างเป็น ทางการเท่านั้น  ทว่าท่าทีของทั้งฝ่ายค้านและสว.ดูจะใกล้เคียงกับการทำหน้าที่ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหารเสียมากกว่า !
     เวลานี้ความเคลื่อนไหวที่กำลังอยู่ในความสนใจของคอการเมืองและประชาชนทั่วไป อาจไม่ใช่ประเด็นที่ว่าด้วยเรื่องของแนวทางนโยบายรัฐบาล ที่จะได้ให้คำมั่นสัญญาณต่อสาธารณชนว่าจากนี้ไปจนกว่า "ครบวาระ" นโยบายหรือโครงการใดบ้างที่จะได้รับการผลักดัน ให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมขึ้นมาบ้าง
     ไม่ว่าจะเป็นนโยบายทางด้านเศรษฐกิจ สังคมตลอดจนแนวทาง ทางการเมือง  ว่าด้วยเรื่องของการปรองดองสมานฉันท์ จะเป็นไปได้มากแค่ไหน จะใกล้เคียงกับสิ่งที่นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เคยประกาศไว้หรือไม่ว่า "แก้ไข ไม่แก้แค้น" 
     และนอกเหนือไปจากเรื่องของแนวทางนโยบายรัฐบาล โดยครม. ที่พรรคเพื่อไทยทำหน้าที่เป็นพรรคใหญ่ถือธงนำหน้าในฐานะ "พรรคแกนนำรัฐบาล" แล้ว ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่าความสนใจ และนับเป็น "แรงดึงดูด"ชั้นดีที่กำลังทำให้ทั้งพรรคฝ่ายค้าน และสว. ต่างจ้องที่จะ "ตรวจสอบ" มากที่สุด

     จึงไม่พ้นบุคคลที่ถือเป็น "เจ้าของพรรคตัวจริง" และยังเป็นเสมือน" หัวหน้ารัฐบาลตัวจริง" ที่ชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะ "พี่ชาย" ที่รักยิ่งของ นายกฯยิ่งลักษณ์ นั่นเอง 
     การที่ทั้งฝ่ายค้านได้ส่งสัญญาณแรงชัดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คือ "เป้าหมาย" ในการที่จะถูกโจมตีกลางสภา ในวันที่รัฐบาลแถลงนโยบาย

     ควบคู่ไปกับการจงใจปล่อยข่าว เตรียม "เขย่าขวัญ" นายกฯยิ่งลักษณ์  ในฐานะ"มือใหม่" เพื่อเป็นการ "รับน้องใหม่" นั้นเป็นเพราะฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลต่างรู้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นเป็นทั้ง "จุดแข็ง"และ "จุดอ่อน" ของขั้วอำนาจเก่าอย่างแท้จริง
     รวมทั้ง "ปมร้อน" สารพัดเรื่องราวที่จงใจเปิดขึ้นมา ล้วนแล้วแต่โยงใยเกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยตรง คล้ายจงใจ "ยั่วยุ" ฝ่ายตรงข้าม นอกเหนือไปจากอาการ "ใจร้อน"เร่งเดินหน้าที่จะ "ทวงคืน" ทั้งอำนาจและทรัพย์สินที่เคยหายไป
     ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่จะพบว่าแกนนำจากพรรคประชาธิปัตย์ เองได้ออกมาเปิดหน้าอย่างตรงไปตรงมาถึง 3 ข้อหลักที่สมาชิกพรรคจะนำมาใช้ในการอภิปรายนโยบายของรัฐบาลใหม่ โดยประกอบไปด้วย เน้นการอภิปรายในนโยบายหลักๆที่มุ่งผลักภาระให้กับประชาชนในอนาคต-เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนหรือการทุจริตเชิงนโยบายที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ
     โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวพันตัวของนายกฯยิ่งลักษณ์ ไปจนถึงพ.ต.ท.ทักษิณ และในด้านความมั่นคงในด้านต่างประเทศ ที่มีการผูกโยงเชิงนโยบายที่มีต่อประเทศเพื่อนบ้าน
     จะเห็นได้ว่าภายใต้หลักการที่ประชาธิปัตย์ "ตั้งธง" มาชำแหละนโยบายรัฐบาลในครั้งนี้ ล้วนแล้วแต่มีเป้าหมายที่พุ่งตรงไปยังคนที่ชื่อพ.ต.ท.ทักษิณ อย่างชัดเจน
     เพียงแต่อาศัยการเขย่าผ่านไปยัง นายกฯยิ่งลักษณ์ และ "รัฐมนตรีสายล่อฟ้า" ที่ชื่อ "สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล" รมว.ต่างประเทศ เท่านั้น !

     ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงว่า ตลอดระยะเวลาสองวันจากนี้ไป ภาระหน้าที่ของ "องครักษ์พิทักษ์นายกฯ" ย่อมไม่ได้ทำหน้าที่เพียงเพื่อ "ปกป้อง" นายกฯยิ่งลักษณ์ จากขุนพลพรรคฝ่ายค้านและสว.เท่านั้น 
     แต่ทีมองครักษ์ฯ ของพรรคเพื่อไทย ยังต้องทกทุกวิถีทางเพื่อปกป้อง "นายใหญ่" ในฐานะ "บุคคลที่3" ซึ่งพร้อมจะถูกระบุถึงในที่ประชุมได้ตลอดเวลาอีกด้วยต่างหาก
     อย่างไรก็ดีสำหรับ "วงใน" ของพรรคเพื่อไทยเองแล้ว กลับมองและประเมินว่า แม้นายกฯยิ่งลักษณ์ หรือ "นายใหญ่" ของพวกเขาจะโดนโจมตี หนักหนาสาหัสแค่ไหนก็ตาม จากฝ่ายตรงข้าม แต่ต้องไม่ลืมว่าการอภิปรายนโยบายรัฐบาลนั้น ไม่มีการ "ลงมติ" แต่อย่างใด
     เมื่อไม่มีการลงมติ จึงเท่ากับว่าเกมซักฟอกในยกแรกของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล นั้นย่อมมีผลกระทบต่อฝ่ายบริหารไม่ถึงขั้นหนักหนาสาหัส จนถึงกับต้องมีการเปลี่ยนแปลงฉับพลันทันด่วน 
     เพราะ "คำตอบ"ที่นายกฯยิ่งลักษณ์ จะนำมาใช้อธิบายนั้น จะตอกย้ำต่อสาธารณะ ว่าประเด็นที่ฝ่ายค้านและสว.กำลังดาหน้าถล่มอยู่นั้น ยังไม่ได้เดินหน้าไปสู่การป ฏิบัติแต่อย่างใด
     จากนั้น จะเป็นคิวของพรรคเพื่อไทย จะ"ปฏิบัติการรุกกลับ" ด้วยข้อหาเดิมๆ ในเรื่องทุจริตคอรัปชั่น การแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม ที่เคยกลายเป็นเรื่องร้อน และท้าทาย "กฎเหล็ก9ข้อ" ของอดีตนายกฯอภิสิทธิ์ อาจถูกนำกลับมา "เล่าใหม่" เพื่อตอบโต้พรรคฝ่ายค้านแทน
     ความคึกคักจากการระดมทีม ระดมกำลังพล ของแกนนำแต่ละกลุ่มในพรรคเพื่อไทย ที่ประกาศขอปกป้องทั้งนายกฯยิ่งลักษณ์ และพ.ต.ท.ทักษิณ  อย่างแข็งขันที่มีขึ้นตั้งแต่เมื่อราวกลางสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น อาจจะกลายเป็น "สัญญาณ" ที่ต้องแนะนำว่า อย่าละสายตาเด็ดขาด
     เพราะการเคลื่อนไหวในลักษณะดังกล่าวนั้นดูจะเป็นความ " จงใจ " ที่สามารถนำไปสู่เป้าหมายที่แตกต่างกันได้ทั้งสิ้น
     ด้านหนึ่ง - การที่แกนนำแต่ละกลุ่มก๊วน "อาสา" เข้ามารับหน้าที่พิทักษ์"นาย" อย่างสุดจิตสุดใจเช่นนี้ เพราะต้องการแสดงให้เห็นว่าพวกเขาพร้อมที่จะทำงานให้คุ้มกับ "ความไว้วางใจ" จากพ.ต.ท.ทักษิณ

     หรือ ในอีกด้านหนึ่ง- เป็นเพราะความจงใจของ "นายใหญ่" เองที่ต้องการ "หลอกล่อ" เอาตัวเองเข้าล่อเป้าจากฝ่ายตรงข้าม ลดแรงเสียดทานในทุกทางที่จะพุ่งไปสู่ "น้องสาว" แทน
     ฉะนั้นต้องจับตาดูกันไปว่า ท้ายที่สุดแล้ว ตลอดสองวันนี้ ระหว่าง " พ.ต.ท.ทักษิณ" กับ นายกฯยิ่งลักษณ์ ใครคือ "เป้าจริง" และใครคือ "ตัวหลอก" ให้ทั้งฝ่ายค้านและสว.หลงทางกันเป็นแถว  ! 
                                                                                                                                                           .ทีมข่าวคิดลึก. 

ว่าด้วยกองทุนมั่งคั่ง ลงทุนด้านพลังงาน เพื่อ "ความมั่งคั่ง" ของใครกัน ??? ....

by ประยูร
(ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เนต)

.... ว่าด้วยกองทุนมั่งคั่งลงทุนด้านพลังงาน เพื่อ "ความมั่งคั่ง" ของใครกัน ??? ....

ดูเหมือนคุณพิชัย นริพทะพันธ์ รมต.พลังงานจะให้ความสนใจ เรื่อง “กองทุนมั่งคั่ง” เป็นพิเศษ กระทั่งอาจจะเป็นนโยบายโบว์แดงของรมต.ผู้นี้
จากการให้สัมภาษณ์ค่อนข้างยาวเหยียดของรมต.พิชัย อาจสรุปสาระสำคัญ ซึ่งเกี่ยวโยงได้ สองสามประเด็นดังนี้
http://cannot.info/feed/ข่าวล่าสุด/รับแปลกใจ%20ทำไมธปทถึงกลับลำรมวพลังงาน
  • ประเทศ ไทยมีเงินในกองทุนสำรองมากเกินพอ ควรจะแบ่งบางส่วนไปลงทุน เพื่อสร้างมูลค่า และความมั่งคั่งกับเงินก้อนนี้ ซึ่งมีแต่จะเสื่อมค่าลง
  • ควรลงทุนในด้านพลังงาน โดยอาจจะดูประเทศจีนเป็นตัวอย่าง
  • รมต.แปลกใจว่า ทำไมธปท.จึงกลับลำไม่เห็นด้วยกับแนวคิดกองทุนฯ ทั้งที่สองสามเดือนก่อน เป็นผู้เสนอความเห็นนี้

ประเด็นแรกที่รมต.พลังงานเสนอความเห็นนั้น ผมเชื่อว่าคนไทยโดยทั่วไป ก็คงมิได้คิดต่าง
ปัญหาคงอยู่ที่ว่า จะลงทุนที่ไหน ที่มีความเสี่ยงต่ำ และ มีสภาพคล่องสูง
ในจุดนี้ ปตท. ก็เสนอความเห็นซึ่งน่าสนใจ ดังลิงค์ต่อไปนี้ ที่พาดหัวว่า ปตท.หนุนตั้งกองทุนมั่งคั่งแห่งชาติ
http://www.mcot.net/cfcustom/cache_page/254797.html
แต่สิ่งที่ปตท.เสนอ อาจจะไม่ถูกใจรมต.พลังงานทั้งหมด เพราะปตท. เห็นว่า “....โดยส่วนหนึ่งสามารถนำเงินจากกองทุนนี้มาใช้เพื่อจัดตั้งคลังน้ำมันสำรองแห่งชาติ เพื่อความมั่นคง และลดความเสี่ยงของความผันผวนด้านราคา 
ปัจจุบันประเทศไทยมีสำรอง(น้ำมัน)ด้านกฎหมายเพียงร้อยละ 5 หรือประมาณ 36 วันเท่า นั้น หากเกิดปัญหาในตะวันออกกลาง ไม่สามารถขนส่งน้ำมันได้ ก็อาจจะทำให้ปริมาณน้ำมันของไทยขาดแคลนลงไปในระยะเวลาไม่กี่วัน ดังนั้นหากมีการใช้เงินจัดตั้งคลังน้ำมันสำรองแห่งชาติ โดยทางรัฐบาลจัดตั้งและบริหาร ก็จะทำให้เกิดความมั่นคง โดยทั่วโลกส่วนใหญ่จะมีสำรองประมาณ 90 วัน...”
การลงทุนลักษณะนี้ มีความเสี่ยงต่ำแน่ สภาพคล่องก็สูง แถม ยังช่วยเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานอีกต่างหาก
รมต.พลังงาน ดูไม่สนใจ ที่จะ ตอบรับกับแนวคิดดังกล่าวนี้ แต่ยืนยัน ที่จะนำไป “ลงทุน” ในแหล่งพลังงาน

คราวนี้มาดูประเด็นถัดมา ที่รมต.ผู้นี้เสนอ ก็คือ ลองดูตัวอย่างจากประเทศจีน
ผมเองก็พยายาม ไปศึกษา “ตัวอย่าง” จากประเทศจีน ก็พบว่า รมต.พลังงาน อาจจะรู้ไม่จริง
เพราะในประเทศจีนเอง ก็มีการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการลงทุนดังกล่าว ซึ่งมีการ “ขาดทุน” ดังลิงค์ที่ผมนำมาแปะเอาไว้
http://www.wantchinatimes.com/news-subclass-cnt.aspx?cid=1206&MainCatID=12&id=20110721000004
China's three oil giants come under fire for accidents and losses
http://www.china.org.cn/business/2011-07/19/content_23023691.htm
China's oil giants see losses in overseas investment 
อ่านจากข่าว พร้อมใช้สมองคิดอย่างคนสามัญ ก็น่าจะเข้าใจ ว่าทำไมต้องขาดทุน
เพราะหากหวังจะลงทุน ในบ่อน้ำมันซึ่งสามารถผลิตออกมาได้ทันที ก็ต้องจ่ายในราคาพรีเมียม แถมเงินก็ต้องจมอยู่ในบริษัทนั้นยาวนาน 
หาก หวังจะลงทุน เพื่อให้เกิด “กำไร” งดงาม ก็ต้องลงทุนในบ่อน้ำมันระหว่างขุดเจาะ ซึ่งความเสี่ยงก็สูงยิ่งกว่าซื้อหวย เพราะโอกาสเจอน้ำมันนั้น นับวันจะต่ำลง
มาถึงตรงนี้ ผมจึงเริ่มสงสัยแล้ว ว่า กองทุนมั่งคั่งนี้ มีเพื่อความั่งคั่งของใครกัน
มีเสียงแว่วมาตามสายลมว่า “ค่านายหน้า” นั้น กินไปจนตายก็ไม่หมด

ประเด็นสุดท้าย ก็คือเรื่องที่รมต.พลังงานตีโพยตีพายว่า ธปท.กลับลำ ทำนองว่า พอรัฐบาลเปลี่ยน ธปท. ก็มาไม่เห็นด้วย
ผมอยากให้รมต.พลังงาน อ่านลิงค์นี้ดู เป็นข่าวเมื่อเดือนมิย. ก่อนการเลือกตั้ง
ซึ่งประธานธปท. คือ  ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ให้สัมภาษณ์ชัดเจนว่า
แม้ภายในธปท.เอง แนวความคิด ก็ยังมีหลากหลาย 
http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=71246:2011-06-15-04-00-27&catid=101:2009-02-08-11-30-52&Itemid=440
โยนธปท.ตัดสินใจตั้งกองทุนมั่งคั่ง
"...เนื่อง จากที่ผ่านมาหลังจากที่ได้มีการนำเสนอแนวความคิดดังกล่าวออกไป  ปรากฏว่ามีแนวความคิดที่หลากหลายที่ไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบ ดังกล่าว   ฉะนั้น การมอบอำนาจให้กับผู้ว่าการน่าจะเป็นทางออกที่มีความเหมาะสมมากที่สุด
 ทั้ง นี้ ที่ผ่านมาพบว่า  ไม่มีเสียงส่วนใหญ่เลยที่มีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน   จึงมองว่าการจัดตั้งกองทุนฯดังกล่าวอาจจะเป็นไปไม่ได้.."

ถึงตรงนี้แล้ว รมต.พลังงาน ควรจะเงียบเสียง เรื่อง “กองทุนมั่งคั่ง” ลงบ้า
ไม่เช่นนั้น อาจจะมีคนสงสัยมากขึ้น ว่ากองทุนนี้ จะสร้างความ “มั่งคั่ง” ให้กับใครกันแน่

เปิดคลิปสุดฮอตจาก "ชูวิทย์" แฉบ่อนใหญ่กลางกรุง ใกล้สถานีตำรวจ








รับชมข่าว VDO ชมคลิป


นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระบบบัญชีรายชื่อพรรครักประเทศไทย กล่าวอภิปรายนโยบายของรัฐบาลเมื่อวันที่ 23 สิงหาคมโดยเลือกหยิบประเด็นเรื่องอบายมุขเพียงเรื่องเดียวแบบเน้นๆต่างกับ หัวหน้าพรรคอื่นๆที่อภิปรายล้วงลึกเจาะทะลวง

นายชูวิทย์ นำคลิปทีเด็ดที่อ้างว่าส่ง "สายลับ" ไปถ่ายเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาเปิดกลางรัฐสภาเป็นตัวอย่างให้รัฐบาลเห็นว่า ทั้งการพนัน และยาเสพติดได้ระบาดในสังคมไทยอย่างหนัก 

คลิปแรกเป็นคลิปบ่อนการพนันใหญ่ใจกลาง กรุงเทพฯ ติดถนนใหญ่ห่างสน. อักษรย่อ "ส." เพียง 200 เมตร ซึ่งชูวิทย์อ้างว่า บ่อนดังกล่าวมีการเล่นพนันเพียบพร้อม อาทิ บาคาร่า 50 กว่า โต๊ะ, รูเล็ต กว่า 10 โต๊ะ และตู้สล็อต กว่า 100 เครื่อง เล่นกันอย่างไม่เกรงใจ เดินเข้าออกกันเป็นพันคน แถมมีเยาวชนเข้าออกเพื่อเล่นการพนันด้วย

"มีอิทธิพลมากครับ ผมก็ไม่กล้า เดี๋ยวผมจะโดน..." ชูวิทย์กล่าว

นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า รัฐบาลชุดล่าสุดนี้พูดถึงนโยบายอบายมุขน้อยมาก เท่าที่ตนอ่านมามีไม่กี่บรรทัด แล้วเอายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติได้อย่างไร เพราะยาเสพติดขายในแหล่งอบายมุขทั้งสิ้น มีเงินหมุนเวียนเป็นหลายร้อยล้าน

นอกจากนี้ นายชูวิทย์ ชี้ให้เห็นด้วยว่าตำรวจปล่อยปละละเลย พร้อมเสนอตัวว่า หากอยากได้ข้อมูลต้องถามหาชูวิทย์

ส่วนคลิปที่ 2 เป็นคลิปที่อ้างว่าถ่ายในห้องน้ำของสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง ซึ่งนายชูวิทย์ อ้างบุคคลในคลิปที่ส่งของจากมือสู่มือนั้นเป็นการซื้อ-ขายยาเสพติดอย่างเปิด เผย

"การควบคุมยาเสพติดเราจับไปเถอะครับ ถ้าไม่มีคนซื้อก็ไม่มีคนขาย แต่เมื่อมีคนขาย ต้องไปดูว่าขายกันที่ไหน ก็ในแหล่งบันเทิงทั้งนั้น อยากเรียนให้ทราบว่าในเมืองใหญ่ๆอย่างเมืองของท่านประธานสภา จังหวัดขอนแก่นก็มีเยอะ" ชูวิทย์กล่าว

กลุ่มทุนรับเหมาก่อสร้างกับสายสัมพันธ์ทางการเมือง


 by TCIJ
          เรื่องเล่าของกลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง กับการเมือง เป็นสิ่งที่ได้ยินกันมานานมาก กลุ่มทุนรับเหมา เป็นทั้งผู้รับประโยชน์ จากนโยบายและโครงการภาครัฐ และผู้ให้ประโยชน์ ในฐานะกลุ่มทุนสนับสนุนพรรคการเมือง หรือ ถุงเงิน
           
            ทุนรับเหมาก่อสร้างในบัญชีเงินบริจาค
ถุงเงินและพรรคการเมือง เป็นของคู่กันมาโดยตลอด โดยเฉพาะกลุ่มทุนรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งถือว่า เป็นฐานการเงินสำคัญของพรรคการเมืองหลายพรรคมาเป็นเวลานาน สำรวจรายชื่อผู้บริจาคเงินให้พรรคการเมือง ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ตั้งแต่ก่อนพรรคไทยรักไทยจะเข้ามาบริหารประเทศ จนหลังเหตุการณ์รัฐประหาร เมื่อ 19 กันยายน 2549 เรื่อยมาถึงต้นปี 2554 กลุ่มทุนรับเหมา ทั้งรายใหญ่ รายเล็ก ต่างมีชื่อปรากฎ เป็นผู้บริจาค หรือ เคยเป็นผู้บริจาคเงินสนับสนุนพรรคการเมืองอย่างเนืองแน่น ดังรายชื่อต่อไปนี้

ในรายชื่อผู้บริจาคเงินให้กับพรรคประชาธิปัตย์ พบรายชื่อที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มทุนรับเหมา หรือบริจาคในนามบริษัท อาทิ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวลอปเมนต์ จำกัด (มหาชน)บริษัท บริษัท ช. การช่าง จำกัด (มหาชน) บริษัท เอ็ม บี เค พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) บมจ. ซีฟโก้(SEAFCO) บริษัท คริสเตียนี และนีลเส็น (ไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัท ประยูรวิศว์ จำกัด บริษัท กรุงธน เอนยิเนียร์ จำกัด บริษัท เอ.เอส.แอสโซซิเอท เอนยิเนียริ่ง (1964) จำกัด เอ็ม.ซี.คอนสตรักชั่น บริษัทสระหลวงก่อสร้าง บริษัท ธาราวัญ คอนสตรัคชั่น จำกัด
นอกจากนี้ ยังมีบริษัท ดอนเมืองการช่าง จำกัด บริษัท ซีวิล เอนจิเนียริ่ง จำกัด บมจ. แอสคอน คอนสตรัคชั่น หจก.นภาก่อสร้าง บริษัท เสริมสงวนก่อสร้าง บริษัท พีระมิดคอนกรีต จำกัด ห้างหุ้นส่วนจำกัดโชคชัยการโยธา ห้างหุ้นส่วนจำกัด ป.รุ่งเรืองคอนกรีต บริษัท นำโชค ก่อสร้าง จำกัด
บริษัท ศุภผลการโยธา จำกัด บริษัท รวมนครก่อสร้าง (ประเทศไทย) จำกัด และ
บริษัท ไทยวัฒน์วิศวการทาง จำกัด
ทนก่อสร้าง ยังกระจายบริจาคเงินให้กับพรรคการเมืองอื่น ด้วย อาทิ พรรคชาติไทย มี ช.การช่าง บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวลอปเมนต์ จำกัด (มหาชน) บริษัท รัตนวันก่อสร้าง จำกัด และห้างหุ้นส่วนจำกัด สมบูรณ์พัฒนาก่อสร้าง(1970)
พรรคภูมิใจไทย มีบริษัทซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง และบริษัทเชียงใหม่ คอนสตรัคชั่น จำกัด เป็นบิ๊กเนมที่จ่ายหนัก ขณะที่พรรคเพื่อไทย ได้บริษัท ซีวิล เอนจิเนียริ่ง จำกัดที่เคยเป็นถุงเงินพรรคประชาธิปัตย์มาก่อน แบ่งใจมาบริจาคให้ด้วย แม้แต่พรรคเก่าในอดีต อย่าง พรรคราษฎร ก็มีทุนรับเหมาก่อสร้าง อย่าง บริษัท เอส.อินเตอร์แอนด์แอสโซซิเอทส์ จำกัด เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุน

@ ผู้รับประโยชน์
ด้วยมูลค่าโครงการแต่ละโครงการ มีตัวเลขที่สูงมหาศาล เป็นธรรมดาที่จะถูกจับจ้องตรวจสอบจากนักวิชาการ และสื่อมวลชน ถึงสายสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้ อาทิ พรรคการเมือง หรือ รัฐมนตรีในกระทรวงที่เกี่ยวข้อง และผู้รับ คือ ตัวบริษัทรับเหมาก่อสร้าง นั่นเอง
อ้างงานวิจัยเรื่อง "ก่อสร้างการเมือง-การเมืองก่อสร้าง" ศึกษาโดย “นพนันท์ วรรณเทพสกุล อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ” ให้กับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) พบสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นมากขึ้น ระหว่างทุนก่อสร้างกับการเมือง โดยเฉพาะ “ผลจากการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดของกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้าง ตั้งแต่ก่อนวิกฤตเศรษฐกิจจนถึงยุค "ทักษิณ" มีนักธุรกิจรับเหมาก่อสร้างเข้ามาอยู่ในพรรคการเมืองไทยถึง 75 ตระกูล”
  งานวิจัยชิ้นนี้ ได้สังเคราะห์ข้อมูลจากการสำรวจรายชื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รัฐมนตรี ที่ปรึกษารัฐมนตรี และเลขานุการรัฐมนตรีใน ครม.ทักษิณ 1 ( พ.ศ.2544-2547) เพื่อตรวจสอบบุคคล ที่มีนามสกุลเดียวกับผู้เป็นเจ้าของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในปัจจุบัน โดยเทียบกับรายชื่อผู้รับเหมาก่อสร้างที่เป็นสมาชิกในสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ปี พ.ศ.2544-2546 และผู้รับเหมาก่อสร้างที่ขึ้นทะเบียนกับกรมโยธาธิการและผังเมือง ปี 2546 พบว่า 75 ตระกูลกลุ่มทุนรับเหมาก่อสร้าง ที่ฝังตัวอยู่ในพรรคการเมือง
แยกเป็น พรรคไทยรักไทย 36 ตระกูล พรรคชาติไทย 13 ตระกูล พรรคชาติพัฒนา ( ขณะนั้น) 6 ตระกูล พรรคความหวังใหม่ก่อนรวมกับไทยรักไทยมีอยู่ 5 ตระกูล พรรคเสรีธรรมก่อนรวมกับไทยรักไทย มี 3 ตระกูล พรรคประชาธิปัตย์ มี 13 ตระกูล
นอกจากนี้ งานวิจัยยังพบความสัมพันธ์ระหว่างผู้รับเหมาก่อสร้างกับการเมืองอีกลักษณะ ในรูปของการทำธุรกิจร่วมกัน เช่น กลุ่มสี่แสงการโยธาของตระกูลวงศ์สิโรจน์กุลซึ่งเคยทำธุรกิจร่วมกับตระกูลศิลปอาชา กลุ่มวิจิตรภัณฑ์ก่อสร้างของตระกูลชวนะนันท์มีการร่วมลงทุนกับตระกูลลิปตพัลลภ กลุ่มวิจิตรภัณฑ์ก่อสร้างมีธุรกิจร่วมกับตระกูลสะสมทรัพย์ เป็นต้น
ในยุคของพรรคไทยรักไทย มีการริเริ่มโครงการก่อสร้างใหม่ๆ ซึ่งงานวิจัยพบว่า ระหว่าง ปี พ.ศ.2544-2546 โครงการเหล่านั้นตกอยู่ในมือกลุ่มทุนก่อสร้างบางกลุ่มเป็นพิเศษ เช่น กลุ่มอิตาเลียนไทย ดีเวลล็อปเมนท์ ได้รับงานทั้งหมดไม่น้อยกว่า 6.5 หมื่นล้านบาท วิจิตรภัณฑ์ก่อสร้างได้รับงานประมาณ 6 พันล้านบาท งานส่วนใหญ่เป็นงานที่เกี่ยวกับการก่อสร้างในสนามบินสุวรรณภูมิ
งานวิจัยระบุว่า ในช่วงปี 2545-2546 อิตาเลียนไทยฯได้รับการคัดเลือกให้ทำสัญญาโครงการก่อสร้างในสนามบินสุวรรณภูมิ รวมเป็นมูลค่ากว่า 65,921 ล้านบาท และเมื่อสำรวจสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นของอิตาเลียนไทยฯในช่วงนั้น พบว่า มีชื่อนายทวีฉัตร จุฬางกูร หลายชายนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคมในคณะรัฐบาลช่วงเวลานั้นถือหุ้นในบริษัทดังกล่าวอยู่จำนวน 2 ล้านหุ้น
ตัดภาพจากอดีตสู่การเมืองยุคประชาธิปัตย์เป็นแกน และพรรคร่วมเป็นแบ็คอัพ โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย พบการได้รับประโยชน์จากสายสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างทุนรับเหมาและการเมือง อย่างเห็นได้ชัด ไม่แพ้กัน
          โครงการรถไฟฟ้าหลากสี ซึ่งเป็นเมกะโปรเจ็กต์มูลค่ามหาศาล ที่กลุ่มทุนรับเหมามากหน้าหลายตา ปรารถนาจะคว้าสัญญาโครงการมาไว้ในมือ แต่พบว่า งานส่วนใหญ่จะกระจุกอยู่ในมือ 3 กลุ่มทุนรับเหมาแถวหน้าของประเทศ ประกอบด้วย ช.การช่าง ซิโน-ไทยฯ และ อิตาเลียนไทย
            ยกตัวอย่างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง (บางซื่อ-บางใหญ่)  และสายสีน้ำเงิน (บางซื่อ-ท่าพระและหัวลำโพง-บางแค) พบว่า กลุ่มช.การช่าง ได้งานสีม่วง 1 สัญญา และสีน้ำเงิน 2 สัญญา รวมเม็ดเงิน 30,051 ล้านบาท กลุ่ม ซิโน-ไทยฯ ได้งาน 26,480 ล้านบาท มีงานสีม่วงและน้ำเงินสายละ 1 สัญญา   ขณะที่อิตาเลียนไทย ได้ 1 สัญญา เป็นโครงการรถไฟสายสีน้ำเงิน 11,490 ล้านบาท
            นอกจากนี้ กลุ่มทุนทั้ง3 ยังสามารถคว้างานในหน่วยงาน หรือกระทรวงอื่นๆ มาทำได้ด้วย เช่น งานก่อสร้างโรงงานยาสูบใหม่ ที่โรจนะ ของกระทรวงการคลัง พบว่า กลุ่มช.การช่าง ได้งานก่อสร้างไป 4,620 ล้านบาท  ส่วนกลุ่มซิโน-ไทยฯ ร่วมกับ เอ.เอส.แอสโซซิเอท เอนยิเนียริ่ง (1964) ได้งานส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าบีทีเอส (ตากสิน-บางหว้า) 5,799 ล้านบาท เช่นเดียวกับ อิตาเลียนไทย ที่มีงานติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณรถไฟฟ้าบีทีเอส (อ่อนนุช-แบริ่ง) 1,575 ล้านบาท เป็นต้น
            หากรัฐบาลเดิม กลับมาจัดตั้งได้อีกครั้ง งานใหญ่ๆ ที่รออยู่ ไม่ว่าจะเป็นโครงการก่อสร้างอุโมงค์ส่งน้ำ อาคารรัฐสภาใหม่ สะพานเมืองนน์ จนถึงรถไฟฟ้าสายสีเขียว คาดว่า จะตกอยู่ในมือทุนรับเหมากลุ่มเดิม

“ปู” ร่ายยาวนโยบายหาเสียงให้เป็นจริง เร่งรัดด่วนปรองดอง-ยาเสพติด

“ยิ่งลักษณ์” ร่ายยาว 44 หน้า เร่งรัดนโยบาย 2 ส่วน เร่งด่วน 1 ปีใน 16 ด้าน และระยะยาว 4 ปี ลั่นขอสร้างความปรอดองสามัคคี แก้ปัญหายาเสพติดให้เป็นวาระแห่งชาติ ขณะเดียวกันเน้นพัฒนาเศรษฐกิจยั่งยืน เดินหน้าปูพรมนโยบายหาเสียงให้เป็นจริง สร้างระบบขนส่งระบบรางทั่วประเทศ ระบุถมทะเลเพื่อรับมือภัยพิบัติธรรมชาติ ย้ำขอให้มั่นใจจะบริหารประเทศด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
         
       
       วันนี้ (23 ส.ค.) เวลา 09.00 น.ที่รัฐสภา คณะรัฐมนตรี (ครม.) นำโดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้แถลงนโยบายต่อที่ประชุมรัฐสภา และชี้แจงการดำเนินการตามแนวนโยบายแห่งรัฐตามรัฐธรรมนูญมาตรา 176 ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้อ่านเอกสารแถลงนโยบายทั้งหมด 44 หน้า โดยสรุปว่า จากสถานการณ์และสภาวะแวดล้อมของเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงมีนัยสำคัญได้ส่งผลให้ประเทศไทยอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างที่สำคัญ 3 ประการ คือ 1.การเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจ ที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงสูงไม่สามารถก้าวพ้นวิกฤตได้อย่างยั่งยืน เศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอนสูง อยู่ในกระบวนการเปลี่ยนผ่านขั้วอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองไปสู่ศูนย์กลางใหม่ทางทวีปเอเชียในระยะยาว
       
       น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า 2.การเปลี่ยนผ่านทางด้านการเมือง ความขัดแย้งทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา แม้จะมีผลต่อความเชื่อมมั่นทางเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ผ่านมาผูกโยงกับภาวะเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ดี ความขัดแย้งดังกล่าวมีผลกระทบต่อการวางพื้นฐานเพื่ออนาคตในระยะยาว และทำให้สูญเสียโอกาสในการเดินหน้าเพื่อพัฒนาประเทศในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้เพียง 3.6% ซึ่งต่ำกว่าที่ควรจะเป็น 3.การเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างประชากรและสังคมไทย โครงสร้างดังกล่าวของไทยกำลังเปลี่ยนไปสู่สังคมผู้สูงอายุจะมีผลต่อปริมาณและคุณภาพของคนไทยในอนาคต
       
       “นโยบายการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลจะยึดหลักการบริหารที่มีความยืดหยุ่นที่คำนึงพลวัตการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยภายนอกที่มีผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายของรัฐบาล นโยบายของรัฐบาลมีจุดมุ่งหมาย 3 ประการ คือ ประการที่ 1 เพื่อนำประเทศไทยไปสู่โครงสร้างเศรษฐกิจที่สมดุล มีความเข้มแข็งของเศรษฐกิจภายในประเทศมากขึ้น ประการที่ 2 เพื่อนำประเทศไทยไปสู่สังคมที่มีความปรองดองสมานฉันท์ และอยู่บนพื้นฐานของหลักนิติธรรมที่เป็นมาตรฐานสากลเดียวกันและมีหลักปฏิบัติที่เท่าเทียมกันต่อประชาชนคนไทยทุกคน ประการที่ 3 เพื่อนำประเทศไทยไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี 2558 อย่างสมบูรณ์ โดยสร้างความพร้อมและความเข้มแข็งทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การเมือง และความมั่นคง นโยบายเร่งด่วนที่จะเริ่มดำเนินการในปีแรก และนโยบายตลอดระยะการบริหารราชการ 4 ปีของรัฐบาล ซึ่งเนื้อหาส่วนใหญ่เป็นการนำนโยบายหาเสียงของพรรคเพื่อไทยมาไว้ในคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี
       
       สำหรับนโยบายระยะเร่งด่วนที่จะเริ่มดำเนินการในปีแรกมี 16 ด้าน แบ่งเป็น 1.สร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติ และฟื้นฟูประชาธิปไตย เสริมสร้างความเข้าใจร่วมกันของประชาชนในชาติให้เกิดความสมัครสมานสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เยียวยาและฟื้นฟูอย่างต่อเนื่องแก่บุคคลทุกฝ่าย เช่น ประชาชน เจ้าหน้าที่รัฐ และผู้ประกอบการภาคเอกชน ซึ่งได้รับผลกระทบอันเนื่องมาจากความขัดแย้งทางความคิดทางการเมืองและความรุนแรงที่ก่อตัวขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายของการใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 สนับสนุนให้คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อแนวทางปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ดำเนินการอย่างอิสระ และได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายอย่างเต็มที่ในการตรวจสอบหาความจริงกรณีความรุนแรงทางการเมือง การละเมิดสิทธิมนุษยชน การสูญเสียชีวิต บาดเจ็บทางร่างกายและจิตใจ ความเสียหายทางทรัพย์สิน
       
       น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า 2.กำหนดให้การแก้ไขและป้องกันปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ 3.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นในภาครัฐอย่างจริงจัง 4.เร่งแก้ไขปัญหาความไม่สงบและนำสันติสุขกลับสู่จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยเร็ว 5 เร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์และพัฒนาความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและนานาประเทศ 6.แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 7.ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน พักหนี้ครัวเรือนของเกษตรกรรายย่อยและผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้ต่ำกว่า 5 แสนบาท อย่างน้อย 3 ปี และปรับโครงสร้างหนี้สำหรับผู้ที่มีหนี้เกิน 5 แสนบาท เพิ่มรายได้รายวันสำหรับแรงงานเป็นวันละ 300 บาท และรายเดือนของผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีเป็น 15,000 บาท
       
       8.ปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลให้เหลือร้อยละ 23 ในปี 2555 และลดลงร้อยละ 20 ในปี 2556 เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันของภาคเอกชน ขยายฐานภาษีและรองรับเข้าสู่การเป็นประชาคาอาเซียนในปี 2558 9.ส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุนสนับสนุนสินเชื่อรายย่อย เพิ่มกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง 1 ล้านบาท จัดตั้งกองทุนพัฒนาศักยภาพสตรีเฉลี่ยจังหวัดละ 100 ล้านบาท จัดตั้งกองทุนตั้งตัวได้วงเงินประมาณ 1 พันล้านต่อสถาบันอุดมศึกษาที่ร่วมโครงการสนับสนุนการสร้างผู้ประกอบการรายย่อย 10.ยกระดับสินค้าการเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยให้มีการประกันภัยพืชผลและนำระบบรับจำนำสินค้าการเกษตรมาใช้ รวมถึงการออกบัตรเครดิตสำหรับเกษตรกร
       
       11.ส่งเสริมให้มีการจัดการน้ำอย่างบูรณาการด้วยการสร้างระบบชลประทานขนาดใหญ่ กลาง เล็ก 12. เร่งเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวโดยได้ปี 2554-2555 เป็นปีมหัศจรรย์ไทยแลนด์ (มิราเคิลไทยแลนด์ เยียร์) และประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวร่วมเฉลิมฉลองในพระราชพิธีมหามงคลในช่วงปี 2554-2555 13. สนับสนุนงานศิลปหัตถกรรมเพื่อสร้างเอกลักษณ์และผลิตสินค้าในท้องถิ่น 14. พัฒนาระบบประกันสุขภาพ 30 บาทรักษาทุกโรค 15.จัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตให้โรงเรียน โดยเริ่มทดลองดำเนินการในโรงเรียนนำร่อง สำหรับระดับประถมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2555 ควบคู่กับการพัฒนาเนื้อหาที่เหมาะสมตามหลักสูตรบรรจุลงในแทปเล็ต รวมถึงทำอินเทอร์เน็ตไร้สายในระดับการให้บริหารและในพื้นที่สาธารณะ รวมถึงสถานศึกษาที่กำหนดฟรี 16.เร่งรัดและผลักดันการปฏิรูปการเมือง ที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างกว้างขว้าง โดยมีสภาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยให้ประชาชนเห็นชอบโดยการออกเสียงประชามติ
       
       จากนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวอีกว่า ขณะที่นโยบายตลอดระยะการบริหารราชการ 4 ปีของรัฐบาล เช่น นโยบายโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาระบบรางเพื่อขนส่งมวลชนและการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการ ด้วยการศึกษาและพัฒนารถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพ-เชียงใหม่ กรุงเทพ-นครราชสีมา กรุงเทพ-หัวหิน และเส้นทางอื่นเพื่อเตรียมการเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน ศึกษาและพัฒนาขยายทางรถไฟสายแอร์พอร์ตเรลลิงก์ ต่อจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไปยังชลบุรีและพัทยา เร่งรัดโครงการรถไฟฟ้า10สายในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ให้สามารถเริ่มก่อสร้างได้ครบใน 4 ปี โดยเก็บค่าบริการ 20 บาทตลอดสายทั้งระบบ รวมทั้งเร่งพัฒนาระบบตั๋วร่วมบัตรเดียว และพัฒนาที่อยู่อาศัยให้ผู้มีรายได้น้อยให้มีโอกาสไดที่อยู่อาศัยในราคาและค่าเช่าถูกตามบริเวณใกล้สถานีรถไฟฟ้า
       
       น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า พัฒนาการขนส่งทางน้ำและกิจการพาณิชยนาวีขนส่งเดินเรือชายฝั่งทะเลทั้ง ฝั่งด้านทะเลอันดามัน และฝั่งด้านทะเลออ่าวไทย โดยพัฒนาท่าเรือน้ำลึก และสะพานเศรษฐกิจเชื่อมสองฝั่งทะเลภาคใต้ พัฒนาท่าอากาศยานสากล ท่าอากาศยานภูมิภาคและอุตสาหกรรมการบินของไทย รวมทั้งเพิ่มความสามารถท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้รองรับผู้โดยสารจากปีละ 45 ล้านคน เป็นปีละ 65 ล้านคนขึ้นไป เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบิน สร้างภูมิคุ้มกันและเตรียมความพร้อมในการรองรับและปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของของสภาพภูมิอากาศ และภัยพิบัติธรรมชาติ ดำเนินการศึกษาอย่างรอบคอบในเรื่องของความจำเป็นของโครงการพัฒนาเขื่อนและเกาะเพื่อป้องกรุงเทพและภาคกลางให้ปลอดภัยจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล และจากการละลายของน้ำแข็งขั้วโลกตามสภาวะโลกร้อนที่กำลังเกิดขึ้น
       
       “รัฐบาลขอให้ความเชื่อมั่นต่อรัฐสภาว่า รัฐบาลจะบริหารราชการแผ่นดินด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต และมีประสิทธิภาพ มุ่งมั่นที่จะให้ประเทศมีความเจริญรุ่งเรือง มีความสามัคคี ปรองดอง และมีความยุติธรรม รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะทำให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันได้อย่างมีศักดิ์ศรีในเวทีโลก พร้อมทั้งนำความสุขกลับคืนมาให้พี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน” น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าว

แกะรอย ขบวนการหมิ่นเบื้องสูง


























"ทักษิณ" ย่องเงียบเข้ากัมพูชา พานักธุรกิจเข้าพบ "ฮุนเซน"


"ทักษิณ" ย่องเงียบเข้ากัมพูชา พานักธุรกิจเข้าพบ "ฮุนเซน"


เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกัมพูชา ยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะเดินทางเข้าประเทศกัมพูชาตามกำหนดการเดิม คือวันที่ 19-21 ส.ค.2554 เพื่อนำกลุ่มนักธุรกิจเข้าพบสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.เตีย บันห์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ของกัมพูชา เพื่อนำคณะนักธุรกิจจากต่างประเทศมาเจรจาเรื่องการลงทุนในธุรกิจพลังงาน รวมทั้งหารือเรื่องการสัมปทานแหล่งปิโตรเลียมในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ไทย-กัมพูชา ช่วยรัฐบาลไทย ถึงแม้ว่านายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะแถลงข่าวเมื่อวันที่ 18 ส.ค.2554 ที่ผ่านมาว่า เขาได้โทรศัพท์พูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะไม่เดินทางเข้าประเทศกัมพูชาทั้งก่อนและหลังเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นวัน ที่ 22-28 ส.ค.นี้
วานนี้ (19 ส.ค.) นายเทพพนม นามลี ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จังหวัดสุรินทร์ ให้สัมภาษณ์ระหว่างเดินทางเข้าประเทศกัมพูชา เพื่อเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ได้รับแจ้งให้เดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ในวันเสาร์ที่ 20 ส.ค. ที่จังหวัดเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา โดยผ่านการประสานงานจากเจ้าของบ่อนการพนันคนหนึ่งในกัมพูชาที่รู้จักกัน โดยตนได้นำกลุ่ม นปช.อีสาน นั่งรถตู้ 2 คัน เดินทางไปพบปะและเยี่ยมให้กำลังใจ พ.ต.ท.ทักษิณ

จับโกหกนโยบายหน้าไหว้หลังหลอก ใช้งบติดสินบนขยายหมู่บ้านเสื้อแดง (ผ่าประเด็นร้อน)


การแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของรัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเป็นครั้งแรกหลังเข้ามาบริหารประเทศในวันที่ 23-24 ส.ค.นี้จะเป็นกระจกบานแรกที่สะท้อนถึง กึ๋นและวุฒิภาวะความเป็นผู้นำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ชัดเจนในระดับหนึ่ง

การแถลงนโยบายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ครั้งนี้ยังเป็นบททดสอบการซ้อมซักฟอก รัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะฝ่ายค้าน ว่ายังจะเฉียบคมตรงประเด็นโดนใจมหาชนมากน้อยแค่ไหนหรือจะเป็นเพียงการเล่น เกมตีสำนวนโวหารที่หาสาระอะไรไม่ได้ในการตรวจสอบนโยบายของรัฐบาล

สำหรับพรรคเพื่อไทยตามข่าวระบุว่าหวาดหวั่นกันยกใหญ่ถึงกับเตรียมรับมือทั้ง จัดทีมองครักษ์เพื่อพิทักษ์นายกฯหญิงยิ่งลักษณ์ดุจไข่ในหิน เพราะกลัวว่านายกฯหญิงยิ่งลักษณ์ซี่งมีขีดจำกัดในเรื่องความสามารถเพราะทำ ได้แค่แถลงตามสคริปที่จัดไว้จะถูกพรรคประชาธิปัตย์อภิปรายชำแหละคาสภาแล้ว แก้ตัวไม่ได้จนต้องอับอายเสียผู้เสียคน




บทบาทของ นายกฯยิ่งลักษณ์ ตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้งทั่วไปที่ถูกประคบประหงมมาตลอดโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้เป็นพี่ชายที่จับน้องสาวเชิดให้เข้าสู่สนามการเมืองจนได้นั่งเก้าอี้ผู้ นำประเทศ ซี่ง นายกฯยิ่งลักษณ์ ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่ได้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และวุฒิภาวะความเป็นผู้นำ เลยแม้แต่น้อยนอกจากบทเป็นหุ่นเชิดที่มีทีมงานคอยจัดสคริปให้พูดและคอยประคบ ประหงมให้เล่นตามบทอยู่ตลอดเวลา โดยที่ นายกฯยิ่งลักาณ์ มีหน้าที่แสดงตามบทที่ถูกชักใย และพูดแบบแผ่นเสียงตกร่อง ไม่ตรงประเด็นและเลี่ยงคำถามอยู่ตลอดเวลา

ภาวะการไม่กล้าสู้หน้าเผชิญปัญหาเห็นได้ชัดตั้งแต่ช่วงก่อนการเลือกตั้งทั่ว ไปที่ นายกฯยิ่งลักษณ์ ปฏิเสธหนีการเข้าร่วมการหาเสียงแสดงวิสัยทัศน์แบบซึ่งหน้าหรือดีเบต ซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้เหมือนกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ผิดเพี้ยน โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชอบสร้างภาพและพูดแบบด้านเดียวจะไม่ยอมโต้เถียงกับใครแบบเผชิญหน้าเพราะกลัว ถูกจับโกหกและรู้ทัน

ด้วยจุดอ่อนของความไร้วุฒิภาวะความเป็นผู้นำและขาดวิสัยทัศน์ที่จะตอบคำถาม ต่อสาธารณชนอย่างฉะฉานได้ตลอดเวลา จึงไม่แปลกที่ นายกฯยิ่งลักษณ์ หาทางหลบหน้าการตอบคำถามสื่อมวลชนด้วยการวางกรอบการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน อย่างเป็นทางการเพียงสัปาดห์ละ 2 วัน

ส่วนในการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภาครั้งนี้ นอกจากจะมีทีมองครักษ์ไว้คอยพิทักษ์นายกฯยิ่งลักษณ์ ดุจไข่ในหินแล้ว นายกฯยิ่งลักษณ์ ยังตอกย้ำถึงการไร้ความสง่างามของความเป็นผู้นำประเทศโดยวางแผนหนีการชี้แจง ตอบโต้ข้อกล่าวหาของฝ่ายค้านด้วยการมอบหมายให้รองนายกฯแต่ละคนเป็นผู้คอยชี้ แจงตอบโต้ฝ่ายค้านแทน โดยที่ตัวเองลอยตัวไม่ต้องรับผิดชอบ

สำหรับการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาครั้งนี้คาดว่าาพรรคประชาธิปัตย์จะชำแหละ นโยบายของรัฐบาลใน 2 เรื่องใหญ่ๆ นั่นคือเนื้อหาของนโยบายรัฐบาลในแต่ละเรื่องซึ่งหลายเรื่องสะท้อนให้เห็นถึง ความสับสนขาดความชัดเจนและไม่ตรงตามที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงไว้กับสาธารณชน ช่วงเลือกตั้ง โดยเฉพาะนโยบายที่จะขั้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาททั่วประเทศและปรับเพดานเงินเดือนขั้นต่ำ สำหรับผู้จบปริญญาตรีทั้งข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งภาคเอกชน เริ่มต้นที่ 15,000 บาท

อีกเรื่องหนึ่งซึ่งมีความสำคัญมากและเชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์จะหยิบยกมา ชำแหละรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็คือ กรณีที่ นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช ส.ส.บัญชีรายชื่อ แกนนำพรรคเพื่อไทย เดินสายไปเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงทั่วภาคอีสานโดยล่าสุด นายสุชาติ เป็นประธานเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงที่บ้านนามั่ง ต.บ้านยวด อ.สร้างคอม จ.อุดรธานี พร้อมกับประกาศว่ารัฐบาลจะมอบเงินกองทุนให้หมู่บ้านเสื้อแดงหมู่บ้านละ 1 ล้านบาท รวมทั้งกองทุนเอสเอ็มอีให้หมู่บ้านเสื้อแดงอีกหมู่บ้านละ 5 แสนบาท โดยหมู่บ้านไหนเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงก่อนจะได้ก่อน

ในบรรดานโยบายที่รัฐบาลจะแถลงต่อรัฐสภาครั้งนี้รวมถึงการสร้างความปรองดอง และการปฏิรูปการเมือง แต่การที่แกนนำของพรรคเพื่อไทยติดสินบนด้วยการนำเงินของแผ่นดินไปขยายฐานมวล ชนคนเสื้อแดงเพื่อมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยในลักษณะนี้ ถือเป็นการบ่อนทำลายประชาธิ ปไตย อีกทั้งสวนทางกับการสร้างความปรองดองและการปฏิรูปการเมืองอย่างสิ้นเชิง

ที่สำคัญพรรคเพื่อไทยยังส่อเจตนาใช้อำนาจรัฐและงบประมาณแผ่นดินเพื่อผลทาง การเมืองโดยมุ่งขยายฐานมวลชนคนเสื้อแดงหวังยึดครองประเทศซึ่งอาจทำให้พรรค เพื่อไทยเข้าข่ายถูกยุบพรรค

ทีมข่าวการเมือง

จ้อง'รื้อระบบ'เปาบุ้นจิ้น!

คิดชั่วช้ากุมอำนาจหมด จ้อง'รื้อระบบ'เปาบุ้นจิ้น! ทลาย-ยึดกุม3แหล่งเงิน เพื่อมิให้ใครคานอำนาจ
ซุบซิบไทยอินไซเดอร์
เห็นกระบวนท่าของ “น้องปูกิ๊” และ “ยี้เหน่งสายล่อฟ้า” แล้วต้องบอกได้คำเดียวว่า “เสียของ” โดยเฉพาะเรื่อง “หน้าตาครม.” ที่เปิดออกมาแล้ว “ขี้เหร่” แถมยัง “ทะเล่อทะล่า” ทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง...หาเหาใส่หัวโดยใช่เหตุ
แรกๆ แค่เรื่อง “หน้าตาขี้เหร่-รมต.ขี้ยี้” ก็ยังพอทน...แต่พอ “ยี้เหน่งสายล่อฟ้า” หยิบเรื่อง “นักโทษเหลี่ยมจัด” ขึ้นมาเล่นแบบไม่อิดออด  ทั้งเรื่องการร้องขอ “ทางการยุ่น” ให้ออกวีซ่าเข้าประเทศ หรือเปิดประเด็นเรื่อง “คืนพาสปอร์ต” โดยตอนแรกออกนอกหน้า ให้สัมภาษณ์จนเกินงาม พอรู้ตัวว่า “พลาด” ก็พลิกลิ้นทันที บอกไม่รู้เรื่อง
แต่ที่ “ขำกลิ้งลิงกับหมา” ก็คือ “นักโทษเหลี่ยมจัด” คิดจะไปที่ไหน ที่นั่นมักจะมีภัย...ก็ ไม่ต้องดูอื่นไกล ที่แดนปลาดิบ...ที่ออกข่าวใหญ่โตว่าได้วีซ่าเข้าเมืองแบบฉลุย แต่กลายเป็นว่า หลังจากนั้นปุ๊บ...เกิดแผ่นดินไหวปั๊บ...ประมาณ 6.6 ริกเตอร์...ห่างเมืองโตเกียวประมาณ 300 กิโลเมตร...ทำให้เห็นชัดๆว่า “ตัวซวย” ไปที่ไหนก็ทำให้ “ที่นั่น...ซวย” อ้าว...ใครอยากให้ “ตัวซวย” ไป...ก็เชิญตามสบายไทยแลนด์…555
แต่เมื่อหันมาดู “น้องปูกิ๊” แล้วยิ่งแล้วใหญ่...แค่คอยหลบคำถามสื่อที่มุ่งกระแทกเป้า...ก็ยังเกือบเอาตัวไม่รอด พอต้องมาตอบเรื่อง “พี่ชายตัวดี” ก็หงึกๆ งักๆ กลัวพูดไรไปแล้วจะ “ผูกมัด” แต่จะชิ่งมาก...ก็ถูกจับตาว่า “ไร้กึ๋น” สุดท้ายเลยต้องหันไปพึ่งบริการ “นักลอกข่าวหน้าจอตู้คนดัง” เพราะจะได้เตี๊ยมสคริปต์ “ถาม-ตอบ” กันได้ล่วงหน้า แต่ก็มาตกม้าตาย...เพราะคำพูดที่เอ่ยเอื้อนออกมา “ไม่ได้ออกมาจากมันสมองหรือความคิดตัวเอง” ดังนั้นจึงมีรายการ “หลุด” พูดผิดๆ ถูกๆ ตลอด แต่เอาล่ะ ก็ต้องถือว่า “ทีมพีอาร์” ทำงานได้ผล
ไม่เท่านั้น...ทีมพีอาร์ยังแก้เกมด้วยการให้ “น้องปูกิ๊” เดินออกมาสร้างภาพกับสื่อ เมื่อวันศุกร์ดิบที่ผ่านมา เพื่อลบภาพ “ชิ่งหนีสื่อ-กลัวสื่อถาม” แต่ของแบบนี้...ต่อให้สร้างภาพอย่างไร ถ้า “ไร้กึ๋น” วันหนึ่งข้างหน้าก็ต้องเจอดีอีกแน่
จะเห็นว่า “อาการลองของ” ของ “นักโทษเหลี่ยมจัด” นั้น...ทำให้เห็นธาตุแท้เดิมที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เพราะ “ถ้ามีอำนาจเมื่อไหร่-มักใช้อำนาจแบบไม่สนใจใคร” ที่เห็นล่าสุดก็คือ กรณีการบีบให้เขี่ย “อัศวินอ้วนดำ” (ซึ่งแนบชิดพรรคแมลงสาป) ที่รักษาการในเก้าอี้หัวหน้าสีกากีภาค 1 มาเกือบปี จนเหลืออีกไม่กี่วันก็จะเกษียณราชการแล้ว แต่พอ “น้องปูกิ๊” มีอำนาจ...แรงบีบก็ถูกสั่งมาให้เตะโด่งไป
เพื่อเปิดทางให้ “เสี่ยแจ๊ส” ที่ใครๆ ก็รู้ว่าคือ “หวานใจ” ของ “เจ้าแม่มูลนิธิรักเด็ก-สตรี-คนชรา” ขึ้นเขย่ง-ก้าว-กระโดด...มารับหน้าที่แทน อันเป็นการประกาศชัดว่า เก้าอี้นี้...ข้าจองล่วงหน้า
สาวไปสาวมา...ว่า “ทำไม” ถึงต้องเป็น “สีกากีคนนี้” ก็บังเอิญไปสะดุดกับข่าวที่ว่า มีบิ๊กสีกากี...ระดับ “ท่านรอง” คนนึง...ที่ดอดไปพบ “นักโทษเหลี่ยมจัด” ที่หนีคดีอาญาตามหมายจับของศาลไทย...แต่ดันไม่ทำหน้าที่ “แจ้งจับ” พอกลับมาไม่นาน...ก็ได้ดิบได้ดี...ทีเดียวเชียว
ความบังเอิญยังไม่หมดเท่านั้น...เพราะไปเจอะเจอกับ “คนใกล้ชิดนักโทษเหลี่ยมจัด” โดยที่ “เขา/เธอ” ไม่รู้ว่า “ไต่กอ” นั่งอยู่ด้วยก็ยิ่งมันส์พะย่ะค่ะ...เพราะมีรายการ “โชว์ซ่าส์” ให้ได้เห็นถึง “ความมุ่งมั่น” ของ “นักโทษเหลี่ยมจัด” รายนี้...ว่า “พิษสงร้ายกาจ...เพียงใด”

แจกแจงกันง่ายๆ ก็คือ “อำนาจสำคัญ” ในเมืองไทยที่ถูกต้องตามตัวบทกฎหมายก็คือ “อำนาจบริหาร-อำนาจนิติบัญญัติ-อำนาจตุลาการ” โดย 2 อำนาจแรกเวลานี้ “นักโทษเหลี่ยมจัด” ได้ครอบครองและยึดกุม...ผ่าน “โคลนนิ่ง-นอมินี-ขี้ข้า” เรียบร้อยแล้ว อันเป็นไปตามสูตรที่ได้หาเสียงคือ “นักโทษคิด-โคลนนิ่งทำ-นอมินีตาม-ขี้ข้าไม่มีหือ”...555
ไม่เช่นนั้น...จะไม่เห็นอาการดี๊ด๊า...เปิดประเด็นเรื่อง “แก้รัดทำมะนวยฉบับหัวคูณ” โดยซ่อนปมในประเด็นมาตรา 309 ที่จะ “ปลดล็อก” ให้ “ทุกคน” แต่ นัยยะแท้จริงแล้ว ก็มุ่งทำเพื่อ “นักโทษเหลี่ยมจัด” คนเดียว และที่เปิดประเด็นออกมาในช่วงนี้ ก็เพื่อ “วัดกระแส” ว่า “แรงต้าน” หนักหนาสาหัสแค่ไหน
เพราะเวลานี้...เล็งเห็นแล้วว่า “อานุภาพ” ของ “เหลืองข้างถนน” ไม่แข็งแกร่งเหมือนเก่า...เพราะ “กำแพงหนา” ที่เคยทะลุทะลวงยาก...ตอนนี้เหมือน “ปุยนุ่น” ที่แค่เป่าก็ลอยฟุ้งกระจาย เหตุผลก็เพราะตัว “ผู้นำจอมกร่าง” ที่แฝงตัวในคราบ “จอมโจรสื่อ” ทำตัวเองล้วนๆ...เพราะอย่างที่ “ไต่กอ” ย้ำมาตลอดคือ “ม็อตโต้” ของ He คนนี้คือ “ขอ-ไม่ได้-ด่า” แต่ถ้า “ขอ-(แล้ว)ได้-(จะ)เชลียร์”...ยิ่งเวลานี้มีข่าวเม้าท์กระจายว่า เที่ยววิ่งไปหา “สารพัดเจ่เจ๊” ที่มีอิทธิฤทธิ์ในกระทรวงไอซีที...เพื่อวิ่งขอรับงานเก่าๆ ตามเดิม...
ก็อยากให้เฝ้าดูไว้ว่า...เวลานี้ “สื่อในสังกัดจอมโจร” ยังไม่ออกอาการ “ด่าเต็มๆ” กับ “รัฐบาลน้องปูกิ๋” แต่ถ้าทุกอย่างฉลุยตามที่ตัวเอง...ต้องการ...รับรองได้ว่า มีรายการ “เชลียร์สุดลิ่ม” เหมือนครั้งหนึ่งที่เคยประกาศว่า “นักโทษเหลี่ยมจัด...เป็นนายกฯที่ดีที่สุด” แต่หากไม่ได้อะไรดั่งใจ...ก็ให้รอดูว่า “สื่อในสังกัด” จะเริ่ม....ด่า...แบบจัดเต็ม ทำให้เห็นชัดๆ ว่า มี Hidden Agenda…555

ผิดกับ “อานุภาพแดงแรงฤทธิ์” ที่เวลานี้ “หมู่บ้านสีเลือด” มีกระจายทุกหย่อมหญ้า และแน่นปึ้ก!!!
จึงเหลือ “อำนาจตุลาการ” เท่านั้น...ที่เป็น “หอกข้างแคร่” ถูกฝ่ายตรงข้าม-ฝ่ายอำมาตย์...ใช้ทิ่มแทงและจัดการ “ขั้วเหลี่ยมจัด” มาตลอด...จึงมีแนวคิดจะ “รื้อระบบ” ทำให้เป็น “คณะลูกขุน” เหมือน “พี่เบิ้มพญาอินทรี” เพื่อต้องการ “ลดทอนอำนาจของ ท่านเปาบุ้นจิ้นทั้งหลาย” และหากทำได้สำเร็จ ก็เป็นการประกาศชัยชนะเหนือ “อำนาจเก่าแก่” ที่เคยมีมาในเมืองไทย...ว่า “จบแล้ว...คร๊าบท่าน”
ที่บอกมาในเรื่อง “รื้อระบบ” ให้เป็น “คณะลูกขุน” นั้น...ก็เป็น “แนวคิด” ที่ “อยากจะทำ”...แต่เรื่องเฉพาะหน้าที่ต้องการ “ขจัดให้พ้น” ก็คือ...การยกเลิก “ศาลรัดทำมะนวย” ที่รู้กันดีว่าคือ “เครื่องมือ” อันทรงประสิทธิภาพ...ที่เวลานี้ “ขั้วเหลี่ยมจัด” ไม่สามารถแทรกซึมเข้าไปได้เหมือนแต่ก่อน

ยิ่งเวลานี้...กำลังจะคัดเลือก “ท่านผู้นำคนใหม่” เพื่อมาแทนที่ “คนเก่า” ที่ติดบ่วงเรื่อง “เลขาฯทำพิษ” จึงเจอแรงบีบทุกทิศ...ในที่สุดก็ต้องยอมถอย
แว่วมาเข้าหู “ไต่กอ” อีกว่า...“ท่าน ผู้นำศาลรัดทำมะนวยคนใหม่” จะไม่ใช่บุคคลที่ปรากฏชื่อว่าเป็น “ตัวเต็ง” แต่อย่างใด แต่จะเป็นคนที่นิ่งๆ ง่ายๆ แต่ “คมในฝัก” และพร้อมจะต่อกรกับ “กระบวนยุทธป่วนทุกท่า” ที่มีเข้ามาในอนาคต เพราะอย่างที่ “พี่ใหญ่-อ.ย.” ย้ำมาตลอด...การต่อสู้จากนี้ไป จะงัด-จะฟัด...กันที่ “กฎหมายล้วนๆ” ดังนั้น “ใคร” เชี่ยวชาญ...เป็นต่อทางด้านนี้...ย่อมได้เปรียบ!!!
ที่พูดมาสะกิดเตือน “ขั้วเหลี่ยมจัด” ในเวลานี้ ก็เพื่อกระตุกเตือนไว้ล่วงหน้า...เพราะเรื่องแบบนี้ “มันท้าทาย” และ “สุ่มเสี่ยง” ต่อ “การไร้อนาคตในแผ่นดินนี้” เป็นอย่างยิ่ง...แต่เรื่อง “เฉพาะหน้า” ที่ “ขั้วเหลี่ยมจัด” จะเร่งดำเนินการแบบฉับพลันทันทีก็คือ “การกำจัดแหล่งเงิน” ที่จะมา “คานอำนาจ” ของพวกเค้าได้...นั่นก็คือ “เงินจากบ่อน/หวย-เงินจากยาเสพติด-เงินในตลาดหุ้น”
เพราะ “3 แหล่งเงิน” ที่ว่านี้...หากปล่อยให้ “ใครมีมาก” ก็จะเป็น “หอกข้างแคร่” และ “ถ่วงดุลยอำนาจ” ของ “ขั้วเหลี่ยมจัด” ในอนาคตได้...ให้ จับตาจากนี้ไปว่า หลัง “น้องปูกิ๊” ผ่านการแถลงนโยบายอย่างเป็นทางการเสร็จสิ้น...พร้อมเดินหน้า “เลือกตัวบุคคล” มาใช้งานในตำแหน่งหน้าที่ “ที่สั่ง” แล้ว...การเร่งปราบบ่อน/หวย...การเร่งปราบยาเสพติด จะมีปรากฏออกมาต่อสาธารณชนแบบถี่ยิบ

ทางหนึ่ง...ก็เพื่อโชว์ผลงานว่า “รัฐบาลน้องปูกิ๊” มีฝีมือและทำได้จริงๆ และทำเรื่องแบบนี้ มีแต่ “คนสรรเสริญ”
ทางหนึ่ง...ก็เพื่อสร้างภาพว่า “เอาจริง-เอาจัง” กับเรื่องเหล่านี้ เพื่อดัดหลัง “พรรคแมลงสาป” ที่เสมือนไร้ความสามารถ
ซึ่งเอาล่ะ...ก็ไม่ว่ากัน...เพราะทำเรื่องดีๆ แบบนี้ แม้จะมี “สิ่งแอบแฝง” อยู่ก็ตาม แต่สำหรับ “การกำจัดแหล่งเงินทุนในตลาดหุ้น” นั้น...ถือว่า “หมูมาก” สำหรับ “นักโทษเหลี่ยมจัด” เพราะยังไม่ทันไร ก็มีแรงบีบไปถึง “ผู้บริหารตลาดหุ้น” ให้ลาออก เพื่อจะได้ “ส่งคน” ของ “ตัวเอง” เข้าไปครอบงำ ทั้ง “ตลท.” และ “ก.ล.ต.” ที่คนเคยบริหารลาออกไปรับเก้าอี้หญ่าย “ขุนคลัง” ไปแล้ว
ส่วนใครที่ไม่ใช่พวก หรือใครที่เป็นศัตรู...ก็เตรียมรอคอยการ “เช็คบิล” ในสไตล์ที่เรียกว่า “เหลี่ยมจัดให้” ได้เลย...555
ของแบบนี้ “คนรู้ทันตัวจริง” เท่านั้น...ที่ “มองออก” ใช่มั๊ย...เหลี่ยมเอ๊ย
.................................
คอลัมน์ “ซุบซิบไทยอินไซเดอร์”
โดย “ไต่กอ”

ใต้ขอมีเอี่ยวศพละ 10 ล้าน

หลัง จากที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ (นปช.) ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน ถึงกรณีที่ นปช. จะขอให้รัฐบาล ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เยียวยาผู้ทีได้รับผลกระทบจาก เหตุการณ์สลายการชุมนุม พ.ค. 53 โดยให้ญาติผู้ที่เสียชีวิต ทั้ง 91 ศพ รายละ 10 ล้านบาท นั้น

ข่าวสารในจุดนี้ ได้ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร อาสาสมัครรักษาดินแดน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน หรือ แม้แต่เจ้าหน้าที่รัฐในส่วนอื่น ๆ และ พี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ได้ทำหน้าที่ปกป้องรักษาประเทศชาติ ดูแลรักษาความสงบสุขในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

ซึ่งทางรัฐบาลได้ช่วยเหลือเยียวยา เพียงรายละ 200,000 – 500,000 บาท เท่านั้น ซึ่งถ้าหากรัฐบาล ได้ทำตามข้อเสนอของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และ ยังเป็นแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ (นปช.) ก็จะเกิดคำถามแก่ครอบครัวของผู้ที่ทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติ ไม่ว่าผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ แม้แต่ปฏิบัติหน้าที่ในภูมิภาคอื่นของประเทศ ว่าจะเป็นการปฏิบัติที่ไม่มีความเท่าเทียมกัน จะเป็นการให้ความช่วยเหลือแบบ 2 มาตรฐาน อย่างแน่นอน

นางสุดาพร จอมคำสิงห์ ภรรยาของ นายสนิท จอมคำสิงห์ อาสาสมัครรักษาดินแดน อ.เมืองยะลา ที่ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิต ขณะขับขี่รถ จยย. กลับบ้านพัก หลังจากเสร็จสิ้นการปฏิบัติหน้าที่ดูแลความปลอดภัยครู เหตุเกิดบนถนนสายทางลัดลำใหม่ เมื่อวันที่ 7 ก.ย.53 ที่ผ่านมา ซึ่งต้องขาดผู้นำครอบครัว ต้องดูแลแม่ที่แก่ชรา เพียงลำพัง รายนี้ กล่าวว่า การที่มีการเรียกร้องเงินเยียวยา ผู้ที่เสียชีวิต เหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง ที่กรุงเทพฯ รายละ 10 ล้านบาท มันสิ่งที่ไม่ยุติธรรม และ ไม่สามารถที่จะเปรียบเทียบกันได้ เพราะตนเองต้องสูญเสียผู้นำครอบครัว

ในส่วนที่กรุงเทพฯเกิดจากเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง แต่ผู้ที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่ 3 หวัดชายแดนภาคใต้เกิดจากการดูแลปกป้องบ้านเมือง และเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นไม่มีอะไรคืบหน้า เหตุการณ์ก็เกิดมาหลายปีแล้ว

สำหรับเงินเยียวผู้ได้รับผลกระทบ ตนเองได้รับมาจำนวน 500,000 บาท ถ้าหากว่าทางกรุงเทพ ฯ เรียกร้องเป็นเงินรายละ 10 ล้านบาท ไม่ยุติธรรมเอามากๆ ตนเองอยากให้ทางรัฐบาลลงมาดูแลพื้นที่บ้าง ว่าพื้นที่เป็นยังไง ซึ่งทุกวันนี้คนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เหมือนถูกทอดทิ้ง ทางรัฐบาลไม่เคยลงมาดูแลจริงๆเลย

นายนิมุ มะกาเจ ผู้ทรงคุณวุฒิจังหวัดยะลา และประธานสภาที่ปรึกษาเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดยะลา ในฐานะผู้นำศาสนาที่เฝ้ามองปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ กล่าวว่า กรณีการชดเชยเงินแก่ผู้ที่เสียชีวิต หรือ ผู้เสียหาย ที่ กรุงเทพฯ นั้น ในบัญญัติศาสนาอิสลาม ไม่ได้ระบุถึงค่าตัวราคาชีวิตมนุษย์ในการตาย ชดเชยด้วยราคาเท่าไร เพียงแต่บอกว่า ชีวิตต่อชีวิต ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ในกรณีผิดกฎหมายซารีอะห์ คือ ฆ่าเขา เมื่อถูกเขาฆ่า ตัดมือเขาเมื่อเขาตัดมือ มิได้กำหนด ชดใช้ราคากี่บาท

ซึ่งเหตุการณ์ที่มีการชุมนุมที่กรุงเทพฯของกลุ่มเสื้อสีต่างๆ มีการบาดเจ็บ พิการ และ ล้มตาย ก็ได้มีการเรียกร้องราคาผู้เสียหาย ผู้บาดเจ็บ ผู้พิการ และ ผู้เสียชีวิต เป็นเรื่องอำนาจ พลังของกลุ่มผู้เรียกร้อง หรือ บุคคลในการต่อรองเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะกลุ่มที่เขามี ถ้าหากรัฐบาลยอมชดใช้จากเหตุการณ์ที่อ้างทำเพื่อบ้านเมือง ก็ต้องกำหนดมาตรฐานทั่วไปเป็นแนวปฏิบัติ โดยขอให้รวมทั้งเหตุการณ์เพื่อบ้านเมืองในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไปด้วย ผู้ที่ได้รับการชดเชยชดใช้แต่ละคน จะเปรียบเทียบความสมดุลพอดี การได้ที่มากกว่า การได้ที่น้อยกว่า ตั้งแต่การชดเชยชดใช้ ในกรณีเหตุการณ์ ที่มัสยิดกรือเซะ จ.ปัตตานี เหตุการณ์การสลายการชุมนุม หน้า สภ.ตากใบ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส

ผช.ศ.ดร.สมบัติ โยธาทิพย์ คณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา กล่าวว่า ตนเองอยากให้คำนึงถึงมาตรฐาน วันนี้มีการเรื่องร้องแบบ 2 มาตรฐาน ถ้าหากว่าจะมีการทำสักที่หนึ่ง หรือ สักจุดหนึ่ง อย่างเช่น ในกรุงเทพฯ ที่ราชประสงค์ รัฐบาลก็ต้องกลับมามองในพื้นที่ของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยว่า คนเหล่านี้ที่อยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็เกิดการสูญเสีย เช่นกัน มีการสูญเสียของเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ อส. อรบ. ชรบ. พลเรือน ครู และ ที่สำคัญคือ พี่น้องประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์

ซึ่งคนเหล่านี้ต้องได้รับมาตรฐานเดียวกันกับในกรุงเทพฯ ได้รับ เพราะฉะนั้น ตนเองอยากให้คำนึงถึงพี่น้องประชาชน และ เจ้าหน้า ที่ ที่อยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่จะต้องยืนหยัดต่อสู้ปกป้องอธิปไตย เรื่องของแผ่นดิน ที่ต้องเสียสละชีวิต เพื่อทำหน้าที่ปกป้องผืนแผ่นดินไทย คนเหล่านี้ ต้องได้รับเหมือนกับคนกรุงเทพฯเรียกร้องเช่นกัน เป็นอย่างน้อย ถ้าหากในส่วนของคนกรุงเทพฯได้มากขึ้น ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีการสูญเสีย ก็ควรจะได้รับเป็นมาตรฐานในส่วนเดียวกันกับกรุงเทพฯ

เป็นยังไงบ้างครับ ความคิดเห็นของบุคคลที่ได้รับผลกระทบโดยตรงต่อเหตุการณ์ ความคิดเห็นของบุคคลผู้อาวุโส และนักวิชาเกิน แบบทางเมืองหลวง กทม. ใครจะเจ๋งกว่าใครระหว่าง จชต.กับ กทม.

ทีนี้เราก็มาลองคำนวณตัวเลขค่าเยียวยาสำหรับทางชายแดนใต้กันบ้าง ว่ามันจะระทึกใจแค่ไหน

จากข้อมูลของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เดือน สิงหาคม 2554

ข้อมูลจาก ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ได้รายงานสถิติเหตุรุนแรงในพื้นที่ปลายด้ามขวาน ประกอบด้วยจังหวัด ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ได้แก่ อ.จะนะ เทพา สะบ้าย้อย และนาทวี ดังนี้...

ปี 2547 มีผู้เสียชีวิตตลอดปี 2547 ทั้งหมด 566 คน บาดเจ็บ 639 คน เจ้าหน้าที่รัฐ เสียชีวิต 179 คน บาดเจ็บ 278 คน ประชาชน เสียชีวิต 271 คน บาดเจ็บ 351 คน และคนร้ายเสียชีวิต 116 คน

ปี 2548 เกิดเหตุการณ์ 1,889 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 574 คน บาด เจ็บ 1,113 คน แบ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐเสียชีวิต 209 คน บาดเจ็บ 409 คน ประชาชน เสียชีวิต 355 คน บาดเจ็บ 686 คน คนร้าย เสียชีวิต 10 คน บาดเจ็บ 18 คน

เหตุการณ์ห้วงระยะเวลา รัฐประหาร 2549 จนถึงรัฐบาลชุด “ดีแต่พูด”กระเด็นตกเก้าอี้

ปี 2549 เกิดเหตุการณ์ 2,064 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 648 คน บาด เจ็บ 1,187 คน แบ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เสียชีวิต 222 คน บาดเจ็บ 373 คน ประชาชน เสียชีวิต 410 คน บาดเจ็บ 799 คน คนร้าย เสียชีวิต 16 คน บาดเจ็บ 15 คน

ปี 2550 เกิดเหตุการณ์ 2,664 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 943 คน บาด เจ็บ 1,687 คน แบ่งเป็น เจ้า หน้าที่รัฐ เสียชีวิต 221 คน บาดเจ็บ 567 คน ประชาชน เสียชีวิต 678 คน บาดเจ็บ 1.111 คน คนร้าย เสียชีวิต 44 คน บาดเจ็บ 9 คน

ปี 2551 มีเหตุการณ์ 1,067 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 536 คน บาดเจ็บ 970 คน แบ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เสียชีวิต 155 คน บาดเจ็บ 504 คน ประชาชน เสียชีวิต 339 คน บาดเจ็บ 455 คน คนร้ายเสียชีวิต 42 คน บาดเจ็บ 11 คน

ปี 2552 มีเหตุการณ์ไม่สงบ 919 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 544 คน บาดเจ็บ 1,035 คน แบ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ 51 คน บาดเจ็บ 305 คน ประชาชนเสียชีวิต 455 คน บาดเจ็บ 728 คน คนร้ายเสียชีวิต 38 คน บาดเจ็บ 2 คน

ปี 2553 มีเหตุการณ์ไม่สงบทั้งหมด 922 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต ทั้งหมด 489 คน บาด เจ็บ 938 คน แบ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เสียชีวิต 41 คน บาดเจ็บ 334 คน ประชาชนเสียชีวิต 428 คน บาดเจ็บ 604 คน คนร้ายเสียชีวิต 20 คน

ปี 2554 ม.ค.-มิ.ย. ตลอด 6 เดือน มีเหตุรุนแรงรูปแบบต่างๆ เกิดขึ้นทั้งสิ้น 479 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต ทั้งสิ้น 262 ราย แยกเป็นประชาชน 223 ราย ทหาร 29 นาย และตำรวจ 10 นาย

ผู้เสียชีวิต เฉพาะประชาชน เท่านั้นน่ะครับ รวม 3,159 คน (ไม่นับผู้บาดเจ็บ) ก็ลองเอา 10 ล้านคูณเข้าไป ว่ามันจะเป็นเงินเยียวยามหาศาลแค่ไหน

เปิดใจ รมว.กระทรวงพลังงาน

ศาลปกครองกลางตัดสิน ยกฟ้องคดีสรรหากสทช.

  เผยกก.สรรหาทำถูกต้อง หลังถูกว่าทำไม่โปร่งใส!!

 

"ศาล ปกครองกลาง" ยกฟ้องคดีสรรหากสทช. ย้ำ "กรรมการสรรหา" ทำถูกต้องตามก.ม.แล้ว หลัง "สุรนันท์" 1 ในผู้สมัครรับคัดเลือกร้องเรียน กล่าวหาการสรรหาไม่โปร่งใส
วันที่ 22 ส.ค.2554 ศาลปกครองกลาง ได้อ่านคำพิพากษาในในคดีหมายเลขดำที่ 1173/2554 ระหว่างนายสุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร ผู้ฟ้องคดี กับคณะกรรมการสรรหาคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ที่ 1 กับพวกรวม 2 คน ผู้ถูกฟ้องคดี ขอให้ศาลฯมีคำสั่งให้คณะกรรมการสรรหาฯ ส่งรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกที่ได้คะแนนสูงสุดเรียงตามลำดับ ตามมาตรา 6(3) ด้านเศรษฐศาสตร์ ในวันที่ 25 เม.ย.ไปยังประธานวุฒิสภา ภายในกำหนดเวลาคัดเลือก

ทั้งนี้ ศาลปกครองกลาง เห็นว่ากรรมการสรรหาดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายแล้ว จึงพิพากษายกฟ้อง

สำหรับ คดีนี้นายสุรนันท์ หนึ่งในผู้สมัครรับการคัดเลือกเป็นกรรมการ กสทช. ได้ยื่นฟ้อง คณะกรรมการสรรหา กสทช. กับพวกรวม 15 คน เรื่องเป็นหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่รัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยระบุว่าประธานคณะกรรมการสรรหา กสทช. กับพวก ดำเนินการสรรหา กสทช. โดยไม่โปร่งใส ไม่เสนอชื่อนายสุรนันท์ ให้เป็นผู้ได้รับการพิจารณาคัดเลือก 1 ใน 4 หลังจากที่พบว่าการสรรหาในวันที่ 25 เม.ย.2554 นายอรรถชัย บุรกรรมโกวิท ซึ่งได้รับคะแนนเลือกเป็นอันดับ 3 เป็นกรรมการของบริษัท อสมท.จำกัด(มหาชน) ซึ่งถือว่าขาดคุณสมบัติตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553

ซึ่งในทางปฏิบัติที่ถูก ต้องควรจะต้องมีการเลื่อนผู้ที่ได้รับคะแนนถัดไป ขึ้นมาในบัญชีรายชื่อแทน ซึ่งนายสุรนันท์ ได้รับคะแนนเป็นอันดับ 5 แต่คณะกรรมการสรรหา กสทช. กลับใช้ดุลพินิจให้ลงคะแนนคัดเลือกใหม่แทน ในการประชุมครั้งที่ 13 เมื่อวันที่ 29 เม.ย.54 แล้วลงคะแนนเลือกนายยุทธ์ ชัยประวิตร เป็นผู้ได้รับคะแนนอันดับ 7 แทนนายอรรถชัย ทั้งๆ ที่ตามกฎหมายแล้วการคัดเลือกใหม่จะทำได้ก็ต่อเมื่อผู้สมัครมีคะแนนเท่ากัน เท่านั้น นายสุรนันท์ จึงขอให้ศาลเพิกถอนการกระทำที่ไม่ชอบดังกล่าว ให้ผู้ถูกฟ้องทั้งหมด ร่วมกันเสนอชื่อนายสุรนันท์ ที่ได้รับเลือกในวันที่ 25 เม.ย.54 ไปยังประธานวุฒิสภาพิจารณาตามขั้นตอน

แกนนำแดงสุรินทร์ โวโทรคุยกับ กีร์ อริสมันต์ ที่เขมร เผยเล็งตั้ง "นปช.2"


เผย! อริสมันต์ เตรียมตั้ง “นปช.2”
เผย! อริสมันต์ เตรียมตั้ง “นปช.2”
แกนนำแดงสุรินทร์ โวโทรคุยกับ กีร์ อริสมันต์ ที่เขมร เผยเล็งตั้ง "นปช.2" เตรียมแจงรายละเอียด 26 ส.ค.นี้ 
(22 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากมีกระแสข่าวว่า นายเทพพนม นามลี ประธานกลุ่มนปช. จ.สุรินทร์ และคณะ 21 คน เดินทางไปประเทศกัมพูชา เพื่อพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 ส.ค. ที่ผ่านมา
ล่าสุด เมื่อวันที่ 21 ส.ค. นายเทพพนม ซึ่งเดินทางกลับมาจาก จ.เสียมราฐ ประเทศกัมพูชา เปิดเผยว่า การเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ครั้งนี้ ในตอนแรกมีความมั่นใจว่าจะได้พบแน่นอน แต่เมื่อไปถึงสถานที่นัดพบผู้ประสาน งานโทรมาบอกว่าให้กลับบ้าน ตนก็รู้สึกแปลกใจเพราะมีการประสานงานกันเรียบร้อยก่อนเดินทางไป จึงพาคณะ เที่ยวปราสาทนครธม เพื่อผ่อนคลายหลังเหน็ดเหนื่อยกับการช่วยงานช่วงเลือกตั้ง
นายเทพพนม ยังกล่าวอีกว่า ระหว่างอยู่ที่ จ.เสียมราฐ มีโอกาสได้โทรศัพท์พูดคุยกับ นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง แกนนำนปช. ซึ่งหลบหนีคดีอยู่ที่ประเทศกัมพูชา และได้นัดพบเจอกันอีกครั้งในวัน 26 ส.ค.นี้ เพื่อคุยรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องการก่อตั้งสมาพันธ์ประชาชนสร้าง ประชาธิปไตย (สปสป.) ที่มีลักษณะคล้ายกับการก่อตั้งนปช. ส่วนรายละเอียดจะสรุปหลังพบปะพูดคุยกันในวันดังกล่าวอีกครั้ง

นปช.หลังภารกิจ “นั่งร้าน”ให้การกลับมาของทักษิณ

โดย Tan Rasana

คน ทั้งประเทศยังคงจำได้ไม่ลืมถึงข้อเรียกร้องของกลุ่ม นปช.หรือกลุ่มแนวร่วมประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กับการเคลื่อนไหวที่มีลักษณะก้าวร้าวรุนแรง ส่งผลให้เกิดความสูญเสียต่อทุกฝ่าย ผู้คนทุกฝ่ายบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก เป็น “สงครามที่มีแต่ผู้แพ้” เมื่อโอกาสเปิดให้มีการเลือกตั้ง พันธมิตรระหว่างทักษิณเครือญาติและกลุ่มการเมืองที่สนับสนุน กับกลุ่มนปชก็.ได้ดำเนินการจัดตั้งเพื่อเอาชัยชนะหลังเหตุการณ์ปะทะขั้น รุนแรงที่แยกราชประสงค์ ถึงขั้นเผาบ้านเผาเมือง

โค่นอำมาตย์ สร้างประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ขจัดสองมาตรฐานสร้างความเป็นธรรมในสังคม

นี่คือข้อเรียกร้องโดยสรุป ประเด็นอื่นๆที่นอกเหนือจากนี้ ล้วนแวดล้อมคำขวัญนี้ทั้งสิ้น

ข้อ เรียกร้องนี้ เรียกร้องต่อรัฐบาล ปชป. กลายเป็นวาทกรรมที่ปลุกกระแสลุกขึ้นสู้ไปในขอบเขตทั่วประเทศ โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคอีสาน จนเกิดมวลทางความคิดที่จะแย่งยึดอำนาจรัฐในทุกวิถีทาง การถอยร่นก้าวหนึ่งของกลุ่มอำนาจเก่าที่ นปช.มองว่าเป็นตัวแทนของเหล่าอำมาตย์ด้วยการจัดให้มีการเลือกตั้ง ทำให้สถานการณ์ผ่อนคลายลง และท้ายที่สุด พันธมิตรทักษิณกับนปช.ก็แย่งยึดสัมปทานอำนาจรัฐในระยะเวลา ๔ ปีได้สำเร็จ

ประเด็น หลังจากนั้นก็คือ เมื่อได้อำนาจรัฐมาแล้ว ทักษิณกับนปช.ยังจะคงสัมพันธภาพอันแนบแน่นในลักษณะที่ -นปช.กองหน้าโค่นอำมาตย์ ทักษิณกองหนุน(ท่อน้ำเลี้ยง)เบื้องหลังอยู่หรือไม่ เมื่อเป้าหมายบรรลุแล้ว ทักษิณได้กลับเข้าสู่อำนาจผ่านตัวแทนแล้ว คู่ความขัดแย้งก็เปลี่ยนไป นปช.ซึ่งไม่ได้มีสถานะองค์กรจัดตั้งแบบรัฐ แต่เป็นขบวนการเคลื่อนไหวมวลชน จะเรียกร้องสถานภาพใด และจะมีข้อต่อรองใดกับรัฐบาลนอมินีทักษิณ ..??

นี่ย่อมเป็นประเด็นที่หัวขบวนที่ไร้เอกภาพของ นปช.ไม่เคยขบคิด วางแผน หรือสร้างพิมพ์เขียวใดๆเอาไว้ก่อน

การ จัดตั้งรัฐบาลโดย “ประกาศิตดูไบ”ของทักษิณกับเหล่าสัมภเวสีทางการเมือง มี นปช.สักคนที่ได้รับเทียบเชิญให้เข้าร่วมหารือ อย่างน้อยก็เป็นโควต้าเก้าอี้และศักดิ์ศรีของ “กองหน้าผู้ยอมพลีกายตายแทน”

ไม่ ใช่เป็นการตบหน้าหรอกหรือ  เมื่อการละเมิดสัญญาประชาคม อาจเข้าข่ายทรยศหักหลังต่อข้อเรียกร้องของ นปช.อย่างรุนแรงเกิดขึ้น หลังการโค่นรัฐบาลที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวแทนอำมาตย์ รัฐบาลใหม่ที่มี “นายกจับยัด”ชื่อยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รัฐบาลใหม่ดังกล่าวก็ส่อเค้าที่จะทำตัวเป็น “อำมาตย์ใหม่”เสียเอง

ปรากฏการณ์ ที่นายกฯหุ่นกระบอกเองต้องวิ่งหาเกียรติยศแสดงความจงรักภักดีประดับบ่าเพื่อ ให้สมเกียรติทั้งๆที่ไม่เคยได้รับและไม่ใช่เกียรติภูมิของตัวเอง ซึ่งน่าจะทำให้ขบวนของ นปช.ต้องตั้งคำถามกับตัวเอง

ประเด็น ข้อเรียกร้องที่จะสร้างระบอบประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ก็จบเห่ไปท่ามกลางความ โกลาหล ท่ามกลางฝุ่นควันของการวิ่งเต้นต่อรองผลประโยชน์ของเหล่าสัมภเวสีทางการ เมือง โดยที่ไม่มีใครสักคนในพรรคเพื่อไทยจะกล่าวถึงแกนนำ นปช.ทุกแกนที่ยังมึนงงและหนักไปกว่านั้นก็คือยังหาสาเหตุของความมึนงงของตัว เองไม่เจอ

ประชาธิปไตยที่ นปช.เรียกร้องถึงขั้นนองเลือดนั้น ก็มาจบลงง่ายหลังจากที่นปช.เป็น “นั่งร้าน”ให้กับทักษิณไปแย่งยึดสัมปทานอำนาจรัฐ และได้ประกาศ “ประกาศิตดูไบ”เพื่อสยบข้อต่อรองทั้งปวงของทุกฝ่ายหลังชัยชนะจากการเลือก ตั้ง

ความระส่ำระสายเรื่องการจัดวางความสัมพันธ์ใหม่ระหว่าง พันธมิตรเก่าทักษิณ –นปช.ทำให้ แกนนำระดับฮาร์ดคอร์ จตุพร พรหมพันธุ์ ระเบิดข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลเรื่องเงินชดเชย ๑๐ ล้านต่อหนึ่งศพแดง ที่ยิ่งหมิ่นเหม่ต่อความเป็นสองมาตรฐานที่ตัวเองแอบอ้างใช้ในการต่อสู้โค่น ล้มอำมาตย์ เพราะผู้สูญเสียจากวิกฤติการณ์ทางการเมืองไม่ได้มีเฉพาะ นปช. ๙๑ ศพ หากแต่ยังมีทหาร พลเรือนและผู้เสียหายจากการถูกเผาถูกปล้นชิงอีกจำนวนไม่น้อย และนี่กลายเป็นเป้าใหญ่ให้สังคมได้หันกลับมามองว่า การระเบิดข้อเรียกร้องของแกนนำที่ได้รับสมญาว่า “คางคกตู่”เป็นการฉวยโอกาสหาเสียง หรือปฏิบัติการแก้เกี้ยวต่อความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไปของทักษิณซึ่งอาจเรียก ได้ว่าทรยศหักหลัง หรือว่าเป็นวิธีการ “แบล็คเมล์”รัฐบาลหุ่นกระบอกเอาดื้อๆ ..???

บทบาทของ นปช.หลังภารกิจ “นั่งร้าน”ให้กับระบอบทักษิณได้หวนกลับสู่อำนาจอีกครั้ง จะเดินไปทางไหนทิศใด ยังต้องรอเวลาพิสูจน์ แต่ที่เห็นเป็นอยู่ก็คือ ความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไปอย่างกลับตาลปัตรในความสัมพันธ์พันธมิตร ทักษิณ-นปช. นี่เป็นหินลองทองที่จะพิสูจน์ว่า ขบวนการของ นปช.นั้นเป็นของแท้หรือของเทียม ข้อเรียกร้อง โค่นอำมาตย์ สร้างประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ขจัดสองมาตรฐานเพื่อสร้างความเป็นธรรมในสังคม นั้นจะยังคงเป็นข้อเรียกร้องของขบวนนี้เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปทางการเมืองที่ แท้จริงหรือไม่

การตรวจสอบอำมาตย์ใหม่รัฐบาลนอมินียิ่งลักษณ์ การยืนหยัดตรวจสอบ “ประกาศิตดูไบ”ที่รวบอำนาจจัดตั้งรัฐบาลว่าจะเป็นเค้าลางของระบบเผด็จการรูป แบบใหม่หรือไม่ การโอ้โลมปฏิโลมมวลชนเสื้อแดงด้วยคำสัญญิงสัญญาให้จัดตั้งหมู่บ้านเสื้อแดง แห่งละ ๑ ล้านบาทนั้นเป็นการสร้างมองมาตรฐานให้เกิดขึ้นในสังคมหรือไม่

นี่คือบทพิสูจน์เบ็ดเสร็จของขบวนการ นปช.และขบวนการเสื้อแดงว่าเป็นของแท้หรือแค่ของเทียม.
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง