บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2555

สอดแนมการเมือง

สอดแนมการเมือง
โดย : ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย

ผู้นำการเมืองดี-ต้องไม่หาประโยชน์เพื่อตนและพวก แต่จะทำทุกสิ่งให้ชาติและประชาชนได้ประโยชน์ เพื่อชาติเจริญและคุณภาพชีวิตประชาชนดีขึ้น

ผู้นำการเมืองที่ดียังต้องคำนึงเสมอว่า ต้องสร้างความเป็นธรรมให้แก่สังคม ดังนั้น กระทรวง-ทบวง-กรม-รัฐวิสาหกิจที่สำคัญของชาติบางแห่ง ต้องไม่คิดแต่จะหากำไรหรือต้องยอมขาดทุน โดยรัฐให้การสนับสนุนช่วยเหลือทั้งการเงิน และการคลังตามความจำเป็นอย่างต่อเนื่อง

เพื่อให้บริการแก่ประชาชนและช่วยลดค่าใช้จ่าย ที่จำเป็นให้ผู้มีรายได้น้อย เช่น การขนส่งมวลชน การสาธารณสุข การศึกษา การเกษตรและอุตสาหกรรมขนาดกลางกับเล็ก การผลิตสิ่งที่จำเป็นต่อการยังชีพ การรักษาสิ่งแวดล้อม ฯลฯ

ส่วนการลงทุนต่างชาตินั้น ต้องควบคุมดูแลมิให้เข้ามาเอาเปรียบ จนทำให้ชาติและประชาชนต้องเดือดร้อน และสูญเสียทรัพยากรสำคัญทุกด้านโดยไม่คุ้มค่า โดยเฉพาะการนำสภาพแวดล้อมที่อันตราย ทั้งต่อชีวิตมนุษย์-สัตว์-ธรรมชาติมาสู่ผืนแผ่นดินอีกด้วย

หลักการที่ชาติและประชาชนมาก่อนเป็นอันดับแรกนี้ นักการเมืองที่เป็นผู้นำชาติที่ดี ต่างยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด จนเป็นคุณธรรม-จริยธรรม-ศีลธรรม เป็นธรรมแห่งการปกครอง ที่ผู้นำทุกคนทุกชาติพึงกระทำโดยมิบิดพลิ้ว

80 ปี..ที่ระบบเลือกตั้งซื้อเสียงและโกงได้ ซึ่งเป็นประชาธิปไตยจอมปลอม ได้เผยปรากฏการณ์จริงมากมายให้คนไทยรู้ว่า ยิ่งมีการเลือกตั้งสามานย์เช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ นับวันชาติไทยจะได้ผู้นำและรัฐบาล ที่คุณภาพต่ำลงและชั่วช้ามากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

โดยเฉพาะยุครัฐบาล“แม้ว”กับนอมินีครองเมือง ชาติและประชาชนต้องเผชิญการโกงชาติอย่างหนัก สังคมก็เต็มไปด้วยความชั่วและการโกหกหลอกลวง เพราะชาติมีแต่“ผี-โม่แป้ง”สารพัดชนิด ทั้งผี-นักการเมือง-นักวิชาการ-สื่อมวลชน-อันธพาลการเมือง ฯลฯ

เรียกว่า..แม้ว..เป็นศูนย์รวมแห่งความชั่ว และยังเป็นศูนย์กลางสร้างเรื่องเลวๆ ให้ชาติทุกมิติ!

หากจะร่ายยาวความชั่วแม้วให้ครบทุกมิติ คงไม่มีวันบรรยายได้ครบถ้วนจนจบกระบวนความ เพราะแม้วทำความชั่วทั้งลับและเปิดเผยมากจนเหนือจินตนาการ

แค่เรื่องโคตรโกงของ “ปตท.ทรราชน้ำมัน” ที่ทำให้แม้วกับพวกรวยพุงปลิ้นเป็นแสนล้านบาท ท่ามกลางคราบน้ำตาและทุกข์เข็ญของคนไทยทั้งชาติ แม้วกับพวกก็ไม่ควรเป็นคนไทยแล้ว

เพราะโกงกันซึ่งๆหน้าแบบเลือดเย็น เป็นขบวนการโกงทั้งรัฐบาล-รัฐสภาฯ-ข้าราชการรัฐวิสาหกิจชั่วๆเลยทีเดียว แต่ก่อนอื่นคนไทยเราต้องรู้นะว่า..น้ำมันสำคัญไฉน..?

น้ำมัน-คือ-ทองคำสีดำ-เป็นธุรกิจหลักที่ทำรายได้ ให้มหาอำนาจทั้งอเมริกาและยุโรปจนร่ำรวยมหาศาล กลุ่มมหาเศรษฐีผู้ค้าน้ำมันโลกจึงมีอิทธิพล กับทุกรัฐบาลมหาอำนาจในโลกนี้ เพราะเป็นนายทุนใหญ่ที่สนับสนุนเงิน ให้นักการเมืองและพรรคการเมืองทุนนิยมสามานย์ตะวันตก

บางครากลุ่มมหาเศรษฐีน้ำมันโลก ยังส่งคนของตนเข้าไปเป็นถึงประธานาธิบดี หรือนายกรัฐมนตรี ของประเทศอเมริกาและยุโรปบางประเทศ เพื่อทำให้ธุรกิจกลุ่มตนบรรลุเป้าหมาย ประธานาธิบดีพ่อ-ลูกตระกูล“บุช” และรองประธานาธิบดี“ดิ๊ก เชนีย์”ของ“บุช”ผู้ลูก ล้วนมีธุรกิจเกี่ยวข้องกับธุรกิจค้าน้ำมันมากมาย เช่น “ยูโนแคล”และ“เชฟรอน” รวมทั้งธุรกิจอุตสาหกรรมทหารหรือการค้าอาวุธอีกด้วย

”ไมเคิล มัวร์” ผู้สร้างหนังสารคดีเรื่อง“Fahrenheit 9/11”ระบุว่า“คาร์ไลล์ กรุ๊ป”(Carlyle Group) ที่“เจมส์ เบเกอร์”อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของ“บุช” เป็นผู้ร่วมก่อตั้งและเป็นที่ปรึกษาอาวุโส ให้กลุ่มอดีตผู้นำสหรัฐบางคนลงขันดึงผู้นำหลายประเทศมาเป็นสมาชิก เพื่ออาศัยข้อมูลอินไซเดอร์ของแต่ละประเทศ เก็งกำไรค่าเงินเข้าไปถือหุ้นปั่นราคาและทุบหุ้นในทุกภูมิภาคของโลก

“มัวร์”ระบุว่า“บุช”กับ“แม้ว”มีชื่ออยู่ด้วย แต่ไม่ถึงปี..แม้วก็ลาออกมาเป็นนายกฯคนที่ 23 ของไทย!

แสดงว่า..แม้วกับตระกูลบุชสนิทกันมาก ชนิดเคยหากินแบบไม่โปร่งใสกันมาแล้ว จึงทำให้บริษัทน้ำมัน“เชฟรอน”กับ“ยูโนแคล” มี“ตั๋วพิเศษ”เข้าออกทำเนียบฯไทยกับกัมพูชา เจอทั้งนายกฯ“ปูแดง”กับนายกฯ“ฮุนเซน”ลับและเปิดเผยได้ตลอดเวลา

ฟันธงได้เลยว่า..ไม่นาน-แม้ว-ฮุนเซน-บุชแห่ง“เชฟรอน” คงได้สวาปามบ่อน้ำมันใต้ทะเลไทย-กัมพูชาแน่ แต่ชาติไทยซวยตรงมีผู้นำชาติขายตัว จึงต้องเสียแผ่นดินบางส่วนให้“ทรราชฮุนเซน”เป็นของแถม

รัฐบาลอเมริกากับยุโรปจึงพร้อมจะทุกอย่าง เพื่อให้ได้บ่อน้ำมันมาเป็นของชาติตน เช่น รวมหัวกันใช้สื่อโฆษณาลวงโลกว่า อิรักมีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในครอบครอง เป็นอันตรายต่อสันติภาพโลก จากนั้นสหรัฐกับพันธมิตก็ยกพลบุกยึดและฆ่าผู้นำอิรักดื้อๆ หลังจากนั้นก็ให้นายทุนน้ำมันอเมริกา-ยุโรป ขนน้ำมันของอิรักไปขายเอาเงินเข้ากระเป๋ารวยกันอื้อซ่า

สงครามอิรัก..ไม่ได้ทำให้อเมริกันชนกินดีอยู่ดีขึ้นเลย ทั้งๆที่รัฐบาลสหรัฐใช้เงินภาษีคนทั้งชาติไปกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์!

ประเทศอาฟกานิสถานมีทั้งน้ำมันและก๊าซจำนวนมาก อเมริกากับยุโรปเลยอ้างเรื่อง“บิล ลาเดน”ที่เป็น“ผู้ก่อการร้ายหมายเลข1”ของตะวันตก บุกยึดประเทศนี้จากรัฐบาล“ตาลีบัน” เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 ยึดเสร็จ..รัฐบาลสหรัฐก็ส่งนาย“ฮามิต การ์ไซ” ผู้บริหารบริษัทน้ำมัน“ยูโนแคล” ให้เป็นประธานาธิบดีอัฟกานิสถานแบบหน้าด้านๆ เลย

พฤติกรรมเอาแต่ได้ของอเมริกาและยุโรปบางประเทศ ที่ใช้ข้ออ้างดูแลสันติภาพโลกบังหน้า เพื่อตักตวงประโยชน์ชาติอื่นอย่างอยุติธรรม ยังความแค้นให้กับชาติที่ถูกเอาเปรียบในโลกมากมาย

ทว่า..นั่นเป็นความรู้สึกผู้คนในประเทศที่ถูกเอาเปรียบ แต่รัฐบาลอเมริกากลับคิดตรงกันข้าม!

ยิ่งวันนี้..ศึกแย่งชิงน้ำมันโลกดุเดือดมากขึ้น เพราะ“จีน”จับมือกับ“รัสเซีย”เข้าครองบ่อน้ำมันหลายแห่งในโลกได้ และกำลังขยายการครองบ่อน้ำมันไปทั่วทุกภูมิภาคของโลกอีกด้วย

เพื่อรักษาผลประโยชน์และให้ได้บ่อน้ำมันในโลก รัฐบาลสหรัฐจึงทุ่มเงินมากเป็นอันดับ 1 ของโลก สูงถึง 711,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างกองทัพและอาวุธสงคราม ให้แข็งแกร่งทันสมัยที่สุดในโลก

แต่ด้วยนโยบายผิดพลาดต่อเนื่องในหลายมิติสำคัญ ประเทศอเมริกาที่มีฐานะเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของโลก ได้กลายสภาพเป็นลูกหนี้รายใหญ่ของโลกไปเสียแล้ว

กองทัพและอาวุธร้ายแรงเพื่อทำสงครามเหล่านี้ ได้ทำให้มหาเศรษฐีอเมริกันกลุ่มหนึ่ง รวยไม่มีที่สิ้นสุดหรือรวยไม่รู้จักพอ ในขณะที่ชาวอเมริกันผู้ยากไร้ส่วนใหญ่ ต้องเดือดร้อนแสนสาหัสกับการถูกตัดงบประมาณสวัสดิการลงอย่างมากมาย

อีกทั้งความโลภของมหาเศรษฐีไม่กี่คนเหล่านั้น ยังก่อให้เกิดสงครามการเข่นฆ่าชีวิตผู้คน ทั้งเด็ก-ผู้หญิง-คนชรา ทั้งๆที่ผู้คนเหล่านั้นไม่เคยรู้จักกัน-ไม่เคยโกรธแค้นกัน-คนละชาติพันธุ์- คนละศาสนา ฯลฯ แต่กลับต้องบาดเจ็บ-พิการ-ล้มตาย อย่างทรมานเหลือคณานับโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่

สันดานละโมบของมหาเศรษฐีโลกบางคน กับการยึดอำนาจรัฐโลกไว้ในกำมือ เพื่อสร้างความร่ำรวยบนความทุกข์ยากและความตายของผู้คน ช่างไม่ได้ต่างอะไรกับมหาเศรษฐีแม้ว และบรรดานักการเมืองชั่วในชาติไทยเลย

เพราะมหาเศรษฐี”แม้ว”นั้น..บ้าอำนาจและเงินทองชนิดไม่รู้จักพอเช่นกัน!

โดยเฉพาะ“แม้ว”ได้สร้างปรากฏการณ์สามานย์ โดยนำเอาผลประโยชน์ของชาติหรือ“องค์กรน้ำมันแห่งชาติ” ที่ตั้งขึ้นเพื่อความมั่นคงทางพลังงาน แถมยังทำกำไรให้กับชาติไทยมาโดยตลอด ไปเข้าตลาดหลักทรัพย์หรือไปเป็น”สมบัติของกลุ่มบุคคล” ด้วยข้ออ้างอันเจ้าเล่ห์ว่า จะทำให้ ปตท.มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

แต่นั่นเป็นเพียงคำต้มตุ๋นของแม้วเท่านั้น เพราะ ปตท.ที่เป็นบริษัทมหาชน กลับมุ่งแต่ขายน้ำมันในราคาแพงเกินจริงให้ประชาชนมาตลอด จนทำกำไรหลายแสนๆล้านบาท ให้ผู้บริหารปตท.และผู้ถือหุ้น ที่มีนักการเมืองชั่วไม่กี่คนร่ำรวยกันจนพุงปลิ้น

เรื่องชั่วสุดๆ ของแม้วแบบนี้ “ครูอังคณา”คนเดียว“เอาไม่อยู่”แน่ ต้องให้“ครูสนธิลิ้ม-ครูจำลอง-ครูพิภพ-ครูสมเกียรติ”กับ“คนไทยทุกคน”มาจัดการ ถึงจะ“เอาอยู่”จริงไหมครับ..?



สอดแนมการเมือง
โดย : ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย

น้ำมัน-ก๊าซ-เป็นทรัพยากรธรรมชาติมีค่าดุจ“ทองคำ” คนไทยต้องหวงแหนและใช้อย่างคุ้มค่าที่สุด!

ประเทศที่เป็นเจ้าของแหล่งน้ำมันและก๊าซ อันมีค่า มักด้อยกำลังทหารที่จะคุ้มครองทรัพยากรของชาติตน อีกทั้งยังด้อยเทคโนโลยีในการนำน้ำมันและก๊าซขึ้นมาใช้เพื่อทำคุณประโยชน์หรือขายในราคาที่ยุติธรรม เพื่อนำเงินมาพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้คนในชาติ

ประเทศเจ้าของน้ำมันและก๊าซจึงถูกประเทศมหาอำนาจตะวันตกเอาเปรียบ ด้วยการจ่ายผลตอบแทนให้ต่ำมาก จนไม่คุ้มค่ากับการต้องสูญเสียน้ำมันและก๊าซที่กลุ่มพ่อค้าน้ำมันนำไปค้าขายมาโดยตลอด

ยังดีที่วันนี้-จีน-รัสเซีย-ญี่ปุ่น-เกาหลี มีความจำเป็นต้องใช้น้ำมันและก๊าซ ธรรมชาติเพิ่มขึ้น ทำให้ประเทศเจ้าของแหล่งน้ำมัน มีช่องทางในการต่อรองซื้อ-ขายเพิ่มขึ้นโดยปริยาย

เมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก ผู้นำประเทศเจ้าของแหล่งน้ำมัน ต้องแก้ปัญหาความเดือดร้อนทุกมิติภายในชาติของตน ทำให้หลายประเทศในลาตินอเมริกา ได้ประกาศซื้อหุ้น-ยึด-แหล่งน้ำมันและก๊าซ คืนจากบริษัทลงทุนของต่างชาติกลับสู่รัฐหลายแห่ง

งานนี้..เล่นเอามหาอำนาจตะวันตก ที่ร่ำรวยกับการซื้อ-ขายน้ำมันและก๊าซ ตกใจกันใหญ่

ประเทศเวเนซุเอลา เป็นสังคมเกษตรกรรม มาพบน้ำมันในสมัยประธานาธิบดี คาร์ลอส อันเดรส เปเรซ จากชาติเกษตรกรรมจึงกลายเป็นอุตสาหกรรม ผู้คนเปลี่ยนเป็นคนงานตามโรงงานเหล่านั้น

จน..ผัก-ผลไม้-หมู-เป็ด-ไก่และผลิตภัณฑ์การเกษตรทุกชนิด ต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศทั้งหมด ทั้งๆที่เวเนซุเอลามีที่ดินมากกว่าเมืองไทยเกือบ 2 เท่า อดีตมูลค่าเกษตรกรรมในจีดีพีมีมากกว่า 60% เดี๋ยวนี้เหลือแค่ 6% เท่านั้น

เวเนซุเอลา-เจ๊งเพราะอดีตประธานาธิบดี“เปเรซ” ที่บ้าทุนนิยมและไม่มองโครงสร้างของประเทศตัวเอง เขานำนโยบายประชานิยมเข้ามาใช้เป็นครั้งแรก ทำให้ประชาชนคนส่วนใหญ่คอยว่า เมื่อไหร่รัฐบาลจะเอาอาหารและเงินมาแจกจ่าย

เมื่อ“เปเรซ”เป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 เขาต้องกู้เงินจากธนาคารโลกและไอเอ็มเอฟ จึงถูกสั่งให้ต้องแปรรูปรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่..จนตกไปเป็นของต่างชาติ ทำให้ค่าครองชีพทุกด้านแพงหูฉี่ คนจนทนไม่ไหวจนเกิดการชุมนุมประท้วง เพียง 5 วัน..ก็มีคนตายไปกว่า 2,000 คน บาดเจ็บสาหัสหลายพันคน

หลัง”ฮูโก ชาเวซ” ขึ้นเป็นประธานาธิบดี ในปี 1988 ชาเวซได้ยึดกิจการต่างชาติหลายประเภทเข้ารัฐ ไม่ว่าจะเป็นการโทรคมนาคมและการไฟฟ้า รวมทั้งรัฐบาลเวเนซุเอลาได้เข้าถือหุ้นใหญ่การผลิตน้ำมันโดยเฉพาะในเขต”โอริโนโก”ที่ผลิตน้ำมันดิบได้ถึง 600,000 บาร์เรลต่อวัน

“ชาเวซ”จึงได้รับความนิยมจากกลุ่มคนจนมากเป็นประวัติการณ์ เพราะเงินที่ได้จากการยึดแหล่งน้ำมันกลับคืนมานั้น ชาเวซมิได้นำไปเป็นผลประโยชน์ส่วนตัว เพราะเงินทั้งหมดถูกนำไปใช้ในการปฏิรูปสังคมเวเนซุเอลานั่นเอง

ประเทศโบลิเวีย เอโบ โมราเลส เป็นประธานาธิปดี เมื่อปี ค.ศ. 2006 จากนั้นไม่กี่เดือน เขาก็ยึดกิจการน้ำมันและก๊าซของต่างชาติกลับมาเป็นของรัฐ สวนทางกับประเทศที่มุ่งโอนกิจการของชาติ เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์เพื่อให้กลุ่มทุนนิยมสามานย์ไม่กี่คน ฮุบธุรกิจเหล่านั้นด้วยคำเท่ๆว่า..โลกาภิวัตน์

โมราเรส-ระบุถึงเหตุผลความยากจนของชาวโบลิเวียว่า “เป็นผลมาจากการเอาเปรียบ การฉกฉวยผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ที่โบลิเวียมีอยู่ใต้ผืนมาตุภูมิของตนเอง ของบรรดาบริษัทต่างชาติตะวันตกที่เข้ามาในประเทศนี้”

โมราเลสถือว่าเป็น"การปล้นสะดม"ประชาชนโบลิเวีย เขาจึงแก้ปัญหาด้วยการส่งกำลังทหาร เข้ายึดโรงกลั่น-โรงแปรรูป-หลุมขุดเจาะน้ำมัน รวมทั้งสิ้น 56 จุดทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2006 มาเป็นทรัพย์สินของรัฐและประชาชนโบลิเวีย

โมราเรสได้เปิดการเจรจาและทำสัญญาใหม่ โดยให้บริษัทต่างชาติถือหลัก"การเคารพในเกียรติภูมิของชาวโบลิเวีย" ด้วยการจ่ายผลตอบแทนจากการใช้ประโยชน์ทรัพยากร ให้ประชาชนเจ้าของประเทศอย่างเหมาะสมและยุติธรรม

ประเทศอาร์เจนตินา ประธานาธิบดี“คริสตินา เฟอร์นันเดซ เดอ เคิร์ชเนอร์” ที่ชนะการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2012 ได้ประกาศยึดกิจการของ YPF หรือบริษัทน้ำมันอันดับ 1 ในอาร์เจนตินาที่เป็นของสเปน ที่เข้าถือครองธุรกิจนี้ผ่านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ..กลับคืนสู่รัฐอีกครั้ง

งานนี้..ชาวอาร์เจนตินาทั้งประเทศได้พร้อมใจกันสนับสนุน ให้รัฐบาลของตนยึดสิ่งที่ไม่ใช่แค่ธุรกิจ หากแต่เป็นการยึด“ความมั่นคงของชาติอาร์เจนตินา”กลับคืนมานั่นเอง

แม้จะถูกค้านอย่างหนัก แต่รัฐบาลอาร์เจนตินายังคงยืนยันความชอบธรรม โดยชี้ให้เห็นว่า

YPF ได้ผลิตน้ำมันลดลง จนปี 2011 รัฐบาลอาเจนตินาต้องสั่งนำเข้า น้ำมันและก๊าซฯเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว เพื่อให้เพียงพอกับการใช้ในประเทศ และคาดว่าต้องนำเข้าเพิ่มขึ้นอีก 3 เท่าตัวภายในปลายปีนี้อีกด้วย

การต้องนำเข้าพลังงานจึงเป็นสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้ตัวเลขการค้าของอาร์เจนตินา เกินดุลลดลงถึง 11% เมื่อปีที่แล้วอีกด้วย เพราะน้ำมันและก๊าซฯถือเป็นสินค้าหลัก ที่สร้างรายได้เพียงหนึ่งเดียวของประเทศ นับตั้งแต่อาร์เจนตินาตกอยู่ในสภาวะล้มละลาย จากการผิดนัดชำระหนี้..เมื่อปี 2001

เหลือเชื่อ..เจ้าของแหล่งน้ำมันส่งออกอันดับ 27 ของโลก แต่ประชาชนกลับขาดแคลนน้ำมันใช้กันอย่างเพียงพอ ทั้งยังต้องซื้อน้ำมันราคาแพงจากต่างประเทศมาใช้..เฮ้อ..เหมือนเมืองไทยเลยเนอะ

ชั่วช้าสามานย์แบบนี้แหละ..ที่ทำให้ผู้นำอาเจนตินา จำต้องยึดกิจการคืนจากมหาเศรษฐีน้ำมันตะวันตก ที่โลภมากชนิดไม่รู้จักคำว่าพอ..กลับคืนสู่รัฐ!

รายงานจากบริษัทที่ปรึกษาความมั่นคงทางพลังงาน “พีเอฟซี เอ็นเนอจี”พบว่า ในบรรดาประเทศที่มีน้ำมันและก๊าซฯทั่วโลกนั้น มีเพียง 7% เท่านั้น ที่ยอมปล่อยให้บริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนได้อย่างเสรี

ขณะที่กิจการน้ำมันทั่วโลกถึง 65% ล้วนอยู่ในรูปแบบบริษัทหรือกิจการของรัฐทั้งสิ้น โดยแทบจะไม่มีการปล่อยให้ต่างชาติ เข้ามาลงทุนในทรัพยากรพลังงานธรรมชาติ และยังมีแนวโน้มที่อีกหลายประเทศ อาทิ เม็กซิโก อิหร่าน อิรัก คูเวต และรัสเซีย จะจำกัดการลงทุนของต่างชาติอีกด้วย

เห็นไหมว่า..หากชาติใดในโลก โชคดีมีทรัพยากรน้ำมันและก๊าซ ทุกชาติจะหวงแหนและจะใช้มันอย่างคุ้มค่า จะไม่ยอมให้ต่างชาติมาเอาเปรียบ จะไม่ยอมให้คนในชาติเดือดร้อน เพราะน้ำมันและก๊าซ เป็นต้นทุนสำคัญ ทั้งการขนส่ง-การคมนาคม-การไฟฟ้า-การผลิตอีกสารพัด ฯลฯ

น้ำมันและก๊าซ จึงเป็นทรัพยากรสำคัญยิ่ง ที่เกี่ยวพันกับความมั่นคงและไม่มั่นคงของทุกชาติ!

สำหรับชาติไทย..ที่นักการเมืองชั่วโดยส่วนใหญ่ อีกทั้งผู้นำชาติก็ไร้สมอง และไม่รักชาติและประชาชนคนไทยด้วยใจจริง ร่วมกับอดีตผู้นำชาติขี้โกงและหนีคุกคนหนึ่ง ที่แอบมีผลประโยชน์ในเรื่องน้ำมันและก๊าซ ได้กระทำตน“เป็นไส้ศึก”ให้บริษัทน้ำมันต่างชาติ จับมือกับบริษัทน้ำมันปตท.ของไทย ที่เกิดขึ้นจากเงินภาษีของคนไทยทั้งชาติ ทำการ“ปล้นเงิน”คนไทยทั้งชาติอย่างเลือดเย็นมานานแล้ว







แหม..เลยเข้าสูตร“ปตท.ทรราชน้ำมัน”บน“น้ำตาคนไทย” ซึ่งต้องอ่านในตอนต่อไปครับ!






สอดแนมการเมือง
โดย : ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย

ก่อนอื่น..ผมอยากพาท่านผู้อ่านมารู้จัก การเกิด ปตท.หน่วยงานพลังงานของชาติ ก่อนจะมาเป็นบริษัทมหาชนในวันนี้ว่า..มีที่มาที่ไปอย่างไร?

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้สร้างถนน ไฟฟ้า รถราง ต่อมาใน พ.ศ.2435 บริษัทรอยัล-ดัทช์ ปิโตรเลียม ได้เข้ามาจำหน่ายน้ำมันก๊าด และอีก 2 ปีต่อมา บริษัทสแตนดาร์ด ออยล์ ก็เข้ามาค้าขายน้ำมันเป็นรายใหญ่ที่สุดในไทย

พ.ศ.2439 พระยาสุรศักดิ์มนตรี เสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการ ได้นำรถคันแรกมาวิ่งบนถนน 6 ปีต่อมา บริษัท“รถเมล์นายเลิศ”หรือ“รถเมล์ขาว” และบริษัทต่างชาติได้นำน้ำมันเบนซินมาจำหน่าย

พ.ศ.2461 ชาวอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ได้พบน้ำมันผุดขึ้นบนผิวดิน ลือกันว่าทารักษาโรคได้ รู้ถึงเจ้าหลวงเมืองเชียงใหม่ จึงสั่งให้ขุดบ่อกักน้ำมันไว้ เรียกบ่อน้ำมันนี้ว่า”บ่อเจ้าหลวง”หรือ “บ่อหลวง”

พ.ศ.2464-2465 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ผู้บัญชาการกรมรถไฟหลวง ทราบเรื่อง..จึงว่าจ้าง นายวอลเลซ ลี (Mr. Wallace Lee) นักธรณีวิทยาชาวอเมริกัน ให้สำรวจน้ำมันและถ่านหิน เพื่อนำขึ้นมาใช้เป็นเชื้อเพลิงรถไฟเครื่องจักรไอน้ำ

พ.ศ.2476 กระทรวงกลาโหมได้ตั้ง“แผนกเชื้อเพลิง” เพื่อจัดการน้ำมันเบนซิน น้ำมันก๊าด และ น้ำมันหล่อลื่นใช้ในประเทศ อีก 4 ปีต่อมาได้เปลี่ยนเป็น“กรมเชื้อเพลิง” มีการสร้างคลังเก็บน้ำมันที่ช่องนนทรี เพื่อขจัดปัญหาน้ำมันขาดแคลนช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะต่างชาติหยุดค้าน้ำมันในไทย หลังสงครามโลกยุติลง ไทยต้องยุบกรมเชื้อเพลิง ขายกิจการและทรัพย์สินให้บริษัท รอยัล-ดัทช์ฯ

พ.ศ.2500 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งให้ยกเลิกข้อผูกพันที่ไทยเสียเปรียบต่อต่างชาติ ที่ห้ามรัฐบาลไทยจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมแก่ประชาชน อีกทั้งในวันที่ 27 มกราคม 2503 ได้จัดตั้ง”องค์การเชื้อเพลิง”ใช้เครื่องหมายตรา“สามทหาร” ทำหน้าที่จัดหาและกลั่นน้ำมัน รวมทั้งเปิดสถานีหรือปั๊มขายน้ำมันด้วย

พ.ศ.2516-2517 โลกเกิดวิกฤตการณ์น้ำมันครั้งที่ 1 ไทยได้รับผลกระทบนี้อย่างหนัก จึงเริ่มสำรวจหาแหล่งพลังงานปิโตรเลียมในประเทศ จน พ.ศ.2520 รัฐบาลไทยจึงตั้ง”องค์การก๊าซธรรมชาติแห่งประเทศไทย” (อธก.) เพื่อพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทย

29 ธันวาคม 2520 รัฐบาลได้ตรา พ.ร.บ.การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย มารองรับหน่วยงานเป็นครั้งแรก 12 กันยายน 2524 ได้มีการนำก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบ จากอ่าวไทยมาใช้เป็นครั้งแรก ในรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ หรือ”ยุคโชติช่วงชัชวาล” ปั๊มน้ำมัน“สามทหาร”ก็หายไป และเกิดตรา“ปตท.”มาแทนที่..จนทุกวันนี้..

การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ช่วงแรกใช้สัญลักษณ์อักษรย่อ ปตท.และPPT ต่อมา นายทองฉัตร หงส์ลดารมภ์ ผู้ว่าการ ปตท.ได้ประกาศให้ใช้ตราสัญลักษณ์ ปตท.ใหม่ในปี 2523

พ.ศ.2521-2525 ปตท.มีบทบาทสำคัญช่วยแก้วิกฤตน้ำมันโลกครั้งที่ 2 และมีการวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติเส้นแรกของประเทศไทย จาก“แหล่งก๊าซเอราวัณ”ในอ่าวไทยมา จ.ระยอง และเริ่มใช้ก๊าซธรรมชาติผลิตไฟฟ้าที่โรงบางปะกง

พ.ศ.2526-2530 มีการสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 1 จ.ระยอง สร้างคลังก๊าซแอลพีจี 6 แห่ง และคลังสำรองผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี “เขาบ่อยา” จ.ชลบุรี และร่วมทุนจัดตั้งบริษัทปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (ปตท.สผ.) และ บริษัท ปิโตรเคมีแห่งชาติ จำกัด

พ.ศ.2531-2535 ปตท.เป็นผู้นำจำหน่ายน้ำมันเบนซินพิเศษ “พีทีที ไฮอ็อกเทน ไร้สารตะกั่ว” เป็นรายแรกของประเทศ และเปิดโรงแยกก๊าซธรรมชาติ หน่วยที่ 2

นั่นเป็นบทบาทในอดีตที่เป็นประโยชน์ของ ปตท.ในฐานะรัฐวิสาหกิจสำคัญของชาติ ที่มีความสำคัญยิ่งต่อความมั่นคงทางพลังงาน และความมั่นคงของชาติไทย อันเป็นวัตถุประสงค์หลักของการเกิด ปตท.บนแผ่นดินไทย มิใช่ให้ปตท.เกิดมาเพื่อค้ากำไรเกินควร กับประชาชนคนไทยอย่างแน่นอน..จริงไหม?

พ.ศ.2544 รัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร เริ่มแปลงสภาพ ปตท.ให้กลายพันธุ์ จากรัฐวิสาหกิจที่ทำกำไรมาตลอด และคนไทยทั้งชาติเป็นเจ้าของ100% แปรรูปเป็นบริษัทมหาชน ทำให้ ปตท.ต้องเสียหุ้นถึง 49% ให้กับบุคคลกลุ่มหนึ่งและนักการเมืองเพียงไม่กี่ตระกูล ทั้งๆ ที่ ปตท.ไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุน เพราะปีนั้น ปตท.ก็ได้กำไรถึง 20,000 ล้านบาท!

หลัง ปตท.รับโอนกิจการสิทธิ หนี้ สินทรัพย์ พนักงาน ทั้งหมด ภายใต้ พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2542 ด้วยทุนจดทะเบียน 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 2,000 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท โดยกระทรวงการคลังถือหุ้นแทนคนไทยที่เหลือแค่ 51 % เท่านั้น

ส่วนการขายหุ้นของปตท.นั้น ถูกแจกจ่ายไปอย่างไม่โปร่งใส นั่นคือ หุ้นจำนวน 800 ล้านหุ้นนั้น (เพิ่มทุน 750 ล้านหุ้น บวก 50 ล้านหุ้นของกระทรวงการคลัง) คณะกรรมการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ปตท.มีมติให้

1.ขายหุ้นราคาพาร์(10 บาทต่อหุ้น)ให้ผู้มีอุปการคุณรวม 25 ล้านหุ้น ต่ำกว่าราคาเปิดจอง 31-35 บาทต่อหุ้น(ต่ำกว่าราคาแท้จริง)ซึ่งไม่มีสิทธิจะกระทำได้ และไม่เปิดเผยผุ้ได้รับหุ้นอุปการคุณใดๆ อีกด้วย

2.ขายให้แก่นักลงทุนประเภทสถาบันไทย 235 ล้านหุ้น โดยไม่แถลงวิธีการคัดเลือกและประกาศให้สาธารณชนรู้ เพื่อต้องการให้ครอบงำและแย่งชิงหุ้นสามัญ ปตท.อีกทางหนึ่ง

3.ขายให้นิติบุคคลต่างประเทศ 320 ล้านหุ้น ซึ่งอยู่นอกอำนาจศาลไทย และเจ้าพนักงานไทยจะเข้าตรวจสอบ และแทบทั้งหมดเป็นตัวแทนเชิด(Norminee) จึงมีบุคคลในรัฐบาลบางคน มีผลประโยชน์ทับซ้อน ด้วยการตั้งกองทุนส่วนบุคคลเข้ามาซื้อหุ้น ปตท.

4.ขายแก่นักลงทุนรายย่อยเพียง 220 ล้านหุ้น แต่ให้คนในปตท.แย่งชิงสิทธิการจองอย่างเท่าเทียม ก่อนเวลาประกาศรับจอง(09.30 น.) พบ 863 ราย ไม่ทราบจำนวนหุ้น อีกทั้งมีการจองซื้อมากกว่า1 ใบจอง พบ 428 ราย เป็นหุ้นจำนวน 67,357,600 หุ้น ขัดกับหนังสือชี้ชวนโดย ปตท. และคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ช่วยปิดบังซ่อนเร้นข้อมูล

ต่อมามีการตรวจสอบโดย“กลต.”ในเรื่องนี้อย่างชัดเจนว่า การประเมินความต้องการจองซื้อหุ้น ปตท.ต่ำกว่าความเป็นจริง จนหลายคนตั้งคำถามว่า จงใจ-ตั้งใจ-ประเมินความต้องการให้ต่ำหรือเปล่า? การจัดสรรหุ้นให้ผู้จองซื้อรายย่อย ได้ทำตามหลักการหรือไม่?

ปกติผู้จองซื้อก่อน-จ่ายเงินก่อน มีสิทธิได้รับจัดสรรก่อน แต่มีการตั้งตัวแทนจำหน่ายหุ้นเป็นธนาคารพาณิชย์ 5 แห่ง จึงมีความเป็นไปได้สูง ที่ผู้ลงทุนเป็นรายแรกหรือคิวที่ 1 ของบาง Terminal อาจไม่สามารถจองซื้อหุ้นได้

ยิ่งการจองซื้อหุ้นสิ้นสุดลงชั่วพริบตา ทำให้ผู้จองซื้อไม่เชื่อมั่นในวิธีการจัดสรรว่า ผู้จองซื้อทุกรายจะได้รับความเป็นธรรม

15 พฤศจิกายน 2544 รัฐบาลทักษิณเปิดให้คนทั่วไป จองหุ้นปตท.เป็นวันแรกจนเกลี้ยงชั่วพริบตา! 6 ธันวาคม 2544 หุ้นปตท.ทำการซื้อขายวันแรก ก็ขายหมดในวันแรกชั่วพริบตาอีก!! 19 กันยายน 2549 ราคาหุ้นของ ปตท.พุ่งขึ้นถึง 218 บาทต่อหุ้น!!!

ผลกำไรสุทธิอันมหาศาลของ ปตท. นับตั้งแต่การแปรรูปตลอดระยะเวลา 10 ปี รวมทั้งสิ้น 774,167 ล้านบาท ปตท.ต้องแบ่งกำไรให้ผู้ลงทุนเอกชน ไม่ต่ำกว่า 296,000 ล้านบาท ขณะที่ ปตท.ได้เงินจากการระดมทุนและเพิ่มทุนเพียงไม่ถึง 28,277 ล้านบาท

จนมาถึงปี 2554 ปตท.ได้จ่ายผลตอบแทนให้เอกชน 49% สูงถึง 61,361 ล้านบาท หรือเกือบ 120% จากเงินลงทุนผู้ถือหุ้นเอกชน 28,277 ล้านบาท

เฮ้อ..นี่แหละผลงานอัปยศ“ปตท.ทรราชน้ำมัน” ซึ่งยังมีเรื่องไม่โปร่งใสให้เปิดโปงอีกมากมายครับ!


สอดแนมการเมือง
โดย : ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย

คำโกหกจะถูกปกปิดได้...ตราบเท่าที่คนโกหกยังไม่ได้กล่าวคำพูดใดๆออกมา!

แต่ปตท.เป็นองค์กรในตลาดหลักทรัพย์ ที่พูดอย่างหนึ่ง..แต่ทำอีกอย่างหนึ่ง โดยแสดงผ่านการโฆษณาประชาสัมพันธ์ ที่พูดเรื่องจริงบ้าง-ไม่จริงบ้าง รวมทั้งพูดเรื่องไม่จริงออกมามากมายในแต่ละปี

แน่นอน..จะพูดโฆษณาโกหกสวยหรูอย่างไร ก็ไม่เท่ากับตัวเลขที่ปตท.ต้องเสนอ ผลประกอบการ ทั้งกลางปีและปลายปี ต่อตลาดหลักทรัพย์หรือผู้ถือหุ้นให้ทราบว่า ปตท.กำไร-ขาดทุนเท่าใด?

ยกตัวอย่าง 7 ปี..ปตท.กำไรมาโดยตลอดเท่าไหร่? กลุ่มเอกชนได้ส่วนแบ่งจาก ปตท.เท่าไหร่?

ปี 2544 ปตท.กำไร 21,612 ล้านบาท แบ่งกำไรให้ผู้ถือหุ้นเอกชน 10,589.88 ล้านบาท

ปี 2545 ปตท.กำไร 24,485 ล้านบาท แบ่งกำไรให้ผู้ถือหุ้นเอกชน 11,997.65 ล้านบาท

ปี 2546 ปตท.กำไร 39,401 ล้านบาท แบ่งกำไรให้ผู้ถือหุ้นเอกชน 19,306.49 ล้านบาท

ปี 2547 ปตท.กำไร 62,666 ล้านบาท แบ่งกำไรให้ผู้ถือหุ้นเอกชน 30,706.34 ล้านบาท

ปี 2548 ปตท.กำไร 87,843 ล้านบาท แบ่งกำไรให้ผู้ถือหุ้นเอกชน 43,043.07 ล้านบาท

ปี 2549 ปตท.กำไร 95,261 ล้านบาท แบ่งกำไรให้ผู้ถือหุ้นเอกชน 46,677.89 ล้านบาท

ปี 2550 ปตท.กำไร 110,333 ล้านบาท แบ่งกำไรให้ผู้ถือหุ้นเอกชน 54,063.17 ล้านบาท

รวมปตท.กำไร 441,601 ล้านบาท แบ่งกำไรให้ผู้ถือหุ้นเอกชน 216,384.49 ล้านบาท!

เห็นไหมว่า..หาก ปตท.เป็นบริษัทของคนไทยดังเดิม 100% เงิน 216,384.49 ล้านบาท ก็ไม่ต้องไปแบ่งปันให้นักการเมืองชั่วเหล่านั้นสวาปาม เงินมหาศาลเหล่านั้น..นำมาช่วยคนไทยได้มากมายเลย..จริงไหม?

ครานี้มาดูหุ้น ปตท.ว่า..ทำกำไรให้ผู้ถือหุ้นเอกชนมากน้อยแค่ไหน?

การปั่นหุ้น ปตท.รอบแรกจาก 35 บาท พุ่งไปที่ 190 บาท กำไรช่วงนี้ 155 บาทต่อหุ้น การปั่นหุ้นปตท.รอบสองจาก 150 บาท พุ่งไปถึง 270 บาท กำไรห้วงนี้ 120 บาทต่อหุ้น การปั่นหุ้นปตท.รอบสามจาก 200 บาท พุ่งไปถึง 440 บาท กำไรห้วงนี้ 240 บาทต่อหุ้น

ดังนั้น ในห้วงเวลา 5 ปี หุ้น ปตท.ทำกำไรให้ผู้ถือหุ้นถึง 515 บาทต่อหุ้น!

คนไทยบางคนยังไม่รู้ว่า น้ำมันสำเร็จรูปที่ไทยผลิตได้ราว 527,000 บาเรลต่อวัน ส่วนใหญ่ถูกนำออกไปขายให้ต่างประเทศ แต่ไทยกลับต้องสั่งน้ำมันเกรดเลวกว่ามาให้คนไทยใช้

ไทยเป็นผู้ส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติไปขายต่างประเทศ มากกว่าบางประเทศในกลุ่มผู้ค้าน้ำมันโอเปกอีกด้วย มาดูซิว่า..ส่งอะไรไปขายบ้าง?

ปี 2550 ไทยส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป 4,097 ล้านดอลลาร์สหรัฐ น้ำมันดิบ 1,188 ล้านดอลลาร์ฯ ก๊าซปิโตรเลียมเหลว 179 ล้านดอลลาร์ฯ รวม 5,434 ล้านดอลลาร์ฯ

ปี 2551 ไทยส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป 7,913 ล้านดอลลาร์สหรัฐ น้ำมันดิบ 1,742 ล้านดอลลาร์ฯ ก๊าซปิโตรเลียมเหลว 18 ล้านดอลลาร์ฯ รวม 9,673 ล้านดอลลาร์ฯ

ในขณะที่การส่งออกยางพารา ในปี 2550 เป็นเงิน 5,640 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในปี 2551เป็นเงิน 6,792 ล้านดอลลาร์ฯ

ส่วนการส่งออกข้าวของชาติไทยนั้น ปี 2550 เป็นเงิน 3,467 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปี 255 เป็นเงิน 6,204 ล้านดอลลาร์ฯ

ประเทศส่งออกน้ำมันให้โลกอย่าง“เอกวาดอร์” ปี 2549 ส่งออกน้ำมัน 7.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 7.7 ล้านดอลลาร์ฯ ในปี 2550 และ 10.2 พันล้านดอลลาร์ฯ ในปี 2551

ขณะที่ประเทศไทยส่งออกน้ำมัน 5.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2549 และ 5.4 พันล้านดอลลาร์ฯ ในปี 2550 และ 9.7 พันล้านดอลลาร์ฯ ในปี 2551

เห็นไหมว่า..ไทยส่งออกสินค้าด้านปิโตรเลียม มากกว่ายางพาราและข้าวแล้ว แต่ปตท.ทำเป็นเงียบฉี่..ไม่โฆษณาประชาสัมพันธ์ ให้คนไทยทั้งชาติได้รู้ได้ภูมิใจ เพราะปตท.แอบเล่นกลสวาปามกำไรหลายต่อจากการเอาน้ำมันดีส่วน ใหญ่ของไทยไปขายให้ต่างชาติ แล้วทะลึ่งไปซื้อน้ำมันเลว-ราคาสูง จากต่างประเทศมากลั่นให้คนไทยซื้อใช้ในราคาโคตรแพงไงล่ะ

การหากินแบบเห็นแก่ตัวและเจ้าเล่ห์มีหลายวิธีการ เช่น ตั้งสูตรสวาปามอย่างชั่วช้า ดังนี้

น้ำมันกลั่นสำเร็จรูปในประเทศไทย+ค่าขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปจาก สิงคโปร์+ค่าสูญเสียระหว่างขนส่ง+ค่าปรับปรุงมาตรฐานสิงคโปร์มาเป็นมาตรฐานไทย+ค่าประกันภัยจากสิงคโปร์มาไทย=ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในไทย

แต่รายการทั้งหมดเบื้องต้นมิได้เกิดขึ้นจริง เพราะเป็นน้ำมันดิบในประเทศไทย เข้าโรงกลั่นของไทยซึ่งเป็นมาตรฐานไทยอยู่แล้ว

ค่าใช้จ่ายเทียมที่ปั้นแต่งนี้ประมาณ 2 บาทต่อลิตร แต่ละปีคนไทยใช้น้ำมันสำเร็จรูปประมาณ 4 หมื่นล้านลิตร คนไทยจึงต้องจ่ายเงินถึง 8 หมื่นล้านบาทต่อปี หากินกันอย่างนี้มาหลายสิบปี ใครฟาดเงินนี้ไปรับประทานจนพุงกาง..หือ..?

ปตท.กำหนดวิสัยทัศน์องค์กรว่า “เป็นบริษัทพลังงานของไทย ประกอบธุรกิจก๊าซธรรมชาติและน้ำมันครบวงจร และธุรกิจปิโตรเคมีที่เน้นการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นหลัก รวมทั้งธุรกิจต่อเนื่อง มุ่งไปสู่องค์กรแห่งความเป็นเลิศ (High Performance Organization) และเป็นผู้นำในภูมิภาค ด้วยความรับผิดชอบ เป็นธรรม และให้ผลประโยชน์ตอบแทนที่เหมาะสมต่อผู้มีส่วนได้เสีย”

วันนี้ ปตท.ได้พิสูจน์ตัวองค์กรแล้วว่า ส่วนได้ส่วนเสียที่ปตท.คำนึงถึงนั้น มิใช่ผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ในชาติ หากแต่เป็นผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นที่เป็นคนส่วนน้อย

ดังนั้น คนไทยทั้งชาติที่เป็นทั้งผู้ซื้อน้ำมัน และเป็นผู้จ่ายเงินสร้างปตท.ให้เกิดขึ้นในชาติไทย แต่กลับได้รับการสนองตอบจาก ปตท. ด้วยการต้องซื้อน้ำมันในราคาที่แพงเกินจริงมาโดยตลอด ชนิดที่ปตท.ไม่เคยมีน้ำใจเอื้ออาทรต่อผู้ใช้และผู้ให้กำเนิดตนเลย

แถมน้ำมันที่ราคาแพงเกินจริงยังเป็นต้นเหตุสำคัญ ที่ทำให้สินค้าราคาแพงตามไปด้วย นั่นเท่ากับคนไทยโดน ปตท.กระทืบซ้ำสอง เพียงเพื่อปตท.จะทำกำไรสูงสุดให้ผู้ถือหุ้นไม่กี่คน และผู้บริหาร ปตท.ได้เงินปันผลเข้ากระเป๋า โดย ปตท.ไม่แยแสต่อทุกข์เข็ญคนไทยทั้งชาติแม้แต่น้อย

ต้องถือว่า..ปตท.เป็นองค์กรที่เป็นเลิศในค้ากำไรเกินควร เป็นเลิศในการเนรคุณ เป็นเลิศในความอำมหิตอย่างยิ่ง ต่อคนไทยที่เป็นทั้งลูกค้าผู้ใช้น้ำมัน และยังเป็นผู้ให้กำเนิด ปตท.อีกด้วย..จริงไหม?

วงการน้ำมันระดับโลกและระดับชาติ จึงเต็มไปด้วยผลประโยชน์มหาศาลที่ไม่โปร่งใส ต้องจ่ายเงินกันทั้งบนโต๊ะและใต้โต๊ะ ทำให้บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของโลก และบริษัทน้ำมันระดับชาติต่างๆ ต้องมีหรือต้องเปิดบัญชีลับๆบนเกาะฟอกเงินดังๆ ทั้งเกาะเคย์แมน-เกาะเวอร์จิ้น เพื่อจ่ายเงินค่าคอมมิชชั่น และฟอกเงินสกปรกให้กลายเป็นเงิน“สะอาด”ให้กับคนขี้โกง

ประเทศข้างบ้านไทยวันนี้อย่างเกาะสิงคโปร์ ก็กลายเป็นแหล่งที่นักการเมืองไทย ชอบขนเงินสกปรกไปฟอกและซุกซ่อนไว้เช่นกัน ปตท.เองก็มีบัญชีทำนองนี้ตามเกาะฟอกเงินต่างๆ มิใช่หรือ?

หนังสือเดินทางของนักการเมืองไทยบางคน จึงมีแต่ตารางเดินทางเข้าออกเกาะสกปรกเหล่านี้ จนประเทศอเมริกาและบางประเทศในยุโรป ไม่ให้นักการเมืองชั่วเหล่านี้เข้าประเทศ เพราะมีกฎหมายห้ามคนทำธุรกิจที่ไม่โปร่งใส หรือนำเงินไม่มีที่ไป-ที่มาไปลงทุนในประเทศของเขา

วันนี้..คนหน้าเหลี่ยมที่ขี้โกงคนนั้น ยังคงโดนประเทศอังกฤษอายัดเงินราว 140,000 ล้านบาทที่ขนไปลงทุนในสโมสรฟุตบอลและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพราะบอกที่มา-ที่ไปของเงินไม่ได้ไงล่ะครับ

เมื่อ ปตท.มีพฤติกรรมมากมายที่ไม่โปร่งใส การใช้สื่อทั้งในและต่างประเทศ มาโฆษณาประชาสัมพันธ์ลบภาพร้าย เพื่อผลักให้หุ้น ปตท.ในตลาดราคาดี และหลอกผู้คนให้หลงในภาพดีอันจอมปลอม จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่ในแต่ละปี ปตท.ต้องทุ่มเงินจำนวนมหาศาลไปกับโกหกนี้

การสร้างภาพพจน์ดีอันจอมปลอมของปตท.ทรราชน้ำมัน มี“ไพร่แดงบางตัว..เอ๊ย..บางคน”เข้าไปแทะเล็มเงินปตท.เข้ากระเป๋าด้วยครับ!



สอดแนมการเมือง
โดย : ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย

กำไรจากราคาหุ้นที่ปั่นขึ้นและทุบลงครั้งแล้วครั้งเล่า รวมทั้งการได้เงินใต้โต๊ะของผู้เกี่ยวข้องในธุรกิจซื้อ-ขายน้ำมันคือ แหล่งผลประโยชน์มหาศาลมานานแล้ว

ธุรกิจค้าขายน้ำมันระดับโลกและระดับชาติ จึงเกี่ยวพันทั้งเงินขาวสะอาด-เงินสีเทาที่ไม่โปร่งใส-เงินสีดำแห่งการคอร์รัปชั่น แม้แต่เอ็นจีโอ-สื่อมวลชน-นักการเมืองบางคน ยังแอบไปรับงานพิเศษหรือรับเงินเดือนลับๆ กับบรรดาบริษัทน้ำมันหรือบริษัทตัวแทนด้วยซ้ำไป

กล่าวได้ว่า..ธุรกิจน้ำมันที่มีกำไรมหาศาลนี้ จะมีวิธีมากมายทั้งเปิดเผยและลับ ในการแจกจ่ายเงิน ทองให้ผู้คนที่เกี่ยวข้อง ได้เงินก้อนเล็กก้อนใหญ่ หรือมีรายได้ประจำเดือนที่สูงเสมอมา

เมื่อเป็นธุรกิจต้องจ่ายเงินทั้งมืดและสว่าง บริษัทน้ำมันยิ่งต้องใช้เงิน มากมาย เพื่อสร้างเครือข่ายในกลุ่มเอ็นจีโอ ข้าราชการ นักการเมืองระดับชาติและท้องถิ่น รวมทั้งสื่อมวลชนทุกแขนง เพื่อสร้างภาพพจน์ ที่เป็นบวก-ปกปิดภาพจริงที่เป็นลบตลอดเวลา

ข้าราชการไทยที่เห็นตัวอย่างชัดแจ้งว่า เอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทน้ำมันต่างชาติ และ ปตท.แบบสุดๆ โดยไม่รักษาผลประโยชน์ชาติและประชาชน ก็คือ การคิดค่าภาคหลวงในอัตราที่ต่ำเรี่ยดิน ซึ่งเท่ากับไปเพิ่มกำไรทันทีให้กับบริษัทน้ำมันเอกชนโดยอัตโนมัติ

Energy Information Administation(EIA) หน่วยงานของสหรัฐฯ ได้จัดไทยให้ติดกลุ่ม 30 ประเทศผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติ (จาก 224 ประเทศ) ในปี 2551 ปรากฏว่า..ไทยอยู่อันดับที่ 27 ที่ผลิตได้เกิน 1ล้าน
ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อปี สูงกว่าสมาชิกโอเปกหลายประเทศ

แต่ส่วนแบ่งรายได้เข้ารัฐไทยนั้นต่ำมาก เดิมทีประเทศไทยเก็บค่าภาคหลวงปิโตรเลียม 12.5% แต่ได้แก้ไขจนเหลือเพียง 5-15% ทำให้ผลตอบแทนเข้ารัฐลดลง..

โบลิเวีย-ผู้ผลิตก๊าซอันดับ 34 ของโลก เก็บค่าภาคหลวง 82% จากยอดผลิตก๊าซธรรมชาติ อินโดนีเซีย-รับส่วนแบ่งจากน้ำมันดิบ 85% และส่วนแบ่งจากก๊าซธรรมชาติ 70% คาซัคสถาน-เก็บในอัตรา 80% ของปริมาณน้ำมันที่ขุดเจาะได้ อาบูดาบี-แบ่งกำไรให้บริษัทขุดเจาะก๊าซและน้ำมันไม่เกิน $1 ต่อบาร์เรล รัสเซีย-90% ของรายได้ในส่วนที่ราคาน้ำมันสูงกว่า $25 ต่อบาร์เรล

ประเทศไทย-นับแต่ปี 2528–2552 (รวม24 ปี)รัฐได้รับส่วนแบ่งผลผลิตปิโตรเลียมร้อยละ100 จากค่าภาคหลวง(อัตราระหว่างร้อยละ5-15) เพียงร้อยละ12.54 ขณะที่บริษัทค้าขายน้ำมันเอกชน มีรายได้ถึงร้อยละ 87.46 ส่วนรายได้จากภาษีเงินได้ (รัฐไทยเก็บอัตราร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิ) ปี 2528 – 2552 (รวม24 ปี) รัฐไทยเก็บภาษีเงินได้จากผลผลิตปิโตรเลียมในประเทศเพียง 429,212.28 ล้านบาทเท่านั้น

สรุปแล้วข้าราชการและนักการเมืองไทย ที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรก๊าซฯและน้ำมัน ปล่อยให้บริษัทน้ำมันทั้งในและต่างประเทศ สวาปามผลประโยชน์ของชาติและประชาชน มากมายมหาศาลอย่างอยุติธรรมมาตลอด ทำให้รัฐมีรายได้จากค่าภาคหลวงและภาษีเงินได้ เพียงร้อยละ 28.87 เท่านั้น ซึ่งถือว่าต่ำมาก..เมื่อเทียบกับประเทศที่มีทรัพยากรปิโตรเลียมในโลกนี้

ส่วนการสร้างภาพลักษณ์กำมะลอ ทั้งเพื่อปั่นหุ้นและยกความน่าเชื่อถือให้สูงขึ้น รวมทั้งยังเพื่อปกปิดความจริงอันชั่วร้ายให้มิดชิดนั้น ปตท.ต้องใช้เงินมหาศาลไปกับการโฆษณาชวนเชื่อ

ตัวเลขงบ Media Spending ของปตท.ในธุรกิจ Oil & Lubricants และ Petroleum โดย “นีลเส็น” เฉพาะเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2550 ปตท.ใช้เงินไป 294,301,000 ล้านบาท ทั้งปี 2550 ปตท.ใช้เงินทั้งสิ้น 974,960,000 ล้านบาท

ทว่า..เดือนมกราคม-พฤษภาคม หรือแค่ 5 เดือนแรกของปี 2551 ปตท.ได้เพิ่มการใช้เงินอีกเกือบเท่าตัว นั่นคือ 557,198,000 ล้านบาท!

เนื้อหาโฆษณาที่ ปตท.เสนอต่อสาธารณชน มักฉายแต่ภาพพจน์ดีๆ ของปตท. มักยกตนจนสูงส่งและทำเสมือนคนไทยทั้งชาติเป็นหนี้บุญคุณ ปตท. ที่ปตท.ต้องแบกรับภารกิจแสนยากเข็ญ ต้องตรากตรำเสี่ยงชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่ และปตท.ก็ทำสำเร็จ..ด้วยการนำก๊าซฯ และน้ำมันมาให้คนไทยได้ใช้

ลงท้ายก็โมเมว่า..ปตท.คือความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งชาติ เฮ้อ..ไม่มีเลยที่จะเผยความจริงว่า..ปตท.ขูดรีดขูดเลือดขูดเนื้อคนไทยทั้งชาติ ปตท.จึงมิใช่ความภูมิใจ..แต่เป็นความอัปยศของคนไทยทั้งชาติ!

แถม ปตท.ยังกล้าโฆษณาชวนเชื่อว่า “เรา(ปตท.)แข็งแรง เพื่อความมั่นคงทางพลังงาน”

ใช่..ปตท.แข็งแรงมั่นคงจากการค้าขายพลังงานมากขึ้นทุกวัน เพราะปตท.ได้กำไรเป็นแสนๆ ล้านทุกปี ขณะที่คนไทยทั้งชาติเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส ชีวิตคนไทยต้องอ่อนแอลงทุกเมื่อเชื่อวัน

การที่ ปตท.ขายพลังงานในราคาแพงเกินจริง เพื่อทำกำไรนับแสนล้านต่อปีนั้น ได้เป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้ต้นทุนแทบทุกชนิดในชาติไทยสูงขึ้น เช่น ไฟฟ้าราคาแพงขึ้น การเดินทางทั้งเรือยนต์-รถยนต์-รถไฟ-เครื่องบินราคาแพงขึ้น การขนส่งสินค้าทุกชนิดราคาแพงขึ้น การผลิตสินค้าทุกชนิดแพงขึ้น จนทำให้..ข้าวของแพงกันทั้งแผ่นดิน ฯลฯ

ผลงานสามานย์ดังกล่าวของปตท. จึงทำให้คนไทย“ตาสว่าง”กันทั้งชาติว่า ที่แท้ปตท.นี่แหละ..เป็นตัวการใหญ่ ที่ทั้งขูดเลือดขูดเนื้อคนไทยทั้งชาติ และยังทำให้ข้าวของทุกชนิดแพงทั้งแผ่นดินอีกด้วย เพราะปตท.ที่ใช้เงินภาษีคนไทยทั้งชาติสร้างขึ้นนั้น ได้กลายเป็นพ่อค้าหน้าเลือดที่เห็นแก่ตัว-เอาแต่ได้ มุ่งแต่ทำกำไรสูงสุดให้ผู้บริหารปตท.และผู้ถือหุ้นเท่านั้นเอง

เมื่อ ปตท.ทำเรื่องไม่โปร่งใสมากมาย ปตท.ก็เลยเป็นเหยื่อของเอ็นจีโอจอมปลอม สื่อมวลชนขายตัวและนักการเมืองสามานย์ทั้งหลาย ดาหน้าเข้า“ตบทรัพย์”จากองค์กรนี้มากมาย

ไพร่แดงที่สู้แล้วรวยและอำมาตย์แดงบางคน ก็ฉวยโอกาสที่รัฐบาล“มหาโจรแม้ว”และนอมีนียึดอำนาจรัฐอยู่ ดอดเข้าไปโกยเงินในองค์กรปตท.กับเขาด้วย ขอเริ่มด้วยบริษัทไพร่แดงกลายพันธุ์เป็นอำมาตย์ที่ชื่อ”ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ”ก่อน

โดยสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกว่าบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) ได้ว่าจ้าง บริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จำกัด ซึ่งมี นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดงและรมช.กระทรวงเกษตรฯคนปัจจุบัน-เคยถือหุ้นในบริษัทนี้ แต่ภายหลังมีการโอนหุ้นไปให้พี่ชายแล้ว

บริษัทที่ณัฐวุฒิเคยมีหุ้นนี้ ได้เข้ารับงานเป็นที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์และมวลชนสัมพันธ์ ภายใต้เงินค่าจ้างที่ปตท.จ่ายให้หลายสิบล้านบาท เพื่อให้ดูแลโครงการเกี่ยวกับท่อส่งก๊าซ

ทว่างานดังกล่าว..กำลังถูกตั้งคำถามมากมาย เพราะผู้สื่อข่าวไปพบว่า มีผู้ยื่นซองประกวดอย่างน้อย 3 โครงการ (เพราะไม่ใช่วิธีจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีพิเศษ) ที่มีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกันหลายประการ

1.โครงการจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินงานประชาสัมพันธ์และมวลชนสัมพันธ์ โครงการกลุ่มลูกค้าท่อย่อย ปทุมธานี–พญาไท จำนวน 7 โครงการ ระยะเวลา 4 เดือน กันยายน 2552 - ธันวาคม 2552 ซึ่ง บริษัทไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบริค รีเลชั่น จำกัด ชนะการประมูล ด้วยวงเงิน 3,549,600 บาท เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2552

2. โครงการจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินงานประชาสัมพันธ์และมวลชนสัมพันธ์ โครงการท่อส่งก๊าซในเขตกรุงเทพมหานคร (BANGKOK CITY GAS) บริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จำกัด ชนะการประมูลวงเงิน 9,864,000 บาท เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2553

3. โครงการจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินงานประชาสัมพันธ์และมวลชนสัมพันธ์ โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ บริษัทสหวิริยา เพลทมิล จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จำกัด ชนะประมูลวงเงิน 3,744,000 บาท เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2553

ส่วนทั้ง 3 โครงการนี้..จะมีอะไรทะแม่งๆนั้น ท่านผู้อ่านติดตามตอนต่อไปนะครับ!




สอดแนมการเมือง
โดย : ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย

ตำรา“ปากเป็นเอก-เลขเป็นโท” ทำให้พบความจริงว่า..แม้ว..ต้องใช้เงินมากมายจ้างแกนนำไพร่แดงหลายคน ที่เก่งการใช้วาทะลวงหลอกผู้คน ให้หลงเชื่อกันอย่างผิดๆ จนออกมาสู้-มาตายเพื่อแม้วไปมากมาย

แม้วซื้อจิตวิญญาณแกนนำแดง โดยดูว่า..ใครกล้า(บ้าบิ่น)-ฉลาด(แกมโกง)-เก่ง(โกหก)-จงรักภักดี(เงิน-อำนาจ) แม้ว..รู้ว่า..คนที่เป็นทาสน้ำเงิน-ทาสอำนาจแบบนี้ ยิ่งได้มาก..ยิ่งกล้าทำชั่ว แม้วจึงประเคนเงินทองและยศตำแหน่งให้ไม่อั้นนโยบายจ้างแกนนำ“ผี-โม่แป้ง”ของแม้วนั้น ต้องไม่กังวลกับชีวิตความเป็นอยู่อีกต่อไป แม้จึงให้เงินเดือนที่สูงมาก ให้รถราคาแพง ให้คอนโดและบ้านหลังโต ให้เงินก้อนใหญ่กับครอบครัว หากทำผลงานดีให้แม้ว..ยังมีเงินโบนัสก้อนโตแถมอีกต่างหาก

ยามแม้วเป็นรัฐบาล..แกนนำที่ทำธุรกิจ จะได้งานในโครงการต่างๆ นี่เอง..ที่ทำให้แกนนำไพร่แดงบางคน ได้สวาปามงานและเงินจาก ปตท.เสมอมา

โครงการที่ประมูลได้ไม่โปร่งใสจนรู้ว่า เงินภาษีถูกฉ้อฉลไปซึ่งๆหน้า..เช่น..โครงการที่ 1 มีผู้เสนอราคา 3 ราย คือ บริษัท แอคทีฟ คอนสตรัคชั่น ทีม จำกัด เสนอราคา 3,660,000 บาท บริษัท แม็ส มีเดีย แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด เสนอราคา 3,700,000 บาท บริษัท ไทยคอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จำกัด เสนอรคา 3,549,600 บาท (ทั้ง 3 บริษัทนี้เกี่ยวโยงกัน-อ่านต่อ)

โครงการที่ 2 บริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จำกัด เสนอราคา 9,864,000 บาท บริษัท แม็ส มีเดีย แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด เสนอราคา 11,502,000 บาท

โครงการที่ 3 มีผู้เสนอราคา 2 ราย คือ บริษัท แม็ส มีเดีย แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด เสนอราคา 5,120,000 บาท และ บริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จำกัด 3,744,000 บาท

งานนี้..สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ตรวจสอบพบว่า

1. บริษัท แอคทีฟ คอนสตรัคชั่น จำกัด จดทะเบียนวันที่ 17 มิถุนายน 51 ทุน เริ่มแรก 1.5 ล้านบาท ต่อมาวันที่ 1 เม.ย. 54 เพิ่มเป็น 5 ล้านบาท ประกอบธุรกิจที่ปรึกษาด้านประชาสัมพันธ์ ส่วน บริษัท แม็ส มีเดีย แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด จดทะเบียนวันที่ 19 มิถุนายน 51 ทุนเริ่มแรก 1.5 ล้านบาท ต่อมาวันที่ 1 เม.ย.54 เพิ่มเป็น 5 ล้านบาท ประกอบธุรกิจที่ปรึกษาด้านประชาสัมพันธ์ (พิรุธที่หนึ่ง-เพิ่มทุนในวันเดียวกัน)

2. สำนักงานที่ตั้งเดิมของบริษัท แอคทีฟ คอนสตรัคชั่น จำกัด เลขที่ 48/442 ซอยเสรีไทย33 ถนนเสรีไทย แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ เป็นเลขที่เดียวกันกับที่ตั้งเดิมของ บริษัท ไทย คอนซัลแตนท์แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น คือ เลขที่ 48/442 หมู่ 2 คลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ (พิรุธที่สอง)

ปัจจุบัน บริษัท แอคทีฟ คอนสตรัคชั่น ทีม จำกัด แจ้งเลขที่ 2991/2 ชั้น 4 ซอยลาดพร้าว 101/3 ถนนลาดพร้าว แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ บริษัท แม็ส มีเดีย แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด แจ้งเลขที่ 2991/2 ชั้น 5 ซอยลาดพร้าว 101/3 ถนนลาดพร้าว แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ (พิรุธที่สอง-บริษัททั้งสองแห่งอยู่ที่เดียวกัน..แต่คนละชั้น)

3. เบอร์โทรศัพท์ของ บริษัท แอคทีฟ คอนสตรัคชั่น จำกัด 02-37013xx-9 เป็นเบอร์เดียวกันกับเบอร์ของ บริษัท แม็ส มีเดีย แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (พิรุธที่สาม)

4. นางสาวราศรี แซ่หลี กรรมการบริษัท แม็ส มีเดีย แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด ช่วงก่อตั้งปี 51 เป็นกรรมการ บริษัท แอคทีฟ คอนสตรัคชั่น จำกัด และถือหุ้นบริษัท แอคทีฟ คอนสตรัคชั่น จำกัด 20,000 หุ้น (วันที่ 1 เม.ย.54) และต่อมาเป็นผู้ถือหุ้น บริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จำกัด 40,000 หุ้น 4 ล้านบาท (วันที่ 1 เมษายน 54-เข้ามาถือหุ้น เมื่อบริษัทเพิ่มทุนเป็น 80 ล้านบาท) (พิรุธที่สี่-นางสาว“ราศรี”มีหุ้นใน 3 บริษัทที่เข้าประมูลงาน ปตท.)

5. นายมฆวัต กาญวัฒนะกิจ กรรมการและผู้ถือหุ้น บริษัท แอคทีฟ คอนสตรัคชั่น จำกัด จำนวน 3,750 หุ้น (วันที่ 1 เม.ย.54 เพิ่มเป็น 17,500 หุ้น) เป็นผู้ถือหุ้น บริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จำกัด 8,025 หุ้น (ได้รับโอนหุ้นมาจากนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เมื่อ 2 มกราคม 51 ต่อมาได้โอนหุ้นต่อให้นายเจตนันท์ ใสยเกื้อ) (พิรุธที่ห้า-นาย“มฆวัต”นี้ มีหุ้นเกี่ยวพันกับ 2 บริษัทที่ประมูลงานของปตท.)

6. นายปรีชา หัตถประดิษฐ์ ผู้ถือหุ้น บริษัท แอคทีฟ คอนสตรัคชั่น จำกัด จำนวน 750 หุ้น (วันที่ 24 มิ.ย.51-30 เม.ย.52) เป็นผู้ถือหุ้น บริษัท แม็ส มีเดีย แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด 750 หุ้น (วันที่ 25 ส.ค.52) ต่อมาเพิ่มเป็น 20,000 หุ้น วันที่ 1 เม.ย. 54 (พิรุธที่หก-นาย“ปรีชา”นี้ มีหุ้นเกี่ยวพันกับ 2 บริษัทที่ประมูลงานของ ปตท.)

7. พล.ท.อำพล ตุ้มทอง ผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท แอคทีฟ คอนสตรัคชั่น จำกัด 4,500 หุ้น กับ พล.อ.ปริญญา ชัยสุกวัฒน์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท แม็ส มีเดีย แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด จำนวน 4,500 หุ้น ทำธุรกิจร่วมกันในบริษัท นวนคร อินเตอร์เนชั่นแนล การ์ด จำกัด ยามรักษาความปลอดภัยซึ่งมี พล.อ.อัครเดช ศศิประภา (น้องชายพล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี) ถือหุ้นใหญ่ (พิรุธที่เจ็ด..“พล.ท.อำพล”กับ“พล.อ.ปริญญา” ที่มีหุ้นในสองบริษัทที่ประมูลงานปตท.แล้ว ยังเป็นหุ้นส่วนทำธุรกิจร่วมกันในบริษัทแห่งหนึ่งอีกด้วย)

ทั้งนั้น พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคา ต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 บัญญัติไว้ ดังนี้

มาตรา 4 ผู้ใดตกลงร่วมกันในการเสนอราคา เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ โดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม หรือโดยการกีดกันมิให้มีการเสนอสินค้าหรือบริการอื่นต่อหน่วยงานของรัฐ หรือโดยการเอาเปรียบแก่หน่วยงานของรัฐอันมิใช่เป็นไปในทางการประกอบธุรกิจปกติ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสามปี และปรับร้อยละห้าสิบของจำนวนเงินที่มีการเสนอราคาสูงสุดในระหว่างผู้ร่วมกระทำความผิดนั้น หรือของจำนวนเงินที่มีการทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐแล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า

ผู้ใดเป็นธุระในการชักชวนให้ผู้อื่นร่วมตกลงกันในการกระทำความผิดตามที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง ผู้นั้นต้องระวางโทษตามวรรคหนึ่ง

มาตรา 7 ผู้ใดใช้อุบายหลอกลวงหรือกระทำการโดยวิธีอื่นใดเป็นเหตุให้ผู้อื่นไม่มีโอกาสเข้าทำการเสนอราคาอย่างเป็นธรรมหรือให้มีการเสนอราคาโดยหลงผิด ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี และปรับร้อยละห้าสิบของจำนวนเงินที่มีการเสนอราคาสูงสุดระหว่างผู้ร่วมกระทำความผิดนั้นหรือของจำนวนเงินที่มีการทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐแล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า

มาตรา 8 ผู้ใดโดยทุจริตทำการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐโดยรู้ว่าราคาที่เสนอนั้นต่ำมากเกินกว่าปกติจนเห็นได้ชัดว่าไม่เป็นไปตามลักษณะสินค้าหรือบริการ หรือเสนอผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่หน่วยงานของรัฐสูงกว่าความเป็นจริงตามสิทธิที่จะได้รับ โดยมีวัตถุประสงค์เป็นการกีดกันการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมและการกระทำเช่นว่านั้น เป็นเหตุให้ไม่สามารถปฏิบัติให้ถูกต้องตามสัญญาได้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสามปี และปรับร้อยละห้าสิบของจำนวนเงินที่มีการเสนอราคา หรือของจำนวนเงินที่มีการทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐแล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า

นี่แค่ตัวอย่างการ“ประมูล”งานเพียง 3 โครงการเท่านั้น ที่“หัวหน้าไพร่แดง-ตกใจเผา”แอบสวาปามงานและเงินปตท.ชนิดไม่ชอบมาพากล ฉบับหน้าจะเอาโครงการที่ปตท.ใช้วิธีจัดจ้างพิเศษ จ้างบริษัท“หัวหน้าไพร่แดง”มาให้อ่านกันต่อนะครับ!

สอดแนมการเมือง
โดย : ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย

“บ่อน้ำมัน”คือ”บ่อเงิน”มหาศาลของ ปตท. ขณะที่ ปตท.ก็เป็น“บ่อเงิน”ให้นักการเมืองชั่วตักตวงได้ไม่รู้จบเช่นกัน!

ข่าวผู้บริหาร ปตท.บางคนกับแกนนำไพร่แดง“ตกใจเผาเมือง” ทำไม่ดีไม่งามจนฉาวโฉ่ขึ้นนั้น คนที่เดือดร้อนที่สุด..ดูจะเป็นผู้บริหารใน ปตท.นั่นแหละ

เพราะหากเรื่องไม่ดีนี้-บานปลาย ย่อมทำความเสียหายมาให้ผู้บริหาร ปตท.หลายคน อีกทั้งองค์กร ปตท.ที่โฆษณาลวงหลอกกันไว้ว่า “โปร่งใส” จะเผยธาตุแท้ในด้านลบและเสียชื่อเสียง ทั้งในและต่างประเทศอีกด้วย

งานนี้..ผู้บริหารระดับสูงของ ปตท. จึงกระโดดออกมาปกป้องตนเองและปตท. และบริษัทแกนนำไพร่แดงอีกด้วย

นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) ได้ให้สัมภาษณ์ สำนักข่าวอิศรา (WWW.isranews.org) ว่า

กรณีผู้เข้าประมูลโครงการมวลชนสัมพันธ์ท่อก๊าซ ปตท. จำนวน 3 โครงการ มีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องในลักษณะกลุ่มเครือข่ายเดียวกันว่า

เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ถือเป็นการทำผิดระเบียบของ ปตท. เนื่องจากขั้นตอนการเปิดประมูลงาน ไม่ได้มีการกำหนดข้อห้าม ในเรื่องความสัมพันธ์ของเอกชน ที่เข้ามาร่วมประมูลงานไว้

แต่นักข่าวก็ฉลาด..เพราะยังถามต่อว่า ปตท.ใช้วิธีการเปิดประมูล โดยให้เอกชนมาแข่งขันกัน ถ้าเอกชนที่มาเข้าร่วมประมูลเป็นกลุ่มเดียวกัน และอาจมีการสมยอมราคากัน อาจจะทำให้ ปตท. เสียหายได้..

นายไพรินทร์ตอบว่า โครงการที่พูดถึงเป็นโครงการเก่าใช่หรือไม่ ไม่ใช่โครงการที่เกิดขึ้นตอนนี้และเราก็ให้ความสำคัญกับการทำงานของบริษัทที่เข้ามารับงานว่า ทำงานตามที่เรากำหนดไว้ได้หรือไม่ และผลของงานออกมาเป็นอย่างไร ซึ่งเท่าที่ทราบบริษัทที่ชนะการประมูล ก็ทำงานได้ดี ไม่มีปัญหาอะไร..

เมื่อนักข่าวถามต่ออีกว่า แต่โดยหลักของการประมูลงาน จะต้องเป็นการแข่งขันอย่างเป็นธรรม เอกชนที่เข้าร่วม ไม่ควรมีความสัมพันธ์ หรือเป็นกลุ่มเดียวกัน อาจจะมีปัญหาเรื่องการสมยอมราคากันได้

ตัวแทนปตท.ตอบว่า.. โดยหลักการก็ควรเป็นแบบนั้น แต่เนื่องจากในร่างทีโออาร์ที่เรากำหนดไป ไม่มีการระบุถึงเรื่องนี้เอาไว้ ซึ่งโครงการประมูลงานส่วนใหญ่ ใน ปตท. ก็เป็นแบบนี้ อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เกิดปัญหานี้ขึ้น การประมูลงานของ ปตท. จากนี้ไป จะต้องมีการปรับปรุงเงื่อนไข และข้อกำหนดให้ความรัดกุมมากขึ้น ต่อไปนี้ บริษัทเอกชน รายไหนจะเข้ามาร่วมประมูลงาน จะถูกตรวจสอบเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกันเป็นรายบริษัทด้วย เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาแบบนี้อีก

คำพูดทั้งหมดของผู้บริหาร ปตท.ที่ตอบนักข่าว เท่ากับยอมรับแล้วว่า ที่ผ่านมาได้ทำเรื่องไม่ถูกต้องจริง แต่ ปตท.อ้างและแก้ตัวว่า ทีโออาร์หรือระเบียบการประมูลงานของ ปตท.ที่ผ่านมา ไม่มีข้อกำหนดห้ามมิให้บริษัทฮั้วงานประมูลใน ปตท. แต่ต่อไป ปตท.จะปรับปรุงไม่ให้ฮั้วกัน(ว่ะ)!

เอาล่ะ..คราวนี้ลองใช้สมองที่ไม่สกปรก-ไม่ขี้โกง-ไม่โกหกตอแหล โดยเอาผลประโยชน์ส่วนรวมมาเป็นที่ตั้ง แล้วมาพินิจพิเคราะห์แบบตรงไปตรงมาว่า

3 บริษัทที่เป็นพวกเดียวกัน บางบริษัทมีที่ทำงานอยู่ในตึกเดียวกัน ใช้โทรศัพท์เบอร์เดียวกัน ถือหุ้นไขว้-สลับเป็นกรรมการกันไปมา แล้ว 3 บริษัทนี้ได้ยกโขยงมาประมูลงานของ ปตท.พร้อมกัน แถมเป็นงานในโครงการเดียวกันอีกด้วย ประมูลแข่งกันแค่ 3 บริษัทนี้เท่านั้น การกระทำแบบนี้“ฮั้วประมูลงาน”ใช่หรือไม่?

หากฮั้วประมูลงานกัน ก็มีความผิดตามกฎหมายพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 4 และอาจผิดมาตรา 7 ตาม พ.ร.บ.ฉบับนี้ด้วย ?

ปตท.มิใช่บริษัทเอกชน100% เพราะกระทรวงการคลังยังถือหุ้นเกิน 50% ปตท.จึงต้องอยู่ภายใต้กฎหมายดังกล่าวข้างต้น และ พ.ร.บ.ย่อมมีศักดิ์เหนือระเบียบหน่วยงานของรัฐ การร่างกฎระเบียบต่างๆของทุกหน่วยงานรัฐ จึงต้องยึดตามพ.ร.บ.ฯ เป็นที่ตั้งสถานเดียว

ดังนั้น ผู้บริหาร ปตท.จะมาอ้างระเบียบฯ ใดๆ ของ ปตท. เพื่อเอาตัวรอดจากความผิดไม่ได้!

อีกทั้งการกระทำผิดกฎหมายก็ไม่มีข้อยกเว้นว่า เป็นเรื่องเก่า-เรื่องใหม่ เรื่องเกิดขึ้นตอนโน้น-ตอนนี้ เพราะผิดกฎหมาย-ก็คือ-ผิดกฎหมายอยู่วันยังค่ำ

ความผิดนี้ นอกจากเจ้าของและกรรมการบริษัท ที่ยกพวกมาฮั้วประมูลงานจะผิดแล้ว คนใน ปตท.ที่เกี่ยวข้องและเซ็นอนุมัติงานนี้..ก็ผิดด้วย เพราะดันไปทำตามคำสั่งผู้มีอิทธิพล ที่อยู่ในปตท.หรืออยู่ในรัฐบาล..สั่งให้ทำในสิ่งที่ผิดกฎหมาย!

นอกจากงานประมูลแล้ว สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้ตรวจสอบพบว่า ยังมีอีกถึง 10 โครงการที่ ปตท.ว่าจ้าง บริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จำกัด ด้วยข้ออ้างเป็นบริษัทที่มีประสบการณ์เฉพาะด้าน โดยวิธีจัดจ้างพิเศษ คือ

1111111111111111111111111111111111

การฉ้อฉลใน ปตท.เลยเข้าตำราที่ว่า นักการเมืองชั่วอยู่ในตำแหน่งเล็กหรือใหญ่ ก็จะเอื้อให้คนชั่วได้ปล้นบ้านปล้นเมืองเสมอ ดังนั้น เรื่องชั่วเก่าๆยังไม่จบ-เรื่องชั่วใหม่ๆก็โผล่เข้ามาอีก เพราะหน้าออนไลน์ข่าวบางแห่งจั่วหัวตัวเป้งว่า..

ซ้ำรอย“ณัฐวุฒิ”พบบริษัท“ก่อแก้ว” แกนนำ นปช.กับพวก กวาดเละงานรับเหมา ปตท. 91 ล้าน ใช้นอมีนีถือหุ้นแทน สาวลึก 5 ปีย้อนหลัง ฟันรายได้กระฉูด 1,500 ล้าน!

เฮ้อ..โจรกระจอกก็โกงกระจอก โจรหน้าเหลี่ยมตัวพ่อสิแน่..โกงชาติหลายแสนล้านบาทดื้อๆ เลยว่ะ!

สอดแนมการเมือง
โดย : ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย

ปตท.คือ ขุมทรัพย์หรือแหล่งเงินเครือข่าย“ทักษิณ ชินวัตร”มาตลอด!

นอกจากบริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิครีเลชั่น จำกัด ซึ่งมี นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ของรัฐบาล“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”ปัจจุบัน เคยถือหุ้นในช่วงก่อตั้ง จะรับงานเป็นล่ำเป็นสันในปตท.แล้ว

ปตท.ยังเป็นแหล่งล่าเงินทองของ นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรเพื่อไทย แกนนำแนวร่วมต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. เพื่อนร่วมแก๊ง“ไอ้เต้น”อีกด้วย

ถึงขนาดข่าวออนไลน์บางแห่งพาดหัวว่า

ซ้ำรอย“ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ”พบ บ.ก่อแก้ว แกนนำ นปช.กับพวก กวาดเละงานรับเหมา ปตท. 91 ล้าน ใช้“นอมีนี”ถือหุ้นแทน สาวลึก 5 ปีย้อนหลัง ฟันรายได้กระฉูด 1,500 ล้าน

ต้องขอบคุณนักข่าวและสำนักข่าวอิศรา(www.isranews.org) ที่ทำข่าวเจาะลึกจนพบว่า นายก่อแก้วยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน ต่อป.ป.ช.ตอนรับตำแหน่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ เมื่อ2 สิงหาคม 2554 ระบุว่า

นายก่อแก้วมีเงินลงทุน 58,018,897.01 บาท จากทรัพย์สินทั้งหมด 82,936,233.60 บาท มีหนี้สิน 8,883,264.19 บาท โดยนายก่อแก้วระบุว่า หุ้น บริษัท นิวสตาร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จำนวน 112,500 หุ้นคิด
เป็นร้อยละ 37.50% ได้ให้ นายประคัลภ์ ธวัชปีติพงษ์(หุ้นส่วนธุรกิจ)ถือหุ้นแทน 37,250 หุ้น และ นายพงษ์ศักดิ์ วิญญูตระกูล(หุ้นส่วนธุรกิจ)ถือหุ้นแทน 37,250 หุ้น

บริษัท นิวสตาร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด นี้ ได้รับการว่าจ้างบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ในช่วงปี 2551-2554 อย่างน้อย 4 ครั้ง วงเงินรวมถึง 91,580,600 บาท ได้แก่

• จ้างก่อสร้างอาคารและงานโยธา สถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลัก ส่วนขยาย วันที่ 3 กันยายน2551 จำนวนเงิน 35,990,000 บาท

• จ้างปรับปรุงระบบท่อทางและติดตั้งระบบผสมน้ำมัน GASOHOL คลังน้ำมันพระโขนง วันที่ 25 กันยายน 2551 จำนวนเงิน 33,450,600 บาท

• จ้างก่อสร้างปรับปรุงภาพลักษณ์สถานีบริการน้ำมันปตท.สาขาลาซาล กทม. 24 ตุลาคม 2553 จำนวนเงิน12,140,000 บาท

• จ้างก่อสร้างปรับปรุงภาพลักษณ์สถานีบริการน้ำมันปตท. เขตภาคเหนือแบบ Unit Price ConTract วันที่ 21 มิถุนายน 2554 จำนวนเงิน 10,000,000 บาท

รวมทั้ง 4 รายการเป็นเงินทั้งสิ้น 91,580,600 บาท

ข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าระบุว่า บริษัท นิวสตาร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ประกอบธุรกิจให้บริการก่อสร้างและปรับปรุงซ่อนแซมอาคาร จดทะเบียนวันที่ 30 มีนาคม 2536 ทุนปัจจุบัน 30 ล้านบาท
ตั้งอยู่ที่ 729/147 ถนนรัชดาภิเษก แขวงบางโพงพาง เขตยานนาวา กรุงเทพฯ

ผลประกอบการ 5 ปี ย้อนหลังมีรายได้รวม 1,500,868,508 บาท กำไรสุทธิ 92,562,231 บาทแบ่งเป็น

ปี 2553 มีรายได้ 267,418,816 บาท กำไรสุทธิ 16,000,204 บาท สินทรัพย์ 189,235,059 บาท

ปี 2552 มีรายได้ 415,935,783 บาท กำไรสุทธิ 26,895,114 บาท

ปี 2551 มีรายได้ 337,690,976 บาท กำไรสุทธิ 18,343,819 บาท

ปี 2550 มีรายได้ 283,069,887 บาท กำไรสุทธิ 18,992,402 บาท

ปี 2549 มีรายได้ 196,753,046 บาท กำไรสุทธิ 12,330,692 บาท

เมื่อการไล่ล่าหาเงินในขุมทรัพย์ปตท.ฉาวโฉ่ แกนนำแดงทั้งสองเลยถูกตรวจสอบอย่างหนัก

น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคปชป. ได้เข้ายื่นหนังสือต่อนายมนตรี ปาน้อยนนท์ ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์ ประธานคณะกรรมาธิการการพลังงาน (กมธ.) สภาผู้แทนราษฎร ให้ตรวจสอบกรณีสำนักข่าวอิศราระบุว่า บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) ว่าจ้างบริษัทไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พลับบลิกรีเลชั่น จำกัด เป็นที่ปรึกษามวลชนสัมพันธ์โครงการท่อส่งก๊าซ

โดยในการประกวดราคาเป็นที่ปรึกษาดังกล่าวมีอีก 2 บริษัท คือ บริษัทแมสมีเดีย แอนด์ คอนสตรักชั่น จำกัด และบริษัทแอคทีพ คอนสตรักชั่น จำกัด ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ในอาคารเดียวกัน คือ 2991/2 ลาดพร้าว 101/3 ถนนลาดพร้าว แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ

น.ส.มัลลิการะบุว่า "ทั้ง 3 บริษัทมีการถือหุ้นไขว้กันไปมา จึงอยากให้ตรวจสอบว่าการประกวดราคาดังกล่าว เป็นไปตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิด เกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 4 และ 7 หรือไม่ รวมถึงการแสดงบัญชีทรัพย์สินของนายณัฐวุฒิ เป็นไปตามที่แจ้งหรือไม่ แม้นายนายณัฐวุฒิจะไม่มีชื่อถือหุ้นในบริษัทดังกล่าแล้ว แต่พบว่านายณัฐวุฒิ ยังเข้าออกบริษัทและมีรูปมายืนยันด้วย"

น.ส.มัลลิกายังย้ำว่า หา กกมธ.ตรวจสอบว่าผิดจริง จะดำเนินการเอาผิดต่อไป และในสัปดาห์หน้าจะยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบว่า นายณัฐวุฒิมีการซุกหุ้น และแจ้งบัญชีทรัพย์สินครบถ้วน ตามความเป็นจริงหรือไม่ หากพบว่า..มีความผิด จะดำเนินการถอดถอนออกจากตำแหน่งต่อไป

นั่นเป็น“น้ำจิ้ม”ที่แกนนำแดงสวาปามกัน แต่มหาเศรษฐีทักษิณผู้เป็น“จอมทัพ”กองทัพแดง ที่สังหารทหารของกองทัพไทย อันมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าหัวฯทรงเป็นจอมทัพนั้น ไม่สนใจ“น้ำจิ้ม”เล็กๆ น้อยๆ ใน ปตท.ครับ

เพราะ“เหลี่ยมร้าย”กับพวกไม่กี่คน ถือหุ้นมหาศาลในปตท.ผ่านนอมีนีไว้แล้ว แม้วที่รวยหลายแสนล้านบาท หลังเข้ามาเล่นการเมืองเพียงไม่กี่ปีนั้น ขุมทรัพย์ก๊าสและน้ำมันมูลค่ามหาศาล ของชาติไทยทั้งบนบกและในทะเลต่างหาก ที่ทำให้คนโลภมากอย่างแม้วทนไม่ไหว จนต้องเผยสันดานความเห็นแก่ได้และเห็นแก่ตัว ออกมาให้เห็นแบบโจ่งแจ้งเสมอ!

เมื่อทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ปี 2544 ในปีเดียวกันก็มีการเซ็นทั้ง MOU 2544 ที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ทับซ้อนในทะเลไทย-กัมพูชา และแถลงการณ์ไทย-กัมพูชา 2544 เพื่อเปิดทางให้ผู้มีอำ
นาจบางคนทั้งไทยและเขมร กับบริษัทน้ำมันของอเมริกา ที่แอบหาผลประโยชน์จากก๊าสและน้ำมันอีกด้วย

เพื่อให้งานด้านพลังงานรุดหน้าไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2546 ทักษิณได้ย้าย“หมอมิ้ง-พรหมมินทร์ เลิศสุรีย์เดช”คนสนิท จากรองนายกฯ มาเป็น รมว.กระทรวงพลังงาน จนงานลับๆบางอย่างถูกจัดการจนเรียบร้อยแล้ว

รัฐบาลทักษิณ 2 “หมอมิ้ง”จึงถูกดึงออกไปทำงานสำคัญในด้านอื่น นายวิเศษ จูภิบาล อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) และอดีตผู้ช่วย รมว.กระทรวงพลังงานยุค“หมอมิ้ง” ที่สนองงานทักษิณแบบสุดลิ่มทิ่มประตู จึงขึ้นเป็นรมว.กระทรวงพลังงาน เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2548 จนกระทั่งทักษิณโดนทหารทำรัฐประหารโค่นล้มลง..

รัฐบาลทักษิณล้มในปี 2549 แต่การหากินด้านธุรกิจพลังงานของทักษิณไม่เคยหยุด ยิ่งรัฐบาล“ยิ่งลักษณ์”ขึ้นครองเมือง ยิ่งฟันธงได้เลยว่า..หนีไม่พ้นที่ชาติไทยจะต้องเสียดินแดนบางส่วนให้เขมร เพื่อแลกกับผลประโยชน์ก๊าสและน้ำมัน ให้ผู้มีอำนาจที่เป็นคนไทย-คนเขมร-คนต่างชาติอย่างแน่นอน

วันนี้..ขุมทรัพย์ก๊าสและน้ำมันมูลค่ามหาศาลในไทย-กัมพูชา จึงบานปลายเพราะถูกทึ้งด้วยคนชื่อเก่า-ชื่อใหม่-เรื่องเก่า-เรื่องใหม่ อย่าง ทักษิณ-ฮุนเซน-ยิ่งลักษณ์-อ้ายปึ้ง-อารักษ์-อเมริกา-โอบาม่า-ฮิลลาลี-เชฟรอน-อู่ตะเภา-นาซ่า ฯลฯ ลงท้าย“วีซ่าทักษิณ”ก็เลยโผล่มาด้วย

เพียงเพื่อผลประโยชน์แห่งตนในเรื่องอำนาจ-ก๊าส-น้ำมัน ฯลฯ ทักษิณถึงกับดึงอเมริกามาร่วมไล่ล่า ทั้งก๊าส-น้ำมัน-อู่ตะเภา ฯลฯ ทำให้ชาติไทยพัวพันไปกับยุทธศาสตร์ การแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์โลกของอเมริกา!

แน่นอน..หลังจากนี้ชาติและคนไทยจะต้องเผชิญปัญหาด้านลบ กับประเทศที่ชื่อจีน-รัสเซีย-อินเดีย-อิหร่าน ฯลฯ อย่างหนีไม่พ้น เพราะทักษิณ-ยิ่งลักษณ์-ได้นำชาติและคนไทย ไปยืนในพื้นเสี่ยงภัยที่อันตรายอย่างยิ่งยวดแล้วนั่นเอง

นี่คือ..ผลงาน“ชักน้ำเข้าลึก-ชักศึกเข้าบ้าน”ของทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ครับ!

สอดแนมการเมือง
โดย : ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย

ความโลภในอำนาจ-เงินทองเป็นอันตรายร้ายแรงที่สุดต่อมวลมนุษยชาติในโลก!

ในฐานะผู้ถือหุ้นมากมายของ ปตท. ได้เงินปันผลตอบแทนต่อปีมากมาย แต่สำหรับนักธุรกิจการเมืองอย่างเหลี่ยมนั้น..มันเป็นเงินแค่น้อยนิด

เหลี่ยมสนใจการเป็นเจ้าของบ่อก๊าสและน้ำมันใต้ทะเลไทย-กัมพูชา ที่ประเมินค่าไม่ได้มากกว่า!

เรื่อง ปตท.ทรราชน้ำมันบทนี้ ขอชวนท่านผู้อ่านสะกดรอยตาม“เหลี่ยม” ผู้เป็นเจ้าของพรรค-รัฐบาล-รัฐสภา ที่กำลังเดินหน้าฮุบบ่อก๊าสและน้ำมันใต้ทะเลไทย-กัมพูชา เพื่อโกยผลประโยชน์มหาศาลเข้ากระเป๋าอยู่ในเวลานี้?

เรื่องของบ่อก๊าสและน้ำมันตอนนี้ เกี่ยวข้องกับชื่อ“ฮุนเซน-ปู-เหลี่ยม-เชฟรอน-ฮิลลารี-อเมริกาชนิดแยกจากกันไม่ได้เลย โดยเฉพาะเหลี่ยม-ฮุนเซน-อเมริกานั้น เป็น“หุ้นส่วนลับๆ”ที่กำลังทำงานเอื้อประโยชน์ให้กันและกันอยู่ 3 เรื่อง

เรื่องที่หนึ่ง-ฮุนเซน-เหลี่ยม-ปู-เชฟรอน-ฮิลลารี-อเมริกา ฯลฯ กำลังช่วยกันผลักดันทั้งลับและเปิดเผย ให้ฮุนเซนได้ดินแดนไทย 4.6 ตร.กม.บริเวณปราสาทพระวิหาร โดยผ่านการพิพากษาของศาลการเมืองระดับโลกในเร็วๆ นี้

งานนี้..แลกกับการที่ฮุนเซนจะยกบ่อก๊าสและน้ำมันใต้ทะเลฝั่งเขมรให้เหลี่ยม-เชฟรอน!

ที่ฮุนเซนอยากได้ดินแดนไทยนั้น เพื่อทำให้การขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ของปราสาทพระวิหารสมบูรณ์และสำเร็จนั่นเอง

อีกทั้งถ้ายึดดินแดนไทยได้ตามแผน ฮุนเซนจะกลายพันธุ์จากเผด็จการเขมร เป็นวีระบุรุษคนแรกของชาวเขมร ที่เป็นประเทศ“กระจิบ”แต่“สยบเหยี่ยว”ได้ หรือยึดดินแดนประเทศไทยที่ใหญ่กว่าได้ไงครับ

ทั้งยังเป็นปัจจัยสำคัญยิ่ง ที่จะทำให้ฮุนเซนชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง เพื่อจะได้เป็นนายกฯ ครองอำนาจรัฐเขมรอีกครั้ง..อีกนาน..

ที่ฮุนเซนต้องยึดอำนาจรัฐเขมรแบบเบ็ดเสร็จอีกครั้ง ก็เพื่อจะได้ใช้อำนาจเผด็จการยกบ่อก๊าสและน้ำมันให้หุ้นส่วนเหลี่ยมกับเชฟรอน โดยฮุนเซนก็จะได้สวาปามผลประโยชน์ลับๆนี้ด้วย เพราะฮุนเซนเป็นอนุมัติหรือลงทุนด้วยบ่อก๊าสและน้ำมันของชาติกัมพูชา ให้เหลี่ยม-อเมริกาและตัวเองได้สวาปามไงล่ะครับ

ความอยากได้ก๊าสและน้ำมันใต้ทะเล ทำให้รัฐบาลเหลี่ยมยอมฮุนเซนทุกอย่าง เช่น ยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน ใน MOU 2543 ที่ทำยุครัฐบาล นายชวน หลีกภัย ต่อไป และมีการเซ็น MOU 2544 เพื่อกรุยทางสวาปามบ่อก๊าสและน้ำมันใต้ทะเลไทย-กัมพูชาอีกด้วย

อีกทั้งทหารเขมรที่เข้ามายึดครองดินแดนไทย บริเวณรอบตัวปราสาทพระวิหารอย่างหน้าด้านๆของฮุนเซน หุ้นส่วนผลประโยชน์ของฮุนเซน ผู้ครองอำนาจรัฐอยู่ในไทยอย่างเหลี่ยม-ก็วางเฉย แถมปล่อยให้ชาวเขมรเข้ามาตั้งหมู่บ้าน-ตลาด-วัดกันสบายใจเฉิบ

ปฏิบัติการผู้นำไทยใจชั่วยกแผ่นแดนไทยให้เขมรครั้งนี้ ฮุนเซนกับคนไทยขายชาติบางคนทำเพื่อตบตาชาวโลกด้วยตรรกะง่ายๆ ว่า ดินแดนไทยที่ทหารเขมรเข้ามายึดครองอยู่นี้-เป็นดินแดนของชาติเขมร เพราะหากเป็นดินแดนของไทยแล้ว..ไฉนใยรัฐบาลและทหารไทย จึงนิ่งเฉย-ไม่มีหือ-ไม่มีอือ-ไม่มีการปะทะ หรือขับไล่ทหารเขมรออกจากดินแดนไทย?

แถมรัฐบาลเหลี่ยมยังให้เงินภาษีอากรคนไทยมากมาย ไปช่วยฮุนเซนสร้างถนนจากฝั่งเขมรมาจ่อยังชายแดนไทย จากนั้นก็ปล่อยให้เขมรสร้างถนนต่อเข้ามาในแผ่นดินไทย ตรงขึ้นไปที่ตัวปราสาทพระวิหาร โดยรัฐบาลและทหารไทยไม่ได้ขัดขวางแต่ประการใดเลย

การยกดินแดนไทยให้เขมรตามแผนฮุนเซนแบบเต็มสูบ มาชะงักลงเมื่อรัฐบาลแม้วที่คอร์รัปชั่นจนฉาวโฉ่ไปทั่วโลก เดินสะดุด“รถถัง”ล้มโครมลงอย่างฉับพลัน ในเดือนกันยายน 2549 เสียก่อน เล่นเอาฮุนเซนหัวเสียอย่างหนัก

ฮุนเซนมาอารมณ์ดีอีกครั้ง เมื่อรัฐบาลนอมีนีเหลี่ยม-สมัครขึ้นครองเมือง แผนยกดินแดนไทยให้ชาติเขมร เพื่อแลกกับบ่อก๊าสและน้ำมันให้เหลี่ยม-เชฟรอนจึงเดินหน้าต่ออีกครั้ง โดยรัฐบาลสมัครได้ส่ง รมว.ต่างประเทศ“ติ๊งเหล่”ของไทย ไปเซ็นแถลงการณ์สนับสนุนกัมพูชาถึงฝรั่งเศส ต่อหน้า คกก.มรดกโลก

แต่การเดินหน้าขายชาติของรัฐบาลนอมีนีเหลี่ยม ต้องหยุดกึกลงอีกสองครั้งสองครา เพราะรัฐบาลนอมีนีของเหลี่ยม-สมัคร-สมชายถูกประชาชนขับไล่จนล้มลง!

เรื่องฮุบบ่อมหาสมบัติก๊าสและน้ำมันมาเดินหน้าเต็มที่ เมื่อรัฐบาลปูน้องสาวเหลี่ยมขึ้นครองเมือง ท่ามกลางนโยบาย“พญาอินทรีอเมริกา”สยายปีก หวนคืนสู่อำนาจเหนือเอเซียบูรพาอีกครั้ง ดังนั้น รัฐบาลอเมริกาจึงให้รมว.ต่างประเทศ “นางฮิลลารี”จูงมือเชฟรอน แอบเข้าออกทำเนียบฯไทย-กัมพูชาเป็นว่าเล่น

เรื่องที่สอง-ด้วยเหลี่ยมมีปัญหาที่ยังยึดอำนาจรัฐไทยไม่ได้เต็ม100% แม้เหลี่ยมจะจ้างแกนนำคนเสื้อแดง เป็นกองทัพอันธพาลทางการเมืองแบบถ่อยเถื่อน จนมีผลงานเผาบ้านเผาเมือง-ก่อการร้ายฆ่าทหารมาแล้ว ให้ปกป้องรัฐบาลปูและข่มขู่คุกคามฝ่ายตรงข้ามเหลี่ยม

แต่นับวัน..ขบวนการคนเสื้อแดงที่ถ่อยเถื่อน ที่มุ่งล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ได้ทำให้รัฐบาลเหลี่ยม-ปูภาพพจน์เสียหายยับเยิน จนรัฐบาลเหลี่ยม-ปูตกต่ำไม่มั่นคงอย่างน่าใจหาย

หากรัฐบาลเหลี่ยม-ปูทำชั่วด้วยการขายและโกงชาติจนฉาวโฉ่ รัฐบาลนี้ก็อาจล้มครืนลงได้ทุกเมื่อ!

ดังนั้น เหลี่ยมจึงเร่งงานฮุบบ่อก๊าสและน้ำมันมาเป็นสมบัติส่วนตัวโดยด่วน พร้อมๆไปกับพยายามยึดครองอำนาจรัฐไทยไว้นานๆอีกด้วย

ปัญหามากมายเป็น-ตายเช่นนี้ของรัฐบาลเหลี่ยม-ปู ทำให้เหลี่ยมหันหน้าไปพึ่งอเมริกา เพราะเชื่อว่ามหาอำนาจอเมริกาจะช่วยตน และปกป้องรัฐบาลปูให้อยู่ในอำนาจได้นานๆอีกด้วย ดังนั้น เหลี่ยมจึงตัดสินใจเลือกยืนข้างอเมริกาเต็มตัว จนยอมให้อเมริกาใช้ไทยเป็นฐาน ปิดล้อมจีนและพันธมิตรอย่างเปิดเผย

โดยรัฐบาลปูใช้เล่ห์หลอกคนไทยว่า อเมริกาแค่ขอใช้สนามบินอู่ตะเภา ตั้งศูนย์บรรเทาวิบัติภัยในภูมิภาคนี้ ส่วนองค์การอวกาศนาซ่าที่ขอใช้พื้นที่เดียวกัน ก็เพื่อสำรวจเมฆกับบรรยากาศนอกโลกเท่านั้น

รัฐบาลปูยังช่วยแก้ต่างให้อเมริกาว่า โครงการทั้งหมดไม่เกี่ยวกับการเมือง และไม่มีผลประโยชน์ใดๆ แอบแฝง แถมยังเป็นประโยชน์ต่อภูมิภาคนี้ รวมทั้งไทยอย่างใหญ่หลวงอีกด้วย อีกทั้งจะช่วยป้องกันน้ำท่วมบ้านเราได้อีกต่างหาก..เอ๋อไปนั่นเลย..

แต่ที่ใหนได้..โครงการนาซาดันมีบริษัทน้ำมันเชฟรอนมาร่วมด้วย แถมยังมีเครื่องบินที่ใช้เพื่อการสอดแนม ติดอุปกรณ์สำรวจทรัพยากรอันมีค่าทั้งบ่อก๊าซ-น้ำมัน ฯลฯได้อีกด้วย

แน่นอน..ประเทศที่มีปัญหากับอเมริกา ทั้งจีน-รัสเซีย-อิหร่าน ฯลฯย่อมรู้ว่า การกู้วิบัติภัยมิใช่เรื่องของพลเรือน หากแต่ต้องใช้กองกำลังและเครื่องมือทางทหาร ทั้งบก-เรือ-อากาศ-ดาวเทียม ฯลฯทั้งสิ้น

ดังนั้น หากอเมริกาแอบใช้อู่ตะเภา เป็นจุดพักพลและสับเปลี่ยนกำลัง หรือเป็นจุดซ่อมแซมอาวุธยุทโธปกรณ์และเติมน้ำมัน ทั้งเรือรบและเครื่องบิน ฯลฯ ในการปิดล้อมและโจมตีประเทศที่อเมริกาถือเป็นศัตรู นั่นย่อมไม่เป็นผลดีต่อประเทศไทย..จริงไหม?

แต่ความอยากได้บ่อก๊าซและน้ำมันใต้ทะเลไทย-กัมพูชา อเมริกาจึงต้องเอาใจทั้งฮุนเซนและเหลี่ยม เพราะอเมริกา-ฮุนเซน-เหลี่ยมนั้นเหมือนกัน นั่นคือ ละโมบโลภมากในอำนาจและเงินทองชนิดไม่รู้จักพอไงล่ะครับ!

แต่รัฐบาลปูของแม้วที่ยังอ่อนแอและต้องการความช่วยเหลืออย่างมากนั้น ได้เปลี่ยนสถานะมหาอำนาจอเมริกา ให้อยู่ในฐานะ“นายผู้บงการ”รัฐบาลเหลี่ยม-ปู ดังนั้น สนามบิน“อู่ตะเภา”จึงเป็นของขวัญชิ้นหนึ่งจากเหลี่ยม แต่การให้“วีซ่า”เข้าอเมริกา10 ปีกับเหลี่ยมนั้น ถือเป็น“แหวนหมั้นวงโต”ที่เหลี่ยมใฝ่ฝันอยากได้ก่อนการ“แต่งงาน”จริงกับ“ลุงแซม”ครับ

เรื่องฮุบบ่อก๊าซ-น้ำมันใต้ทะเลไทย-กัมพูชา จึงต้องสะกดรอยตาม“เหลี่ยม”ต่อครับ!



สอดแนมการเมือง
โดย : ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย

มนุษย์-จะสูญสิ้นความดี ทันทีที่มนุษย์คนนั้นถูกความโลภยึดครองหัวใจ!

ภูมิภาคแถบบ้านเรากำลังยุ่งขิง เพราะ “พญาอินทรี”บินมาเผชิญหน้ากับ“มังกร” เพื่อแย่งยึดอำนาจและผลประโยชน์ในภูมิภาคนี้

ประธานาธิปดีโอบามา ได้ประกาศแผนยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงระหว่างประเทศใหม่ เนื้อหาหลักคือ การเพิ่มสัดส่วนกองกำลังทางทะเล ในภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิก เป็น 60% ภายในปี พ.ศ. 2563

ปัจจุบันอเมริกาวางกำลังทางทะเล 50:50 ระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกกับแอตแลนติก โดยมีกองเรือรบประมาณ 285 ลำ

นอกจากเคลื่อนย้ายเรือรบแล้ว กลาโหมสหรัฐฯยังเพิ่มจำนวนการซ้อมรบร่วม ทั้งทางบก-น้ำ-อากาศ กับประเทศที่มีข้อตกลงทางทหารกับสหรัฐฯ และประเทศพันธมิตรที่ต่อต้านจีน ทั้งญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และออสเตรเลีย เป็นต้น

ปี 2554 กองทัพสหรัฐฯได้ซ้อมรบร่วมกับกองทัพ 24 ประเทศในเอเซีย-แปซิฟิก รวม 172 ครั้ง ปีนี้และปีต่อๆ ไปจะมีการซ้อมรบเพิ่มขึ้นมากมาย

นั่นยังไม่รวมการตั้งหน่วยบินสอดแนม ทางทะเลจีนใต้และทางตะวันตกของออสเตรเลีย อีกทั้งเพิ่มฐานปฏิบัติการเรดาร์สอดแนมในแดนจิงโจ้ตอนใต้ด้วย

นี่คือ แผน“ปิดล้อมจีน”ที่อเมริกาถือเป็นปรปักษ์สำคัญที่สุดในวันนี้!

จีนนั้น..เป็นประเทศที่เจริญเติบโตเร็วมาก จนกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ได้ประเมิน อำนาจทางการทหารของจีนล่าสุดว่า กองทัพจีนจะเป็นภัยคุกคามภูมิภาคนี้และต่อสหรัฐในอนาคต จนเกิดยุทธศาสตร์ปิดล้อมจีนทางการทหารของสหรัฐฯ

วันนี้กองทัพจีนยังด้อยกว่าสหรัฐ จากข้อมูลเปรียบกองทัพทั้งสองฝ่าย ในปี 2010 สหรัฐฯมีกำลังทหาร 1.58 ล้านคน-จีนมี 2.0 ล้านคน สหรัฐมีเครื่องบินรบ 2,379 ลำ-จีนมี 1,320 ลำ สหรัฐฯ มีเรือดำน้ำ 71 ลำ- จีนมี 65 ลำ สหรัฐฯ มีเรือรบ 57 ลำ-จีนมี 65 ลำ สหรัฐฯ มีเรือบรรทุกเครื่องบิน11 ลำ-จีนไม่มีสักลำ สหรัฐฯ มีจรวดนิวเคลียร์ 9,400 ลูก- จีนมี 240 ลูก

ทว่า..ช่วงหลังจีนได้พัฒนากองทัพบก-เรือ-อากาศ-อวกาศ จนมีประสิทธิภาพทันสมัยขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกองทัพเรือจีนสามารถปฏิบัติการได้ไกลฝั่งมากขึ้น และมีขีดความสามารถมากขึ้น มีการเพิ่มจำนวนเรือดำน้ำ เรือพิฆาต เรือฟรีเกต และเครื่องบินรบทันสมัยยิ่งขึ้น รวมไปถึงการสร้างเรือบรรทุกเครื่องบินอีกหลายลำ อีกทั้งพัฒนาหัวรบนิวเคลียร์ทั้งยิงระยะใกล้และไกล วางระบบควบคุมบังคับการ การติดต่อสื่อสารด้วยระบบคอมพิวเตอร์และดาวเทียม ฯลฯ

ในปี 2564-2583 จีนเชื่อว่า ขีดความสามารถกองทัพเรือจีน จะทัดเทียมกับสหรัฐฯ และรัสเซีย นั่นคือ จะสามารถปฏิบัติการทางการทหารได้ทุกแห่งในโลกใบนี้

สหรัฐฯปิดล้อมจีนด้วยการทำตัวเป็น“ตำรวจโลก” นั่นคือ หนุนให้ประเทศที่ขัดแย้งทางด้านเขตแดนที่มีทรัพยากรน้ำมันแข็งกร้าวต่อจีน เพื่อเรียกร้องให้สหรัฐฯเข้ามาเป็น“คนกลาง”ไกล่เกลี่ย

เฮียเหลี่ยมเลยฉวยโอกาส “กอดขา”สหรัฐฯ เพราะเชื่อว่าศักยภาพกองทัพสหรัฐฯนั้นเหนือกว่าจีน โดยหวังว่า“พญาอินทรี”จะคุ้มครองรัฐบาล“ปูหนีบ” อีกทั้งช่วยเฮียเหลี่ยม-ฮุนเซนยึดบ่อน้ำมันใต้ทะเลไทย-กัมพูชาราบรื่น เฮียเหลี่ยมจึงสั่งรัฐบาล“ปูหนีบ“ให้ยกสนามบิน“อู่ตะเภา”เอาใจอเมริกาไงล่ะครับ

เอาล่ะ..กลับมาตามรอยเฮียเหลี่ยมฮุบบ่อก๊าสและน้ำมันต่อดีกว่า...นิตยสาร Positioning ฉบับเดือนกรกฎาคม 2008 ระบุว่า นาย TE DUONG TARA ผู้อำนวยการ Cambodian National Petroleum Authority ได้รายงานต่อที่ประชุมอาเซียนครั้งที่ 4 ว่าด้วยเรื่องเทคโนโลยีปิโตรเลียม ว่า

ประเทศกัมพูชาได้มีการสำรวจแหล่งพลังงาน และได้พบแหล่งก๊าซ-น้ำมันทั้งบริเวณนอกและตามชายฝั่ง รวมทั้งทะเลสาบโตนเลใจกลางประเทศกัมพูชามากมาย และทางกัมพูชาได้ให้ต่างชาติ เข้าไปสำรวจขุดเจาะพื้นที่ นอกชาย ฝั่งในอ่าวไทยบางส่วนแล้ว เช่น เชฟรอนและปตท.สผ. บริษัทลูกของ ปตท. แม้บริเวณพื้นที่ดังกล่าวยังทับซ้อนกันอยู่ แต่กัมพูชาและไทยได้มีข้อตกลงที่ลงตัวเรียบร้อยแล้ว

นัยตรงนี้คือ..แม้ไทย-กัมพูชายังไม่ได้แบ่งเขตแดน ในพื้นที่ทับซ้อนใต้ทะเลไทย-กัมพูชากันอย่างชัดเจน แต่รัฐบาล“ปูหนีบ”จงใจจะไม่สนใจเรื่องเขตแดนแล้ว หรือไม่สนใจว่าน้ำมันจะอยู่ในเขตแดนไทยมากกว่าฝั่งเขมร เพราะเฮียเหลี่ยมเร่งจะโกยผลประโยชน์เข้ากระเป๋า จึงใช้วิธีแบ่งน้ำมันกันคนละครึ่งไปเลยครับ

จังหวัดเกาะกง-ก็เป็นอีกพื้นที่หนึ่งของกัมพูชา ที่มีทั้งก๊าซ-น้ำมันมหาศาล ทั้งยังอยู่ใกล้แหล่งขุดเจาะน้ำมันของบริษัทต่างๆที่ได้สัมปทานไปแล้ว ดังนั้น เฮียเหลี่ยมจึงเช่าเกาะกงจากฮุนเซน 99 ปี เพื่อใช้เป็นพื้นที่ให้บริการกับนักลงทุนธุรกิจน้ำมัน ด้วยการพัฒนาเกาะกงให้เป็นเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่

เรื่องนี้ พลเอกเตีย บัญ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กัมพูชา เป็นผู้เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า

“หลังรัฐบาลทักษิณของไทยได้ให้ความช่วยเหลือกับกัมพูชา ในการสร้างถนนหมายเลข 48 ที่เชื่อมการเดินทางจากชายแดนไทย-เกาะกง ไปยังกรุงพนมเปญให้สะดวกขึ้น ทักษิณได้บอกว่า จะมาลงทุนธุรกิจพลังงาน เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติในกัมพูชา โดยได้หารือกับสมเด็จฯ ฮุนเซน นายกฯ กัมพูชาเรียบร้อยแล้ว”

การเปิดถนนหมายเลข 48 ครั้งนั้น มีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในฐานะน้องเขยทักษิณไปร่วมด้วย

เฮียเหลี่ยมได้ดึง นายโมฮัมเหม็ด อัลฟาเยด เจ้าของห้างแฮร์รอดส์ในประเทศอังกฤษมา มาร่วมธุรกิจในเกาะกงด้วย เพราะอัลฟาเยดเป็นคนที่ทักษิณสนับสนุนช่วยเหลือ ให้หากินอยู่ในอ่าวไทยมานานแล้ว

โดยในเดือนธันวาคม 2542 สื่อต่างชาติอย่างน้อย 2 แห่ง คือ Asian Economic News และนิตยสาร Offshore ได้ลงข่าวพร้อมกันว่า

หลังจากโมฮัมเหม็ด อัลฟาเยด ได้จัดตั้ง บริษัท แฮร์รอดส์ เอเนอร์ยี (Harrods Energy) ในเมืองไทยต่อมาในปี 2547 ก็ได้สิทธิสำรวจน้ำมันใน 4 แปลงขุดเจาะของอ่าวไทย คือ B2/38, B11/32,B11/38 และ B12/32 ห่างจากชายฝั่งระยอง 150 กิโลเมตร โดยมีศักยภาพในการขุดเจาะน้ำมัน วันละ 8,000 บาร์เรล

การสำรวจขุดเจาะในครั้งนั้น Harrods Energy เป็นผู้ถือหุ้น 50% ในการลงทุนสำรวจ ขณะที่ ปตท.สผ.ถือหุ้นอีก 50 % ที่เหลือ ภายหลังนิตยสาร Positioning ในเครือ“เอเอสทีวีผู้จัดการ”รายงานว่า แฮร์รอดส์ เอเนอร์ยี ได้เปลี่ยนชื่อเป็น“เพิร์ลออยล์”แล้ว

บริษัท แฮร์รอดส์ เอ็นเนอร์ยี่ จดทะเบียนในเมืองไทย เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม2541 ต่อมาในปี 2547 ได้เปลี่ยนชื่อ เป็นเพิร์ล ออยล์ โดยการเข้ามาเทคโอเวอร์ของ Pearl Energy Pte. Ltd. ที่มีฐานอยู่ในประเทศสิงคโปร์ โดยบริษัทนี้ กลุ่มทุนเทมาเส็ก (Temasek)แห่งสิงคโปร์ ได้ถือหุ้นผ่านทาง Mubadala Development
เป็นที่รู้ๆกันอยู่ว่า “กลุ่มเทมาเส็ก”มีความสัมพันธ์แนบแน่น และเป็นผู้ซื้อดาวเทียมไทยคม ในช่วงที่ทักษิณเป็นนายกฯ ของประเทศไทย!

หุ้น เพิร์ลออยล์ มีความสลับซับซ้อนอย่างยิ่ง ในทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาทนั้น ผู้ถือหุ้นใหญ่ 99.99% คือ บริษัทเพิร์ลออยล์ (สยาม) คิดเป็น มูลค่า 99.994 ล้านบาท หรือเฉลี่ยราคาหุ้นละ 1,000 บาท มีผู้ถือหุ้นอื่นเป็นชาวแคนาดา 1 คน อินโดนีเซีย 3 คน อังกฤษ 1 คน และอเมริกา 1 คน ถือหุ้นเพียงคนละ 1 หุ้นโดย”เพิร์ลออยล์ (สยาม) จดทะเบียนอยู่ในหมู่เกาะฟอกเงินชื่อดัง“บริติชเวอร์จิน”

เฮียเหลี่ยมก็ตั้งหลายบริษัทไว้ทำมาหากิน แบบไม่โปร่งใสอยู่บนเกาะฟอกเงินแห่งนี้เช่นกัน!

แหม..กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม..หน้ากระดาษหมดเสียแล้ว..ฉบับหน้าเจอกันครับ


สอดแนมการเมือง
โดย : ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย

การปล้นชาติปล้นประชาชนครั้งใหญ่ๆของมหาโจรการเมือง มิเคยทำได้ด้วยมหาโจรเพียงคนเดียว!

ต้องให้ความยุติธรรมกับปตท. ตรงที่จู่ๆผู้บริหารปตท.จะค้ากำไรเกินควรถึงปีละกว่าแสนล้านบาท โดยไม่สนใจผลกระทบในทางลบต่อเศรษฐกิจชาติ และความทุกข์ยากของคนไทยเลยนั้น..ปตท.ทำ“คนเดียว”ไม่ได้แน่นอน..

หากแต่ต้องมีรัฐบาลไทยที่จงใจ ปล่อยให้ปตท.ค้าขายน้ำมันอย่างไม่เป็นธรรม หรือถึงรัฐบาลไทยจะรู้เห็นถึงความไม่ชอบธรรมนี้ แต่รัฐบาลไทยก็จงใจไม่เอาผิด ปตท. ด้วยการ“เอาหูไปนาเอาตาไปไร่”ครับ

เฮียเหลี่ยม-ผู้มีผลประโยชน์ได้เสียมหาศาลในปตท. จึงให้ปูแดงเป็น“นางเอกตาบอดสนิท” ที่สวมบทเป็นผู้นำรัฐบาลในหนังเรื่อง“รีดเลือดจากปู” โดยปูแดงต้องแสร้งไม่รู้เท่าทันเล่ห์ การค้าขายน้ำมันอันไม่ชอบธรรมหลากรูปแบบ เพื่อปล่อยให้ ปตท.ทำกำไรเกินควรได้อย่างสบายใจเฉิบ

งานนี้..เฮียเหลี่ยมและรัฐบาลปูแดงกับ ปตท. จับมือกันต้มตุ๋นคนไทยทั้งชาติแบบซึ่งๆ หน้าเลยล่ะ!

ทั้งๆ ที่ปูแดงเคยหาเสียงไว้ว่า ถ้าเป็นรัฐบาล..เดี้ยนจะยุบกองทุนน้ำมัน-ลดราคาน้ำมัน เพื่อ..เดี้ยนจะกระชากราคาสินค้าแพงลงทันที!

แต่แล้วปูแดงกลับไม่ทำตามที่พูด เพราะหากปูแดงทำตามวาจาที่ลั่นไว้ กำไรกว่าแสนล้านบาทต่อปีของ ปตท.จะหดหายไปด้วย ซึ่งจะทำให้เฮียเหลี่ยมไม่แฮปปี้ปูแดง เพราะเงินกำไรในหุ้น ปตท.จะหายวับไปกับตาอย่างมากมายน่ะสิ..จริงใหม?

ผลประโยชน์เฮียเหลี่ยมต้องสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ดังนั้น ปูแดงจึงต้องทำตามใจเฮียเหลี่ยม โดยยอมผิดคำพูดตนเองที่หาเสียงไว้กับประชาชน เพราะเธอรู้ดีว่า..ชาตินี้ชาติหน้าตอนบ่ายๆ หญิงสมองกลวงอย่างเธอไม่มีวันจะได้เป็นายกฯประเทศไทยเด็ดขาด การได้เป็นนายกฯของประเทศไทยครั้งนี้ ก็เพราะเฮียเหลี่ยมผู้พี่ชายอุปถัมภ์-อุปโลกภ์ ยกตำแหน่งนายกฯหุ่นเชิดให้เธอต่างหาก

ชีวิตนายกฯหุ่นที่ไร้อำนาจอย่างปูแดง จึงห่วงแต่เสื้อผ้า-หน้า-ผมที่จะสวมใส่ ไปเดินโชว์ในประเทศต่างๆเท่านั้น จะได้ลบปมด้อยนายกฯสมองกลวงดุจตุ๊กตาบาร์บี้ แต่มีดีตรงเธอสวมใส่เสื้อผ้าสวยไม่ซ้ำกันทั้งปีเลยนะจ๊ะ..ฮ่าฮ่าฮ่า..

เมื่อรัฐบาลเฮียเหลี่ยม-ปูแดงแอบค้ำชู ปตท.ก็กลายเป็นองค์กรเส้น“ก๊วยจั๋บ” จะทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจเพราะรัฐเป็นใจให้ ยิ่งได้ นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ คนสนิทเฮียเหลี่ยมมาเป็นรมว.พลังงานด้วยแล้ว ใครก็ขวางการทำกำไรสูงสุดให้ผู้ถือหุ้นไม่ได้อีกต่อไป

เมื่อ ปตท.ขูดรีดคนไทยจนร่ำรวย ย่อมมิใช่แค่เฮียเหลี่ยมจะรวยตามเท่านั้น แต่ผู้บริหาร ปตท.ก็รวยอู้ฟู่ด้วยเช่นกัน!

รายงานประจำปี ปตท.ระบุชัดเจน เฉพาะบอร์ด ปตท.15 คนนั้น ได้เบี้ยประชุม-โบนัส ในปี 2549 เป็นเงิน 40,330,089.04 บาท ปี 2550 เป็นเงิน 42,059,439,.91 บาท

“ผี-โม่แป้ง”ของตระกูลชินอย่าง ทั้งนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.ศึกษาฯ รฐบาลปูแดง และนายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกฯ สมัยรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และที่ปรึกษารัฐบาลปูแดง ก็เคยเป็นบอร์ด ปตท. โดยเฉพาะนายโอฬารนั้น เป็นตัวจักรสำคัญที่แปรรูป ปตท.ไปเข้าตลาดหลักทรัพย์ให้เฮียเหลี่ยม!

ส่วนผู้บริหารระดับสูงของ ปตท. ตั้งแต่กรรมการผู้จัดการใหญ่ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ และผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ได้ทั้งเงินเดือน-โบนัส รวมแล้วประมาณ 74 ล้านบาท ผู้บริหารที่มีหุ้นมากที่สุดในตอนนั้น คือ

นายจิตรพงษ์ กว้างสุขสถิตย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจสำรวจ ผลิต และก๊าซธรรมชาติ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 มีหุ้นเหลืออยู่ 175,830 หุ้น คิดเป็นมูลค่าประมาณ 65,408,760 บาท

ส่วนนายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. ที่วันนี้เจ้าตัวยืนยันว่าไม่มีหุ้นแล้ว แต่หากย้อนหลังไปเมื่อปี 2548 เขาได้หุ้น ESOP เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2548 จำนวน 243,000 หุ้น ( บันทึกราคาที่ 0.00 บาท) และ1 ปีให้หลังได้โอนออก 60,700 หุ้น และ 29 กันยายน 2549 ได้อีก 119,000 หุ้น จากนั้นตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2550 ได้ขายออกครั้งละ 5,000 หุ้นบ้าง 60,000 หุ้นบ้าง ในราคาเฉลี่ย 330-370 บาท จนล่าสุดเมื่อ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2550 ได้ ESOP อีก 87,000 หุ้น

ความร่ำรวยของ ปตท.บนความลำบาก เลือดตาแทบกระเด็นของคนไทย ทั้งจากการคิดราคาน้ำมันอย่างไม่เป็นธรรม โดยใช้ข้อกฎหมายแบบเอาแต่ได้เห็นแก่ตัวว่า ปตท.เป็นบริษัทเอกชนทั่วไป ต้องทำกำไรสูงสุดให้กับผู้ถือหุ้น ส่วนการผูกขาดธุรกิจน้ำมันนั้น ปตท.อ้างตนเป็นรัฐวิสาหกิจที่มีคลังถือหุ้น 51% กฎหมายผูกขาดฯ จึงเอาผิดกับ ปตท.ไม่ได้!

ปตท.ผูกขาดธุรกิจโรงกลั่นทั้งหมด 5 โรง จากโรงกลั่นทั้งหมด 7 โรง คิดเป็นกำลังการผลิตกว่า 70 % ของทั้งประเทศ ปั๊มน้ำมันทั่วประเทศต้องซื้อน้ำมันจากโรงกลั่นในเครือ ปตท.แทบทั้งสิ้น

เมื่อโรงกลั่นต้องทำกำไร ปตท.ก็อ้างอิงราคาน้ำมันในตลาดสิงคโปร์ ทั้งๆที่โรงกลั่นซื้อน้ำมันดิบส่วนใหญ่ จากประเทศตะวันออกกลาง และบางส่วนก็ซื้อน้ำมันดิบในประเทศไทยนี่เอง

เพราะประเทศไทยมีก๊าสและน้ำมันมากมาย ทั้งยังเป็นประเทศที่ส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปไปขายให้ต่างชาติ มากกว่าบางประเทศที่เป็นสมาชิกโอเปกด้วยซ้ำไป แต่ที่คนไทยต้องซื้อน้ำมันราคาแพงเท่าตลาดโลก ก็เพราะปตท.เล่นกินกำไรสองต่อ นั่นคือ เอาน้ำมันคุณภาพดีของไทยไปขายให้ต่างชาติ ทำกำไรต่อแรกเข้ากระเป๋าก่อน จากนั้นก็สั่งซื้อน้ำมันคุณภาพต่ำมากลั่นในประเทศไทย แล้วขายน้ำมันให้คนไทยในราคาตลาดโลก เอาเงินเข้ากระเป๋าอีกครั้งไงครับ!

สูตรการปั่นราคาน้ำมันให้สูงขึ้น คือ ราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่น=ราคานำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจากต่างประเทศ (Import parity Price) ที่มาจากราคาน้ำมันจรในตลาดจรที่สิงคโปร์ (FOB) + ค่าขนส่ง + ค่าประกันภัย + ค่าจัดเก็บน้ำมัน + ภาษีศุลกากรนำเข้า

ค่าการตลาด = ค่าสารปรับปรุงคุณภาพ + ค่าขนส่ง + ค่าส่งเสริมการตลาด + ค่าผลตอบแทนในการดำเนินธุรกิจ

ราคาน้ำมันแพงนั้น จึงไม่ใช่เพราะตลาดโลกหรือเพราะตลาดสิงคโปร์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น นายประเสริฐเคยเฉลยออกมาแล้วว่า ปตท.ต้องทำกำไรเพราะปตท.อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ(โว้ย)?

อย่างไรก็ตาม..นายประเสริฐอดีตผู้บริหาร ปตท. ก็เคยหลุดความในใจออกมาว่า ปตท.พร้อมทำทุกอย่างตามนโยบายรัฐบาล นั่นคือ

“อยู่ที่ว่าสังคมไทยอยากให้ปตท.เป็นอย่างไร..ผมเป็นผู้บริหาร-เป็นพนักงาน ปตท. ผมก็อยากทำอะไรให้ดีที่สุดแก่ทุกฝ่าย..ถ้าเอา ปตท.เป็น Non Profit Organization ก็อย่าให้ ปตท.เป็นบริษัทอยู่ในมหาชน ก็เอา ปตท.ออกจากตลาดฯ ปตท.ก็จะเป็นเหมือนรัฐวิสาหกิจ..”

แปรรูป ปตท.มาขูดรีดคนไทย-มันดีตรงใหน? หาก ปตท.เป็นรัฐวิสาหกิจ-ก็ต้องมีพันธกิจ-มีวัตถุประสงค์-มีเป้าหมาย จะต้องทำความมั่นคงทางพลังงานให้กับชาติจริงๆ มิใช่ทำแต่กำไรให้นายทุนผู้ถือหุ้นเท่านั้น ปตท.จะตั้งหน้าตั้งตาเอาเปรียบประชาชนไม่ได้..จริงใหม? คนไทยก็คงไม่ยอมเสียเงินภาษี สร้าง ปตท.ให้เป็นองค์กร“หน้าเลือด”หรือ “หน้าเนื้อใจเสือ”อย่างนี้แน่นอน..จริงไหมล่ะ?

ฉบับหน้า..จะมารู้จักบริษัทค้าขายพลังงานของเฮียเหลี่ยมกับพวกต่อนะครับ!



ผมมีวันนี้ เพราะพี่ให้ " ผบชน.

เปิดห้องทำงานคำรณวิทย์พบภาพทักษิณติดหราประดับยศพล.ต.ท.ให้เมื่อ 29 มิ.ย.2555 อวยพรขอให้เป็นที่รักของประชาชน เผยติดข้อความอย่างภาคภูมิใจ”มีวันนี้เพราะพี่ให้”
เมื่อวันที่ 4 กันยายนที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. ได้เปิดห้องทำงานให้สื่อมวลชนสัมภาษณ์ความคืบคดีที่นายวรยุทธ อยู่วิทยา ลูกชายของ นายเฉลิม อยู่วิทยา ผู้บริหารเครื่องดื่มกระทิงแดง ขับรถเฟอร์รารี ชนด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ อายุ 47 ปี อดีตผบ.หมู่งานปราบปราม สน.ทองหล่อ เสียชีวิต
สำหรับห้องทำงานของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ได้เลือกเอาห้องรับรองที่อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาลคนก่อนๆใช้ ปรับเปลี่ยนเป็นห้องทำงานแทน ผู้สื่อข่าวพบว่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ได้แขวนภาพถ่ายที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ประดับยศพล.ต.ท.ให้ และภาพ พ.ต.ท.ทักษิณจับมือแสดงความยินดี จำนวน 2 ภาพ
ทั้งนี้ในรูประบุวันที่ถ่ายคือ 29/6/2012  (วันที่ 29 มิถุนายน 2555)โดยมีลายมือของ พ.ต.ท.ทักษิณ เขียนบนรูปว่า “ขอแสดงความยินดีกับแจ๊ดน้องรัก ขอให้มีความสำเร็จในหน้าที่การงานเป็นที่รักของประชาชนและเพื่อนตำรวจ รัก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร (29 มิ.ย.55)” พร้อมป้ายจารึกข้อความ “มีวันนี้เพราะพี่ให้” เหนือป้ายชื่อ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ด้วย
                                                                                                
ทั้งนี้แสดงว่าพล.ต.ท.คำรณวิทย์ได้พบกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในวันที่ 29 มิถุนายน 2555 โดยไม่ทราบสถานที่เดินทางไปพบ
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2555 พลตำรวจเอก เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีคำสั่งให้ พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น.ย้ายไปช่วยราชการที่สำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นระยะเวลา 30 วัน พร้อมกับมอบให้ พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 เข้ามารักษาราชการ และปฏิบัติหน้าที่แทน โดยให้มีผลทันที
จากนั้นก็ได้มีการเลื่อนยศ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ให้เป็น พลตำรวจโท (พล.ต.ท.) และดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาล
ต่อมาพล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดผลผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) โดยมี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจระดับผู้บัญชาการ และรองผู้บัญชาการ นอกวาระประจำปี ว่า ที่ประชุมมีมติเอกฉันท์เห็นชอบตามบัญชีที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เสนอ ซึ่งผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากคณะกรรมการคัดเลือก (บอร์ดกลั่นกรอง) จำนวน 4 ตำแหน่ง ประกอบด้วย
พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1
พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 เป็นผู้บัญชาการตำรวจนครบาล
พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เป็นรองจเรตำรวจแห่งชาติ (สบ 7)
พล.ต.ต.ปริญญา จันทร์สุริยา รอง ผบช.ภ.1 เป็นรอง ผบช.น.
ส่วนตำแหน่ง รอง ผบช.ภ.1 ที่ว่าง 2 ตำแหน่ง และตำแหน่ง รอง ผบช.ก. ที่ยังว่าง ให้นำไปพิจารณารวมกับการแต่งตั้งโยกย้าย ในการแต่งตั้งโยกย้ายวาระประจำปีที่จะถึงนี้ โดยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้เหตุผลต่อที่ประชุมว่าทุกคนมีความรู้ความสามารถ เพื่อเหมาะสมกับสภาพพื้นที่เนื่องในสถานการณ์ปัจจุบัน
รายงานข่าวเปิดเผยว่าในช่วงสัปดาห์ก่อนหน้าวัดเกิดพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร วันที่ 26 กรกฎาคมนั้นได้มีบรรดานักการเมือง,นักธุรกิจ,ข้าราชการและ ฯลฯเดินทางไปพบพ.ต.ท.ทักษิณที่ฮ่องกง  ในส่วนของตำรวจมีพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร.,พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. และ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ว่าที่ผบ.ตร.ที่เดินทางไปเมื่อสุดสัปดาห์ประมาณวันที่ 21 กรกฎาคม
นอกจากนี้ยังมี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯและ พล.อ.อ. สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ก็เดินทางไปเมื่อวัน ที่ 21 ก.ค. ช่วงสุดสัปดาห์เช่นกัน


ที่มา. AEC

รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง