บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554

“ยะใส” ไขก๊อก ก.ม.ม.ลุยการเมืองภาค ปชช.สู้ รบ.โคลนนิง “แม้ว”

เลขาธิการ ก.ม.ม.พร้อม กก.บห.เสียงส่วนใหญ่ ตัดสินใจถีบทิ้งพรรคการเมืองใหม่แล้ว เตรียมปรับยุทธศาสตร์เดินเกมคู่ขนานการเมืองภาคประชาชน ในนามกลุ่มการเมืองสีเขียว รองรับสถานการณ์รัฐบาล “ยิ่งลักษณ์” มั่นใจย้อนยุคระบอบทักษิณ บ้านเมืองจะลุกเป็นไฟอีกครั้ง พร้อมเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ม.นิด้า
     
       นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ ในฐานะผู้ประสานงานกลุ่มการเมืองสีเขียว กล่าวว่า ในพรุ่งนี้ตนพร้อม กก.บห.พรรคการเมืองใหม่ (ก.ม.ม.) รวม 10 คน ที่ร่วมกันรณรงค์โหวตโนกับพันธมิตรฯ ได้ตัดสินใจทยอยยื่นใบลาออกจากสมาชิกพรรคการเมืองใหม่เรียบร้อยแล้ว และได้ปรึกษากันในกลุ่ม รวมทั้งผู้ปฏิบัติงานพรรคบางส่วน พร้อมจะลาออกมาร่วมขับเคลื่อนกันเพื่อสร้างการเมืองแบบใหม่ ในเบื้องต้นจะชูแนวทางการเมืองสีเขียว โดยใช้ชื่อกลุ่มการเมืองสีเขียว ไปก่อน โดยจะเน้นการขับเคลื่อน การเมืองที่สะอาด มีประสิทธิภาพ สร้างความเป็นธรรมในทุกๆ ด้าน และให้ความสำคัญกับปัญหาด้านทรัพยากรสิ่งแวดล้อม ที่เป็นวิกฤตขนาดใหญ่ ทั้งในระดับประเทศ และในระดับโลกด้วย
     
       “เราตระหนักถึงความเสียสละของพี่น้องพันธมิตรฯ ที่สละเวลา แรงกายแรงใจ และทุนทรัพย์มาช่วยงานพรรคการเมืองใหม่ เมื่อบางส่วนอยากทำงานในนามพรรคการเมืองใหม่ต่อ ก็ทำกัน ผมเคารพการตัดสินใจของทุกคน ส่วนตัวผมกับ กก.บห.บางส่วนก็เห็นความสำคัญของการสร้างการเมืองแบบใหม่ แต่เมื่อเกิดปัญหากับคนทำงานด้วยกัน แนวทางต่างกัน ก็แยกทางกันด้วยดี ส่วนตัวไม่มีปัญหากับใคร ที่ผ่านมาถือเป็นบทเรียนที่ตนและทีมงานต้องสรุปบทเรียน โดยเฉพาะทฤษฎี 2 ขา และการจัดความสัมพันธ์ระหว่างพรรคการเมือง กับการเมืองภาคประชาชน” นายสุริยะใส กล่าว
     
       นายสุริยะใส กล่าวต่อว่า เป็นห่วงว่า สถานการณ์การเมืองยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ อาจมีการใช้การเมืองนอกสภาเคลื่อนไหวค้ำจุนอำนาจรัฐบาล จนทำให้การเมืองภาคประชาชน หรือการเมืองที่ตอบโจทย์ปัญหาปากท้องประชาชนถูกบิดเบือนและหดหายไปจากวาระ ทางการเมือง นอกจากนี้ สัญญาณของความก้าวร้าวทางอำนาจก่อตัว ความปรองดองเป็นแค่โวหาร และบทบาทคุณทักษิณ ที่ไม่ยอมสรุปบทเรียน และไม่ยอมรับคำพิพากษา อาจจะจุดชนวนให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟได้อีกครั้ง รัฐบาลนี้ประชาชนเลือกให้มาไถ่บาป หรือให้โอกาสเข้ามาแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาด ถ้าไม่สรุปบทเรียนก็เดินตามรอยระบอบทักษิณ ซึ่งกลุ่มการเมืองแนวทางสีเขียวจะไม่ละทิ้งที่จะตรวจสอบรัฐบาลอย่างแน่นอน
     
       นายสุริยะใส กล่าวอีกว่า อยากให้พลังของพี่น้องประชาชนที่ไม่อยากเห็นการเมืองแบบใหม่ต้องสูญเปล่า จึงพูดคุยชักชวนกันมาตั้งกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง ในนาม “กลุ่มการเมืองสีเขียว” ซึ่งตนได้หารือและขอคำปรึกษาจากแกนนำพันธมิตรฯ ทุกท่านแล้ว โดยมีกำหนดเปิดตัวอย่างเป็นทางการ และมีการแถลงถึงพันธกิจและวิสัยทัศน์ในวันที่ 27 ส.ค. ตั้งแต่เวลา 09.00 น.เป็นต้นไปที่ห้องประชุมจิระ บุญมาก ม.นิด้า (บางกะปิ)

ASTVผู้จัดการออนไลน์

ร่วมพัฒนาแหล่งน้ำมันไทย-กัมพูชา...ระวังผลประโยชน์ทับซ้อนในพื้นที่ทับซ้อน

บท ความใน Phnom Penh Post เมื่อวานนี้ย้ำว่ารัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ของไทยจะต้องเร่งเจรจากับรัฐบาล กัมพูชาเพื่อร่วมกันเจาะหาน้ำมันและแก๊สธรรมชาติในทะเลที่อยู่ในเขตพิพาท เพื่อจะได้แบ่งรายได้อันมหาศาลนี้
บทความอ้างถึง Wikileaks ที่เปิดเผยเมื่อเดือนที่แล้วว่า สถานทูตสหรัฐฯอ้างคำพูดของอดีตผู้จัดการใหญ่ของบริษัท Chevron ว่ารายได้จากการพัฒนาแหล่งน้ำมันจุดนี้จะมากมายมหาศาลถึงขิ้นที่จะ "ปฏิวัติกัมพูชา" ได้เลยทีเดียว
เขตนี้เรียกว่า Overlapping Claims Area (OCA) ซึ่งคนเขียนบทความนี้บอกว่ามีความสำคัญและเร่งด่วนไม่น้อยไปกว่าประเด็น พิพาทว่าด้วยเขาพระวิหารด้วยซ้ำไป
สำหรับเขมร, นี่คือแหล่งงรายได้สำคัญยิ่ง และสำหรับไทย นี่คือช่องทางการหาแหล่งพลังงานสำหรับอนาคต เพราะไทยไม่อาจจะพึ่งแก๊สจากพม่าได้ตลอดไป
คนเขียนบทความนี้ (Tom Brennan) วิเคราะห์ว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ควรจะต้องถือโอกาสที่บรรยากาศความสัมพันธ์กับ รัฐบาลกัมพูชาไปในทางบวกเริ่มเจรจาเพื่อหาข้อสรุปเพื่อการร่วมกันพัฒนาให้ ได้เร็วที่สด
"ดูจากประวัติศาสตร์การเมืองไทยแล้ว โอกาสเช่นว่านี้จะเปิดได้ไม่นานนักหรอก" เขาสรุป
นัก วิเคราะห์คนนี้ไม่ได้กล่าวถึงความสงสัยคลางแคลงของคนไทยไม่น้อยว่ารัฐบาลชุด นี้จะเจรจาเรื่องนี้ด้วยความโปร่งใสและไม่มีประเด็นเรื่อง "ผลประโยชน์ทับซ้อน" ได้อย่างไร โดยเฉพาะเมื่อเคยมีข่าวว่าคุณทักษิณมีความสนใจที่จะผลักดันเรื่องนี้เป็น พิเศษ...และหากรัฐบาลไม่แยกให้ชัดว่าอะไรคือผลประโยชน์ของชาติ, อะไรคือผลประโยชน์ธุรกิจส่วนบุคคลหรือกลุ่มบุคคล, ก็จะกลายเป็นเรื่องอิ้อฉาวที่คนไทยจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นอีกนั่นแหละ
รัฐมนตรี พลังงานคนใหม่ได้แสดงความกระตือรือร้นในโครงการนี้เช่นกัน แต่เขาจะทำอย่างไรให้การเจรจามีความชัดเจนโปร่งใสว่านี่ไม่ใช่โครงการที่จะ เอื้อประโยชน์เฉพาะกลุ่มผู้มีอำนาจการเมืองเท่านั้น?

สุทธิชัย หยุ่น 

มันใช่สาระสำคัญรึป่าวละ ? หาก“ชูวิทย์” แฉ “บ่อนกลางกรุง” รับงาน พท.

by เสต็ปเทพ
        หลังจากที่เสี่ยอ่าง นาย ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์แฉกลางสภาถึงการปล่อยปละละเลยของ จนท.ตำรวจ ในการเอาจริงเอาจังกับการปราบปรามอบายมุขกลางเมืองกรุง
        การแฉของเสี่ยอ่าง ทำให้ จนท.ตำรวจ ถึงกับร้อนเป็นไฟ นั่งไม่ติด ส่งผลให้ ผบ.ตร. พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ออกปฎิกิริยา ลงนามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 516 / 2554 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง เมื่อวันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา
        โดยแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว ประกอบด้วย พล.ต.อ. สถาพร หลาวทอง จเรตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานกรรมการ พล.ต.ท.เอกรัตน์ มีปรีชา จเรตำรวจ (สบ8) พล.ต.ต.วิมล เปาอินทร์ รองจเรตำรวจ (สบ 7) พล.ต.ต.ขจรศักดิ์ ปานสาคร ผู้บังคับการ กองบังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจสันติบาล พล.ต.ต.ปรีชา ธิมามนตรี ผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เป็นกรรมการ
         โดย คำสั่งนี้มีขึ้นหลัง ผบช.น. พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ชี้แจง ผบ.ตร.ถึงผลการตรวจสอบเบื้องต้น ว่าไม่มีบ่อนในพื้นที่นครบาล ตามที่นายชูวิทย์กล่าวอ้าง และแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่าตรวจสอบไม่พบบ่อนในพื้นที่แต่อย่างใด
          พร้อม ลงคำสั่งเร่งด่วนย้าย พล.ต.ต.ดำรงค์ศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 2 และผู้กำกับ สน.สุทธิสาร ไปช่วยราชการกองบัญชาการตำรวจนครบาลเป็นเวลา 30 วัน
          ท่ามกลางความชื่นชมของฝ่ายที่เห็นด้วยกับการทำหน้าที่ฝ่ายค้านในการออกมาแฉ ความปล่อยปละละเลยของ จนท.ตำรวจ ในการปราบปราบอบายมุข พร้อมแฉในเรื่องส่วยในบ่อนดังกล่าว ว่าเจ้าของบ่อนส่งส่วยให้ตำรวจที่รับผิดชอบวันละ 2 ล้านบาท เดือนหนึ่งตกราว 60 ล้านบาท
         ส่วนพวกที่ไม่เห็นด้วย กลับไปพูดในทำนองว่า รัฐบาลยังไม่เริ่มงานเลย ไปว่าเขาแล้ว พร้อมเหน็บชอบสร้างกระแส
         อย่างไรก็ตาม มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ กันไปทำนองที่ใครหลายคนคาดไม่ถึงว่า ชูวิทย์รับงาน พรรคเพื่อไทย ในการเลื่อยเก้าอี้ ผบ.ตร. พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี  และ ผบช.น. พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา
         เนื่อง จาก มีเหตุผลที่ว่า นายใหญ่แห่งดูไบ และอดีตภรรยา มีความตั้งใจที่จะดัน พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ขึ้นตำแหน่ง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
        ครั้นจะไปปลด พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เสียดื้อๆ แบบสมัย พล...เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ก็ทำได้ยาก เพราะ ผบ.ตร.คนนี้ก็มีบารมีอยู่ไม่น้อย ดังนั้นแล้ว จำต้องหา เงื่อนไขจะได้ไม่เป็นการกลั่นแกล้ง
        รวมไปถึง การหาทางย้าย ผบช.น. พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา เพราะ ผบช.น ท่านนี้ อย่างที่ทราบดีว่าเป็นเด็กของ นายเนวิน ชิดชอบแกนนำพรรคภูมิใจไทย ดังนั้นแล้ว การยิงเป็นนัดเดียวได้นกสองตัว จึงหนีไม่พ้นปล่อยให้ ชูวิทย์แฉจะได้มีเงื่อนไขล้างบางขั้วตำรวจ ซะเลย
        แนวความคิดแบบนี้ ผมว่า มันไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะการที่มาบอกว่า ชูวิทย์รับงาน พท. ในการแฉบ่อนกลางกรุง เราจะไปสนใจทำไม ในเมื่อประชาชนเป็นฝ่ายได้ประโยชน์ ปัญหาอบายมุขกลาดเกลื่อนกรุง เราเองในฐานะประชาชน มีความต้องการให้ จนท.ตำรวจ จัดการไม่ใช่เหรอ !
       พอมี ผู้แทนราษฎร ออกมาทำหน้าที่เพื่อประชาชน กลับไปมองข้ามช็อต ว่ารับงานคนอื่นมา
       ไม่เข้าใจจริงๆ เลย ต่อการจินตนาการในเชิงลบ
       เราน่าที่จะมองถึงประโยชน์ของประชาชนมาเป็นหลักก่อนนะ ! เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง

มาเฟียกับการเมือง



รัฐมนตรีแรงงานหลอกด่าผู้ใช้แรงงาน


ค่าแรงขั้นต่ำ300บาท นโยบายหลอกควาย!!

ผมนั่งย้อนดูคลิปหาเสียงของยิ่งลักษณ์ในจังหวัดต่างๆ

ในทุกจังหวัด ยิ่งลักษณ์ย้ำ!!ชัดเจนว่า "ค่าแรงขั้นต่ำ300บาทเอามั้ยค้า?" ชาวบ้านทั้งหลายต่างก็ร่วมประสานเสียงว่า เอา!!

และหลังจากเพื่อทุย ชนะเลือกตั้ง ข่าวในวันที่15กรกฎาคม นายปลอดแหก เอ้ย ปลอดประสพ รองหน.พรรคเพื่อทุย ก็ออกมาแถลงข่าวว่า ค่าแรงขั้นต่ำ300บาท ทำไม่ได้ใน90วัน

"ที่เราหาเสียงไว้ว่า จะทำทั่วประเทศ และทำทันทีนั้น ในความเป็นจริงแล้ว คงทำไม่ได้ เพราะต้องเข้าใจด้วยว่า นั่นเป็นการพูดเพื่อหาเสียง แต่ทั้งหมดนั้นก็เป็นสิ่งที่เราตั้งใจจะทำให้ได้ โดยเบื้องต้นที่ทำได้แน่นอน หลังจากได้เป็นรัฐบาลเรียบร้อยแล้วคือ ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน จะมีบางจังหวัดที่ได้ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาทแน่นอน" (ข่าวคมชัดลึก)

ต่อมายิ่งลักษณ์แถลงนโยบาย ค่าแรงขั้นต่ำ300บาท ก็แปลงร่างกลายเป็นรายได้300บาทไปแล้ว

ถ้าท่านเป็นคนไม่ใช่ควาย!! ท่านย่อมต้องรู้ว่าคำว่า ค่าแรงขั้นต่ำ300บาท กับรายได้300บาทต่อวัน มันแตกต่างกัน!!

เพราะค่าแรงขั้นต่ำมันต้องออกเป็นกฏหมายบังคับใช้ เป็นการปรับฐานทั้งระบบ!! ถ้านายจ้างคนไหนไม่จ่ายตามนี้ ถือว่าผิดกฏหมายแรงงาน

-------------------

รัฐมนตรีแรงงานหลอกด่าผู้ใช้แรงงาน

แล้วข่าวล่าสุด รมว.กระทรวงแรงงาน ที่ชื่อนายเผดิมชัย ก็ออกมาพูดซ้ำอีกครั้งแล้วว่า

“หลังนายกรัฐมนตรีแถลงนโยบาย ผู้นำแรงงานก็ได้ออกมาแสดงความไม่พอใจ บอกว่า เป็นการบิดเบือนนโยบายหาเสียง และกดดันให้รัฐบาลทำตามที่ได้หาเสียงไว้ แรงงานไม่ควรแก่เห็นประโยชน์ฝ่ายเดียว และถามว่า จะได้อะไรเพียงอย่างเดียว จะต้องฟังเหตุฟังผล และให้เกียรติคนอื่นด้วย อยากให้แรงงานบอกว่าตัวเองจะต้องทำอะไรเพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้น เช่น การพัฒนาฝีมือทักษะให้ดีขึ้น เพื่อให้นายจ้างรู้สึกว่าได้รับประโยชน์คุ้มค่าจากการปรับขึ้นค่าจ้าง ผมอยากจะปรับค่าจ้างให้แรงงานใจจะขาด แต่ถามว่า ถ้าไปปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาททันที ใครจะจ้างงานได้ จะทำให้มีคนตกงานเพิ่มขึ้น” นายเผดิมชัย กล่าว

http://astv.mobi/Ascmf4H

เป็นไงครับ ก่อนเป็นรัฐบาลในช่วงหาเสียงพวกเขาต่างโปรยยาหอม ลดแลก แจกแถม หลอกคนโง่ๆ ให้หลงใหลไปลงคะแนนเสียงให้เขาได้อำนาจ ครองเมือง

มาวันนี้เมื่อพวกเขาได้อำนาจแล้ว พวกที่ไปเลือกเขาเพื่อหวังค่าแรงขั้นต่ำ300บาท ก็โดนเขาด่ากลับมาแล้ว เป็นไงล่ะ??

โปรดอ่าน ที่ท่านรัฐมนตรีเขาด่าชัดๆอีกครั้ง

"แรงงานไม่ควรแก่เห็นประโยชน์ฝ่ายเดียว และถามว่า จะได้อะไรเพียงอย่างเดียว จะต้องฟังเหตุฟังผล และให้เกียรติคนอื่นด้วย"

"ผมอยากจะปรับค่าจ้าง ให้แรงงานใจจะขาด แต่ถามว่า ถ้าไปปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาททันที ใครจะจ้างงานได้ จะทำให้มีคนตกงานเพิ่มขึ้น"


------------------------

ถ้าคุณผู้อ่าน ได้ตามกระทู้ของผมในสนุกและในบทความหลายบทความ ผมเขียนวิเคราะห์ไปแล้วทั้งนั้นว่า ค่าแรงขั้นต่ำ300บาทมันไม่มีทางทำได้ทันทีตามที่โม้ ผมเขียนไว้ตั้งแต่ยังไม่เลือกตั้งด้วยซ้ำ

แล้ววันนี้ สิ่งที่ผมบอกไว้ และที่หลายๆคนคาดการณ์ไว้มันก็เกิดขึ้นแล้วจริงๆ

นายทุนการเมืองยังหลอกคนจนเหมือนเดิม

-----------------------


ผู้ใช้แรงงานทั้งหลายถ้าพวกคุณไปต่อว่าเขาว่า ทำไมไม่ทำตามที่เคยหาเสียง?

ท่านรมต.หรือพณฯท่านนายกฯหญิง อาจตอบพวกท่านด้วยหลักเหตุผลจนท่านอาจเถียงไม่ออก แต่ในใจของนายกฯหญิงและรมต.แรงงาน เขาอาจคิดในใจว่า ดีสมน้ำหน้า เสือกโง่มาเลือกพวกกูเอง!!




เซียนแซวการเมือง

ขุนพลประชาธิปัตย์ ฝากการบ้าน-แจกโจทย์เศรษฐกิจ จี้จุดอ่อนนโยบาย "ยิ่งลักษณ์-ทักษิณ"





หลัง จากใช้เวลากว่า 16 ชั่วโมงในการอภิปรายนโยบาย เหล่าองครักษ์-แม่ทัพเศรษฐกิจ ต่างลุกขึ้นชี้แจงจนมือระวิง เพื่อตอบคำถามจากฝ่ายค้าน

"ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ในฐานะนายกรัฐมนตรี ใช้เวลาชี้แจง 2 ช่วง 3 นาที 3 ประเด็น คือกองทุนน้ำมันฯ โครงการบ้านหลังแรก และการเอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้อง

เพราะ รายละเอียดบนเอกสาร 60 หน้า 8 นโยบายหลัก ถูกเกาะติด แกะทุกตัวอักษร เพื่อหาข้อติติงอย่างละเอียด โดยเฉพาะ 16 หัวข้อนโยบายเร่งด่วนที่จะดำเนินการในปีแรก

"ประชาชาติธุรกิจ" ประมวลผล บทสรุปนโยบายด้านเศรษฐกิจที่ฝ่ายค้านร่วมนำเสนอ เพื่อเป็นการบ้านให้ "รัฐบาลยิ่งลักษณ์" นำไปเป็นบทเรียนในการบริหารประเทศต่อไป

หนี้และภาระการเงิน-การคลัง

"กรณ์ จาติกวณิช" รับหน้าที่อภิปรายผลกระทบจากนโยบายรัฐบาล สู่สถานะทางการเงิน การคลังระดับชาติ โดยเริ่มต้นย้ำคำพูดที่ "สัญญา" กับ "นโยบาย" ที่ไม่ตรงกัน สร้างความ ผิดหวังให้กับประชาชน

เขาบอกว่า การประกาศพักหนี้ในวงเงินไม่เกิน 500,000 บาทให้กับเกษตรกรและผู้ที่มีรายได้ต่ำนั้น หมายถึงการพักหนี้ให้แก่เกษตรกรกว่า 70% ในสังกัด ธ.ก.ส.ที่มีมูลหนี้สูงถึง 4 แสนล้านบาท และต้องไม่ลืมคิดถึงตัวเลขลูกหนี้บัตรเครดิต หนี้บัตรเงินสด จำนวน 16 ล้านคน มูลหนี้ 3 แสนล้านบาทด้วย

โดยหากคิดอัตราส่วนที่รัฐบาลต้องเข้าไปชดเชยดอกเบี้ยแทนประชาชน ต้องใช้งบประมาณสูงถึง 1-2 แสนล้านบาท

ประเด็น ที่สองที่ "กรณ์" พูดถึง คือการขึ้นเงินเดือน ป.ตรี 15,000 บาท ที่หากคำนวณแค่ในระบบภาคราชการนั้นจะต้องจัดตั้งงบประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท และทำให้ครบวงจรถึงผู้ที่มีวุฒิการศึกษา ป.โท และ ป.เอก ที่ต้องขยับขึ้นด้วย จะทำให้มีภาระเพิ่มขึ้น 4.5 หมื่นล้านบาททันที

โครงการ "บ้านหลังแรก" ที่นอกจากจะจูงใจผู้ประกอบการด้วยการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลแล้ว "ยังมีการลดภาษีธุรกิจเฉพาะ ลดภาษีค่าโอนในส่วน ผู้ประกอบการ เพราะบางบริษัทก็กำไรมากมายอยู่แล้ว บริษัท เอส ซี แอสเซท เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ ทำรายได้เพิ่มขึ้นถึง 55% จากปีที่ ผ่าน ๆ มา ทำไมรัฐบาลจึงต้องเข้าไปช่วยเหลือ กรณีนี้เข้าข่ายการเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องแน่นอน"

"กรณ์" สรุปว่า กระบวนการทั้งหมด ภายใน 1 ปี จะทำให้เกิดหนี้สาธารณะจาก 41% ของ GDP เพิ่มขึ้นเป็น 50% ทันที และจะเพิ่มปริมาณใกล้เคียงกัน ทุกปี หากยังดำเนินการเช่นนี้ ดังนั้น รัฐบาลมี 3 ทางเลือกในการแก้ปัญหา คือไม่ทำนโยบาย กู้เงินมหาศาล หรือเก็บภาษีจากประชาชนทั่วไปให้มากขึ้น

"สรรเสริญ สมะลาภา" อภิปรายอ้างอิงผลการวิจัยของ ดร.เบญจรงค์ สุวรรณคีรี ลูกชายของนายไตรรงค์ สรุปความได้ว่า การขึ้นค่าแรงจะกระทบ กับภาคอุตสาหกรรมและสินค้าโดย ตรง เช่น วัสดุก่อสร้าง ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ และอาหาร

คำพยากรณ์สถานการณ์ เศรษฐกิจที่รัฐบาลจะต้องเผชิญ กับวิกฤตการณ์เงินเฟ้อที่จะเพิ่มขึ้นถึง 12-15% ในช่วง ปีหน้าเป็นต้นไป นับได้ว่าเป็นตัวเลขที่ มากกว่าสมัยที่ "รัฐบาลอภิสิทธิ์" บริหารประเทศ

การออกนโยบายลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ให้เหลือ 23% ในปี 2555 และเหลือร้อยละ 20 ในปี 2556 ต้องไม่ลืมว่า ทุก 1% ที่หายไป ทำให้รัฐสูญรายได้ 2.1 หมื่นล้านบาท

ค่าแรง 300-15,000 ต้องทำจริง

นโยบาย ที่ประชาชนลอยคอ-รอคอย ให้รัฐบาลดำเนินการตั้งแต่รู้ผลเลือกตั้ง คือการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท และปรับเงินเดือน ป.ตรี 15,000 บาท ซึ่งปรากฏอยู่ในศึกครั้งนี้อย่างละเอียด ชนิดจับผิดทุกตัวอักษร

ในฐานะแกนนำพรรคฝ่ายค้าน มอบหมายให้ "ธนิตพล ไชยนันทน์-อภิรักษ์ โกษะโยธิน-ประเสริฐ พงษ์สุวรรณศิริ" ร่วมชำแหละนโยบายดังกล่าว

"ธนิต พล" บอกว่า เมื่อแรงงานไทยได้รับค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท แรงงานต่างด้าวในประเทศจะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ส่งผลให้แรงงานไทยว่างงาน สินค้าจะราคาแพงขึ้น ก่อเกิดภาวะเงินเฟ้อ

ขณะที่ "อภิรักษ์" มองเห็นปัญหาจากนโยบายดังกล่าวว่า ปัจจุบันค่าครองชีพรายพื้นที่มีความแตกต่างกันสูง อย่างเช่น กทม. 215 บาท ภาคเหนือ 180 บาท ภาคอีสาน 170-180 บาท หากจะทำค่าแรงขั้นต่ำให้เป็น 300 บาททั่วประเทศ จะเกิดปัญหาทันที

หากเริ่มต้นภายในวันที่ 1 มกราคม 2555 จะส่งผลให้มีคนตกงาน 30% หรือ 3 แสนคน จากแรงงานทั้งหมด

ส่วน การปรับอัตราเงินเดือน ป.ตรี 15,000 บาท ที่อาจนำร่องให้กับราชการและรัฐวิสาหกิจนั้น หากเทียบตามบันไดขั้นเงินเดือนเดิม อัตราดังกล่าวจะเท่ากับคนที่ทำงานมาแล้วกว่า 10 ปี ซึ่ง ควรจะต้องปรับฐานเงินเดือนของคนที่มีอายุงานมากกว่าอย่างก้าวกระโดดตามไป ด้วย

"อภิรักษ์" บอกว่า หากไม่ทำครอบคลุมทั่วประเทศ ทุกสายอาชีพ ทุกระดับชั้น จะทำให้ระยะห่างระหว่างคนจน-คนรวย เพิ่มมากขึ้น

ห่วง "จำนำข้าว" ล้มไม่เป็นท่า

"น.พ.วรงค์ เดชกิจวิกรม" รับหน้าที่อภิปราย "โครงการจำนำข้าว"

เขา บอกว่า สิ่งที่หายไปในร่างแถลงนโยบายนี้ คือการรับจำนำข้าวเหนียว 18,000 บาท พร้อมย้ำรัฐบาลรับจำนำข้าวทุกเม็ด ทุกคน ในราคาข้าวเจ้า 15,000 บาท และข้าวหอมมะลิ 20,000 บาท ซึ่งรัฐบาลจะต้องใช้งบประมาณ 4-5 แสนล้านบาท

"หาก รัฐบาลจะเลือกใช้บัตรเครดิตชาวนาเข้ามาลดรายจ่ายให้กับเกษตรกร รัฐบาลต้องสัญญาก่อนว่าจะได้รับต้นทุนการผลิตที่ถูกลงจริง และต้องระวังเรื่องแก๊งหลอกบัตรเครดิต เพราะขนาดชนชั้นกลางยังโดน ครั้งนี้เกษตรกรจะกลายเป็นเหยื่อแทน"

ส่วน "เกียรติ สิทธีอมร" ย้ำว่า ในช่วงหาเสียงพรรครัฐบาลรับปากประชาชนไว้ว่าจะเริ่มให้ทันในฤดูกาลเก็บ เกี่ยวในเดือนพฤศจิกายนนี้ และทำให้ราคาข้าวสูงขึ้น แต่ส่วนตัวยืนยันว่าทำไม่ได้ ด้วยเหตุผล 2 ประการ คือ

1.ประวัติ ศาสตร์ 30 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลในหลายประเทศใช้เงินอุดหนุนข้าวไปแล้วกว่า 3.6 แสนล้านเหรียญสหรัฐ แต่ไม่มีครั้งไหนที่ทำให้ข้าวขยับราคาขึ้นตาม หัวใจหลักในการปรับราคานั้น คือหากมีสินค้าในสต๊อกสูง ราคาก็ตก หากมีสต๊อกต่ำ ราคาก็สูง สิ่งเหล่านี้มีตัวแปรจากดินฟ้าอากาศ และการปลูกพืชพลังงานทดแทน พื้นที่เพาะปลูก ไม่ใช่เกิดจากการแทรกแซงของรัฐ

2.ประเทศ ไทยเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก แต่ระเบียบระหว่างประเทศกำหนดไว้ว่า มาตรการแทรกแซงตลาดที่ดำเนินการไว้ก่อนที่จะเข้าร่วมเป็นสมาชิกจะต้องหยุด ไว้แค่นั้น แต่ต้อง ค่อย ๆ ลดลง 10% ต่อ 10 ปี และหากรับจำนำในราคาสูง ก็เป็นการจูงใจในการเพิ่มผลผลิต ก็เสี่ยงที่จะถูกฟ้อง เหมือนครั้งที่บราซิลเคยฟ้องสหรัฐ อเมริกา ในคดีฝ้ายมาแล้ว

ทั้งนี้ ราคาข้าวในตลาดโลกแตกต่างจากนโยบายรัฐถึง 5,000 บาท หากจะรับจำนำทั้งหมดจะใช้เงิน 4.7 แสนล้านบาท ทำให้รัฐบาลต้องขาดทุนทันที 1.5 แสนล้านบาท คำถามจึงมีอยู่ว่า รัฐบาลจะนำเงินจากไหนมาดำเนินการ ผิดกฎระเบียบหรือไม่ และจะทำอย่างไรไม่ให้ต่างชาติตอบโต้ทางการค้า

"ไตรรงค์ สุวรรณคีรี" หัวหอกผู้เชี่ยวชาญเรื่องข้าวเป็นพิเศษ รับหน้าที่เป็นดาบสุดท้ายของการอภิปรายได้บอกว่า หากวันนี้รัฐบาลเลือกที่จะทำระบบจำนำข้าวแล้วก็ต้องทำให้สำเร็จ หากทำไม่ได้ก็ต้องออกมารับผิดชอบด้วย

และการรับจำนำต้องกำชับเจ้า หน้าที่ให้ปฏิบัติงานอย่างซื่อสัตย์ ในข้อจำกัดเรื่องความชื้นให้ไม่เกิน 15% ต้องทำอย่างเคร่งครัด เพราะทุก ๆ 1% ที่ต่างออกไป นั่นเท่ากับว่าขาดทุนทันที 150 บาทต่อเกวียน

รวมถึงการตระหนักในการ ใช้งบประมาณ เพราะที่ผ่านมามีการใช้อย่างหละหลวม เสมือนความรู้สึกที่ว่าไม่ใช่เงินของตัวเอง เลยใช้เงินแบบไม่ระมัดระวัง ทำให้รัฐสูญงบประมาณไปอย่างเปล่าประโยชน์

เมื่อเริ่มโครงการรับจำนำ แล้ว รัฐบาลไม่มีโกดังเก็บข้าวเป็นของตัวเอง ต้องเช่าโรงสี ก็เสียเงิน ซึ่งข้าวที่เก็บไว้ในโกดังจากทุกรัฐบาลทั้งหมด 5.6 ล้านตัน ต้องจ่ายค่าเช่าและอัตราดอกเบี้ยเดือนละ 810 ล้านบาท คิดเป็นเงิน 1 หมื่นล้านบาท ในหนึ่งปี

การเก็บข้าวไว้ในโกดังเป็นเวลานาน ก็ส่งผลถึงคุณภาพ โดยที่ผ่านมามีการวิจัยแล้วว่า ข้าวสามารถเก็บได้เพียงแค่ 1 ปี 6 เดือน หากเกินกว่านั้น คุณภาพจะตกลง การเก็บไว้เกิน 2 ปี จะราคาตกลง 5% เกิน 3 ปี ราคาก็ตกลง 10%

"ในทฤษฎีการบริหารธุรกิจ เขาสอนว่า ให้หลีกเลี่ยงการเก็บสต๊อกสินค้า เน่าเปื่อย เพราะเก็บไว้ มีแต่จะสร้างความขาดดุล ข้าวเสียหาย ส่งผลให้ข้าวที่ไม่ได้ออกสู่ตลาดโลก มีผลทำให้ราคาสูงขึ้น แต่เวลาข้าวสูงขึ้น คนที่ได้ประโยชน์ไม่ใช่คนไทยอย่างเดียว เวียดนาม เขมร ปากีสถาน อินเดีย ก็ขายข้าวได้ดีขึ้น นี่คือดุลต้นทุนที่คนไทยต้องจ่ายปีละหมื่นกว่าล้านบาท"

"ไตรรงค์" เสนอว่า ข้อเสียของการรับจำนำข้าวอีกประการหนึ่ง คือการ ไม่ส่งเสริมให้ข้าราชการ ชาวนา ละเลยกับการไม่ยอมลดต้นทุน ซึ่งเป็นหัวใจหลักในการสร้างรายได้

จี้ทบทวนมาตรการพลังงาน

นโยบายที่ถูกคัดค้าน-ท้วงติงทันที ตั้งแต่พรรคเพื่อไทยเริ่มหาเสียง ถึงกระแสที่ว่าจะหยุดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน

"ม.ล.อภิ มงคล โสณกุล" บอกว่า นโยบายพลังงานรัฐบาล คือแผนบ่อนทำลายพลังงานทดแทน ไม่ว่าจะยุบหรือชะลอการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิง ต่างก็เป็นกระบวนการทำลายโครงสร้างพลังงานทั้งสิ้น คือไม่มีเงินชดเชยแก๊สหุงต้มให้กับภาคครัวเรือน ส่งผลให้ราคาทะยานขึ้นสูงเป็น 540 บาทต่อถัง

สุดท้ายจะมีผลกระทบต่อ การ ส่งเสริมพลังงานทดแทน เพราะเมื่อ งดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ราคาแก๊สโซฮอล์กับน้ำมันเบนซิน 95 จะแตกต่างกันเพียง 3 บาท และมีราคาสูงกว่าน้ำมันเบนซิน 91 ส่งผลให้คนขับรถจักรยานยนต์กลับไปใช้น้ำมันเบนซิน บริษัทผู้ผลิตจะต้องปิดตัวลง กระทบถึงเกษตรกรที่ปลูกพืชพลังงานอย่างอ้อย มันสำปะหลัง ก็จะขายไม่ได้ สุดท้ายแก๊สโซฮอล์จะสูญพันธุ์หายไปจากตลาด รัฐบาลจะมีแผนช่วยเหลืออย่างไร

ส่วน "อรรถวิชช์" ย้ำว่า นโยบายรัฐบาลเหมือนมาตรการ "แก้บน" ขอแค่ทำให้ได้ตามที่หาเสียง ส่วนจะเป็นไปอย่างถาวรหรือไม่ ยังตอบไม่ได้

คำ อภิปรายของ "อรรถวิชช์" มีคลิปภาพของ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ในช่วงปราศรัยหาเสียงประกอบ ด้วยถ้อยคำที่ว่า "ดิฉันจะกระชากค่าครองชีพ ด้วยการยกเลิกกองทุนน้ำมันฯ"

โครงการบัตรเครดิตพลังงานที่อาจช่วย เหลือประชาชนได้ไม่ถั่วถึง ในขณะที่สมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ได้อุ้มราคาให้คงที่ ได้รับประโยชน์ถ้วนหน้า

ปัญหารถไฟฟ้า-สนามบิน

"อนุชา บูรพชัยศรี" ท้วงติงเรื่องการพัฒนาระบบราง โดยเฉพาะรถไฟ แอร์พอร์ตเรลลิงก์ทั้ง 2 สาย คือพญาไท-สุวรรณภูมิ, มักกะสัน-สุวรรณภูมิ ที่เฉลี่ยมีรายได้เพียงวันละ 1 ล้านบาท จากผู้ใช้บริการ 30,000 คน

"ควร นำสนามบินดอนเมืองกลับมาใช้ใหม่ พร้อมทั้งส่งสัญญาณไปถึงภาคการบินทั่วโลกให้รับรู้ว่า ประเทศไทยพร้อมที่จะมี 2 สนามบินในระดับสากล"

"สามารถ ราชพลสิทธิ์" เตือนถึงการเก็บค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายว่า จะทำให้เกิดความไม่เป็นธรรม 3 ประการ คือไม่เป็นธรรมกับผู้โดยสารที่นั่งระยะสั้นที่ต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้น, รถโดยสารปรับอากาศอาจเรียกร้องให้ใช้มาตรฐานเดียวกัน และเมื่อรถไฟฟ้าไม่สามารถเลี้ยงตัวเองได้ รัฐบาลต้องให้เงินอุดหนุนปีละหลายหมื่นล้านบาท ต้องใช้เงินภาษีของคนทั่วประเทศมาช่วยเหลือคนกรุงเทพฯ

"อลงกรณ์ พลบุตร" ย้ำให้รัฐบาลดำเนินโครงการเปิดประตูการค้าด้าน ตะวันตกเชื่อมโยงวงแหวนเศรษฐกิจ East-West Economics Corridor เพื่อพัฒนาระบบการขนส่งอย่างครบวงจรทั่วประเทศ ซึ่งจะทำให้ตัวเลขทางการค้า การลงทุนสูงขึ้น




แฉพฤติกรรม'แดงถ่อย' ทุบรถชวนโชคดีรอดได้

แฉพฤติกรรม'แดงถ่อย' ทุบรถชวนโชคดีรอดได้ ใช้วิธีส่องดูรถใครนั่งมา ก่อนส่งซิกให้รุมทำร้าย!

"คน ปชป." ดาหน้าแฉพฤติกรรม "แดงถ่อย" หน้าสภา ถึงขั้นรุมทุบ "รถนายหัวชวน" แต่โชคดีรอดมาได้หวุดหวิด เผยใช้วิธีให้คนส่องดูรถแต่ละคันเพื่อค้นหาส.ส.ปชป. หากพบจะส่งสัญญาณให้พรรคพวกรุมด่า-รุมทำร้าย จี้ "มาดามปู" จัดการ ถ้าทำไม่ได้ก็บอก "นช.ต่างแดน" ให้โฟนอินมาบอกให้หยุด

วันที่ 26 ส.ค. 2554 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีปัญหากลุ่มคนเสื้อแดงคุกคามสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่น ทั้งกรณีที่คนเสื้อแดงรุมทำร้าย 2 นักศึกษาที่วางพวกหรีดประท้วงการทำงานของนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฏร เมื่อวันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมา และกรณีการส่งจดหมายอิเลคทรอนิคลูกโซ่ (ฟอร์เวิร์ด เมล์)ผ่านเครือข่ายคนเสื้อแดงมีเนื้อหาคุกคามผู้สื่อข่าวช่อง 7 ล่าสุดยังมีเหตุการณ์คนเสื้อแดงดักทำร้ายส.ส.ฝ่ายค้านอีกด้วย ซึ่งคนที่ได้รับผลกระทบคือ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์

โดยนายราเมศ รัตนะเชวง ทีมกฏหมายพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า พฤติกรรมของกลุ่มคนเสื้อแดง ยังคงเหมือนเดิมคือ ข่มขู่ คุกคาม ใช้กระบวนการป่าเถื่อน ชุมนุมอยู่หน้ารัฐสภา เช่น เมื่อเลิกประชุมสภา ก็จะมีการส่งคนเสื้อแดงมาคอยประจำที่ประตูทางออก คอยส่องดูว่าใครอยู่ในรถ แล้วจะรีบส่งสัญญาณไปยังกลุ่มข้างหน้าฝั่งตรงข้ามรัฐสภา เพื่อให้รู้ว่าเป็นใคร แล้วก็จะรุมกันเข้ามาข้างรถ ด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย ใช้ไม้ที่เป็นธงตีมาที่รถบ้าง

“ผมเห็นมาด้วยตัวเอง คือคืนวันที่ 24 ส.ค. ซึ่งเป็นคืนที่สภาล่ม รถของนายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี ขับออกมา มีคนเสื้อแดงคอยดูที่ประตูทางออก แล้วก็ตะโกนส่งสัญญาณว่า "นายชวนอยู่ในรถ" ทำให้กลุ่มคนข้างหน้าก็ฮือโผมาข้างรถ พร้อมด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย บางคนที่ถือธงอยู่ก็เงื้อมือจะตีมาที่รถ แต่โชคดีที่เป็นช่วงจังหวะที่รถเคลื่อนออกไป ทำให้พลาดไม่โดนรถของนายชวน จึงขอเตือนว่าพวกเสื้อแดงคุณรักทักษิณเท่าชีวิต แล้วทำได้ทุกอย่าง พวกผมก็รักท่านชวน เท่าชีวิตเช่นกัน แต่พวกผมเป็นสุภาพชนที่เคารพกฎหมาย”นายราเมศ กล่าว

นายราเมศ กล่าวอีกว่า นี่คือพฤติกรรมของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นพ.เหวง โตจิราการ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง และแกนนำเสื้อแดงต้องออกมาตอบคำถามให้ได้ว่า พฤติกรรมไม่เคารพกฎหมายแบบนี้ ยังจะมีอยู่ต่อไปตราบนานเท่าใด บ้านเมืองปกครองโดยกฎหมาย แต่บุคคลกลุ่มนี้ไม่เคารพกฎหมายบ้านเมืองเลย พอเกิดเหตุการณ์แบบนี้ แกนนำเงียบหมด ทีเรียกร้องศพละ 10 ล้าน พูดเสียงดังฟังชัด และอย่าพูดว่าเป็นการกระทำของพวกแดงเทียม ถ้าคนที่อยู่ในประเทศไทย สั่งให้เสื้อแดงหยุดพฤติกรรมป่าเถื่อนไม่ได้ ก็ช่วยกรุณาบอกให้คนที่อยู่ต่างประเทศคือพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โฟนอิน มาบอกกลุ่มคนเสื้อแดงให้หยุดพฤติกรรมชั่วร้ายดังกล่าวบ้านเมืองจะได้สงบ

ด้าน นายชวน กล่าวยอมรับว่า เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวจริง โดยนอกจากตนเองแล้ว ยังทราบว่ามีส.ส.พรรคประชาธิปัตย์คนอื่นอีก ที่ถูกตะโกนด่าด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย

นายชวนนท์ อินทรโกมาลสุตย์ ว่าที่โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า น่าผิดหวังที่จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีปฏิกริยาใดๆ จากรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย ที่จะหยุดยั้งพฤติการรณ์ในการข่มขู่ คุกคามของคนเสื้อแดง และเหตุการณ์เช่นนี้ก็เคยเกิดขึ้นกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่าที่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อครั้งที่เป็นนายกฯมาก่อนในทุกที่ ตัวนายกรัฐมนตรีเองก็ควรที่จะเริ่มต้นจากการให้คนเสื้อแดงยุติการเคลื่อนไหว กดดันคนอื่น ด้วยการละเมิดสิทธิ เสรีภาพของบุคคลอื่น เพราะประเทศจะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขได้ ฝ่ายบริหารต้องไม่สร้างอาณาจักรแห่งความกลัวให้เกิดขึ้นในสังคม ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งเพิ่มมากขึ้น

“พฤติกรรมของคนเสื้อ แดงเลยเถิดมาจนถึงขั้นพยายามทำร้ายส.ส.ฝ่ายค้าน ถือว่าเป็นการคุกคามการทำหน้าที่ของฝ่ายค้านอย่างชัดเจน ดังนั้นเพื่อให้การทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติเป็นไปโดยอิสระ รัฐบาลก็ควรห้ามมวลชนของตัวเอง ไม่ให้ชุมนุมกดดัน ถ้าไม่ทำก็มองเป็นอื่นไปได้ นอกจากรัฐบาลจะมีจุดประสงค์ที่จะใช้คนเสื้อแดงเป็นกองกำลังเรดการ์ดนอกสภา เพื่อทำให้ฝ่ายค้านและภาคประชาชนไม่กล้าที่จะตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล และไม่เป็นผลดีตอการปกครองในระบอบประชาธิปไตย จึงขอให้รัฐบาลเร่งทำความเข้าใจกับกลุ่มคนเสื้อแดงว่า เมื่อไม่มีความจำเป็นใดๆในการชุมนุมที่หน้ารัฐสภา หรือหากต้องการยึดพื้นที่ชุมนุมต่อก็ควรอยู่ในกรอบโดยไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพ ของผู้อื่น หรือหากรัฐบาลหรือพรรคเพื่อไทยห้ามปรามไม่ได้ตามที่เคยบอกมาก่อนหน้านี้ ก็ขอให้จัดส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาดูแลความเรียบร้อยเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเช่น นี้ซ้ำรอยจน เพื่อให้การชุมนุมของคนเสื้อแดงอยู่ในกรอบของกฏหมายบ้านเมือง”ว่าที่โฆษก พรรคประชาธิปัตย์กล่าว

คิดเก่ง/ทำเก่ง/พูดไม่เก่ง 'ไขข้อสงสัย'ศพนิรนาม! ย้ำไม่ไว้ใจ'อธิบดีงูเลื้อย' ให้ตร.ทำ:คลายข้อสงสัย

พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก


ถือเป็นเรื่องร้อนๆ ที่ถูกจุดพลุขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เมื่อปรากฏข่าว “อายัดศพนิรนาม 169 ศพ” ที่ป่าช้าวัดห้วยยาง, วัดคลองตากวา และวัดชากพง อ.แกลง จ.ระยอง เพื่อรอการพิสูจน์ว่า “คนตาย” เป็น “คนเสื้อแดง” ที่หายสาบสูญจากการชุมนุมทางการเมือง เมื่อปี 2553 หรือไม่
โดยมีการพุ่งเป้าไปที่ “พรรคประชาธิปัตย์” ซึ่งเป็นรัฐบาลในเวลานั้น ที่มีการสั่งการให้ปราบปรามคนเสื้อแดง...ขณะที่ “คนของพรรคประชาธิปัตย์” ก็ออกมาตอบโต้ พร้อมกับตั้งข้อสงสัยว่า ทำไม “พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก” รมช.คมนาคม ถึงต้องกระโดดลงไปลุยเอง ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีหน้าที่เกี่ยวข้อง เพราะดูแลงานกระทรวงคมนาคม
เพื่อให้ได้ความกระจ่าง และเหตุผล ขอนำไปสนทนากับ “พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมช.คมนาคม” ที่เป็นคนแรกในครม.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ประกาศลาออกจากส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เปิดโอกาสให้ลำดับถัดไปก้าวขึ้นมาทำงานในสภาแทน
เหตุผลและที่มาที่ไปในความอึมครึมเรื่อง “169 ศพนิรนาม”...บรรทัดจากนี้ คือ “คำตอบ”
Q : คดีพบศพนิรนามที่ถูกฝัง 169 ศพ ที่จ.ระยอง เป็นมา-เป็นไปอย่างไร ทำไมจู่ ๆ ถึงมีข่าวนี้เกิดขึ้นได้
A : เรื่องนี้เริ่มต้นจากประชาชนที่อยู่รอบ ๆ ที่ฝังศพ เขาพบเห็น และสงสัย เขาก็แจ้งมาที่พรรคเพื่อไทย แจ้งไปที่ไหน แต่ก็ไม่มีใครสนใจ เขาก็ยังพยายามจะเที่ยวบอกคนอยู่นั่นแหล่ะ ต่อมาเมื่อประมาณวันที่ 1 หรือ 2 ส.ค. ก็มีคนที่รู้จักกับผม เขาเป็นพวกเสื้อแดง และมีคนหนึ่งเป็นญาติห่าง ๆ บอกว่า “น่าสนใจนะ ลองไปดูหน่อย น่าดู น่าใช่แน่ มันลับลมคมในเหลือเกิน” ผมก็เลยให้เขามา และมาพบกับตำรวจที่จ.ระยอง เป็นลูกน้องเก่าที่เคยร่วมงานกันมา เป็นนักสืบ ก็ทำกันอย่างลับ ๆ
ตำรวจทางโน้นเขาก็เอาพระองค์หนึ่งซึ่งเคยอยู่ที่วัดนี้ไปช่วยสืบ ท่านก็มาบอกว่ามีศพจริง และก็ทำลับ ๆ ล่อ ๆ จริง ทางพระในวัดได้เงินจำนวนมาก ไม่รู้ว่าเท่าไหร่แน่ แต่คงระดับแสน และเงินนี้ไม่ได้เข้าวัด เขาบอกว่ามี 2 วัด ผมก็เลยขอร้อง “พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์” ให้ส่งลูกน้องไปดูหน่อย เพราะเขาเป็นผู้บัญชาการกองกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งในนั้นมีนักกฎหมายอยู่ นักกฎหมายเขาจะรู้ และดูเบาะแสพวกนี้ได้ในการที่จะไปดำเนินการต่อ เพราะการฝังศพเยอะ ๆแบบนี้มันต้องเป็นสุสาน  ซึ่งต้องขออนุญาตทำเป็นป่าช้า เป็นสุสาน จะต้องขออนุญาตเคลื่อนย้ายศพ ซึ่งต้องมีเอกสารการเคลื่อนย้ายศพ เรื่องพวกนี้กองกฎหมายเขารู้ ถ้าตำรวจทั่ว ๆ ไปจะไม่รู้
แต่ทีนี้พล.ต.ท.สัณฐานเขาไม่ใช้ลูกน้อง เขาบอกว่า “งั้นผมไปเองดีกว่า” ใกล้ ๆ เขาก็ไปวันที่ 1 ส.ค. ไปเดินดู ก็พบ แต่ยังไม่ได้ไปเจาะว่าใครเอามา อะไร-อย่างไร เพียงแต่เข้าไปคุยกับพระ เพื่อได้ข้อมูลเบื้องต้น พอวันที่เขาไปวันที่ 2 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรู้แล้ว เสื้อแดงก็รู้ ไม่รู้ว่ารู้ได้อย่างไร มากันเต็มไปหมด เขาก็โทรมาบอกผมว่ามีพวกเสื้อแดง มีผู้สื่อข่าวมา ผมก็คิดว่าควรต้องไปดู เพราะอยากจะเห็นด้วยตาว่าสภาพมันเป็นอย่างไร และควรจะทำอย่างไรต่อ เราเป็นตำรวจเราก็พอจะรู้ว่าทำอย่างไรถึงถูกต้อง ก็เลยไปดู พอไปดูก็เจอพล.ต.ท.สัณฐานอยู่ที่นั่น
“สาเหตุที่เข้าไปแต่แรก นอกจากที่ผมบอกว่ามีคนเขาสงสัย และมีประชาชนคนแรกเป็นผู้หญิงบอกว่า ‘ได้ถามคนที่เอาศพมาฝังว่าศพใครเหรอ’ คนนั้นเขาบอกว่ามีเสื้อแดงอยู่ด้วย ผมไม่ได้พูดที่ไหนมาก่อนเลยนะเรื่องนี้ เขาบอกว่ามีศพใส่เสื้อแดง เขาเป็นคนถอดเสื้อแดงออก และใส่ศพทับกับซากกระดูกไปในโลงเดียวกัน ก็ไม่รู้ว่าพูดจริงหรืออะไรอย่างไร และคนที่ 2 ก็บอกว่าที่วัดคลองตากวา ศพส่วนมากมีคนยก 2 คน แต่มีบางโลงที่ต้องยก 4 คน แสดงว่ามันหนัก อาจจะมีศพสดอยู่ด้วย เขาก็สงสัยทำไมต้องยกถึง 4 คน และท่าทางที่ยกก็หนักมาก
Q : แสดงว่ามีศพซ้อนศพอยู่ในโลงเดียวกันใช่หรือไม่
A : เขาก็สงสัยว่า น่าจะเป็นอย่างนั้น น่าจะมีศพสดๆอยู่ในโรงด้วย ก็พูดกันอย่างนี้ ลองไปหาข่าวกับชาวบ้านแถวนั้นได้ เขาพูดตรงกัน นักข่าวที่ไปมาแล้วก็ยังพูดอย่างนี้เหมือนกัน ทีนี้ศพที่ส่งมาจากจ.ชุมพร มีหนังสือส่งมาตามวัด เมื่อนับศพตามหลุมรวมกันแล้ว มันมีเกินจำนวนอยู่ 4 ศพ ผมจำไม่ได้ว่าวัดไหน น่าจะเป็นที่วัดสมอโพรง แต่เมื่อเกิน 4 ศพ ก็ไม่รู้ว่าเกินอย่างไร อาจจะเจอหลุมเกิน หลุมนั้นขุดไปจะเจอศพหรือเปล่า อาจจะ 4 หลุมนั้นไม่มีศพ หรืออะไร ยังไม่แน่ ในชั้นนี้ก็ให้พล.ต.ท.สัณฐานเขารายงาน ผบ.ตร. และเห็นว่าทาง ผบ.ตร.ส่ง พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รองผบ.ตร. ไปคุมแล้ว และส่งกองพิสูจน์ไปแล้ว เราก็รอฟังผล
Q : มีข้อสงสัยว่าเป็นศพที่สูญหายมาตั้งแต่เหตุความรุนแรงที่แยกดินแดนเมื่อปี 2552 หรือไม่
A : เขาสงสัยว่าเป็นที่ราชประสงค์มากกว่า เป็นคนที่ตายเมื่อวันที่ 21 พ.ค. 2553 มากกว่า เพราะมันยังสดอยู่
Q : จากเบาะแสและข้อมูลทางลับที่ส่งคนเข้าไปดู ทำให้เชื่อมั่นว่ามีพฤติการณ์น่าสงสัยจริงหรือไม่
A : 1) น่าสงสัย 2) มีพิรุธ เพราะพวกเสื้อแดงเชื่ออยู่แล้วว่ามีคนตายเยอะที่ถูกซุกซ่อน เพราะเขาเห็นกับตานี่ว่า “โดนยิงร่วง-โดนยิงตาย” ทั้งที่ดินแดงและที่ราชประสงค์
Q : ยอดของผู้สูญหายที่แจ้งไว้กับศพที่เจอ มันสอดคล้องกันหรือไม่
A : ยอดที่สูญหาย...มันไม่ชัดเจน แต่มีสูญหายแน่ อย่างที่พรรคเพื่อไทย ผมก็เช็คดู รู้สึกว่ามีแจ้งเข้ามา 5 หรือ 10 ราย ตัวเลขยังแกว่งอยู่ ตอนแรกเห็นว่าหายตั้ง 20 กว่าราย แต่ตอนหลังก็มีญาติพี่น้องมาแจ้งว่าพบแล้ว อยู่ตามโรงพยาบาลบ้าง ตัวเลขก็นิ่งอยู่ที่ 10 ตอนหลังผมไม่ได้ติดตาม เพราะไปยุ่งเรื่องหาเสียง ไม่แน่ใจว่าเหลือกี่ราย แต่ก็มีแจ้งสูญหายไว้ที่อื่นอีก เขาไม่ได้แจ้งไว้ที่พรรคเพื่อไทยอย่างเดียว แจ้งที่ตำรวจก็มี เพราะพอมาแจ้งที่พรรค เราก็บอกให้ไปแจ้งตำรวจด้วย แต่ตำรวจก็ไม่ได้รวบรวมและเก็บสถิติไว้เลย ทำให้คลางแคลงกันไปหมด
Q : ที่บอกว่ามีพิรุธ พอจะบอกได้ไหมว่าจุดไหนบ้าง
A : เรา เห็นว่า วัดนี้เขาให้ประชาชนเช่าที่ปลูกต้นยาง ทำไมเอามาทำป่าช้า และไม่ได้รับอนุญาต เมื่อไม่ได้รับอนุญาตการตรวจสอบของวัดก็ไม่เรียบร้อย ผมไปตรวจดูแล้วทางวัดไม่มีรายชื่อศพเลย มีแต่บอกว่า เอาศพมาฝากไว้จากสมาคมสามย่าน และอีกข้อพิรุธตามที่ชาวบ้านบอก คือศพเบา ๆ ทำไมหามกันสี่คน  ศพไม่ตรงกับที่แจ้ง และที่คนขนศพบอกว่า ศพใส่เสื้อแดง เขาเป็นคนถอดเสื้อแดงไปทิ้ง และเอาศพลงมาโดยไม่มีเสื้อแดงอยู่ในโลง Q : คนที่บอกเบาะแสนี้เป็นคนในพื้นที่ สามารถระบุตัวตน มีที่อยู่ชัดเจนใช่หรือไม่
A : เป็นคนในพื้นที่ แต่ผมยังเปิดเผยไม่ได้ เพราะเขาไม่ยอมให้การ แต่เขาให้ข่าว เขากลัว ไปดูบ้านชาวบ้านตรงนั้นก็ไม่น่าจะกล้า เพราะเป็นบ้านเปลี่ยว ๆ เงียบ ๆ ทุกแห่งทั้ง 3 วัด
Q : นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี บอกว่าเป็นศพที่เกิดสมัยพายุไต้ฝุ่นเก
A : รองนายกฯสุเทพพูด 2 อย่าง 1. ศพนี้ตายจากพายุเก 2.เสื้อแดงไม่มีตาย อย่างที่สองเรารู้ว่าโกหกแล้ว เพราะมันมีตาย อย่างน้อยก็ 6 ศพที่วัดปทุมวนาราม และที่วัดปทุมวนารามเราก็เห็นว่ามีการขนศพไป มีพยานบุคคลยืนยันว่าทหารขนศพไป
Q : ถ้าเป็นแบบนี้ ขั้นตอนตามกฎหมายจะเป็นอย่างไรต่อ
A : ต้องมีการตรวจพิสูจน์ว่า ศพนี้มีการส่งมาถูกต้องหรือไม่ตามที่รองสุเทพพูดว่ามา จากที่ชุมพร มาเพื่อจะมาล้างป่าช้า เอาศพมาฝากสมทบเพื่อล้างป่าช้า มันเรื่องจริงหรือไม่ และที่สมาคมที่สามย่านขอล้างป่าช้าจริงหรือเปล่า เหล่านี้เป็นขั้นตอนที่ตรวจสอบหลักฐานได้ และศพทั้งหมดกี่ศพ ที่พบมีกี่ศพ เมื่อเกิดข้อสงสัยก็ต้องตรวจพิสูจน์กัน เจ้าหน้าที่ทั้ง 2 ฝ่ายก็ต้องมายืนยันข้อมูลว่าตรงกันหรือไม่ แต่ถ้าเจอโครงกระดูกซ้อนกันอย่าง 2 ศพก็ยุ่งเหมือนกันนะ
Q : มีการตั้งข้อสังเกตว่า เรื่องนี้ถูกเปิดออกมาในระหว่างที่มีการเรียกร้องเงินชดเชยรายละ 10 ล้านบาทให้กับคนเสื้อแดงที่เสียชีวิต
A : ไม่เกี่ยวกันหรอกครับ เพราะต้นเรื่องอยู่ที่ผม เพราะฉะนั้นผมรู้ว่าผมทำอะไรอยู่
Q : มีการตั้งข้อสังเกตกันไปไกลถึงว่า เรื่องนี้จะถูกนำมาเป็นเงื่อนไขต่อรองกับ ฝ่ายตรงข้ามแลกกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญและช่วยพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับบ้าน
A : คงไม่ใช่ เราจะเอาตรงนี้ไปปลดเงื่อนไขที่ไหน หากว่าไม่ใช่ศพเสื้อแดง จึงไม่ใช่อย่างที่พูด และต้องมีการพิสูจน์กันอย่างยาวนาน  เรื่องรัฐธรรมนูญถ้าอยากให้เป็นประชาธิปไตย...ก็ต้องแก้ ถ้าไม่อยากให้เป็น...ก็ไม่ต้องแก้ ก็แล้วแต่ประชาชน ซึ่งหลายล้านคนรวมถึงพวกเรา ก็บอกว่านี่มันเป็นกฎโจร โจรมาปล้นประเทศ ล้มล้างรัฐบาลแล้วก็เอากฎให้เราใช้ มันเป็นกฎโจร ถ้าดูจากรัฐธรรมนูญแล้วมันไม่ใช่ประชาธิปไตย
Q : กรณี 169 ศพและ 172 โครงการที่ส่อทุจริตและรัฐบาลเตรียมรื้อขึ้นมาตรวจสอบ ถูกมองว่าเป็นการเอาคืนคนในรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์
A : ตามกระบวนการต้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้ตรวจสอบ ถ้าถูกต้องก็จบไป สิ้นข้อสงสัย วันหนึ่งถ้าเจอข้อสงสัยขึ้นมา อย่างตู้คอนเทนเนอร์ที่จมในทะเลเมื่อเกิดการสงสัย เมื่อมีการตรวจสอบก็จบไป
Q : กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ “ดีเอสไอ” ต้องเข้ามารับผิดชอบคดีหรือไม่
A : ผมว่า “ตำรวจ” เราทำได้ดีกว่านะ เพราะว่า “ดีเอสไอ” เราไม่ค่อยไว้ใจเท่าไหร่ ไว้ใจตำรวจมากกว่า
Q : แต่วันนี้ท่าทีของอธิบดีดีเอสไอก็เปลี่ยนไปแล้ว
A : ยิ่งไม่น่าไว้ใจใหญ่หรือเป็นงูเลื้อยอย่างนี้ก็ไม่ไหว
Q : เรื่องนี้จะเป็นผลงานแรกในการคืนความยุติธรรมให้คนเสื้อแดง
A : เราต้องทำอย่างนี้กันอยู่แล้วเมื่อเจอเรื่องอย่างนี้ก็ต้องพิสูจน์ เผอิญว่าเรื่องนี้มาเจอก่อนเท่านั้น เพราะตามระบอบประชาธิปไตยเราถือว่า “ชีวิตคนสำคัญที่สุด”
Q : พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีออกมาเคลื่อนไหวจะเป็นผลเสียกับ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” หรือไม่
A : แหม! ผู้สื่อข่าวไปเอาข่าวเขามาเอง ผมว่าพ.ต.ท.ทักษิณ คงไปบอกให้เสนอข่าวไม่ได้ แต่เพราะว่าตัวพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นที่สนใจและเป็นขวัญใจของคนไทยทั่วประเทศ หลายคนก็หวังพึ่งความสามารถของท่านอยู่ สมาชิกพรรคเพื่อไทยก็รักพ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งนั้นมิหนำซ้ำยังรู้สึกว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ถูกรังแก ไม่ได้รับความเป็นธรรม ที่พูดไม่ได้หมายถึงเฉพาะส.ส.แต่รวมสมาชิกทุกคน แต่อยู่ที่ว่าแสดงออกหรือไม่แสดงออก ดังนั้นการเคลื่อนไหวของพ.ต.ท.ทักษิณ ก็เป็นข่าว ส่วนที่ว่ากระทบรัฐบาลนั้นเป็นเรื่องที่คนไปคิดเอาเอง

Q : ไม่ถือเป็นการแย่งซีนรัฐบาล
A : ก็แย่งไป จะทำไงได้ แต่จะไปแย่งซีนช่วยเหลือน้ำท่วมหรือเปล่า ก็ไม่
Q : สื่อต่างชาติวิเคราะห์ว่า ยิ่งพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นข่าวมากเท่าไหร่ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ก็ยิ่งภาพเสีย
A : มันก็เป็นได้ น่าจะเป็นแบบนั้นด้วยคล้ายๆ ดูเป็นว่านายกฯยิ่งลักษณ์ ไม่ค่อยจะมีความสามารถ ครองหน้าข่าวไม่ได้ แต่ผมว่ามันไม่ใช่ เป็นนายกรัฐมนตรีก็ไม่จำเป็นต้องเป็นข่าวทุกวัน บางคนไม่ชอบก็มี บางคนก็เป็นห่วงกลัวว่าพูดแล้วจะเป็นช่องให้ฝ่ายตรงข้ามโจมตี เพราะว่า “เรื่อง พูด” พวกเราไม่ค่อยเก่ง พวกเราคิดเก่ง-ทำเก่ง แต่พูดไม่เก่ง แต่บางครั้งนายกรัฐมนตรีก็น่าสงสาร หลบอยู่ในบ้านหลายวัน จะออกไปกินข้าวกับครอบครัวก็เป็นข่าว อย่างนี้ก็มากไปเพราะจะทำอะไรก็เป็นข่าว
Q : ทำไมถึงตัดสินใจประกาศทิ้งเก้าอี้ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย หลังเป็นรัฐมนตรีเป็นรายแรก
A : เป็นเรื่องของแต่ละคน ตัวผมเห็นว่าเมื่อรับงานบริหารมีงานที่ต้องดูแล แล้วต้องมาประชุมสภาอาทิตย์ละ 2 วัน แล้วเราจะเอาเวลาทีไหนไปทำงานบริหาร เดี๋ยวทางนู้นก็เสียทางนี้ก็เสีย คุณภาพมันหย่อน แต่ถ้าผมลาออกมันได้ประโยชน์ งานกระทรวงก็ไม่เสีย งานสภาก็มีคนขึ้นมาแทน และพรรคของเราซึ่งเป็นพรรคใหญ่ก็มีกำลังใจกัน ผมก็นึกของผมอย่างนี้ ส่วนคนอื่นอาจจะมีเหตุจำเป็นส่วนตัวของเขาที่ออกจากส.ส.ไม่ได้ ออกแล้วอาจจะเกิดเหตุการณ์อะไรกับตัวเขาบ้าง เพราะว่าแต่ละคนมีความจำเป็นไม่เหมือนกัน อย่างท่านยงยุทธ  (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย)  เป็นรองนายกรัฐมนตรีลำดับ 1 ต้องรักษาการแทนนายกรัฐมนตรีเวลาที่ไม่อยู่หรือปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ ถ้าจะลาออกเหมือนผมแล้วใครจะดูแล หรืออย่างร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ก็เป็นคนที่บทบาทในสภามีประสิทธิภาพสูงก็ควรจะเอาไว้ในสภา ไม่จำเป็นต้องมาตามผม
Q : ในแง่เสถียรภาพรัฐบาล ต้องลาออกหรือไม่ เพราะถ้าวันหนึ่งมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรีก็ไม่สามารถออกเสียงสนับสนุนตัวเองได้
A : เป็นข้อดีอย่างที่ผมว่า คือส.ส.เราได้เข้าสภา และงานกระทรวงก็ไม่เสีย
Q : บางคนกลัวขาลอย ถ้าถูกปรับออกจาก ครม.
A : นั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่ง ส.ส.ก็ไม่ได้เป็น รัฐมนตรีก็ไม่ได้เป็น เลยตกสำรวจ เขาก็ไม่ลาออกก็เป็นเรื่องของเขา แต่ผมไม่กลัวเพราะผมจะได้กลับบ้านเสียที อายุก็มากแล้ว 79 ปีแล้วควรจะพักผ่อน
Q : กระทรวงคมนาคม เป็นอีกหนึ่งแห่งที่คนจับตามองว่าจะมีรายการเอาคืนในหลายโครงการที่พรรค เพื่อไทยเคยอภิปรายว่ามีการทุจริต ในสมัยรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงจากพรรคภูมิใจไทย ของนายเนวิน ชิดชอบ
A : ถ้าทุจริตจะไปเอา คืน-ขุดคุ้ยได้อย่างไร ความจริงมันก็ต้องเป็นความจริง ผู้สื่อข่าวนั่นแหละที่จะขุดคุ้ยมากกว่า ถ้าไปเจออะไรที่ไม่ถูกต้อง เขาเรียก “น้ำลดตอผุด” ถ้าผุดขึ้นมาแล้วจะทำอย่างไร มันก็ต้องมาผุดที่ผู้สื่อข่าวก่อน จากนั้นผู้สื่อข่าวก็มาถามผมสิว่าพวกผมจะทำอย่างไรกับเรื่องที่ผุดขึ้นมา ของไม่ถูกต้องก็ต้องล้มเลิก ของดีก็ต้องเอาไว้ แต่สิ่งที่ผุดขึ้นมาถ้าปล่อยเอาไว้ เดินเรือก็อันตราย ถ้าเราจัดการได้ก็จัดการไป การเดินทางถ้ามีกิ่งไม้ ก้อนหิน อยู่แล้วเราเตะเข้าข้างถนนได้ก็เตะไป แต่ถ้าก้อนใหญ่ก็เดินเลี่ยงไป เราต้องทำงานให้บ้านเมือง เราไปช่วยเหลือเขาก็ไม่ได้ ถ้าทุจริตจริง แต่ไม่คิดว่าตั้งใจมาเพื่อขุดคุ้ย เอาติดคุกให้ได้ อย่างนั้นเสียเวลา เราเดินไปข้างหน้าดีกว่าแต่ถ้ามีตอผุดขึ้นมาก็อยู่ที่สังคม ถ้ามันเป็นรากเหง้าของความทุจริตชั่วร้ายเราก็ต้องจำกัด แต่คือการส่งศาลไปจำกัด ของเราก็คือส่งศาล ไม่ใช่ไปฆ่าเขา
………………….
 คิดเก่ง/ทำเก่ง/พูดไม่เก่ง 'ไขข้อสงสัย'ศพนิรนาม! ย้ำไม่ไว้ใจ'อธิบดีงูเลื้อย' ให้ตร.ทำ:คลายข้อสงสัย
พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิล ถือเป็นเรื่องร้อนๆ ที่ถูกจุดพลุขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เมื่อปรากฏข่าว “อายัดศพนิรนาม 169 ศพ” ที่ป่าช้าวัดห้วยยาง, วัดคลองตากวา และวัดชากพง อ.แกลง จ.ระยอง เพื่อรอการพิสูจน์ว่า “คนตาย” เป็น “คนเสื้อแดง” ที่หายสาบสูญจากการชุมนุมทางการเมือง เมื่อปี 2553 หรือไม่
โดยมีการพุ่งเป้าไปที่ “พรรคประชาธิปัตย์” ซึ่งเป็นรัฐบาลในเวลานั้น ที่มีการสั่งการให้ปราบปรามคนเสื้อแดง...ขณะที่ “คนของพรรคประชาธิปัตย์” ก็ออกมาตอบโต้ พร้อมกับตั้งข้อสงสัยว่า ทำไม “พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก” รมช.คมนาคม ถึงต้องกระโดดลงไปลุยเอง ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีหน้าที่เกี่ยวข้อง เพราะดูแลงานกระทรวงคมนาคม
เพื่อให้ได้ความกระจ่าง และเหตุผล ขอนำไปสนทนากับ “พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมช.คมนาคม” ที่เป็นคนแรกในครม.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ประกาศลาออกจากส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เปิดโอกาสให้ลำดับถัดไปก้าวขึ้นมาทำงานในสภาแทน
เหตุผลและที่มาที่ไปในความอึมครึมเรื่อง “169 ศพนิรนาม”...บรรทัดจากนี้ คือ “คำตอบ”
Q : คดีพบศพนิรนามที่ถูกฝัง 169 ศพ ที่จ.ระยอง เป็นมา-เป็นไปอย่างไร ทำไมจู่ ๆ ถึงมีข่าวนี้เกิดขึ้นได้
A : เรื่องนี้เริ่มต้นจากประชาชนที่อยู่รอบ ๆ ที่ฝังศพ เขาพบเห็น และสงสัย เขาก็แจ้งมาที่พรรคเพื่อไทย แจ้งไปที่ไหน แต่ก็ไม่มีใครสนใจ เขาก็ยังพยายามจะเที่ยวบอกคนอยู่นั่นแหล่ะ ต่อมาเมื่อประมาณวันที่ 1 หรือ 2 ส.ค. ก็มีคนที่รู้จักกับผม เขาเป็นพวกเสื้อแดง และมีคนหนึ่งเป็นญาติห่าง ๆ บอกว่า “น่าสนใจนะ ลองไปดูหน่อย น่าดู น่าใช่แน่ มันลับลมคมในเหลือเกิน” ผมก็เลยให้เขามา และมาพบกับตำรวจที่จ.ระยอง เป็นลูกน้องเก่าที่เคยร่วมงานกันมา เป็นนักสืบ ก็ทำกันอย่างลับ ๆ
ตำรวจทางโน้นเขาก็เอาพระองค์หนึ่งซึ่งเคยอยู่ที่วัดนี้ไปช่วยสืบ ท่านก็มาบอกว่ามีศพจริง และก็ทำลับ ๆ ล่อ ๆ จริง ทางพระในวัดได้เงินจำนวนมาก ไม่รู้ว่าเท่าไหร่แน่ แต่คงระดับแสน และเงินนี้ไม่ได้เข้าวัด เขาบอกว่ามี 2 วัด ผมก็เลยขอร้อง “พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์” ให้ส่งลูกน้องไปดูหน่อย เพราะเขาเป็นผู้บัญชาการกองกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งในนั้นมีนักกฎหมายอยู่ นักกฎหมายเขาจะรู้ และดูเบาะแสพวกนี้ได้ในการที่จะไปดำเนินการต่อ เพราะการฝังศพเยอะ ๆแบบนี้มันต้องเป็นสุสาน  ซึ่งต้องขออนุญาตทำเป็นป่าช้า เป็นสุสาน จะต้องขออนุญาตเคลื่อนย้ายศพ ซึ่งต้องมีเอกสารการเคลื่อนย้ายศพ เรื่องพวกนี้กองกฎหมายเขารู้ ถ้าตำรวจทั่ว ๆ ไปจะไม่รู้
แต่ทีนี้พล.ต.ท.สัณฐานเขาไม่ใช้ลูกน้อง เขาบอกว่า “งั้นผมไปเองดีกว่า” ใกล้ ๆ เขาก็ไปวันที่ 1 ส.ค. ไปเดินดู ก็พบ แต่ยังไม่ได้ไปเจาะว่าใครเอามา อะไร-อย่างไร เพียงแต่เข้าไปคุยกับพระ เพื่อได้ข้อมูลเบื้องต้น พอวันที่เขาไปวันที่ 2 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรู้แล้ว เสื้อแดงก็รู้ ไม่รู้ว่ารู้ได้อย่างไร มากันเต็มไปหมด เขาก็โทรมาบอกผมว่ามีพวกเสื้อแดง มีผู้สื่อข่าวมา ผมก็คิดว่าควรต้องไปดู เพราะอยากจะเห็นด้วยตาว่าสภาพมันเป็นอย่างไร และควรจะทำอย่างไรต่อ เราเป็นตำรวจเราก็พอจะรู้ว่าทำอย่างไรถึงถูกต้อง ก็เลยไปดู พอไปดูก็เจอพล.ต.ท.สัณฐานอยู่ที่นั่น
“สาเหตุที่เข้าไปแต่แรก นอกจากที่ผมบอกว่ามีคนเขาสงสัย และมีประชาชนคนแรกเป็นผู้หญิงบอกว่า ‘ได้ถามคนที่เอาศพมาฝังว่าศพใครเหรอ’ คนนั้นเขาบอกว่ามีเสื้อแดงอยู่ด้วย ผมไม่ได้พูดที่ไหนมาก่อนเลยนะเรื่องนี้ เขาบอกว่ามีศพใส่เสื้อแดง เขาเป็นคนถอดเสื้อแดงออก และใส่ศพทับกับซากกระดูกไปในโลงเดียวกัน ก็ไม่รู้ว่าพูดจริงหรืออะไรอย่างไร และคนที่ 2 ก็บอกว่าที่วัดคลองตากวา ศพส่วนมากมีคนยก 2 คน แต่มีบางโลงที่ต้องยก 4 คน แสดงว่ามันหนัก อาจจะมีศพสดอยู่ด้วย เขาก็สงสัยทำไมต้องยกถึง 4 คน และท่าทางที่ยกก็หนักมาก
Q : แสดงว่ามีศพซ้อนศพอยู่ในโลงเดียวกันใช่หรือไม่
A : เขาก็สงสัยว่า น่าจะเป็นอย่างนั้น น่าจะมีศพสดๆอยู่ในโรงด้วย ก็พูดกันอย่างนี้ ลองไปหาข่าวกับชาวบ้านแถวนั้นได้ เขาพูดตรงกัน นักข่าวที่ไปมาแล้วก็ยังพูดอย่างนี้เหมือนกัน ทีนี้ศพที่ส่งมาจากจ.ชุมพร มีหนังสือส่งมาตามวัด เมื่อนับศพตามหลุมรวมกันแล้ว มันมีเกินจำนวนอยู่ 4 ศพ ผมจำไม่ได้ว่าวัดไหน น่าจะเป็นที่วัดสมอโพรง แต่เมื่อเกิน 4 ศพ ก็ไม่รู้ว่าเกินอย่างไร อาจจะเจอหลุมเกิน หลุมนั้นขุดไปจะเจอศพหรือเปล่า อาจจะ 4 หลุมนั้นไม่มีศพ หรืออะไร ยังไม่แน่ ในชั้นนี้ก็ให้พล.ต.ท.สัณฐานเขารายงาน ผบ.ตร. และเห็นว่าทาง ผบ.ตร.ส่ง พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รองผบ.ตร. ไปคุมแล้ว และส่งกองพิสูจน์ไปแล้ว เราก็รอฟังผล
Q : มีข้อสงสัยว่าเป็นศพที่สูญหายมาตั้งแต่เหตุความรุนแรงที่แยกดินแดนเมื่อปี 2552 หรือไม่
A : เขาสงสัยว่าเป็นที่ราชประสงค์มากกว่า เป็นคนที่ตายเมื่อวันที่ 21 พ.ค. 2553 มากกว่า เพราะมันยังสดอยู่
Q : จากเบาะแสและข้อมูลทางลับที่ส่งคนเข้าไปดู ทำให้เชื่อมั่นว่ามีพฤติการณ์น่าสงสัยจริงหรือไม่
A : 1) น่าสงสัย 2) มีพิรุธ เพราะพวกเสื้อแดงเชื่ออยู่แล้วว่ามีคนตายเยอะที่ถูกซุกซ่อน เพราะเขาเห็นกับตานี่ว่า “โดนยิงร่วง-โดนยิงตาย” ทั้งที่ดินแดงและที่ราชประสงค์
Q : ยอดของผู้สูญหายที่แจ้งไว้กับศพที่เจอ มันสอดคล้องกันหรือไม่
A : ยอดที่สูญหาย...มันไม่ชัดเจน แต่มีสูญหายแน่ อย่างที่พรรคเพื่อไทย ผมก็เช็คดู รู้สึกว่ามีแจ้งเข้ามา 5 หรือ 10 ราย ตัวเลขยังแกว่งอยู่ ตอนแรกเห็นว่าหายตั้ง 20 กว่าราย แต่ตอนหลังก็มีญาติพี่น้องมาแจ้งว่าพบแล้ว อยู่ตามโรงพยาบาลบ้าง ตัวเลขก็นิ่งอยู่ที่ 10 ตอนหลังผมไม่ได้ติดตาม เพราะไปยุ่งเรื่องหาเสียง ไม่แน่ใจว่าเหลือกี่ราย แต่ก็มีแจ้งสูญหายไว้ที่อื่นอีก เขาไม่ได้แจ้งไว้ที่พรรคเพื่อไทยอย่างเดียว แจ้งที่ตำรวจก็มี เพราะพอมาแจ้งที่พรรค เราก็บอกให้ไปแจ้งตำรวจด้วย แต่ตำรวจก็ไม่ได้รวบรวมและเก็บสถิติไว้เลย ทำให้คลางแคลงกันไปหมด
Q : ที่บอกว่ามีพิรุธ พอจะบอกได้ไหมว่าจุดไหนบ้าง
A : เรา เห็นว่า วัดนี้เขาให้ประชาชนเช่าที่ปลูกต้นยาง ทำไมเอามาทำป่าช้า และไม่ได้รับอนุญาต เมื่อไม่ได้รับอนุญาตการตรวจสอบของวัดก็ไม่เรียบร้อย ผมไปตรวจดูแล้วทางวัดไม่มีรายชื่อศพเลย มีแต่บอกว่า เอาศพมาฝากไว้จากสมาคมสามย่าน และอีกข้อพิรุธตามที่ชาวบ้านบอก คือศพเบา ๆ ทำไมหามกันสี่คน  ศพไม่ตรงกับที่แจ้ง และที่คนขนศพบอกว่า ศพใส่เสื้อแดง เขาเป็นคนถอดเสื้อแดงไปทิ้ง และเอาศพลงมาโดยไม่มีเสื้อแดงอยู่ในโลง Q : คนที่บอกเบาะแสนี้เป็นคนในพื้นที่ สามารถระบุตัวตน มีที่อยู่ชัดเจนใช่หรือไม่
A : เป็นคนในพื้นที่ แต่ผมยังเปิดเผยไม่ได้ เพราะเขาไม่ยอมให้การ แต่เขาให้ข่าว เขากลัว ไปดูบ้านชาวบ้านตรงนั้นก็ไม่น่าจะกล้า เพราะเป็นบ้านเปลี่ยว ๆ เงียบ ๆ ทุกแห่งทั้ง 3 วัด
Q : นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี บอกว่าเป็นศพที่เกิดสมัยพายุไต้ฝุ่นเก
A : รองนายกฯสุเทพพูด 2 อย่าง 1. ศพนี้ตายจากพายุเก 2.เสื้อแดงไม่มีตาย อย่างที่สองเรารู้ว่าโกหกแล้ว เพราะมันมีตาย อย่างน้อยก็ 6 ศพที่วัดปทุมวนาราม และที่วัดปทุมวนารามเราก็เห็นว่ามีการขนศพไป มีพยานบุคคลยืนยันว่าทหารขนศพไป
Q : ถ้าเป็นแบบนี้ ขั้นตอนตามกฎหมายจะเป็นอย่างไรต่อ
A : ต้องมีการตรวจพิสูจน์ว่า ศพนี้มีการส่งมาถูกต้องหรือไม่ตามที่รองสุเทพพูดว่ามา จากที่ชุมพร มาเพื่อจะมาล้างป่าช้า เอาศพมาฝากสมทบเพื่อล้างป่าช้า มันเรื่องจริงหรือไม่ และที่สมาคมที่สามย่านขอล้างป่าช้าจริงหรือเปล่า เหล่านี้เป็นขั้นตอนที่ตรวจสอบหลักฐานได้ และศพทั้งหมดกี่ศพ ที่พบมีกี่ศพ เมื่อเกิดข้อสงสัยก็ต้องตรวจพิสูจน์กัน เจ้าหน้าที่ทั้ง 2 ฝ่ายก็ต้องมายืนยันข้อมูลว่าตรงกันหรือไม่ แต่ถ้าเจอโครงกระดูกซ้อนกันอย่าง 2 ศพก็ยุ่งเหมือนกันนะ
Q : มีการตั้งข้อสังเกตว่า เรื่องนี้ถูกเปิดออกมาในระหว่างที่มีการเรียกร้องเงินชดเชยรายละ 10 ล้านบาทให้กับคนเสื้อแดงที่เสียชีวิต
A : ไม่เกี่ยวกันหรอกครับ เพราะต้นเรื่องอยู่ที่ผม เพราะฉะนั้นผมรู้ว่าผมทำอะไรอยู่
Q : มีการตั้งข้อสังเกตกันไปไกลถึงว่า เรื่องนี้จะถูกนำมาเป็นเงื่อนไขต่อรองกับ ฝ่ายตรงข้ามแลกกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญและช่วยพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับบ้าน
A : คงไม่ใช่ เราจะเอาตรงนี้ไปปลดเงื่อนไขที่ไหน หากว่าไม่ใช่ศพเสื้อแดง จึงไม่ใช่อย่างที่พูด และต้องมีการพิสูจน์กันอย่างยาวนาน  เรื่องรัฐธรรมนูญถ้าอยากให้เป็นประชาธิปไตย...ก็ต้องแก้ ถ้าไม่อยากให้เป็น...ก็ไม่ต้องแก้ ก็แล้วแต่ประชาชน ซึ่งหลายล้านคนรวมถึงพวกเรา ก็บอกว่านี่มันเป็นกฎโจร โจรมาปล้นประเทศ ล้มล้างรัฐบาลแล้วก็เอากฎให้เราใช้ มันเป็นกฎโจร ถ้าดูจากรัฐธรรมนูญแล้วมันไม่ใช่ประชาธิปไตย
Q : กรณี 169 ศพและ 172 โครงการที่ส่อทุจริตและรัฐบาลเตรียมรื้อขึ้นมาตรวจสอบ ถูกมองว่าเป็นการเอาคืนคนในรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์
A : ตามกระบวนการต้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้ตรวจสอบ ถ้าถูกต้องก็จบไป สิ้นข้อสงสัย วันหนึ่งถ้าเจอข้อสงสัยขึ้นมา อย่างตู้คอนเทนเนอร์ที่จมในทะเลเมื่อเกิดการสงสัย เมื่อมีการตรวจสอบก็จบไป
Q : กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ “ดีเอสไอ” ต้องเข้ามารับผิดชอบคดีหรือไม่
A : ผมว่า “ตำรวจ” เราทำได้ดีกว่านะ เพราะว่า “ดีเอสไอ” เราไม่ค่อยไว้ใจเท่าไหร่ ไว้ใจตำรวจมากกว่า
Q : แต่วันนี้ท่าทีของอธิบดีดีเอสไอก็เปลี่ยนไปแล้ว
A : ยิ่งไม่น่าไว้ใจใหญ่หรือเป็นงูเลื้อยอย่างนี้ก็ไม่ไหว
Q : เรื่องนี้จะเป็นผลงานแรกในการคืนความยุติธรรมให้คนเสื้อแดง
A : เราต้องทำอย่างนี้กันอยู่แล้วเมื่อเจอเรื่องอย่างนี้ก็ต้องพิสูจน์ เผอิญว่าเรื่องนี้มาเจอก่อนเท่านั้น เพราะตามระบอบประชาธิปไตยเราถือว่า “ชีวิตคนสำคัญที่สุด”
Q : พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีออกมาเคลื่อนไหวจะเป็นผลเสียกับ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” หรือไม่
A : แหม! ผู้สื่อข่าวไปเอาข่าวเขามาเอง ผมว่าพ.ต.ท.ทักษิณ คงไปบอกให้เสนอข่าวไม่ได้ แต่เพราะว่าตัวพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นที่สนใจและเป็นขวัญใจของคนไทยทั่วประเทศ หลายคนก็หวังพึ่งความสามารถของท่านอยู่ สมาชิกพรรคเพื่อไทยก็รักพ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งนั้นมิหนำซ้ำยังรู้สึกว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ถูกรังแก ไม่ได้รับความเป็นธรรม ที่พูดไม่ได้หมายถึงเฉพาะส.ส.แต่รวมสมาชิกทุกคน แต่อยู่ที่ว่าแสดงออกหรือไม่แสดงออก ดังนั้นการเคลื่อนไหวของพ.ต.ท.ทักษิณ ก็เป็นข่าว ส่วนที่ว่ากระทบรัฐบาลนั้นเป็นเรื่องที่คนไปคิดเอาเอง

Q : ไม่ถือเป็นการแย่งซีนรัฐบาล
A : ก็แย่งไป จะทำไงได้ แต่จะไปแย่งซีนช่วยเหลือน้ำท่วมหรือเปล่า ก็ไม่
Q : สื่อต่างชาติวิเคราะห์ว่า ยิ่งพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นข่าวมากเท่าไหร่ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ก็ยิ่งภาพเสีย
A : มันก็เป็นได้ น่าจะเป็นแบบนั้นด้วยคล้ายๆ ดูเป็นว่านายกฯยิ่งลักษณ์ ไม่ค่อยจะมีความสามารถ ครองหน้าข่าวไม่ได้ แต่ผมว่ามันไม่ใช่ เป็นนายกรัฐมนตรีก็ไม่จำเป็นต้องเป็นข่าวทุกวัน บางคนไม่ชอบก็มี บางคนก็เป็นห่วงกลัวว่าพูดแล้วจะเป็นช่องให้ฝ่ายตรงข้ามโจมตี เพราะว่า “เรื่อง พูด” พวกเราไม่ค่อยเก่ง พวกเราคิดเก่ง-ทำเก่ง แต่พูดไม่เก่ง แต่บางครั้งนายกรัฐมนตรีก็น่าสงสาร หลบอยู่ในบ้านหลายวัน จะออกไปกินข้าวกับครอบครัวก็เป็นข่าว อย่างนี้ก็มากไปเพราะจะทำอะไรก็เป็นข่าว
Q : ทำไมถึงตัดสินใจประกาศทิ้งเก้าอี้ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย หลังเป็นรัฐมนตรีเป็นรายแรก
A : เป็นเรื่องของแต่ละคน ตัวผมเห็นว่าเมื่อรับงานบริหารมีงานที่ต้องดูแล แล้วต้องมาประชุมสภาอาทิตย์ละ 2 วัน แล้วเราจะเอาเวลาทีไหนไปทำงานบริหาร เดี๋ยวทางนู้นก็เสียทางนี้ก็เสีย คุณภาพมันหย่อน แต่ถ้าผมลาออกมันได้ประโยชน์ งานกระทรวงก็ไม่เสีย งานสภาก็มีคนขึ้นมาแทน และพรรคของเราซึ่งเป็นพรรคใหญ่ก็มีกำลังใจกัน ผมก็นึกของผมอย่างนี้ ส่วนคนอื่นอาจจะมีเหตุจำเป็นส่วนตัวของเขาที่ออกจากส.ส.ไม่ได้ ออกแล้วอาจจะเกิดเหตุการณ์อะไรกับตัวเขาบ้าง เพราะว่าแต่ละคนมีความจำเป็นไม่เหมือนกัน อย่างท่านยงยุทธ  (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย)  เป็นรองนายกรัฐมนตรีลำดับ 1 ต้องรักษาการแทนนายกรัฐมนตรีเวลาที่ไม่อยู่หรือปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ ถ้าจะลาออกเหมือนผมแล้วใครจะดูแล หรืออย่างร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ก็เป็นคนที่บทบาทในสภามีประสิทธิภาพสูงก็ควรจะเอาไว้ในสภา ไม่จำเป็นต้องมาตามผม
Q : ในแง่เสถียรภาพรัฐบาล ต้องลาออกหรือไม่ เพราะถ้าวันหนึ่งมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรีก็ไม่สามารถออกเสียงสนับสนุนตัวเองได้
A : เป็นข้อดีอย่างที่ผมว่า คือส.ส.เราได้เข้าสภา และงานกระทรวงก็ไม่เสีย
Q : บางคนกลัวขาลอย ถ้าถูกปรับออกจาก ครม.
A : นั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่ง ส.ส.ก็ไม่ได้เป็น รัฐมนตรีก็ไม่ได้เป็น เลยตกสำรวจ เขาก็ไม่ลาออกก็เป็นเรื่องของเขา แต่ผมไม่กลัวเพราะผมจะได้กลับบ้านเสียที อายุก็มากแล้ว 79 ปีแล้วควรจะพักผ่อน
Q : กระทรวงคมนาคม เป็นอีกหนึ่งแห่งที่คนจับตามองว่าจะมีรายการเอาคืนในหลายโครงการที่พรรค เพื่อไทยเคยอภิปรายว่ามีการทุจริต ในสมัยรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงจากพรรคภูมิใจไทย ของนายเนวิน ชิดชอบ
A : ถ้าทุจริตจะไปเอา คืน-ขุดคุ้ยได้อย่างไร ความจริงมันก็ต้องเป็นความจริง ผู้สื่อข่าวนั่นแหละที่จะขุดคุ้ยมากกว่า ถ้าไปเจออะไรที่ไม่ถูกต้อง เขาเรียก “น้ำลดตอผุด” ถ้าผุดขึ้นมาแล้วจะทำอย่างไร มันก็ต้องมาผุดที่ผู้สื่อข่าวก่อน จากนั้นผู้สื่อข่าวก็มาถามผมสิว่าพวกผมจะทำอย่างไรกับเรื่องที่ผุดขึ้นมา ของไม่ถูกต้องก็ต้องล้มเลิก ของดีก็ต้องเอาไว้ แต่สิ่งที่ผุดขึ้นมาถ้าปล่อยเอาไว้ เดินเรือก็อันตราย ถ้าเราจัดการได้ก็จัดการไป การเดินทางถ้ามีกิ่งไม้ ก้อนหิน อยู่แล้วเราเตะเข้าข้างถนนได้ก็เตะไป แต่ถ้าก้อนใหญ่ก็เดินเลี่ยงไป เราต้องทำงานให้บ้านเมือง เราไปช่วยเหลือเขาก็ไม่ได้ ถ้าทุจริตจริง แต่ไม่คิดว่าตั้งใจมาเพื่อขุดคุ้ย เอาติดคุกให้ได้ อย่างนั้นเสียเวลา เราเดินไปข้างหน้าดีกว่าแต่ถ้ามีตอผุดขึ้นมาก็อยู่ที่สังคม ถ้ามันเป็นรากเหง้าของความทุจริตชั่วร้ายเราก็ต้องจำกัด แต่คือการส่งศาลไปจำกัด ของเราก็คือส่งศาล ไม่ใช่ไปฆ่าเขา

………………….

Thaiinsider

'ทักษิณ' จ้อสื่อยุ่นอ้างหนี้บุญคุณ ขอกลับเป็นผู้นำประเทศอีก


Pic_197130

"แม้ว" ให้สัมภาษณ์สื่อญี่ปุ่น ระบุ อาจกลับเมืองไทยเพื่อเป็นผู้นำประเทศอีกครั้ง ถ้าประชาชนส่วนใหญ่ยังต้องการ...


สำนัก ข่าวต่างประเทศ รายงานเมื่อวันที่ 26 ส.ค. ว่า เว็บไซต์หนังสือพิมพ์เดอะไทม์ ประเทศอังกฤษ เผยแพร่บทความสัมภาษณ์พิเศษ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยผู้สัมภาษณ์คือนายริชาร์ด ลอยด์ แพร์รี ผู้สื่อข่าวเดอะไทม์ ในญี่ปุ่น ระบุว่า อดีตนายกฯทักษิณ อาจกลับเมืองไทยเพื่อเป็นผู้นำประเทศอีกครั้ง ถ้าประชาชนส่วนใหญ่ยังต้องการ ทั้งยังกล่าวทำนายถึงเหล่าผู้นำกองทัพ และนักการเมืองไทยอีกหลายคน จะต้องถูกเข้ากระบวนการยุติธรรม จากเหตุใช้ความรุนแรงปราบปรามกลุ่มผู้ประท้วงสนับสนุนตน จนมีผู้เสียชีวิตหลายรายเมื่อปีท่ีแล้ว

อดีตนายกฯทักษิณ กล่าวอีกว่า ตนคงเดินทางกลับประเทศไทยนานแล้วถ้าสามารถทำได้ ทั้งยังกล่าวว่า มูลเหตุจูงใจทางการเมืองทำให้ตนถูกศาลตัดสินจำคุก 2 ปี ด้วยข้อหาคอร์รัปชัน ตนยอมรับว่าคงอีกนานกว่าจะได้เดินทางกลับประเทศไทย จนกว่าโทษจำคุกจะถูกยุติลง ทำให้ต้องรอคอยเวลา เพราะไม่ต้องการให้เกิดความยุ่งยากขัดแย้งในประเทศไทยขึ้นอีก เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากๆ แม้ว่าตน "ไม่พยายาม" กลับเมืองไทยเพื่อดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ แต่ถ้าเป็นความปรารถนาของประชาชนชาวไทยแล้ว อาจจำเป็นต้องทำ เพราะตนเป็นหนี้บุญคุณประชาชนจำนวนมาก ประชาชนเหล่านั้นไม่เคยลืมตน ทั้งยังลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเพื่อตน ดังนั้น ตนจึงเป็นหนี้บุญคุณประชาชนเหล่านั้น

ไทยรัฐ

ชึัดีเจแดง ควรนั่งโฆษกรัฐบาล



“ฐิติ มา” อ้อนขอโอกาสให้ทีมโฆษกรัฐบาลทำงานก่อน โดดป้อง “อนุสรณ์-ดีเจแดง” ว่าตั้งใจทำงาน-มีความรู้ทางการเมือง เหมาะนั่ง "รองโฆษกฯ" ไม่หวั่นแรงเสียดทานทางสังคม เพราะทีมโฆษกจะทำงานเป็นทีม ช่วยกันทุกเรื่อง

วันที่ 26 ส.ค. 2554 เวลา 10.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นางฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์การแต่งตั้งนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด ผู้ดำเนินรายการทางสถานีโทรทัศน์ของกลุ่มคนเสื้อแดง เป็นรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีว่า ขอให้สังคมให้โอกาสนายอนุสรณ์ ได้ทำงานก่อน เพราะเป็นคนที่ตั้งใจทำงานและมีความรู้ทางด้านการเมืองเป็นอย่างดี ซึ่งตรงกับงานที่ได้รับมอบหมายโดยเฉพาะ และสามารถเข้ากับทุกคนได้ดี ส่วนกระแสแรงเสียดทานจากสังคมนั้นคงไม่มีอะไรหนักหนา และที่จริงก็ขอให้ทำงานกันไป คิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไรมาก ทั้งนี้งานโฆษกฯต้องทำงานกันเป็นทีม ช่วยกันในทุกเรื่อง

นางฐิติมา กล่าวอีกว่า สำหรับแนวทางการทำหน้าที่โฆษกรัฐบาลนั้น ตนยึดผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง และภาพลักษณ์ของรัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลที่มีความตั้งใจทำงานเพื่อประชาชน ทั้งการกระตุ้นเศรษฐกิจและการสร้างความปรองดอง รวมถึงการที่ประเทศไทยต้องก้าวสู่ความเป็นผู้นำของประชาคมอาเซียน ดังนั้น ทีมงานโฆษกรัฐบาลจึงต้องเข้าใจและทำงานกันเป็นทีม ซึ่งตนคิดว่าน่าจะช่วยเหลือรัฐบาลได้พอสมควร

อย่างไรก็ตาม ขอให้ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป และงานโฆษกรัฐบาลไม่เหมือนกับงานในสภาผู้แทนราษฎรที่ตนเคยทำซึ่งบางคนเคย เห็น อาจรู้สึกว่าเป็นการพูดจารุนแรง แต่นั่นเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลที่ต้องบอกว่ารัฐบาลทำผิดอะไร และต้องแก้ไขอย่างไร ส่วนการเป็นโฆษกรัฐบาลนั้น ตนเข้าใจพอสมควร แต่ยังไม่เคยทำ จึงต้องเรียนรู้ และมีผู้ให้คำแนะนำได้ต่อไป ตนน่าจะพอทำได้ ถ้าผู้สื่อข่าวให้ความร่วมมือและช่วยเหลือ

เมื่อถามว่า มีข่าวว่าอาจมีสมาชิกกลุ่มคนเสื้อแดงเข้ามาดำรงตำแหน่งอื่นๆ เช่น ผู้ช่วยรัฐมนตรี นางฐิติมา กล่าวว่า คนเรามีความสามารถกันหมด อย่าต้องไปกีดกันแบ่งแยกว่าเป็นสีอะไร อย่างไร เราก็ให้โอกาสทุกคนทำงานได้อย่างดี จะดีกว่า

ต่อข้อถามถึงกระแส วิจารณ์ที่ว่ารัฐบาลชุดนี้อยู่ภายใต้การนำของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องมีการชี้แจงอะไร เพราะพ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน แต่เป็นเพียงพี่ชายของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งพี่น้องต้องมีการพูดคุยกัน จึงขอให้ไว้ใจรัฐบาล นอกจากนี้ ถ้าเห็นการที่นายกรัฐมนตรี ชี้แจงการทำงานของรัฐบาลนั้น จะเห็นได้ว่านายกฯมีความสามารถมากขนาดไหน ดังนั้นนายกฯเป็นตัวของตัวเอง และเมื่อทำงานร่วมกับที่ปรึกษาต่างๆ ก็เชื่อว่าท่านจะสามารถนำพาประเทศชาติได้อย่างแน่นอน

Thaiinsider

ผลประ​โยชน์อ่าวไทย

ข่าว​การ​เมือง หนังสือพิมพ์​แนวหน้า -- ​เสาร์ที่ 27 สิงหาคม 2554 02:52:32 น.
 
รัฐบาล​ใหม่ที่มีพรรค​เพื่อ​ไทย​ซึ่ง​เป็นพรรค​การ​เมืองที่มี​ความสัมพันธ์กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรอดีต นายกรัฐมนตรี​ผู้ที่หนีคดีอาญาอยู่ที่นครรัฐดู​ไบอย่าง​แน่น​แฟ้น​และ​เป็น พรรค​การ​เมืองที่​เป็นทายาทของพรรค​ไทยรัก​ไทย​และพรรคพลังประชาชนที่ถูก ศาลรัฐธรรมนูญยุบ​ไป​ทั้งคู่​เพราะกระ​ทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ
น​โยบายข้อหนึ่งที่รัฐบาลพรรค​เพื่อ​ไทยจะ​เร่งดำ​เนิน​การ​โดย​เร็วที่ สุด​ก็คือ​การ​แบ่งผลประ​โยชน์​ในทะ​เลอ่าว​ไทยร่วมกับราชอาณาจักรกัมพูชา ที่มีสม​เด็จอัครมหา​เด​โชฮุน​เซ็น​เป็นนายกรัฐมนตรี​ซึ่ง​ก็คง​ไม่ ต้องบอกว่าสม​เด็จฮุน​เซ็นนั้น​ก็คือสหายสนิทคนสำคัญของพ.ต.ท.ทักษิณอดีต นายกรัฐมนตรี
​เป็นที่​แน่นอนที่สุดว่าพรรค​เพื่อ​ไทยของตระกูลชินวัตร​และพรรคประชาชน กัมพูชา​ก็คือพรรคพันธมิตรทาง​การ​เมืองที่​แนบ​แน่นด้วยผลประ​โยชน์อย่างดี ยิ่งข้อพิสูจน์​ก็คือค่ำวันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมาหลังพรรค​เพื่อ​ไทยชนะ​เลือกตั้ง ​เฒ่าฮอนำฮง​เป็นรัฐมนตรีต่างประ​เทศชาติ​แรก​ในอา​เชี่ยนที่​แสดง​ความ ยินดีอย่างออกนอกหน้า​เพราะ​ทั้ง 2 พรรค​ทั้ง 2 ประ​เทศ​เพื่อนบ้านจะมีฐานะมั่งคั่งร่ำรวยอย่างมหาศาลนับ​ไม่ถ้วน
ข้อ​เจรจาระหว่างรัฐบาล​ทั้ง 2 ประ​เทศ​ก็คือ​การตกลง​ในสัญญาสัมปทานขุด​เจาะปิ​โตร​เลี่ยม​ในอ่าว​ไทยนั่น ​เอง​ซึ่งมีข้อมูลจากวิกิลีกส์ระบุว่ารัฐบาล​ทั้ง 2 ประ​เทศ​ได้ตกลง​แบ่งผลประ​โยชน์ปิ​โตร​เลี่ยม​ในทะ​เล​ในพื้นที่ 26,400 ตารางกิ​โล​เมตร​เรียบร้อย​แล้วผ่านบริษัทขุด​เจาะน้ำมันของสหรัฐอ​เมริกา ชื่อ​โคนอ​โคฟิลิปส์
รายละ​เอียดระบุว่าผลประ​โยชน์พื้นที่​ใกล้ฝั่ง​ไทย ร้อยละ 80 ​เป็นของ​ไทย ร้อยละ 20 ​เป็นของกัมพูชา พื้นที่ตรงกลาง​แบ่งกันคนละ 50 : 50​และพื้นที่​ใกล้ฝั่งกัมพูชา ร้อยละ 80 ​เป็นของกัมพูชา ​และร้อยละ 20 ​เป็นของ
​ไทย​โดย​เงินลงทุน​ใน​การขุด​เจาะปิ​โตร​เลี่ยมครั้งนี้รัฐบาล​ไทยจะลง ทุน​เองผ่านบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน)​ซึ่งจะขอกู้​เงินตราสำรองระหว่างประ​เทศที่ธนาคาร​แห่งประ ​เทศ​ไทยประมาณ 300,000 ล้านบาท
ข้อ​เท็จจริง​ก็คือ​เมื่อวันที่ 18 มิถุนายนปี 2544 รัฐบาล​ไทย​ได้​ทำบันทึกข้อตกลงกับ​ผู้​แทนรัฐบาลกัมพูชา​ไป​เป็นที่​เรียบ ร้อย​แล้วมีสาระสำคัญคือ ​การปักปัน​เขต​แดนทางบกที่มี​ความยาว800กิ​โล​เมตรหลังจากนั้น​ก็จะพัฒนา​ แหล่งปิ​โตร​เลี่ยม​ซึ่งมีมูลค่า​ทั้งน้ำมันดิบ​และกาซธรรมชาติขั้นต่ำ ประมาณ5 ล้านล้านบาท
อย่าง​ไร​ก็ตาม​การ​แบ่งผลประ​โยชน์​ในอ่าว​ไทยระหว่าง​ไทยกับกัมพูชา นั้นมีรายงานว่ามีบริษัทร่วมทุน 3 ประ​เทศระหว่าง​ไทย กัมพูชา​และสิงค​โปร์บริษัทหนึ่งจะ​ได้ผลประ​โยชน์​ใน​การขุด​เจาะปิ​โตร​ เลี่ยมครั้งนี้มาก​เป็นพิ​เศษ​ซึ่งข้อ​เท็จจริงยัง​เผยด้วยว่ามีนัก​การ​ เมือง​ใหญ่​ทั้ง 2 ประ​เทศอยู่​เบื้องหลัง
​การ​เจรจา​แบ่งผลประ​โยชน์​ในพื้นที่อ่าว​ไทยระหว่างรัฐบาล​ทั้ง 2 ประ​เทศ​ไม่ว่าจะ​เป็นรัฐบาล​แห่งราชอาณาจักร​ไทย​หรือว่ารัฐบาล​แห่งราช อาณาจักรกัมพูชาจะต้องคำนึง​ถึงผลประ​โยชน์ของชาติ​ทั้ง 2 ประ​เทศ​โดยส่วนรวม​เป็นหลัก​และต้อง​เคารพอำนาจอธิป​ไตย​และบูรณภาพ​เหนือ ดิน​แดนของ​แต่ละประ​เทศ​ซึ่ง​เป็นหน้าที่​โดยตรงของกระทรวงต่างประ​เทศ​และ กระทรวงพลังงานที่ต้องดู​แล​ไม่​ให้​ไทย​เสีย​เปรียบกัมพูชาอย่าง​เด็ดขาด

แม้ว ผวา “ปู” ล้มก่อนกำหนด-สลัดภาพ “แดงขี้เรื้อน” ล้มเจ้า !!


คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
ธิดา ถาวรเศรษฐ์

จตุพร พรหมพันธุ์

ขวัญชัย ไพรพนา

ผ่าประเด็นร้อน
     
       สังเกตหรือไม่ว่า หลังการเลือกตั้งเป็นต้นมาได้เกิดความเคลื่อนไหวแปลกๆ ภายในกลุ่มคนเสื้อแดง มีลักษณะของ “แดงแท้” และ “แดงเทียม” ปรากฏ ออกมาให้เห็นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกัน ภายในองค์กรของกลุ่มคนเสื้อแดงด้วยกันเองก็เริ่มมีความคิดเห็นที่ขัดแย้ง มีการตอบโต้ระหว่างกลุ่ม “หัวโจก” กันอย่างดุเดือดและเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เริ่มจากความพยายามในการปลด ธิดา ถาวรเศรษฐ์ ให้พ้นจากประธาน นปช. การตอบโต้รุนแรงระหว่าง ธิดา กับ ขวัญชัย ไพรพนา ใน เรื่องการคงอยู่ของหมู่บ้านเสื้อแดงในภาคอีสาน โดยฝ่ายหลังต้องการให้สลาย ซึ่งก็ถูกกล่าวหาว่าต้องการขยายบทบาทตัวเองออกไปครอบงำทดแทนมากกว่า เป็นต้น
     
       เชื่อว่าปรากฏการณ์เหล่านี้จะต้องทวีความรุนแรง และหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งหลายคนมองว่าถึงเวลาที่จะต้องแยก “เนื้อแท้” ออกมา เป็น “แดงเพื่อไทย-เพื่อแม้ว” ออกมาให้เด็ดขาดจาก “แดงห้อยโหน” ซึ่งกำลังจะถูกทำให้เป็น “แดงขี้เรื้อน” ให้หลุดออกไปโดยเร็ว
     
       ต้องยอมรับว่าองค์ประกอบของคนเสื้อแดงมีที่มาอย่างหลากหลาย ซึ่งหากให้แยกออกมาก็จะพบว่ามีอยู่สองกลุ่มใหญ่ นั่นกลุ่มคนเสื้อแดงที่มาจากกลุ่มคนที่สนับสนุน ทักษิณ ชินวัตร และกลุ่ม “ซ้ายอกหัก” ซึ่งถือว่าเป็นสองกลุ่มหลัก แม้ว่าในสองกลุ่มหลักดังกล่าวจะมีลักษณะทับซ้อนกันอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นสาระสำคัญเท่าใดนัก
     
       เพื่อให้เห็นภาพก็ต้องแยกกลุ่มเสื้อแดงทั้งสองกลุ่มออกมาพิจารณาก่อน โดยเริ่มจากกลุ่มแรก ที่เป็นกลุ่มเสื้อแดงที่สนับสนุน ทักษิณ หรือ อีกด้านหนึ่งก็คือกลุ่มที่ ทักษิณ ให้การสนับสนุนอยู่ข้างหลัง กลุ่มนี้ระดับแกนนำหรือ “หัวโจก” แทบทั้งหมดล้วนเคยเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย หรือไม่ก็เคยร่วมทำงานเป็นคณะงานภายในพรรคทั้งสิ้น แต่จะเป็นลักษณะ “ลิ่วล้อปลายแถว” รวมไปถึงประเภทที่เป็นนักการเมืองการเมือง “ตกรุ่น” ไปแล้ว
     
       ไม่ว่าจะเป็น วีระ(กานต์) มุสิกพงศ์ จตุพร พรหมพันธุ์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รวมไปถึงอดีต ส.ส.ในต่างจังหวัดบางคน เป็นต้น นี่ว่ากันเฉพาะเท่าที่มีบทบาทจดจำได้ ขณะเดียวกันยังมีกลุ่ม “แกนนำท้องถิ่น” ที่หลงใหลในนโยบายประชานิยมของทักษิณ และต้องการฉกฉวยโอกาส “ถีบตัว” ขึ้นมาให้มีราคาโดดเด่น ล่าสุดเท่าที่เห็นก็จะเป็น ขวัญชัย ไพรพนา
     
       อย่างไรก็ดี ภายในคนเสื้อแดงกลุ่มนี้แม้ว่าจะมีการคาบเกี่ยวกับ “แดงขี้เรื้อน” ตามนิยามใหม่ เช่น อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง อดิศร เพียงเกษ แต่ก็ยังต้องการอยู่ในร่มเงาของทักษิณอยู่วันยังค่ำ
     
       กลุ่มที่สองก็คือกลุ่ม “แดงซ้าย” ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอุดมการณ์ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมใหม่ และที่ผ่านมาคนพวกนี้มักจะเคยร่วมเคลื่อนไหวมากับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศ ไทย (พคท.) ในอดีต จนกระทั่งหมดยุค “ขวาพิฆาตซ้าย” และยุคสงครามเย็นทำให้คนเหล่านี้ต้องออกมาจากป่ากลับเข้ามาสู่เมือง ตามนโยบาย 66/23 แตกกระสานซ่านเซ็นปะปนไปอยู่ในระบบทุนนิยมอย่างกลมกลืน
     
       ในกลุ่มที่สองดังกล่าวหากจะให้โฟกัสกันแบบชัดเจนไปเลย ก็เห็นจะเป็น ธิดา ถาวรเศรษฐ์ เหวง โตจิราการ สองสามีภรรยา เป็นต้น ซึ่งเป็นที่รับรู้กันมานานแล้วว่าทั้งคู่มีอุดมการณ์ในทางซ้าย ออกไปในแนวสังคมนิยม และหากติดตามเส้นทางของคนพวกนี้จะพบว่าเคยอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับทักษิณ ชินวัตร โดยเมื่อครั้งที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชุมนุมขับไล่ ทักษิณ เมื่อประมาณปี 2549 เหวง ก็ขึ้นเวทีเคยด่าทักษิณว่าเป็น “คนขายชาติ” มาแล้ว แต่ต่อมาก็หันเหมาเข้าร่วมกับคนเสื้อแดงสนับสนุนทักษิณหน้าตาเฉย
     
       หลายคนพากันวิเคราะห์ว่าสาเหตุที่แดงซ้ายเหล่านี้หันมารวม กลุ่มกับแดงทักษิณ ก็เนื่องจากมีเป้าหมายเดียวกันนั่นคือ ต้องการ “ล้มอำมาตย์” ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมใหม่ ในลักษณะ “แสวงหาจุดร่วม สงวนจุดต่าง” ความหมายก็คือเดินร่วมทางไปก่อน แล้วค่อยแยกทางในภายหลัง หรืออาศัย “มวลชน” ของฝ่ายทักษิณ เพื่อนำไปสู่เป้าหมายของตัวเองในวันข้างหน้า
     
       นอกจากนี้ยังมีกลุ่ม “ซ้ายจัด” ที่เข้ามาร่วมเดินทางไปด้วย แม้จะไม่ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรแดง เช่น ใจสส์ อึ้งภากรณ์ สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ รวมไปถึงนักชาการในมหาวิทยาลัยฝ่ายซ้ายอีกหลายคน
     
       อย่างไรก็ดี เมื่อกล่าวถึงพวกฝ่ายซ้าย กลุ่มนี้ก็ต้องมาพิจารณาให้ครอบคลุมถึงบุคคลที่อยู่รอบตัวของทักษิณ ในเวลานี้หลายคนทำตัวเป็น “กุนซือ” เป็นผู้กำหนดเกมทางการเมืองทั้งจากในอดีตจนถึงปัจจุบันที่กำลังเป็นที่ ปรึกษาในทางลับให้กับยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จากพรรคเพื่อไทยในปัจจุบันนี้ด้วย แต่ในที่สุดกลุ่มซ้ายที่อยู่รอบตัว ทักษิณ ดังกล่าวแม้จะไม่ชอบอำมาตย์ แต่การเคลื่อนไหวก็ต้องเป็นไปตามคำสั่งของ “นาย” คือ ทักษิณ และต้องเอื้อประโยชน์ให้กับพรรคเพื่อไทยนั่นเอง
     
       นั่นคือองค์ประกอบของคนเสื้อแดงที่มาจากหลากหลายที่มา และกำลังจะมาถึง “ทางแยก” สำคัญที่จะต้อง คัดกรองเอาไว้ให้เหลือแต่ “ เนื้อแท้” เท่านั้น
     
       เมื่อพิจารณาจากเป้าหมายของ “ระบอบทักษิณ” หลังจากที่ชนะเลือกตั้งได้กลับเข้ามายึดอำนาจรัฐอีกรอบ นาทีนี้ก็ถือว่าไป “ถึงเป้าหมาย” แล้ว ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจาก “ตัวตน” ของทักษิณ เขาเป็นนักธุรกิจที่ต้องแสวงหาผล “กำไรสูงสุด” เป็นหลัก ไม่ได้มี “อุดมการณ์ไพร่-อำมาตย์” อย่างที่มีความพยายามประดิษฐ์ประดอยถ้อยคำขึ้นมากล่าวอ้างแต่อย่างใดไม่ เพราะสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ในเวลานี้ก็คือจะทำอย่างไรให้รัฐบาล “โคลนนิ่ง” ของน้องสาวคือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อยู่ได้นานที่สุดเท่านั้น สิ่งใดก็ตามที่กำลังทำลายน่าเชื่อถือ หรือสร้างความหวาดระแวงให้กับสังคมก็ต้องหาทางสลัดทิ้งไปให้เร็วที่สุด
     
       หากสังเกตให้ดี สิ่งที่เครือข่ายทักษิณกำลังสร้างภาพให้เห็นก็คือ “ความปรองดอง” และภาพของ “ความจงรักภักดี” มีความพยายามชี้ให้เห็นถึง “แดงเทียม” ที่แฝงตัวเข้ามาเท่านั้น
     
       จากการอภิปรายนโยบายรัฐบาลของฝ่ายค้านที่มีการหยิบยกเอาเรื่องการ บ่อนทำลายสถาบัน มีการกล่าวหาพาดพิงไปที่คนเสื้อแดง โดยมีการยกตัวอย่างเรื่องการจัดงาน “ทักษิณมหาราษฎร์” ให้มีลักษณะคำพ้องเสียง รวมไปถึงมีการผุดเว็บหมิ่นสถาบันมากมาย แต่ก็มีการแก้ต่างยืนยันจากฝ่ายรัฐบาลเริ่มตั้งแต่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีว่า ทุกคนในรัฐบาลมีความจงรักภักดี หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ที่วานนี้ (25 สิงหาคม) นำผู้บัญชาการเหล่าทัพเข้าอวยพรวันเกิด พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีความหมายเป็น “อำมาตย์” ได้รับโอวาทให้เน้นย้ำในเรื่องการปกป้องสถาบันมาปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
     
       ที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือคำอภิปรายยืนยันในสภาของ จตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง ได้ออกมากล่าวหน้าตาเฉยในทำนองว่าพฤติกรรมที่จาบจ้วงทำลายสถาบันล้วนเป็นพวก “แดงเทียม” เป็น “แดงขี้เรื้อน” แอบแฝงเข้ามาทำลาย ทั้งที่ขณะที่พูดอยู่นั้นคงหลงลืมไปว่าตัวเองกำลังถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่น พระบรมเดชานุภาพจากการปราศรัยบนเวทีเสื้อแดงเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2554 ที่ระบุถึง “กระสุนพระราชทาน” ในเหตุการณ์สลายการจลาจลเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553
     
       อย่างไรก็ตาม อีกด้านหนึ่งมันก็สะท้อนให้เห็นถึงความเคลื่อนไหวที่จะสลัด “แดงนอกใส้” ออกไปเพื่อลดความหวาดระแวงจากสังคม ให้เหลือแต่ “แดงแท้” เพื่อนำไปสู่เป้าหมายให้ยึดกุมอำนาจรัฐให้นานที่สุด อย่างน้อยเมื่อสามารถทำกำไรได้สูงสุดก็ต้องคงสภาพเอาไว้แม้กระทั่งภาพที่ออก มากำลัง “ปรองดองกับอำมาตย์” ก็ต้องเดินหน้าเต็มกำลัง
     
       ดังนั้น อย่าได้แปลกใจที่ปัจจุบันและในอนาคตจะได้เห็นความขัดแย้งที่เพิ่มขึ้นภายใน กลุ่ม “หัวโจก” คนเสื้อแดง เริ่มตั้งแต่ความพยายามในการเฉดหัว ธิดา ถาวรเศรษฐ์ หนึ่งในแดงเทียม ให้พ้นจากหัวขบวน รวมไปถึงการส่งสัญญาณให้ ขวัญชัย ไพรพนา แกนนำท้องถิ่น ขยายอาณาจักรเข้ามาทับซ้อน กดดันให้สลายหมู่บ้านเสื้อแดงในภาคอีสาน ที่เคยเป็นความริเริ่มจากกลุ่มแดงนอกไส้ ซึ่งกำลังทำให้กลายเป็น “แดงขี้เรื้อน” จะต้องถูกพวกเดียวกันกำจัดออกไปในที่สุด!!

แถลงการณ์เรียกร้องยุติคุกคามสื่อ


สมาคมวิชาชีพสื่อมวลชนออกแถลงการณ์เรียกร้องยุติคุกคามสื่อ ระบุเป็นการละเมิด ข่มขู่ คุกคาม สิทธิเสรีภาพของผู้อื่น
เมื่อ วันนี้ (26 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทยและสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่ง ประเทศไทย ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องยุติการคุกคามสื่อมวลชน โดยเฉพาะกรณีที่มีการส่งต่อจดหมายอีเล็กโทรนิกส์ หรือ ฟอร์เวิร์ดเมล์ภายในกลุ่มผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย โดยมีข้อความข่มขู่การทำหน้าที่ของสื่อมวลชนของสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง ด้วยวิธีปลุกระดมให้ประชาชนเกิดความเกลียดชังผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์สีกอง ทัพบกช่อง 7 รายหนึ่ง ด้วยการโพสต์ภาพถ่ายและชื่อ นามสกุล ด้วยข้อความ “เปิดโฉมหน้านักข่าวที่ทำให้นายกปูเดินหนี จำหน้าหล่อนไว้นะครับเห็นที่ไหนก็จัดการให้หน่อยก็แล้วกันครับ” ข้อความการกระทำและพฤติกรรมดังกล่าวเป็นการคุกคามสิทธิ เสรีภาพ และการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนอย่างชัดแจ้ง

สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทยและสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่ง ประเทศไทย  จึงขอเรียกร้องไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องและสาธารณชน ดังนี้ 1.ขอให้ทุกฝ่ายตระหนักว่าสื่อมวลชน ผู้สื่อข่าว ช่างภาพ ทำหน้าที่รายงานข่าว สัมภาษณ์ ซักถาม เพื่อต้องการข้อเท็จจริงตามหน้าที่ของตน ไม่ใช่เป็นคู่ขัดแย้งกับใคร เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรตกเป็นเป้าหมายของการข่มขู่ คุกคามและแทรกแซงไม่ว่าจากฝ่ายใด ซึ่งหากสื่อถูกข่มขู่และคุกคามจนไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างอิสระจะส่งผล กระทบต่อประชาชนที่ไม่สามารถรับรู้ข่าวสารข้อมูลและข้อเท็จจริง

2.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 28 บัญญัติว่า “บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพของตนได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของ บุคคลอื่น” เพราะฉะนั้นกลุ่มคนที่มีความเห็นแตกต่างกันในทางการเมืองต้องไม่ใช้วิธีการ ที่เป็นการละเมิด ข่มขู่ คุกคาม สิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่น

3.สำหรับประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ซึ่งอาจมีจุดยืนหรือความเห็นทางการเมืองแตกต่างกัน ควรใช้ความอดกลั้น ความเข้าใจ มีสติยับยั้ง ในการสนับสนุนกลุ่มหรือพรรคการเมืองใด โดยติดตามข่าวสารอย่างมีสติ อย่าได้เชื่อข่าวสารที่ปราศจากการตรวจสอบถึงแหล่งที่มาที่ชัดเจน ซึ่งอาจยั่วยุให้มีการใช้ความรุนแรง

สุดท้ายนี้ สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทยและสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่ง ประเทศไทย ขอเป็นกำลังใจให้สื่อมวลชนทุกแขนงทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง ซื่อสัตย์ในวิชาชีพ ยึดถือประโยชน์ของสาธารณะและประเทศชาติเป็นหลัก

สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย
สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย
สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
26  สิงหาคม 2554

เดลินิวส์

รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง