บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2554

“อดิศร พวงชมภู” ทุนที่เรารู้จักไม่ได้มีแต่ 'ทุนสามานย์'


. เขียนโดย isranews หมวด เวทีทัศน์

 

ระยะหลังมานี้ เรามักเห็นภาคเอกชนรวมตัวกัน เอาจริงเอาจังกับการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ดั่งเช่นโครงการทำนา 1 ไร่ ได้เงิน 1 แสน ก่อนจะแยกยอดออกมาเป็นโครงการปลูกมันสำปะหลัง 1 ไร่ ได้เงิน 1 แสน ก็ล้วนมาจากแนวคิดของพ่อค้า ซึ่งอยู่ในหอการค้าไทยทั้งสิ้น
เห็นนักธุรกิจลงมาลุยโคลน คลุกฝุ่นเช่นนี้ เหมือนส่งสัญญาณว่า ช่องว่างระหว่างชนชั้น คนรวย คนจนกำลังแคบลง “อดิศร พวงชมภู” ประธาน โครงการ 1 ไร่ 1 แสน ยิ้มรับ ก่อนตอบคำถามว่า ของแบบนี้เป็นเรื่องเฉพาะตัว แต่ต้องเข้าใจด้วยว่า ‘ทุน’ ที่เราพูดถึงทุกวันนี้มีทั้ง ‘ทุนคุณธรรม’ และ ‘ทุนสามานย์’ ส่วนที่ทุนสามานย์ถูกยกย่องมากกว่า ก็เพราะเรามั่วแต่ไปดูว่าเศรษฐีรวยอันดับหนึ่งของประเทศ ของโลกเป็นใคร
@ จากเจ้าของธุรกิจเสื้อยี่ห้อ แตงโม ทำไมถึงตัดสินใจลงมาทำนาปลูกข้าว ปลูกมันกับชาวไร่ชาวนาได้
คือผมเริ่มจากการมอง ‘ทุน’ และเข้าใจว่า มันทำลายเรา มันมุ่งแต่เรื่องเงินอย่างเดียว ยิ่งในโลกปัจจุบัน ถ้าเอาสามเหลี่ยมคนรวย คนจน ซึ่งเป็นสามเหลี่ยมฐานกว้างมาซ้อนทับกับสามเหลี่ยมของเงิน ที่เป็นสามเหลี่ยมหัวกลับ เราจะพบว่า คนเพียงหยิบมือมีเงินจำนวนมหาศาล และอันที่จริงมันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร
สตีฟ จ๊อบส์ตายไป แต่ผู้ที่เดือดร้อน คือคนทั่วโลกที่ต้องซื้อสินค้า แม้ส่วนหนึ่งจะบอกว่าเป็นการสร้างงาน แต่เอาเข้าจริงดูดเงินมหาศาล สร้างงานนิดเดียว
@ แล้วทำไมถึงเจาะจงเลือกชาวนา
(ตอบทันที) มันก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนนะ ถ้าดูว่าปัจจัยสี่ใครขาดแคลนมากที่สุด ตอนนี้ชาวนาใส่เสื้อโฆษณา เพราะไม่มีตังซื้อเสื้อ ชาวนาไม่ใช่คนแล้ว แต่เป็นป้ายโฆษณา ใครอยากขายของก็เอาชาวนามาเป็นป้ายโฆษณา ดังนั้นปัจจัยที่ 1 มันหายไปส่วนอาหารทุกวันนี้เขาก็กินความสะดวก กับข้าวถุงละ 6 บาท
อีกอย่างคน 26 ล้านคนที่อยู่ในภาคเกษตร คนที่อยู่กับ ดิน คือคนที่คุมถุงทองเอาไว้ แต่เขามองไม่เห็นและก็ไม่มีปัญญาที่จะเห็น เพราะไม่มีคนไปชี้ให้เขา มันก็เลยทำให้ผมมองว่า ในอนาคต พูดแบบเท่ห์นะ (ยิ้ม) ถ้าผมตายไปแล้วคนรุ่นลูกผมจะอยู่ยังไง นั่นคือความรู้สึกที่ไม่มีอะไรซับซ้อน
@ เราเอาความรู้ไปใส่ให้เขาอย่างไร 
ผมใช้เวลา 1 ชั่วโมงในการเปลี่ยนเขา ส่วนใหญ่จะตั้งคำถาม ทำไมชาวนาถึงจน เขา ก็จะพูดเหตุผลต่างๆ นานาออกมา ผมก็จะไปแย้งว่า ไม่ใช่หรอก เป็นเพราะพ่อแม่สอนแล้วไม่จำ  สมัยผมเด็กๆ เขาสืบทอดกันมาว่า ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว  วันนี้เหลือแต่ประโยคหลังอย่างเดียว
ส่วนคำว่าในน้ำมีปลา ที่มันมีนัยยะถึงเรื่องการลดโลกร้อน การทำให้น้ำสะอาด การไร้สารพิษ แต่เราทิ้งทุกอย่างพอพ่อค้าบอกว่าจะเอาข้าว เราอยากได้เงิน จนลืมคำสอนพ่อแม่
ส่วนสูตรสำเร็จที่โบราณให้ไว้ ‘10 กอล่า ไม่สู้ 5 กอต้นปี’ คือข้าว 10 กอที่ปลูกทีหลังมันแตกกอน้อย สู้ต้นปีที่ปลูก 5 กอไม่ได้เลย แต่เรากลับเอาภูมิปัญญาที่คิดค้นไปทิ้งหมด
(อืม) ผมถามชาวนาด้วยนะว่า ชาวนาสมัยนี้กับเมื่อ 10 ปีก่อน ใครฉลาดกว่ากัน บางคนยกมือบอกทันทีเมื่อก่อนฉลาดกว่า อ้าว..แปลว่าอะไร ยิ่งเกิดยิ่งโง่เหรอ พอผมถามตรงๆ เขาก็ฉุกคิด
แต่ก็มีนะ พวกคนวัยปัจจุบันที่บอกว่า ชาวนายุคนี้ฉลาดกว่า มีทั้งเทคโนโลยี ความสะดวกสบาย ผมเลยถามต่อไปว่า  30 ปีที่แล้วต้องเตรียมเงินเท่าไหร่ ซื้ออาหารให้ควาย พวกที่อายุมากๆ ไม่กล้าเถียงลูกๆ ก็เริ่มผงาดแล้ว บอกไม่ต้องเตรียมเลย แต่วันนี้อย่างน้อยต้อง 300 บาท
อีกอย่างหนึ่งเมื่อก่อน ควายขี้เป็นปุ๋ย แต่เดี๋ยวนี้ขี้เป็นควัน เชื่อ ไหมว่าเรื่องเหล่านี้เขาไม่เคยมอง และจริงๆ แล้วนักวิชาการบ้านเราก็ไม่เคยมอง แต่ก็ว่าไม่ได้นะ เพราะมันเป็นมุมของพ่อค้า สายตาพ่อค้าจะเปรียบเทียบ หาข้อที่ดีที่สุด เพื่อจะได้ประโยชน์สูงสุด
ผมก็ค่อยๆ ชี้ไปทีละเปราะ เหมือนกับโครงการทำนา 1 ไร่ได้เงิน 1 แสน ตอนแรกถามว่าใครไม่เชื่อยกมือขึ้น ยกกันพรึบ แต่ตอนจบไม่เห็นมีสักมือเลย (ยิ้ม) เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าเคยบอกไว้ หากใจเปิดกว้างรับความรู้ อวิชาก็หายไป ความไม่รู้ก็หายไป แต่ฐานะจะดีขึ้นหรือไม่ มันอยู่ที่ลงมือทำ
ที่ชาวนาเปิดใจ เพราะไปบอกเขาว่าทำนา 1 ไร่ได้เงิน 1 แสน 
คนส่วนใหญ่จะมองเรื่องเงิน แต่เงินเป็นแค่อุบายเท่านั้น
“ลำพู” ผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยทำงานที่นวนคร ได้เงินเดือน 10,000 บาท แต่พอมาทำนาได้เดือนละ 40,000 บาท ทุกวันนี้ครอบครัวนี้ไม่ไปทำงานที่อื่นแล้ว อยู่กับบ้านมีที่ดิน 1 ไร่ก็สามารถทำนาได้ แล้วลักษณะแบบนี้จะทำให้ชนบทของเราดีขึ้น เพราะขณะนี้ครอบครัว "แหว่งกลาง" ในอีสานมีถึง 11%
ส่วนอีกคน “ลุงคำปัน” เขาบอกกับผมว่าทำนามา 50 ปีชีวิตต่ำต้อย เวลาไปติดต่อทางการเขียนว่า อาชีพทำนา รู้สึกอายมาก แต่หลังจากร่วมโครงการทำนา 1 ไร่ 1 แสน คนมาดูเยอะแยะ และยังเรียกเขาว่าอาจารย์ มันปลื้มใจมาก เพราะฉะนั้นไม่ใช่แค่เงิน แต่มีเรื่องศักดิ์ศรีอยู่ด้วย
@ พอเอาเงินเป็นตัวตั้ง ทุกอย่างมันหาย
ใช่ เท่าที่ผมสรุปไว้นะมีประมาณ 7 ข้อคือ
1.มนุษย์ทุกคนเกิดมามีแรงงานอยู่ในตัว แรงที่ว่านี้ยิ่งใช้ยิ่งแข็งแรง ยิ่งใช้ยิ่งมาก แต่ว่าคนเรากลับหลงลืม ยกตัวอย่างชาวนา ทุกวันนี้มีแต่เอาเงินไปจ้างแรงคนอื่น ไม่เคยใช้แรงตนเองเลย ทั้งที่ธรรมชาติให้แท้ๆ
2.หายใจฆ่าเวลา ถ้าเอาแรงบวกกับเวลา มันจะเกิดเป็น ‘ประสบการณ์’
3.ความรู้ ลองสังเกตดู คนที่อยู่ในภาคเกษตรขณะนี้ ความรู้อยู่ข้างถุงปุ๋ย เขาบอกว่าใส่สูตรไหนก็เอาไปโรยตามนั้น นั่นเพราะแรงไม่ใช้ เวลาไม่ใช้ ความรู้ก็เลยไม่จำเป็นต้องแสวงหา ในที่สุดก็ขาด ทำไปเรื่อย เดาไปเรื่อย มันเลยอันตราย
4.ถ้าได้ลงมือทำทั้งหมด ก็จะเกิดประสบการณ์และปัญญาใหม่ขึ้นมา ยกตัวอย่างง่ายๆ เรามีความรู้เรื่องจักรยาน รู้เรื่องล้อ รู้เรื่องโซ่ เรียกว่ามีความรู้ แต่สุดท้ายถ้าเราขี่เป็น เขาถึงจะเรียกว่ามีปัญญาขี่จักรยาน
บางคนมีความรู้เยอะมาก (เน้นเสียง) แต่จะมีปัญญาหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งผมพบว่า ชาวนาไม่ได้มาถึงตรงนี้นะ เพราะจะไถ หว่านหรือเกี่ยวข้าว ก็ใช้เงินเป็นตัวหลัก ในที่สุดก็วิ่งตามหาว่าเงินอยู่ตรงไหน แต่ไม่มีความรู้พอที่จะสู้กับพ่อค้าอย่างผม (ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง) มันถึงได้จน
5.หลังจากมีปัญญา จะทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างเครื่องไม้เครื่องมือใหม่ เมื่อรู้ว่าดินมันแข็ง ใช้มือแล้วเจ็บ เขาก็คิดหาจอบหาเสียบขึ้นมา ซึ่งความคิดที่เกิดขึ้นก็จะสอดคล้องกับความต้องการในการทำเกษตร แต่ถ้าไม่ผ่านการคิดลักษณะดังกล่าว ต่อให้ทำนาได้กำไรนิดเดียว ก็จะหาทางไปซื้อรถไถ่ รถเกี่ยวสารพัด
6.ทุนทางสังคม ผมสังเกตว่าคนโบราณ ทำนาคนเดียว 10 ไร่พอเกี่ยวข้าวก็ต้องขอแรงลงแขก เกี่ยวข้าวจากเพื่อนบ้าน แต่ถ้าตนเองไม่เคยทำความดีไว้เลย อยู่อย่างโดดเดี่ยว ถึงเวลาเดือดร้อน ก็คงไม่มีใครมาช่วย ดังนั้น ทุนทางสังคมเป็นเรื่องสำคัญ
และสุดท้าย 7.เงิน เป็นตัวที่เล็กมาก ผมบอกชาวนาว่า วันนี้อยากให้ผมทำเกษตรในที่ดินแปลงไหนชี้มาได้เลย ผมจะทำให้ดูโดยที่ไม่ต้องใช้เงิน
ค่าเช่านาที่สุพรรณบุรี ไร่ละ 1,500 บาท ผมจะขอเช่าในราคา 4,000 บาท ถามว่าใครจะไม่เอา ส่วนผมจะลงทุนปลูกผักบุ้งจีนแค่ 20 วันก็ขายได้แล้ว ลองคิดดูหนึ่งตารางเมตรละ 100 บาท 30 ตารางเมตรผมก็ได้ค่าเช่าแล้ว แต่อย่างว่าวิธีคิดเหล่านี้ มันไม่ได้อยู่กับชาวนา
@ แล้วอย่างนี้ ปัญหาความเหลื่อมล้ำอยู่ที่ความรู้ด้วยหรือเปล่า
ความเหลื่อมล้ำมันเกิด จากการปัดคนออกจากชีวิตดั่งเดิมของเขา โดยเอาเงินเป็นตัวล่อ ตอกย้ำทุกวันว่าจะต้องมีมอเตอร์ไซค์ คนเลยยอมตัดส่วนหนึ่งของชีวิต นั่นคือ แปลงนา เพื่อไปเปลี่ยนเป็นมอเตอร์ไซค์ ส่วนความรู้ที่จะทำให้แปลงนามีความสมบูรณ์กลับไม่สนใจ เพราะชีวิตไปอยู่กับมอเตอร์ไซค์ รถยนต์ โทรศัพท์ ถามว่าแปลงนาจะให้ผลผลิตสูงขึ้นไหม คำตอบคือ ไม่
อีกอย่างเวลาที่เราบอกว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลแจกเงิน 2,000 บาท บริษัทต่างๆ ก็เข็นโปรโมชั่นออกมา เห็นไหมตัวที่เป็นแรงดูดอยู่ข้างบนมันดูดกลับทันที เงินไม่ได้ลงไปถึงแปลงนา เพราะฉะนั้นความแข็งแรงข้างล่างมันก็ไม่ฟื้น
@ สุดท้ายหลังน้ำท่วม ความช่วยเหลือส่วนใหญ่เทไปที่ภาคอุตสาหกรรมมากกว่าภาคเกษตร ตรงนี้คิดเห็นอย่างไร
สิ่งเหล่านี้ก็ย้อนกลับไปที่สามเหลี่ยมนั่นแหละ
วิธีการที่ดี ก็คือวิธีการแบบโรบินฮูด คนรวยไม่รู้จะเอาเงินไปใช้อะไรแล้ว ถ้าจะเอามาเพิ่มให้กับคนข้างล่างก็จะมีประโยชน์มาก อีกอย่างเขาก็ไม่ได้เดือดร้อน อย่างเช่นโรงงานอุตสาหกรรม รถยนต์แช่น้ำ เสียหาย 200 ล้านบาท 1,000 พันล้านบาทมันจะเป็นอะไร แต่บางคนผ่อนแค่ตู้เย็นยังต้องใช้เวลาถึง 2 ปี แล้วทำไมเราถึงจะต้องไปสนใจคนข้างบน 
ถ้าเป็นผมจะสอนการใช้ชีวิตในภาวะน้ำท่วม สอนวิชาจับปลา จับกบ หรืออะไรที่พร้อมจะกินได้ในภาวะน้ำท่วม 
อย่างตอนนี้เราก็กำลังทดลองทำแปลงนาสู้น้ำ ใช้ที่ดิน ประมาณ 2-3 ไร่ ที่พิพิธภัณฑ์เฉลิมพระเกียรติ โดยจะออกแบบคันนาให้สูง 3 เมตร ถึงเวลาน้ำมา นาแห่งนี้จะสามารถเลี้ยงคนได้มากถึง 50 คนหรืออย่างน้อยต่ำสุด 16 คน เพราะในพื้นที่เลี้ยงปลาได้ 30,000 ตัว คันนาก็ปลูกพืชที่แข็งแรงยึดดินได้
ส่วนอีกฝั่งก็จะปลูกผัก ด้านล่างลงมาก็จะปลูกสมุนไพร ตรงกลางเป็นนา คูน้ำและมีบ้านเล็กๆ หลังหนึ่ง เมื่อน้ำมาชีวิตจะได้ไม่ต้องไปอยู่ศูนย์อพยพ ไม่ต้องเดือดร้อนกันทั้งประเทศเรื่องของบริจาค ที่แจกไม่ครบ
ผมว่าชีวิตไม่จำเป็นต้องเอาเงินเป็นตัวตั้ง ถ้าในหมู่บ้านหนึ่งมีคน 100 หลังคาเรือน ทำสัก 50 แปลงก็อยู่กันได้แล้ว ไม่ต้องอพยพ และเอาจริงๆ คนที่อพยพส่วนใหญ่ก็อยู่ในกรุงเทพ  แถบอยุธยาคนที่อพยพก็มีแต่คนในตัวเมือง ชนบทเขาอยู่ของเขาได้อยู่แล้ว
@ แล้วถ้าจะทำอย่างที่คุณอดิศร ทำ ต้องปรับวิธีคิดอย่างไร 
ผมทำงานแบบสำเร็จ ไม่ได้ทำวิจัย หากจะให้ผมทำวิจัยด้วยผมไม่ทำ เพราะชีวิตคนที่เขารออยู่ สำคัญกว่าที่คุณจะรู้ว่ามันเกิดจากอะไร
“จริงๆ แล้วมนุษย์เกิดมา ฟ้าดินไม่ได้สร้างใครมาเป็นยอดคน คนหนึ่งดูแลตัวเองดีและมีเวลาเหลือ ฟ้าดินก็ส่งครอบครัวมาให้ดูแล ดูแลตัวเองได้ดีแล้ว ดูแลครอบครัวดีแล้ว แล้วมีเวลาเหลือ ฟ้าดินก็ส่งประชาชนให้มาดูแล เพราะหน้าที่ดูแลประชาชนเป็นหน้าที่ของฟ้าดิน เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะรวยที่สุด คือมีเวลาทำหน้าที่แทนฟ้าดิน”

ห่วงแต่จะไม่ทันกาล


Pic_226228 ในลีลาพลิ้วๆของเซียนเขี้ยวการเมือง “สารวัตรเหลิม” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ดึงจังหวะแตะเบรกเกมแก้รัฐธรรมนูญ เพราะยังไม่ถึงเวลาเหมาะสม

รัฐบาลควรโชว์ฝีมือทำงานไปก่อน 1 ปี แล้วค่อยว่ากัน

ตาม อารมณ์บู๊ดุดันสไตล์ของแกนนำม็อบมืออาชีพ “เดอะเต้น” นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำใหญ่กลุ่มเสื้อแดง นปช. ออกมาไล่บี้ให้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยเดินหน้ารื้อรัฐธรรมนูญโดยเร็ววัน แล้วค่อยไปว่าเรื่องการทำประชามติกันภายหลังที่แก้เสร็จ

เร่งเครื่อง รุกแรง เล่นเร็วเลย

ถ้า เป็นยุทธศาสตร์ของการ “แยกบทกันเล่น” มันก็เป็นอะไรที่ต้องแจกตุ๊กตาทองให้ เพราะเล่นกันได้เนียนมาก โดยเฉพาะบทลุยถั่วของนายณัฐวุฒิ ตามเหลี่ยมตีเงื่อนไขให้สูงสุดโต่งเข้าไว้

เพื่อลากมาเจอกันในจุดที่พึงพอใจ

อย่าง ที่ประเมินได้ ตามจังหวะที่เกมไหลเข้าทางพรรคเพื่อไทย จับน้ำเสียงทุกฝ่ายพร้อมเปิดทางให้รื้อรัฐธรรมนูญฉบับ “หน้าแหลมฟันดำ” โดยไม่มีใครยื้อขัดขวาง

กั๊กกันแค่เงื่อนไขการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) และการทำประชามติ

แค่ นี้ก็น่าจะแง้มประตูกลับบ้านมาได้ครึ่งบานแล้ว สำหรับอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ที่ล็อกเป้าหมายไว้แค่กลับประเทศไทย โดยไม่ต้องติดคุก

แต่ เรื่องของเรื่อง ถ้าไม่ใช่ยุทธศาสตร์แยกบทกันเล่น ในอารมณ์ที่ทั้ง “สารวัตรเหลิม” และนายณัฐวุฒิ ต่างสะท้อนความคิดความอ่านที่แท้จริงออกมา

ฝ่ายหนึ่งเตะถ่วง อีกฝ่ายหนึ่งกระแทกคันเร่งเต็มสูบยั่วฝ่ายต้าน

โดยปรากฏการณ์ไม่ได้ส่งผลบวกกับการปูทางกลับบ้านของ “นายใหญ่” ทั้งสองกรณี

หรือ ถ้ามองให้ลึกไปกว่านั้น ในแง่ของอารมณ์หวังดีประสงค์ร้าย ตามเงื่อนไขถ้าอดีตนายกฯทักษิณกลับมา คนที่เคยได้รับบทบาทเด่น ก็จะถูกลดความสำคัญลงไป ไม่จำเป็นต้องเรียกใช้งาน

มันก็เลยต้องดึงจังหวะไม่ให้ “นายใหญ่” กลับมาเร็วก่อนเวลา

ทั้ง หมดทั้งปวงเลย เกมแก้รัฐธรรมนูญจะเข้าทางใคร ออกทางใคร ผลประโยชน์มันก็ตกอยู่กับนักการเมืองในเกมชิงอำนาจประเทศไทย ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับปากท้อง ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ที่ยังต้องลุ้นสถานการณ์น้ำท่วมที่ยังไร้หลักประกัน

ถึงเวลาย่างเข้าฤดูฝนน้ำมาอีกรอบ จะ “เอาอยู่” หรือไม่

ใน ปรากฏการณ์ที่ยังเห็นใครจะเป็นหลักพอฝากผีฝากไข้ได้ รัฐบาลของนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ยังไม่มีแผนรับมือน้ำท่วมเฉพาะหน้าอย่างเป็นรูปธรรม ขณะที่ทีมงานกรุงเทพมหานครของคุณชายสุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. ก็ไม่ได้วางยุทธศาสตร์เพื่อรองรับวิกฤติล่วงหน้า

มีแต่เกมการเมืองข้ามพรรค ขัดแข้งขัดขากันไม่เลิกรา

ล่า สุดติดลมมาถึงปมการชิงตลาดนัดจตุจักร ที่กำลังแย่ง “ชิ้นปลามัน” กัน ระหว่าง กทม.กับการรถไฟฯในกำกับของกระทรวงคมนาคม ตามอารมณ์ไม่ต่างจากช่วงน้ำท่วมที่คุณชายสุขุมพันธุ์ขึ้นโพเดียมแถลงซัดกับ ฝ่ายตรงข้ามแบบหน้าดำหน้าแดง

เน้นเสียง เน้นสำเนียง กระแทกแดกดันกันออกจอ

เรื่อง ของเรื่อง งานหลักยังไม่มีใครพูดถึงเลย กับการ “ลอกท่อ” ระบายน้ำ รวมถึงการจัดการสิ่งกีดขวางคลองระบายน้ำใน กทม.รวมถึงปริมณฑล ที่เต็มไปด้วยขยะ ถุงทราย ดินโคลนจากน้ำท่วม ไหลไปสะสมอยู่ในท่อระบายน้ำ รวมถึงคลองระบายน้ำ

ไม่ต้องพูดถึงน้ำเหนือ แค่น้ำฝนที่ตกในกรุงเทพฯ ก็มีหวังท่วมเมืองเพราะท่อตันระบายไม่ทัน

แค่หลับตานึกภาพก็ผวาแล้ว

นั่น ยังไม่นับประเด็นของวิกฤติเศรษฐกิจที่เป็น “อาฟเตอร์ช็อก” จากมหันตภัยน้ำท่วมใหญ่ มูลค่าความเสียหายอย่างเป็นทางการที่เปิดตัวเลขกันออกมา 1.4 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะนิคมอุตสาหกรรมโดนน้ำถล่มล่มเป็นหน้ากลอง นักลงทุนต่างชาติกำลังอยู่ในภาวะชั่งใจจะลงทุนต่อหรือถอนสมอ

คนตกงาน ขาดรายได้ ไม่มีศักยภาพในการใช้จ่าย กระเทือนกันเป็นลูกโซ่

ตาม โจทย์โคตรหิน มองยังไงก็เกินศักยภาพของมือบริหารแถว 3 แถว 4 รัฐมนตรีนกแลของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่จะได้จังหวะปรับ ครม. สลับสมบัติผลัดกันชมช่วงหลังปีใหม่

แต่ไม่ว่าจะเขย่ากันยังไงก็ยังวนอยู่ในหมู่ของนกแล

และ โดยจังหวะต้องไปลุ้นกันอีกทีตอนยกเครื่องใหญ่ หลังคนบ้านเลขที่ 111 พ้นโทษแบน ทีมบริหารมืออาชีพตัวจริงจะได้กลับมาลงสนาม โดยเฉพาะแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลที่อยู่ในบัญชีของ มิตร ได้เครดิตจาก “ทักษิณ” เตรียมดึงมาช่วยประคองปีกน้องสาว

ปัญหาคือ จะทันกาลหรือไม่เท่านั้น.

ทีมข่าวการเมืองไทยรัฐ

เงินเยนจับมือเงินหยวน ดันหยวนเป็นเงินหลักเพื่อแลกเปลี่ยน

การเยือนจีนของผู้นำญี่ปุ่น โยชิฮิโกะ โนดะ ได้สิ้นสุดลงเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ได้ผลสรุปว่า จีนและญี่ปุ่นประกาศทำความตกลงร่วมกันในการสนับสนุนการใช้เงินหยวนเพื่อการ ค้าและการลงทุน และอาจนำไปสู่การจำกัดการใช้เงินสกุลดอลลาร์ในเอเชียด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องที่จะสนับสนุนให้มีการค้าโดยการใช้เงินหยวนและเงินเยนโดยตรง แทนที่การแปลงเงินสกุลของตนให้เป็นดอลลาร์ก่อนนำมาใช้ นอกจากนั้น ญี่ปุ่นจะถือเงินหยวนเป็นทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศอีกด้วย
นักประวัติศาสตร์ด้านเศรษฐกิจแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ นาย Barry Eichengreen ระบุว่า “ญี่ปุ่น ทำให้รู้สึกว่า ต่อไปเงินที่จะมีอำนาจครอบครองเอเชียในอนาคตคงไม่ใช่เงินเยน”
ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด นาย  Jeffrey Frankel กล่าวว่า “นี่เป็นการเร่ง อัดฉีด ให้อัตราแลกเปลี่ยนมีความหลากหลายมากขึ้น แต่นั่นก็เป็นแค่เพียง 1 ใน 100 ของขั้นตอนดังกล่าว”

ภาพจาก HKCH
เจ้าหน้าที่ของรัฐในญี่ปุ่นระบุว่า “ในอนาคต สกุลเงินของเอเชียอาจจะมีบทบาทสำคัญมากกว่าที่เป็นอยู่ แม้ญี่ปุ่นยังไม่มีความจำเป็นที่จะตัดสินใจซื้อเงินหยวนในตอนนี้ แต่แน่นอนว่าเงินหยวนจะโดดเด่นมากกว่าเงินเยน และบทบาทของเงินเยนอาจจะมีความสำคัญมากขึ้นกับประเทศอื่น หากเรามีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับประเทศนี้” ข้อตกลงดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ เงินหยวนต้องเผชิญกับแรงกดดันจากนักลงทุนทั้งหลายและเครือข่ายทางธุรกิจให้ ลดค่าเงิน
ทั้งนี้ ในข้อตกลงดังกล่าว ระบุว่า จีนกำลังเร่งขึ้นค่าเงินหยวน และการตัดสินใจที่สำคัญกว่านั้นคือการที่ญี่ปุ่นตัดสินใจซื้อเงินหยวนถึง 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐเพื่อเป็นทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ นี่แสดงให้สะท้อนนัยสำคัญที่ว่าญี่ปุ่นกำลังหลีกจากการใช้เงินดอลลาร์ ขณะเดียวกัน รัฐบาลสหรัฐก็กำลังสนับสนุนให้จีนตระหนักถึงบทบาทของเงินหยวนที่มีความสำคัญ มากขึ้น และเห็นว่าจีนจำเป็นต้องปรับนโยบายของกาคการเงินด้วย
Morris Goldstein นักเศรษฐศาสตร์แห่งสถาบันปีเตอร์สันเพื่อเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (Peterson Institute of International Economics) แห่งวอชิงตัน ดีซี ระบุว่า “นโยบายดังกล่าวที่จีนควรปรับเพื่อทำให้เงินหยวนมีการค้าที่เสรียิ่งขึ้น คือ
  • ลดการแทรกแซงค่าเงิน
  • ปล่อยอัตราดอกเบี้ยให้เป็นไปตามกลไกตลาด
  • ลดข้อจำกัดเงินทุนไหลเวียน
  • และกำหนดระบบธนาคารให้มุ่งเน้นตลาดมากขึ้น
ความตกลงครั้งใหม่นี้ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สามารถลดต้นทุนของบริษัทต่างๆ ได้ และนี่คือโครงการนำร่องที่จะทำให้ธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศที่ อยู่ในโครงข่ายของรัฐเข้าร่วมมือด้วย
The Wall Street Journal


 

Logo

พระบรมอัฐิและพระบรมโกศในหลวงรัชกาลที่ 5

โดย เทพมนตรี ลิปพยอม

เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ผมได้รับทราบข่าวจากเพื่อนคนหนึ่งว่ามีผู้นำพระบรมอัฐิและพระบรมโกศของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไปจำนำกับพ่อค้าทองรายหนึ่งซึ่งประกอบไปด้วยพระนลาฏและพระทนต์ ตอนแรกผมแทบไม่เชื่อหู เพราะเป็นไปไม่ได้ แต่ผมก็มิได้ตามเรื่องต่อ จนกระทั่งเมื่อประมาณเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2554 ผมได้พูดคุยกับเพื่อนผู้พี่ของผมอีกคนหนึ่งชื่อเล่นว่า “ซิป” ซึ่งเคยเข้าออกอยู่ในวังของราชสกุลนี้ และทราบว่าเรื่องการนำพระบรมอัฐิและพระบรมโกศไปจำนำนั้นเกิดขึ้นมาหลายปีแล้วโดยสะใภ้ของราชนิกูลตระกูลใหญ่นี้ นำไปจำนำในราคาแพงหลายล้านเพราะพระบรมโกศเป็นทองคำประดับถนิมพิมพาภรณ์

ผมเองเมื่อทราบเรื่องนี้จึงซักไซร้ไล่เรียงจนได้ความว่าการจำนำนั้นเกิดขึ้นจริง และมีการแยกส่วนของพระบรมอัฐินำไปจำนำ 3 ที่ เมื่อผมได้ทราบรายละเอียดผมจึงได้โพส์ตข้อความลงไปใน facebook ของผมบอกเรื่องราวทั้งหมด เพราะเห็นว่าพระบรมอัฐิและพระบรมโกศเป็นของสำคัญเป็นเรื่องใหญ่และเป็นการไม่เหมาะสมที่สะใภ้ของราชสกุล (ซึ่งปัจจุบันเป็นอดีตไปแล้ว) จะกระทำเรื่องเสื่อมเสียพระเกียรติยศเช่นนี้ การโพส์ตข้อความของผมสร้างความสนใจให้กับคนที่เข้ามาอ่านหน้ากระดานอย่างต่อเนื่องจนเป็นผลทำให้หนังสือพิมพ์ไทยโพส์ตและสื่อออนไลน์อื่นๆ นำเรื่องราวไปลง กลายเป็นเรื่องใหญ่ในสังคมออนไลน์ไปในที่สุด

ตัวผมเองได้ตั้งปณิธานต่อเรื่องนี้ไว้ว่าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ใดๆ จะทำหน้าที่เพื่อปกป้องพระเกียรติยศของในหลวงรัชกาลที่ 5 ที่ผมมีความเคารพรักและเทิดทูนอยู่แล้ว อีกประการหนึ่งเรื่องนี้มันเป็นเรื่องสำคัญที่จะนำพาให้เกิดความเสื่อมมาสู่สถาบันที่ผมเคารพรัก และเทิดทูลอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน

ภายหลังข่าวนี้แพร่สะพัดออกไปทำให้คนในราชสกุลนี้ได้ติดต่อขอข้อมูลผมและให้ผมบอกเรื่องราวทั้งหมดกับเขา และให้ผมติดต่อกับคนที่รับจำนำพระบรมอัฐิและพระบรมโกศนี้ให้มาพบกัน ผมก็ถือว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ผมก็มีความยินดีเพราะเห็นว่าราชสกุลนี้ได้รับทราบและวาดหวังว่าเรื่องทั้งหมดจะยุติ มีการประชุมกันที่บ้านของราชนิกูลท่านหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้

และผลสรุปออกมาก็คือจะมีการไถ่ถอด ซึ่งสมาชิกท่านหนึ่งของราชสกุลที่เคยติดต่อมา ได้ขอให้ผมนัดหมายกับทางผู้รับจำนำ ในที่สุดก็มีการพบกันเพื่อทำความตกลงในการไถ่ถอด การต่อรองเรื่องนี้จึงเกิดขึ้นในห้องประชุมแห่งหนึ่ง ผมรับหน้าที่เป็นผู้ประสานงาน และคาดหวังว่าหลังจากนี้ไปผมจะได้ถอนตัวออกจากเรื่องนี้ การประชุมเป็นไปอย่างราบรื่นมีการดูพระบรมทนต์ของในหลวงรัชกาลที่ 5 และนัดหมายกันว่าจะมีการไถ่ถอดออกไป

ต่อมาประมาณต้นเดือนธันวาคม ทางฝ่ายตัวแทนราชสกุลได้ไปพบกับผู้รับจำนำและนำกำลังตำรวจพร้อมหมายศาลเข้าไปค้นในที่ทำงานของผู้รับจำนำ มีการแจ้งความว่าพระบรมอัฐิและพระบรมโกศได้หายไปจากวังเมื่อเดือนกันยายน 2554 นี้ ผมตกใจเมื่อทราบข่าวเช่นนี้และคิดว่าเรื่องนี้คงไม่จบลงง่ายๆ ฝ่ายผู้รับจำนำก็มีหลักฐานใบรับจำนำจากลูกสะใภ้ของราชสกุลนี้ และไม่ได้เป็นการขโมยออกมาจากวังแต่อย่างใด

หลังจากที่ผมได้เสนอข้อมูลเกี่ยวกับพระบรมอัฐิและพระบรมโกศของในหลวงรัชกาลที่ 5 ผมได้พิจารณาไตร่ตรองเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีผมคิดแต่เพียงว่าพระบรมโกศควรประดิษฐานในที่ที่เหมาะสมเท่านั้น ผมจึงขอออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนของเรื่องนี้

แถลงการณ์จุดยืนเรื่องพระบรมอัฐิและพระบรมโกศในหลวงรัชกาลที่ 5

ผมนายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์ และผมได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับพระบรมอัฐิและพระบรมโกศซึ่งถูกหม่อมอุ่นเรือน นำไปจำนำเป็นมูลค่าหลายล้านบาท ผมได้ทราบข่าวเรื่องนี้มานานกว่า 2 ปี จนกระทั่งเมื่อประมาณปลายเดือนสิงหาคม 2554 ผมอยากรู้เรื่องนี้อีกสักครั้ง จึงได้โทรศัพท์ถามเพื่อน (เพราะผมกำลังทำเรื่องการสูญเสียดินแดนและปราสาทพระวิหาร ผมได้อ่านลายพระหัตถเลขาของในหลวงรัชกาลที่ 5 จนซาบซึ้งถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน)

เมื่อผมทราบรายละเอียดทั้งหมดแล้ว ผมก็ได้ติดต่อขอความช่วยเหลือกับผู้ใหญ่กลุ่มหนึ่งเพราะไม่สบายใจที่มีการจำนำพระบรมอัฐิ และพระบรมโกศของในหลวงรัชกาลที่ 5 แต่ผู้ใหญ่กลุ่มนั้นปฏิเสธที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย ผมจึงได้โพสต์เรื่องนี้ลงใน Facebook และในเวลาต่อมาผมได้ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานของเรื่องนี้ เมื่อคุณชายทักขิญ ยุคล ได้ติดต่อผมเข้ามาเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2554 ทางข้อความ Facebook.

คุณชายทักขิญ บอกผมว่าจะมีการประชุมของราชสกุลที่บ้านท่านอ้วน และยังยืนยันกับผมว่าคุณชายคือตัวแทนของราชสกุล ผมรู้สึกดีใจที่ราชสกุลยุคลได้ตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ และผมได้ทำหน้าที่ประสานงานติดต่อจนกระทั่งทั้งคุณชายทักขิญ ยุคล, คุณสายฝน สนิทวงศ์, ม.จ.เฉลิมศึก ยุคล ได้พบกันกับฝ่ายผู้รับจำนำคือเสี่ยสี่และเสี่ยสิน ซึ่งเสี่ยทั้งสองนี้รู้จักหม่อมอุ่นเรือน ยุคล เป็นอย่างดี ผู้ประสานงานของฝ่ายเสี่ยทั้งสองคือคุณวีนัส กรสุรัตน์ ซึ่งผมรู้จักกับเขาครั้งแรกเมื่อผมได้กราบเรียนเชิญท่านใหม่มาเป็นประธานเปิดงานแห่งหนึ่งเมื่อหลายปีที่แล้ว

การประชุมครั้งนั้นผมได้บันทึกรายงานการประชุมอย่างเป็นระบบ ต่อมาคุณชายทักขิญ ยุคลได้ติดต่อเสี่ยสี่เพื่อไปพบและชมพระบรมโกศ ซึ่งผมไม่เคยรับทราบเรื่องนี้หลังจากการประชุมวันที่ 17 ตุลาคม 2554 เสร็จสิ้นลง ผมก็ได้ยืนยันไปแล้วว่าผมไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับการต่อรองใดๆ นับแต่วันนั้นเพราะทั้งสองฝ่ายได้พบกันแล้วมีการแลกเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ระหว่างคุณชายทักขิญ ยุคล กับเสี่ยสี่ ในบันทึกการประชุมผมได้พูดอย่างชัดเจนและมีการคุยกันว่าให้คุณชายทักขิญนัดหมายกับเสี่ยสี่และเสี่ยสินได้เองเลย และจากวันดังกล่าวผมก็ลืมเรื่องนี้ไปเลย มาตกใจอีกครั้งเมื่อตอนอยู่ที่ต่างประเทศเพราะได้ยินว่ามีการจับกุมเกิดขึ้น พระบรมอัฐิและพระบรมโกศของในหลวงรัชกาลที่ 5 และองค์อื่นๆ ได้ถูกตำรวจนำไปประดิษฐานที่สถานีตำรวจดุสิต

เมื่อผมทราบเรื่องนี้ หลังจากผมกลับมาจากต่างประเทศ ผมจึงได้โพสต์ข้อความลงใน Facebook เพราะผมเห็นว่าไม่เป็นการยุติธรรมที่จะมีการไปแจ้งความจับกุมเสี่ยสี่และยึดของกลาง ทำไมหรือครับ นั่นก็เป็นเพราะก่อนหน้านี้ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันที่จะให้ไถ่ถอนและจะไถ่ถอนพระบรมโกศ บันทึกการประชุมได้บอกเหตุการณ์อย่างละเอียด มีคำพูดของแต่ละท่านทั้งหมด หากใครได้รับทราบบันทึกนี้จะเห็นว่าเนื้อหาในที่ประชุมกล่าวถึง

1. หม่อมอุ่นเรือนได้นำพระบรมโกศและพระบรมอัฐิไปจำนำ คุณชายทักขิญ คุณสายฝน สนิทวงศ์ และม.จ.เฉลิมศึก ยุคลได้รับทราบเรื่องนี้ว่าพระบรมโกศและพระบรมอัฐิไม่เคยหายไปจากวังอัศวิน แต่หม่อมอุ่นเรือนหิ้วพระบรมโกศและพระบรมอัฐิไปจำนำด้วยตัวเอง ม.จ.เฉลิมศึก ท่านยังพูดเลยว่าหม่อมอุ่นเรือนน่าจะถูกฟ้องหากไม่มาไถ่คืน เรื่องนี้คุณชายทักขิญน่าจะจำได้นะครับเพราะเราพูดกันในที่ประชุมและมีหลักฐาน

2. ทุกฝ่ายในที่ประชุมวันนั้นได้รับทราบว่าเรื่องนี้คือการจำนำและการไถ่ถอนพระบรมโกศและพระบรมอัฐิ

3. มีการประชุมกันในวันที่ 17 ตุลาคม 2554 เวลาประมาณ 14.30 น. ประชุมกันรวมเวลาทั้งหมด 1 ชั่วโมง 19 นาที 9 วินาที คุณชายทักขิญจึงน่าจะจดจำได้ดี

ตามที่คุณชายทักขิญ ยุคลได้ไปโพสต์กล่าวหาผมไว้ในเพจแห่งหนึ่งว่า “พ่อค้า=ผู้รับซื้อของโจร” กับ “ผู้ที่ติดต่อดำเนินงานให้พ่อค้า=นายหน้ารับซื้อของโจร” และแตกประเด็นออกไปจนทำให้มีคนกล่าวหาผมอย่างเสียๆ หายๆ ว่า ผมคือผู้ล้มเจ้าบ้างหรือทำเรื่องนี้เพราะอยากได้ผลประโยชน์ หรืออยากดังบ้าง โดยเฉพาะคุณชายทักขิญ ยุคล ก็ได้กล่าวหาผมเหมือนให้คนอื่นเข้าใจว่าผมต้องได้ผลประโยชน์จากการไถ่ถอนพระบรมอัฐิและพระบรมโกศ ข้อกล่าวหาที่ผมพอสรุปได้มี ดังนี้

1. คุณชายทักขิญกล่าวหาในทำนองว่า ผู้ประสานงานของเรื่องนี้ได้รับผลประโยชน์จากการไถ่ถอนซึ่งคงหมายถึงผม

2. การที่คุณชายทักขิญนำข้อความไปโพสต์ไว้ในหน้าเพจแห่งหนึ่ง ทำให้คนที่ไม่รู้เรื่องนี้กล่าวหาผมว่า “เป็นพวกล้มเจ้า”

3. เรื่องการบล็อกเพจไม่ให้คุณชายเข้ามาอ่านได้ ผมไม่เคยบล็อกใคร และคนที่ดูแลเพจของผมเป็นใคร ผมก็ไม่ทราบ แต่ที่แน่ๆ มีคุณชายเท่านั้นที่อ่านไม่ได้

ผมขอชี้แจงข้อกล่าวหาต่างๆ ดังนี้

1. ผมไม่เคยเรียกรับผลประโยชน์จากเรื่องนี้หรือได้ผลประโยชน์จากเรื่องนี้เลย หรือถ้าคุณชายมีหลักฐานก็สามารถเอาผิดผมได้

2. ผมไม่เคยคิดล้มเจ้าโดยเด็ดขาด ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผมมีแต่ความจงรักภักดีต่อสถาบันสูงสุดของชาติ โดยเฉพาะสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่เคยคิดล้มเจ้า คุณชายทักขิญ ยุคล ก็ปรารภเรื่องนี้ว่า ผมอย่าเข้าใจผิดท่านอ้วนไม่ได้มีเจตนากล่าวหาว่าผมล้มเจ้า และม.จ.เฉลิมศึก ยุคล ท่านก็กล่าวยืนยันไปแล้วว่าเรื่องที่ท่านอ้วนกล่าวหาผมว่าไม่เป็นความจริง

3. ส่วนเรื่องการบล็อกเพจที่คุณชายได้กล่าวถึงนั้น ผมไม่เคยบล็อกคุณชาย ทุกคนที่ไม่ได้เป็นเพื่อนผมไม่สามารถโพสต์ได้แต่อ่านได้ ผมขอยืนยันว่าผมไม่เคยบล็อกคุณชายในการเข้ามาอ่านเลย ซึ่งหลักฐานยืนยันว่าไม่เคยบล็อกคุณชายสามารถหาได้จากการขอให้ Facebook แสดง เมื่อมีคำสั่งจากหน่วยงานที่มีอำนาจ ผมไม่เคยมีพฤติกรรมบล็อกอะไรนั่น คุณชายคงคิดไปเองเพราะขนาดคนที่ผมจะฟ้องร้องในข้อหาหมิ่นประมาท เขายังมีสถานภาพเป็นเพื่อนผมอยู่เลย คุณชายไม่ต้องมาเจรจากับผมเรื่องพระบรมอัฐิหรือพระบรมโกศ คุณชายต้องไปสู้คดีในชั้นศาลเอง ผมหรือจะรังเกียจคุณชายไม่ให้เข้ามาอ่าน ผมยังแสดงความบริสุทธิ์ใจในการโพสต์ครั้งแรกของคุณชาย ด้วยการยื่นขอเป็นเพื่อน

(ปล.หม่อมอุ่นเรือน ยุคล ปัจจุบันไม่สามารถเรียกว่า “หม่อม” ได้แล้วเพราะไปมีสามีใหม่แล้วเราควรเรียกเขาว่า นางอุ่นเรือน ธรรมเสน)

การที่ผมต้องมาชี้แจงเรื่องนี้เพราะคุณชายทักขิญ ยุคล ได้ไปโพสต์จนทำให้คนเคลือบแคลงสงสัยในตัวผม ผมขอยืนยันในความบริสุทธิ์ของตัวผม เพราะผมรับหน้าที่เป็นผู้ประสานก็เพราะผมเป็นห่วงเรื่องพระบรมอัฐิและพระบรมโกศ ไม่อยากให้อยู่ในสภาพการถูกรับจำนำ การที่ผมมาทำเรื่องนี้คือมีจุดประสงค์เดียวจะทำอย่างไรให้พระบรมโกศและพระบรมอัฐิประดิษฐานในที่อันเหมาะสม เมื่อราชสกุลยุคลติดต่อเข้ามาผมก็ดีใจและทำหน้าที่ประสานงานอย่างเต็มที่

ผมขอยืนยันเจตนารมณ์ของผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าผมบริสุทธิ์ใจไม่เคยได้รับผลประโยชน์อะไร และผมไม่เคยคิดเข้าข้างใคร ผมทำเรื่องนี้ก็เพื่อพระบรมอัฐิและพระบรมโกศของในหลวงรัชกาลที่ 5 จะได้กลับคืนมาประดิษฐานในที่ที่เหมาะสมไม่ใช่ตกอยู่ในมือของสามัญชน เมื่อคุณชายทักขิญ ยุคล ได้ไปแจ้งความกับตำรวจและขอหมายศาลไปยึดของกลางที่สำนักงานเสี่ยสี่ ผมจึงจำเป็นต้องเขียนลงใน Facebook ถึงความจริง เพราะคุณชายทักขิญทำผิดข้อตกลง ก็เท่านั้นเอง

ผมไม่เคยคิดเข้าข้างเสี่ยสี่หรือเสี่ยสินเพราะผมไม่รู้จักเขาเป็นการส่วนตัว แต่ผมมองว่าคุณชายไม่ทำตามข้อตกลง คุณชายบอกว่าเป็นเพียงการเล่นละครทั้งหมด ผมรู้สึกเสียใจที่คุณชายทำแบบนี้ และม.จ.เฉลิมศึก ยุคล ท่านได้ร่วมเล่นละครเรื่องนี้ของคุณชายหรือไม่ เอาอย่างนี้ดีกว่าเพื่อเป็นหลักของความยุติธรรม ผมขอบอกคุณชายและเพื่อนๆ ในที่นี้แบบนี้

1. ผมจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก แต่ขอร้องให้คุณชายได้หยุดและไปทำเรื่องคดีต่อสู้ในชั้นศาล เห็นจะเหมาะสมกว่า

2. ผมจะไม่ขอเป็นพยานต่อฝ่ายใด เพื่อยึดมั่นคำว่าคนกลาง หรือผู้ประสานงานและผมยังเคารพคุณชายที่เคยบอกผมว่าไม่ต้องห่วงเรื่องพระบรมอัฐิและพระบรมโกศ

3. ผมจะไม่โพสต์รายงานการประชุมที่เกิดขึ้นใน Facebook เพราะไม่อยากให้เป็นประเด็นอื่นๆ ที่แตกออกไปอีก

4. ผมขอยุติบทบาทของผมในการเป็นผู้ประสานงาน และจะขอเป็นผู้บันทึกประวัติศาสตร์ของเรื่องนี้ให้ลูกหลานได้จดจำต่อไป

5. กรณีที่ใครมากล่าวหาผมเรื่องนี้ หรือคุณชายทักขิญยังไปโพสต์เรื่องนี้โดยการกล่าวหาผมอีก ผมจะยังขอใช้สิทธิชี้แจงต่อไป

ขอแสดงความนับถือเป็นอย่างสูง

เทพมนตรี ลิมปพยอม

18 ธันวาคม 2554

ล่าสุดเมื่อผมได้ปรึกษาผู้ใหญ่ทุกฝ่ายแล้วเห็นว่า เรื่องนี้ผมควรแสดงจุดยืนยุติบทบาทลง ได้เขียนข้อความไปหาหม่อมราชวงศ์ ทักขิญยุคล ดังนี้

“ผมได้ตกลงใจที่จะระงับเรื่องราวทั้งหมด และเพื่อเป็นการยุติความขัดแย้งที่จะพึงมีทั้งในปัจจุบันและในอนาคต หากผมทำอะไรให้ราชสกุลยุคลต้องเข้าใจในตัวผมผิดไป ผมต้องขอโทษด้วยครับ เพราะจุดประสงค์ของผมต้องการที่จะได้เห็นพระบรมโกศถูกไปประดิษฐานในที่อันเหมาะอันควร ผมได้ปรึกษาผู้ใหญ่หลายท่านและลงความเห็นว่า การจะตอบโต้ต่อไปคงไม่มีผลดีอะไรและจะนำไปสู่การระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท ผมก็ได้แก้ข้อกล่าวหาไปทุกประเด็นแล้ว หวังว่าคุณชายคงจะเข้าใจในเจตนาของผมในเรื่องนี้ ขอบคุณครับ”

ในท้ายที่สุดนี้ ผมจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก และผมคาดหวังว่าเรื่องนี้คงจะจบลงด้วยดีและพระบรมโกศได้ประดิษฐานในสถานะเป็นของกลางของคดีนี้ที่สถานีตำรวจดุสิต
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง