บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ณอคุณ บนตำแหน่งประธานบอร์ด ปตท.กับคำถามเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ตัวบทไม่ชัดเจน หรือ ตาโตกับค่าจ้าง?


"ณอคุณ" กลับรับตำแหน่งประธานบอร์ด ปตท. เมินข้อเสนอ ป.ป.ช. ที่ห้ามข้าราชการเป็นประธานในรัฐวิสาหกิจหรือบริษัทด้านสาธารณูปโภค อ้างไม่มีข้อห้ามและเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ เผย ปี 2553 ได้ค่าจ้าง 3.3 ล้าน

ด้วยข้ออ้างว่า ไม่มีใครปฏิบัติตามข้อแนะนำของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และไม่มีข้อห้าม “ณอคุณ สิทธิพงศ์” ปลัดกระทรวงพลังงาน จึงได้หวนคืนตำแหน่งประธานกรรมการ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) อีกครั้งหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ นายนริศ ชัยสูตร รักษาการประธานกรรมการ ปตท. ได้แจ้งลาออกจากตำแหน่งต่อที่ประชุม และเสนอชื่อนายณอคุณให้กลับมารับตำแหน่งอีกครั้ง หลังจากได้ลาออกจากตำแหน่งประธานบอร์ดไปเมื่อ 24ธันวาคม 2553แต่ยังคนนั่งเป็นกรรมการบอร์ดอยู่ โดยอ้างว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีต้องการให้เกิดความโปร่งใสในการบริหารงาน ปตท.
นายนริศให้เหตุผลในลาออก ว่า
“เป็นเพราะก่อนหน้านี้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีข้อเสนอแนะต่อ ครม.ว่า ควรหลีกเลี่ยงการให้ข้าราชการระดับสูงเป็นประธานกรรมการรัฐวิสาหกิจที่ เกี่ยวข้องกับกิจการสาธารณูปโภค ซึ่งนายณอคุณได้แสดงสปิริตโดยลาออกจากตำแหน่งประธานกรรมการ ปตท. ผมจึงทำหน้าที่รักษาการมากว่า 7เดือน แต่ที่ผ่านมาไม่มีกระทรวงใดปฏิบัติตามข้อแนะนำของ ป.ป.ช. เมื่อ ครม. สอบถามไปยัง ป.ป.ช. ว่ามีข้อกำหนดว่าห้ามปลัดกระทรวงมาเป็นประธานกรรมการรัฐวิสาหกิจใด ซึ่ง ป.ป.ช. ตอบข้อหารือว่าเป็นเรื่องที่ ครม. ต้องพิจารณาเอง จึงเท่ากับว่าไม่มีข้อห้ามดังกล่าว
“เมื่อชัดเจนแล้วว่าไม่มีข้อห้ามดังกล่าว ประกอบกับในเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา ที่ประชุมผู้ถือหุ้นได้แต่งตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ ผมจึงใช้โอกาสนี้หยุดทำหน้าที่รักษาการประธานกรรมการ และคืนความถูกต้องให้ปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธานตามเดิม เพื่อให้การบริหาร ปตท. เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง เพราะที่ผ่านมาปลัดกระทรวงพลังงานทุกคนจะเป็นประธานบอร์ด ปตท. ซึ่งกรรมการทุกคนมีมติเป็นเอกฉันท์ และไม่มีการเสนอชื่อผู้อื่นมาเป็นประธานนอกจากนายณอคุณ” (เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ วันเสาร์ที่ 23กรกฎาคม 2554)
กรณีดังกล่าว สื่อมองต่างมุม  สื่อบางสำนักชี้ว่า ไม่เกี่ยวกับการเมือง แต่สื่อบางสำนักยืนยันว่า การกลับคืนตำแหน่งประธานบอร์ดของนายณอคุณหนนี้เป็นผลกจากการเมืองเปลี่ยน ขั้ว
ย้อนดูประวัตินายณอคุณ เขาเคยเป็นรองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ช่วงปี 2544-2546ในยุคที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ  ต่อมาย้ายเข้ามารับตำแหน่งรองปลัดกระทรวงพลังงานเมื่อปี 2546และเข้ารับตำแหน่งประธานบอร์ด ปตท. ครั้งแรกปลายปี 2550หลังจากที่ นายพรชัย รุจิประภา ปลัดกระทรวงพลังงานในขณะนั้นได้ลาออกไป กระทั่งนายณอคุณได้ขึ้นเป็นปลัดกระทรวงพลังงานในเดือนตุลาคม 2553
หากยังจำกันได้ 24มกราคม 2554คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบมาตรการป้องกันการทุจริตของรัฐวิสาหกิจ หนึ่งในนั้นคือหลักเกณฑ์การแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงตั้งแต่ระดับผู้อำนวย การสำนัก ที่มีอำนาจหน้าที่ควบคุมกำกับทั้ง ด้านนโยบายและด้านปฏิบัติการเป็นประธาน หรือกรรมการในรัฐวิสาหกิจ บริษัทจำกัด หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่ดำเนินการเกี่ยวกับสาธารณูปโภค และมีวัตถุประสงค์ในการแสวงหากำไร
ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งภายหลัง ครม. ได้สั่งการให้หน่วยงานราชการไปวิเคราะห์ผลกระทบให้ชัดเจนอีกครั้ง โดยอ้างว่าข้อเสนอของ ป.ป.ช. ยังไม่มีความชัดเจน และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีมีความเห็นว่ามีปัญหาในทางปฏิบัติ อาจกระทบต่อการกำกับดูแลกิจการของรัฐวิสาหกิจและการรักษาผลประโยชน์ของรัฐ
และยังให้วิเคราะห์ว่าข้อเสนอของ ป.ป.ช. จะครอบคลุมหรือมีผลกระทบต่อรัฐวิสาหกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งมี พ.ร.บ.กำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กำกับดูแลอยู่แล้วหรือไม่
นี่คือ ประเด็นที่นายนริศยกขึ้นเป็นเหตุผลว่า เหตุใดนายณอคุณจึงควรกลับมานั่งบอร์ด ปตท. บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งมีสถานะคลุมเครือ บางครั้งหยิบยกสถานะของการเป็นรัฐวิสาหกิจมาใช้ แต่บางครั้งก็ใช้สถานะของการเป็นบริษัทมหาชน
ทีนี้ ลองย้อนกลับไปอ่านรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ‘ธรรมาภิบาลในระบบพลังงานของประเทศ’ ซึ่งที่ประชุมวุฒิสภามีมติเห็นด้วยเมื่อวันอังคารที่ 4พฤษภาคม 2553ได้ระบุไว้ชัดเจนว่า
‘ปัญหาพื้นฐานที่สำคัญประการหนึ่งในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติด้าน ปิโตรเลียมของไทยเกิดจากปัญหาด้านธรรมาภิบาลในการกำกับดูแล เนื่องจากบทบาทอันซ้อนทับกันในลักษณะที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (Conflict of Interest) ระหว่างเจ้าพนักงานของรัฐที่มีหน้าที่กำกับดูแลภาคธุรกิจและกำหนดนโยบาย เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อรัฐและประชาชนได้เข้าไปดำรงตำแหน่งกรรมการธุรกิจ พลังงานควบคู่ไปด้วย ซึ่งโดยภาระหน้าที่ของกรรมการในธุรกิจพลังงานนั้นคือการสร้างกำไรสูงสุดให้ แก่บริษัท บทบาทและหน้าที่ที่ทับซ้อนกันนี้จึงมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้นโยบายของ รัฐอาจถูกครอบงำจากผลประโยชน์ของภาคธุรกิจได้’
ในรายงานภาคที่ 2ยังเปิดเผยว่า ในช่วงปี 2550ที่มี นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้มีการแก้ไข พ.ร.บ.คุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ ฉบับที่ 5และ 6เปิดช่องให้ข้าราชการระดับสูงสามารถดำรงตำแหน่งในนิติบุคคลที่รัฐวิสาหกิจ เป็นผู้ถือหุ้น และให้ข้าราชการที่เป็นกรรมการในรัฐวิสาหกิจสามารถเข้าไปดำรงตำแหน่งเป็น ประธานกรรมการ กรรมการ หรือผู้บริหารในนิติบุคคลที่รับสัมปทาน ร่วมทุน หรือมีประโยชน์ได้เสียเกี่ยวข้องกับกิจการของรัฐวิสาหกิจนั้น เมื่อได้รับมอบหมายจากรัฐวิสาหกิจที่ตนเป็นกรรมการ
การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐระดับสูงจากหน่วยงานต่างๆ ซึ่งมีหน้าที่กำหนดนโยบายและกำกับดูแลกิจการพลังงานมิได้ใช้บทบาทในฐานะ กรรมการซึ่งเป็นตัวแทนของรัฐวิสาหกิจผลักดันให้กิจการพลังงานเกิดการแข่งขัน อย่างเสรีและเป็นธรรม แต่กลับปล่อยให้ธุรกิจพลังงานขนาดใหญ่อย่างบริษัท ปตท. สามารถถือหุ้นในกิจการด้านพลังงานให้สัดส่วนที่สูง เช่น การปล่อยให้ ปตท. เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในโรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่ 5แห่งจาก 6แห่ง ซึ่งทำให้ไม่เกิดการแข่งขัน
ในด้านธุรกิจก๊าซธรรมชาติ รัฐยังได้ให้สิทธิพิเศษแก่ ปตท. โดยไม่ดำเนินการตามคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดที่ให้ ปตท. คืนท่อส่งก๊าซทั้งบนบกและในทะเลซึ่งเป็นสาธารณสมบัติที่ได้มาโดยการใช้อำนาจ มหาชนให้กับกระทรวงการคลัง แต่กลับยอมให้ ปตท. เป็นผู้ประเมินค่าท่อส่งก๊าซใหม่ ทำให้ ปตท. สามารถขึ้นค่าผ่านท่อก๊าซได้จากมูลค่าทรัพย์สินที่ประเมินเพิ่มขึ้น เสมือนว่า ปตท. ยังเป็นเจ้าของท่ออยู่ อันขัดกับคำสั่งของศาลปกครองสูงสุด
ในรายงานภาคที่ 2ยังได้อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ ปี 2553พบว่า นายณอคุณนอกจากจะดำรงตำแหน่งประธาน บอร์ด ปตท. ซึ่งแม้จะลาออกในเดือนตุลาคม แต่ยังคงนั่งเป็นกรรมการอยู่ เขายังดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ บริษัท ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน), ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ ปตท. อีกด้วย
เมื่อกลับไปดูค่าตอบแทนที่ ปตท. จ่ายให้แก่นายณอคุณเมื่อปี 2551ในฐานะประธานกรรมการที่ปรากฏอยู่ในรายงานของวุฒิสภา ซึ่งประกอบด้วยเงินโบนัสจ่ายจริง 2,212,851.20บาท และค่าเบี้ยประชุม 770,887.10บาท รวมแล้ว นายณอคุณรับไป 2,983,738.30บาท
และจากการตรวจสอบของ ศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง (TCIJ) พบว่า ปี 2552นายณอคุณ ได้รับค่าตอบแทนจาก ปตท. เป็นค่าเบี้ยประชุม 800,000บาท และเงินโบนัสอีก 2,500,000บาท รวมเป็นเงิน 3,300,000บาท
ล่าสุด ปี 2553ค่าตอบแทนที่ ปตท. จ่ายให้นายณอคุณ ที่ระบุไว้ในรายงานประจำปี 2553ของ ปตท. แบ่งเป็นค่าเบี้ยประชุม 850,000บาท และเงินโบนัสอีก 2,490,410.96บาท เบ็ดเสร็จ นายณอคุณมีรายได้จากการเป็นบอร์ด ปตท. เมื่อปี 2553เท่ากับ 3,340,410.96บาท
ย้อนกลับมาดูรายงานของวุฒิสภา ตอนหนึ่งระบุว่า
‘ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์และขัดหลักธรรมาภิบาลในการ แยกบทบาทหน้าที่และแยกขอบเขตอำนาจอย่างร้ายแรง เพราะข้าราชการที่เข้าไปเป็นผู้บริหารหรือผู้มีอำนาจจัดการในบริษัทผู้รับ สัมปทานย่อมได้รับผลประโยชน์ตอบแทนที่มีมูลค่าสูงในรูปเงินเดือน ค่าจ้าง เบี้ยประชุม และโบนัสที่มาจากผลกำไร ซึ่งอาจนำไปสู่การครอบงำนโยบายของรัฐได้’
            เอาเข้าจริง เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนในบ้านเรา เป็นเรื่องเบลอๆ ไม่ชัดเจน เพราะตัวบทไม่ชัดเจนหรือแสร้งไม่ให้ชัดเจน คำตอบน่าจะรู้กันอยู่แก่ใจ .

ภาพจาก www.siamsport.co.th/Sport_Other/101217_243.html

ศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง

วิเคราะห์กรณีแขวนจตุพรกกต.เสี่ยงกว่า ตู่ By เสถียร วิริยะพรรณพงศา

     
by เชลยเนชั่น ,
ในบรรดาแกนนำนปช.จะเหลือเพียงแค่หนึ่งเดียวเท่านั้นคือ จตุพร พรหมพันธ์ ที่กกต.ยังไม่รับรองให้เป็นส.ส. ก่อนที่เรื่องนี้จะถูกลากไปเป็นประเด็นการเมือง มาย้อนดูว่าประเด็นในแง่กฎหมายที่สำคัญในเรื่องนี้มันอยู่ตรงจุดไหนบ้าง? 
        ประเด็นแรกมาดูกันว่า การที่นายจตุพร ไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งจะหมดสิทธิในการเป็นส.ส.หรือไม่?        พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย ส.ส.และส.ว. มาตรา 27  บอกไว้ว่าการเสียสิทธิเลือกตั้ง  ให้มีกำหนดเวลาตั้งแต่วันเลือกตั้งครั้งที่ผู้มีสิทธิไม่ไปใช้สิทธิ  จนถึงวันเลือกตั้งครั้งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้นไปใช้สิทธิเลือกตั้ง
       หนึ่งในกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ตีความกฎหมายข้อนี้ ว่า การเสียสิทธิที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งนั้นมีผลในการสมัครครั้งหน้า  ไม่ส่งผลให้เสียสิทธิลงสมัครย้อนหลัง  เพราะการลงสมัครของนายจตุพร และผู้สมัครส.ส.ทุกคน ในครั้งนี้อ้างอิงมาจากการไปใช้สิทธิเลือกตั้งก่อนหน้าวันที่ 3 ก.ค.2554  


       ประเด็นต่อมาคือการที่นายจตุพร เป็นผู้ต้องขังโดยหมายของศาล ทำให้ขาดจากสมาชิกภาพ เป็นเหตุให้ขาดคุณสมบัติในการลงสมัครเลือกตั้งหรือไม่?

      ประเด็นนี้กกต.บางคนมองว่านายจตุพร ขาดสมาชิกภาพพรรคการเมือง เพราะนายจตุพรมีลักษณะต้องไม่ให้ใช้สิทธิเลือกตั้งจากการถูกคุมขังโดยหมาย ศาล
      เมื่อกกต.คิดว่านายจตุพร ขาดคุณสมบัติการเป็นผู้สมัครส.ส. ก็ยังมีปัญหาเกิดขึ้นว่ากกต.จะแขวนรายชื่อไว้อย่างนี้ได้หรือไม่?

        พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยส.ส.และส.ว. มาตรา 40 บอกเอาไว้ว่าหากมีหลักฐานว่าผู้สมัครขาดคุณสมบัติให้กกต. สอบสวนหรือยื่นให้ศาลฎีกาวินิจฉัยเพิกถอนการสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้น
       แต่กรณีนี้นายจตุพร ไม่ได้ส่งให้ศาลฎีกาวินิจฉัย ตามแนวปฎิบัติของกฎ หมายมาตรานี้

        ฉะนั้นเมื่อผ่านการเลือกตั้งแล้ว  จึงเกิดปัญหาว่ากกต.จะยังคงวินิจฉัยคุณสมบัติของผู้สมัครได้อยู่หรือ?
         เพราะพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยส.ส.และส.ว. มาตรา 40   บอกว่าเมื่อถึงวันเลือกตั้งปรากฎว่าไม่มีการยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาตามวรรค หนึ่ง หรือมีการยื่นคำร้องแล้วแต่ศาลฎีกายังไม่มีคำวินิจฉัย ให้การพิจารณาเป็นอันยุติลง
คำถามต่อไป ถ้ากกต.ยังเห็นว่านายจตุพร ขาดสมาชิกภาพ แต่ต้องยุติการพิจารณา ขั้นตอนต่อไปจะต้องทำอย่างไร 
        รัฐธรรมนูญมาตรา มาตรา 91 วรรคที่สาม ระบุว่ากรณีที่กกต.เห็นว่าสมาชิกภาพของส.ส.หรือส.ว.คนใดคนหนึ่งมีเหตุสิ้น สุดลง  ให้ส่งเรื่องไปยังประธานแห่งสภาที่ผู้นั้นเป็นสมาชิก และให้ประธานแห่งสภานั้นส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง
       เมื่อตรวจสอบจากข้อกฎหมายทั้งหมดแล้วจะพบว่ากกต.เหลือเส้นทางเดียวคือประกาศ รับรองให้นายจตุพร เป็นส.ส.ไปก่อน แล้วยื่นข้อสงสัยเรื่องคุณสมบัติทั้งหมดให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งให้ศาล รัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป
       ไม่เช่นนั้นแล้วกกต.จะเสี่ยงต่อการผิดกฎหมาย

ประชาชนของพระเจ้าแผ่นดิน : พล.ต.ตะวันฯ ของลูกน้อง และการสวด “ภาษามอญ” ที่เกาะเกร็ด

  by พล.ท.นันทเดช ,

        เมื่อวันพุทธที่ผ่านมา ผมมีนัดหมายที่จะไปพูดคุยกับคนเมืองนนท์กลุ่มหนึ่ง ใช้ชื่อว่า “กลุ่มประชาชนของพระเจ้าแผ่นดิน” ในตอนบ่าย ผมจึงติดต่อเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งที่ปากเกร็ด (พล.ท.ชาติวัฒน์ งามอุดม) ขอไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ทหารและนักข่าวที่เสียชีวิตจาก ฮ. ตก รวม ๑๗ คน ที่วัดปรมัยยิกาวาส (อยู่บนเกาะเกร็ด) ซึ่งพี่ชาติวัฒน์ฯ ทำหน้าที่คล้ายช่างศิลป์ประจำวัดเป็นผู้ติดต่อให้ นอกจากนั้น ผมกับ พล.ต.ตะวันฯ รู้จักกันมาก่อน และพล.ต.ตะวันฯ ยังเรียน วปอ. รุ่นปัจจุบัน (รุ่น ๕๓) อยู่กับน้องชายของผมด้วย  แต่สาเหตุที่ผมต้องไปทำบุญให้ไม่ใช่เรื่องนี้ เป็นเพราะบุคคลเหล่านี้เป็นทหารที่เสียสละเพื่อชาติในการป้องกันป่าต้นน้ำ อย่างหวงแหน อีกคนหนึ่งเป็นสื่อมวลชนที่ทำตามหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ ซึ่งคนเหล่านี้ได้จากไปอย่างกระทันหันด้วย
        วันที่ชาว วปอ. รุ่น ๕๓ ไปเยี่ยมกองพลทหารราบที่ ๙  พล.ต.ตะวันฯ ได้นำทหารจำนวนมากมายออกมายืนต้อนรับ และยืนพูดคุยกับเพื่อนๆ อยู่บนอัฒจันทร์ พอดีเกิดฝนตกลงมาหนักมาก ชาว วปอ. จึงหนีฝนขึ้นรถกันอุตลุดไปหมด แต่ พล.ต.ตะวันฯ กลับลงจากอัฒจันทร์วิ่งมารวมกับแถวทหารที่ยืนตากฝนอยู่ ทำความเคารพชาว วปอ. ซึ่งนั่งอยู่บนรถที่วิ่งผ่านไป จนรถลับตา และเดินตากฝนออกจากสนามไปพร้อมกับทหาร เปียกปอนเหมือนลูกหมาตกน้ำครับ “นี่คือตะวันของลูกน้อง” ตะวันที่อยู่เคียงข้างลูกน้องทุกลำดับชั้นอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุข
        วัดปรมัยยิกาวาส เป็นวัดรามัญมาแต่โบราณ เป็นอารามหลวงชั้นโทตั้งอยู่ริมคลองลัดเกร็ด (เดิมชื่อวัดปากอ่าว) เวลาใครผ่านไปจะเห็นพระเจดีย์ทรงรามัญ (มุเตา) สีขาวห่มผ้าแดงอยู่ริมน้ำ (กรมศิลปากรขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานตั้งแต่ปี ๒๔๗๘)
        เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๗ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จมาทอดกฐิน จึงมีพระราชศรัทธาจะปฏิสังขรณ์ให้ดีขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกแก่ พระเจ้าบรมมหัยยิกาเธอ (ยาย) “กรมสมเด็จพระสุดารัตนราชประยูร” เมื่อบูรณะเสร็จจึงพระราชทานนามวัดเสียใหม่ว่า วัดปรมัยยิกาวาศ (วัดของยาย) ตอนหลังเขียนเพี้ยนไปเป็นวัดปรมัยยิกาวาส และทรงโปรดเกล้าให้รักษาการสวดอย่างรามัญไว้ตลอดไป (ปัจจุบันก็ยังสวดภาษามอญอยู่ แต่ให้พรเป็นภาษาไทยควบคู่ไปด้วย) ดังนั้นวัดนี้จึงมีโบราณวัตถุที่มีคุณค่ามากมาย นับตั้งแต่พระไตร ปิฎกภาษามอญ, พระพุทธไสยาสน์, หลวงพ่อพระนนทมุนินท์ (พระพุทธรูป ประจำ จ.นนทบุรี), ศาลา  กุฎิ อายุนับร้อยปี ภาพในหลวง ร.๙ ที่เสด็จไปที่วัดเมื่อยังทรงพระเยาว์อยู่ ฯลฯ เป็นสิ่งที่มีเวลาว่างควรจะไปดูกันเองครับ
        หลังจากพระสวดจบ  ผมก็ถวายอาหารเพลพระที่วัด เป็นพระ ๑๕ รูป เป็นเณร ๓ รูป (ไม่นับเณรบวชหน้าไฟอีก ๒ รูป) ด้วยข้าวปลาอาหารทั้งของพื้นบ้านและของที่นำไปจากกรุงเทพฯ มีผู้ไปร่วมงานเป็นทหารทั้งหญิงและชายประมาณ ๒๐ คน เท่านั้น (ดูบรรยากาศตามรูป เลียนแบบคุณตายูริกับน้องจ๋าบ้าง เรื่องการลงรูปถ่ายในตอนท้ายเรื่องครับ)
        วัดนี้ ท่านเจ้าอาวาส สวดมนต์ให้พรคนไปทำสังฆทานเป็นภาษาทั้งบาลีและมอญ เพราะมากครับ ดูน่าจะศักดิ์สิทธิ์จริง จึงมีคนไปต่อแถวทำสังฆทานกันเต็มไปหมด แต่ทำได้เฉพาะช่วงเช้าถึงเที่ยงเท่านั้น ตอนบ่ายท่านจะลงมือสอนหนังสือเณรด้วยตัวเอง ถ้าพวกเราชาวบล็อกเกอร์จะไป ควรไปวันธรรมดาดีที่สุดครับ คิวสั้นหน่อย
        ตอนบ่าย ผมขึ้นเรือกลับมาที่ฝั่งปากเกร็ด มาพบปะพูดคุยกับกลุ่ม “ประชาชนของพระเจ้าแผ่นดิน” ประมาณ ๕๐ คน ที่บ้านหลังหนึ่งอยู่ในสวน จึงทำให้รู้ว่า ชาวเมืองนนท์จริงๆ นั้น รักในหลวงมากพอๆ กับผม บางคนอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ พวกเขาบอกว่าเริ่มรวมกลุ่มมาสักเดือนหนึ่งได้ เพื่อเตรียมตัวไว้รับสถานการณ์ที่อาจจะมีการเคลื่อนไหวกระทบสถาบันฯ เพิ่มขึ้นมาอีก พูดคุยกันหลายประการ จนถึงทุ่มหนึ่งพระอาทิตย์ที่แอบฟังเราพูดอยู่ที่ขอบฟ้าไกลๆ ก็เริ่มส่งสัญญาณว่า “ข้าจะกลับบ้านบ้างแล้ว เลิกกันซะที” พวกเราจึงเลิกครับ ร่ำลากันอีกเกือบชั่วโมงหนึ่ง ความมืดคืบคลานเข้ามาและแพร่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว กว่าจะออกจากสวนมาที่ถนนก็มืดสนิท แม้จะมืด แต่ในหัวใจของผมกลับโชติช่วงด้วยแรงแห่งความรักต่อในหลวงที่คนกลุ่ม เล็กๆ แสดงออก เป็นการแสดงออกโดยไม่หวังอะไรตอบแทน ไม่ต้องการเป็น ส.ส. , ไม่ต้องสู้แล้วรวย, ไม่หลงสีจนไม่ทำมาหากิน ฯลฯ เพราะพวกเขาเป็นประชาชนของพระราชาครับ  ก็ไม่รู้ว่าประชาชนของพระราชาจะเกิดขึ้นอีกกี่ร้อย กี่พันกลุ่ม ในสถานการณ์แบบนี้ ดูรูปทำบุญต่อครับ
ตี ๓, ๒๙ ก.ค. ๕๔, กรุงเทพฯ
.
"หน้าโบสถ์"
.
"ประตูโบสถ์"
.
"พุ่มบูชารูปในหลวง อยู่ภายในโบสถ์"
.
"ชื่อวัดภาษามอญ"
.
"เจ้าอาวาส"
.
"ใบไม้ทอด 13 ชนิด"
.
"ทอดมันหน่อกะลา อร่อยที่สุด (ใส่ต้นหน่อกะลาลงไปด้วย)"
.
"ก๋วยเตี๋ยวหมู (สำหรับลูกศิษย์วัด)"
.
"ข้าวหมูแดง (สำหรับลูกศิษย์วัด)"
.
"ขนมรามัญชื่อ "หันตรา" คล้ายเม็ดขนุนแต่หวานน้อนกว่า"
.
"พระสวด"
.
.
"ถวายอาหารพระ"
.
.
"ถวายไทยทาน"
.
"รับพร"

คนไทย 5 ล้านคนจะตกงาน เพราะ ทักษิณและยิ่งลักษณ์

  by Sigree ,


ผมอ่านกระทู้เสื้อแดงจำนวนมากเกี่ยวกับเรื่อง 300 บาท
อ่านแล้วสรุปได้คือ

วันนี้รายรับไม่พอกับรายจ่าย ต้องการ 300 บาทต่อวัน จากนายทุน

และพูดราวกับที่ผ่านมานั้นนายทุนเอากำไรไปมากมายและถึงเวลาต้องคืนแก่ลูกจ้าง

คำถามน่าคิดคือ

ทำไมมีคนค้านจำนวนมาก และคนค้านก็ไม่ได้มีแต่นายทุนด้วย เป็นความจริงที่มีคนหนุน 

แต่

จะไม่มีคนค้านเลย คนที่ค้านและยังค้านอยู่ยังมี จะว่าไปวันนี้เพื่อไทยในการหาเสียงที่อีสาน ก็งดที่จะพูดถึงแล้ว

หลายคนอาจลืมไปแล้วว่า เงื่อนไขของ 300 บาท ตามที่ เพื่อไทย ประกาศหาเสียง คือ

1 มันคือ ค่าแรงขั้นต่ำ ย้ำว่าค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศ ซึ่งค่าแรงต่ำที่สุดในประเทศไทยอยู่ที่ 151 บาท หากขึ้น 300 หมายถึงเขาต้องขึ้นทันที 2 เท่า
2 มันจะขึ้นทันที ไม่มีขั้นบันได ใครที่หนุนแล้วแนะให้ขึ้นเป็นขั้นๆไปนั้น เลิกพูดหรือเสนอได้แล้วเพราะประกาศไปแล้วในวันที่ปราศัยที่ราชมังฯให้ขึ้น ทันที
3 จะช่วยภาคธุรกิจโดยลดภาษี ลดภาษีนิติบุคคล ซึ่งนั้นน่าคิดเพราะธุรกิจ SME หรือ OTOP ผู้ประกอบการโดยมากไม่ได้มีกำไรถึงเกณฑ์เสียภาษี และธุรกิจ เหล่านี้มีราวๆ 70 % ของธุรกิจในประเทศ นั้นหมายถึงมาตรการทางภาษีจะไม่ช่วยผู้ประกอบการ 70 %


จริงหากเราว่ากันให้ลึกกว่านั้น ก่อนการสมัครหาเสียงนั้น เพื่อไทย ซึ่งชิงประกาศนโยบาลไปก่อนเลือกจะบอกด้วยว่า 300 บาทขึ้นทันที วันแรกที่ทำงาน

.....................................................................

เงื่อนไขต่างๆนี้นำไปสู่สิ่งสำคัญคือ ภาระของผู้ประกอบการ

โดย เฉพาะผู้ประกอบการ SME ซึ่งจะไม่ได้รับผลใดๆจากมาตรการของรัฐบาลเลย ซึ่งปัจจุบัน ผู้ประกอบการ เสื้อแดงบางคนเริ่มแสดงความเห็นในหลายเว็บแล้วลองไปหาอ่านได้

SME นั้นมักเป็นผู้ประกอบการที่ไม่ได้ใช่เครื่องจักรที่ซับซ้อน จึงใช่คนจำนวนมาก จะว่าไปปัจจุบันมีการประมาณว่า SME จ้างคนงานไม่ต่ำกว่า 70 % ของคนในระบบแรงงานทั้งหมด

หากธุรกิจเหล่านี้ล้มไปเพียง 30 % ก็เท่ากับมีคนตกงาน 20 % ของทั้งประเทศนะ

ปัจจุบันกระทรวงแรงงานมีตัวเลขผู้ใช่แรงงานที่ 24 ล้านคน

20 % ของ 24 ล้านคนคือ 4.8 ล้านคน

คนจะตกงาน 4.8 ล้านคน

นี้อย่างน้อยนะ ผมยังไม่ได้พูดถึงการปรับตัวของธุรกิจที่อยู่รอดอันจะนำเครื่องจักรเข้ามา และมีการนำแรงงานออกเพื่อลดต้นทุน
5 ล้านคน คือตัวเลขคนตกงานที่ผมเชื่อว่าจะได้เห็น หลังค่าแรง 300 บาทประกาศไม่ถึง 3 เดือน

ใครคิดใครทำ  ดูป้ายก็รู้

แม้วดีแต่ โม้! เปลวสีเงินชำแหละ โครงการถมทะเล

by ประยูร



(ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เนต)

.... แม้ววดีแต่โม้ !!! เปลว สีเงินชำแหละ โครงการถมทะเล “แค่คิดก็ติดคอ”  เอ๊ะ..เป็นยังไง ?? ....

หมายเหตุบลอกเกอร์
ในบรรดาโครงการมากมาย ที่เสนอขึ้นมาเพื่อหลอกผู้มีสิทธิออกเสียง โดย “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ ยิ่งลักษณ์อ่าน” นั้น
การถมทะเล บริเวณ อ.ปากน้ำ จ.สมุทรปราการ ไปจนถึงปากแม่น้ำท่าจีน จ.สมุทรสาคร 
กินพื้นที่ประมาณ ๓๐๐,๐๐๐ ไร่ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างเมืองใหม่ และป้องกันน้ำท่วม กทม. นับเป็นอภิมหาโครงการ ที่อาจจะยืนยาวไปนับหมื่นปี (เพราะทำไม่ได้)
แนวความคิดโครงการเช่นนี้ น่าจะเกิดขึ้น จากนักโทษหนีคดีที่อยู่ไกลบ้าน
เนื่องจากต้องอยู่ตัวคนเดียว ความคิดฟุ้งซ่าน กับทั้งเห็นโครงการทำนองเดียวกันในดูไบ
จึงเพี้ยนขึ้นมา นำเสนอเป็นโครงการ โดยไม่ต้องคิดอะไรมาก “โม้เข้าไว้ก่อน” ทำได้ไม่ได้ “ค่อย(ให้ยิ่งลักษณ์)มาศึกษา” กันภายหลัง
มาวันนี้ มีนักวิชาการที่เป็นคนจริง กล้ายืนตัวตรง พูดข้อเท็จจริง โดยไม่หวั่นเกรงกับแรงกดดันทางการเมือง
ออกมาชี้แจง เกี่ยวกับความเป็นไป(ไม่)ได้ ของโครงการเพี้ยนๆนี้
พร้อมทั้งแสดงให้เห็น ว่าผลร้ายที่เกิดขึ้น น่าจะมีมากมายมหาศาล 
ลองมาอ่าน จากข้อเขียนของคุณ เปลว สีเงิน ที่สรุปเนื้อหาดังกล่าวมาลงได้อย่างครบถ้วนนะครับ



๐๐๐๐๐๐๐๐๐

ถมทะเล “แค่คิดก็ติดคอ”
เปลว สีเงิน 29 กรกฎาคม 2554
http://www.thaipost.net/news/290711/42512

วันนี้ (๒๙ ก.ค.) รู้กัน กกต. "องค์กรอิสระ" ของรัฐ กับ นปช.  "องค์กรอิสระ" ของทักษิณ ใครเหนือใคร แขวนใครไม่แขวน กล้ามาแขวนจตุพร เมื่อคืน ๕ เสือนอนฝันดี-ฝันเด่นใช่มั้ย แต่ถ้าวันนี้มติที่ประชุมออกมาไม่การันตีจตุพรเป็น ส.ส.ละก็ คืนนี้...อย่าหวังจะได้กอดหมอนนอนหลับฝันดีเลย พอคลี่ผ้าห่ม เสียงก็จะระงมมาทางหน้าต่างหัวเตียงแล้วมั้ง...
 เอาจตุพรของกูคืนมาาาา!!!
 ควรรู้ซะบ้าง บ้านเมืองตอนนี้ ไผเป็นไผ ใคร "ใหญ่ในแผ่นดิน" นี่...ผมก็เตรียมเอาเสื้อไปย้อมแดง ๒-๓ ตัว แต่แหม...สมัยก่อนย้อมเรือตาแป๊ะคลองหน้าบ้าน ตัวละ ๕๐ ตังค์ ตอนนี้ย้อมร้าน เขาเอาตัวละตั้ง ๑๒๐ ร้องว่าโหย...แพงจัง  คนหน้าร้านยักไหล่ บอกว่า 
 สีฟ้าสิ ๒๐ เอง!
 อยากถามเขาว่า "รับปักด้วยมั้ย" แต่...อย่าดีกว่า ดูเธอไม่ง้อลูกค้า รับหน้าร้านแล้วส่งต่อ วันๆ มีคนเอาเสื้อผ้ามาจ้างย้อมแดงเยอะจริงๆ ใจผมนั้น ย้อมแล้วก็อยากให้ปักตรงหน้าอกไปด้วยว่า
 "คนดีของแผ่นดิน รักตัวนะ...จุ๊บๆ"!

 ก็เอาเถอะ...เมื่อไม่ได้ปัก ก็ขอเก็บรักไว้ในอกรอก็แล้วกัน ผมว่าต่อไปนี้ ตำแหน่งในองค์กรอิสระต่างๆ เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. กกต. ฯลฯ คงหาคนประเภท "เปาบุ้นจิ้น" มาสมัครยาก เพราะแหยงโรคเม็ดเลือดแดงกินเม็ดเลือดขาว!
 ในยามที่กรุงเทพฯ หรือ "บางกอก" ใกล้จะถูกเปลี่ยนชื่อเป็น "บางตาเหลือก" ๔ เสือตัวผู้ กับอีก ๑ เสือตัวเมีย ช่วยฝาก "รอยตีนเสือ" ไว้เป็นประวัติศาสตร์ให้คนขลาดรุ่นหลังยึดเป็นกำลังใจซักคนละตีน-สองตีนก็น่าจะชื่นใจนะ
 นี่ผมก็คุยกะท่านทุกวัน คุยซ้ำๆ ซากๆ ผมยังรำคาญตัวเองเลย ท่านคงหนักกว่าผม ก็เอียงหูมาสิครับ ผมจะกระซิบให้...เรื่องที่จะเลื่อนฉาก "มาแล้ว"  แต่ยังมาไม่ถึง เมื่อรู้แล้วก็เหยียบไว้ อย่าเอ็ดไป รู้กันภายในระหว่างเราก็พอ
 รอให้พ้นเดือนนี้ไปถึงเดือนหน้า วันที่ ๓ สิงหาเป็นต้นไป ท่านว่า "พุธวิกลคติพักร" ตอนนั้นสภง-สภาก็เปิดแล้ว ว่าที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์เครื่องจักรน่าจะถูกไขลานขึ้นรอบใหม่แล้ว
 คอยดู "หุ่นกระบอก-ดูไบ" ดีกว่า จะสดใส-ซาบซ่ายิ่งกว่าสไปรท์!

 เมื่อเป็นดังนี้ บ่ายวานผมก็ไม่รู้จะทำอะไร ตกค่ำก็ยังไม่รู้ เลยเปิดเว็บข่าวสำนักต่างๆ ดู ข่าวหนึ่งน่าสนใจเป็นพิเศษจากเว็บ "กรุงเทพธุรกิจ" คิดว่าท่านก็คงสนใจ ก่อนจะพูดถึง "สนใจตรงไหน" ก็อ่านเนื้อข่าวที่ผมลอกเขามาก่อนดีกว่า
 นายเสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม อุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร เปิดเผยภายหลังนำสื่อมวลชนลงตรวจสอบพื้นที่บริเวณทะเลบางขุนเทียน กทม. ว่า หลังจากที่ได้ทำแบบจำลองการถมทะเล บริเวณ อ.ปากน้ำ จ.สมุทรปราการ ไปจนถึงปากแม่น้ำท่าจีน จ.สมุทรสาคร ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ ๓๐๐,๐๐๐ ไร่ เพื่อสร้างเมืองใหม่ และป้องกันน้ำท่วม กทม.ของพรรคเพื่อไทย
 พบว่าจะต้องใช้ทรายถมบริเวณดังกล่าว ซึ่งมีเนื้อที่ ๑.๘ แสนไร่นั้น อาจต้องใช้ทรายประมาณ ๔,๐๐๐ ล้านคิว และใช้งบประมาณ ๔ แสนล้านบาท  เฉพาะค่าทราย โดยเป็นปริมาณทรายที่ยังไม่รวมกรณีที่เกิดการทรุดตัวในบริเวณนี้ ที่มีอัตราการทรุดตัวมากกว่า ๒-๑๐ ซม./ปี และยังมีการกัดเซาะที่รุนแรงเฉลี่ย ๕ เมตร/ปี 
 ขณะที่พื้นที่ดังกล่าวเป็นทะเลโคลนเกือบทั้งหมด หากจะถมตามหลักวิศวกรรมศาสตร์ ต้องใช้ทรายถมเท่านั้น ไม่สามารถใช้วัสดุอื่นแทนได้ เนื่องจากจะก่อปัญหาเรื่องการทรุดตัวในภายหลัง

 นายเสรีกล่าวอีกว่า ขณะที่แหล่งทรายที่มีอยู่ในประเทศ ส่วนใหญ่มาจาก  จ.อ่างทอง ในแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีการดูดขึ้นมาใช้กันอยู่ในขณะนี้ ก็คิดว่าไม่น่าจะมีปริมาณทรายเพียงพอที่จะนำมาถมตามโครงการดังกล่าวอย่างแน่นอน 
 “กรณีที่กล่าวอ้างว่าจะถมพื้นที่ดังกล่าว เพื่อเป็นเขื่อนป้องกันน้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพมหานครนั้น ต้องทำความเข้าใจใหม่ว่า น้ำที่ท่วม กทม.นั้น ไม่ได้เกิดจากปัญหาน้ำทะเลหนุน โดยในแต่ละปีน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้น มีปริมาณเพียง ๒  มิลลิเมตร/ปี เท่านั้น 
 หากจะเพิ่มจนเกิดปัญหาดังกล่าว ต้องใช้ระยะยาวนาน โดยในระยะ ๑๐๐  ปี จะเพิ่มขึ้นเพียง ๓๐ เซนติเมตรเท่านั้น และหากจะเพิ่มในปริมาณที่จะก่อให้เกิดปัญหาน้ำทะเลหนุน ต้องใช้เวลาประมาณ ๕๐๐-๑,๐๐๐ ปี”

 นักวิชาการกล่าวอีกว่า แนวคิดของโครงการดังกล่าวนั้นใหญ่เกินไป และใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในระดับโลก และเข้าใจว่าน่าจะเกิดขึ้นได้ยาก เท่าที่ได้ประเมินโครงการนี้ เฉพาะเรื่องการศึกษาผลกระทบ คาดว่าน่าจะใช้เวลายาวนานถึง ๕ ปี โดยเชื่อว่าจะเป็นโครงการที่ต้องล้มเลิกไปในที่สุด เพราะจะติดขัดปัญหาหลายด้าน โดยเฉพาะปัญหาด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตของคนในชุมชน 
 “ผลกระทบของโครงการนี้คือ จะยิ่งทำให้พื้นที่ป่าชายเลนที่เป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำหายไป และยังเพิ่มปัญหาการกัดเซาะจะมากขึ้นฝั่งขวาในเขต อ.เมืองสมุทรปราการ อ.บางปะกง และประเด็นสำคัญคือ การระบายน้ำท่วมโดยคลองระบายน้ำหลายสาย ฝั่งธนบุรี จะมีปัญหาอย่างแน่นอน 
 เนื่องจากคลองสายต่างๆ ที่นำน้ำระบายลงปากอ่าวไทยก็จะถูกปิดกั้นจากการถมทะเล และสุดท้ายคงต้องใช้งบประมาณสูงมาก เนื่องจากชั้นดินบริเวณนี้และอ่าวไทยรูปตัว "ก." อ่อนหนากว่า ๒๐ เมตร และเป็นทะเลโคลน 

 ดังนั้นจึงอยากให้พรรคเพื่อไทยออกมาบอกถึงความชัดเจนในโครงการนี้  รวมทั้งพื้นที่ของโครงการ เพราะขณะนี้สร้างความสับสนและความกังวลให้กับชาวบ้านที่อยู่ในเขตอ่าวไทยตัว ก. มาก” นายเสรีระบุ
 นี่แหละครับ ข่าว (ไม่) ด่วนที่ควรทราบ ส่วนที่บอกว่าน่าสนใจ ก็ประเด็นมันน่าสนใจใช่มั้ยล่ะ ความสนใจผมไม่ได้อยู่ตรงนั้นโดยตรง แต่อยู่ตรงว่า "ดร.เสรี ศุภราทิตย์" คือใคร?
 ที่บังอาจ "ไม่เห็นด้วย"...
 แถมค้านนโยบาย "ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ" เหมือนไม่รู้จักคำว่า...ตาย!?

 ผมก็ค้นๆ ดู พบว่าท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมภัยพิบัติ จบการศึกษาปริญญาตรีวิศวกรรมโยธา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โท ทางวิศวกรรมชลศาสตร์และชายฝั่ง สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย และเอก วิศวกรรมชายฝั่ง  มหาวิทยาลัย TOHOKU ประเทศญี่ปุ่น
 ผ่านการเป็นนักวิชาการ นักปฏิบัติการ ครูบาอาจารย์มหาวิทยาลัย ที่ปรึกษานักการเมืองระดับรัฐมนตรีในยุคทักษิณก็เคยเป็นมาแล้ว
 ปัจจุบันท่านเป็นหัวหน้าหลักสูตรปริญญาดุษฎีบัณฑิต (วิศวกรรมโยธา)  มหาวิทยาลัยรังสิต และปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม  และผู้จัดการใหญ่อุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร ในพระบรมราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี
 แบบนี้ โครงการปั่นกระดาษขาย "ถมทะเลไทยไปเชื่อมทะเลดูไบ" ท่าจะ  "มุกแป้ก" ซะแล้วมั้ง!?
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง