บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2554

"ถวิล"ไม่เคยเปลี่ยนสี"

"ถวิล"ไม่เคยเปลี่ยนสี"เปลว สีเงิน เปรียบเปรยเกมส์โฉดครั้งนี้คือ"สามก๊กไทย'ฉบับกฎแห่งกรรม' "


by ทนายเบิ้ม

สามก๊กไทย 'ฉบับกฎแห่งกรรม'

หมู่นี้มีคนพูดถึง "สามก๊ก" กันบ่อย นอกจากฉบับ "เจ้าพระยาพระคลัง(หน)" ที่เราเรียนกันตอน "โจโฉแตกทัพเรือ" แล้ว ถึงวันนี้ ใครเห็นเมืองไทยแล้วเกิดอยากจะอ่านสามก๊กขึ้นมาอีก ผมขอแนะนำให้อ่าน พิชัยสงคราม "สามก๊ก" ฉบับบูรณาการ ของสำนักพิมพ์สุขภาพใจ ที่ท่านอาจารย์ "สังข์ พัธโนทัย" แปลจากต้นฉบับภาษาจีน เทียบเคียงกับฉบับ "เบรวิตต์ เทเลอร์"
ท่านแปลในคุก ช่วงถูกจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จับข้อหาคอมมิวนิสต์ โดยมีบัณฑิตจีนที่เป็นเพื่อนร่วมห้องขังเป็นที่ปรึกษาด้านชื่อ-สถาน ที่-บุคคล ทางประวัติศาสตร์
นี่ผมก็ไม่เป็นอันหลับ-อันนอน กลับไป ๖ ทุ่ม ตี ๑ ก็ต้องหยิบมาอ่านซะหน่อย อ่านแล้วก็...อีกนิดค่อยนอนน่า...น่าไป-น่ามา ปาเข้าไป ตี ๓ ตี ๔ ทั้งที่อ่านแล้วอ่านอีก จากหลายๆ ฉบับที่ปราชญ์ทางภาษาหลายๆ ท่านแปลออกมา รวมทั้ง "ฉบับวณิพก" ของยาขอบ
เล่มไหน-สำนวนไหน-ท่านไหนแปล อ่านเถอะครับ ทรงคุณทุกฉบับ-น่าอ่านทุกสำนวน แต่ที่ผมแนะนำอยากให้อ่านนาทีนี้ ต้องเป็น "พิชัยสงคราม สามก๊ก ฉบับบูรณาการ" ของ สังข์ พัธโนทัย สำนักพิมพ์สุขภาพใจ นอกจากมาตรฐานภาษาและความถูกต้องที่ชำระแล้ว
บางที เราจะได้ความเข้าใจจากตัวเราเอง จากการอ่านถ่องแท้ฉบับบูรณาการนี้ มิใช่จากพูดๆ กันมา ฟังๆ กันมา แล้วก็เชื่อกันไปในลักษณะ...ได้ยินเขาพูดกันอย่างนั้น ก็ฝังใจเชื่อกันสืบๆ มาว่า คนนั้นเป็นอย่างนี้-คนนี้เป็นอย่างนั้น!
ไปหาอ่านเถอะครับ แล้วจะเข้าใจตามที่ "ตัวละคร" ในประวัติศาสตร์เป็น
ตั้งแต่ พระเจ้าเลนเต้ ขันทีทั้ง ๑๐ ตั๋งโต๊ะ เตียวเสี้ยน อ้องอุ้น ลิฉุย กุยกี โจโฉ เจ๋าซือ พระเจ้าเหี้ยนเต้ เล่าปี กวนอู เตียวหุย ลิโป้ อ้วนเสี้ยว อ้วนสุด เตียนอุย เคาทู เตียวเลี้ยว เล่าเปียว ซีซี ขงเบ้ง บังทอง ซุนกวน หมอฮัวโต๋ หมอกวนลอ เบ้งเฮก สุมาอี้ เกียงอุย จนถึงพระเจ้าสุมาเอี๋ยน และฯลฯ
แล้วเราก็อาจต้องตัดสินใจใหม่ว่า ระหว่าง โจโฉ-เล่าปี ใครคือพระเอก-ใครคือผู้ร้ายตัวจริง?
และเราก็จะเข้าใจ โลก-ชีวิต-อำนาจ-ตัณหา-ชะตา-มนุษย์ ได้ดีขึ้น
ดังที่ "หลอกว้านจง" ขึ้นบรรทัดแรกของเรื่องสามก๊กไว้ว่า...เดิมแผ่นดินทั้งปวงนั้น เป็นสุขมานาน แล้วก็เป็นศึก ครั้นศึกสงบ แล้วก็เป็นสุข!
แล้ววันนี้...เราจะคุยเรื่องอะไรกันดีล่ะ..?
เรื่อง "ข้าแผ่นดิน" ที่ชื่อ ถวิล เปลี่ยนศรี ถูกเกมบัดสี ที่ย้ายไล่เอาเก้าอี้กันเป็นทอดๆ แล้วมาลงที่ท่าน เพียงเพื่อให้ "พี่เมียทักษิณ" ได้ขึ้นเป็น ผบ.ตร.เพียงคนเดียว อย่างนั้นหรือ?
มันไม่ใช่ "กฎแห่งกรรมรังแก" หากแต่เป็น "กฎอธรรมทางการเมือง" รังแกท่าน และคุณถวิลประกาศไว้วานนี้ (๗ ก.ย.๕๔) ว่า 
"เรื่องนี้เป็นกฎแห่งกรรม ท่านที่รังแกผมต้องต่อสู้กับกฎแห่งกรรม ผมไม่ต้องการเป็นไอดอลของข้าราชการในการต่อสู้ แต่ถ้าเป็นอานิสงส์...ก็ดี ขอความกรุณาฝ่ายการเมืองให้เกียรติข้าราชการ ผมไหว้พระทุกวัน กฎแห่งกรรมจะจบด้วยความจริงแท้แน่นอน"!
คุณถวิล ถูกกฎอธรรมทางการเมืองรังแก
แล้วคนที่รังแกท่านนั่นแหละ จะเป็นผู้ "รับผลแห่งกรรม" โดยต้องจบด้วย "ความจริงแท้แน่นอน" ตามกฎแห่งกรรม ดังสัจจะคุณถวิลที่กล่าวไว้ในฐานะ
ข้าแผ่นดินผู้ "ไหว้พระ" ทุกวัน!
ครับ...ท่าน จะสู้ให้เป็นแบบอย่างกับข้าราชการทั้งหลาย ขั้นแรกจะฟ้องนายกฯ หญิงยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรง แต่ย้ายท่านแบบมีอคติ ลุแก่อำนาจ ต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.)
ผมขอให้กำลังใจครับ
ผมเข้าใจท่าน...การต่อสู้นี้ มิได้ต่อสู้เพื่อเก้าอี้ หากแต่ต่อสู้เพื่อ เกียรติยศ-ศักดิ์ศรี ของข้าราชการ และของความเป็นคนบนคุณธรรม!
และผมก็ เข้าใจฝ่ายการเมือง "ชนะเป็นเจ้า-แพ้เป็นโจร" ตอนนี้ นปช.ของทักษิณ ผู้ประกาศจะเปลี่ยนประเทศไทยให้เป็น "แดงทั้งแผ่นดิน" เป็นผู้ชนะ
คนชนะ ทำอะไรย่อมถูกต้องด้วยอำนาจเสมอ ดังนั้น เขาจึงประกาศว่า การย้ายคุณถวิลเป็นความถูกต้อง-ชอบธรรม ก็ถูกต้อง-ชอบธรรมตามแนวของเขา
แนวของเขา คืออะไร?
อย่างที่บอกไปแต่วาน ทำด้วยวิธีไหนก็ได้ เอาเก้าอี้ ผบ.ตร.มาให้องค์ชายเพรียวพันธ์ได้นั่ง ถือว่าถูกต้อง-ใช้ได้ เรื่องอื่นๆ ไม่สำคัญ ค่อยพลิกแพลงว่ากันไปตามกระบวนท่า คุณวิเชียรจะนั่งเก้าอี้ สมช.ไปเรื่อยๆ หรือต้องคืนคุณถวิล นั่น..หาปรารมภ์ไม่
ก็ว่ากันไป..ตัดสินว่าไง เป็นไปตามนั้น!
อย่างเก่งก็แค่ คืนเก้าอี้เลขาฯ สมช.ให้คุณถวิล ไม่เกี่ยวกับเรื่องคืนเก้าอี้ ผบ.ตร.แต่อย่างใด เพราะเก้าอี้นี้ "พล.ต.อ.เพรียวพันธ์" ได้มาอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว เนื่องจาก พล.ต.อ.วิเชียร "ลาออกไป"
เมื่อเก้าอี้ว่าง....
ท่าน รองนายกฯ เฉลิม กับ ก.ตร. "เขาจัดให้" ตามขั้นตอนกฎหมาย ฉะนั้น ไม่เกี่ยวกะเรื่องใครแย่งใคร และไม่ต้องคืนใครทั้งสิ้น เก้าอี้ตัวนี้ได้มาบริสุทธิ์ ประดุจล่องลอยมาท่ามกลางนภากาศ แล้วตกลงมาดังตุ้บท่ามกลางระหว่างโต๊ะประชุม ก.ตร.ดังนี้ แล!
แต่ว่าก็ ว่าเถอะ ไหนๆ ตูดก็ใกล้เก้าอี้ ผบ.ตร.อยู่แค่เอื้อม ท่านว่าที่ ผบ.ตร.เพรียวพันธ์ อกตึง-ไหล่ตั้ง-หน้าตรง...สั่งการไปเลยครับ...ท่าน ให้มันเสียงดังฟังชัดหน่อย
อย่าทำหงอ-ทำจ๋อย ทำให้มันมีออราหน่อย ต้องมั่นใจ ไหนๆ ก็จะเป็นใหญ่ในรัฐตำรวจทั้งที ดูตัวอย่างท่านรองนายกฯ เฉลิมเพื่อนเลิฟผมซีครับ แค่อดีต ร.ต.อ.กองปราบฯ เท่านั้น เพราะเสียงดัง-หน้าแดง-แรงไม่ตก
วันนี้..."ร้อยตำรวจเอก" เป็นฝ่ายตั้ง "พลตำรวจเอก" เป็น ผบ.ตร.เห็นมั้ย!?
บางอย่าง ก็มองไม่เห็น และยากเข้าใจ เรื่องบุญ-เรื่องวาสนาของคนนั่นแหละ คุณเพรียวพันธ์ก็ควรต้องทำความเข้าใจไว้ด้วย อะไรที่มัน-ใช่ ต่อให้ฟ้าถล่ม ดินทลาย ยังไงๆ มันก็ต้องได้เป็นของเรา
แต่ถ้ามันไม่ใช่....
แม้สัมผัสปลายมือไหวๆ บางที ก็มิอาจคว้าไว้ได้ ต่อให้ห้อยพระสมเด็จครบทุกพิมพ์ไว้ที่คอก็ตาม!?
ผมก็อยากย้ำให้รัฐบาล นปช.เข้าใจสถานภาพตัวเองชัดๆ ว่า "เทอมการเป็นรัฐบาล ๔ ปี" นะครับ เป็นไปเถอะ...เป็นให้เบื่อไปเลย ถ้า ๔ ปียังไม่เบื่อ จะเป็นต่ออีก ๔ เป็น ๘ ปี ก็ตามสบาย
ฉะนั้น จะก้าวอะไรแต่ละก้าว ควรยับยั้ง-ชั่งใจ และตระหนักถึงความเหมาะ-ความควรด้วย อำนาจไม่ได้ทำให้รัฐบาลอยู่สั้น-อยู่ยาว
การใช้อำนาจตะหาก ที่จะเป็นเครื่องต่ออายุ หรือบั่นอายุทั้งคน ทั้งรัฐบาล นี่...เพราะ JBP หรอก จึงบอกเพื่อน!
ทำงานสร้างสุขให้ชาวบ้านเป็นศรัทธาก่อน แล้วค่อยใช้ศรัทธานั้นเป็นบารมีไปทำบ้าๆ บอๆ เมื่อมีบารมีแล้ว อะไรที่บ้าบอ ทำไปมันก็น่ารัก-รับได้ทั้งนั้นแหละ
แต่นี่...อำนาจยังไม่แปรสภาพเป็นศรัทธาเลย ใช้ตัณหาโมหะขับเคลื่อนพลังอำนาจ "แก้โซ่ให้ทักษิณ" แต่หัววัน!
ไม่มี "หัวถั่วงอก" เกลื่อนแผ่นดินโผล่เป็นตะปูตำตีนพวกท่านหรอก แต่...อย่าลืมอย่างที่คุณถวิลบอก
"กฎแห่งกรรมจะจบด้วยความจริงแท้แน่นอน" !
โบราณท่านว่า วันเดียว-ของคนในนรก มันเนิ่นนานช้า แต่วัน-เวลา ของคนบนสวรรค์ พันปี-แป๊บเดียว
ช่วงเวลานี้ก็เช่นกัน........!
วัน-เวลาเท่ากัน แต่กับชาวบ้าน ชั่วคืน มันนานเหมือนชั่วชาติ แต่กับคนเสวยอำนาจ วัน-เวลาบ่มสุข มันผ่านไปไวเหมือนสายฟ้าแลบ
ก็อยากจะบอกทั้งคนบ่มทุกข์และคนบ่มสุขว่า "ความจริงแท้แน่อน" ตามนัยคุณถวิล.......มันมาแล้ว!
เพียงอยู่ระหว่าง "ก่อตัว" ก่อนเดินทาง ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องถามหา
มันมาแน่!!!
กฎแห่งกรรม คืออะไร?
กฎแห่งกรรม ก็คือกฎแห่งการกระทำ หมายถึงการทำ-เป็นเหตุ สิ่งที่ตามมาจากการทำนั้น-เป็นผล ใครทำอย่างใด ย่อมได้ผลอย่างนั้น ทำนอง ปลูกมะพร้าวย่อมได้มะพร้าว ปลูกมะพร้าวแล้วได้ส้มโอ ไม่มีแน่นอน และนี่..เป็นหลักศาสนาอย่างนั้นหรือ?
แล้วท่านเข้าใจคำว่า "หลักศาสนา" แบบไหน?
ถ้าเข้าใจว่า "หลักศาสนา" คือ การบัญญัติกฎกติกาอย่างใด-อย่างหนึ่งขึ้นมาจากศาสดาของศาสนานั้นๆ แบบนี้ คำว่า "กฎแห่งกรรม" ตามนัยของผม ไม่ใช่หลักศาสนาครับ
แต่ถ้าเข้าใจว่า "หลักศาสนา" คือ ความจริงอันมี-อันเป็นอยู่แล้วตามธรรมชาติ ไม่มีใครบัญญัติขึ้นเอง "กฎแห่งกรรม" แบบนี้แหละคือ "หลักศาสนา" ตามนัยของผม
และ "ความจริงตามธรรมชาติ" นี้ กำลังจะปรากฏ!
นกกระจอกเทศร้องหาทรายซุกหัวแก้ปัญหา คนกระจอก ร้องหาปฏิวัติซุกหัวแก้ปัญหา แต่คนมีปัญญาจะ "ใช้หัว" แก้ปัญหา อย่างเช่น กุยแก ในขณะโจโฉคลั่งแค้น ไม่เห็นทางเอาชนะอ้วนเสี้ยว ก็บอกโจโฉว่า
"ท่านอย่าปรารมภ์ด้วยทหารฝ่ายเรามีน้อย ข้าพเจ้าเห็นเหตุผลที่เราจะชนะ ๑๐ ประการ และเห็นเหตุผลที่อ้วนเสี้ยวจะแพ้ ๑๐ ประการ"
และด้วย ๑๐ ประการนั้น ทำให้ โจโฉอ้วนพี อ้วนเสี้ยว...ซี้แหงแก๋.
ไทยโพสต์
*****************
“ระบบ ราชการมีศักดิ์ศรี เกียรติภูมิ ถูกออกแบบมาเพื่อทำงานให้ชาติบ้านเมืองเช่นเดียวกับฝ่ายการเมือง เพราะฉะนั้นขอความกรุณาให้ใช้ระบบคุณธรรม ใช้เหตุผล อย่าใช้อคติ ความรัก ความชังทำให้ข้าราชการไขว้เขว เพราะสิ่งนั้นจะกระทบต่อขวัญกำลังใจของข้าราชการทั่วประเทศ ไม่เกิดประโยชน์กับใครทั้งสิ้น เป็นโทษต่อชาติบ้านเมือง มาวันนี้ต้องขอความคุ้มครองจากกฎหมายจะไปร้องที่คณะกรมการฯว่าผมไม่ได้รับ ความเป็นธรรมจากการปฎิบัติงานของนายกรัฐมนตรีและครม. และไม่ได้ต้องต้องการเป็นไอดอลหรือแบบอย่างให้เกิดการต่อสู้ของข้าราชการ ประจำแต่ต้องการรักษาเกียรติของตัวเองและข้าราชการให้ดีที่สุด ปกป้องสิทธิที่ชอบธรรม ชอบด้วยกฎหมายและคุณธรรม ซึ่งมั่นใจจะได้รับความเป็นธรรม กฎหมายคือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นแต่สิ่งสำคัญกว่าคือกฎแห่งกรรม และกฎธรรมชาติที่ทุกคนต้องต่อสู้ “(นายถวิล เปลี่ยนสี อดีตเลขาธิการ สมช.)
เพื่อเป็นการรักษาศักดิ์ศรีของข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คุณถวิลจะต้องฟ้องรัฐบาลนี้ต่อศาลปกครอง เพื่อให้เป็นคดีตัวอย่างแก่ข้าราชการที่ดีทั้งประเทศได้รู้กันว่า การใช้อำนาจตามอำเภอใจ ไม่ได้ถูกต้อง ไม่ได้เกิดจากคุณธรรม แต่เกิดจากความสามานย์ เห็นแก่พวกพ้องของฝ่ายตน เช่นนี้แล้ว จะปล่อยคนที่กระทำเยี่ยงนี้ ลุแก่อำนาจต่อไปไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องมีบทสรุปที่ออกมาเป็นคำพิพากษา อันเป็นบรรทัดฐานที่นักการเมืองที่เข้ามาบริหารประเทศ และ ข้าราชการ จะต้องใช้เป็นหลักปฎิบัติต่อไป

สภาพิจารณา สละสิทธิ์คุ้มครอง ส.ส.เสื้อแดง




สภาผู้แทนราษฎร บรรจุเรื่องการขออนุญาตสละสิทธิ์ขอความคุ้มครองของ ส.ส.พท. 9 คน ที่ถูกข้อหาใช้ถ้อยคำเข้าข่ายมีความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงในราชอาณาจักร เข้าสู่การพิจารณา

การประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันนี้มีเรื่องด่วน ขออนุญาตสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาการสละสิทธิ์คุ้มกันของ ส.ส. 9 คน ตามมาตรา 131 ของรัฐธรรมนูญ ตามที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ทำหนังสือถึงสภาผู้แทนราษฎร เนื่องจาก ส.ส.ทั้ง 9 คน ประสงค์จะไม่ใช้สิทธิ์คุ้มกัน และขอสละสิทธิ์รับการคุ้มกัน ที่ถูกดำเนินคดีในข้อหาใช้ถ้อยคำเข้าข่ายมีความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงในราช อาณาจักร หรือหมิ่นสถาบัน บนเวทีการชุมนุมลำลึกครบรอบ 1 ปี เหตุการณ์สลายการชุมนุม เมื่อวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ยืนยันว่า ส.ส.เสื้อแดงทั้ง 9 คนของพรรคเพื่อไทยจะไม่ขอใช้เอกสิทธิ์คุ้มครองความเป็น ส.ส.จากกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ แต่หากที่ประชุมสภาฯลงมติให้พวกตนเองใช้เอกสิทธิ์คุ้มครองก็จะขอแสดงเจตนา สละสิทธิ์และจะขอให้ดีเอสไอทำเรื่องเข้ามาที่สภา ฯ อีกครั้ง

ส่วนความคืบหน้าการออกกฎหมายนิรโทษกรรม นายถาวร เสนเนียม รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้แถลงพร้อมแสดงเอกสารRoad Map รัฐบาลยิ่งลักษณ์ 1 และระบุว่าการขอพระราชทานอภัยโทษ จะต้องยื่นเรื่องกับผู้บัญชาการเรือนจำ หรือพัศดี เพื่อเสนอความเห็นไปยังกรมราชทัณฑ์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมตามขั้นตอน ขณะเดียวกันในมาตรา 260 ระบุชัดเจนว่า นักโทษจะต้องรับโทษจำคุกจากคำพิพากษาของศาลก่อน ดังนั้นกรณีของอดีตนายกรัฐมนตรี จึงไม่มีสิทธิที่จะขอพระราชทานอภัยโทษได้ไม่ว่าบุคคลใดจะเป็นผู้ยื่นก็ตาม

นายถาวร เสนเนียม เรียกร้องไปยังร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ให้ยุติการบิดเบือนประเด็นการให้ข้อมูลกับประชาชน ที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง และอ้างกฎหมายมหาชน เพื่อนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตรา 291 และ 309 โดยเฉพาะความพยายามของรัฐบาลที่จะออกกฎหมายนิรโทษกรรม พร้อมยืนยันพรรคประชาธิปัตย์จะคัดค้านถึงที่สุดหากรัฐบาลนำเรื่องนี้เข้าสู่ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี

แปลง "ฎีกาเถื่อน" กก.กลั่นกรอง-ตรวจสอบ อภัยโทษ “ทักษิณ”


by นายตะเกียง
กลายเป็นประเด็นร้อนอีกครั้ง เมื่อ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง  รองนายกรัฐมนตรี ปัดผุดประเด็น  ขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ขึ้นมาอีกครั้ง  ตามการประกาศในช่วงหาเสียงว่าจะพา ทักษิณ กลับบ้านภายใน 6 เดือนหลังจากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล
หลังจากที่กลุ่มคนเสื้อแดง นำรายชื่อร่วม 3 ล้าน เข้ายื่นขอพระราชทานอภัยโทษ  2552 ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสม และยังอาจเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วย หรือ ฏีกาเถื่อน หรือไม่
จนถูกวิพาก์วิจารณ์อย่างกว้างขาวง  ใน การรวบรวมรายชื่อประชาชนผู้บริสุทธ์ นับล้านไปกดดันพระราชอำนาจหรือไม่ และจากการตรวจสอบของอดีตรัฐมนตรี ยุติธรรม พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค ก็ชัดเจนว่าไม่มี ญาติพี่น้องกระกูลชินวัตร รวมลงรายชื่อ ด้วย จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ ฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ
วันนี้ รัฐบาล จึงหาทางออก โดยยืมมือ รมว.ยุติธรรม พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ด้วยการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ และศึกษการขอพระราชทานอัยโทษ ที่มาจากนักวิชาการ และ และบุคคลากรที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม เพื่อศึกษาความเป็นได้
แต่เมื่อไล่เลียงดูกรรมการแต่ละคนแล้ว จะเห็นได้ว่า  4 ใน 7 คน มีความสัมพันธ์เชื่อมโยง ที่อาจจะเป็นช่วย ทักษิณ เพียงคนเดียว หรือไม่
-วุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์  คณบดีคณะรัฐศาสตร์ มร.  และ ว่าที่ อธิกาบดี มหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งเป็นสายใกล้ชิด กับ  ประจวบ ไชยสานส์ นายกสภามหาวิทยาลัย พ่อ รัฐมนตรีสาธารณสุข ต่อพงษ์ ไชยสาสน์  พรรคเพื่อไทย
-จุมพล ณ สงขลา อดีตตุลาการศาสรัฐธรรมนูญ  ซึ่งเป็นหนึ่ง ตุลาการเสียงข้างมากในคดีซุกหุ้น  ทักษิณ ชินวัตรเ มื่อปี 2544 ที่ตัดสินว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ผิด กรณีการปกปิดการถือครองหุ้นภาค 1
-ธงทอง จันทรางศุ เลขาธิการสภาการศึกษา ก็ถูกกล่าวหาว่ามีความสำพันธ์ใกล้ชิดกับรัฐบาลชุดนี้ ถึงขึ้นมีกระแสข่าวว่าจะถูกเสนอชื่อเป็นเลขาธิการ ครม.คนใหม่ แทน ดร.กบ  อำพล กิตติอำพล  
-ธนพิชญ์  มูลพฤกษ์  อธิบดีอัยการคดีพิเศษ
-ศรีสมบัติ  โชคประจักษ์ชัด  ประธานคณะหลักสูตรสาขาวิชาอาชญาวิทยาการบริหารงานยุติธรรมและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
-นัทธี  จิตสว่าง ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม   เคย ถูกเด้งจากอธิบดีกรมราชทันฑ์ เมื่อปี 2553 สมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ และมีส่วนเกียวข้องการถวายฏีกาของกลุ่มคนเสื้อแดง ตั้งแต่เริ่มต้น  ซึ่งมีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับพรรคเพื่อไทย ตั้งแต่เป็นอธิบดีกรมควบคุมประพฤติ  จนได้ขึ้นอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ในยุคที่ ทักษิณ เรืองอำนาจ
-ชาติชาย สุทธิกลม  อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ผู้อำนวยการกองนิติการ กรมราชทัณฑ์ และหัวหน้าฝ่ายอภัยโทษ กรมราชทัณฑ์
ประเด็น การตั้งคณะกรรมการใน กรณีของ ทักษิณ เพียงคนเดียวจะถูกตั้งคำถามว่าเป็นการปฏิบัติ 2 มาตรฐานหรือไม่ เพราะนักโทษที่หนีคดีติดคุก ไม่ได้มีเฉพาะ ทักษิณ เท่านั้น หากจะมีนักโทษคนอื่นต้องการขอพระราชทานอภัยโทษ จะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบแบบนี้หรือไม่
ที่ สำคัญเมื่อปี 2545 สมัยที่ ร.ต.อ.ปุรชัย เปี่ยมสมบูรณ์ เป็นรมว.มหาดไทย ได้เคยเสนอเรื่องการขอพระราชทานอภัยโทษให้กับนักโทษที่หนีคดีในขณะนั้น ต่อนายกรัฐมนตรีที่ ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ก็ปฏิเสธที่จะเสนอเรื่องขอพระราชอภัยโทษ เพราะเห็นว่า นักโทษยังไม่มารับโทษ จึงไม่เข้าข่ายการขอพระราชทานอภัยโทษ
และการที่ พล.ต.อ.ประชา ผู้รับผิดชอบในการเดินเรื่องนี้ด้วยตั้งคณะกรรมการขึ้นมา  เพื่อไม่ตกเป็นเป้าโจมตีของสังคม ที่อาจจะส่งผลกระทบ ต่อเสถียรภาพของรัฐบาล
การ ตั้งคณะกรรมการขึ้นมา เพื่อให้สังคมยอมรับมากขึ้น แลเดินเกมคู่ขนาดไปกับการเคลื่อนไหวมวลชน ของกลุ่มคนเสื้อแดง ทีเดินหน้าผลักดันเรื่องนิ้อย่างเต็มสูบ
ที่ สุดแล้ว หากสังคมไม่ขานรับ ก็ เท่ากับเป็นการหาทางลง ของการขอพระราชทานอภัยโทษ และสร้างเงื่อนไขนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญในที่สุด ผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการชุดนี้นั่นเอง ซึ่งพรรคเพื่อไทยเตรียมรับลูกต่อ เสนอเข้าสู่สภาสมัยนิติบัญญัตในช่วงเดือนธันวาคมนี้  เพื่อหาทาง นิรโทษกรรม ให้คนชื่อ ทักษิณ ชินวัตร.

จะมีพระราชาองค์ใดในใต้หล้า?? ทรงมุดรั้วลวดหนาม เพียงเพื่อ หาน้ำให้ประชาชน

by ก้อยกัลยา

   
  



   การทรงงานอันเกิดจากพระมหากรุณาธิคุณ จากพระเมตตาอันลึกซึ้งด้วยพระราชหฤทัยห่วงใยที่ทรงมีต่อพสกนิกร โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่พระราชทานไว้มีมากกว่า 4 พันโครงการ นายสวัสดิ์ วัฒนายากร องคมนตรี มีโอกาสรับใช้เบื้องพระยุคลบาทอย่างใกล้ชิด เคยไปเล่าให้ฝรั่งฟังเขาไม่เชื่อ แต่ได้ยืนยันให้เขาเข้าใจว่านั่นคือเรื่องจริง !!!        
 
และนี่เป็นอีกหนึ่งในน้ำพระราชหฤทัยที่ทรงห่วงใยราษฏรของพระองค์
 
       เมื่อวันที่ 25 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2535 ณ อำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์  ใกล้เวลาที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ  จะเสด็จฯ ถึงได้มีผู้รอเฝ้าฯ รับเสด็จเป็นจำนวนมาก กลุ่มข้าราชการ กปร. และชลประทาน ตั้งแถวรับเสด็จ
       เฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งบินวนเหนือบริเวณนั้นหลายรอบ พวกเราต่างแปลกใจ จน ฮ.พระที่นั่งลงจอด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จฯ  มายังแถวข้าราชการ กปร. และชลประทาน พร้อมกับมีรับสั่งว่า
       “ได้พบแหล่งก่อสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่แล้ว เราจะเข้าไปดูด้วยกัน”

     เมื่อเสร็จจากพิธีที่ทางจังหวัด อำเภอ และประชาชน จัดถวายการต้อนรับแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จฯ ลงมายังกลุ่มข้าราชการ ได้ทรงอธิบายจากแผนที่ 1: 50,000 ถึงจุดที่มีพระราชประสงค์จะเสด็จฯ ไปทอดพระเนตร

       ได้มีครูและปลัดอำเภอรับอาสาเป็นผู้นำทาง แต่เมื่อรถขบวนแล่นไปได้ระยะหนึ่ง ผู้นำทางทั้งสองยอมรับว่าไม่สามารถนำเข้าจุดเป้าหมายได้ ……เมื่อรถขบวนแล่นผ่านร้านค้าแห่งหนึ่งในหมู่บ้าน พล.อ.ท.สุพจน์ ครุฑพันธุ์ (ยศในขณะนั้น) ได้ลงไปนำตัวชาวบ้านที่รับอาสาพาไปยังจุดเป้าหมายได้  

       โดยขบวนรถได้แล่นออกจากหมู่บ้านไปตามทางที่ชำรุดเสียหาย เป็นหลุมเป็นบ่อตลอดทาง…. ผ่านทุ่งนา..... คนในรถตู้ของ กปร. ต้องนั่งเบียดเสียดยัดเยียดกันแน่นขนัด อยู่ในสภาพโขยกโยกเยกหัวสั่นหัวคลอน....

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีรับสั่งถึงถนนสายนี้ว่า “ถนนดิสโก้” จนถึงจุดที่ผู้นำทางบอกว่าถึงจุดเป้าหมายแล้ว (สถานที่แห่งนี้อยู่ในเขตบ้านแดนสามัคคี) 

       เมื่อ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ลงจากรถพระที่นั่ง มีรับสั่งกับคณะตามเสด็จฯ ว่า “มาผิดที่แล้ว”   

       ได้ทรงอธิบายให้ผู้เกี่ยวข้องทราบ เมื่อผู้นำทางเข้าใจถูกต้องแล้ว ได้กล่าวว่า จุดดังกล่าวอยู่ในหมู่บ้าน ขณะที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ไปยังรถพระที่นั่ง ได้ทรงชี้ไปที่ผู้นำทางและมีรับสั่งว่าไกด์ผี …… ต่อจากนั้น.....รถขบวนจึงแล่นกลับเข้าหมู่บ้าน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จฯ นำคณะติดตามไปยังริมฝั่งแม่น้ำลำพะยัง      

ได้เสด็จฯ ผ่านหมู่บ้าน มีราษฎรรอเฝ้าฯ รับเสด็จ จึงมีรับสั่งกับหญิงวัยกลางคนว่า
 - พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีรับสั่งถามว่าทำอาชีพอะไร?
 - หญิงกลางคนกราบบังคมทูลว่า ทำนา
 - พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รับสั่งถามต่อว่า “ทำอย่างไร”
 - หญิงกลางคนกราบบังคมทูลว่า “ใช้ไม้แทงลงในดิน แล้วจึงนำต้นกล้าข้าวปักดำลงในหลุม ตอนกลางวัน ต้นข้าวโดนแสงแดด ยอดข้าวจะเหี่ยวห้อยลง แต่ช่วงกลางคืน เมื่อได้รับน้ำค้าง ต้นข้าวจะผงกชูยอดขึ้น”
      พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จฯไปยังกองข้าวที่ราษฎรได้เก็บเกี่ยวแล้ว ทรงหยิบต้นข้าวจากกอง 1 ต้น และมีรับสั่งกับข้าพเจ้า(องคมนตรีสวัสดิ์ วัฒนายากร) ว่า 

       “ต้นข้าวเหล่านี้มีเมล็ดลีบ และในแต่ละรวงมีเมล็ดข้าวน้อย ผลผลิตข้าวที่ได้ไม่เพียงพอสำหรับการบริโภคในครัวเรือน ให้ชลประทานหาน้ำมาเพียงเพิ่มความชุ่มชื่นให้พื้นที่นา ก็จะช่วยเพิ่มผลผลิตข้าวเพียงพอสำหรับการบริโภคในครอบครัว”  

     ตอนนั้นเป็นเวลาค่ำ ในชนบทจะมืดมาก ต้องใช้ไฟฉายส่องทาง ไกด์นำทางบอกว่า ปกติเวลากลางวันก็เดินยากอยู่แล้ว นี่เป็นเวลากลางคืนยิ่งยากเข้าไปใหญ่ แต่พระองค์ก็ทรงเสด็จพระราชดำเนินนำหน้าคณะติดตาม เมื่อไปถึง บริเวณนั้นกว้างมาก เหล่าผู้ติดตามก็นึกขึ้นได้ว่า เป็นบริเวณเดียวกันกับที่เฮลิปคอปเตอร์ของในหลวงบินวนเมื่อตอนกลางวันนั่นเอง ….

      บริเวณนั้นได้กั้นไว้ด้วยลวดหนาม เดินต่อไม่ได้ พวกชาวบ้านได้ทูลให้เสด็จกลับ แต่พระองค์ตรัสบอกให้ง้างลวดหนามออก และทรงก้มพระวรกายผ่านลวดหนามนั้นเข้าไป ด้านหน้าเป็นท้องน้ำและเป็นโขด แก่งหินอยู่โดยทั่ว ผม(องคมนตรีสวัสดิ์) ถึงกับน้ำตาร่วง...จุกที่คอ... 

      และคืนนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระราชดำริให้กรมชลประทานก่อสร้างระบบรับน้ำจากคลองส่งน้ำของอ่างเก็บน้ำลำพะยังตอนบนฯ ไปลงสระเก็บน้ำขนาดใหญ่ ท่ามกลางความมืดมิด...มีเพียงไฟฉายเพียงไม่กี่ดวงที่ส่องให้เห็นถึงพระมหากรุณาธิคุณ 



       การออกติดตามผลที่ได้จากโครงการ เมื่อก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว เมื่อยืนอยู่บนสันเขื่อน มองไปยังพื้นที่นาท้ายเขื่อน สิ่งที่ปรากฏต่อสายตา ก็คือ รวงข้าวสีเหลืองอร่ามเต็มท้องทุ่งสุดสายตา ซึ่งแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับก่อนจะมีโครงการฯ 

จะมีพระเจ้าแผ่นดิน พระราชา ผู้ปกครองใดในโลกนี้ ที่ต้องลำบากพระวรกาย ที่ต้องทรงงานหนัก ทำทุกอย่างเพื่อประชาชน แม้แต่ทรงมุดรั้วลวดหนาม เพื่อ”หาน้ำให้ราษฏร” 


     




อ่างเก็บน้ำ”ลำพะยัง”  โครงการตั้งอยู่ที่  บ้านนาวี ตำบลสงเปลือย อำเภอเขาวง   จังหวัดกาฬสินธุ์                            
                              ที่ประมาณพิกัด   48 QVD 121-148  ระวาง 5842 III  

เป็นบุญเหลือเกินที่ได้เกิดใต้ร่มพระบารมีของ”พระภูมิพลมหาราช”
ขอเป็นข้าฯใต้ฝ่าพระบาท...ทุกชาติไป 
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะฯ 

ธิดา:4แนวปะทะใหม่ทางการเมือง

นปช.แถลงข่าวจัดกิจกรรมต้านรัฐประหารครบรอบ 19 กันยา 49 ในวันอาทิตย์ที่ 18 กันยายนนี้ พร้อมยุทธศาสตร์ 4 แนวปะทะข้ามผ่านไปสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริง


4แนวปะทะทางการเมือง สื่อกระแสหลักในมืออำมาตย์จารีตนิยม,นักวิชาการจัดตั้งของอำมาตย์,กระบวนการ ไม่ยุติธรรมและองค์กรที่ไม่อิสระจริงๆ และการทำรัฐประหาร ฝ่ายประชาธิปไตยมีภารกิจหน้าที่ในการฝ่าแนวปะทะไปได้อย่างไร

โดย ธิดา ถาวรเศรษฐ
7 กันยายน 2554

หลังจากพรรคเพื่อไทยได้รับชัยชนะทางการเมืองฝ่ายประชาชน จนสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ นี่มิได้หมายความว่า เป็นการรบชนะทุกแนว

ที่จริงเพิ่งชนะแนวใหญ่แนวเดียวเท่านั้นเอง ยังมีแนวรบอีกหลายแนวที่เป็นเครือข่ายของระบอบอำมาตยาธิปไตย

แต่นี่มิใช่เรื่องเกรงกลัว เพราะการเอาชนะแนวใหญ่ที่สำคัญที่สุดคือ สามารถเอาชนะการเลือกตั้งมาตลอด และชนะยิ่งใหญ่ในครั้งล่าสุด ย่อมเป็นกำแพงที่มีหลังพิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

แต่, ด้วยเครือข่ายระบอบอำมาตยาธิปไตย และการครอบงำที่มีมายาวนาน ในทุกปริมณฑล ทำให้คนชั้นกลางและคนชั้นสูง กลายเป็นพวกอนุรักษ์นิยมที่ได้อำนาจ ได้ผลประโยชน์ จากระบอบอำมาตยาธิปไตย และกลัวการลุกขึ้นต่อสู้ของมวลชนพื้นฐาน

พูดให้ถึงที่สุดก็คือ คนชั้นกลางและคนชั้นสูงเหล่านี้ พึงพอใจในฐานะทางสังคม บทบาท และอำนาจที่ตนมีอยู่ ที่มิได้มาจากการต่อสู้แต่อย่างใด จึงกลัวการเปลี่ยนแปลงและการต่อสู้ของประชาชน

ทั้งที่ยังมิได้เข้าใจว่า การต่อสู้ของประชาชนนั้นเป็นการต่อสู้เพื่อให้ได้ประชาธิปไตย ได้ความเป็นธรรมในสังคม และความเจริญก้าวหน้าของประเทศ คนทุกกลุ่มในประเทศจะได้รับผลประโยชน์ทั่วหน้า แต่ต้องเป็นผลประโยชน์ที่สมเหตุผล และไม่เป็นอุปสรรคต่อระบอบประชาธิปไตยและความเป็นธรรมในสังคม

ความซับซ้อนของสังคมไทย เกิดจากการที่โครงสร้างชั้นบนของสังคม อันได้แก่การเมือง การปกครอง, อุดมการณ์, วัฒนธรรม, การศึกษา ความคิดที่ครอบงำชี้นำการปฏิบัติล้าหลัง อยู่ในระบอบอำมาตยาธิปไตย และเป็นรัฐตัวจริงที่มีอำนาจควบคุมประเทศ

ในขณะที่รากฐานเศรษฐกิจเราค่อนข้างพัฒนาตามทุนนิยมโลกาภิวัฒน์ แต่ทุนเครือข่ายระบอบอำมาตย์ก็พัฒนาไปได้ โดยอาศัยอำนาจรัฐในมือเป็นตัวช่วยสนับสนุนการผูกขาดตลอดมา

ทุนเครือข่ายระบอบอำมาตย์ยังเติบโตพร้อมกับการที่มีอำนาจเหนือประเทศยาวนาน ทำให้ประเทศมหาอำนาจทั้งหลายก็สวามิภักดิ์ต่อระบอบอำมาตย์ในไทยเช่นกัน

ทุนกลุ่มใหม่ที่นอกเหนืออำนาจการควบคุมที่เติบใหญ่ และยึดครองหัวใจประชาชน มวลชนพื้นฐาน จึงเป็นปฏิปักษ์กับกลุ่มทุนเครือข่ายอนุรักษ์นิยม และชนชั้นกลาง ชนชั้นสูง อนุรักษ์นิยม

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเอาชนะการเลือกตั้ง สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เราจึงเห็นแนวรบและสนามฆ่าคนในรูปแบบต่าง ๆ เกิดขึ้นนับจากได้อำนาจรัฐครั้งที่สอง พ.ศ. 2548 เป็นต้นมา

เพราะเครือข่ายระบอบอำมาตย์ ไม่อาจปล่อยให้การสูญเสียอำนาจและสถานะเกิดขึ้นได้อีกต่อไป เพราะนั่นจะหมายถึงมีจุดสิ้นสุดระบอบอำมาตยาธิปไตยในประเทศไทย

กองกำลังพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงเป็นกองกำลังรบแนวแรกที่ ได้ผลอย่างยิ่ง แต่เมื่อมาถึงปัจจุบัน กองกำลังนี้กำลังถูกสลาย เนื่องจากความขัดแย้งภายใน แกนนำ และความขัดแย้งกับพรรคการเมือง อนุรักษ์นิยม คือ พรรคประชาธิปัตย์

ขณะนี้ สนธิ ลิ้มทองกุล กำลังร้องเพลง “น้ำตาเถ้าแก่” ที่มีเนื้อหาตัดพ้อต่อว่าแม่ยก
“เช่น ดังตัวผมต้องตรมดวงใจกลัดหนอง แม่ยกต้องมาจากจร ตัวอย่างเห็นกันไป ลืมคนเสื้อเหลือง แล้วยังมาว่าร้ายให้ แม่ยกเธอช่างเหลือร้าย โง่เง่าหรือไรถึงคิดไม่เป็น” หรือบางตอน “สิ้นสุดกันเถิดหนา แม่ยกแมลงสาบใจสอง ชาตินี้ไม่ขอใฝ่ปอง ให้มามัวหมองต่อไป หลงรูปคนหล่อ สอบตกคร่ำครวญร้องไห้ ยังเชื่อเจ้าหล่อต่อไป อาจจะชิบหายสักวันนะเธอ”

สรุปว่า แนวปะทะด้านพันธมิตรยังมีอยู่ แต่ยังไม่มีกำลังพอที่จะปะทะเป็นด่านแรก

แนวปะทะแรก จึงเป็นสื่อกระแสหลักที่เป็นสื่อในกำกับของทุนอนุรักษ์นิยม และระบอบอำมาตย์ รวมทั้งองค์กรสื่อที่แสดงบทบาทอยู่ในขณะนี้

การมองสื่อกระแสหลัก จึงต้องมองให้เห็นว่า เป็นแนวปะทะสำคัญในการต่อสู้ระบอบอำมาตย์ จำเป็นที่ต้องมีแนวทางและยุทธศาสตร์ในการทำให้สื่อเข้าสูแนวคิดเสรีนิยม

การปะทะแนวรบสื่ออนุรักษ์นิยม จึงต้องเปิดประตูเสรีภาพของสื่ออย่างเต็มที่ และผลักดันอุดมการณ์ประชาธิปไตย แนวคิดเสรีนิยมให้เข้ามาแทนที่ อุดมการณ์ระบอบอำมาตย์ และความคิดอนุรักษ์นิยม จารีตนิยมให้ได้

การทำลายการผูกขาดของสื่อ และสัมปทานที่ดูแลโดยกองทัพกลุ่มอำมาตย์ กลุ่มจารีตนิยม มุ่งให้สื่อเปิดเสรี และให้เสรีภาพสื่อเต็มที่ ให้กลไกตลาดและความนิยมของประชาชนเป็นผู้ตัดสิน

นี่จึงเป็นแนวปะทะที่สำคัญที่ฝ่ายประชาชนต้องผลักดันให้เลิกผูก ขาดสื่อให้ได้ ทั้งต้องเปิดโปงเรื่องราวเบื้องหลังสื่อแต่ละค่าย ให้ประชาชนเข้าใจว่า สื่อเป็นเครื่องมือเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มทุนค่ายต่าง ๆ และเชื่อมโยงกับเครือข่ายระบอบอำมาตยาธิปไตยอย่างไร

แนวปะทะที่สอง คือ นักวิชาการ เป็นแนวปะทะที่สำคัญอีกแนวหนึ่ง ซึ่งมักเชื่อมโยงกับสื่อ คือ กลุ่มนักวิชาการ ตัวอย่างนักวิชาการที่แสดงตัวให้ปราบประชาชนเมื่อปี 2553 จำนวน 303 คน ก็มีอาจารย์คณะนิเทศศาสตร์เป็นจำนวนมากจนน่าตกใจ

หารายชื่ออ่านได้ในมหาประชาชน ปีที่ 1 ฉบับที่ 51 วันที่ 19-25 สิงหาคม 2554 และเร็ว ๆ นี้นักวิชาการค่าย ทีดีอาร์ไอ พูดตรง ๆ เป็นสถาบันที่รวบรวมนักวิชาการที่สนับสนุนเครือข่ายระบอบอำมาตย์ โดยมีคุณอานันท์ ปันยารชุน เป็นผู้สนับสนุนหลักในการก่อตั้งและดำเนินงาน

ในระยะแรกก็ดูเป็นนักวิชาการเสรีนิยม และสนับสนุนกลไกตลาดในการดูแลเศรษฐกิจ สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ แต่เมื่อต้องการโค่นคุณทักษิณ ชินวัตร ทีดีอาร์ไอ ก็รวมศูนย์ จัดการอย่างมีพลัง เช่น การปล้นสถานีโทรทัศน์ ไอทีวี และยึดมาอยู่ในเครือข่ายอำมาตย์และค่ายเนชั่น

รวมทั้งเป็นกำลังสำคัญในการใช้ความเป็นนักวิชาการ จัดการเรื่องคดีของคุณทักษิณ เช่น คดีหุ้น

ยังมีนักวิชาการอื่นอีกมากที่จะโผล่ออกมาในแนวปะทะที่สองนี้ เราจึงต้องขยายกำลังแนวร่วมนักวิชาการประชาธิปไตยให้มีบทบาทมากขึ้น ในหมู่ประชาชน ในสื่อกระแสหลัก สื่ออินเตอร์เนท และสื่อสีแดง

แนวปะทะนี้เป็นแนวที่ต้องต่อสู้ด้วยหลักการและองค์ความรู้ มิใช่ด้วยอารมณ์

นอกจากขยายแนวร่วมนักวิชาการแล้ว ฝ่ายประชาชนเองก็ต้องยกระดับองค์ความรู้เพื่อโต้กับนักวิชาการอำมาตย์ได้ ด้วย และขยายให้ประชาชนส่วนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เสื้อแดงได้ยกระดับด้วย

แนวปะทะที่สาม สำคัญยิ่งคือ กระบวนการยุติธรรมและองค์กรอิสระต่าง ๆ มากมายที่อยู่ในการครอบงำของระบอบอำมาตย์ค่อนข้างสิ้นเชิง

แนวปะทะแนวรบนี้ยิ่งใหญ่ที่สุด ก็มีบทบาทเป็นด้านหลักในการต่อสู้ของประชาชนให้ได้ระบอบประชาธิปไตย การยกเลิกรัฐธรรมนูญ 50 และเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ด้วยมือประชาชน จะเป็นเรื่องหลักในแนวปะทะนี้

การทวงความยุติธรรมให้กับคนตาย 92 + 1 ศพที่เพิ่งฌาปนกิจเมื่อวันที่ 5 ก.ย. นี้เอง (คุณหรั่ง) คนบาดเจ็บและคนถูกจองจำ ตลอดจนคนที่ถูกตั้งข้อหาร้ายแรง อย่างไม่เป็นธรรม

บาปกรรมและชะตากรรมประเทศไทยจึงขึ้นอยู่กับแนวรบให้ได้นิติรัฐ นิติธรรม ว่าจะสัมฤทธิ์ผลหรือไม่
แนวปะทะสุดท้าย คือ การก่อรัฐประหารโดยกองกำลังประจำการของประเทศ นี่เป็น รูปแบบสูงสุดของการขัดขวางระบอบประชาธิปไตย โดยใช้กำลังอาวุธยึดอำนาจ และปราบปรามประชาชน

ถามว่า อาจเกิดได้ไหม ก็ต้องตอบว่า เกิดได้ ถ้าฆ่าประชาชนมือเปล่าตายได้โดยไม่สะทกสะท้าน และไม่มีการยอมรับผิดใด ๆ หรือไม่อาจเปิดเผยความจริงให้ปรากฎได้

เป็นเรื่อง!ครม.เงาผิดรัฐธรรมนูญโทษหนักถึงยุบปชป.




นายคนิณ บุญสุวรรณ เขียนบทความลงในเวบไซต์ คณิน บุญสุวรรณเตือน ว่าการที่พรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาลเงา หรือครม.เงานั้น ผิดกับต้นแบบอังกฤษถึง 4 ประเด็น จึงเข้าข่ายกระทำผิดกฎหมาย ซึ่งมีโทษถึงยุบพรรคและถอดถอนจากตำแหน่งส.ส.

ระวังให้ดีเถอะ ทั้งหัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรค และ ส.ส. ทั้งหมดของพรรค จะเจอข้อหา “จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย” ซึ่งอาจถูกยื่นถอดถอนออกจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ ๒๗๑ โทษฐานตั้ง ครม. เงา โดยไม่มีรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายรองรับ

แถมยังอาจเข้าข่ายความผิดตามมาตรา ๙๔ (๓) ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ โทษฐานกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีโทษถึงขั้นส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค มีกำหนดห้าปี อีกด้วย

ทั้งนี้นายคนิณกล่าวว่า คำว่า “ครม. เงา” แปลมาจากคำในภาษาอังกฤษว่า “Shadow Cabinet” เป็นธรรมเนียมปฏิบัติทางการเมืองในระบบรัฐสภาของประเทศอังกฤษ ชื่อเต็มๆ ของ Shadow Cabinet ดังกล่าว คือ The Official Loyal Opposition Shadow Cabinet แปลเป็นไทยได้ว่า คณะรัฐมนตรีเงาของฝ่ายค้านในสมเด็จพระราชินี ซึ่งประกอบด้วย ส.ส. อาวุโสของฝ่ายค้านในสมเด็จพระราชินี มีหน้าที่ในการตรวจสอบการทำงานของฝ่ายรัฐบาล พิจารณาและเสนอแนะนโยบายที่แตกต่างออกไปจากของฝ่ายรัฐบาล รวมทั้งการควบคุมให้ฝ่ายรัฐบาลต้องรับผิดชอบต่อการกระทำที่ผิดพลาดของตน

นับตั้งแต่เดือน พฤษภาคม ๒๕๕๓ เป็นต้นมา พรรคแรงงาน เป็นฝ่ายค้านในสมเด็จพระราชินี และหัวหน้าพรรคก็เป็นผู้จัดตั้ง ครม.เงา ขึ้นมา องค์ประกอบ ครม. เงา ของประเทศอังกฤษ โดยปกติแล้ว ประกอบด้วย ส.ส. อาวุโสสูงสุด ในซีกฝ่ายค้านประมาณ ๒๐ คน ใน ครม. เงา ของอังกฤษ นั้น มีเพียงผู้นำฝ่ายค้าน ประธานวิปฝ่ายค้าน และรองประธานวิปฝ่ายค้าน เท่านั้น ที่ได้รับค่าตอบแทนในฐานะที่เป็น ครม. เงา นอกเหนือจากเงินประจำตำแหน่งในฐานะ ส.ส. นอกนั้น ไม่ได้รับเงินค่าตอบแทนใดๆ

เมื่อพรรคแรงงานหรือ เลเบ้อร์ปาร์ตี้ (Labour Party) ของประเทศอังกฤษ เป็นฝ่ายค้าน ครม. เงา ประกอบด้วย อดีตสมาชิกอาวุโส จำนวน ๕ คน และ ส.ส. อีกจำนวน ๑๙ คน ที่ได้รับเลือกตั้งจากที่ประชุมใหญ่ ส.ส. ของพรรคแรงงาน โดยผู้นำฝ่ายค้านเป็นผู้แต่งตั้งรัฐมนตรีเงาของแต่ละกระทรวง และตั้งวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๑๑ เป็นต้นมา ครม. เงา ของประเทศอังกฤษ ประกอบด้วย ส.ส. เอ็ด มิลลิแบนด์ (Ed Milliband) ผู้นำฝ่ายค้านในสมเด็จพระราชินี ในฐานะหัวหน้าพรรคแรงงานเป็นหัวหน้า รองหัวหน้าพรรคในฐานะรองผู้นำฝ่ายค้าน คือ ส.ส. Harriet Harman เป็นรัฐมนตรีเงา กระทรวงการพัฒนาการระหว่างประเทศ ส.ส. Ed Balls เป็นรัฐมนตรีเงากระทรวงการคลัง และ ส.ส. Douglas Alexander เป็นรัฐมนตรีเงากระทรวงการต่างประเทศและกิจการเครือจักรภพ เป็นต้น นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของอังกฤษ คือ David Cameron ก็เคยเป็นผู้นำฝ่ายค้านและหัวหน้า ครม. เงา มาก่อน และในจำนวน ครม.เงา ที่มี Ed Milliband เป็นหัวหน้า นั้น ก็มีรัฐมนตรีเงาที่มาจากสภาขุนนางรวมอยู่ด้วย จำนวน ๓ คน ได้แก่ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาขุนนาง ประธานวิปฝ่ายค้านในสภาขุนนาง และรัฐมนตรีเงากระทรวงยุติธรรมกำกับดูแลเรื่องเกาะอังกฤษและเวลส์ นอกจากนั้น ยังมีประธาน ส.ส. พรรคแรงงานร่วมอยู่ด้วย

ทีนี้ ลองหันมาดู ครม. เงา ของไทย ที่จัดตั้งกันไปอย่างอึกทึกครึกโครม ทำราวกับว่าเป็นเรื่องที่ “เท่” เสียเต็มประดา นั้น ดูเหมือนว่าจะตั้งขึ้นในเวลาเดียวกับคณะรัฐมนตรีจริง ที่มี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี และนัยว่าจะลอกเลียนแบบมาจาก ครม. เงา ของอังกฤษ ที่กล่าวไปแล้วข้างต้น นั่นแหละ นี่ถ้าหากเพิ่งมี ครม. เงา ในสมัยที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร แล้ว ก็คงต้องพูดว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นต้นแบบ เหตุเพราะ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เติบโตและเรียนจบมาจากประเทศอังกฤษ แต่บังเอิญที่ว่า ครม. เงา นี้ มีมาหลายยุคหลายสมัยแล้ว และถ้าจำไม่ผิดดูเหมือนว่า ทุกครั้งที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน ก็จะตั้ง ครม. เงา ขึ้นมา เพราะอย่างน้อยที่สุดก็เรียกเสียงฮือฮาและเป็นข่าวทางสื่อมวลชนได้หลายวัน หลังจากที่เพิ่งแพ้เลือกตั้งไปหยกๆ

แต่เอาเป็นว่า กล่าวโดยเฉพาะเจาะจง ครม. เงา ที่มี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรค นั้น แตกต่างไปจาก ครม. เงา ของประเทศอังกฤษอยู่หลายประการทีเดียว ดังจะกล่าวต่อไปนี้

ประการที่หนึ่ง ครม. เงา ของประเทศอังกฤษ มีรัฐธรรมนูญรองรับอย่างเป็นกิจจะลักษณะ และที่สำคัญ เป็น ครม. เงา ในสมเด็จพระราชินี แต่ ครม. เงา ของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่มีอะไรรองรับเลย ไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญ กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ หรือแม้แต่ข้อบังคับการประชุมสภา

ประการที่สอง ครม. เงา ของประเทศอังกฤษ ตั้งขึ้นภายหลังการเข้ารับตำแหน่ง “ผู้นำฝ่ายค้านในสภาสามัญ” เรียบร้อยแล้ว และผู้นำฝ่ายค้าน นั่นแหละ จะเป็นผู้ตั้ง ครม. เงา ในสมเด็จพระราชินี ส่วน ครม. เงา ของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั้น ตั้งขึ้นตั้งแต่ไก่โห่ โดยที่ยังไม่มีแม้แต่ตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร

ประการที่สาม คณะรัฐมนตรีเงาของประเทศอังกฤษ มีผู้ได้รับเงินตอบแทนจากการทำหน้าที่นอกเหนือจากเงินประจำตำแหน่ง ส.ส. ได้แก่ ตัวผู้นำฝ่ายค้านเองในฐานะหัวหน้า ครม. เงา ประธานวิปฝ่ายค้าน และรองประธานวิปฝ่ายค้าน ในขณะที่ ครม. เงา ของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่มีใครได้เงินเดือนเลยสักคน เพราะเป็นตำแหน่งเถื่อนกันทุกคน จะเรียกว่า ครม. นอกทำเนียบ ก็คงจะได้

ประการที่สี่ ครม. เงา ของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่มีบุคคลภายนอกมาร่วมใน ครม. เงา แต่ ครม. เงา ของอังกฤษ มีสมาชิกสภาขุนนางในซีกฝ่ายค้านมาร่วมอยู่ด้วย ๓ คน

จากข้อเปรียบเทียบ ทั้ง ๔ ข้อ ระหว่าง ครม. เงา ของอังกฤษ กับ ครม. เงา ของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ก็สรุปได้ว่า ครม. เงา ซึ่งมี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้า นั้น เป็นการอุปโลกน์ขึ้นมาเอง โดยไม่มีรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายรองรับ โดยมีเจตนาที่จะจับผิดคณะรัฐมนตรีจริงเพียงอย่างเดียว ดังนั้น จึงน่าจะเรียกว่า ครม. นอกทำเนียบ หรือ ครม. เถื่อนมากกว่า หรือไม่อีกทีก็น่าจะเรียกว่า ครม. หลงเงาก็ได้ เพราะแทบจะทุกคนที่อยู่ใน ครม. เงา ล้วนเคยเป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดที่แล้ว ทั้งสิ้น ดังนั้น จึงอาจเป็นไปได้ว่า เป็นพวกที่ยังหลงเงาตัวเองอยู่

เพราะมันคงจะฟังดูตลกพิลึกน่าดู ถ้าหากมาตั้งกติกานอกรัฐธรรมนูญกันเอาเองว่า ถ้าพรรคใดชนะเลือกตั้งก็ตั้ง ครม. จริง แต่ถ้าแพ้เลือกตั้ง ก็ตั้ง ครม. เงา

ทำอะไรอย่างอื่นไม่เป็นกันแล้วหรืออย่างไร ?

ระวังให้ดีเถอะ มัวแต่จะจ้องเล่นงานคนอื่นเขา ทั้งๆ ที่เขายังไม่ได้เริ่มต้นทำงานเลย ระวังให้ดีเถอะ ทั้งหัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรค และ ส.ส. ทั้งหมดของพรรค จะเจอข้อหา “จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย” ซึ่งอาจถูกยื่นถอดถอนออกจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ ๒๗๑ โทษฐานตั้ง ครม. เงา โดยไม่มีรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายรองรับ แถมยังอาจเข้าข่ายความผิดตามมาตรา ๙๔ (๓) ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ โทษฐานกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีโทษถึงขั้นส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค มีกำหนดห้าปี อีกด้วย
ตอนเป็นรัฐบาลมีบางคนได้รับสมญานามว่า “ดีแต่พูด” แต่พอเป็นฝ่ายค้าน คนคนเดียวกันอาจได้สมญานามใหม่ คือ “ดีแต่พล่าม” พล่ามจนได้เรื่อง ว่าอย่างนั้นเถอะ

นพดล ปัทมะ ยันอีกรายครม.เงามาร์คต่างจากแม่แบบอังกฤษ!

ทางด้านนายนพดล ปัทมะ เขียนลงในเฟสบุ๊คว่า อังกฤษที่เป็นแม่แบบประชาธิปไตย เขาก็ไม่เคยเรียกฝ่ายค้านว่ารัฐมนตรีเงาเหมือนที่บ้านเราทำ แต่จะใช้คำว่าโฆษกแทน เช่น ในขณะที่ ปชป ตั้ง รัฐมนตรีการศึกษาเงา ในประเทศอังกฤษจะใช้คำว่า Education spokesman แปลว่า โฆษกด้านการศึกษา ความแปลกประหลาดจึงเกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทย ที่ยังสับสนว่าคุณอภิสิทธิ์จะนั่งควบสองตำแหน่ง คือผู้นำฝ่ายค้าน ตามรัฐธรรมนูญ แต่ ปชป ตั้งให้เป็น นายกเงา ฟังแล้วสับสนอลหม่านดีแท้ๆ

ตามไปดูธุรกิจ“พิชัย นริพทะพันธุ์” รัฐมนตรีน้ำมัน“กระเป๋าเงิน”เพื่อไทย


พิชัย นริพทะพันธุ์
เจาะ“พิชัย นริพทะพันธุ์”รัฐมนตรีก.พลังงาน ผู้บริจาคเงินพรรคเพื่อไทยกับขุมทรัพย์กลางเมืองหลวงถึงอันดามันและ ทรัพย์สิน 200 ล้าน
        เป็นรัฐมนตรีที่มีบทบาทมากที่สุดในการขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ( ยิ่งลักษณ์ 1) กรณีการลดเงินกองทุนน้ำมัน  นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ผู้บริจาคเงินให้พรรค     
        นายพิชัย ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง สมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช  แทน ร.ต.(หญิง) ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี  ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการสับเปลี่ยน “นายทุนคนใกล้ชิด” ให้เข้ามานั่งเก้าอี้รัฐมนตรี      
        จากการตรวจสอบขุมข่ายธุรกิจของนายพิชัยพบข้อมูลดังนี้
       นายพิชัยเป็นเจ้าของ 6 แห่ง ได้แก่
       1.หจก. เจมส์ ควอลลิทิ จิวเวลเลอส์  (ชื่อเดิม หจก. เจมส์) ก่อตั้งวันที่ 30 มกราคม 2504 ทุน 1.5 ล้านบาท จำหน่ายของที่ระลึก
       2.บริษัท อินท์คอม จำกัด (ชื่อเดิมบริษัท ซุปเปอร์เครนโพรโมชั่นอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด) ก่อตั้งวันที่  19 กรกฎาคม 2539 ทุน 50 ล้านบาท ให้คำปรึกษาติดตั้งงานระบบโทรคมนาคม
       3.บริษัท ดิจิเวลท์ จำกัด ก่อตั้งวันที่ 4 มกราคม 2544 ทุน 1 ล้านบาท ให้บริการที่ปรึกษา
       ทั้ง 2 แห่งมีที่ตั้งเดียวกันอยู่ถนนเพชรบุรี เขตราชเทวี
       4.บริษัท เซาท์ซี รีสอร์ท จำกัด  ก่อตั้งวันที่  9 พฤษภาคม 2531 ทุน  85 ล้านบาท อยู่ในต.กะรน อ.เมือง จ.ภูเก็ต
       5.บริษัท เซาท์ซี ปะการัง รีสอร์ท จำกัด ก่อตั้งวันที่ 16 สิงหาคม 2545 ทุน  100 ล้านบาท  อยู่ในต.คึกคัก อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา นางนัทนา แสงหลี เจ้าของสวนปาล์มในจ.ภูเก็ต ถือหุ้น 73.9 % นายพชร นริพทะพันธุ์ 26.%
        และ 6. บริษัท เซาท์ซี แมนเนจเม้นท์ จำกัด ก่อตั้งวันที่ 19 มิถุนายน 2550 ทุน 1 ล้านบาท  ประกอบธุรกิจรับจ้างบริหารงาน อยูในต.กะรน อ.เมือง จ. ภูเก็ต
       ก่อนหน้านี้เคยทำธุรกิจ 6 บริษัท ได้แก่
       บริษัท สวิสอินโด ทรานสปอร์ต จำกัด ก่อตั้งวันที่ 7 มกราคม  2526  ทุน 1 ล้านบาท อยู่แถวถนนพระราม 4  มีนายนันทวัฒน์ ศศิประภา เป็นหุ้นส่วน
       บริษัท แสงชัยปาล์ม จำกัด ก่อตั้งวันที่ 15 พฤศจิกายน 2528 ทุน 1.2 ล้านบาท อยู่ในต.ตะกั่วป่า อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา
       บริษัท เซาท์ซี เรียลตี้ จำกัด  ก่อตั้งวันที่ 19 มิถุนายน 2533  ซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ทุน  5 ล้านบาท
       บริษัท เซาท์ซี คอมเพล็กซ์ จำกัด  ก่อตั้งวันที่ 19 มิถุนายน 2533  ทุน 5 ล้านบาท มีนางนันจา แสงหลี เป็นหุ้นส่วน 
        บริษัท ไอคอน เทเลคอมมิวนิเคชั่น จำกัด  ก่อตั้ง วันที่ 29 พฤษภาคม 2535   ขายอุปกรณ์สื่อสาร จานรับสัญญาณดาวเทียม  ทุน  10 ล้านบาท อยู่แถวถนนเพชรบุรี  มีสมบูรณ์ รังนกใต้ และ นายคเณตร์ เลิศหิรัญวิบูลย์ เป็นหุ้นส่วน
       และ บริษัท ฮาร์วาร์ด คอมพิวติ้ง กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด  ก่อตั้งวันที่ 10 สิงหาคม 2544  ให้บริการด้านโทรคมนาคมและการสื่อสาร  ทุน 9 แสนบาท มีนายแพทย์เสถียร ภู่ประเสริฐ แพทย์ประจำตัวพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระรามเก้า (มีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ถือหุ้นใหญ่)  และ นายตันตระ ตันตราภรณ์ ร่วมเป็นกรรมการ เลิกกิจการ ปี 2545     
       มีข้อมูลว่าก่อนนั่งเก้าอี้รัฐมนตรี นายพิชัยอยู่ “หลังฉาก”มานานแล้ว
       ในช่วงก่อตั้งพรรคเพื่อแผ่นดิน นายพิชัยเป็นผู้บริจาคเงินให้พรรคเดือนตุลาคม 2550 จำนวน  2 แสนบาท
       ก่อนหน้านี้ ปี 2548  นายพชร นริพทะพันธุ์  หรือ “ปาล์ม” อายุ 22 ปี บุตรชายของนายพิชัยได้รับแต่งตั้งเป็นเลขานุการส่วนตัวของนายสุวิทย์ คุณกิตติ ขณะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีและการสื่อสาร สมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร  โดยได้รับมอบหมายให้ช่วยดูแลประสานงานระหว่างประเทศ ต่อมาปี 2549 ถูกผลักดันให้เข้ามาทำงาน “กองทุนหมู่บ้าน” ในโครงการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ
      กระทั่งได้รับแต่งตั้งเป็นรองโฆษกพรรคเพื่อแผ่นดินในช่วงที่นายสุวิทย์ เป็นหัวหน้าพรรค

*    บัญชีทรัพย์สิน “พิชัย-เมีย”กว่า 200 ล้าน
       ตอนพ้นตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง วันที่ 25 กันยายน 2551 นายพิชัย นริพทะพันธุ์แจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต แห่งชาติ (ปปช.) ระบุ เงินฝาก  33,872,069  บาท เงินลงทุน 400,119  บาท ที่ดิน 84,000,000 บาท ยานพาหนะ 16,500,000 บาท ทรัพย์สินอื่นๆ 9,350,000 บาท
      รวมทรัพย์สิน 144,122,188  บาท รวมหนี้สิน 12,116,292 บาท
      แจ้งทรัพย์สินภรรยา เงินฝาก 2,201,906 บาท เงินลงทุน 85,704 บาท ที่ดิน 40,000,000 บาท โรงเรือนและสิ่งปลุกสร้าง 25,103,000 บาท ทรัพย์สินอื่นๆ 19,272,000 บาท
     รวมทรัพย์สิน 88,462,611 บาท รวมหนี้สิน 3,789,361 บาท
     รวมทรัพย์สินทั้งสิ้น 232,584,799  บาท รวมหนี้สินทั้งสิ้น 15,905,654  บาท
      พ้นจากตำแหน่งครบ 1 ปี วันที่ 25 กันยายน 2552แจ้งบัญชีทรัพย์สิน เงินฝาก 27,406,352  บาท เงินลงทุน 433,026  บาท ที่ดิน 84,000,000 บาท ยานพาหนะ 16,500,000 บาท ทรัพย์สินอื่นๆ 9,350,000 บาท รวมทรัพย์สิน 137,689,379  บาท รวมหนี้สิน 11,654,723  บาท
      ภรรยา แจ้งบัญชีทรัพย์สิน เงินฝาก 1,970,097   บาท เงินลงทุน 104,821  บาท ที่ดิน 40,000,000 บาท โรงเรือนและสิ่งปลุกสร้าง 25,103,000 บาท ยานพาหนะ 1,800,000 บาท  ทรัพย์สินอื่นๆ 19,272,000 บาท  รวมทรัพย์สิน  88,249,919   บาท รวมหนี้สิน 3,529,307 บาท
        รวมทรัพย์สินทั้งสิ้น 225,939,298  บาท รวมหนี้สินทั้งสิ้น 15,484,030  บาท
 ตารางเปรียบเทียบทรัพย์สินของนายพิชัยและภรรยา 2 ครั้ง
ทรัพย์สินของนายพิชัยและภรรยา25 ก.ย. 51 (บาท)25 ก.ย. 52 (บาท
นายพิชัย นริพทะพันธุ์
144,122,188.63
137,689,379.46
ภรรยา
88,462,611.24
8,249,919.08
รวม
232,584,799.87 
225,939,298.53
หนี้สิน

 15,905,654.48
15,484,030.40








 tcjthai
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง