บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2554

The amulet, His Majesty, Father and Uncle – Arjin พระพระเจ้าอยู่หัว พ่อและลุง

เป็นเรื่องสั้น2ภาษาครับ เขียนโดยคุณอาจินต์ ปัญจพรรค์



พ่อเล่าให้ฟังว่า เมื่อพ่ออายุได้ 25 ปี มีผ้าม่วงผืนเดียว เสื้อนอกตัวเดียว พระกำแพงห้อยคอหนึ่งองค์ ตะกรุดคาดเอวอีกเส้นหนึ่ง กับตำแหน่งปลัดอำเภอบางเลน

Father told me that when he was twenty-five, he wore only one silk hip wrapper, a single jacket, a Buddha amulet round his neck and a thin magic chain* fastened to his waist, and held the position of assistant district officer in Bang Len**.


พ่อได้กับแม่ที่นี่ พี่ชายของแม่เป็นนัก เลงใหญ่ ออกชื่อได้ทั่วตั้งแต่งิ้วรายไปจนถึงเดิมบางนางบวช ปลูกตลาดให้คนเช่าอยู่บางไทร ซึ่งอยู่ในเขตอำเภอบางเลน พ่อเป็นข้าราชการ ทำไมได้แม่ซึ่งเป็นน้องของนักเลง ตอนนี้พ่อไม่ได้เล่า

Father had known Mother there. Her elder brother was a big gangster whose reputation stretched from Ngiu Rai to what used to be Bang Nang Buat. He had built a market with stalls to let at Bang Sai, which was in the Bang Len district. Father was a civil servant. How he came to marry the little sister of an underworld boss, this Father left unsaid.


พ่อกับลุง เป็นคนละชั้นกันเลย เทียบกันไม่ได้แน่ ลุงกิน จอนนี่ วอล์คเกอร์ทุกมื้อ มีไก่ตอนแกล้ม นอนกินบนเก้าอี้ผ้าใบ มีคนพัด 1 คน คนนวดอีก 1 คน มีเมียนับสิบประจำการอยู่ตลอดวันยังค่ำคืนยังรุ่ง พอลุงเบื่อไก่ตอนที่นั่น ลุงจะไปเที่ยวบางกอกเหมา
“เสียโป” ทั้งหาบกินกับบริวาร ซึ่งกางเกงแพรปังลิ้น ดูละครแม่บุนนาค แล้วยกพวกกลับบางไทร ทั้งขาไปขากลับนั่งเรือเมล์ฟรีหมดทุกคน
Father and Uncle were of different walks of life. They couldn’t be compared. Uncle drank Johnny Walker with every meal, along with capon titbits he ate reclining on a canvas seat. One man fanned him, another massaged him. He had a dozen wives in attendance round the clock. As soon as he got fed up with capon there, he would go for an outing in Bangkok, buy up basketfuls of red pork crack-lings* for him and his retinue to nibble, buy moiré dark trousers**, go to Mother Bunnag’s theatre*** and then return with his escort to Bang Len. Coming and going, they all sat in the boat free of charge.


เสียโป


ส่วนพ่อกินแต่ข้าว คร่ำเคร่งอยู่กับราชการ และแม่ต้องหาบน้ำใส่ตุ่มเอง

As for Father, he ate only rice, was absorbed in his duties, and it was Mother who carried water on shoulder poles to fill the jar.


ทำไมพ่อจึงจน ทำไมลุงจึงรวย?

Why was Father poor? Why was Uncle rich?


เพราะพ่อเป็นข้าราชการเล็กๆ ผู้ซื่อสัตย์ แต่ลุงเป็นนายบ่อนการพนันผู้มีอิทธิพล

Because Father was a lowly civil servant and an honest man, but Uncle was a gambling lord, a man of influence.


ไม่มีใครปราบลุงได้ เพราะลุงมียามคอยอยู่ฟากแม่น้ำตรงข้ามฝั่งอำเภอ พอมีคำสั่งจับบ่อนของลุง พรรคพวกก็จะโบกมือให้สัญญาณ เจ้าหน้าที่ผู้จับกุมก็ลงเรือจ้างแจวจากบางเลนมาบางไทร พอมาถึงก็พบว่าไม่มีแม้แต่ไพ่ตัวเดียวในบ้านของลุง ทั้งนี้เพราะคนของลุงมาถึงก่อนเจ้าหน้าที่ พวกเจ้าหน้าที่มาเรือจ้าง แต่คนของลุงขี่ม้ามา

No one could suppress Uncle, because he had sentries watch­ing on the side of the river opposite the district office. As soon as the order came to raid Uncle’s gambling den, they would signal with their hands. The officers in charge of suppression would take a hired boat and paddle from Bang Len to Bang Sai. By the time they got there, they would find not a single playing card in Uncle’s house, because his men had preceded them. The officers had come by boat; Uncle’s men had ridden horses.


เขาจึงพากันพูดว่า เพราะพ่อเป็นน้องเขยจึงไม่ถูกจับสักที เขาหาว่าพ่อนี่แหละเป็นสายให้ลุง แล้วเขาก็สั่งให้พ่อจับลุงดูบ้าง พ่อไปคนเดียว ไปเรือจ้าง ไม่มีปืน มีแต่พระกำแพงกับตะกรุดคาดเอวเส้นนั้น

So it was rumoured that it was because Father was his brother-in-law that Uncle was never arrest­ed, that Father himself was his accomplice. Thus one day Father was order­ed to arrest Uncle. Father went alone. He went in the hired boat. He had no gun. He had only his amulet, and his magic chain at the waist.


ยามของลุงขี่ม้ามาบอกลุงว่า พ่อกำลังลงเรือมาแล้ว มาคนเดียว ลุงจึงบอกว่าถ้างั้นเล่นกันต่อไปไม่ต้องหยุด มาคนเดียวจะทำอะไรกูได้

One horse-riding sentry arrived and told Uncle that Father was already in the boat, and was coming alone. Uncle thus said, ‘In that case let’s go on playing. No need to stop: coming on his own what can he do to me?’


พ่อขึ้นเรือจ้างหน้าตลาดของลุง เดินเข้าบ่อน ทางเข้าเป็นซอกแคบๆ และไกล ลุงทำไว้เพื่อบังคับให้คนที่จะเข้าบ่อนต้องเดินเรียงหนึ่ง และเมื่อจะจุกหัวจุกท้ายซอกนี้เพื่อปิดประตูตีแมว ก็จะทำได้โดยง่าย ปากซอกมียามคนหนึ่ง ยกมือไหว้พ่อ ปล่อยให้พ่อผ่านไปถึงก้นซอก ซึ่งมีประตูเปิดเข้าในบ่อน คนยามอีกคนหนึ่งก็ยกมือไหว้พ่อ และเปิดประตูให้เข้าไปโดยดี

Father got out of the boat in front of Uncle’s market and walked up to the gambling den. The entrance was a long and narrow corridor Uncle had built to force people to file in and to make it easy to handle officials by locking the doors at both ends. The entrance to the corridor had a guard. He raised his joined hands and bowed to Father, letting him go through. At the end of the corridor was a door opening onto the gambling den. Another guard there raised his joined hands and bowed to Father and then opened the door for him to enter.


ลุงนอนกินเหล้าบนเก้าอี้ผ้าใบ ไฮโลกำลังคลั่ง เผสองวงเสียงลั่น จั้บยีกีกำลังโกยเงิน ไพ่จีนก็ไม่เลว พอเสียงประตูเปิด ลุงเอี้ยวตัวมามองแล้วทักว่า อ้อ ปลัดมา

Uncle was reclining on his canvas seat, drinking whisky. Hi-lo was in full swing. Two circles of poker were clamour­ing. Jap Yee Kee* was scooping fistfuls of money. The Chinese card game wasn’t doing badly either. When he heard the door open, Uncle turned to look and then greeted, ‘Oh, there you are, officer!’


พ่อยกมือไหว้แล้วว่า สบายดีหรือพี่?

Father raised his hands and bowed and then said, ‘How are you, Big Brother?’


คนทั้งหมดแตกฮือเหมือนไฟพะเนียง ฝาเฝืองแทบพัง แต่คนเข้ามาอยู่ในนี้แล้วออกไปไหนไม่ได้เหมือนกัน กำแพงบ่อนของลุงทำด้วยสังกะสี หนาสองชั้น สูงท่วมหัวสองช่วงตัวคน คนทั้งหลายตะปบเงินยุ่งไปหมด

The room exploded like a Roman candle, the walls almost burst, but whoever came in there couldn’t get out. The walls of Uncle’s den were made of double-plated corrugated iron, high as twice a man’s height. Everyone grabbed their money in utter confusion.


ลุงตะโกนว่า อยู่เฉยๆ โว้ย ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร

Uncle shouted out, ‘Quiet, you fools! It’s all right, it’s all right.’


พ่อตะโกนซ้ำว่า อยู่เฉยๆ อย่าหนี

Father shouted out as well, ‘Quiet! Don’t flee!’


ทุกคนเงียบไม่กระดุกกระดิก เหมือนถูกสาปด้วยคำสั่งของข้าราชการเล็กๆ ผู้นี้

Everybody was silent and still, as if under the spell of this lowly civil servant.


ลุงถามพ่อว่า มาธุระอะไร

Uncle asked Father, ‘Why have you come?’

พ่อตอบสั้นๆ ว่า จับ

Father answered simply, ‘To arrest you.’

ลุงหัวเราะร่วน ยกเหล้าขึ้นกิน แล้วว่า จะไหวหรือวะ

Uncle burst out laughing, raised his glass, drank and then said, ‘You think you can?’

พ่อบอกว่า ไหวไม่ไหวก็ต้องทำ

Father told him, ‘Whether I can or not, I must.’

ลุงว่า จะทำอีท่าไหน

Uncle said, ‘How do you intend to go about it?’

พ่อตอบ ก็เอาตัวไปอำเภอทุกคน

Father answered, ‘Well, have everyone here go to the district office.’

ลุงว่า ข้าหากินมานานแล้ว ยังไม่เคยขึ้นอำเภอเลยแหละ ข้าจะไม่ยอมขึ้นเป็นอันขาด

Uncle said, ‘I’ve long been in this business and never once gone to the district office and there’s no way I ever will.’

พ่อว่า เดี๋ยวนี้อำเภอก็อุตส่าห์ลงมาหาพี่แล้ว มาเชิญ มามือเปล่า

Father said, ‘Well, now the district office has come to you, unarmed.’


ลุงว่า ยิ่งมือเปล่า ยิ่งไม่มีวันสำเร็จ ข้าจะยิงแกเสียก็ได้ ปลัด

Uncle said, ‘And unarmed to boot! You’ll never succeed. I’ll shoot you first, you know, officer.’

พ่อว่า ก็เชิญ

Father said, ‘Suit yourself.’

ลุงว่า กลัวน้องสาวข้าจะเป็นหม้ายเสียเท่านั้นแหละวะ

Uncle said, ‘I’m only afraid my sister will be widowed.’

พ่อว่า ตอนนี้อย่าเอาเรื่องวงศ์ญาติมาพูดกันเลย ฉันมาราชการ เร็วเข้า ทุกคนไปลงเรือ

Father said, ‘Leave family relations out of it. I’ve come on official business. Come on, everybody into the boat!’

ลุงว่า แกคนเดียวคุมเขาไหวหรือ พอปล่อยออกไปข้างนอกมันก็วิ่งเปิดตูดกันไปหมด

Uncle said, ‘Do you think you can control every­one on your own? As soon as you’re outside, they’ll show you their backside and scarper every which way.’


พ่อว่า นั่นต้องแล้วแต่พี่ พี่คุมไป ไม่ใช่ฉันคุม พี่คุมคนพวกนี้ ฉันคุมพี่อีกทีหนึ่ง

Father said, ‘That’s up to you. You control them, not me. You control these people and I control you.’

ลุงว่า พูดแปลกๆ อย่างนี้ เฮ้ย ใครหยิบปืนให้กูทีเถอะวะ

Uncle said, ‘What’s this nonsense? Someone pass me a gun.’

สมุนส่งปืนให้ลุง ลุงยังคงนอนอยู่บนเก้าอี้ผ้าใบ รับปืนมาเดาะเล่นในมือ แล้วถามว่า ยังจะต้องจับอยู่อีกหรือ

An underling handed Uncle a gun. Uncle, still reclining on the canvas seat, took the gun and toss­ed and caught it playfully in his hand and then ask­ed, ‘Do you still want to arrest me?’

พ่อยืนยัน

Father confirmed.

ลุงส่ายหน้า แล้วว่า ทำไมคนที่มาจับข้าจะต้องเป็นแก ทำไมไม่ส่งคนอื่นมา ทำไมข้าจะต้องยิงน้องเขยของข้า

Uncle shook his head and then said, ‘Why does it have to be you arresting me? Why couldn’t they send someone else? Why do I have to shoot my own brother-in-law?’


พ่ออธิบายให้ฟังว่า เขาพูดกันว่า การที่พี่ปิดบ่อนได้ทันทุกทีนั้นเป็นเพราะมีน้องเขยเป็นปลัดอำเภอ ฉันต้องมาพิสูจน์ให้คนเห็น ยิงฉันเสียก็ดี จะได้รู้กันชัดๆ ว่าปลัดอำเภอคนนี้ มิได้เข้าข้างผู้ทุจริตเลย

Father explained, ‘People say that if you can close your gambling joint on time every time it’s because the assistant district officer is your brother-in-law. I have to show those people. If I die they’ll know for good that this assistant district officer doesn’t side with the crooked.’

ลุงตวาดว่า การเล่นการพนันนี้ทุจริตตรงไหนวะ

Uncle roared, ‘What the hell’s crooked about gamb­ling?’

พ่อว่า มันนอกกฎหมาย อะไรๆ นอกกฎหมายทุจริตทั้งนั้น

Father said, ‘It’s illegal. Everything that’s illegal is wrong.’


ลุงยกปืนขึ้นส่อง คนหลบกันเป็นแถวๆ แต่พ่อยืนนิ่งๆ ลุงบอกว่าตลอดชีวิต ข้าก็ดูเหมือนทำนอกกฎหมายทั้งนั้น การยิงคนก็นอกกฎหมาย ข้าทำมานานจนเคยมือ ทำอีกสักทีคงจะไม่กระไรนัก

Uncle raised the gun and pointed it. People scrambled out of the way. But Father stood still. Uncle told him, ‘Everything I’ve done all my life is illegal, you could say. Shooting someone is illegal too. I’ve done it so often I’m used to it. Doing it once more is nothing much.’


พ่อยืดอก สายตะกรุดที่เอวเสียดสีอยู่ที่เอว พระกำแพงเต้นอยู่ที่หน้าอก พ่อพูดว่า
ฉันมาราชการของพระเจ้าอยู่หัว ใครยิงฉันก็เท่ากับหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ!!
Father thrust out his chest. The magic chain rub­bed against his waist. The Buddha amulet jolted on his chest. Father said, ‘I’m here on His Majesty’s service. Shooting me is tantamount to committing lèse-majesté.’


ลุงลดปืน ราวกับว่ามันหนักอึ้งขึ้นมาจนคอนไว้ไม่ไหว สะบัดหัวงงๆ ลุงเคยเป็นมหาดเล็กในกรมพระองค์หนึ่งมาแล้ว พระบารมีนั่นเองที่ทำให้ลุงเป็นนักเลงใหญ่ได้ง่ายกว่าคนอื่นๆ พูดกันง่ายๆ ลุงก็เป็นชีวิตหนึ่งใต้ร่มพระบารมีพระเจ้าอยู่หัวเหมือน กับพ่อ

Uncle lowered the gun as if it had grown so heavy he couldn’t hold it up. He shook his head, mystified. Uncle had once been a royal page. It was the prestige of royal service that had made him a big shot more easily than anyone else. To put it plainly, Uncle was yet another life under His Majesty’s benevolent protection just as Father was.

เลิกแล้วต่อกันสักทีไม่ได้หรือ ปลัด

‘Can’t we just give this up, officer?’

เลิกไม่ได้ มามือเปล่า กลับไปต้องมีของติดมือ

‘I can’t. I came empty-handed. When I return, I must have something in hand.’


ลุงโยนปืนทิ้งแล้วว่า ข้าจะต้องวิ่งเต้นให้แกย้ายไปอยู่อำเภออื่นเสียแล้วละ ปลัด

Uncle threw the gun away and then said, ‘I’ll have to pull strings and get you transferred to some other district, officer.’

พ่อว่า ดีซี พี่จะได้เปิดบ่อนได้สะดวก ฉันไม่อยากอยู่อำเภอนี้เหมือนกัน ถ้าอยู่ก็ต้องจับกันเรื่อยอย่างนี้แหละ

Father said, ‘That’s fine. That way you won’t have prob­lems keeping your den open. I don’t want to stay in this district anyway. If I stay I must keep arresting you.’

ลุงว่า ข้าพูดจริงๆ นา

Uncle said, ‘I’m telling the truth, you know.’

พ่อว่า ฉันก็พูดจริง อยู่อำเภอนี้ต้องจับคนด้วยมือเปล่า อยากให้ไปที่อื่น อยากถือปืนจับคนเสียบ้าง

Father said, ‘So am I. If I stay here, I have to make arrests with my bare hands. I’d like to go some­where else where I can make arrests at gunpoint.’


ถึงตอนนี้ลุงนิ่งอึ้ง พิจารณาใบหน้าอันซื่อเศร้าและวิงวอนของพ่ออยู่เป็นเวลานาน แล้วลุกขึ้นเอามือไพล่หลังเดินไปเดินมา ผลสุดท้ายมาหยุดตรงหน้าพ่อ แล้วว่า เอาวะ ข้ายอมแพ้ จับก็จับ คงไม่เท่าไหร่หรอก

By now, Uncle was stumped. He scrutinised Father’s honest, sad and worried face for a long time, then got up and paced up and down with his hands clasped behind his back. Finally he came to a stop in front of Father and said, ‘All right, I give up. So be it. It won’t amount to much anyway.’

พ่อว่า ถ้างั้นไปลงเรือทุกคน

Father said, ‘In that case, everybody to the boat!’

ลุงไม่ตกลง บอกว่า ไม่ได้แน่ แกจะคุมข้าไปไม่ได้หรอก มันไม่น่าเชื่อ และอีกประการหนึ่ง คนอย่างข้าถูกใครคุมไม่ได้ ขอทีเถอะวะ

Uncle didn’t agree and said, ‘No way! You can’t put me under arrest. It’s unheard of. And besides, no one can lord over someone like me. I won’t have it.’

พ่อว่า อ้าว ไหนว่ายอม

Father said, ‘What now? Didn’t you say you were giving up?’


ลุงว่า ก็ยอม แต่ไม่ต้องคุมไป ให้เกียรติแก่ข้าสักครั้งเถอะ แกกลับไปก่อน พรุ่งนี้ข้าจะเอาไอ้พวกนี้ทุกคนไปใส่ห้องขังคอยท่าแกก่อนตื่น

Uncle said, ‘I did. But you don’t have to arrest me. Show me some respect for once. You go back first. Tomorrow I’ll have everyone here waiting in the jail for you to wake up.’


พ่อยืนนิ่งตัดสินใจ แล้วว่า ถ้างั้นขอกระดาษดินสอจดชื่อคนพวกนี้ให้ครบหมดทุกคน ฉันจะยึดบัญชีชื่อไว้ พรุ่งนี้พี่พาไปถึงอำเภอเมื่อไหร่ ฉันจะได้ตรวจถูก

Father stood still, making up his mind, and then said, ‘In that case, let me have some paper and pencil to take down the names of all the people here. I’ll keep the list so that tomorrow when you take them to the district I can check correctly.’

ลุงว่า ข้อนั้น ไม่ขัดข้อง

Uncle said, ‘No objection to that.’


พ่อลงเรือจ้างกลับไปพร้อมด้วยบัญชีรายชื่อ คนทั้งอำเภอมองพ่ออย่างเหยียดๆ บางคนมองทะลุเข้าไปเห็นมัดเงินเป็นปึกๆ ในกระเป๋าพ่อ คงพากันคิดว่าพ่อเหลว กลับมาด้วยถูกเงินติดสินบน

Father took the hired boat back along with the list of names. The entire district looked at him with despise. Some people even saw wads of banknotes in Father’s pockets, convinced as they were that he was returning with a bribe.

พ่อเดินหงอยๆ กลับบ้าน บอกแม่ด้วยเสียงสั่นๆ ว่า ฉันไปจับพี่เขามาแล้ว

Father walked back home dejectedly, and told Mother with a shaky voice, ‘I’ve gone and arrested your brother.’

แม่ร้องลั่นบ้านว่า ตายแล้ว พ่อว่าเกือบไป แล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง แม่นอนร้องไห้ทั้งคืนพ่อก็พลอยนอนตาไม่หลับไปด้วย

Mother’s shout shook the house: ‘We’re done for!’ Father said, ‘Not yet,’ then told her the whole story. Mother lay crying all night. Father didn’t sleep a wink either.


รุ่งขึ้น ลุงยกขบวนพวกเล่นการพนันมาจริงๆ เอาเรือแท็กซี่ของลุงเองขนมาแน่นยังกับคนจะไปทอดกฐิน ลุงแต่งดำทั้งชุด กางเกงแพร และเสื้อกุยเฮง เคี้ยวหมากหยับๆ นั่งพิงหมอนสามเหลี่ยมอยู่หัวเรือ มองเห็นเด่นกว่าใคร จอดเรือที่ท่าหน้าอำเภอ ต้อนคนทั้งหลายไปอำเภอ

The next morning, Uncle truly took the whole gang of gamblers into his own taxi boat, which was full as if on an outing to present monks with new robes. Uncle was dressed all in black, silk trousers and Chinese jacket, and chewed betel sloppily as he sat with his back on a triangular cushion at the prow, which offered the best view. He had the boat stop at the pier in front of the district office and herded the whole group inside.


ไต่สวนกันอย่างละเอียดลออ ซื่อเข้าหากันทั้งสองฝ่าย ตกลงเป็นการปรับ ลุงรับออกค่าปรับทั้งหมดแต่ผู้เดียวเป็นเงินหลายชั่ง ซึ่งพ่อได้รางวัลนำจับ ชักจากเงินนี้ถึงสองชั่ง เสร็จธุระ ลุงก็ยกพวกกลับ ไม่แวะไปเยี่ยมแม่เลย

A detailed inquiry was held, a straightforward confront­ation. Fines were agreed upon. Uncle paid all the fines himself. They amounted to quite a lot of chang*. Father received a reward for the arrest, taken from that money and amounting to two chang. Business concluded Uncle took his people back, without calling on his sister.


พ่อถือเงินสองชั่งกลับบ้าน เล่าเรื่องทั้งหมดให้แม่ฟังและปรึกษาว่า ฉันจะเอาเงินสองชั่งนี้ไปคืนพี่เขาเย็นนี้แหละ

Father took the two chang back home, told Mother the whole story and added, ‘This evening, I’ll go and give this money back to your brother.’

แม่พูดว่า คราวนี้เขายิงแน่ล่ะ แล้วแม่ก็เป็นลม

Mother said, ‘If you do that, this time he’ll shoot you for sure,’ and then she fainted.


ลอกมาจาก http://thaifiction.wordpress.com/

การเมือง = ทุนทางสังคม + นวัตกรรม + จังหวะสุกงอม

Logo


ยุทธศาสตร์ประเทศไทยเป็นเรืองระยะยาว แม้แตรัฐบุรุษซึงปราดเปรืองทีสุดก็ยังไมอาจแนใจได้วา นโยบายสุดเลิศหรูทีกระทำในวันนี้ จะยังสงผลดีในอีก 50 ปีข้างหน้าหรือไมยิงเวลาผานไปนานเทาไร ปัจจัยทีเข้ามาเกียวข้องก็ยิงมีความสลับซับซ้อน โดยเฉพาะการเปลียนแปลงทางเทคโนโลยีทีมีผลกระทบไปทัวทุกหยอมหญ้า
“ประวัติศาสตร์” นับเป็นเครืองมือชนิดหนึง ในการศึกษาเรียนรู้ถึงผลกระทบของนโยบายทีคนในชาติได้รวมกันสร้างสรรค์ขึ้นมา โดยเฉพาะเมือเป็นห้วงระยะเวลาทียาวนานนับ 1000 ปี ก็ยอมมองเห็นถึงความคลีคลายได้กระจางชัด ซึงจะเป็นบทเรียนล้ำคาในการกำหนดนโยบายของรัฐบุรุษตอไป
1. ทุนทางสังคม (Social Capital)
“อัสซีเรีย” นับเป็นชนชาติโบราณทียิงใหญทีสุดทางด้านการทหาร โดยมีนวัตกรรมการจัดกำลังกองทัพทีมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึงได้ถูกหยิบยืมไปใช้สร้างมหาอาณาจักรของชาวเปอร์เซียและโรมันในเวลาตอมา ขณะทีชือเสียงของอัสซีเรียกลับไมอยเป็นทีจดจำของคนทัวไปนัก
กองทัพเกรียงไกร จึงไมใชปัจจัยชี้ขาดของชนชาติ เพราะทีสุดแล้วสิงซึงทำให้มนุษย์เอาชนะสัตว์ร้ายได้ ยอมเป็นภาษาและความรวมมือของเผาพันธุ์ ในการวางแผนกลยุทธ์และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพือปราบปรามเขี้ยวเล็บของเหลาเดรัจฉานทั้งหลาย
ชนชาติโรมันไมได้รบเกงกล้ามาตั้งแตกำเนิด ในชวงต้นได้ผลัดกันแพ้ชนะกับชนชาติเพือนบ้าน หลายครั้งแทบจะต้องสูญสิ้นแผนดิน หากทวาชาวโรมันก็อดทนยืนหยัดจนกระทังวิกฤตการณ์ผานพ้น สุดท้ายเมือชาติเพือนบ้านเกิดปัญหาขัดแย้งกันภายใน ชาวโรมันทีมีความประสานกลมเกลียวในสังคมดีกวาก็สามารถอาศัยชวงจังหวะนี้ในการรบพุงเอาชนะเพือนบ้านได้อยางไมยากเย็นนัก
สิงทีทำให้อารยธรรมโรมันยิงใหญจนกระทังครอบครองไปครึงโลกอยางยังยืน ยิงไมใชเรืองของกำลังรบหรือการบริหารจัดการอาณาจักรเพราะชนชาติเปอร์เซียก็มีความสามารถเชนนี้ไมยิงหยอนกวากัน ดังนั้น จุดเดนของอารยธรรมโรมันก็คือ “ทุนทางสังคม” ทีทำให้คนในชาติหลอมเป็นน้ำหนึงใจเดียวกัน แม้จะมีความขัดแย้งด้านผลประโยชน์กันเป็นระยะ หากทวาชนชั้นสูงชาวโรมันก็มีวิสัยทัศน์เพียงพอทีจะแบงปันผลประโยชน์กลับคืนให้ชนชั้นลางอยางชาญฉลาด เพือรวมกันรับมือภัยคุกคามจากภายนอก ในทีสุดชนชาติโรมันจึงแผแสนยานุภาพกลบทับเพือนบ้านทีเคยยิงใหญมากอนได้อยางแยบยล

นครรัฐกรีก เป็นต้นตำรับประชาธิปไตยซึงไมมีอารยธรรมโบราณใดเสมอเหมือน หากทวา ประชาธิปไตยของชาวเอเธนส์ก็จำกัดเพียงดินแดนของตนเทานั้น ไมสามารถเผือแผไปถึงคนกรีกในนครรัฐอืนทีมีเชื้อสายเดียวกัน ยิงไมต้องพูดถึงชนตางชาติทีชาวกรีกดูถูกวาเป็น “บาร์บาเรียน”
หลังจากรวมมือกันจัดการศัตรูตางชาติอยางชาวเปอร์เซียทียิงใหญได้สำเร็จ เอเธนส์และสปาร์ตาก็กลับเปิดฉากทำสงครามห้ำหันกันเองอยางนองเลือด จึงเป็นจังหวะโอกาสให้มาซิโดเนียทีเป็นรัฐบ้านนอกได้ฉกฉวยเพือทะยานสูความเป็นใหญจนกระทังครอบครองไปครึงคอนโลกในสมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช
ทีาเศร้าก็คือ อาณาจักรสุดลูกหูลูกตาทีแยงชิงมาได้ ก็พลันต้องลมสลายอยางงายดายภายหลังองค์มหาราชันสวรรคตไมนานนัก สวนหนึงก็เพราะชนชาติกรีกไมมีทุนทางสังคมทีเข้มแข็งซึมลึกเพียงพอในการปกครองคนตางชาติ ซึงแตกตางจากชาวโรมันทีเกงกล้าในการสร้างความสามัคคีทั้งกับพลเมืองในชาติและชนตางชาติ
“ทุนทางสังคม” จึงไมใชการทำให้ทุกคนเทาเทียมกัน หากทวาเป็นการเปิดโอกาสให้กลุมคนทุกระดับชั้นในอาณาจักรได้มีสวนรวมปกครองประเทศ โดยไมแบงวาเป็นเมืองหลวงหรือตางจังหวัด สายเลือดบริสุทธิ์หรือลูกเสี้ยวลูกครึง ถึงแม้ผู้ตำต้อยทีสุดในราชอาณาจักรจะได้รับอำนาจไปเพียงเศษเสี้ยวธุลีดิน ก็ยังคงรู้สึกภาคภูมิใจทีได้เป็นสวนหนึงของแผนดิน
นีเป็นเอกลักษณ์พิเศษของชาวโรมัน ทีแม้จะเป็นชาติอนุรักษ์นิยม เคารพในความโบราณเกาแกของขนบธรรมเนียมประเพณี หากทวาด้วยจิตใจทีเปิดกว้างและยืดหยุนให้กับทุกชนชั้นในสังคม ไมเมียงมองเพือนบ้านเป็นเพียงคนปาเถือนทีอยูวมโลกกันไมได้ จึงทำให้ชาวโรมันสามารถหยิบยืมใช้ประโยชน์จากความหลากหลายของมนุษย์ในแตละท้องทีเพือผลักดันอารยธรรมของตนไปสูจุดสูงสุด ทียังไมเคยมีชนชาติใดกระทำอยางยิงใหญและยังยืนได้ทัดเทียมตราบจนปัจจุบัน
2. นวัตกรรม
ชาวโรมันไมได้ชาญฉลาดในการคิดค้น “นวัตกรรม” หากทวาสามารถหยิบยืมจากเพือนบ้านมาผสมผสานกับลักษณะเฉพาะของตนเองได้ลึกซึ้งยิง อารยธรรมโรมันจึงก้าวขึ้นสูความเป็นจักรวรรดิทียิงใหญและรักษาอำนาจไว้ได้ยาวนานทีสุดในโลก
เมือโรมันได้ครอบครองโลกอารยธรรมโบราณจนสุดขอบเขตจำกัดทางภูมิศาสตร์แล้ว ทุกชนชาติก็ถูกหลอหลอมให้กลายเป็น “ชนชั้นผู้ดีเยียงโรมัน (Romanization)” อยางเต็มทีจึงยากจะมีนวัตกรรมและภูมิปัญญาใดให้ชาวโรมันได้หยิบยืมประยุกต์อีกตอไป โดยเฉพาะในเชิงเศรษฐกิจ ซึงโรมเคยได้เปรียบดุลการค้าด้วยการสงออกสินค้าอุตสาหกรรมดังเชน เครืองปั้นดินเผา เครืองแก้ว และภาชนะโลหะ เข้าไปค้าขายในดินแดนทีปัจจุบันเป็นประเทศฝรังเศส เยอรมัน สเปน และอังกฤษ ก็เริมถูกท้าทายภายในเวลาไมนานนัก
ในคริสตศตวรรษที2 ดินแดนทีเคยล้าหลังก็ประสบความสำเร็จในการเลียนแบบและผลิตสินค้าเข้าแขงขันในตลาดได้ จึงสงผลกระทบให้เศรษฐกิจของโรมันทีไมมีนวัตกรรมทั้งทางเทคโนโลยีหรือการบริหารจัดการใดอีกตอไป ต้องพบเจอกับความเสือมทรุด
ความล้มเหลวทางเศรษฐกิจทีผลิตซ้ำแตสิงเดิม ยอมกลายเป็นจุดเริมต้นของความลมสลายทางอารยธรรมในอีกหลายศตวรรษตอมา
“ทุนทางสังคม” ซึงเคยเป็นจุดได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบของชาวโรมันทีมีเหนืออารยธรรมเพือนบ้าน จึงเริมแปรเปลียนเป็นความเบือหนายและออนแอ เมือไมมีนวัตกรรมจากอารยธรรมภายนอกอืนใดให้หยิบยืมได้อีกตอไป การสนับสนุนให้เอกลักษณ์ทีหลากหลายได้ผุดบังเกิดขึ้นในสังคม จึงเป็นยุทธศาสตร์ทีพึงกระทำในห้วงเวลาทีอาณาจักรถึงจุดอิมตัวและต้องการความกระฉับกระเฉงเปลียนแปลง เพือวาชาวโรมันทีมีลักษณะซือตรงทือด้านจะได้หยิบยืมความสามารถจากชนชาติอืนทีนิยมความขัดแย้งแตกตาง มาพัฒนาตอยอดและสร้างสรรค์นวัตกรรมได้ไมสิ้นสุด
3. จังหวะสุกงอม
“ผลประโยชน์” ทีได้มาโดยไมต้องลงแรง บางครั้งก็อาจแปรเปลียนเป็นโทษภัยในระยะยาว โดยเฉพาะเมือผู้โชคดีคนนั้นไมมีวุฒิภาวะทีเพียบพร้อม ไมสามารถสร้างระบบบริหารจัดการเพือรองรับและตอยอดได้
ชาวโรมันไมได้มีวิสัยทัศน์กว้างไกลทีจะครอบครองโลกตั้งแตเริมแรก หากทวาเกิดจากสงครามป้องกันตัวเองหลายครั้งครา หากทวาเมือโรมันเริมได้รับชัยชนะติดตอกัน ชาติเพือนบ้านทีมีความขัดแย้งภายในก็หันเหเข้ามาพึงพาใบบุญ ในทีสุดจึงถูกโรมันทีเป็นผู้ไกลเกลียกลืนกินไปในทีสุด
ความยืดหยุนและลึกซึ้งในการบริหารจัดการอาณาจักรของชาวโรมัน ทำให้สามารถหลอมรวมและสร้างความเป็นโรมันให้กับชนชาติอืนได้อยางมีประสิทธิภาพ จึงเกิดภาวะสันติสุขและเจริญรุงเรืองทียาวนานหลายร้อยปี
อยางไรก็ตาม จุดออนของชนชาติโรมันคือ ความสร้างสรรค์ ในเมือไมมีชนชาติอืนใดนอกอาณาจักรโรมันให้สามารถหยิบยืมนวัตกรรมมาตอยอดเป็นของตัวเองได้ อาณาจักรโรมันจึงเริมเข้าสูความเสือม ซึงเปิดโอกาสให้อนารยชนทีเรียนรู้ความเจริญแบบโรมันเข้าโจมตีและยึดครองได้ในทีสุด
หากในวันนั้น ชาวโรมันไมรีบร้อนทีจะฮุบกลืนอาณาจักรของผู้อืน แตปลอยให้ความหลากหลายของชนชาติได้สร้างปฏิสัมพันธ์ซึงกันและกัน เหมือนกับทีเกิดขึ้นในยุโรปสมัย Renaissance ในอีกหลายร้อยปีตอมา ก็อาจชวยยืดอายุเวลาความรุงเรืองของอารยธรรมโรมันไปอีกนานแสนนาน ไมต้องถูกกลืนชาติและล้มหายไปจากแผนทีโลกเหมือนดังทีเป็นอยูในปัจจุบัน
“จังหวะสุกงอม” จึงเป็นเรืองสำคัญในการบริหารประเทศ การเติบโตทีรวดเร็วเกินขีดจำกัดของนวัตกรรมและทุนทางสังคม ในทีสุดยอมแฝงไว้ด้วยวิกฤตแหงความลมสลาย โดยเฉพาะเมือแกนนำในกลุมเกิดความขัดแย้งขึ้นภายใน ขณะทีระบบจัดการขององค์กรยังไมมีประสิทธิภาพเพียงพอในการแก้ปัญหา ความยิงใหญทีสังสมมาได้อยางรวดเร็ว ก็พร้อมจะเลือนหายไปอยางฉับพลันโดยทีไมมีผู้ทรงบารมีคนใดจะสามารถฉุดรั้งไว้ได้เลย
บทสรุป
ความยิงใหญของประเทศชาติหรือปัจเจกชน ยอมไมได้ชี้ขาดทีความสามารถเฉพาะทาง ไมาจะเป็นกำลังทหาร พลังทางเศรษฐกิจ หรือไหวพริบทางการเมือง หากทวามาจากการสือสารรวมมือกันของผู้คนทีหลากหลายในสังคมหรือองค์กร ทีสามารถตอยอดไปสูนวัตกรรมและความสร้างสรรค์ได้ไมสิ้นสุด
“ทุนทางสังคม” ทีเป็นนามธรรมและจับต้องได้ยาก จึงกลับกลายเป็นปัจจัยสำคัญทีอยูเบื้องหลังความสำเร็จขององค์กรและประเทศชาติในระยะยาว หากทวาการพัฒนาทุนทางสังคมก็ยังไมใชเรืองงาย เพราะต้องบริหารจัดการให้พลังปรองดองกลมกลืนและพลังขัดแย้งแตกตาง มีสมดุลทีกลมกลอม เพียงพอทีจะรักษาความเป็นเปลงปลังกระชุมกระชวยของอารยธรรมให้ยังยืนไปตราบชัวกัลปาวสาน

สภานัดโหวต5สค. นายกฯปู คลอดครม.ต่อทันที


ข่าวสด


ยันไม่ลืมเหลิม ขอเห็นใจจัดโผ ดึงทูต"จุลพงษ์" นั่งรมว.บัวแก้ว ยุ่นเชิญแม้วจ้อ



ราชโองการ - นาย สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ นำนายเจริญ จรรย์ โกมล นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ รับพระบรมราช โองการโปรดเกล้าฯ เป็น ประธานสภาผู้แทนฯ และ รองประธาน ที่อาคารรัฐสภา เมื่อ 3 ส.ค.
ปธ.สภา รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แล้วขุนค้อนนัดโหวตเลือกนายกฯ 5 ส.ค. กองพิธี การถกเพื่อไทย สรุปใช้ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 7 ที่ทำการพรรค จัดพิธีรับสนองพระบรมราช โองการโปรดเกล้าฯ นายกฯ ปู วอนทุกฝ่ายเห็นใจจัดครม. ยันไม่ลืมสารวัตรเหลิม หึ่งดึงทูต นอร์เวย์อดีตหน้าห้องแม้วนั่งรมว.ต่างประเทศ มาร์คจัดลาเก้าอี้ออกทีวี 4 ส.ค. คนปชป.คึกคักหาเสียงชิงกก.บห. สาธิตขอแข่งอลงกรณ์ชิงหน.พรรคภาคกลาง คุณหญิงกัลยาขอเสียง "อิสสระ สมชัย"หนุนโควตาอีสาน ขณะมาร์คจีบวิฑูรย์รองหน.ภาคอีสาน วิรัชโวยโดนเทือกสกัด

นัดโหวตเลือกนายกฯ 5 ส.ค.

วัน ที่ 3 ส.ค. ที่รัฐสภา นายพิทูร พุ่มหิรัญ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า ได้รับทราบว่ามีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งประธานสภาแล้ว ซึ่งสำนักงานเลขาธิการ สภา ได้กำหนดจัดพิธีรับพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ในเวลา 14.00 น. โดยได้แจ้งให้ ส.ส. ทุกคนทราบเพื่อให้เข้าร่วมในพิธีแล้ว ส่วนการเรียกประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีนั้น ได้รับแจ้งจากนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร สั่งให้ทำหนังสือเชิญสมาชิกเข้าร่วมประชุมในวันที่ 5 ส.ค. เวลา 10.00 น. เนื่องจากพรรคเพื่อไทยมีกำหนดนัดประชุมพรรคในวันที่ 4 ส.ค.

ผู้สื่อ ข่าวรายงานว่า คณะทำงานของนาย สมศักดิ์ ได้เดินทางมาใช้ห้องทำงานของประธานสภา ที่ชั้น 2 อาคารรัฐสภา 1 เพื่อเตรียมรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ทำหน้าที่ประธานสภาอย่างเป็นทางการ จากนั้นจะเปิดห้องรับรองพิเศษชั้น 2 ให้สมาชิกและข้าราชการเข้าร่วมแสดงความยินดี รวมถึงให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงการทำหน้าที่ประธานสภาต่อไป

ปธ.สภารับพระบรมราชโองการ

ผู้ สื่อข่าวรายงานด้วยว่า เมื่อค่ำวันที่ 2 ส.ค. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติเมื่อวันที่ 2 ส.ค. 2554 เลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้เป็นประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คือ 1.นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร 2.นายเจริญ จรรย์โกมล เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง 3.นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่สอง

จึงแต่งตั้งให้ผู้มีนามดัง กล่าวเป็นประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ตามความในมาตรา 124 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณา จักรไทย ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 2 ส.ค. 2554

เวลา 14.00 น. ที่ห้องโถง อาคารรัฐสภา 1 สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรจัดพิธีรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร นายเจริญ จรรย์โกมล ส.ส.ชัยภูมิ พรรคเพื่อไทย เป็นรองประธานสภา คนที่ 1 และนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.พะเยา พรรคเพื่อไทย เป็นรองประธานสภา คนที่ 2 ทั้งนี้ นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะรัฐมนตรี เป็นผู้อัญเชิญพระบรมราชโองการมาที่บริเวณพิธี และได้ อ่านพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งประธานและรองประธานสภา

จากนั้นนายสมศักดิ์ พร้อมด้วยนายเจริญ และนายวิสุทธิ์ รับสนองพระบรมราชโองการต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ขุนค้อนลั่นเป็นกลาง

ภาย หลังรับสนองพระบรมราชโองการ นายสมศักดิ์ได้แสดงความขอบคุณข้าราชการสำนักงานเลขาธิการสภา และเพื่อนส.ส.จากพรรคเพื่อไทยและพรรคอื่นที่มาร่วมพิธี อาทิ นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ นางบุญรื่น ศรีธเรศ ส.ส.กาฬสินธุ์ พรรคเพื่อไทย นายสันตศักย์ จรูญงามพิเชษฐ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังชล ที่นำแจกันดอกไม้มาร่วมแสดงความยินดี

นายสมศักดิ์ ให้สัมภาษณ์ถึงการทำหน้าที่ประธานสภาว่า ตนและรองประธานสภาทั้ง 2 คน จะทำหน้าที่อย่างเป็นกลาง ซึ่งได้หารือกับรองประธานสภาทั้ง 2 คนแล้วว่า จะบังคับใช้ข้อบังคับการประชุมสภาอย่างเคร่งครัด สิ่งแรกที่ตั้งใจจะทำ คือ เรื่ององค์ประชุม ต้องทำ ให้ส.ส.ให้ความร่วมมือ เชื่อว่าจะไม่มีปัญหา เพราะมีส.ส.หน้าใหม่เยอะ และคงมีจิตสำนึก แต่ถ้ามีปัญหาอาจขอความร่วมมือเป็นลายลักษณ์อักษร ส่วนข้อบังคับการประชุม เดิมก็ดีอยู่แล้ว แต่วิธีนับองค์ประชุม อาจต้องแก้ไขโดยนับผู้ที่นั่งอยู่ในห้องประชุมเป็นองค์ประชุมทั้งหมดด้วย

เมื่อ ถามต้องใช้ค้อนควบคุมการประชุมหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า คงไม่ต้องใช้ ที่จริงในอดีตไม่เคยใช้ ส่วนที่นายชัย ชิดชอบ อดีตประธานสภาฝากรัฐบาลใหม่ให้สนใจการตรวจสอบของฝ่ายนิติบัญญัตินั้น ก็ต้องเป็นอย่างนั้น และจะขอความร่วมมือไปยังน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้มาตอบกระทู้ในสภา

เจริญเร่งถกหาคนนั่งปธ.กมธ.

เมื่อ ถามถึงการนัดประชุมสภาเพื่อเลือกนายกฯ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตนนัดประชุมแล้วในวันที่ 5 ส.ค. เวลา 10.00 น. ซึ่งไม่ได้ถือฤกษ์ยาม ทั้งนี้ขั้นตอนการเลือก คือ ส.ส.จะเสนอชื่อบุคคลให้เป็นนายกฯ โดยใช้เสียงรับรอง 1 ใน 5 และใช้การโหวตโดยเปิดเผย ผู้ที่ได้รับเลือกต้องได้คะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของสภา จากนั้นจะนำรายชื่อผู้ได้รับเลือกขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งต่อไป

นายเจริญ กล่าวว่า การใช้ข้อบังคับการประชุมสภาเพื่อควบคุมการประชุมอย่างเดียวคงไม่ได้ ต้องวางแนวทางว่าจะทำอย่างไรให้การประชุมราบรื่น สมาชิกต้องรู้หน้าที่ ต้องขอความร่วมมือพรรคต่างๆ ให้ส.ส.รู้หน้าที่ในการเข้าร่วมประชุม ส่วนแนวทางแก้ปัญหาสภาล่ม ต้องมีมาตรการเปิดเผยหรือแสดงให้สาธารณะเห็นว่าใครไม่เข้าร่วมประชุม แต่ไม่จำเป็นต้องทำเว็บไซต์เผยแพร่อย่างที่ส.ว.เสนอไว้

นายเจริญ กล่าวถึงการตั้งคณะกรรมาธิการสามัญประจำสภา 35 คณะว่า ขณะนี้ได้ให้สำนักงานเลขาธิการสภา ทำหนังสือเชิญตัวแทนทุกพรรคหารือเรื่องการแต่งตั้งกรรมาธิการ เป็นไปตามสัดส่วนตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด คาดว่าไม่เกิน 1 สัปดาห์ จะทราบว่าใครจะได้กรรมาธิการใด แต่อาจมีปัญหาเรื่องตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการ ซึ่งแต่ละพรรคมีความต้องการอยู่แล้วว่าอยากได้คณะใด

วิสุทธิ์ขอความเป็นธรรม

นาย วิสุทธิ์ ไชยณรุณ รองประธานสภา คนที่ 2 กล่าวถึงเสียงวิจารณ์ไม่เหมาะจะรับตำแหน่ง เพราะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ระเบิดสมานเมตตา แมนชั่น ที่บางบัวทองว่า ยืนยันว่าตนไม่มีข้อหา ไม่มีคดี เพราะคดีที่เกิดขึ้น มีการสอบสวนทั้งหมดแล้ว ถือว่าจบแล้ว คงไม่เป็นธรรมกับตน หากจะมีใครยัดเยียดข้อหาหรือคดีให้ ดังนั้นขอความเป็นธรรมและขอโอกาสทำ งานเพื่อพิสูจน์ฝีมือต่อไป

นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า ยอมรับว่าการทำหน้าที่รองประธานสภายากและเป็นหน้าที่ใหม่ ซึ่งต้องเรียนรู้อีกมาก เพราะเป็นหน้าที่สำคัญของฝ่ายนิติบัญญัติ ต้องวางตัวเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย เป็นกลางให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ยืนยันว่าจะไม่ทำให้ฝ่ายนิติบัญญัติต้องมัวหมองอย่างแน่นอน

งานสำคัญ - นาย ภราดร เณรบำรุง รองเลขาธิการนายกฯ ฝ่ายข้าราชการประจำ ตรวจสอบที่ทำการพรรคเพื่อไทย สถานที่ที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชิน วัตร จะใช้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เป็นนายกฯ


กองพิธีการถกจัดสถานที่

เวลา 09.15 น. ที่พรรคเพื่อไทย นายภราดา เณรบำรุง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายบริหาร (ข้าราชการประจำ) พร้อมด้วยผอ.กองพิธีการ และเจ้าหน้าที่กองพิธีการ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เดินทางเข้าหารือกับนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ถึงขั้นตอนและการจัดสถานที่รับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯนายกฯ โดยสรุปจะใช้ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 7 อาคารที่ทำการพรรคเพื่อไทย

นาย ภราดา กล่าวว่า มาหารือเรื่องการเตรียมความพร้อมสถานที่ ส่วนเรื่องการแต่งกายของนายกฯหญิง ได้แจ้งให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทราบไปก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งไม่มีอะไรเป็นพิเศษ จะใช้ชุดปกติขาว แต่ยังไม่ได้หารือเรื่องชุดครุยเสนาบดีว่าจะต้องมีหรือไม่ ขณะที่การลงนามในเอกสารต่างๆ จะเหมือนกับนายกฯชาย ไม่มีอะไรที่แตกต่าง

พท.คุมเข้มตลอดพิธี

ผู้ สื่อข่าวรายงานจากพรรคเพื่อไทยว่า ตลอดทั้งวันบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก ในช่วงเช้ามีเจ้าหน้าที่กองพิธีการ ทำเนียบรัฐบาล มาดูสถานที่เตรียมรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ นายกฯแล้ว ยังมีเจ้าหน้าที่จากสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที (ช่อง 11) มาดูสถานที่เตรียมถ่ายทอดสดเช่นกัน โดยทีมงานของน.ส. ยิ่งลักษณ์ ที่เตรียมใช้ห้องโถงชั้น 7 เป็นสถานที่รับสนองพระบรมราชโองการ และในช่วงพิธี จะไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนทั้งหมดไปถ่ายภาพ ทำข่าว เพื่อป้องกันความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้น แต่จะให้ช่อง 11 เป็นแม่ข่ายถ่ายทอดสด โดยให้แต่ละช่องเกี่ยวสัญญาณแทน ขณะที่ช่างภาพนิ่งจะใช้ระบบพูลเช่นกัน โดยอนุญาตเฉพาะช่างภาพนิ่งของพรรค และของทำเนียบรัฐบาลเท่านั้น โดยจะเปิดให้สื่อมวลชนทำข่าวตอนที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ แถลงเปิดใจหลังพิธีรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯเสร็จสิ้น ทั้งนี้จากการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คาดว่าพิธีรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯจะเป็นในช่วงค่ำของวันที่ 5 ส.ค.

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในการประชุมส.ส.พรรค วันที่ 4 ส.ค. ที่ประชุมจะลงมติวาระการเสนอชื่อบุคคลเป็นนายกฯ เพื่อให้เป็นมติพรรค และจะแจ้งถึงขั้นตอนการโหวตเลือกนายกฯ ในวันที่ 5 ส.ค.นี้ จากนั้นจะแจ้งมติพรรคให้พรรคร่วมรัฐบาลทราบต่อไป

ปูวอนทุกฝ่ายเห็นใจจัดครม.

น.ส.ยิ่ง ลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการกำหนดวันประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อโหวตนายกฯ ว่า ประธานสภาต้องแจ้งให้ทราบอีกครั้งอย่างเป็นทางการ หากโปรดเกล้าฯตำแหน่งนายกฯลงมาแล้ว จะใช้ที่ทำการพรรคเพื่อไทยเป็นสถานที่รับสนองพระบรมราชโองการ แต่ต้องรอให้ทุกอย่างเรียบร้อยก่อน เมื่อถามว่าเป็นห่วงขั้นตอนการโหวตนายกฯที่เสียงสนับสนุนอาจจะแตกหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของพรรคและคณะกรรมการบริหารพรรค จะพูดคุยกันในพรรคให้เกิดความเรียบร้อยก่อน

เมื่อถามถึงส.ส.อีสาน เริ่มแสดงความไม่พอใจและเกรงจะไม่ได้โควตารัฐมนตรี 8 ที่นั่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า อยากให้ส.ส.ทุกคนใจเย็นๆ เพราะพรรคไม่เคยลืมผู้ที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพรรคมาและจะทำให้ดีที่สุด ขอความเห็นใจว่าขณะนี้ประชาชนที่เดือดร้อนและรอความหวังให้รัฐบาลเข้ามาแก้ ปัญหา ก็เป็นเรื่องใหญ่สำหรับพรรค ซึ่งตนและคณะกรรมการบริหารพรรคจะทำให้ดีที่สุด

ยันไม่ลืมชื่อ"เหลิม"

เมื่อ ถามว่ากดดันหรือไม่ที่หลายกลุ่มเข้ามาเสนอขอตำแหน่งรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ทุกอย่างเป็นการให้ความคิดเห็น ซึ่งจะรับข้อมูลเหล่านี้มาประกอบการตัดสินใจ พรรคยังไม่ได้สรุปว่าใครจะเป็นหรือไม่เป็นรัฐมนตรี รอให้มีผลสรุปชัดเจนก่อน วันนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการเลือกนายกฯ ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนและต้องรอโหวตนายกฯให้เรียบร้อยก่อน ถึงจะคุยเรื่องโผครม. ทุกอย่างต้องรีบให้เป็นไปตามขั้นตอน และดำเนินการทีละขั้น

เมื่อถามว่าชื่อของร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.บัญชีรายชื่อ ยังไม่หลุดโผใช่หรือไม่ น.ส. ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า "ร.ต.อ.เฉลิม เป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ และทำงานร่วมกับพรรคมานาน แน่นอนว่าเป็นบุคคลหนึ่งที่เราไม่ลืมอยู่แล้ว"

เมื่อถามว่าหากมี บางกลุ่มในพรรคฝ่ายค้านโหวตสนับสนุนให้เป็นนายกฯ ในอนาคตจะดึงมาร่วมรัฐบาลหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ยังพูดตอนนี้ไม่ได้ วันนี้ต้องทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดีที่สุด ต้องขอขอบคุณทุกคะแนนเสียงที่โหวตสนับสนุน ซึ่งถือเป็นสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล

หึ่งดึงทูตจุลพงษ์คุมต่างประเทศ

ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศต่างพูดคุยกันถึงรายชื่อบุคคลที่น่าจะเป็น รมว.ต่างประเทศคนใหม่ ตั้งแต่ในช่วงเช้าวันที่ 4 ส.ค. โดยมีรายชื่อของนายจุลพงษ์ โนนศรีชัย เอกอัครราชทูต ณ กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ เข้ามาเป็นตัวเต็งอีกหนึ่งราย นอกจากชื่อที่เคยเป็นแคนดิเดตก่อนหน้านี้ เช่น นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล เอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว นายวิกรม คุ้มโพโรจน์ อดีตเอกอัครราชทูตหลายประเทศ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

สำหรับนายจุล พงษ์เป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ พี่ชายแท้ๆของคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ และเคยเป็นอดีตหัวหน้าสำนักงานรัฐมนตรีต่างประเทศในสมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นรมว.ต่างประเทศ ระหว่าง พ.ศ.2537-2538 ที่มีนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี

นายจุลพงษ์เคยเป็นผู้อำนวยการใหญ่สำนัก งานการค้าและเศรษฐกิจ ที่ไทเป ระหว่างปี 2541-2545 จากนั้น เป็นเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบิร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พ.ศ.2545-2547 ต่อมาเป็นเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน พ.ศ.2547-2550 และเป็นเอกอัครราชทูต ณ กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ ตั้งแต่ปี 2550-ปัจจุบัน ซึ่งนายจุลพงษ์มีกำหนดจะเกษียณอายุเดือนก.ย. นี้

เรียกว่าที่รมต.กรอกประวัติก่อน

รายงาน ข่าวแจ้งว่า สำหรับผู้มีชื่อเป็นแคนดิเดตรัฐมนตรีบางคน อาทิ น.อ.อนุดิษฐ์ นายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายฐานิสร์ เทียนทอง เป็นต้น ได้ทยอยเข้ามากรอกประวัติในเอกสาร เพื่อเตรียมพร้อมในการตรวจสอบคุณสมบัติก่อนส่งให้สำนักเลขาธิการคณะ รัฐมนตรี(สลค.)ตรวจสอบต่อไป ซึ่งบางคนยอมรับว่ายังไม่ทราบว่าจะได้นั่งในกระทรวงใด เนื่อง จากได้รับการประสานให้มากรอกเอกสารรอไว้ก่อน ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์จะพิจารณารายชื่อแคนดิเดต โดยดูคุณสมบัติ โดยเฉพาะในตำแหน่งที่ขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วน น.ส.ยิ่งลักษณ์จะสอบถามความสมัครใจและความสามารถในการทำงาน โดยระบุว่าอาจจะอยู่ในตำแหน่งได้ ไม่นาน เพราะเข้ามาเพื่อช่วยทำงานผลักดันนโยบายตามที่หาเสียงให้ได้ จากนั้นอาจมีการปรับเปลี่ยนได้

รายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทย แจ้งว่า การจัดครม.ยิ่งลักษณ์ 1 ค่อนข้างจะชัดเจนในกระ ทรวงหลักที่สำคัญ ซึ่งผ่านการกลั่นกรองจากแกนนำและผู้ใหญ่ของพรรค และมีบางตำแหน่งที่พ.ต.ท.ทักษิณขอพิจารณาบุคคล เพราะต้องมี สเป๊กไว้วางใจได้ และมีภาพที่น่าเชื่อถือ รวมทั้งเข้าใจแนวนโยบายที่จะขับเคลื่อน อาทิ กระ ทรวงการคลัง วางตัว นายวิชิต สุรพงษ์ชัย นั่งรมว.คลัง ขณะที่รมช.คลัง ยังมีชื่อของนายบัณฑูรย์ สุภัควณิช ส่วนพล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิ ประภา ยังมีชื่อเป็นรมว.กลาโหม พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี เป็นรมว.คมนาคม โดยมีน.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ และนายประภัสร์ จงสงวน ติดโผรมช.คมนาคม

เหลิมยังไม่หลุดโผครม."ปู1"

ส่วน รมว.ต่างประเทศ ชื่อของนายวิกรม คุ้มไพโรจน์ ยังอยู่ในโผ ขณะที่กระทรวงมหาด ไทย มีชื่อนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ เป็นรมว. มหาดไทย และนายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข เป็นรมช.มหาดไทย ขณะเดียวกันมีชื่อนายฐานิสร์ ติดโผด้วย กระทรวงยุติธรรม มีชื่อพล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก ส่วน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่มีข่าวว่าจะรับตำแหน่งรมว.ยุติธรรม ล่าสุดมีข่าวว่าหลุดไปนั่งรมว.สาธารณสุข และดูงานด้านสังคม ส่วนกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) ยังคงเป็นชื่อนายอุดมเดช รัตนเสถียร และนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ มีชื่อเป็นรมว.แรงงาน อย่างไรก็ตาม คาดว่ารายชื่อรัฐ มนตรีจะชัดเจนหลังจากโปรดเกล้าฯแต่งตั้งนายกฯ

หวั่นครหามัชฌิมาไม่โหวตปู

นาย ศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงการโหวตนายกฯ ในวันที่ 5 ส.ค. ว่า พรรคยังไม่มีมติในเรื่องนี้ เพราะยังไม่ได้หารือกัน แต่พรรคตนเป็นฝ่ายค้าน มติจะเป็นในรูปแบบของฝ่ายค้าน ซึ่งจะงดออกเสียง ยืนยันเสียงของพรรคไม่แตกแน่นอน

รายงานข่าวจากกลุ่มมัชฌิมา พรรคภูมิใจไทย แจ้งว่า ส.ส.ของกลุ่มจะลงมติในรูปแบบการงดออกเสียง เนื่องจากการโหวตสนับสนุน น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกฯ จะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของกลุ่ม ที่จะถูกมองว่าเป็นงูเห่า อยู่กับใครก็หักหลัง และทำให้ความเชื่อมั่นในกลุ่มลดน้อยลง ดังนั้น การลงมติของกลุ่มมัชฌิมาจะเป็นไปตามมติของพรรคภูมิใจไทย

นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า แสดงความยินดีกับนายสมศักดิ์ นายเจริญ และนายวิสุทธิ์ ที่ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นประธานสภา และองค์ประธานสภา เชื่อว่าบุคคลทั้ง 3 มีประสบการณ์ผ่านงานการเมืองมาพอสมควร น่าจะทำให้สภามีบรรยากาศที่ดีได้ ส่วนกรณีนายสมศักดิ์ ระบุจะประชุมสภาเพื่อโหวตเลือกนายกฯ ในวันที่ 5 ส.ค. นั้น พรรคเห็นด้วยจะได้ตั้งครม.ให้ทันก่อนวันที่ 12 ส.ค. ซึ่งจะมีงานเฉลิมพระชนม พรรษาฯ จะได้นำครม.เข้าเฝ้าฯ

มาร์คจ้อทีวี4ส.ค.-แถลงลาเก้าอี้

ที่ ทำเนียบรัฐบาล นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯจะจัดรายการพิเศษ "รายงานสถานะประเทศเพื่อส่งต่อประ เทศไทย" โดยรายงานสถานะเศรษฐกิจ การคลัง สังคม ความมั่นคงและความปรองดองภายในประเทศ และงานเร่งด่วนที่อยากฝากรัฐบาลชุดใหม่ดำเนินการ พร้อมถือโอกาสอำลาตำแหน่งนายกฯ ด้วย ซึ่งเป็นครั้งแรกเท่าที่เคยมีรัฐบาลมา ทั้งนี้ จะออกอากาศผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจในวันที่ 4 ส.ค. เวลา 20.30 น. มีเนื้อหา 10 นาที และจะนำเนื้อหารายการทำเป็นเอกสารส่งให้รัฐบาลและเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชน

รายงาน ข่าวจากพรรคประชาธิปัตย์ระบุว่า การโหวตเลือกนายกฯ พรรคจะไม่ส่งผู้แข่งขันและงดออกเสียง เพราะถือว่าพรรคเพื่อไทยได้รับฉันทานุมัติจากประชาชน ส่วนการปรับโครงสร้างและยุทธศาสตร์เสริมงานฝ่ายค้าน จะใช้ครม.เงาเป็นองค์กรหลัก ให้โฆษกครม.เงาตอบโต้ประเด็นต่างๆ โดยจะเปิดตัวสิ้นเดือน ส.ค.นี้ พร้อมตั้งคณะทำงานพิเศษด้านต่างประเทศ ส่วนงานด้านการเมืองจะมอบให้รองหัวหน้าพรรค ซึ่งคาดว่าจะเป็น นายชำนิ ศักดิเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ มาทำหน้าที่คล้ายสมัยเป็นประธานคณะทำงานติดตามสถานการณ์ทาง การเมือง นอกจากนั้นจะจัดตั้งสถาบันติดตามนโยบายและการทุจริตคอร์รัปชั่น ทำงานคู่ขนานกับครม.เงา ซึ่งจะมีทั้งคนในและคนนอกพรรคมาร่วมงานในสถาบันนี้ เบื้องต้นมี นาย กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ อดีตรองนายกฯ ด้านเศรษฐกิจ นายสรรเสริญ สมะลาภา ส.ส.กทม. ในฐานะทีมเศรษฐกิจของพรรค

คนปชป.หาเสียงคึกคักชิงกก.บห.

นาย สาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง รักษาการกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ แถลงประกาศตัวลงสมัครเป็นรองหัวหน้าพรรคภาคกลาง โดยชูวิสัยทัศน์ยึด 4 ข้อหลัก คือ 1.มีอุดมการณ์เป็นสายเลือดของพรรค 2.มีผลงานประสบความสำเร็จจากการเลือกตั้งมาตลอด ผลักดันให้ จ.ระยองมีส.ส.พรรคถึง 4 คน ยกจังหวัดมาแล้ว 2 สมัย 3.มีความอาวุโสอยู่กับพรรคมา 14 ปี เป็นส.ส. 4 สมัยติดต่อกันและ 4.มีบทบาทและผลงานเป็นที่รู้จักของสาธารณะ หากเลือกตน ก็จะเอาโมเดลจ.ระยอง ที่ชนะเลือกตั้งมาใช้ในพื้นที่ภาคกลางและตั้งเป้าเพิ่มส.ส.ภาคกลาง 96 คนให้ได้ 45 คน ยืนยันว่าหากพลาดตำแหน่งก็พร้อมทำงานกับนายอลงกรณ์ พลบุตร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่ประกาศลงสมัครรองหัวหน้าพรรคภาคกลางเช่นกันได้ ไม่มีปัญหา

คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ได้ขอเสนอตัวลงชิงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคภาคอีสาน แม้ที่ผ่านมาจะมีชื่อเป็นแคนดิเดตเลขาธิการพรรคก็ตาม ถือเป็นการให้เกียรติของเพื่อนสมาชิก เข้ามาอยู่กับพรรคก็ช่วยงานพรรคตลอดและเห็นว่าจุดอ่อนของพรรคอยู่ที่ภาค อีสาน และตนเป็นคนอีสาน เป็นลูกหลานย่าโม เชื่อว่าเป็นคนที่รู้จักคนอีสานดีพอสมควร และรู้ว่าคนอีสานเป็นคนน่ารักถ้าเราสร้างความเข้าใจกับเขาอย่างถูกต้อง ที่ผ่านมาเขาถูกปั่นหัวในช่วงหนึ่ง โดยเราจะไปสร้างมวลชนในพื้นที่ เชื่อว่าจะรวบรวมคนเหล่านี้ให้มาต่อสู้เพื่อประเทศชาติในทิศทางที่ถูกต้อง ได้ โดยใช้วัฒนธรรมประเพณีในท้องถิ่นให้เขากลับมาอยู่ในกรอบ เชื่อว่าจะได้รับการสนับสนุน

"กัลยา"ขอแข่งกับ"อิสสระ"

"ดิฉัน จะใช้เวลาทุ่มเทให้กับภาคอีสาน ซึ่งถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญ การเสนอตัวครั้งนี้ดิฉันได้หาเสียงบ้างแล้ว ทุกคนที่ทราบก็พอใจและบอกว่าเขาจะลงไปช่วยในพื้นที่ และขอดูเป็นจังหวัดๆ ไปเลย ซึ่งเขามีแนวคิดตั้งมวลชนสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ในวิธีการของ เขาอยู่แล้ว" คุณหญิงกัลยา กล่าว

ส่วนที่แกนนำภาคอีสานสนับสนุนนาย อิสสระ สมชัย ส.ส.บัญชีรายชื่ออยู่นั้น คุณหญิงกัลยา กล่าวว่า ได้บอกกับนายอิสสระและขอคะแนนแล้ว ซึ่งนายอิสสระ ไม่ได้ว่าอะไร กลับบอกว่านี่แหละพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนแกนนำคนอื่นๆ ก็ทราบแล้วเช่นกัน เราจะทำให้ดีที่สุด จากผลงานที่อยู่กับพรรคมา 10 ปี ไปช่วยภาคอีสานตลอด ถ้าตนได้รับการไว้วางใจจากสมาชิกพรรค ก็พร้อมเป็นแม่ทัพอีสานเพราะตนเป็นลูกหลานย่าโม

มาร์คจีบวิฑูรย์รองหน.ภาคอีสาน

นาย วิฑูรย์ นามบุตร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ แกนนำภาคอีสาน กล่าวว่า จากที่คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ เสนอตัวลงชิงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคภาคอีสาน ถือเป็นการแข่งขันตามปกติ และเป็นสีสัน แสดงให้เห็นว่าในพรรคไม่ใช่ใครคนใดจะมาชี้นำให้เลือกใครได้ ซึ่งคุณหญิงกัลยา ถือว่ามีความสูสีกับนายอิสสระ มีชื่อเป็นแคนดิเดตรองหัวหน้าพรรคภาคอีสาน ส่วนตัวได้ประกาศเชียร์นายอิสสระไปแล้ว เพราะคิดว่าคุณหญิงกัลยาจะไม่ลงในตำแหน่งนี้ เนื่องจากมีชื่อเป็นแคนดิเดตเลขาธิการพรรค แต่ไม่ว่าใครจะได้ตำแหน่งไป ทุกคนก็พร้อมทำงานให้พรรค

นายวิฑูรย์ กล่าวว่า เมื่อเช้าวันที่ 3 ส.ค. ตนได้ส่งเอสเอ็มเอสไปอวยพรวันเกิดนายอภิสิทธิ์ ซึ่งที่ผ่านมานายอภิสิทธิ์ไม่เคยโทร.หาเลย แต่วันนี้โทร.มาขอบคุณที่อวยพร พร้อมบอกว่าขอของขวัญสักอย่างให้มาเป็นรองหัวหน้าพรรคได้หรือไม่ ได้บอกไปว่าให้ใจเต็มร้อย ทุ่มเททำ งานให้พรรค ไม่ต้องกังวลว่าจะไปไหน แม้ไม่มีตำแหน่งก็ทำงานให้อย่างเต็มที่

วิรัชโวยโดน"ดอนรัก"สกัด

นาย วิรัช ร่มเย็น ส.ส.ระนอง พรรคประชาธิปัตย์ หนึ่งในผู้ท้าชิงรองหัวหน้าพรรคภาคใต้ เปิดเผยว่า ตนเริ่มรู้สึกว่ามีขบวนการขัดขวางไม่ให้ตนชนะเลือกตั้ง เห็นได้จากข่าวล่าสุดที่นาย จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ จะลงสมัครชิงตำแหน่งดังกล่าวด้วย ทั้งที่ในการเรียกส.ส.ไปพบที่บ้านดอนรักของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รักษาการเลขาธิการพรรค มีการพูดชื่อนายจุรินทร์ ว่าจะได้เป็นรองหัวหน้าพรรคโควตาวีไอพี แต่เมื่อตนหาเสียงมาถึงขนาดนี้แล้ว จะไม่ถอย เพราะหากถอนตัว ตนคงต้องเลิกเล่นการเมืองไปด้วย

"เหมือน เรือวิ่งมาถึงกลางคลองแล้ว จะให้ ยูเทิร์นกลับไปยังฝั่งที่มาอีกไม่ได้ หลังจากนี้ไม่ว่าผู้ใหญ่หรือกำนันโทร.เรียกเข้าไปพบ เพื่อขอให้ถอนตัว ผมจะยืนยันเดินหน้าหาเสียงต่อไป ยอมรับว่ามีฐานเสียงเดียวกับนายจุรินทร์ และมีสิทธิ์ตัดคะแนนกันเอง จนอาจเป็นเหตุให้นายถาวร เสนเนียม ส.ส.สงขลา ผู้สมัครอีกคนชนะเลือกตั้งในวันที่ 6 ส.ค.นี้" นายวิรัชกล่าว

กกต.เล็งทำเอกสารแจงทุกมติ

ที่ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายวิสุทธิ์ โพธิแท่น กกต.ด้านกิจการการมีส่วนร่วม กล่าวหลังการประชุมกกต.ว่า ที่ประชุมได้หารือถึงมติกกต.ในบางประเด็นที่สาธารณชนยังไม่เข้าใจ และเกิดความสับสน โดยเฉพาะการรับรองผลการเลือกตั้งของนาย จตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย โดยที่ประชุมกกต.เห็นควรให้สำนักประชา สัมพันธ์จัดทำเอกสารชี้แจง รวมถึงมติอื่นของกกต. ในอนาคตด้วย ทั้งประเด็นกฎหมาย และประเด็นที่กกต.พิจารณา เพื่อให้เข้าใจตรงกัน ส่วนความคืบหน้าการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบสมาชิกภาพของนายจตุพรนั้น กกต.ได้เร่งดำเนินการอย่างเร็วที่สุดและรอบคอบที่สุด

นายวิสุทธิ์ กล่าวถึงกรณีมีคนมาฟ้องกกต.ว่า ทำได้ แต่ควรพิจารณาให้รอบคอบ เพราะกกต. ก็มีสิทธิ์ป้องกันตัวเองเช่นกัน แต่ไม่ใช่ว่ากกต.อยากมีเรื่องกับใคร ส่วนการพิจารณาเรื่องร้องคัดค้านส.ส.ที่กกต.ประกาศรับรองไปแล้วนั้น ทุกคำร้องจะกลับไปที่อนุกรรมการเพื่อรวบรวมหลักฐานอีกครั้ง เพราะกกต.ยังมีเวลาอีก 1 ปี ซึ่งกกต.เร่งพิจารณาเพื่อไม่ให้ถูกกล่าวหาว่ายื้อเวลา

อภิชาตชี้คุณสมบัติ"จตุพร"

นาย อภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง กล่าวถึงกกต.มีมติตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงความเป็นสมาชิกพรรคเพื่อ ไทยของนายจตุพร ว่า ตนมีความเห็นไปแล้วว่ากรณีนายจตุพรไม่จำเป็นต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เพราะเห็นว่าขาดจากการเป็นสมาชิกพรรคในวันเลือกตั้ง 3 ก.ค.แล้ว ที่ไม่ได้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ดังนั้นกกต.น่าจะมีอำนาจพิจารณาได้ แต่กกต.อีก 4 คนมองว่าไม่ใช่อำนาจกกต.ที่พิจารณาว่านายจตุพรขาดจากสมาชิกพรรค และเห็นควรให้ส่งเรื่องไปยังประธานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อส่งศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัย และกรณีนี้ไม่ต้องให้นายทะเบียนพรรคการเมืองวินิจฉัยเพราะเป็นเรื่องของกก ต.จะวินิจฉัย อีกทั้งกรณีแบบนี้เคยมีการวินิจฉัยว่าจะต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ แต่ตนมองว่าเป็นอำนาจกกต.ในพิจารณาได้ ส่วนวันที่ลงสมัครรับเลือกตั้งของนายจตุพร ยังไม่ถือว่าขาดคุณสมบัติ

นาย อภิชาต กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีนางพัชรินทร์ มั่นปาน ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่ลงสมัครรับเลือกตั้งนั้นอาจไม่ทราบว่านายสุรทิน พิจารณ์ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปไตยใหม่ (ปธม.) เป็นบุคคลล้มละลายเพราะนางพัชรินทร์ไม่ได้เป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรค แต่ถ้านางพัชรินทร์ อยู่ในผู้ร่วมก่อตั้งพรรคด้วย อาจกระทบต่อการเป็น ส.ส.ของนางพัชรินทร์ได้ ดังนั้นกรณีพรรคปธม. น่าจะเป็นเรื่องเฉพาะตัวของนายสุรทิน เพียงคนเดียว ไม่น่าจะกระทบต่อพรรค แต่เรื่องยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบของคณะกรรมการ เพราะต้องดูว่าจะกระทบถึงยุบพรรคหรือไม่

เผยตั้งอนุฯสอบหลายคดี

นาย สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการกกต. กล่าวว่า ที่ประชุมกกต.ได้พิจารณาเรื่องร้องคัดค้านผลการเลือกตั้งในเขตต่างๆ รวมถึงการพบบัตรเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง (สีชมพู) ที่จ.ราชบุรี ที่ตอนนี้มีความคืบหน้าไปบางส่วน โดยคณะอนุกรรมการไต่สวนที่ กกต.ได้ตั้งขึ้น กำลังเร่งพิจารณาสืบสวนสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริง ส่วนความคืบหน้ากรณีที่มีกระแสข่าวว่ามีผู้บริหารระดับสูงของ กกต. ไปตีกอล์ฟกับนักการเมืองนั้นขณะนี้คณะกรรมการได้เริ่มสืบสวนสอบสวนแล้ว โดยได้สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากประธานและเลขานุการชมรมกอล์ฟ สำนักงานกกต. รวมทั้งผู้บริหารระดับสูงของกกต.และข่าวที่เผยแพร่ในสื่อ อาจต้องใช้เวลาเพื่อรวบรวมข้อมูล

นายสุทธิพล กล่าวถึงการสรรหากรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัด (กกต.จว.) ทั้ง 63 จังหวัดที่จะหมดวาระลงว่า เนื่องจาก กกต.ได้ขยายเวลาทำงานให้กับกกต.จว.ชุดปัจจุบันถึงเดือนก.ย. ซึ่งเดิมจะครบวาระช่วงต้นเดือนก.ค. แต่ติดภารกิจจัดการเลือกตั้งส.ส. คาดว่าขั้นตอนสรรหาและตรวจสอบคุณสมบัติจะเสร็จภายในสิ้นเดือน ส.ค. จากนั้นจะส่งให้ที่ประชุมกกต. กลางพิจารณาคัดเลือกต่อไป ซึ่งการสรรหากกต.จว.ต้องรอบคอบเป็นพิเศษในการตรวจสอบคุณสมบัติ เพราะกกต.จว.เป็นแขนขาของกกต.กลาง หากไม่มีความเป็นธรรมและขาดประสิทธิภาพ จะส่งผลต่อการทำงานของกกต.ได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มคนเสื้อแดงใช้ชื่อว่า กลุ่มพลังประชาธิปไตยใหม่ ได้นำดอกไม้มามอบให้กกต.เพื่อเป็นกำลังใจในการทำงาน เนื่องจากมีข่าวว่าจะมีการฟ้องร้องกกต. ที่ชั้น 5 ของสำนักงานกกต.โดยมีนายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการกกต.เป็นผู้รับมอบ

จ่อฟ้องศาลปกครองยกเลิกมอเตอร์เวย์ ๕ แสนล้าน!



หมายเหตุ: หลังจากชาวบ้านหลายชุมชนใน อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เริ่มคัดค้านโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง หรือ "มอเตอร์เวย บางปะอิน - โคราช" ของกรม ทางหลวง กระทรวงคมนาคม มาตั้งแต่ปี ๒๕๔๙ ด้วยเห็นว่ามีความไม่โปร่งใส ไม่คุ้มค่าด้านการลงทุน ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และขาดกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ได้รับการตอบสนองจากภาครัฐแต่อย่างใด มิหนำซ้ำยังเดินหน้าเพิ่มงบประมาณอย่างผิดปกติ จากเดิมที่กำหนดไว้ ๒๙,๐๐๐ ล้านบาท เป็น ๖๐,๐๐๐ ล้านบาทในปัจจุบัน

ที่ผ่านมาชาวปากช่องได้ยก ระดับการต่อสู้คัดค้าน โดยประสานความร่วมมือกับ ป.ป.ช.ภาคประชาชน และร้องเรียนต่อคณะอนุกรรมาธิการส่งเสริมภาคประชาชนมีส่วนร่วมป้องกันการ ทุจริต และตรวจสอบการดำเนินการของรัฐ วุฒิสภา และสภาทนายความ ทำให้การต่อสู้คัดค้านได้พัฒนาศักยภาพอย่างเป็นระบบ และปรากฏผลเป็นรูปธรรมมากขึ้น จนกระทั่งล่าสุดตัวแทนชาวปากช่องผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการ ได้มอบอำนาจให้คณะทำงานของสภาทนายความเป็นตัวแทนยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองสูง สุดในเร็วๆ นี้

ทั้งนี้ ตัวแทนสภาทนายความไม่เพียงแต่จะฟ้องเพื่อขอให้ศาลระงับยับยั้งและยกเลิกเพิกถอนโครงการ "มอเตอร์เวย บางปะอิน - โคราช" มูลค่า ๖๐,๐๐๐ ล้านบาทเท่านั้น หากแต่ยังเห็นว่าจำเป็นต้องขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งยกเลิกหรือเพิกถอน "แผนแม่บทการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองของประเทศไทย" ซึ่งมีมูลค่าโครงการรวมทั้งสิ้นกว่า ๕๓๗,๐๐๐ ล้านบาท (งบ ประมาณเพิ่มขึ้นจากเดิมกว่า ๓ เท่าตัวเช่นกัน) รวมทั้งขอให้ยกเลิกเพิกถอนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๔๐ ต้นเรื่องของโครงการทั้งหมดที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

PACM news center ขอย้อนรอยการต่อสู้คัดค้านโครงการ "มอเตอร์เวย บางปะอิน - โคราช" ตอนจบ ดังต่อไปนี้

ศูนย์ข่าว ป.ป.ช.ภาคประชาชน (๔ สิงหาคม ๒๕๕๔)



รายงานพิเศษ

หยุด! มอเตอร์เวย์ บางปะอิน – โคราช
หยุด! ผลาญชาติ…ทำลายชุมชน (จบ)
โดย แสงอุทัย ศรีนาคร


ขบวนการต่อสู้คัดค้านโครงการ “มอเตอร์เวย์ บางปะอิน - โคราช" ได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง โดยคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล ร่วมกับ คณะอนุกรรมาธิการส่งเสริมภาคประชาชนมีส่วนร่วมป้องกันการทุจริตและตรวจสอบ การดำเนินการของรัฐ วุฒิสภา และเครือข่ายประชาชนปากช่องคัดค้านมอเตอร์เวย์ ได้จัดการสานเสวนาเรื่อง “มอเตอร์เวย์ บางปะอิน – โคราช: โครงการผลาญชาติ ทำลายชุมชน” เมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๕๓ ณ ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ อาคารวุฒิสภา โดยสรุปได้ ดังนี้

นายไพบูลย์ นิติตะวัน ประธานคณะอนุกรรมาธิการส่งเสริมภาคประชาชนมีส่วนร่วมป้องกันการทุจริต และตรวจสอบการดำเนินการของรัฐ วุฒิสภา กล่าวว่าการสานเสวนา (Social Dialog) มีเป้าหมายเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายและนำข้อมูลมาเชื่อมร้อยเป็นข้อ สังเกตและข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล เพื่อยุติความเสียหายของโครงการโดยกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน เนื่องจากข้อเท็จจริงปรากฏชัดว่าโครงการมอเตอร์เวย์ บางปะอิน – โคราช (ทางหลวงพิเศษหมายเลข ๖) ผลาญชาติเพราะย่นระยะทางจากเดิม (ถนนมิตรภาพ) ได้เพียง ๕ กิโลเมตร แต่ใช้งบประมาณถึง ๖๐,๐๐๐ ล้านบาท คิดเป็นต้นทุนเสมือนเท่ากับ ๑๒,๐๐๐ ล้านบาท/กิโลเมตร/ระยะทางที่ลดลง นอกจากนี้ยังทำลายชุมชนเพราะจะก่อให้เกิด “กำแพงอัปยศ” ถาวร จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นพบความผิดปกติของโครงการนี้ คือ (๑) ความไม่คุ้มค่า (๒) ความไม่โปร่งใส (๓) ผลกระทบต่อวิถีชีวิตชุมชน ขณะที่รัฐธรรมนูญมาตรา ๖๖ และ ๖๗ มุ่งให้ความคุ้มครองสิทธิของประชาชนและชุมชน จึงขอให้ผู้ได้รับผลกระทบแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่

สลดใจทหารเก่าพร้อมแลกชีวิต: มอเตอร์เวย์ทำลายชุมชนตามอำเภอใจ

ร้อยตรีวิทยา ยืนยัน ข้า ราชการบำนาญ กล่าวด้วยความข่มขื่นว่า ตนมีที่ดิน ๔ ไร่ในหมู่ที่ ๔ ต.หนองน้ำแดง (อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา) เป็นที่ดินเช่าจากราชพัศดุ ปรากฏว่าในปี ๒๕๔๖ มีเจ้าหน้าที่มาปักป้ายและแจ้งว่าถนนจะตัดผ่านที่ของตน ปี ๒๕๔๙ ก็มาส่องกล้องและบอกให้เตรียมย้ายได้แล้ว ซึ่งตนก็ไม่รู้จะย้ายไปไหน ตนรับราชการทหารจากยศสิบตรีจนเกษียณ ทั้งชีวิตสร้างตัวมาได้เท่านี้ หากไม่มีที่ไปจริงๆ ก็พร้อมจะฆ่าตัวตาย (สร้างบรรยากาศความสลดใจต่อที่ประชุมอย่างมาก)

นายลออง ศาลา เกษตรกร ชาวปากช่อง กล่าวว่าตนได้รับผลทั้งที่ทำกินและที่อยู่อาศัย ไร่ของตน (สวนคุณยาย) จะถูกผ่าเป็น ๒ แปลง เหลือที่ดินไม่กี่ไร่ ตนเป็นชาวไร่มาทั้งชีวิต อาศัยขายผลผลิตริมถนนหน้าไร่ซึ่งจะถูกเวนคืนทั้งหมด จึงไม่รู้จะทำมาหากินอย่างไรต่อไป

นางชินพร ณิลังโส ผู้ใหญ่ บ้านวะกะเจียว หมู่ที่ ๔ ต.หนองน้ำแดง กล่าวว่าบ้านวะกะเจียวอยู่ใกล้โรงเรียนบ้านนา เป็นบริเวณที่มีอุบัติเหตุอยู่เสมอ โครงการมอเตอร์เวย์ฯ จะก่อให้เกิดอุบัติเหตุเพิ่มขึ้นหรือไม่ ไม่นับปัญหามลพิษ และหมู่บ้านจะถูกแบ่งเป็นสองฝั่ง ทั้งๆ ที่มีกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรที่มีชื่อเสียงในการแปรรูปผลผลิตการเกษตร มีคณะต่างๆ มาศึกษาดูงานเสมอ มีร้านหมูหันอร่อย เมื่อมอเตอร์เวย์ฯ ตัดผ่าน ต่อไปกิจกรรมเหล่านี้คงอยู่ไม่ได้ แม้จะมีข่าวว่ากรมทางหลวงจะยกเลิกทางขึ้นลงหลังโรงเรียนบ้านนา แต่ชาวบ้านก็ยังไม่เชื่อ และจะคัดค้านต่อเพื่อรักษาประโยชน์ของบ้านเมือง เพราะได้รับความรู้จากคณะอนุกรรมาธิการฯ มากขึ้น จึงพร้อมจะต่อสู้เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติ

นายสิรินทร์ กังวานรัตนกุล ประธานชุมชน (บ้านหนองสาหร่าย) กล่าวว่าตนมีที่ดินหลายไร่ หากโดนเวนคืนจะเหลือเพียง ๒ ตารางว่า ไม่สามารถทำอะไรได้เลย

นายวินัย ใจดี กำนันตำบลหนองน้ำแดง กล่าวว่า ขอคัดค้านโครงการมอเตอร์เวย์ฯ เพราะจะทำลายทัศนียภาพและสิ่งแวดล้อมอย่างถาวร 

นายสกล ทองชุม ประธานชุมชนหมู่ ๑ ต.หนองน้ำหนอง กล่าวว่าตนจะโดนเวนคืนทั้งบ้านและที่ทำกิน ปัจจุบันที่ดินใน อ.ปากช่อง ราคาแพง ไม่สามารถจะซื้อมาทดแทนได้

นายสุรินทร์ สนธิระติ แกนนำเครือข่ายประชาชนปากช่องคัดค้านมอเตอร์เวย์ กล่าวว่าสภาพถนนมิตรภาพในปัจจุบันดีมาก การเดินทางจาก อ.ปากช่อง เข้ากรุงเทพฯ ใช้เวลาชั่วโมงกล่าวเท่านั้น กรมทางหลวงควรนำเงินมาขยายถนนมิตรภาพช่วงมวกเหล็กดีกว่า เพื่อแก้ปัญหารถติดในช่วงเทศกาล ส่วนวันธรรมดายืนยันได้ว่ารถไม่ติด หากจะสร้างมอเตอร์เวย์ควรรออีก ๑๐๐ ปี

นางกีรณา สุมาวงศ์ สมาชิกวุฒิสภา (แบบสรรหา) เจ้าของกิจการมวกเหล็กพลาซ่า ซึ่งอยู่ใกล้บริเวณทางขึ้นลงมอเตอร์เวย์ กล่าวว่าตนไม่ค่อยได้ทราบข่าวโครงการนี้ โดยส่วนตัวเห็นว่าไม่มีความจำเป็น และจะร่วมคัดค้านด้วยในฐานะ ส.ว.

นายภูริภาค อกอุ่น สมาชิก อบต.หนองน้ำแดง กล่าวว่า ต.หนองน้ำแดง ได้รับผลกระทบมากที่สุด ระยะทางเกือบ ๒๐ กิโลเมตร (หมู่ที่ ๑, ๒, ๗, ๑๑, ๘, ๔) ชาวบ้านจะทราบเฉพาะคนที่โดนปักแนวเขตหรือมีที่ดินในบริเวณใกล้เคียง ส่วนที่ไม่ทราบยังมีอีกมาก โครงการนี้จะก่อให้เกิดผลกระทบด้านการลงทุน จากเดิมที่เคยมีการขออนุญาตก่อสร้างรีสอร์ทอยู่เสมอ ต่อไปจะไม่มีใครลงทุนอีกแล้ว

นายสิรินทร์ กังวานรัตนกุล ประธานชุมชน (บ้านหนองสาหร่าย) กล่าวว่ามอเตอร์เวย์ฯ จะส่งผลกระทบต่อกิจการปั๊มน้ำมันและบรรดาผู้ค้ารถเร่ ต่อไป อ.ปากช่อง จะหลายเป็นทางผ่าน ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว ดังนั้น ต้องคัดค้านให้ถึงที่สุด

นายปราณีต ศิริกุล กรรมการ ศูนย์ดำรงธรรม อ.ปากช่อง กล่าวว่า โครงการนี้ไม่กระทบต่อคนรวยซึ่งมีที่ดินมากมายรอบเขาใหญ่ แต่เกษตรกรและผู้ค้าพืชผลริมทางในตลาดปากช่องจะถูกกระทบ วิถีชีวิตของผู้คนใน “ตลาดเช้า” (๒ ยามถึง ๓ โมงเช้า) จะเปลี่ยนไป เขาใหญ่ซึ่งได้รับการยกย่องว่ามีโอโซนอันดับ ๗ ของโลกจะได้รับผลกระทบหรือไม่ ดังนั้น รัฐบาลควรพัฒนารถไฟรางคู่แทน

นายสฤษดิ์ ศรีสังข์ กำนัน ตำบลกลางดง กล่าวว่า ต.กลางดง มีหมู่บ้านโดนผ่ากลางจำนวนมาก คือ หมู่ที่ ๒, ๔, ๗, ๙, ๑๓, ๑๔ จะทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนมาก จะข้ามไปมาหาสู่กันอย่างไร ชาวบ้านหมู่ที่ ๙ รายหนึ่งขึ้นบ้านใหม่ได้ไม่นาน แต่กำลังจะถูกเวนคืนทั้งหลัง นอกจากนี้โดยปกตินักท่องเที่ยวจะต้องแวะไปไหว้หลวงพ่อวัดพระขาว แต่มอเตอร์เวย์ไม่มีทางขึ้นลงให้คนไปไหว้พระ

นายวินัย ใจดี กำนัน ตำบลหนองน้ำแดง กล่าวว่า ๖ หมู่บ้านใน ต.หนองน้ำแดง เดือดร้อนหนักที่สุด สูญเสียทรัพยากรมากที่สุด ทั้งๆ ที่มีโรงเรียนมัธยมวชิราลงกรณ์วราราม (โรงเรียนเดียวในประเทศที่ในหลวงทรงสร้างด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์) ต่อไปจะมีรั้วตาข่ายกั้นตลอดแนว

แกนนำชมรมอดีตข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ อ.ปากช่อง (ไม่ทราบนาม) กล่าวว่า สมาชิกชมรมหลายคนได้รับเงินบำนาญ ๔,๐๐๐ บาท/เดือน อยู่ได้เพราะอาศัยทำไร่และค้าขายเล็กๆ น้อย เมื่อโดนมอเตอร์เวย์ผ่ากลางระหว่างบ้านกับไร่แล้วจะอยู่ได้อย่างไร จึงฝากให้คัดค้านโครงการนี้ด้วย

ชี้คนหนุนคงไม่รู้ว่าต้องเสียค่าผ่านทาง ๒๐๐ บาท/เที่ยว

นายสุชาติ ชวางกูร อนุกรรมาธิการฯ กล่าวว่า การสร้างถนนโดยทั่วไปนั้น ทางการมักอ้างการพัฒนาบังหน้า สำหรับโครงการนี้กรมทางหลวงสามารถพัฒนาถนนมิตรภาพ โดยไม่จำเป็นต้องสร้างใหม่ ประเด็นที่ไม่ควรมองข้ามก็คือ มอเตอร์เวย์จะก่อให้เกิดมลภาวะจากเศษยางรถยนต์ละอองเล็กๆ ฝุ้งกระจายไปทั่ว นอกจากนี้ในทางเศรษฐศาสตร์ การนำเงิน ๖๐,๐๐๐ ล้านบาทมาสร้างมอเตอร์เวย์ที่ไม่จำเป็น ก่อให้เกิดต้นทุน “ค่าความเสียโอกาส” (Opportunity cost)

นายสุรินทร์ สนธิระติ แกน นำเครือข่ายประชาชนปากช่องคัดค้านมอเตอร์เวย์ กล่าวว่าทุกครั้งที่แสดงความเห็นคัดค้านมอเตอร์เวย์ในเวทีของกรมทางหลวง ตนจะถูกเร่งให้รีบจบเสมอ วันนี้ชาวบ้านยังไม่แน่ใจว่าจะคัดค้านหรือจะต่อสู้อย่างไร ขอเรียกร้องให้คนส่วนใหญ่ทั้งประเทศร่วมหยุดยั้งมอเตอร์เวย์ฯ อันเป็นเศษเสี้ยวของโครงการเหลวไหลที่จะผูกพันค่าใช้จ่ายอีกมาก และขอฝากให้วุฒิสภาผลักดันกฎหมายลงโทษผู้ทุจริตโดยไม่มีอายุความ

นาย ไพบูลย์ นิติตะวัน ประธานคณะอนุกรรมาธิการฯ แสดงความเห็นว่า การป้องกันดีกว่าตามแก้ปัญหา ถ้าปล่อยให้โครงการนี้เดินหน้าก็จะทำให้รัฐเสียหาย บนความเดือดร้อนของประชาชนที่ยากต่อการแก้ไข เพราะฉะนั้นต้องหยุดโครงการให้ได้ ก่อนที่ปัญหาจะเกิด

นายแพทย์ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ คณะอนุกรรมาธิการฯ แสดงความเห็นว่า แม้จะมีมติ ครม.อนุมัติหลักการก่อสร้างมอเตอร์เวย์หลายสาย แต่มีเพียงมอเตอร์เวย์สายแรก (กรุงเทพฯ  - ชลบุรี) เท่านั้นที่เห็นว่าสมควรสร้างและมีประโยชน์ ส่วนมอเตอร์เวย์ บางปะอิน - โคราช ไม่มีความจำเป็น ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่าต้องเสียค่าผ่านทาง (๒๐๐ บาท/เที่ยว) ดังนั้น ต้องใช้สิทธิทางศาลปกครอง พร้อมๆ กับการเรียกร้องต่อนายกรัฐมนตรีโดยตรงให้ยุติโครงการ 
พ่อค้าชาวปากช่อ(ไม่ ทราบนาม) กล่าวว่าตนไม่ที่ดินและไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่เห็นความไม่ชอบธรรม และเชื่อว่าน่าจะแนวทางยับยั้งโครงการนี้ ประเด็นที่น่าเป็นห่วงก็คือ ขณะนี้พระราชกฤษฎีกาเวนคืนใกล้จะออกมาแล้ว ซึ่งจะทำให้การต่อสู้ยากขึ้น เพราะฉะนั้นต้องรีบยับยั้งให้ได้ สำหรับการประชาพิจารณ์ของกรมทางหลวงที่ผ่านมา เป็นการเชิญชาวบ้านมาฟังโดยไม่มีการบันทึกความเห็นของผู้คัดค้าน แต่บันทึกว่าเป็นความเห็นของผู้เสียประโยชน์

นายไพบูลย์ นิติตะวัน ประธานคณะอนุกรรมาธิการฯ กล่าวว่า เห็นได้ชัดว่ากรมทางหลวงจะต้องทำประชาพิจารณาใหม่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๗ วรรคสอง จึงเชื่อว่าโครงการนี้เกิดได้ยาก

ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการฯ (ไม่ ทราบนาม) แสดงความเห็นว่า ควรรีบยับยั้งโครงการโดยใช้อำนาจศาลเป็นที่พึ่ง เพราะเชื่อว่ากรมทางหลวงจะต้องผลักดันอย่างถึงที่สุด เนื่องจากมีธงชัดเจน หากมีพระราชกฤษฎีกาเวนคืนออกมาแล้ว การต่อสู้จะยากขึ้น

นางสุรางค์ เอกโชติ อนุกรรมาธิการฯ แสดงความเห็นว่า โครงการนี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๗ แล้วยังขัดต่อหลักการบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี หลักนิติธรรม เป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า ไม่โปร่งใส และงบประมาณก้าวกระโดดจาก ๒๙,๐๐๐ ล้านบาท เป็น ๖๐,๐๐๐ ล้านบาท



แฉต้องเดินหน้าเพราะไอ้โม่งตบที่ดินไว้หมดแล้ว

นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เลขาธิการ สมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หลังจากสมัชชาฯ ร่วมเคลื่อนไหวคัดค้านโครงการมา ๖ เดือน ก็มีคนมาบอกว่า “จะหนุนรถไฟก็ทำไป มาค้านมอเตอร์เวย์ทำไม เขาตบที่ไว้หมดแล้ว” สรุปว่ามีคนพยายามจะล็อบบี้ให้หยุดคัดค้านมอเตอร์เวย์ เพราะมีนักการเมืองกว้านซื้อที่ดินไว้แล้ว แต่ตนไม่ยอมหยุด นอกจากนี้หอการค้าทั่วประเทศก็พร้อมใจกันคัดค้านมอเตอร์เวย์ และเรียกร้องให้รัฐบาลพัฒนาระบบรางอย่างจริงจังเพื่อลดต้นทุนค่าขนส่งของ ประเทศ ทั้งนี้ มอเตอร์เวย์ ๕ สายมูลค่า ๑๕๖,๐๐๐ ล้านบาท เป็นโครงการส้มหล่น เพราะกระทรวงการคลังจับยัดใสโครงการไทยเข้มแข็ง โดยไม่คำนึงถึงความจำเป็น ล่าสุด ครม.อนุมัติอีก ๑๕๐,๐๐๐ ล้านบาทให้ทำรถไฟ ๑ เมตร เพื่อรอรื้อในอีก ๔-๕ ปีข้างหน้า (เพราะทั่วโลกใช้ราง ๑.๕๔๓ เมตรหมดแล้ว)

นายไพบูลย์ นิติตะวัน ประธานคณะอนุกรรมาธิการฯ กล่าวว่า คาดว่างบประมาณมอเตอร์เวย์ ๕ สายจะบานปลายถึง ๓๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ขณะนี้มีข่าวว่ากรมทางหลวงกำลังจะต่อรองว่า จะสร้างมอเตอร์เวย์พร้อมๆ กับรถไฟรางคู่ให้คนโคราช (แต่สุดท้ายบานปลายถึงกว่า ๕๐๐๐,๐๐๐ ล้านบาท-ผู้เขียน)

หม่อมหลวงวัลย์วิภา จรูญโรจน์ อนุ กรรมาธิการฯ (นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) แสดงความเห็นว่า โครงการนี้ไม่โปร่งใสแน่นอน ควรตรวจสอบว่าบริษัทที่ปรึกษาโครงการเกี่ยวพันกับใคร เพราะแทนที่จะศึกษาผลกระทบ กลับมุ่งทำเอกสารตามกระบวนการให้เรียบร้อย เร่งทำประชาพิจารณา เร่งส่งสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม (สผ.) และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และเสนอ ครม.วันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๑ โดยใช้ EIA เป็นฐานในการออกพระราชกฤษฎีกา ดังนั้น ประชาชนสามารถฟ้องสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ด้วย 

ดร.ประสาน ยุวานนท์ ประธาน ที่ปรึกษา อ.ปากช่อง กล่าวว่าวันนี้มีกำนันจาก ๒ ตำบล (กลางดง, หนองน้ำแดง) และตัวแทนจาก ๑๗ หมู่บ้านที่เดือดร้อนมาร่วมสะท้อนปัญหาด้วย ขณะที่ชาวบ้านส่วนใหญ่มาไม่ได้ เพราะต้องทำมาหากิน แต่เบื้องต้นชาวบ้านได้ลงร่วมชื่อคัดค้านเพื่อเป็นหลักฐานมายื่นต่อคณะ อนุกรรมการฯ รวมทั้งสิ้น ๗,๑๐๕ รายชื่อ

นายพันธ์เทพ วิทิตอนันต์ ที่ ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการฯ แสดงความเห็นว่า ประชาชนต้องชี้ให้ศาลเห็นว่ากรมทางหลวงไม่ได้ทำตามที่กฎหมายกำหนด โดยศาลปกครองใช้หลักไต่สวน สามารถเรียกหลักฐานเพิ่มได้เอง และควรแสดงให้ศาลเห็นว่ามีประชาชนจำนวนมากเดือดร้อน


แฉบิ๊กทางหลวงอึดอัด “ถ้าไม่ทำ-ก็ถูกเด้ง”

นายฐานุพงศ์ (ไม่ ทราบนามสกุล) นักธุรกิจและวิศวกรชาวปากช่อง กล่าวว่า ผู้บริหารระดับสูงในกรมทางหลวงเปิดเผยว่าโครงการนี้เป็นความต้องการของ นักการเมือง “ถ้าไม่ทำ-ก็ถูกเด้ง” โดยสาเหตุที่งบประมาณเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด เพราะว่ากันว่าลืมบวกส่วนต่างให้นักการเมือง ถึงแม้ตนจะมีโอกาสขายหินให้โครงการนี้ แต่ก็ไม่ต้องการ เพราะไม่อยากรวยบนความเดือดร้อนของประชาชน

นายประเทือง ปรัชญพฤทธิ์ อนุกรรมาธิการฯ (กรรมการ ป.ป.ช.ภาคประชาชน) แสดงความเห็นว่า การคัดค้านโครงการนี้น่าจะสำเร็จ เพราะชาวปากช่องตื่นรู้และดักทาง ไม่ได้ตามแก้ ดังนั้น แนวทางต่อสู้ควรจะแยกเป็น ๒ ทาง (๑) ทางตรง ร้องเรียนนายกรัฐมนตรีโดยตรงว่าโครงการนี้เหลวไหล ผลาญงบฯ กระทบชุมชน (๒) ทางอ้อม ควรจัดกิจกรรมทำบุญและพิธีฌาปนกิจมอเตอร์เวย์ (เผาหลอก) และวางหรีดให้นักการเมือง เพื่อให้เป็นข่าวคึกโครมไปทั่วโลก อันจะเป็นผลดีกับการต่อสู้

นายไพบูลย์ นิติตะวัน ประธาน คณะอนุกรรมาธิการฯ กล่าวสรุปว่า ภาพสะท้อนจากการเสวนาเห็นได้ชัดว่า โครงการมอเตอร์เวย์ บางปะอิน – โคราช ข่มขืนจิตใจประชาชน ๒ ตำบล ๑๗ หมู่บ้านด้วย “กำแพงอัปยศ” มีชาวบ้านนับหมื่นคนเดือดร้อนโดยตรง เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ งบลงทุนที่ก้าวกระโดดส่อการมีผลประโยชน์แอบแฝงของนักการเมือง ตลอดจนผู้รับเหมาและข้าราชการ ดังนั้น ต้องฟ้องศาลปกครองให้บังคับใช้รัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๗ วรรคสอง ควบคู่ไปกับการเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีสั่งยุติโครงการโดยไม่ต้องรอ ดุลพินิจของศาล โดยให้กรมทางหลวงปรับปรุงถนนมิตรภาพให้ดียิ่งขึ้นเพื่อแก้ปัญหาจราจรคับคั่ง ในช่วงเทศกาล และควรเพิ่มทางเลือกด้วยบริการรถไฟที่ทันสมัย ในส่วนของประชาชนก็ควรจัดตั้งเครือข่ายค้านโครงการอย่างต่อเนื่อง โดยให้มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม

บท สรุป: จากข้อเท็จจริงทั้งหมดสะท้อนให้เห็นว่าโครงการ "มอเตอร์เวย บางปะอิน - โคราช" (๑๙๙ กม.) มีความไม่โปร่งใส ไม่คุ้มค่าด้านการลงทุน ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และขาดกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ จึงสร้างความเดือดร้อนและย่ำยีชุมชนตามอำเภอใจ ในขณะที่ฝ่ายการเมืองทุกขั้วไม่เคยคิดที่จะพัฒนาแผนการเดินทางขนส่งด้วยระบบ รางอย่างแท้จริง ด้วยเหตุผลดังที่ทราบกันดีว่าการก่อสร้างถนนนั้นง่ายต่อการเอื้อผลประโยชน์ แก่ตนเองและพวกพ้อง
...............................

จ่อฟ้องศาลปกครองยกเลิกมอเตอร์เวย์ ๕ แสนล้าน! (๑)
http://www.oknation.net/blog/pacm/2011/08/02/entry-1

จ่อฟ้องศาลปกครองยกเลิกมอเตอร์เวย์ ๕ แสนล้าน! (๒)
http://www.oknation.net/blog/pacm/2011/08/03/entry-2


แสดงความคิดเห็น

  เข้าสู่ระบบ   |   สมัครสมาชิก
ชื่อ:  
อีเมล์:  
เว็บไซต์:  
ความคิดเห็น:  
   

ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน    ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ
- การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้
- การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น
สามารถทำได้
- เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน
- การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน
จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION



กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น 1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร
3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น
4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน
5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก
คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่" OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ

เมื่อการบังคับใช้กฎหมายกำลังหมดความศักดิ์สิทธิ์ไป อะไรจะเกิดขึ้นในบ้านเมืองเรา : ปฐมบทของวิกฤตชาติภาค ๒

  by พล.ท.นันทเดช ,
        วันนี้ฝนฟ้าที่ทำท่าจะจากไป ก็ยังหวนคืนกลับมาอีก มาปลอบใจคนที่   อกหักทางการเมืองอีก และที่สำคัญคือตกหนักกว่าเดิมเป็นทวีคูณ สนุกสนานมากสำหรับฝนและผมในปีนี้ ในขณะที่ตลอดสัปดาห์นี้ (๑-๗ ส.ค. ๕๔) ผมมีงานเข้ามาค่อนข้างมาก ความจำเป็นที่ต้องฝ่าลมฝ่าฝนออกไปนอกบ้าน จึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ครับ
        สายฝนเมื่อรวมตัวเป็นสายธารใหญ่น้อย ไหลลงแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งกำลังจะหลากไหลท่วมท้นตลอดแนวทางที่กระแสน้ำผ่านมา ดูน่ากลัว น่าเกรงขาม แต่สายน้ำที่น่ากลัวนี้ เมื่อไหลลงสู่ทะเล ก็จะหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย ในความใหญ่โตของทะเล เช่นเดียวกันกับมนุษย์ที่หลงตัวเองว่า “ยิ่งใหญ่” อยู่ในพื้นที่แคบๆ ขององค์กรหนึ่ง, อยู่ในอำเภอหนึ่ง หรืออยู่ในจังหวัดหนึ่ง ฯลฯ มนุษย์แบบนี้เราจะเห็นกันอยู่บ่อยๆ ในชีวิตประจำวันครับ เป็นมนุษย์ที่เห็นว่า “ตัวตนของตนเองนั้นสำคัญ มีค่ากว่าคนอื่นๆ” การละเมิดกฎหมาย กฎเกณฑ์ต่างๆ ก็จะเกิดขึ้นจากคนพวกนี้เอง โดยพวกเขาหาได้รู้สึกตัวไม่ว่า วันหนึ่ง เมื่อหลุดพ้นจากพื้นที่ หรือพวกพ้องที่เคยอยู่ เขาก็จะจมหายไปในคลื่นมนุษย์เหมือนน้ำจากเจ้าพระยาที่หลั่งไหลจมหายไปที่ บริเวณปากอ่าวไทย
        การเดินทางออกจากกรุงเทพฯ ไปยังจังหวัดต่างๆ ในครั้งนี้ ผมรู้สึกท้อแท้ต่อระบบการบังคับใช้กฎหมาย หรือกฎเกณฑ์ขององค์กรต่างๆ ที่เป็น   ต้นธารของความยุติธรรมในประเทศไทยมากครับ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาของ  กกต., การออกมาพูดของหม่อมปลื้ม, การจอดรถแท็กซี่ล้ำเข้ามาในถนนหน้าห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ จนล้นออกมาเกือบครึ่งถนน ฯลฯ  ผมจึงขอนำบทความที่เขียนลงในหนังสือพิมพ์ “คม ชัด ลึก” เมื่อ ๑ ส.ค. ๕๔ มาลงให้อ่านทบทวนกันอีกครั้ง เผื่อว่าบางคนยังไม่ได้อ่าน
        เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปครับว่า ในประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยนั้น “ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพ” แต่จะไปใช้สิทธิ์เสรีภาพนั้น ก้าวก่าย รุกล้ำ หรือไปลิดรอนสิทธิ์ของผู้อื่นไม่ได้ แต่คนที่เกิดมาในโลกนี้มีมากมายหลายชนิด ส่วนหนึ่งก็เกิดเป็นคนไปตลอดชีวิต คือ ดีกว่าสัตว์เล็กน้อย ที่พูดได้และกินอาหารที่สุกแล้ว แต่ส่วนใหญ่ก็กลายจากคนมาเป็นมนุษย์ มีศีลธรรม, เคารพกฎหมาย, รักชาติ, รู้จักเห็นอกเห็นใจคนอื่น เมื่อโลกมีคน ๒ แบบ ก็จำเป็นต้องมีกฎกติกา หรือ กฎหมายไว้ควบคุม “คน” ที่ไม่ใช่มนุษย์ ไม่ให้ไปรุกรานคนอื่น กฎหมายทั่วโลกจึงเกิดขึ้นและเจริญมาจนทุกวันนี้
        ปัจจุบันประเทศไทยกำลังประสบปัญหาวิกฤติทางการบังคับใช้กฎหมายครับ นับตั้งแต่เรื่องเล็กๆ ขึ้นมาถึงเรื่องใหญ่ๆ ที่เห็นในปัจจุบัน คือ นับตั้งแต่การควบคุมระเบียบการจราจรที่เลวร้ายลงตามลำดับ, การเข้าควบคุมพื้นที่สาธารณะเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากการค้าของผู้มีสีทั้ง หลาย, การรวมกลุ่มขี่จักรยานยนต์โบกธงในที่สาธารณะ ซึ่งมีบ่อยครั้งมาก (ในภาคใต้การรวมกลุ่มขี่จักรยานยนต์โบกธง เริ่มขึ้นก่อนที่จะมีความรุนแรงเกิดขึ้น), การข่มขู่องค์กรอิสระต่างๆ รวมไปถึงศาลยุติธรรมด้วย
        การละเมิดกฎหมายในรูปแบบนี้ กำลังแพร่กระจายออกไปสู่ความรับรู้ของประชาชนมากขึ้นตามลำดับ ทำให้ประชาชนที่ทำมาหากินตามปกติ เริ่มเห็นว่าการพึ่งพาอำนาจทางกฎหมายไม่มีผลแน่นอน ดังนั้นการรวมตัวเป็นกลุ่มต่างๆ จึงมีความจำเป็นขึ้นในการต่อรองกับอำนาจรัฐที่ไม่มีมาตรฐาน ขอยกตัวอย่างให้เห็น เช่น ถ้าถูกตำรวจจับไม่ว่าสาเหตุใด ไม่มีพวก ไม่มีกลุ่มจะไม่ได้รับความยุติธรรมแน่นอน แต่ถ้ามีพวก มีกลุ่ม ตำรวจจะไม่กล้าทำอะไรนอกกรอบของกฎหมาย (เช่น การลอบสังหารผู้นำต่อต้านถ่านหินที่สมุทรสาคร เป็นต้น ถ้าไม่มีประชาชนกดดันอยู่เรื่องเงียบหายไปแล้วครับ) ความรู้สึกแบบนี้กำลังระบาดทั่วไปในสังคมไทย ในช่วงหลังการเลือกตั้งมาถึงปัจจุบันนี้ มีการจัดตั้งรวมกลุ่มคนที่มีอาชีพเดียว กัน หรือมีความคิดเห็นทางการเมืองคล้ายๆ กันขึ้น ๓ – ๔ กลุ่มแล้ว แม้กระทั่งในระบบราชการเองก็เกิดความสับสน ในเรื่องกฎระเบียบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการโยกย้าย, การให้บำเหน็จ ฯลฯ วันนี้นายตำรวจมากกว่าสิบคนบอกผมว่า ผมถูกย้ายแน่ครับ ไม่รู้จะทำงานไปทำไม ไม่ใช่แค่ตำรวจเท่านั้น แต่มันลุกลามปั่นป่วนไปเกือบทุกกระทรวงครับ
        ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ เพราะการเมืองก้าวล้ำเข้าไปในระบบราชการมากเกินไป ไม่ได้ยุ่งในระดับหัวหน้าหน่วยงานเท่านั้น แต่ลุกลามไปถึงระดับกอง และแผนกแล้ว ความไม่มั่นใจในกฎระเบียบและกฎหมาย ทำให้ข้าราชการต้องหันมาพึ่งพานักการเมืองเกือบ ๑๐๐% ในขณะที่ประชาชนต้องรวมกลุ่มกันเพื่อป้องกันตัวเอง จากการใช้กฎหมายที่ไม่เป็นมาตรฐานของหน่วยงานรัฐ หรือการละเลยไม่บังคับใช้กฎหมาย ซึ่งมีให้เห็นเป็นปกติตั้งแต่เดินออกจากบ้าน
        ปัจจุบันรัฐบาลใหม่ก็ยังตั้งหลักไม่ได้ นับตั้งแต่นโยบายที่หาเสียงซึ่งน่าจะทำไม่ได้ในหลายเรื่อง แต่ก็จำเป็นต้องดื้อทำเพราะ หาเสียงไปแล้ว, สถานภาพของนายกฯ คนใหม่ และ ส.ส.อีกหลายคน ยังต้องลุ้นปัญหาข้อกฎหมายอยู่, การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงบางส่วนที่ไม่ยอมรับฟังพรรคเพื่อไทย โดยการออกมากล่าวหาว่าทหารฆ่าประชาชนจากการเผาบ้านเผาเมืองที่ราชประสงค์, การขอยกเลิก ม.๑๑๒ และการจัดตั้งขยายตัวของกลุ่มเสื้อแดงที่เริ่มซ้อนอำนาจการปกครองของประเทศ ฯลฯ
        ผู้แก้ไขปัญหานี้ คือ รัฐบาลชุดใหม่  ที่ต้องแสดงสถานภาพให้เห็นว่า รัฐบาลยอมรับการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดและยุติธรรม ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใคร, ต้อง กำกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงให้อยู่ในกรอบที่ทำให้ประชาชนทั่วๆ ไปเชื่อว่า กลุ่มคนเสื้อแดงจะอยู่ร่วมกับพวกเขาอย่างสันติได้ และก้าวข้ามคุณทักษิณฯ และนายฮุนเซนไปชั่วคราวก่อน เพื่อให้ประชาชนมีความรู้สึกที่ดีต่อรัฐบาลว่า พวกเขายังพึ่งพากฎหมายของบ้านเมืองอยู่ได้เช่นเดิม ไม่เช่นนั้นวิกฤติของชาติครั้งใหม่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนครับ และจะรุนแรงกว่าทุกครั้ง
        พระอาทิตย์ขึ้นแล้วก็ตก พอพ้นห้วงเวลาก็ขึ้นมาใหม่อีก แต่คนไม่เหมือนพระอาทิตย์ครับ คนมีชีวิตจิตใจ มีรัก โลภ โกรธ หลง เมื่อถึงคราวตกต่ำจึงจมหายไป ส่วนใหญ่จะจมหายไปอยู่กับความทุกข์ที่ยังปลงตกไม่ได้ เหมือนกับตกนรกทั้งเป็น ชีวิตแบบนี้เกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ในวัยไหน ดังนั้นตอนที่มีอำนาจวาสนา จงรักษา “กฏหมายของบ้านเมือง” ไว้ให้ดี อย่าให้กฎหมายและกฎเกณฑ์ทางสังคมย้อนกลับมาเล่นงานได้ในภายหลัง “กฎหมายมีห้วงเวลารอผู้กระทำความผิด ด้วยอายุความที่นานพอสมควร” และมักจะมีกลุ่มคนที่ระลึกถึงความผิดที่คุณกระทำอยู่เสมอยามคุณหมดอำนาจ วาสนาไป คุณจะต้องทนทุกข์ตอนที่อำนาจมันเปลี่ยนมือไปยาวนานพอๆ กับอายุความของกฎหมายทีเดียวครับ

๓ กรกฎาคม’ ๕๔, นครศรีธรรมราช, ๑๓.๐๐
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง