บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2555

“สยามประชาภิวัฒน์” จัดเสวนาใหญ่



“วิกฤติประเทศไทย ใครคือตัวการ?”



กลุ่ม “สยามประชาภิวัฒน์” ซึ่งอาจารย์อย่างน้อย 5 มหาวิทยาลัยรวมตัวจัดตั้งขึ้น และ ถูกมองกว่าอยู่ขั้วตรงกันข้าม กับกลุ่มนิติราษฎร์ จัดเวทีเสวนาใหญ่ครั้งแรก ในช่วงบ่ายวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ณ ห้องประชุมจี๊ด เศรษฐบุตร(LT1) คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่อง “วิกฤติประเทศไทย ใครคือตัวการ?

สำหรับรายละเอียดการเสวนา เริ่มด้วยการรายงานผลการดำเนินกิจกรรมของ “กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์” โดย รองศาสตราจารย์ ดร.ทวีศักดิ์ สูทกวาทิน ประธานสภาคณาจารย์ สถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์และอาจารย์ ศักดิ์ณรงค์ มงคล นักวิชาการอิสระ

จากนั้น ปาฐกถา เรื่อง “เผด็จการโดยพรรคการเมืองทุนนิยมผูกขาด” โดย ศาสตราจารย์ ดร.อมร จันทรสมบูรณ์

ตามด้วยเสวนาทางวิชาการ “วิกฤติประเทศไทย ใครคือตัวการ” โดย นักวิชาการกลุ่ม “สยามประชาภิวัฒน์”

ศาสตราจารย์ ดร.จรัส สุวรรณมาลา อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย , รองศาสตราจารย์ ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ คณบดีคณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ , รองศาสตราจารย์ ดร.สุวินัย ภรณวิลัย อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ , อาจารย์ ดร. โอฬาร ถิ่นบางเตียว คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา , อาจารย์คมสัน โพธิ์คง สาขาวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

ปิดท้ายด้วย แจ้งกิจกรรมความเคลื่อนไหวทางวิชาการ “ก้าวไปข้างหน้า” ของกลุ่ม

กลุ่ม “สยามประชาภิวัฒน์” ประกอบไปด้วย อาจารย์ 5 สถาบัน คือ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) , สุโขทัยธรรมาธิราช(มสธ.) , ธรรมศาสตร์(มธ.) รังสิต , จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวมตัวกันในนาม “กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์” เพื่อเคลื่อนไหวสังคมและทางการเมือง

ประกาศอุดมการณ์กลุ่ม “สยามประชาภิวัฒน์”

สังคมไทยภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ในปัจจุบัน ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมและการค้าเสรีถูกนำมาใช้ภายใต้ “ระบบอุปถัมภ์” จนก่อให้เกิด “ทุนนิยมผูกขาด” ที่เข้ามาครอบงำอำนาจทางการเมือง ผ่านการเลือกตั้งและการใช้นโยบายประชานิยม จนส่งผลให้เกิดการ “ผูกขาดอำนาจทางการเมือง” และนำไปสู่การ “ผูกขาดอำนาจในสังคมได้อย่างเบ็ดเสร็จ” จนเกิด “วิกฤติการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” มีการชี้นำความคิดความเชื่อของประชาชนไปในทิศทางที่ทุนนิยมผูกขาดต้องการ

คณาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาหลายสถาบันจึงรวมตัวกัน ในนามกลุ่ม “สยามประชาภิวัฒน์” โดยมีเจตนารมณ์ที่จะสร้างความรู้ และ ขับเคลื่อน “การปฎิรูปประเทศไทย : การเมือง เศรษฐกิจ และสังคม” โดยคำนึงถึงการออกแบบโครงสร้างอำนาจหน้าที่ของสถาบันทางสังคมที่สอดคล้องและเหมาะสมกับสภาพสังคมไทย เพื่อความเป็นธรรมแก่ประชาชน ชุมชน และสังคมโดยรวม

กลุ่ม “สยามประชาภิวัฒน์” ขอประกาศอุดมการณ์ เพื่อสร้างองค์ความรู้ทางวิชาการสู่สังคม โดยยึดมั่นการคุ้มครองปัจเจกบุคคลตามหลัก “นิติรัฐ การคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคเท่าเทียมกันของประชาชน” ภายใต้ “หลักภราดรภาพและความมั่นคงของสังคม” รวมทั้ง ส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ที่ไม่ “เปิดช่อง” ให้เกิดการ “ผูกขาดอำนาจในสังคมไทย”

เพื่อบรรลุความมุ่งหมายดังกล่าว กลุ่ม “สยามประชาภิวัฒน์” ได้กำหนดจุดยืนต่อสถานการณ์ปัจจุบัน ดังนี้

๑. สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่มีคุณค่าต่อสังคมและระบบการเมืองไทย

๒. สนับสนุนการปฏิรูประบอบการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมไทย เพื่อขจัดอิทธิพลของเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน

๓. ขจัดวิกฤติเสรีภาพ ที่มีการใช้สิทธิและเสรีภาพเกินขอบเขตจนนำไปสู่สังคมแบบอนาธิปไตย

๔. ขจัดวิกฤติความคิดและความเชื่อที่ว่าสูตรสำเร็จของประชาธิปไตยคือการเลือกตั้งเท่านั้น

๕. ขจัดวิกฤติในด้านศีลธรรมและจริยธรรม ที่ก่อให้เกิดการการผูกขาดอำนาจ และการทุจริตคอรัปชั่นอย่างกว้างขวาง

พวกเราในนามกลุ่ม “สยามประชาภิวัฒน์” จึงขอประกาศอุดมการณ์ต่อสังคม และพร้อมขับเคลื่อนเพื่อความถูกต้องและความเป็นธรรมในสังคม อันจะยังประโยชน์สุขที่ยั่งยืนให้แก่ประชาชนชาวสยามอย่างเสมอหน้าเท่าเทียมกัน

กลุ่ม “สยามประชาภิวัฒน์” ๑๓ มกราคม ๒๕๕๕

รายชื่ออาจารย์ “กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์”

1. รศ.ทวีศักดิ์ สูทกวาทิน

2. รศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ

3. รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต

4. อ.ดร.สุวิชา เป้าอารีย์

5. รศ.นเรศร์ เกษะประกร

6. อ.ดร.ปุ่น วิชชุไตรภพ

7. รศ.ดร.วรรณธรรม กาญจนสุวรรณ

8. ผศ.ทวี สุรฤทธิ์กุล

9. รศ.ดร.ชัยวัฒน์ คงสม

10. ผศ.ปรัชญ์ ปราบปรปักษ์

11. อ.คมสัน โพธิ์คง

12.รศ.ดร.วิจิตรา ฟุ้งลัดดา วิเชียรชม

13. ผศ.ดร.นนทวัชร์ นวตระกูลพิสุทธิ์

14. ผศ.ดร.สุรศักดิ์ มณีศร

15. ผศ.ดร.วีรวัฒน์ จันทโชติ

16. รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย

17. อ.นิดาวรรณ เพราะสุนทร

18. อ.ศาสตรา โตอ่อน

19. ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา

20. ผศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล

21.รศ.ดร.ชยาพร วัฒนศิริ

22. รศ.สุปราณี อัทธเสรี

23. ผศ. สมพร สันติประสิทธิกุล

24. อ.จุมพล ชื่นจิตต์ศิริ

25. อ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว

26. อ.ศักดิ์ณรงค์ มงคล

**ขอขอบคุณ** สยามรัฐ และ www.prasong.com




ขุดรากไพร่ ชี้ตัวอำมาตย์


ขุดรากไพร่ ชี้ตัวอำมาตย์ The Good, The Bad & The Ugly: The Democratically Uninitiated and Uneducated 


 
ประวัติศาสตร์เป็นสิทธิ์ของประชาชนทุกคน
ไม่ใช่ของเล่นที่บิดเบือนกันได้โดยผู้ครองอำนาจอย่างรัฐบาลหรือผู้ล้มล้างสถาบันที่ต้องการชิงอำนาจ
บันทึก ประวัติศาสตร์การเมืองไทย มักอ้างว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครองพ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นความชอบธรรม เป็นความจำเป็นของชาติ และตำหนิระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชว่าเป็นการปกครองที่ขัดแย้งกับเสรีนิยม ความทัดเทียมและก้าวหน้าในสังคม
ความ ไม่คืบหน้าของการเมืองการปกครอง และความพิกลพิการของประชาธิปไตย ถูกกล่าวหาว่าเกิดจากสาเหตุของระบบเจ้าขุนมูลนาย อำมาตย์ กระทั่งลามถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ว่ากีดกั้นสิทธิเสรีภาพของประชาชน
ทุกวันนี้ ประชาชนเห็นว่าการทุจริต โกงกิน เป็นปัญหา
เห็นนักการเมืองเลวเป็นตัวสร้างปัญหา
เห็นคนที่คิดแตกต่างอย่างกลุ่มเสื้อแดงเป็นปัญหา
แต่เราอยู่ในวัฒนธรรมที่ชี้ตัวปัญหา ก่นด่า ปัญหา ได้แล้วก็สุขใจ ไม่ระคายเคืองถึงขั้นตะกายหา หรือ สร้างคำตอบให้เกิดขึ้น เพราะต่างก็รอให้คนอื่นแก้ปัญหาให้
หาก ต้องการหาคำตอบ ก็ต้องหยุดทบทวนปมที่สร้างปัญหามาตั้งแต่ต้นและยอมรับร่วมกันก่อนว่าเหล่า นั้นคือสิ่งที่ต้องแก้ ซึ่งเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องย้อนกลับไปที่ พ.ศ. ๒๔๗๕ อีกครั้ง
ข้อมูลจากเอกสารของรัฐบาลวิเคราะห์เหตุการณ์บนพื้นฐานว่า ประเทศพร้อมสำหรับการปฏิวัติของคณะราษฎร  ด้วยการอ้างว่าได้รับการสนับสนุนจากชนชั้นกลาง ซึ่งอ่านออกเขียนได้มากขึ้นมาก ขุนนางที่จงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ก็ไม่ต่อต้าน
หากยึดหลักการดังกล่าว ก็ไม่ต้องได้พบสาเหตุที่แท้จริง เพราะเมื่อวิเคราะห์ตามหลังเหตุการณ์จะพบว่า
๑. การรู้หนังสือของคนทั่วไปยังมีอยู่น้อยมาก พระราชบัญญัติประถมศึกษาที่ให้ราษฎรอายุ ๗ ปีขึ้นไปเรียนโดยไม่เสียเงิน เพิ่งเกิดขึ้น เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๔ ประชาชนทั่วไปที่รู้หนังสือจึงไม่มากอย่างที่อ้าง กลุ่มที่มีการศึกษายังจำกัดอยู่ในโรงเรียนหลวง อย่างสวนกุหลาบและเทพศิรินทร์ ที่ได้รับการสถาปนาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๒๗ – ๒๘
๒. ชนชั้นกลางไม่มีมากพอจริง วิถีชีวิตคนไทยคือสังคมเกษตรกรรมที่เพิ่งเปลี่ยนจากการทำเพื่อกินอยู่ มาเป็นทำเพื่อขาย
๓. ภาวะเศรษฐกิจของชาติถดถอยตามชาติใหญ่ที่ได้รับผลจาก Wall Street Crash (1930) ทำให้เกิดการตัดงบประมาณมาก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตัดรายจ่ายอย่างเข้มงวดเริ่มจากราย จ่ายประจำปีส่วนพระองค์จาก ๙ ล้าน เหลือ ๖ ล้าน และ ๓ ล้านในที่สุด
มี การยุบเลิกมณฑล หน่วยราชการ ปลดคน และตัดเบี้ยเลี้ยง ส่งผลให้ข้าราชการ จำนวนหนึ่งเกิดความไม่พอใจ โดยเฉพาะคนหนุ่มที่เพิ่งสำเร็จการศึกษามาจากประเทศตะวันตก
๔. การใช้คำว่า ปฏิวัติ พ.ศ. ๒๔๗๕ ไม่ถูกต้องตั้งแต่ต้น เพราะไม่เกิด Mass movement จากคนหมู่มาก ไม่มี consensual participation หรือการร่วมวงจากประชาชนตามนิยามของการปฏิวัติ จึงเป็นได้เพียงรัฐประหาร Coup d’etat อย่างที่เกิดต่อมาอีกหลายครั้ง
๕. ที่คนรุ่นหนุ่มอ้างถึงการปฏิวัติ Revolution ตามแบบฝรั่งเศส ก็มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่เข้าข่าย French Revolution คือ ความต้องการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์
สอด คล้องกับข้ออ้างของคณะราษฎร ว่าไม่ได้รับการต่อต้าน ก็เมื่อเป็นเพียงรัฐประหารจึงไม่มีใครรู้ตัวร่วมด้วยหรือต่อต้าน คนที่พอรู้หนังสือก็ถูกตีกรอบไว้ไม่ให้เคลื่อนไหว
ประเด็น ผิดพลาดที่สุดของคณะราษฎร คือ ความคิดและอุดมการณ์ที่ได้รับจากการศึกษาในประเทศฝรั่งเศส ผสมกับวรรณกรรมทางการเมืองที่ผ่านเข้าสู่สมอง นั้นแค่ช่วยให้ตนเองและพวกพ้องเข้าใจและล้มล้างระบอบการปกครองทางการเมือง ของประเทศไทยแบบดั้งเดิมได้สำเร็จ แต่ไม่สามารถสร้างสามัญสำนึกของการมี ส่วนร่วมในการปฏิบัติตาม และเสริมสร้างให้ประชาธิปไตยเจริญขึ้น แม้ในบุคคลระดับรัฐบาลก็ไม่มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้
ไม่ผิดจากที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักดีว่า คนไทยยังไม่พร้อมสำหรับระบบใหม่ และเคยมีรับสั่งว่า คนไทยควรมีจิตสำนึกทางการเมืองเสียก่อน จึงค่อยนำระบอบประชาธิปไตยมาใช้
สามัญ สำนึกและการสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองที่เหมาะสมกับการดำรงอยู่ภายใต้ระบอบ ประชาธิปไตย เป็นเรื่องยากสำหรับคนไทยแม้ในวันนี้ ก็เพราะระบบไพร่ที่หยั่งรากลึกมาช้านาน
ระบบ ไพร่ ในทางกายแม้จะหมดลงตามพระราชบัญญัติเลิกทาส ร.ศ.๑๑๔ ในปี พ.ศ. ๒๔๔๘ แต่ทางใจนั้นเป็นความคุ้นเคยที่ล้างออกยาก เพราะสถานะของไพร่และมูลนายไม่ได้เป็นแง่ลบเสมอไป
มูลนาย และไพร่อยู่กันด้วยความสัมพันธ์ในระบบอุปถัมภ์ แลกเปลี่ยนกันแบบสมน้ำสมเนื้อ มูลนายให้ความคุ้มครองไพร่ ขณะที่ไพร่ต้องจงรักภักดีและรับใช้แรงงานแก่มูลนาย เดือดร้อนจะร้องทุกข์ต่อราชการก็ทำผ่านมูลนาย หากรู้สึกว่ามูลนายดูแลไม่ดีก็ปันใจไปหาที่พึ่งมูลนายใหม่
นิสัยที่ติดตัวมา จึงเป็นการเกาะพึ่งพิงเยี่ยงปรสิต ขาดความรู้สึกรับผิดชอบต่อตนเอง ด้วยตนเอง
สภาพ ไพร่จึงหมดไปเพียงแค่ชื่อ แต่ระบบอุปถัมภ์แปรรูปสู่ร่างใหม่ในเกือบทุกระดับสังคม สะท้อนออกมาในการยึดถือระบบอาวุโส การทำตัวเป็นผู้ตามที่ดี ไม่โต้แย้งผู้อาวุโสกว่าทั้งวัยวุฒิและคุณวุฒิ ส่งผลให้ขาดความคิดสร้างสรรค์และริเริ่ม
การ ยอมรับเป็นไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินอย่างง่ายๆ ทำให้ขาดสำนึกในการเมืองและหน้าที่พลเมือง ในเวลาเดียวกับที่เปิดโอกาสให้นักการเมืองสามารถเป็นผู้ไร้ความรับผิด เพราะเกิดอะไรขึ้นก็อ้างตัวเองเป็นไพร่ แล้วโทษฟ้า พร้อมกับร้องหาประชาธิปไตยที่กำอยู่ในมือเหมือนไก่ได้พลอยมาตลอด
ระบบอุปถัมภ์แฝงอยู่ในสังคมไทยถึง ๓ ระดับ คือ
ระดับชาวบ้าน เมื่อไพร่และมูลนายจบลง ชาวบ้านก็ย้ายไปพึ่งข้าราชการที่มาแทนที่ขุนนาง แต่ข้าราชการก็อยู่ด้วยเงินเดือนจากรัฐที่ไม่สูงส่ง จึงไม่ใช่ที่พึ่งที่ดีนัก ชาวบ้านก็ย้ายไปพึ่งคนที่มั่นคงกว่า คือ พ่อค้า เครือข่ายระบบอุปถัมภ์ของคนชั้นล่างกับพ่อค้า ซึ่งเมื่อมั่งคั่งได้ที่ ก็กลายเป็นผู้มีอิทธิพล จึงเป็นโฉมใหม่ของระบอบอำมาตยาธิปไตย
ผู้ มีอิทธิพลในท้องถิ่นก็เสริมสร้างความแข็งแรงของระบบอุปถัมภ์ด้วยการช่วย ประชาชนที่มาพึ่งพาต่อไป ถึงวันหนึ่ง ก็เอาคืนกลับเป็นฐานคะแนนในการเลือกตั้ง
ระดับข้าราชการ ทหารและตำรวจ ผู้ใหญ่อุปถัมภ์ผู้น้อย ผู้น้อยก็ตอบแทนด้วยความยำเกรงเกินหน้าที่ ไปถึงขั้นส่งส่วย ผู้ใหญ่คุ้มครองดูแลผู้น้อย จนเกิดเป็นระบบเล่นพรรคเล่นพวก ที่ข้าราชการต้องรับใช้นายมากกว่ารับใช้ประชาชน
ระดับสุดท้าย คือ ที่สุดของอำมาตย์ชั้นล่างที่ไต่ขึ้นถึงระดับบนสุด เมื่อได้เป็นนักการเมืองที่มีตำแหน่งในการบริหารประเทศ และระดับที่เป็นนายทุนพรรค เป็นอำมาตย์ตัวจริง ที่จะชี้ช่องให้ความช่วยเหลือหรือปฏิเสธผู้อยู่ใต้การอุปถัมภ์ หรือไพร่ในร่างใหม่ เป็นทอดลงไป
อำมาตย์ในวันนี้ หาใช่สถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งไร้ตำแหน่งและบทบาททางการเมืองมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๕ แล้ว
ความล้มเหลวของประชาธิปไตยหลัง พ.ศ. ๒๔๗๕ ก็มาจากอำมาตย์เหล่านี้
๑. ความล้มเหลวของรัฐบาล ในการสร้างจิตสำนึกและความรู้สึกในการเป็นเจ้าของประเทศร่วมกันในการปกครองตามหลักของระบอบประชาธิปไตย
ครอบ ครัว เป็นสถาบันที่มีอิทธิพลที่สุดในการสร้างพลเมืองรุ่นใหม่ที่รัฐควบคุมไม่ได้ หากครอบครัวส่วนใหญ่ยังไม่หลุดพ้นจากภาวะแวดล้อมของระบบอุปถัมภ์ในสังคมหลาย ระดับ และยึดประเพณีการอบรมเลี้ยงดูเด็กในมุมเดิมด้านเดียว ท่ามกลางสภาพสังคมและโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ให้เชื่อฟังผู้ใหญ่มากกว่ากระตุ้นให้คิด หรือซักถามโต้แย้ง การประคับประคองลูกหลานส่งผลให้เลี้ยงไม่โต ติดอยู่ในกรอบของการพึ่งผู้อื่นมากกว่าตนเอง
อีกทั้งค่านิยมที่ใช้วัตถุบ่งบอกหน้าตา (Conspicuous consumption) การชอบอภิสิทธิ์อำนาจ เชิดได้เหนือชาวบ้าน กลายเป็นตัวแทนระบบเจ้าขุนมูลนายได้อย่างดี
เมื่อ สถาบันครอบครัวเป็นเช่นนี้ มาเจอกับสถาบันการศึกษา ที่สอนให้เด็กรู้ตามสิ่งที่รัฐต้องการฝังใส่หัว ให้จงรักภักดีต่อสถาบันสำคัญของชาติด้วยการท่องจำมากกว่าให้เข้าใจถึงบทบาท ที่แท้จริงและเห็นคุณค่า  ก่อให้เกิดความรู้สึกต่อต้านโดยไม่หาเหตุผลที่มา
สุด ท้าย จึงมีแต่การเรียกร้องหาสิทธิ์ โดยไม่ต้องการรับรู้หน้าที่ความรับผิดชอบของพลเมือง หรือเป็นพลเมืองที่สนใจการเมืองตามกฎกติกาของระบอบประชาธิปไตย
๒.  ความล้มเหลวของสถาบันการเมือง
ความไม่พร้อม ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยเกิดขึ้นตั้งแต่ระดับรัฐบาลเองแล้ว ปรากฏให้เห็นชัดหลังรัฐประหาร พ.ศ. ๒๔๗๕ เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีรับสั่งให้รัฐบาลอนุญาตให้จัดตั้งพรรคการเมือง การไม่ปฏิบัติตามและไม่เคยเห็นชอบของรัฐบาล คือย่างก้าวแรกที่เริ่มทำลายพื้นฐานของประชาธิปไตย
เมื่อ ไม่มีพรรค ผู้แทนทุกคนจึงเข้ามาแบบอิสระ ไม่มีใครเชื่อหรือไว้ใจใคร ทุกคนรุมทึ้งรัฐบาลจนมักตกเป็นฝ่ายแพ้ในการลงมติ ไม่เกิดความคืบหน้าในการบริหารงาน ในที่สุดรัฐบาลต้องลาออก เช่น พ.ศ. ๒๔๗๗, ๘๑
หลัง สงครามโลกครั้งที่ ๒ จึงเกิดพรรคการเมืองขึ้นได้ แต่ก็ถูกยุบและจัดตั้งใหม่อีกหลายครั้ง ทั้งคราวรัฐประหาร พ.ศ. ๒๔๙๐ และจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พ.ศ. ๒๕๐๑ ในแต่ละคราวของรัฐประหาร ที่อยู่บนเส้นบางระหว่างการจัดการสถานการณ์และการครองอำนาจ ล้วนแล้วแต่ทำให้ระบบการเมืองและประชาธิปไตยก้าวถอยหลังในเรื่องความคิดและ จิตสำนึกของทั้งนักการเมือง และประชาชน
พรรคการเมืองเกิดขึ้นอย่างมากมายอีกครั้ง เมื่อเกิดพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๑๗
ปัญหา ที่ตามมา ไม่พ้นจากพื้นฐานของระบบอุปถัมภ์ เมื่อพรรคการเมืองที่เกิดขึ้นจำนวนมากมาจากผู้ทรงอิทธิพล มีเงิน มากกว่ามีความรู้ความเข้าใจในการบริหารการปกครอง สมาชิกพรรคที่มีอิทธิพล มีประโยชน์กว่าการมีจุดยืนและนโยบายพรรค (Manifesto) ที่ชัดเจนว่าจะทำอะไรให้ประเทศชาติและประชาชน
ผลที่ได้ คือ การเกิดเป็นรัฐบาลผสมอยู่ตลอดเวลา Coalition Government เป็น สภาพน่ากลัวที่สุดสำหรับประเทศที่ระบอบประชาธิปไตยพัฒนาแล้ว เพราะยากที่จะมีนโยบายสอดคล้องไปทางเดียวกัน หากนโยบายเหมือนกันก็คงรวมเป็นพรรคเดียวกันไปแล้ว
เมื่อนโยบายไม่เป็นสาระสำหรับพรรคการเมืองไทย แต่ละยุคสมัยจึงเกิดแต่ พรรคร่วมรัฐบาลและพรรครอร่วมรัฐบาล จะหาพรรคฝ่ายค้านที่ทรงคุณภาพ ทำงานเป็นรัฐบาลเงาตรวจสอบรัฐบาลจริงได้ยากยิ่ง
และทำให้การพัฒนาชาติที่ต้องเกิดจากโครงการระยะยาว ยากขึ้นไปอีก
ภาพ ของนักการเมืองปัจจุบันชัดเจนในรูปของ กลุ่มผลประโยชน์ ผู้ทรงอิทธิพล หรืออำมาตยาธิปไตย แห่งศตวรรษที่ ๒๑ มากกว่าผู้บริหารปกครองประเทศ
กว่าการเมืองการปกครองของประเทศไทยจะมาถึงวันนี้
ในหลวงรัชกาลที่ ๕ ทรงเลิกทาส ให้อิสระแล้ว
รัชกาลที่ ๗ ทรงพระราชทานอำนาจคืนสู่ประชาชนแล้ว
รัชกาลที่ ๙ ทรงพระราชทานแนวคิดให้ดำรงชีพได้อย่างถาวร ให้อุปกรณ์สานทอเป็นความยั่งยืนของการยังกิน  และยังชีพ
ปัญหาความแตกแยกในชาติไทยวันนี้ ใช้เวลาสะสมก่อกำเนิดมานาน ไม่มีปาฏิหาริย์ Magic จากมูลนายใดจะมาช่วยแก้ไขได้ในพริบตา นอกจากสองมือของประชาชนแต่ละคนเอง
ประชาชนผู้มีอำนาจตัวจริง ที่ถึงเวลาแล้วที่ต้องรู้หน้าที่พลเมือง
เลิกเรียกร้องการทำรัฐประหารกันเสียที ไม่เคยมีรัฐประหารครั้งใดให้คุณแก่ชาติ และไม่ว่าอีกกี่รัฐประหารก็ไม่แก้ปัญหา
เลิกเป็นไพร่ เลิกทำตัวเป็นไก่ได้พลอย ที่ได้อำนาจในการปกครองประเทศชาติมาแล้ว ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ไม่ใช้ไปในทางที่ถูก
เมื่อไหร่เราจะเริ่มควบคุมนักการเมืองเหล่านี้ ขับเคลื่อนนักการเมืองไปในทางที่เราต้องการเพื่อประโยชน์ของชาติ  ไม่ใช่ถูกจูงเยี่ยงไพร่ไปตามทางที่นักการเมืองขีดเสียที
* * * * * * * * *
ความเดิม
Reference:
ข้อมูลจากสภาพัฒนาการเมือง
โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย

เพราะพระราชาไม่ทอดทิ้งประชาชน ประชาชนจึงปกป้องพระราชา

 

โชกุน

   “…วัน ที่ 19 สิงหาคม 2489 วันนี้ถึงวันที่เราจะต้องจากไปแล้ว พอถึงเวลาก็ลงจากพระที่นั่งพร้อมกับแม่ ลาเจ้านายฝ่ายใน ณ พระที่นั่งชั้นล่างนั้นแล้ว ก็ไปยังวัดพระแก้วเพื่อนมัสการลาพระแก้วมรกตและพระภิกษุสงฆ์ ลาเจ้านายฝ่ายหน้า ลาข้าราชการทั้งไทยและฝรั่ง แล้วก็ไปขึ้นรถยนต์
   พอ รถแล่นออกไปได้ไม่ถึง 200 เมตร มีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาหยุดรถแล้วส่งกระป๋องให้เราคนละใบราชองครักษ์ไม่แน่ ใจว่าจะมีอะไรอยู่ในนั้น บางทีจะเป็นลูกระเบิด เมื่อมาเปิดดูภายหลังปรากฏว่าเป็นทอฟฟี่ที่อร่อยมาก
   ตาม ถนนผู้คนช่างมากมายเสียจริงๆ ที่ถนนราชดำเนินกลาง ราษฎรเข้ามาใกล้จนชิดรถที่เรานั่งกลัวเหลือเกินว่าล้อรถของเราจะไปทับแข้ง ทับขาใครเข้าบ้าง รถแล่นฝ่าฝูงคนไปได้อย่างช้าที่สุด
   ถึงวัดเบญจมบพิตร รถแล่นเร็วขึ้นได้บ้าง ตามทางที่ผ่านมา ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งร้องขึ้นมาดังๆว่า อย่าทิ้งประชาชน
          อยากจะร้องบอกเขาลงไปว่า ถ้าประชาชนไม่ทิ้ง ข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะทิ้ง ประชาชนได้อย่างไร แต่รถวิ่งเร็วและเลยไปไกลเสียแล้ว…”
        พระราชนิพนธ์บันทึกประจำวันบางส่วนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ระหว่างวันเสด็จฯจากสยามสู่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
       ตลอด ระยะเวลา 65 ปีแห่งการครองราชย์ ในหลวงของเรา ทรงครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม โดยแท้จริง ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจ เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุขของพสกนิกร ทรงมีพระราชดำริ พระราชดำรัส ชี้แนะแนวทาง ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ในปัญหาต่างๆที่เป็นความเดือดร้อนของแผ่นดิน แม้ในยามที่ทรงประชวร ก็ยังทรงงานเพื่อประชาชนของพระองค์
       ตลอด ระยะเวลา 65 ปี แห่งการครองราชย์ ในหลวงของเราไม่เคยทอดทิ้งประชาชน เมื่อมีผู้คิดร้ายต่อสถาบัน ประชาชนจึงไม่ทอดทิ้งพระองค์ เช่นกัน
กระแสสังคม ที่ต่อต้านการเคลื่อนไหวของกลุ่มนิติราษฎร์ ซึ่งมีจุดมุ่ง
       หมาย ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ นับวันยิ่งเชี่ยวกราก รุนแรงขึ้น ทั้งการรวมตัวของประชาชนในนามกลุ่มต่าง การวิพากษ์วิจารณ์กลุ่มนิติราษฎร์ อย่างรุนแรง และกว้างขวางในโลกไซเบอร์ บทความ คอลัมน์ ในหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับ เป็นไปในทิศทางเดียวกันคือ คัดค้าน ตำหนิ ตักเตือน พฤติกรรมของกลุมนิติราษฎร์ ที่บัดนี้เปลือยตัวเอง ให้สังคมได้เห็นธาตุแท้ของตัวเองแล้ว
       ความ รุนแรง เชี่ยวกรากของกระแสต่อต้านกลุ่มนิติราษฎร์ ทำให้ แม้แต่พรรคเพื่อไทย ซึ่งใครๆก็รู้ว่า มีอุดมการณ์เดียวกับกลุ่มนิติราษฎร์ เพราะต่างเป็นกลไกของระบอบทักษิณ เพียงแต่ใช้ยุทธวิธีที่แตกต่างกัน ต้องประกาศ ตัดหาง ปล่อยวัด กลุ่มนิติราษฎร์ อย่างไม่ไยดี มิตรร่วมรบ สหายร่วมอุดมการณ์
       กระทั่ง นักคิด นักเขียนที่เป็นที่ยอมรับกันอย่าง เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ที่ร่วมลงชื่อ เป็น 1 ใน ครก. 112ยัง ต้องถอย และประกาศถอนตัวอย่างมีสติว่า ไม่รู้ ไม่เห็นกับ ความคิด จุดยืนของ กลุ่มนิติราษฎร์ กระนั้นยังถูกโจมตีอย่างรุนแรง ในโลกไซเบอร์ จนแทบจะหมดสภาพ ของบนหิ้ง ที่แตะต้องไม่ได้ไปเลย
       ถ้า ใช้ภาษาของฝ่ายซ้าย สายลัทธิเหมาสมัยก่อน ต้องบอกว่า กลุ่มนิติราษฎร์ เป็นพวกวีรชนเอกชน ที่ไร้เดียงสา และสุ่มเสี่ยง จนทำให้เสียงานใหญ่ เมื่อ 35 ปีที่แล้ว ผู้นำขบวนการนักศึกษาหลายๆคน ก็เป็นแบบนี้ จนตกเป็นเหยื่อ การแทรกแซง ครอบงำ ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และนำมิตรสหายเดินเข้าสู่ทุ่งสังหาร ในมหาวิทยาลัยธรรมศาตร์ ในเหตุการณ์ล้อมปราบอย่างเหี้ยมโหดของฝ่ายขวา เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2516
       วันนี้ ผู้นำเหล่านั้น บางคนเป็นกองเชียร์อยู่ข้างหลัง เชียร์ให้เด็กรุ่นหลัง ก้าวตามรอยที่พลาดพลั้งของตนเอง
       อัตตา ความไร้เดียงสา ทำให้กลุ่มนิติราษฎร์ อดไม่ได้ที่จะเปิดเผยถึงเป้าหมายในใจของตนเอง สังคมรับรู้ จากที่เคยหลบๆซ่อนๆ ชูประเด็น การคืนอำนาจให้ทักษิณ โดยการลบล้างผลการยึดอำนาจ 19 กันยายน 2549 มาสู่การแก้ไขกฎหมาย อาญามาตรา 112 สุดท้ายด้วยอหังการ์ของเด็กน้อย ก็เปลือยตัวเองจนล่อนจ้อนว่า ต้องการเปลี่ยนแปลงสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ ถึงกับห้าม กษัตริย์ ตรัสกับประชาชน บังคับให้กษัตริย์สาบานตน
สุ่มเสี่ยงจนเสียงานใหญ่อย่างนี้ ทักษิณไม่เอาไว้หรอก
   ถูก ต้องแล้ว ที่กลุ่มนิติราษฎร์ วิจารณ์ว่า กระแสต่อต้านพวกเขาไม่ได้ยืนอยู่บนเหตุผลทางวิชาการ เพราะคนไทยส่วนใหญ่ ไม่ใช่นักวิชาการ ไม่ถนัดในการพูดคุย เสวนา เถียงกันไปเถียงกันมา เพื่อหาทาง ตัดตีนให้เข้ากับเกือกที่ตัวเองอยากใส่ให้ได้ กระแสต่อต้านกลุ่มนิติราษฎร์ เป็นกระแสที่เกิดขึ้นมาจากจิตสำนึกของคนไทย ที่มองเห็นภยันตรายที่กำลังคุกคามสถาบันพระมหากษัตริย์ จิตสำนึกนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างงมงาย ลุ่มหลงในลัทธิเทวราชา แต่บ่มเพาะขึ้น จากการได้ยิน ได้เห็น ได้รู้ ว่า ในหลวงของเรา ทำอะไร จิตสำนึกนี้ ทำให้คนไทยลุกขึ้นมาปกป้องในหลวงของเรา อย่างที่กลุ่มนิติราษฎร์ก็คาดไม่ถึง
       บทบาท ของสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย เป็นอย่างไร ไม่ใช่เรื่องซับซ้อน ที่ต้องรอให้พวกนักเรียนนอก มาบอก และชี้แนะว่า บทบาทที่ควรจะเป็น คืออะไร คนไทยรู้ว่า ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม สถาบันพระมหากษัตริย์ ถูกกำกับด้วยธรรมะ 10 ประการของพระราชา สถาบันพระมหากษัตริย์ ดำรงอยู่ได้ เพราะคุณงามความดีของตัวเองเท่านั้น จนเป็นที่เคารพรัก ศรัทธาของประชาชน ยามที่มีผู้มาล่วงเกิน คุกคามพระมหากษัตริย์ ประชาชนจึงลุกขึ้นมาปกป้องพระราชาของพวกเขา





BG ภาษาไทย : รอยยิ้มของในหลวง







ขอนำบทบรรยายภาพนี้มาให้เพื่อน ๆ ได้อ่านค่ะ
เพิ่งทราบว่าคุณยายท่านนี้ อายุ 102 ปี ขณะที่เข้าเฝ้า ปี พ.ศ.2498
ภาพบางภาพจากหนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือที่น่าอ่านมาก ๆ ดีใจที่ได้รับมาก ๆ ค่ะ


นึกย้อนไป..หลายครั้งที่ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนชาวต่างชาติ พวกเขามักจะถามว่า ทำไมเกือบทุกสถานที่ที่ผ่านมา เขามักจะเห็นภาพพระเจ้าอยู่หัว พระราชินี สมเด็จย่า เสมอ ๆ

ฉันอดยิ้มแล้วตอบเขาอย่างภูมิใจไม่ได้ว่า ชาวไทยเรารักพระองค์ เพราะพระองค์ท่านช่วยประชาชน โดยเฉพาะในถิ่นทุรกันดารห่างไกลความเจริญ ท่านทรงเป็นผู้ริเริ่มโครงการต่าง ๆ มากมาย แม้แต่ถนนหลายสายที่เราขับรถผ่าน เขื่อนในหลายจังหวัด อุทยานแม่ฟ้าหลวง อุทยานแห่งชาติต่าง ๆ ที่เราเข้าไปเที่ยว เป็นเพียงส่วนหนึ่งในงานของพระองค์ ที่ทรงทำเพื่อประชาชนทั่วประเทศไทย

ไม่มีพื้นที่แห่งใดในประเทศไทย ที่พระองค์ไม่เคยเสด็จพระราชดำเนินไปถึง


ทรงปฎิบัติพระราชกรณียกิจ เพื่อประโยชน์สุขแก่ชาวไทยทุกเชื้อชาติ
ศาสนาทุกภาคของไทย
แม้ว่าสมัยนี้สงครามเย็นหมดไปแล้ว แต่สันติสุขหาได้เกิดขึ้นไม่ เพราะว่าสงครามร้อนมีขึ้น

ที่มีสงครามร้อนขึ้นมานั้น ก็เพราะความไม่ปรองดองหรือควาเมอาเปรียบกันมีมาก
เมื่อเห็นดังนี้แล้วเราต้องนึกดีใจว่า ในประเทศเราสงครามร้อน
ยังไม่เกิดขึ้น แล้วก็ไม่ควรจะเกิดขึ้น ถ้าทุกคนคิดดี ๆ
พระบรมราโชวาท เมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๑๗
ทรงเยี่ยมหน่วยทหารชายแดน ชาวบ้าน ชาวเขา ทรงนำความเจริญสู่ทุกภูมิภาค
จนกลายเป็นโครงการพระราชดำริ



ทรงสร้างความเจริญ สร้างอาชีพ พัฒนาผู้คน โดยเฉพาะชาวเขา ที่เคยปลูกพืชไร่เลื่อนลอย ปลูกฝิ่น กัญชา ฯลฯ ให้เลิกสิ่งเหล่านั้นแล้วปลูกพืช ดอกไม้เมืองหนาว ที่เป็นประโยชน์แทน ทรงนำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ทหารตชด.เข้าไปดูแลทุกข์สุข สอนหนังสือให้ประชาชนเหล่านั้น ฯลฯ


พระองค์ทรงพระอัจฉริยในทุก ๆ ด้าน ทรงมีพระอารมณ์ขัน สอดแทรกแม้ในงานดนตรี ..



ฉันมอบเพลง Jazz พระราชนิพนธ์ ชุดพิเศษในตลับไม้ ให้เพื่อนด้วยความสุขใจ ..



สุขใจที่ได้เกิดมาใต้ร่มพระบารมี …
ภาพทุกภาพ ของพระองค์ คงอยู่ในจิตใจของชนชาวไทยเสมอ
เชิญฟังเพลงค่ะ หากไม่เล่น กรุณากด Replay นะคะ
ขอบคุณทุก ๆ ท่านที่แวะมาอ่าน และทักทายกันค่ะ






เนื้อหาหนังสือ “Conversations with Thaksin


โดย ทอม เพลท
ที่มา เจแปน ไทม์

พากย์ไทยโดยไทยอีนิวส์

: บทสนทนานี้เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ “Conversations with Thaksin: From Exile to Deliverance”, ซึ่งเป็นซีรี่หนึ่งของ Tom Plate’s “Giants of Asia” series.


รัฐประหารที่เขย่าขวัญ: “สถานการณ์ไม่ค่อยดี”


ดู ไบ – “มันเกิดขึ้นได้ทุกเวลา” รัฐมนตรีระดับสูงคนหนึ่งบอกกับท่าน “เรามีเวลาไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่พวกเขาจะลงมือ” รัฐมนตรีอีกคนหนึ่งกล่าว “เวลาเราเหลือไม่กี่วัน”

ก่อนที่วันที่ ๑๗ กย. ๒๕๔๙ จะมาถึง ณ กรุงนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา แม้แต่ทักษิณขณะที่รอที่จะกล่าวสุนทรพจน์ในนามของประเทศต่อที่ประชุมสมัชชา สหประชาชาติ ก็ยังกระสับกระส่าย “ผมคิดว่าคุณถูก” เขากล่าวกับผู้ร่วมงาน “ผมควรจะกลับไป สถานการณ์ไม่ดี”

แต่ทุกอย่างได้สายไปเสียแล้ว

ที่กรุงเทพฯ ในตอนเช้าตรู่ของวันอังคารที่ ๑๙ กย. ๒๕๔๙ อากาศร้อนอบอ้าว ผู้คนรู้แล้วว่ามีอะไรไม่ปกติ

เวลาประมาณ ๒ ทุ่มของคืนนั้น การรัฐประหารกำลังดำเนินไปอย่างเต็มพลัง

ถึง แม้ว่าประเทศไทยจะมีการรัฐประหารบ่อยครั้ง แต่การเข็นรถถังออกมายังท้องถนนครั้งนี้ ห่างจากครั้งก่อนหลายปี เวลา ๔ ทุ่ม กองกำลังทหารได้โอบล้อมทำเนียบรัฐบาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

รุ่งอรุณ กองกำลังทหารได้ปิดล็อคจุดสำคัญ ตั้งป้อมตรวจค้นรถที่เดินทางตามถนนราชดำเนิน

เวลา ๙.๑๖ นาฬิกาของวันถัดไป คณะรัฐประหารออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ การรัฐประหารรัฐบาลทักษิณ ในแถลงการณ์กล่าวว่าทักษิณ “ได้สร้างความขัดแย้งแบ่งฝ่ายอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน, การบริหารราชการแผ่นดินส่อไปในทางทุจริตอย่างกว้างขวาง, หน่วยงานอิสระถูกครอบงำทางการเมือง ทำให้การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองเกิดปัญหา ถ้าปล่อยให้รัฐบาลทักษิณปกครองบ้านเมืองต่อไป จะทำให้ประเทศเสียหาย และพวกเขายังมีพฤติกรรมที่หมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแห่งองค์พระ มหากษัตริย์ ดังนั้นคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุขจึงทำการยึดอำนาจ”

และนั่นคือวิธีที่ทำให้วาระการดำรง ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยสิ้นสุด ลง โดยการใช้รถถัง ในความเป็นจริงแล้วการรัฐประหารครั้งนี้ไม่มีความรุนแรงที่ร้ายแรง คนไทยจำนวนมากอยู่ในบ้าน และรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นเพราะสถานีโทรทัศน์หยุดการถ่ายทอดโปรแกรมตามปกติ แต่เปิดเพลงรักชาติ

กระสุนไม่ได้ถูกยิงแม้แต่นัดเดียว ไม่มีใครตาย มันเป็นการรัฐประหารที่เงียบเชียบมาก

ตอน จบแล้วก็ยังเงียบ... ยกเว้นอาชีพทางการเมืองของนายกทักษิณที่ถูกทำให้จบลงแต่ยังมีเสียงคึกโครม ดังเหมือนเสียงรถถังที่วิ่งบดตามท้องถนน

ในบ่ายวันนั้น ความตึงเครียดเริ่มผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด เห็นเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ทักษิณจบแน่
อย่างน้อย ผู้นำรัฐประหารคิดเช่นนั้น

ความขัดแย้งของทักษิณ: “ครอบครัวของผมมีความปราถนาดี”

ทักษิณ พูดว่า “ตอนนั้นผมโกรธมาก...เต็มไปด้วยความโกรธ และการที่ผมเป็นคนโกรธง่าย มันโชว์ให้ทุกคนเห็นว่า ผมเป็นคนโกรธง่ายเกินไป” เขาพูดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

“นี่คือคุณลักษณะที่ไม่ดีของผม ส่วนดีของผมคือคิดสร้างสรรค์ แต่ถ้าเมื่อใดผมไม่สามารถรับเพรสเชอร์ได้ ผมจะโกรธ”

นี่เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า เขารู้สึกเสียใจกับการที่มีอารมณ์เช่นนี้


ฉัน ถาม: “ตอนนี้เขาบอกว่าศาลไทยได้ฟ้องร้องคุณ คุณทักษิณ ขณะที่คุณไม่ได้อยู่ในประเทศ กรณีบทบาทของคุณที่ยั่วเย้าให้เกิดการประท้วง คุณเคยถูกฟ้องร้องจากศาลไทยบ้างหรือเปล่า?”

“ไม่เคย ผมไม่เคยถูกฟ้องร้องเรื่องนี้ ผมถูกฟ้องร้องเรื่องคดีที่ดิน”

“คดีที่ดินของภรรยาคุณเมื่อปี ๒๕๔๖?”

“ครับ ภรรยาผมชนะการประมูลซื้อที่ดินสาธารณะที่มาจากสมัยวิกฤตการณ์ทางการเงิน”

“โอเค”

“ซึ่ง เปิดให้ทุกคน ต่อมาพวกเขาบอกว่า โอ เธอเป็นภรรยาของนายกฯ เธอต้องโกง ตอนหลังศาลพิพากษาตัดสินให้คดีนี้เป็นโมฆะ คืนเงินให้ภรรรยาผมแต่ยังไม่ยอมปล่อยผมจากคำพิพากษา”

“คุณถูกกล่าวหา และถูกพิพากษาขณะที่ไม่อยู่ในเมืองไทยด้วยข้อหาอะไร?”
(การที่สื่อต่างประเทศรายงานข่าวว่า ข้อกล่าวหาเกี่ยวพันกับคดีคอรัปชั่นนั้น ไม่ถูกต้อง)

“พวก เขาบอกว่าผมทำผิดกฏหมายที่ว่าด้วยสมาชิกคณะรัฐมนตรีห้ามมีส่วนร่วมเป็น คู่สัญญากับรัฐ เจตนาของกฏหมายคือห้ามพวกเราไม่ให้มีส่วนได้ส่วนเสียที่ไม่แฟร์ในสัญญาหรือ สัมปทานใด ๆที่ทำกับหน่วยงานของรัฐ แต่ข้อกล่าวหานี้มาจากการประมูลซื้อที่ดินที่กองทุนพื้นฟูและพัฒนาระบบ สถาบันการเงิน ซื้อต่อมาจากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่มีปัญหา ซึ่งที่ดินเหล่านี้ไม่ได้เป็นของรัฐบาล”

“และภรรยาของคุณซื้อในนามของเธอเอง?”

ใน ความเป็นจริง การซื้อขายนี้ ซื้ออย่างซื่อตรง เธอไม่ได้ซ่อนอะไร เธอเซ็นต์เช็ค ๒๔ ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งปิดไม่ได้ เงินจำนวนมากเช่นนี้อาจทำให้คนอิจฉา

ทักษิณตอบต่อ “ไม่หรอก ถ้าเธอต้องการปกปิด เธอสามารถใช้ชื่อคนอื่นเป็นตัวแทน หรือใช้ชื่บริษัท”

“แต่เธอไม่ได้ทำ เธออาจจะทำถ้าเธอต้องการปกปิด ดังนั้นถ้าผิดอย่างเลวร้ายที่สุดก็เป็นเรื่องทางเท็คนิค”
เขาพยักหน้า

“ตอนนี้ มีคนเขียนว่าคุณถูกศาลตัดสินคดีคอรัปชั่นอื่น ๆอีกขณะที่ลี้ภัยนอกประเทศ”

“ไม่มี พวกเขากล่าวหา เป็นข้อกล่าวหา”

“ที่ตัดสินแล้วมีคดีเดียว คดีที่ดิน”

“คดีเดียว คดีเดียวเท่านั้น”

มัน เป็นการยากที่จะบอกว่าทักษิณเป็นผู้ร้ายทางการเมืองที่เลวร้ายของโลก เพียงแค่เป็นจำเลยคดีที่ดิน ในความเป็นจริง เขาไม่มีชื่อติดอยู่ในหมายจับใดๆ ขององกรณ์ตำรวจสากล

แน่นอน ยังมีข้อกล่าวหาอีกหลายข้อหา ซึ่งยากที่จะบอกว่ามาจากกลุ่มคนที่ไม่ชอบเขาฝ่ายเดียว

“ยก ตัวอย่างเรื่องการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปที่เกี่ยวข้องกับสิงคโปร์ ถ้าคุณรู้ว่าเรื่องนี้จะสร้างความเสียหาย คุณจะทำอะไรที่แตกต่างจากเดิมหรือเปล่าในวันนี้?”

การซื้อขายขาย หุ้นของบริษัทชินคอร์ปในปี ๒๕๔๙ เป็นเรื่องการขายหุ้นจำนวนมหาศาลของเขาในบริษัทด้านสื่อสารโทรคมนาคมของไทย กับสิงคโปร์เทเลคอม มันเป็นรายการขนาดใหญ่ ซึ่งคนไทยจำนวนมากมีความรู้สึกไม่พอใจ ดูเหมือนเป็นการขายความมั่นคงของการสื่อสารแห่งชาติให้กับต่างชาติ ชาติใดก็ได้ที่ยอมจ่ายค่าประมูลสูงสุด และการซื้อขายนี้ถูกนักวิจารณ์พบว่าเป็นการทำธุรกรรมแบบทักษิณ คือ ให้หลีกเลี่ยงภาษี

แม้ว่าการจัดการนี้จะถูกต้องตามกฏหมาย แต่มันสร้างความรู้สึกที่ไม่ดีให้กับประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการหลีกเลี่ยงภาษีจากนายกรัฐมนตรีที่ร่ำรวย

ทักษิณ ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ และตอบว่า “พวกเราทุกคนในครอบครัวผมมีความปราถนาดี ลูกๆมาหาผมและบอกว่า ‘คุณพ่อกำลังถูกโจมตีเรื่องความขัดแย้งของผลประโยชน์ ถ้าเราขายหุ้นของบริษัท และคุณพ่อไม่มีบทบาทในการบริหารแล้ว คุณพ่อคงไม่ถูกโจมตีอีกต่อไป เพราะฉะนั้นการขายหุ้นนี้อาจจะเป็นผลดีกับเรา’ ดังนั้นพวกเราตกลงที่จะขาย แต่ด้วยเหตุที่ศัตรูของผมต้องการที่จะจัดการผม ความตั้งใจดีที่จะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งของผลประโยชน์ถูกนำมาโจมตี ถ้าผมรู้ว่าเรื่องนี้จะสร้างความยุ่งยากมากมายเช่นนี้ ผมคงแนะนำเขา ‘นี่ เธอเก็บไว้เองเถอะ และนี่เธอเก็บส่วนนี้ให้ฉัน ฉันไม่ต้องการยุ่งกับมัน’ แต่เนื่องจากเรื่องมันผ่านไปแล้ว ผมจะไม่เสียใจกับมันต่อไป มันจบแล้ว”

ถึง แม้ว่าคำอธิบายนี้จะดูจริงใจ แต่อาจจะมองได้ว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมสำหรับบุรุษที่มีความทะเยอทะยาน ที่จะให้ประเทศไทยขึ้นติดอยู่บนแผนที่โลกเพื่อให้เขากลายเป็นรัฐบุรุษของโลก คนหนึ่ง ยอดสุทธิของเรื่องชินคอร์ปสำหรับผู้ที่เริ่มฟังเรื่องนี้ คือบางครั้งมันทำให้ทักษิณเป็น “ผู้น่าสงสัย” (prime suspect) พอๆกับการเป็น prime minister (นายกรัฐมนตรี)

บางทีมันเป็นความ จริงที่ว่าบ่อเกิดของการไม่ได้รับความเป็นธรรม เกิดจากการดำรงพฤติกรรมเช่นเดิมของเขา ซึ่งศัตรูของเขาใช้ป้ายสีว่าเป็นผู้ต้องสงสัยอย่างสม่ำเสมอ แม้ขณะที่เป็นนายกรัฐมนตรี เขายังคงทำงานอย่างนักธุรกิจ สิ่งซึ่งนักวิจารณ์ คนไทยจำนวนมาก รวมทั้งผู้สังเกตการณ์ภายนอก เห็นว่าเขารับเอารูบแบบ

“ซีอีโอ โมเดล” มาใช้มากเกินไป

และ ฉันสงสัยว่าว่าเขาจะตอบเช่นไรกับคำถาม “คุณคิดว่าวงการใหนโหดกว่ากันระหว่างธุรกิจกับการเมือง? หรือมันพอ ๆกัน? หรือไม่สามารถตอบได้?”

คำตอบเขา: “ในแวดวงธุรกิจมีกฏระเบียบการเล่นที่ชัดเจนที่ทุกคนเคารพยอมรับ แต่ในการเมืองโดยเฉพาะในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยปลอม กฎระเบียบยังไม่ได้รับการเคารพยอมรับ และกรรมการผู้ตัดสินไม่เคยมีความยุติธรรม”

คนรวย คนจน: “ผมรักที่จะแก้ปัญหาให้คน”

“ตาม ที่ผมเข้าใจความคิดของคุณ คุณเชื่อว่าปัญหาความยากจนสามารถทำให้ลดน้อยลงได้อย่างมาก หากไม่สามารถกำจัดมันให้หมด นี่เป็นความคิดที่ยิ่งใหญ่ คุณเชื่ออย่างนั้นจริงหรือ?”

เขาพยักหน้า

“คุณรู้ใหมว่าคุณปู่ผมเคยพูดว่า ‘ความยากจนจะอยู่ตลอดไป’ แต่คุณเป็นคนมองเรื่องนี้ในแง่ดี เพราะเหตุใด?”

ทักษิณ ตอบว่า “ลองคิดถึงคนจนที่เกิดในชนบท ที่พ่อแม่เขาก็ยากจน มันไม่จำเป็นที่ลูกหลานเขาในรุ่นต่อไปที่จะต้องยากจนตามไปด้วย ถ้าเขาถูกเลี้ยงดูด้วยสภาพสังคมที่ดีกว่าในสมัยของพ่อแม่ หรือไม่ก็พ่อแม่เขาสามารถเลี้ยงดูให้ดีกว่าสมัยปู่ย่าของเขา สภาพเขาก็จะดีขึ้น ผลของโภชนาการที่ดี การศึกษาที่ดี และโอกาสที่ดีมีผลมหาศาล

“แต่มันต้องใช้เงิน”

เขาพยัก หน้า “ครับ ต้องใช้เงิน แต่พวกเขาไม่จำเป็นต้องได้เงินมาก คุณไม่จำเป็นต้องให้เงินครอบครัวละ ๑ ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อให้เขาร่ำรวย และเราไม่ต้องการให้เขาเป็นคนรวยอย่างง่าย ๆเช่นนั้น เราต้องการให้เขาสามารถหายใจและเจริญได้ แต่ในขณะนี้ที่เมืองไทยเขากำลังจมน้ำตาย ถ้าเราสามารถไปถีงเขาพยุงหัวให้สูงให้เขาหายใจ เขาก็จะหาทางว่ายกลับถึงฝั่งเอง เมื่อเขามีแรงแล้ว เขาจะใช้แรงของตัวเอง เขาจะไม่ยอมจมน้ำอีก เพราะเขารู้แล้วว่าการจมน้ำหายใจไม่ออกเป็นอย่างไรทรมาณแค่ใหน”

การพูดเรื่องนี้แบบไม่ต้องหายใจแสดงถึงความเชื่อมัน่ในเรื่องนี้ของทักษิณ

เขาขยับตัวแล้วกล่าวต่อ “ด้วยการช่วยพวกเขา มันไม่ใช่เหมือนกับว่าเราให้เขาทุกอย่างอย่างเปล่า ๆ ตอนนี้

เขา เหมือนผู้ป่วยพวกเขาไม่แข็งแรงแล้วเราจะให้เขาแบกน้ำหนักที่หนัก อึ้งทำไม รัฐบาลตัวโตกว่าสามารถที่จะรับน้ำหนักแทนเขาได้ระยะหนึ่ง เมื่อเขาแข็งแรงแล้วเราก็คืนน้ำหนักไป”

นี่คือประเด็นที่ทักษิณ คิดเรื่องคนจน: พยายามช่วยเหลืออย่างเป็นขั้นตอนจะมีผลระยะยาว เช่นการให้เด็กที่ไม่มีปัญญาซื้อคอมพิวเตอร์แทปเบล็ต

ทักษิณบอก ว่า “คุณต้องสร้างความแข็งแกร่งให้กับภาคคนรากหญ้า คุณต้องช่วยให้ชนบทเจริญขึ้น ถ้าคุณจะยกภาคใดภาคหนึ่งให้สูงขึ้นที่สามารถทำให้อีกภาคหนึ่งสูงตาม ไม่ใช่เฉพาะบางส่วนของเศรษฐกิจ คุณต้องยกจากด้านล่างสุด ถ้าคุณยกจากข้างล่างสุด ข้างบนก็สูงตาม วิธีนี้ไม่ได้หมายความว่าคุณละเลยเมือง ถ้าเศรษฐกิจของชนบทดีขึ้น ทุกอย่างแม้แต่การท่องเที่ยวจะดีขึ้นกว่าเดิม ถ้าเราเปรียบเทียบทั้งองค์กรของสังคมเหมือนกับร่างกาย ถ้ามีบางส่วนกำลังจะตาย ร่างกายทั้งหมดจะแข็งแรงได้อย่างไร? เราต้องเสริมกำลังความเข้มแข็งให้แต่ละภาค นั่นคือต้องพยายามช่วยเหลือคนจนจากชนบท”

ฉัน: “คุณเข้าใจคนยากคนจนได้อย่างไร?”

“ผม เติบโตมาจากชนบท ผมรู้ ผมพูดคุยกับพวกเขาเมื่อตอนเป็นเด็ก คุณพ่อผมจ้างเขามาทำสวน เขาทำงานขุดดิน ตอนกลางวันเขาทำกับข้าวทานกันเอง ทานเสร็จก็ทำงานต่อ ผมดูอาหารการกินของเขา พวกเขาไม่ได้ไปตลาด เขาจับกบที่อยู่ตามทุ่งมาทำกับข้าวกิน พวกเขาไม่มีอะไรเลย มีแต่ข้าวเปล่า พวกเขามีชีวิตอยู่ได้อย่างไร?”

ถ้าเขาเสแสร้งความปราถนาดีนี้ แสดงว่าเขาเสแสร้งได้ดีมาก

“ผม เข้าใจ ผมเห็นสิ่งเหล่านี้ เมื่อผมได้อำนาจมา ซึ่งไต่เต้ามาจากความสำเร็จทางธุรกิจมาก่อน ผมบอกว่า โอเค เราต้องทำบางสิ่งบางอย่างที่จะช่วยพวกเขา”

“บางทีอาจเป็นเพราะผม ยังมีความทรงจำที่ยังประทับใจของการอยู่ในชนบท และผมยังจำได้เมื่อตอนไปโรงเรียน ผมนั่งซ้อนท้ายข้างหลังรถมอเตอร์ไซค์ของพ่อมองทุ่งนาข้าวตามรายทาง ผมยังสามารถจำมันได้ดี และด้วยเหตุนี้กระมังผมจึงสงสารคนชนบทที่แสนจนและด้อยโอกาส เราจะสามารถให้โอกาสเขาให้มากกว่านี้ได้อย่างไร เราจะให้ความหวังแก่เขามากกว่านี้ได้อย่างไร นี่คือความรู้สึกที่แรงกล้าที่ผมอยากจะทำ”

“นี่คือความรู้สึกที่จริงจังของคุณ?”

“ใช่ ความต้องการอย่างแรงกล้าของผมไม่ใช่การเป็นนายกรัฐมนตรี ความต้องการผมคือต้องการแก้ปัญหาให้ประชาชน การเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นแค่เพียงยานพาหนะที่นำพาผมไปทำสิ่งที่ผมพยายามทำ”
บ่อเกิดคอรัปชั่น: “นั่นคือวิถีที่เขาทำกันในประเทศไทย”

ใน วันนี้ ทักษิณยอมรับด้วยตัวเองแล้วว่า ไม่มากก็น้อยปัญหาที่เขาประสบในสมัยที่เขาปกครองประเทศนั้นมาจากตัวเขาเอง ธรรมชาติที่เขาไม่ค่อยอดทน ซึ่งโดยทั่วไปเป็นบวกในแวดวงธุรกิจ ได้กลายเป็นลบเมื่อเขาพยายามที่จะสรรหาฉันทามติสำหรับแนวทางของนโยบายอัน ใหม่

ฉันเริ่มต้นสนทนาในรอบนี้ดังนี้ “ขณะนี้ผมรู้จักคุณไม่นาน แต่ผมสามารถดูออกว่าคุณเป็นคนที่แข็ง ผมอยากทราบว่ามีใครในทีมงานของคุณหรือไม่ที่กล้าเข้ามาพูดกับคุณตรง ๆว่า ‘ท่านนายกฯ ถ้าเราไม่ทำสิ่งเหล่านี้หรือสิ่งเหล่านั้น เราจะมีปัญหาร้ายแรงอย่างแน่นอน’ ผมคิดว่าคงไม่มีใครที่กล้าเสนอเช่นนั้นกับคุณ”

เขาถอนหายใจอย่าง เบาๆ และพยักหน้า: “นี่คือจุดอ่อนของสังคมไทย คนไทยไม่กล้าพูดในสิ่งที่เป็นเชิงลบกับเจ้านาย สิ่งที่เป็นเชิงลบหรือความเห็นที่เป็นลบที่อาจทำให้เจ้านายไม่พอใจ พวกเขาจะพยายามหลีกเลี่ยง”

“ใช่”

“แต่ผมมีคนคนหนึ่งที่คอยพูดในสิ่งที่จำเป็นจะต้องพูด แต่เธอไม่ได้อยู่กับผมตลอดเวลา เธอคือภรรยาของผม”

ผมหัวเราะอย่างเข้าใจ ผมก็มี สิ่งหนึ่งที่ทักษิณอยากให้มีการแก้ไขคือเรื่องค่าตอบแทนเรื่องเงินเดือนของข้าราชการ

“คุณ รู้ใหมว่าเงินเดือนของนายกรัฐมนตรีเท่าไหร่? แค่ ๓ พันเหรียญสหรัฐ ไม่มีบำนาญ คุณรู้ใหมผมจ่ายค่า รปภ. เดือนละเท่าไหร่? เขาให้ รปภ.ผม ซึ่งเป็นข้าราชการ ผมเลยจ่ายเขาเพิ่ม ทั้งหมด ๑๕,๐๐๐ เหรียญต่อเดือน เฉพาะ รปภ.”

“จากเงินส่วนตัวของคุณ?”

“และผมมีเงินเดือนแค่ ๓,๐๐๐ เหรียญต่อเดือนฐานะนายกรัฐมนตรี”

“คน ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้คือคนที่มีฐานะดีอยู่แล้วหรือเป็นคนที่มีรายได้ จากที่อื่น จะพูดอย่างไรดี จากที่ๆบอกหลักฐานไม่ได้ นั่นเป็นสูตรสำหรับรัฐบาลที่ไม่ดี”

“นี่คือวิถีที่เป็นในประเทศไทย”

“มัน ไม่ถูก ถ้าคุณไม่ให้เงินเดือนเขาอย่างเหมาะสม ไม่ใครก็ใครต้องจ่ายให้เขาให้พอ ผมว่ามันน่าหัวเราะ คุณอยู่ไมได้หรอกเงินเดือนแค่นี้ถ้าไม่รวยอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณไม่รวยอยู่แล้วไม่ใครก็ใครก็ต้องจ่ายให้เขาพออยู่ได้”

“เขา ต้องทำตัวให้เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่และฐานะทางสังคม ถ้าเขาไม่มีรายได้พอพียง เขาก็จะหาจากที่อื่น ไม่อย่างนั้นเขาจะอยู่ได้อย่างไร? เราต้องรับความจริงข้อนี้”

“มันก็จะเป็นบ่อเกิดของการคอรัปชั่น”

“ถูกต้อง คุณกำลังบังคับเขาให้คอรัปฯ”

“และนี่คือสิ่งที่จะต้องแก้ไข?”

“ถูกต้อง”

สมานฉันท์เพื่อกลับบ้าน: “ร่างกายของผมอยู่ดูไบ จิตวิญญาณผมอยู่ที่เมืองไทย”

ทักษิณนั่งอยู่ด้านซ้ายของโซฟาในห้องนั่เล่น โดยปรกติเขาจะนั่งพิงหลังแต่ตอนนี้เขยิบมาอยู่ที่ขอบข้างหน้าแล้ว

“ดังนั้น ผมคิดว่ามีสิ่งเดียวที่เราสามารถทำในเรื่องนี้คือขอการสมานฉันท์ พวกเขากลัวผม พวกเขาไม่ไว้ใจว่าว่าผมไม่ต้องการแก้แค้น”

ฉัน ถาม: “เมื่อไหร่ที่คุณกลับไป คุณจะให้สัญญาได้ไหมกับทหาร พธม. และคนอื่นๆ ที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามเรื่อง นิรโทษกรรม? การไห้อภัยซึ่งกันและกัน?”

“ครับ ได้”

“ไม่มีการล่าแม่มด?”

“ไม่ มีการล่าแม่มด ผมคิดว่าการให้อภัยเป็นกุญแจสำคัญ ผมเชื่ออย่างนั้นจริง ๆ ผมต้องการให้อภัยและอยากให้คนทั้งประเทศให้อภัยซึ่งกันละกัน เพราะถ้าคุณไม่มีการให้อภัย การประนีประนอมไม่เกิด ประเทศก็จะไม่เป็นหนึ่งเดียวอีกต่อไป”

ฉันถามต่อ “แต่มีบางคนบอกว่าสี่งที่จะทำให้ประเทศไทยดีขึ้นคือทักษิณบอกว่า ‘ผมจะไม่กลับประเทศไทยอีก’ แต่คุณไม่เคยพูดเช่นนั้นเพราะจริงๆแล้วคุณต้องการที่จะกลับไป”

“ผมต้องการกลับไปอย่างแน่นอน”

“เข้าใจ เพราะคุณคิดว่าการที่คุณกลับไปจะเป็นผลดีกับประเทศไทยกว่าการไม่กลับ?”

“ถ้า ผมได้กลับไป กลุ่มคนที่ต่อต้านผมขณะนี้จะหยุด และถ้าผมกลับไปอย่างไม่มีการล้างแค้น ให้อภัยกับทุกคน คนที่ไม่ชอบผมก็จะรู้สึกดีขึ้น”

“ถ้าคุณกลับจำเป็นหรือไม่ที่ ต้องกลับไปเล่นการเมืองเป็นนายกรัฐมนตรีอีก? คุณสามารถเป็นแค่พี่เลี้ยงได้หรือไม่เหมือนลี กวนยูของสิงคโปร์ที่เคยเป็นปีๆ”

“ผมไม่จำเป็นต้องเป็นอะไร”

“คุณสามารถกลับไปเป็นแบบซอนเนีย คานธี ผู้มีอำนาจเบื้องหลังของของอินเดีย?”

เขา ถอนหายใจ มองออกนอกหน้าต่าง: “คนบางคนอาจจะไม่สบายใจถ้าผมกลับและมีอำนาจทางการเมืองจะโดยตรงหรือโดยอ้อม แต่ผมสามารถเสนอว่าผมอยู่ในตำแหน่งไหนก็ได้ โดยไม่ต้องเกี่ยวข้องตัวเองกับการเมือง ผมต้องการพิสูจน์ว่าผมไม่รังเกียจแต่ผมต้องการที่จะพิสูจน์ว่าผมเป็น ประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน”

(นับตั้งแต่การเลือกตั้งทั่วไป เมื่อปีที่แล้วที่ยกยิ่งลักษณ์น้องสาวเขาให้ เป็นนายกรัฐมนตรี สื่อได้รายงานว่าทักษิณเป็นผู้อยู่หลังฉากชักใยทางการเมือง)

“แต่ทำไม”

“เพราะ ผมห่วงคนจน และเพราะผมรู้สึกเป็นหนี้พวกที่สนับสนุนผมซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนจน และผมยังรู้สึกเสียใจต่อนักธุรกิจที่ต้องเดือดร้อนกับภาวะเศนษฐกิจไทยตกต่ำ ผมเป็นหนี้เขา เขาต่อสู้ให้ผม เขาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ผมยังจะต้องมอบพลังของผมที่ยังเหลืออยู่ทำงานตอบแทนหนี้เขา”

เขา พูดต่อ: “ผมเชื่อว่าสถานะการณ์เช่นนี้ไม่สามารถถูกปล่อยให้เป็นอยู่อย่างนี้ออกไป นานๆ การปรองดองต้องเกิดขึ้นแน่นอน ถ้าการปรองดองเกิด ซึ่งก็หมายความว่าผมกลับบ้านได้ เมื่อกลับไปแล้ว ผมควรที่จะได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งอะไรก็ได้ที่จะเป็นประโยชน์สำหรับประเทศ และประชาชน”

“คุณกำลังบอกว่าคุณจะมีความสุขมากที่ได้กลับไปเมือง ไทยแม้ไม่ได้เป็นนายก รัฐมนตรี แต่มีตำแหน่งที่ต่ำกว่า กว่าการอยู่ที่ดูไบอีก ๑๐? ที่นี่รื่นรมย์นะ แต่จิตวิญญาณคุณเจ็บปวดอยู่ในความทุกข์ทรมานที่นี่”

“ถูกต้อง ถูกต้อง ร่างกายผมอยู่ที่ดูไป จิตวิญญาณผมอยู่เมืองไทย”

ปฏิบัติการของน้องสาว: “ผมมั่นใจทุกอย่างจบด้วยดี”

วันนี้ทักษิณ ชินวัตรจะเป็นคนแรกที่ยอมรับว่าบุคคลที่เหมาะสมที่จะขับเคลื่อนระบอบทักษิณให้ก้าวหน้าอาจจะไม่ใช่คนชื่อทักษิณ

บุคคลที่ดีเลิศและเหมาะสมอาจจะเป็นน้องสาวคนสุดท้องที่ชื่อยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศ ทักษิณพูดว่าคำว่า “หุ่น”

ทักษิณกล่าวว่า: “เธอทำงานดีเกินคาด ซึ่งทุกคนรวมทั้งตัวผมเองและครอบครัวคิดไม่ถึง แม้แต่พรรคก็แปลกใจ”

ทุก วันนี้มองจากหลายๆ ด้านน้องสาวคนเล็กน่าสนใจกว่าพี่ชายคนโต ผู้เฝ้ามองเธออยู่ด้วยความชื่นชมและห่วงใย เขาบอกว่า เมื่อมองย้อนกลับไป เธอมีมนุษยสัมพันธ์ มีเสน่ห์ มีสัญชาตญาณทักษะการจัดการองค์กร ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้แปลงเป็นประโยชน์ต่อการเมือง

เธอมี ประสบการณ์เป็นผู้บริหารบริษัทอย่างกว้างขวางในบริษัทในเคลือทักษิณ ซึ่งอยู่ในอาณาจักรธุรกิจชิน ที่รู้จักกันดีคือเป็นประธานบริษัท AIS ซึ่งครั้งหนึ่งเป็นบริษัทมือถือที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง แต่เขารู้ว่ารากฐานที่โตมาจากชนบทไม่สามารถถูกชะล้างออกได้จากความสำเร็จของ เธอในทางธุรกิจ “เธอเข้าใจชนทุกชั้น” เขาว่า

“เธอคือแธทเช่อร์ที่นุ่มนวลและทันสมัย”

ทักษิณ เป็นกองเชียร์ที่ใหญ่ที่สุดของเธอ แน่นอน: “เธอไม่มีสัมภาระทางการเมืองและเธอเป็นสุภาพสตรีด้วย เธอจึงสามารถพูดคุยกับทุกคนง่ายกว่าผู้ชายที่มีประวัติการเมืองอันยาวเหยียด ผมไม่อยู่ในฐานะที่ดีกว่าเธอที่จะเสนอเรื่องการสมานฉันท์”

แล้ว เรื่องการลอบสังหารผู้นำหละ? การเป็นสุภาพสตรีไม่ได้ช่วยป้องกันเรื่องนี้เลย ดูอย่างเบนนาเซีย บูโตของปากีสถานที่ประสบจุดจบอันน่าเศร้าเช่นนั้น แต่ทักษิณคิดว่าวัฒนธรรมของสังคมไทย และเพศของเธอช่วยเป็นภูมิคุ้มกัน” เขาเพิ่มเติม “ยิ่งลักษณ์กล้าหาญมาก”

“ผมสามารถบอกคุณได้ว่าผมมองใน แง่ดี ผมมั่นใจว่าทุกอย่างจะลงเอยด้วยดี ผมหวังว่าอย่างงั้น เขาพยายามฆ่าผม ๔ ครั้ง ผมยังมีชีวิตอยู่ ผมยังมีภาระกิจที่ยังทำไม่เสร็จ”

การ ที่ยิ่งลักษณ์ผงาดอยู่ในเวทีการเมืองระดับชาติอย่างน่าตื่นใจ มีรากฐานจากวัฒนธรรม(ทางการเมือง)ของครอบครัวเธอ เธอกำลังช่วยขัดภาพพจน์และมรดกครอบครัวของเธอ นี่เป็นสิ่งที่คนไทยหลายๆคนเคารพ พวกเขารู้ว่าเธอสามารถอยู่ข้างหลังฉากการเมืองได้โดยให้ผู้อื่นรับความร้อน แรงทางการเมืองแทน แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ดูเหมือนว่ายิ่งลักษณ์ จะลงเล่นเกมส์เองอย่างเต็มที่

แสดงเมื่อ 1/30/2012 01:48:00 หลังเที่ยง

เจาะ“นลินี”เตรียมนั่ง รมต.ยุคสมัคร-โอนหุ้นให้“เกรียงศักดิ์-พวก"22 บ.91ลบ.

alt
เปิดข้อมูลลึก“นลินี ทวีสิน”เตรียมตัวเป็นรัฐมนตรีตั้งแต่ยุครัฐบาลสมัคร ผ่องถ่ายหุ้นรวดเดียว 22 บริษัทภายใน 3 วัน 1.5 ล้านหุ้นกว่า 91 ล้านให้“เกรียงศักดิ์”กับพวก ส่อหลบกฎเหล็กห้ามถือครองเกิน 5%? 

การแต่งตั้งนางนลินี ทวีสิน นักธุรกิจใหญ่เข้ามารับตำแหน่งทางการเมืองในตำแหน่งรัฐมนตรีประสำสำนักนายก รัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2555 อาจไม่ได้กระทำอย่างฉับพลันในการปรับคณะรัฐมนตรีรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (ยิ่งลักษณ์2) ทว่าความพยายามในการผลักดันนางนลินให้เข้ามามีตำแหน่งในรัฐบาลอาจเกิดขึ้น ตั้งแต่พรรคพลังประชาชนชนะเลือกตั้งและมีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อ 4 ปีที่แล้ว เนื่องจากพบข้อมูลว่านางนลินีได้โอนหุ้นที่ถือครองอยู่จำนวนมากไปให้บุคคล อื่นในช่วงต้นปี 2551    
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ตรวจสอบพบว่า เมื่อวันที่ 7-8 และ 11 กุมภาพันธ์ 2551 นางนลินี กรรมการบริษัทเครือซัคเซสกรุ๊ป ได้ทำหนังสือถึงนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร เปลี่ยนแปลงการถือครองหุ้นในกลุ่มซัคเซสทุกบริษัทที่เปิดดำเนินการ โดยลดสัดส่วนการถือครองหุ้นในแต่ละบริษัทเหลือเพียง 4 % ของทุนจดทะเบียน
ทั้งนี้ นางนลินีได้ลดสัดส่วนการถือครองหุ้นในแต่ละบริษัทจำนวน 22 บริษัทรวม 1,778,927 หุ้น เหลือเพียง 241,200 หุ้น ปรากฏว่าหุ้นที่ลดลง 22 บริษัทรวม 1,537,727 หุ้น ได้โอนไปให้บุคคล 2 คน คือ
1.นายเกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ จำนวน18 บริษัท รวม 642,949 หุ้น
2.นายอนุรัช มิสรา จำนวน 4 บริษัท รวม 894,778 หุ้น

จากการตรวจสอบพบว่า หุ้นที่โอนให้นายเกรียงศักดิ์ ได้แก่
1. บริษัท อีบิสเนส จำกัด จำนวน 16,700 หุ้น (หุ้นละ 10 บาท)  
2. บริษัท ซัคเซส เลเทอร์ จำกัด 16,000 หุ้น (หุ้นละ 10 บาท)  
3. บริษัท ซัคเซส พับลิชชิ่ง จำกัด 16,000 หุ้น (หุ้นละ 10 บาท)  
4. บริษัท ซัคเซส เทคโนลยี จำกัด 16,000 หุ้น (หุ้นละ 10 บาท)  
5. บริษัท ซัคเซส บุ๊คส์ จำกัด 80,000 หุ้น (หุ้นละ 10 บาท)  
6. บริษัท แอโรพอนิคส์ (ไทยแลนด์) จำกัด 16,700 หุ้น (หุ้นละ 10 บาท)  
7. บริษัท เอเชียเนท พลัส จำกัด 16,000 หุ้น (หุ้นละ 10 บาท)  
8. บริษัท ซัคเซส แคปปิตอล จำกัด 16,000 หุ้น (หุ้นละ 10 บาท)  
9. บริษัท เอเชีย บรอดแบนด์ จำกัด 16,700 หุ้น (หุ้นละ 10 บาท)  
10. บริษัท ดูนามิส เทรดดิ้ง จำกัด 16,700 หุ้น (หุ้นละ 10 บาท)  
11. บริษัท ซัคเซส โฮลดิ้ง จำกัด 16,000 หุ้น (หุ้นละ 10 บาท)  
12. บริษัท ซัคเซส ฟาร์ม จำกัด 16,000 หุ้น (หุ้นละ 10 บาท)  
13. บริษัท ซัคเซส ไบโอเทค จำกัด 16,000 หุ้น (หุ้นละ 10 บาท)  
14. บริษัท ซัคเซส บรอดคลาสติ้ง เนทเวิร์ค จำกัด 11,249 หุ้น (หุ้นละ 10 บาท)  
15. บริษัท ซัคเซส แทรเวล เน็ทเวิร์ค จำกัด 33,400 หุ้น (หุ้นละ 10 บาท)  
16. บริษัท ดูนามิส อินเตอร์เนชั่นแน คอร์เปอร์เรชั่น จำกัด 50,100 หุ้น (หุ้นละ 10 บาท)  
17. บริษัท ซัคเซส เอวิเอชั่น จำกัด 33,400 หุ้น (หุ้นละ 10 บาท)  
18. บริษัท ซัคเซส อินฟอร์เมชั่น ซิสเต็มส์ จำกัด 240,000 หุ้น (หุ้นละ 10 บาท)

หุ้นที่โอนให้นายอนุรัช มิสรา 4 บริษัท ได้แก
1.บริษัท วิลล่า อะควาติส จำกัด 839,996 หุ้น (มูลค่าหุ้นละ 100 บาท)
2.บริษัท รอยัล เอเชีย โปรดักส์ จำกัด 45,997 หุ้น (มูลค่าหุ้นละ 10 บาท)
3.บริษัท โนวาสเตล จำกัด190 หุ้น (มูลค่าหุ้นละ 100 บาท)
4.บริษัท สปา เมเนจเมนท์ แอนด์ คอนซัลแตนท์ จำกัด 8,595 หุ้น (มูลค่าหุ้นละ 100 บาท
รวมมูลค่าหุ้นที่ถูกโอนในครั้งนี้ประมาณ 91,767,560 บาท (มูลค่าตามทุนจดทะเบียน)

น่าสังเกตว่าหลังจากโอนหุ้นให้บุคคลทั้งสองแล้ว สัดส่วนการถือครองหุ้นในแต่ละบริษัท ของนางนลินีเหลือประมาณ 4 % ของทุนจดทะเบียน อาทิ
บริษัท ซัคเซส บุ๊คส์ จำกัด จดทะเบียนวันที่ 22 ตุลาคม 2536 ทุน 5 ล้านบาท ประกอบธุรกิจขายหนังสือและซีดีรอม นางนลินีถือครอง 100,000 หุ้นจากทั้งหมด 500,000 หุ้น วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2551 ได้ลดสัดส่วนเหลือ 20,000 หุ้น (4.0%)
บริษัท ซัคเซส อินฟอร์เมชั่น ซิสเต็มส์ จำกัด จดทะเบียนวันที่ 4 เมษายน 2539 ทุน 15 ล้านบาท ประกอบธุรกิจอินเตอร์เน็ต ขายคอมพิวเตอร์ นางนลินีถือ 300,000 หุ้น หุ้นละ 10 บาท วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2551 ได้ลดเหลือ 60,000 หุ้น (4.0%)
บริษัท วิลล่า อะควาติส จำกัด จดทะเบียนวันที่ 30 พฤษภาคม 2546 ทุน 150 ล้านบาท ประกอบกิจการอสังหาริมทรัพย์ นางนลินีถือ (22 พ.ย.50) จำนวน 899,996 หุ้น จากทั้งหมด 1,500,000 หุ้น หุ้นละ 100 บาท (ชำระแล้วหุ้นละ 50 บาท วันที่ 8 ก.พ. 2551 ลดสัดส่วนเหลือ 60,000 หุ้น (ดูตาราง)
ทั้งนี้ พ.ร.บ.ว่าด้วยการจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ.2543 ออกตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 (กฎหมาย ป.ป.ช.) ห้ามรัฐมนตรีและคู่สมรสถือครองหุ้นเกิน 5% ของทุนจดทะเบียน

1.รายชื่อผู้ถือหุ้นบริษัท อีบิสเนส จำกัด 
alt
ที่มา:กรมพัฒนาธุรกิจการค้า , สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org)รวบรวม

2.รายชื่อผู้ถือหุ้นบริษัท ซัคเซส เลเทอร์ จำกัด
alt
ที่มา:กรมพัฒนาธุรกิจการค้า , สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org)รวบรวม

3.รายชื่อผู้ถือหุ้นบริษัท ซัคเซส พับลิชชิ่ง จำกัด  
alt
ที่มา:กรมพัฒนาธุรกิจการค้า , สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org)รวบรวม

4.รายชื่อผู้ถือหุ้นบริษัท ซัคเซส เทคโนลยี จำกัด  
alt
ที่มา:กรมพัฒนาธุรกิจการค้า , สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org)รวบรวม

5.รายชื่อผู้ถือหุ้นบริษัท ซัคเซส บุ๊คส์ จำกัด
alt
ที่มา:กรมพัฒนาธุรกิจการค้า , สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org)รวบรวม

6.รายชื่อผู้ถือหุ้น บริษัท แอโรพอนิคส์ (ไทยแลนด์) จำกัด 
alt
ที่มา:กรมพัฒนาธุรกิจการค้า , สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org)รวบรวม

7.รายชื่อผู้ถือหุ้น บริษัท เอเชียเนท พลัส จำกัด 
alt
ที่มา:กรมพัฒนาธุรกิจการค้า , สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org)รวบรวม

8.รายชื่อผู้ถือหุ้น บริษัท ซัคเซส แคปปิตอล จำกัด 
alt
ที่มา:กรมพัฒนาธุรกิจการค้า , สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org)รวบรวม

9.รายชื่อผู้ถือหุ้น บริษัท เอเชีย บรอดแบนด์ จำกัด 
alt
ที่มา:กรมพัฒนาธุรกิจการค้า , สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org)รวบรวม

10.รายชื่อผู้ถือหุ้น บริษัท ดูนามิส เทรดดิ้ง จำกัด 
alt
ที่มา:กรมพัฒนาธุรกิจการค้า , สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org)รวบรวม

11.รายชื่อผู้ถือหุ้น บริษัท ซัคเซส โฮลดิ้ง จำกัด 
alt
ที่มา:กรมพัฒนาธุรกิจการค้า , สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org)รวบรวม

12.รายชื่อผู้ถือหุ้นบริษัท ซัคเซส ฟาร์ม จำกัด 
alt
ที่มา:กรมพัฒนาธุรกิจการค้า , สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org)รวบรวม

13.รายชื่อผู้ถือหุ้นบริษัท ซัคเซส ไบโอเทค จำกัด 
alt
ที่มา:กรมพัฒนาธุรกิจการค้า , สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org)รวบรวม

14.รายชื่อผู้ถือหุ้นบริษัท ซัคเซส บรอดคลาสติ้ง เนทเวิร์ค จำกัด 
alt
ที่มา:กรมพัฒนาธุรกิจการค้า , สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org)รวบรวม

15.รายชื่อผู้ถือหุ้น บริษัท ซัคเซส แทรเวล เน็ทเวิร์ค จำกัด 
alt
ที่มา:กรมพัฒนาธุรกิจการค้า , สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org)รวบรวม

16.รายชื่อผู้ถือหุ้น บริษัท ดูนามิส อินเตอร์เนชั่นแน คอร์เปอร์เรชั่น จำกัด 
alt
ที่มา:กรมพัฒนาธุรกิจการค้า , สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org)รวบรวม

17.รายชื่อผู้ถือหุ้น บริษัท ซัคเซส เอวิเอชั่น จำกัด 
alt
ที่มา:กรมพัฒนาธุรกิจการค้า , สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org)รวบรวม      

18.รายชื่อผู้ถือหุ้น บริษัท ซัคเซส อินฟอร์เมชั่น ซิสเต็มส์ จำกัด
alt
ที่มา:กรมพัฒนาธุรกิจการค้า , สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org)รวบรวม

19.รายชื่อผู้ถือหุ้นบริษัท วิลล่า อะควาติส จำกัด
alt
ที่มา:กรมพัฒนาธุรกิจการค้า , สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org)รวบรวม

20.รายชื่อผู้ถือหุ้นบริษัท รอยัล เอเชีย โปรดักส์ จำกัด
alt
ที่มา:กรมพัฒนาธุรกิจการค้า , สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org)รวบรวม

21.รายชื่อผู้ถือหุ้นบริษัท โนวาสเตล จำกัด
alt
ที่มา:กรมพัฒนาธุรกิจการค้า , สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org)รวบรวม

22.รายชื่อผู้ถือหุ้น บริษัท สปา เมเนจเมนท์ แอนด์ คอนซัลแตนท์ จำกัด 
alt
ที่มา:กรมพัฒนาธุรกิจการค้า , สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org)รวบรวม
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง