บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ใช้เงินอนาคตมีแต่เจ๊ง


แล้ว นายกฯยิ่งลักษณ์  ชินวัตร  ก็ทำตามนโยบายเร่งด่วนที่หาเสียงไว้ทันทีที่มีอำนาจ หลังแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ประเดิมด้วยการ ลดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน 3 ชนิด เบนซิน 95 เบนซิน 91 และ ดีเซล ส่งผลให้ราคาขายปลีกนํ้ามันทั้ง 3 ชนิดมีราคาลดลงตั้งแต่เช้าวันเสาร์ที่ผ่านมา
นายกฯยิ่งลักษณ์ บอกว่า เพื่อช่วยลดค่าครองชีพของประชาชน ก็ต้องคอยดูกันต่อไปว่าค่าครองชีพลดจริงหรือไม่ หรือลดแค่ราคานํ้ามัน แล้วรถยนต์ขายดีขึ้น
การลดเก็บเงินเข้ากองทุนนํ้ามันครั้งนี้  ไม่ใช่นโยบายที่น่าชื่นชม แถมยังผิดฝาผิดตัว เบนซิน 95 ลดลงลิตรละ 7.50 บาท บวกแวต ลดไปลิตรละ 8.02 บาท ราคาขายปลีกลดเหลือลิตรละ 39.32 บาท  เบนซิน 91 ลดลงลิตรละ 6.70 บาท บวกแวต ลดไปลิตรละ 7.17 บาท ราคาขายปลีกลดเหลือลิตรละ 34.77 บาท และ  ดีเซล  ลดเก็บเข้ากองทุนลิตรละ 2.80 บาท บวกแวต ลดไปลิตรละ 3 บาท ขายปลีกเหลือลิตรละ 26.99 บาท
คุณ พิชัย นริพทะพันธ์ุ รัฐมนตรีพลังงาน บอกว่า การลดเก็บเงินดังกล่าว ทำให้กองทุนน้ำมันขาดรายได้เดือนละ 6,160 ล้านบาท และต้องเตรียมเงินชดเชยราคานํ้ามันคงค้างในปั๊มน้ำมันอีก 3,000 ล้านบาท  แต่ฐานะของกองทุนน้ำมันจะอยู่ได้จนถึงสิ้นปี โดยไม่ต้องกู้เงิน แต่มกราคมปีหน้าจะต้องกู้เงิน 20,000 ล้านบาท คาดว่าจะใช้ดูแลราคาน้ำมันได้ราว 6 เดือน
แม้ คุณพิชัย จะบอกว่า จะเลิกเก็บเงินชั่วคราวแค่ 1 ปี แต่เมื่อเอา 12 เดือนคูณเข้าไปกับเงินที่ลดราคาน้ำมันเดือนละ 6,160 ล้านบาท หนึ่งปี รัฐบาลต้องใช้เงินอุ้มราคาน้ำมัน 3 ชนิดทั้งหมดประมาณ 74,000 ล้านบาท
ถามว่า ทำเพื่ออะไร
คำตอบง่ายๆก็คือ ทำเพื่อสนองนโยบายหาเสียงของนักการเมือง
แต่ ค่าครองชีพประชาชน จะลดจริงหรือไม่ ยังไม่มีใครตอบได้
ความ จริง น้ำมันเบนซิน 95 ที่ลดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันสูงสุดลิตรละ 7.50 บาท สวนทางกับนโยบายน้ำมันของชาติ ที่ให้เลิกจำหน่ายน้ำมันเบนซิน 95 ซึ่งปฏิบัติกันต่อเนื่องมาหลายปี ประชาชนทั่วไปก็ไม่ใครใช้น้ำมันชนิดนี้อยู่แล้ว จึงเป็นที่สงสัยกันว่า พรรคเพื่อไทย ลดราคาน้ำมันเบนซิน 95 เพื่ออะไร ใครได้ประโยชน์
คำตอบ ที่น่าจะไม่ผิดก็คือ เจ้าของรถหรูคันละหลายสิบล้านบาท ที่ต้องใช้น้ำมันเบนซิน 95 และ รถหรูรุ่นเก่าที่เศรษฐีเก็บไว้เป็นของสะสม มีคนสองกลุ่มนี้เท่านั้นที่ได้ประโยชน์เต็มๆ ซึ่งมีการประเมินกันไว้ว่า  ปัจจุบันมีรถที่ต้องใช้น้ำมันเบนซิน 95 ในเมืองไทยไม่เกิน 500,000 คัน และเจ้าของรถทุกคนก็มีเงินมากพอที่จะจ่ายค่าน้ำมันเบนซิน 95 ได้ทุกราคาอยู่แล้ว แล้วจะไปลดราคาให้เศรษฐีเหล่านี้อีกเพื่ออะไรไม่ทราบ
เบนซิน 91 ก็เช่นเดียวกัน วันก่อนเห็นข่าวว่า ปั๊มน้ำมันบางจาก ก็เลิกขายเบนซิน 91 แล้ว เพราะนโยบายรัฐบาลที่ผ่านมาทุกรัฐบาล ให้ยกเลิกเบนซิน 91 และ 95 และใช้แก๊สโซฮอล์แทน การลดราคาน้ำมันเบนซิน 91 จึงเป็นนโยบายที่สับสน แม้จะมีข้ออ้างว่าลดให้เจ้าของรถมอเตอร์ไซค์ 17 ล้านคันก็ตาม
มีเพียง น้ำมันดีเซล ชนิดเดียวเท่านั้น ที่ประชาชนส่วนใหญ่ได้ประโยชน์เพราะใช้ในรถขนส่ง แต่รัฐบาลก็ไม่มีมาตรการรองรับที่ชัดเจนว่า เมื่อลดราคาน้ำมันดีเซลลงแล้ว ค่าโดยสาร ค่าขนส่ง จะต้องลดราคาลงมาเท่าไร เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ประชาชนทุกคนจะได้ประโยชน์อย่างแท้จริง
เมื่อดูเหตุและผลแล้ว  ที่  นายกฯยิ่งลักษณ์  บอกว่า  การลดราคาน้ำมัน 3 ชนิด เพื่อลดค่าครองชีพของประชาชน จึงเป็นความจริงเพียงส่วนเดียวเท่านั้น
เงิน ที่ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เอาไปอุ้มราคาน้ำมัน 1 ปี 74,000 ล้านบาท เป็นเงินที่เยอะนะครับ แถมยังต้องไปกู้มาอีกตั้ง 20,000 ล้านบาท การใช้เงินอนาคตโดยไม่มีรายได้รองรับ เป็นเรื่องอันตรายครับ สหรัฐฯ เป็นตัวอย่างที่น่าเรียนรู้ เอาเงินในอนาคตไปใช้อย่างมันมือ แม้สหรัฐฯจะพิมพ์แบงก์เองได้ แต่วันนี้ก็ยังเจ๊งอย่างเขียดอย่างที่เห็นครับ.

“ลม เปลี่ยนทิศ”

เปิดโฉมหน้า"คนเสื้อแดง" กุนซือรัฐบาลยิ่งลักษณ์ คั่วเก้าอี้ที่ปรึกษาฯ เลขาฯ รองเลขาฯ ผช.รมต.พรึ่บ!





หมายเหตุ - ประวัติ บทบาท และความเป็นมาของเครือข่าย "กลุ่มเสื้อแดง" ที่ได้รับปูนบำเหน็จข้าราชการการเมือง และว่าที่ข้าราชการการเมืองในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ทั้งในตำแหน่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรี รองเลขานุการนายกรัฐมนตรี เลขานุการรัฐมนตรี กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี

พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี

ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี

นายทหาร จปร.7 หรือ "กลุ่มยังเติร์ก" เพราะชอบ กระทำปฏิวัติรัฐประหารมากที่สุดในหน้าการเมืองไทย

ทหาร รุ่นเดียวกับ พล.ต. จำลอง ศรีเมือง ผ่านสมรภูมิการรบมาแล้วนับไม่ถ้วน ทั้งสงครามเวียดนาม สงครามปราบปรามคอมมิวนิสต์ในลาว สำหรับบทบาททางการเมือง ช่วงวิกฤตการณ์การเมืองในปี 2548-2553 ก่อนเกิดรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 สนับสนุน พล.ต.จำลอง ในการเคลื่อนไหวกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั้ง 2 ช่วง คือช่วงก่อนรัฐประหาร และช่วงปี 2551

พล.อ.พัลลภได้รับขนานนามเป็นสายบู๊ เพราะเชี่ยวชาญการรบนอกแบบ มีบทบาทดูแลแก้ปัญหาภาคใต้ ในยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ 1

แต่ เกิดเหตุสังหารหมู่ที่มัสยิดกรือเซะช่วงเดือนเมษายน 2547 ทำให้ถูกสั่งย้ายออกจากพื้นที่ทันที พร้อมตั้งกรรมการสอบ แม้กรรมการจะชี้เป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ แต่จนบัดนี้ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ

อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

เป็นอดีตดีเจเครือข่ายคนเสื้อแดง พิธีกรรายการสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอ็มทีวี 5 และเอเชียอัพเดท

มีบทบาทร่วมการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มเสื้อแดงทั้งช่วงปี 2552-2553 โดยเฉพาะการดำเนินรายการบนเวทีการชุมนุม

รวมถึงมีบทบาทในการร่วมยุทธการดาวกระจายของกลุ่มเสื้อแดงในช่วงเดือนเมษายน 2553

วีระ ชูสถาน

ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

เป็นแกนนำคนเสื้อแดง และ นปช. มีบทบาทร่วมการชุมนุมทางการเมืองทั้งปี 2552-2553 และเป็นหัวหน้าดาวกระจายจุดย่อยในปี 2553

ไพจิตร อักษรณรงค์

ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

อดีต นักร้องเพลงลุกทุ่ง-ลูกกรุงหลายค่ายเพลง ชีวิตส่วนตัว เคยสมรสกับ "คณิต อุทยานสิงห์" หรือ "นิค นิรนาม" นักร้องเพลงลูกทุ่ง-เพื่อชีวิต ปัจจุบันสมรสกับ "วิสา คัญทัพ" กวี นักร้อง และนักแต่งเพลงเพื่อชีวิต

ปัจจุบัน "ไพจิตร" เป็นสมาชิก นปช.แดงทั้งแผ่นดิน มักจะขึ้นแสดงดนตรีบนเวทีปราศรัยของ นปช.ในปี 2552-2553 ไม่เคยขาด ร่วมเคลื่อนไหวไม่ห่างเวทีราชประสงค์ จนถูกออกหมายจับตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548

แต่มีข่าวว่าหลบหนีไปได้ กระทั่งปรากฏว่ามีชื่อในตำแหน่งทางการเมืองของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์

ธนกฤต ชะเอมน้อย(วันชนะ เกิดดี)

ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

เป็น สมาชิก นปช. มีบทบาทร่วมการชุมนุมมาโดยตลอด โดยเฉพาะงานด้านการบันเทิงบนเวที เพราะเป็นอดีตนักร้องลูกทุ่ง และในการชุมนุมที่ราชประสงค์ ได้ขับขานบทเพลงกล่อมมวลชนทุกค่ำคืน โดยเฉพาะบทเพลงแห่งการต่อสู้ของคนเสื้อแดงเพลงหนึ่ง ได้แก่ "เพลงของประชาชน เพื่อประชาชน" "ใครก็รักทักษิณ"

หลังการเคลื่อนไหวรุนแรงในปี 2553 ถูกออกหมายจับตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ

และมีข่าวหลบหนีซ่อนตัวยังประเทศกัมพูชาเช่นเดียวกับแกนนำเสื้อแดงอีกหลายคน

รังสี เสรีชัยมุ่ง(รังสี เสรีชัย)

ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

สมาชิก นปช. อดีตนักร้องลูกทุ่งชื่อดัง ก่อนที่ชื่อเสียงจะตกต่ำ จึงหันไปทำธุรกิจร้านอาหารตามจังหวัดต่างๆ รวมทั้งที่ จ.สระบุรี และลงเล่นการเมืองท้องถิ่นโดยได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาล อ.มวกเหล็ก ช่วงปี 2543-2547 รวมทั้งพยายามขยับมาเล่นการเมืองระดับประเทศ ด้วยการสมัคร ส.ส. สังกัดพรรคมหาชน เขต 2 จ.สระบุรี ปี 2548 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ

กระทั่งเข้าร่วมกับกลุ่ม นปช.เคลื่อนไหวทางการเมืองบนเวที มีบทบาททั้งการดำเนินรายการและขับกล่อมเสียงเพลงแก่มวลชนเสื้อแดง

แน่นอน หลังศึกราชประสงค์ เขาก็โดนหมายจับเหมือนแกนนำคนอื่นๆ แล้วหายหน้าค่าตาไปนาน

พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์

ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

แกน นำ นปช.จ.ชุมพร อดีตประธานสมาคมประมง จ.ชุมพร ผู้ดำเนินการออกบัตรสมาชิกของกลุ่ม นปช. เคยตั้งเวทีปราศรัยและยืนยันที่จะติดตั้งจานดาวเทียมดีทีวี ประจำทุกอำเภอในชุมพร ทำให้กลุ่มพันธมิตร จ.ชุมพร ไม่พอใจและเข้าล้อมบ้านของนางกฤษณา สิทธิสาร สมาชิก นปช. เพราะไม่พอใจที่เอาป้ายศูนย์ประสานงาน นปช.ชุมพร มาติดไว้หน้า บ้าน

นอก จากนั้น พ.ต.ต.เสงี่ยมยังเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 กรณีการบุกอาคารรัฐสภา และเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับในการชุมนุม พ.ศ.2553 อีกด้วย ซึ่งก็หลบหนีอีกคน

พิพัฒน์ชัย ไพบูลย์

ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

แกน นำ นปช. ร่วมงานเคลื่อนไหวทางการเมืองปี 2553 จนได้เป็นผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขต 27 บางรัก แต่ก็พ่ายแพ้ราบคาบ และมามีชื่อรับแต่งตั้งเป็นข้าราชการการเมืองในครั้งนี้

วรวุฒิ วิชัยดิษฐ

ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

รักษาการโฆษก นปช. มีบทบาทประสาน สื่อสาร และแถลงข่าวความเคลื่อน ไหวของกลุ่ม นปช.มาโดยตลอดการชุมนุม จนปัจจุบัน

ด้าน การเมืองเคยเป็นผู้สมัคร ส.ส.เขต จ.สุราษฎร์ ธานี ชนกับสุเทพ เทือกสุบรรณ จากประชาธิปัตย์ ในการเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านมา แต่ต้องแพ้อย่างราบ คาบ

อรรถชัย อนันตเมฆ

ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

แกน นำ นปช. อดีตดารานักแสดงชื่อดัง มีผลงานการแสดงทั้งภาพยนตร์และละครทางจอแก้วนับไม่ถ้วน ร่วมการชุมนุมอย่างเหนียวแน่นกับกลุ่ม นปช.ที่ราชประสงค์ และเงียบหายไปหลังมีการสลายการชุมนุม จนมีชื่อเป็นข่าวอีกครั้งกับตำแหน่งทางการเมือง

ชินวัฒน์ หาบุญพาด

ที่ปรึกษา รมช.คมนาคม

เป็น แกนนำ นปช.คนสำคัญ เดิมเป็น "ดีเจ" รายการวิทยุเครือข่ายแท็กซี่ เป็นนายกสมาคมพิทักษ์ผลประโยชน์ผู้ขับรถแท็กซี่ ที่ชื่นชอบในตัว พ.ต.ท.ทักษิณ

มีบทบาทในการก่อตั้งและผู้จัดรายการของสถานีวิทยุชุมชน คนแท็กซี่ เอฟเอ็ม 92.75 เมกะเฮิร์ตซ์ และเอฟเอ็ม 107.5 เมกะเฮิร์ตซ์ และเป็นแกนนำ นปช.รุ่นที่ 2 เข้ามาเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยเข้ามาสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ เรียกร้องให้มีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 ก่อนรัฐประหาร รวมทั้งร่วมกับกลุ่มคาราวานคนจนที่สวนจตุจักร ร่วมเข้าปิดล้อมอาคารเนชั่นทาวเวอร์

ลงสมัคร ส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ลำดับที่ 72 ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด

ถูกออกหมายจับคดีก่อการร้ายและตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่สำคัญคือเป็นหนึ่งใน 19 ผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบันที่ดีเอสไอออกหมายจับ

ประแสง มงคลศิริ

ที่ปรึกษา รมช.ศึกษาธิการ

แกน นำ นปช. ชาวอุทัยธานี อดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย ล่าสุด เป็นผู้สมัครบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย มีบทบาทงานการศึกษามาก่อน และในอดีตเคยขุดคุ้ยคดีปลอมแปลงวุฒิการศึกษาของ "บรรหาร ศิลปอาชา" หัวหน้าพรรคชาติไทยในเวลานั้น

ขณะที่ กกต.ตั้งกรรมการสอบเรื่องผลิตและเผยแพร่วีซีดีภาพเสียง พ.ต.ท.ทักษิณ หมิ่นเหม่ขัดต่อกฎหมายเลือกตั้ง เขากลับนำวีซีดีพร้อมรูป พ.ต.ท.ทักษิณขนาดใหญ่ติดขบวนรถหาเสียง ไปเย้ยที่หน้าสำนักงาน กกต.อุทัยธานี เปิดปราศรัยโจมตีท้าทาย 5 เสือ กกต.ว่า จบนิติศาสตร์จะกล้าแจกใบแดงเอาผิดเขาได้หรือไม่ ถ้าได้ก็จะเผาปริญญาวิศวะของตัวเอง

ถือว่ามีบุคลิกที่ดุเดือด กล้าท้าชน

อารี ไกรนรา

เลขานุการ รมว.มหาดไทย

แกน นำ นปช.ตัวจริง เหนียวแน่นดูแลจัดการการชุมนุมทุกครั้ง เป็นชาว จ.นคร ศรีธรรมราช โดยกำเนิด มีบทบาทกำเนิดเครือข่าย นปช. นครศรีธรรมราชและวิทยุชุมนุมเสื้อแดงในนครศรี ธรรมราช

รับผิดชอบงาน รักษาความปลอดภัยหรือเป็นหัวหน้าทีมการ์ด นปช.ในทุกการชุมนุม ทำงานใกล้ชิดกับ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดงในการรักษาความปลอดภัยการชุมนุม

ถูกออกหมายจับสารพัด เคยมีข่าวคราวเมื่อถูกแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษา พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย เมื่อครั้งเป็นรองประธานสภา จนต้องลาออกเพื่อลบภาพลักษณ์

ยศวริศ ชูกล่อม (เจ๋ง ดอกจิก)

ผู้ช่วยเลขานุการรมว.มหาดไทย

แกนนำเสื้อแดงตัวฉกาจ จากบทบาทดาราตลกบนเวทีการแสดง กลับกลายเข้ามาเป็นหนึ่งในแกนนำ นปช. บนเวทีการชุมนุม

"เจ๋ง ดอกจิก" หรือชื่อเดิมว่า นายประมวล ชูกล่อม เคยเป็นตัวละครที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ ออกมาแฉว่า เป็นบุคคลที่จ้างผู้สมัครพรรคเล็ก 3 คน คนละ 3 หมื่นบาท ให้ลงรับสมัครเลือกตั้ง ทั้งที่รู้ว่าคุณสมบัติไม่ครบก่อนจะกลายเป็นหลักฐานหนึ่งที่นำไปสู่การยุบ พรรคไทยรักไทย

นอกจากนี้ ในการชุมนุม นปช.ที่ผ่านมา เป็นบุคคลหนึ่งที่เกือบถูกเจ้าหน้าที่รวบตัวได้สำเร็จ ในคราวที่ไปปิดล้อมโรงแรมเอส ซี ปาร์ค แต่ก็สามารถหนีออกมาได้

ล่าสุด เจ๋ง ดอกจิก เข้ามอบตัวพร้อมๆ กับแกนนำเสื้อแดงคนอื่นๆ และถูกควบคุมตัวอยู่ จนได้รับประกันตัวในยุครัฐบาลเพื่อไทย

สมหวัง อัศราษี

ที่ปรึกษา รมว.พาณิชย์

เป็น นักธุรกิจเสื้อแดง มีบทบาทสนับสนุนการชุมนุมของ นปช.หลายครั้งในด้านต่างๆ เป็นประธานบริษัท สแกนเนอร์ อิเลคทริก อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านแบรนด์มิซูชิต้า บริษัท กรุงสยามเครื่องดื่ม จำกัด ผู้ผลิตเครื่องดื่มชูกำลัง "หมี คอมมานโด" และชาเขียว "วายเจ" และดำรงตำแหน่งรักษาการรองประธาน นปช.

ถือเป็นนักธุรกิจที่มีตำแหน่งในองค์กรแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติเป็นคนแรก

ชนะ อัตถาวงศ์

ข้าราชการการเมือง

น้อง ชาย "สุภรณ์ อัตภาวงศ์" หรือแรมโบ้อีสาน แกนนำ นปช. ถูกออกหมายจับตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เพราะเป็นแกนนำเคลื่อนไหวคนสำคัญ ที่นำกลุ่มเสื้อแดงก่อเหตุทุบรถนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯที่กระทรวงมหาดไทยในปี 2552 เข้ามาช่วยงาน นปช.ตามรอยพี่ชาย และมีบทบาทสำคัญในการคุมมวลชนในโอกาสต่างๆ

ชาญยุทธ เฮงตระกูล

ข้าราชการการเมือง

แกน นำคนเสื้อแดงพัฒนา เครือข่ายเสื้อแดงสำคัญที่มีบทบาทการชุมนุมที่พัทยาในปี 2552 ยุครัฐบาลนายอภิสิทธิ์ สายของ ศักดา นพสิทธิ์ แกนนำเสื้อแดงชลบุรีผู้ใกล้ชิด นายยงยุทธ ติยะไพรัช แกนนำพรรคไทยรักไทย พิสูจน์ผลงานด้วยการเคลื่อนไหวล้มการประชุมอาเซียนซัมมิทที่โรงแรม รอยัล คลิฟบีช ได้ จนเป็นข่าวดังไปทั่วโลก

เพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล

ข้าราชการการเมือง

แกน นำเสื้อแดง จ.เชียงใหม่ สังกัด "กลุ่มรักเชียงใหม่ 51" เป็นกลุ่มที่มีอุดมการณ์ค่อนข้างรุนแรงและศรัทธาต่อ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นอย่างมาก เป็นแกนนำจัดตั้งทั้งมวลชนพื้นที่เชียงใหม่และจังหวัดภาคเหนือ จัดตั้งและดำเนินรายการวิทยุชุมชน และนำมวลชนเคลื่อน ไหวอย่างหนักหน่วงในพื้นที่ภาคเหนือในยุค คมช.

คารม พลพรกลาง

ข้าราชการการเมือง

ทนาย นปช.ที่ทำทุกเรื่อง ทุกคดี ทั้งแพ่ง หมิ่นประมาท การเมือง ของกลุ่ม นปช. ผ่านมือเขาทั้งหมด ถือเป็นทนายความที่มีบทบาทสำคัญมาก โดยมี มานิต จิตต์จันทร์กลับ อดีตหัวหน้าศาลฎีกา อดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา แกนนำ นปช. เป็นหัวเรือใหญ่ทำคดีความ

ซึ่งมานิตเป็นมือขวา สุวรรณ วลัยเสถียร พงศ์เทพ เทพกาญจนา ไพฑูรย์ เนติโพธิ์ มือกฎหมายสำคัญตั้งแต่พรรคไทยรักไทย โดย "คารม" จะเป็นแนวหน้าที่ออกทำงานในฐานะคณะทำงานด้านกฎหมายของพรรคเพื่อไทย หลังๆ มักออกมาแถลงข่าวพร้อมกับนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทยเป็นประจำ


มติชน

กรรมวิธีฟอกแดงแม้ว.. ให้ขาวใส!

โดยดร.ไก่ Tanond เมื่อ 29 สิงหาคม 2011 
 
ยุทธศาสตร์ - แม้วคืนสู่สถานะเดิม ก่อนรัฐประหาร 19 กันยา 

ยุทธวิธี - ทำเช่นไรก็ได้ เพื่อให้ได้มา(the end justified the means) ด้วยการสร้างความชอบธรรม เพื่อหักล้างผลจากตัวบทกฎหมายที่ผานมา

บันใด 3 ขั้นเพื่อบรรลุสู่เป้าหมาย -
1.ความสัมพันธ์ - ระหว่างแม้ว กับ คนเสื้อแดง? ที่เคยชัดเจนทั้งในและนอกประเทศ
1.1 สร้างกระแสความรัก ความภักดีให้เกิดการตอบรับในวงกว้างสำหรับคนไทย ในต่างแดน - ทำไปแล้ว
1.2 กล่าวอ้างให้ผลของคดี ที่มีการตัดสินจำคุกไปแล้ว 2 ปี ให้เป็นคดีการเมือง เพื่อปลดปล่อยแม้วจากการถูกจำกัดพื้นที่เข้า-ออกนอกประเทศ ในฐานะนักโทษหนีคดี ให้สามารถเข้าออกประเทศต่างๆที่เคยห้ามเข้า-ออก ในฐานะนักโทษคดีการเมือง - ทำไปแล้ว
1.3 ร่วมมือกับต่างชาติในเรื่องประโยชน์ของทรัพยากรทางทะเล เพื่อ1.หาแนวร่วมจากมหาอำนาจ พร้อมให้การปกป้อง ช่วยฟอกตน และ2.หาประโยชน์ในเชิงธุรกิจ สานต่อที่ทำไว้แล้วให้แล้วเสร็จ
1.4 สร้างนโยบายเพื่อเยียวยาคนเสื้อแดงที่ล้มตายโดยภาครัฐเอง เพื่อเบี่ยงเบน และเปลี่ยนการก่อวินาศกรรม ให้เป็นสร้างวีรกรรมในการเรียกหาประชาธิปไตยที่แท้จริงของคนเสื้อแดงเอง ทำให้แม้วเป็นเพียงปัจจัยตาม เป็นผลพลอยได้ - เริ่มไปแล้ว และกำลังจะจบลง

2.การกระชับอำนาจ - สร้างอำนาจในระบบ (รัฐบาลและนักการเมืองท้องถิ่น) บารมีนอกระบบ (คนเสื้อแดง) และกลไกแห่งรัฐ (ข้าราชการ /ทหาร /ตำรวจ) ให้กลับคืนมา
2.1 สร้างอำนาจซ้อนอำนาจ รัฐบาลถืออำนาจรัฐอย่างเบ็ดเสร็จพร้อมนำแกนนำคนเสื้อแดงเข้าสู่ระบบ เพื่อให้สามารถกลับเข้าทำหน้าที่เดิมด้วยการมีเอกสิทธิ์คุ้มกัน และมีอำนาจรัฐคอยปกป้อง เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายยึดประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม - ทำแล้ว
2.2 เปลี่ยนผ่าน ตัดขั้วอำนาจเดิมออกของกลไกแห่งรัฐ ด้วยการเกิดเข้ากุมอำนาจในกระทรวงกลาโหม - คุมทหาร มหาดไทย -คุมข้าราชการในทุกระนาบ และที่ สตช. - ปรับคนเดิมออก พยายามนำคนของตน ที่เหลืออายุราชการอีกเพียง 1 ปีขึ้นแทน - ทำไปแล้ว

3.กรรมวิธีฟอกขาว - ล้มล้าง ยกเลิก ผลในทางกฎหมาย จากกระบวนการยุติธรรมที่มีมาหลังรัฐประหาร ปี49
3.1 อุทธรณ์คดีตน(ตามที่ให้สัมภาษณ์นักข่าวต่างประเทศมาโดยตลอด) ทว่าในความเป็นจริง จะยื่นอุทธรณ์ได้เช่นไร? ในเมื่อคดีความของยนได้ถูกตัดสินเบ็ดเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว โดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง! - แม้วปล่อยไก่
3.2 ยื่นนิรโทษกรรม กฎ กติกา ประเพณีนั้นมีอยู่ชัดว่า ผู้ต้องคดีต้องจำคุกให้ครบตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในขั้นต้นเสียก่อน จึงจะกระทำได้ - วิธีจึงใช้ไม่ได้
3.3 ยื่นขออภัยโทษ วิธีนี้ก็มีให้เห็นกันมาโดยตลอดสำหรับนักโทษการเมืองในบ้านเรา แต่แม้วใช่นักโทษการเมืองหรือเปล่า? ก็ไม่ใช่ ถ้าไม่ใช่แล้วจะยังให้เห็นผลอย่างที่ผ่านๆมาได้เช่นไร? - วิธีนี้คงใช้ไม่ได้ผล
3.4 แก้รัฐธรรมนูญ จึงน่าจะเป็นทางออกสุดท้ายที่พอทำได้ เพราะอำนาจบริหา และ นิติบัญญัตินั้น "อยู่ในมือตน"

ความสำคัญของการแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อนำฉบับปี2540กลับมานำใช้ -
1.รัฐ ธรรมนูญฉบับปี2540นั้น ถือได้ว่าเป็นฉบับของประชาชนโดยแท้จริง เพราะปลอดอำนาจนอกระบบ(ทหาร) มีการลงประชามติเพื่อเห็นดีเห็นชอบ จึงมีเสียงบริสุทธิ์ของประชาชนจำนวนมากรับรองรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ..เป็นทุนเดิม
2.เมื่อรัฐธรรมนูญฉบับปี2540 เป็นฉบับของประชาชน การเกิดขึ้นของการรัฐประหารปี49 จึงเท่ากับเป็นการฉีกรัฐธรรมนูญฉบับของประชาชนลง แล้วยกร่างและนำใช้ฉบับปี2550 ที่เกิดจากการรัฐประหาร ที่เปิดทางไปสู่การ "เอาผิดตน" ในหลากหลายคดี จากหลากหลายกรรมวิธี เช่นที่ผ่านๆมา เช่นนี้แล้วต้นตอของการเอาผิดตน จึงอิงอยู่ที่การเกิดรัฐประหาร และการนำใช้รัฐธรรมนูญปี2550
3.ความพยายามที่จะแก้รัฐธรรมนูญจึงเป็น เรื่องหนึ่ง และการนำใช้รัฐธรรมนูญปี2540 จึงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่ต่างพยายามจะนำ "สถานะของตน" ก่อนการรัฐประหารปี49 และการเปิดทางให้เอาผิดตน จากการนำใช้รัฐธรรมนูญปี50ให้เป็นโมฆะไป  - กำลังดำเนินการ  

VOTE NO FOR NO ENTRY!

เจ๊เพ็ญลำเลิกบุญคุณรัฐบาล เจ๊ปูต้องกล้าประกาศ ว่าจะไม่แก้ ป.อาญา 112


Posted by ทนายเบิ้ม
"จักรภพ"พล่านไล่บี้เพื่อไทยหยุดเกียะเซี๊ยะอำมาตย์
ถือเป็นสีสันทางการเมืองที่พอจะจับสัญญาณทางการเมืองในอนาคตได้ไม่มากก็น้อย  ว่า  การทำงานทางการเมืองในระบอบรัฐสภา    น่าจะมีความดุเดือดเผ็ดมันส์ในระดับไม่มีใครยอมใคร    เมื่อพิจารณารายละเอียดจากการประชุมแถลงนโยบายของรัฐบาล  ตลอดต่อเนื่องทั้ง 2 วันครึ่งที่ผ่านไป
กรณีสำคัญหนึ่งมาจากตัวประธานสภาผู้แทนราษฎร   อย่าง  นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์  ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีลักษณะโน้มเอียงในการควบคุมการอภิปรายในสภาฯ   และ  อีกประการมาจากความขุ่นเคืองที่มีอยู่แต่เดิม  ระหว่าง  พรรคประชาธิปัตย์ และ  ส.ส. เพื่อไทยที่มาจากแกนหลักนปช.  ซึ่งหลายตอนของการอภิปรายก็ทำให้เห็นแล้วว่า ทั้ง  2  ฝ่ายพร้อมจะกระทบกระทั่งกันตลอดเวลา
แต่กระนั้นโดยข้อเท็จจริงไม่ว่ารัฐบาล+ฝ่ายค้าน จะห้ำหั่น ชิงเหลี่ยมกันถึงขนาดไหน   ทุกเรื่องของข้อขัดแย้งก็น่าจะจบลงได้ด้วยดี  ในบรรยากาศของระบอบประชาธิปไตย    ซึ่งยึดถือเอาสภาผู้แทนราษฎร   เป็นศูนย์กลางในการร่วมกันแก้ปัญหาของชาติ  ที่มีความต่างจากการชุมนุมทางการเมืองบนท้องถนน  และมุ่งเอาชนะคะคานกัน โดยใช้ความเดือดร้อนของประชาชนเป็นสิ่งต่อรอง


ขณะ เดียวกันก็สมควรที่   น.ส.ยิ่งลักษณ์   ในฐานะนายกรัฐมนตรี    จะต้องดำเนินการเรียนรู้ปัจจัย    อันเกี่ยวเนื่องกับสภาวะทางการเมืองอย่างรอบด้านไปพร้อม ๆ  กัน ว่า แม้จะพยายามรักษาสภาวะของการประคับประคอง บรรยากาศการเมืองในสภาฯให้นิ่งมากเท่าไร แต่ก็อย่าไว้ใจการเมืองนอกสภาฯ  เพราะคนเสื้อแดงไม่ได้คิดเหมือนกันทั้งหมด และ  อาจทำให้ความตั้งใจในการคืนความปรองดองให้กับประเทศล้มเหลวได้

ตัวอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้น  และ  “สำนักข่าวทีนิวส์”  เกาะติดมาโดยตลอด   ก็คือ   การขยับเขยื้อนของขบวนการล้มเจ้า    และแนวร่วมแดงที่ไม่ได้คาดหวังความปรองดอง    เพื่อทำให้ชาติสงบสุข  เพราะเป้าหมายใหญ่  คือ การปฏิวัติประชาธิปไตย  เพื่อความเท่าเทียมในวิถีชนชั้น 
 
“ เมื่อการเมืองไทยยังไม่ปกติ    เราก็ต้องจับตาทุกขั้นตอน  จับตาทั้งฝ่ายเขาและฝ่ายเรา  .... อยากเตือนเพื่อนฝูงพี่น้องด้วยความรักใคร่ชอบพอกันว่า อย่าลืมว่าที่ได้มานั่งและยืนแถลงนโยบายในวันนี้ได้นั้น   มันมาจากความช่วยเหลือของใคร? 
ท่าทีของนายจักรภพ  เพ็ญแข   แกนนำแดงสยาม   ตอกย้ำให้เห็นอีกครั้งว่า  ไม่ได้ยินเท่าไรกับภาพอะลุ้มอล่วยที่เกิดขึ้น   ในทางตรงข้ามนายจักรภพ   เรียกร้องให้รัฐบาลเพื่อไทยทำตามเสียงร้องของประชาชนส่วนใหญ่   เพื่อแสดงว่าประชาชนเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในรัฐ   และไม่ลืมว่าได้รับอำนาจอันชอบธรรมมาบริหารประเทศโดยตรง 
แปลความกันตรงไปตรงมา   นายจักรภพตีปลาหน้าไซรัฐบาลเพื่อไทย  ไม่ให้ทำตัววิตกจริตกับเสียงคัดค้าน   การเดินหน้านโยบายหรือกระทำ  ในสิ่งที่เป็นความต้องการของประชาชนเสียงส่วนใหญ่  ที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย    

และแม้นายจักรภพจะไม่สื่อความตรง ๆ ว่าอะไรบ้างที่เป็นความต้องการของประชาชน   และเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยเดินหน้าดำเนินการ     แต่ถ้อยประโยคต่อมาก็น่าจะพออนุมานได้ว่า   นายจักรภพ   ยังคงคาดหวังกับยุยงให้พรรคเพื่อไทย    ลุกขึ้นฟาดฟันขั้วอำนาจเก่าให้สูญสิ้น  
“ขอฝากไปถึงรัฐมนตรีบางกระทรวงที่เริ่มประสานเสียงกับอำนาจเก่า  ให้ยุติท่าทีเช่นนั้นเสีย ท่านอาจอยู่ได้นานขึ้นสักสามเดือน  จากการทิ่มแทงประชาชนเพื่อเอาใจผู้มีอำนาจ โดยหวังว่าเขาจะชื่นชมพอใจ  และเห็นเป็นพวก 

สุดท้ายเขาจะ ฆ่า ท่านตามคนอื่นไปในไม่ช้า    เขาแบ่งฝ่ายกับท่านมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วแต่ท่านไม่รู้   ...นึกว่าการสอพลอตื้นๆ จะตบตาได้ ...
สิ่งที่ต้องพิจารณาต่อไปก็คือ  ถ้า  น.ส.ยิ่งลักษณ์   ปรารถนาที่จะเดินหน้าคืนความปรองดองให้กับประเทศ ด้วยวิธีการต่างๆ  ซึ่งอาจหมายรวมถึงการสร้างปฏิสัมพันธ์กับกองทัพ  กับ  อำมาตย์     จะมีคำตอบให้แดงอย่าง  นายจักรภพ  อย่างไร    และ   น่าสนใจว่ามวลชนแดง (ส่วนใหญ่) จะยอมรับได้หรือไม่ เพื่อทำให้ขา  2 ข้างทางการเมือง (พรรคเพื่อไทย+มวลชนแดง)  ยังเดินคู่กันไปได้โดยไม่ขัดกันเอง  ...  

สำนักข่าวทีนิวส์
---------------------------
ถ้า ถามชื่อชั้นของจักรภพ หรือเจ๊เพ็ญ ณ เวลานี้ ว่าระดับไหนแล้ว คงต้องตอบว่าชื่อนี้ได้ถูกวางไว้ในระนาบระดับเดียวกันกับ นายใจ อึ้งภากรณ์ และ นายชูพงษ์ ถี่ถ้วน ซึ่งบุคคลทั้งสาม รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีแนวคิดแบบเดียวกัน  ซึ่งขณะนี้บางคนก็ได้ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรื่อนจำ นับว่าคนพวกนี้เป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข
ไม่ควรคบหา และ ไม่ควรนำพาด้วย
กับ ภาพเก่ามาเล่าใหม่ ทักษิณนั่งกลาง ขนาบซ้ายด้วยยงยุทธ ขวาคือจักรภพ ไม่ทราบว่าทักษิณจะรู้ไหมกับพฤติกรรมของนายจักรภพ และพฤติกรรมที่ไม่บังควรของขบวนการล้มเจ้า เชื่อว่าเขารู้ แต่เขาก็ไม่เคยห้าม ทักษิณมักจะเฉไฉไปอย่างอื่น อาทิเช่น ไม่สามารถห้ามได้อะไรประมาณนี้ ส่วนตัวเขาก็มักจะอ้างว่าตนได้ถูกอบรมบ่มนิสัยจาก ร.ร.นายร้อย ให้รักสถาบัน ฉะนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่จงรักภักดี
แต่ วันนี้ น้องสาวเขาคือนายกรัฐมนตรีแล้ว ถ้าทักษิณคิดจะปรองดองจากใจจริง ก็ต้องกล้าแตกหักกับนายจักรภพ นายใจ นายชูพงษ์ ซึ่งถือว่าเป็นหัวแถวของขบวนการ คือทักษิณต้องแยกตัวตนออกมาจากพวกล้มเจ้าเสีย
อยาก รู้เหมือนกันว่า เมื่อบอกเลิกศาลาไม่คบหาสมาคมกันแล้ว กลุ่มคนพวกนี้จะปลุกมวลชนขึ้นมาได้หรือไม่ ถ้าทักษิณรักน้องสาว ห่วงพรรคเพื่อไทย ทักษิณต้องทำ
หาก คำพูดของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุงที่บอกไว้ในการอภิปรายตอบคำถามแทนนายกยิ่งลักษณ์ ในวันแถลงนโยบายเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2554 ว่า รัฐบาลไม่มีแนวคิดแก้กฎหมายอาญามาตรา 112 เรื่องการหมิ่นสถาบัน เพราะเป็นเครื่องมือในการปกป้องสถาบัน โดยยืนยันจะไม่เข้าไปแตะต้องเด็ดขาด
คำพูดนี้ถือว่าเป็นสัจจวาจาของรัฐบาลที่ประกาศต่อสาธารณชนใช่ไหม หรือ เป็นเพียงคำพูดของรองนายกเฉลิมในฐานะส่วนตัว
เพื่อ ให้ชาวประชาที่มีความรักชาติ รักสถาบัน ได้สบายใจว่ารัฐบาลนี้ จะไม่มีการเห็นด้วย หรือ ปล่อยปละละเลย เพิกเฉย ต่อขบวนการล้มเจ้า นายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องกล้าประกาศซ้ำอีกทีอย่้างเป็นทางการว่า รัฐบาลนี้ จะไม่แก้ป.อาญา มาตรา 112
การประกาศแบบนี้ ย่อมถือว่าเป็นการแตกหัก กับ กลุ่มคนที่มีความคิด ที่สังคมไทยรับไม่ได้


ถ้า ไม่กล้าประกาศออกมา แสดงว่ารัฐบาลนี้ไม่มีน้ำอิ๊วกับเรื่องสำคัญเช่นนี้  หรือว่าเจ๊ปู ไม่กล้าหือกับขบวนการล้ม ที่เรารู้ เราเห็นอยู่ การนิ่งเฉยไม่ทำอะไร จะเป็นการฉุดให้ภาพของรัฐบาลตกต่ำ เพราะไม่ทำตามนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา ว่าจะปกป้องและเทิดทูนสถาบัน

วันนี้ ถึงเวลาแล้ว ที่จะพิสูจน์ธาตุแท้รัฐบาลของนายกยิ่งลัก
ษณ์ ด้วยการกระทำ ว่าจงรักภักดีจากใจ ไม่ใช่แค่ลมปาก

แผนที่แปลงสัมปทานปิโตรเลียม


โดย Boon Wattanna

จะเห็นว่า เชฟรอนได้ในพื้นที่ทับซ้อนหมดทุกแปลงผิดสังเกตุมั้ย
เริ่มจาก สแตนดาดออย แล้วแปลงร่างมาเป็น ยูโนแคล แล้วเป็นเชพรอน
เจ้าของคือ จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ผู้พ่อ ซึ่งก็คือ อเมริกานั้นเอง

ชื่อบริษัท เชฟรอน บล๊อค บี8 32 (ประเทศไทย) จำกัด‏


รายละเอียดนิติบุคคล

ทะเบียนเลขที่ : 0105538104132  (เลขทะเบียนเดิมคือ 2142/2538)
ประเภท : บริษัทจำกัด วันที่จดทะเบียน : 01/09/2538
สถานะ : คงอยู่

1 ชื่อบริษัท เชฟรอน บล๊อค บี8 32 (ประเทศไทย) จำกัด
2 กรรมการบริษัทมี 7 คน ตามรายชื่อดังต่อไปนี้

1. นาย โจเซฟ ชาฟิค จาจา
2. นาย เอ็ดเวิร์ด จอห์น เมเซอร์
3. นาย ไพโรจน์ กวียานันท์
4. นางสาว ศิริพร ไชยสุต
5. นาย ไบรอัน เจมส์ เบิร์ค
6. นาย แอนโทนี จอห์น เคนริค
7. นาย เดวิด ชาร์ป เบรดี้ /

3 กรรมการซึ่งลงชื่อผูกพันบริษัทได้คือ
นางประภาวดี โสภณพนิช
นายชาญ โสภณพนิช
นายเชิดชู โสภณพนิช
นายวินัย วามวาณิชย์
นายอรุณ จิรชวาลา กรรมการสองในห้าคนนี้ ลงลายมือชื่อร่วมกันและ   ประทับตราสำคัญของบริษัท/

4 ทุนจดทะเบียน 1,500,000,000.00 บาท


5 ที่ตั้ง 19 อาคารไทยพาณิชย์ ปาร์ค พลาซ่า อีสท์ อาคาร 3 ชั้น 5 ถนนรัชดาภิเษก แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร

6 บริษัทนี้จดทะเบียนครั้งแรกชื่อ บริษัท เอชเจเอชเค (ประเทศไทย) จำกัด   ได้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อดังนี้ ครั้งที่ 2 เปลี่ยนเป็น บริษัท โสภณอ่าวไทย จำกัด   เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2539 ครั้งที่ 3 เปลี่ยนเป็น บริษัท พลังโสภณ จำกัด   เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2539 และครั้งสุดท้ายเปลี่ยนเป็น บริษัท เชฟรอน บล๊อค บี8 32   (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2549/


7 นิติบุคคลนี้ได้ส่งงบการเงินปี 2542 2543 2544 2545 2546 2547 2548 2549 2550 2551 2552


8 วัตถุประสงค์ (74213) การสำรวจและผลิตปิโตรเลียม

กองทุนมั่งคั่ง อันตรายจากระดับสูงของกระทรวงการคลัง


  by indexthai


ปี 2518 วงกลมซ้าย เป็นปีที่เปิดตลาดหุ้น อีก 3-4 ปีต่อมา ตลาดหุ้นตก 62 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ต้อง ”ลดค่าเงินบาท” หลายครั้ง เกิดโครงการ 4 เมษายน 2527 ทางการเข้าควบกิจการ 25 ไฟแนนซ์และเครดิตฟองซิเอร์ เปิดกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ทุนสำรองเสียหาย ต้องเข้ารับความช่วยเหลือทางการเงินครั้งแรกจาก IMF
ปี 2536 วงกลมขวา เดือนตุลาคม นำระบบ Maintenance margin & force sell มาใช้ในตลาดหุ้น ตลาดหุ้นขึ้นไปที่ 1,750 และพังทลายลง 88 เปอร์เซ็นต์ เป็นผลถึงต้อง “ลอยค่าเงินบาท” เกิดโครงการ 14 สิงหาคม 2541 ปิดกิจการ 56 สถาบันการเงิน ทุนสำรองลดลงรุนแรง ต้องเข้ารับความช่วยเหลือทางการเงินจาก IMF ครั้งที่ 2
กองทุนเพื่อการฟื้นฟู (FIDF) มีหนี้ที่เกิดจากการปิด 56 สถาบันการเงิน 1.4 ล้านล้านบาท ช่วง 12 ปีของการบริหารจัดการกองทุน (2541-2553) ได้ชำระคืนหนี้ 249,898 ล้านบาท หรือเฉลี่ยชำระหนี้ปีละ 20,825 ล้านบาท ชำระดอกเบี้ย 604,473 ล้านบาท หรือเฉลี่ยชำระดอกเบี้ยปีละ 50,373 ล้านบาท เงินที่ใช้ในการชำระดอกเบี้ยเป็นภาษีของประชาชน
ยังคงมีหนี้คงเหลือ 1.14 ล้านล้านบาท หักกับสินทรัพย์ที่มีอยู่ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูประมาณ 2 แสนล้านบาท จะต้องใช้เวลาประมาณ 45 ปี จึงจะใช้หนี้นี้ได้หมด

.
ทางการจะยุติบทบาทของกองทุนฟื้นฟูในปี 2556
แล้วหนี้ที่เหลือประมาณ 1 ล้านล้านบาทของกองทุนฟื้นฟูจะเอาไปไว้ที่ไหน
.
ปี 2551 ทางการตั้ง “สถาบันคุ้มครองเงินฝาก (PDA)” ซึ่งมีวิสัยทัศน์ใกล้เคียงกับของกองทุนฟื้นฟู แต่ลดบทบาทลงมาก คือไม่ได้ช่วยเหลือสภาพคล่องเมื่อสถาบันการเงินประสบปัญหาด้านสภาพคล่อง และไม่คุ้มครองเงินฝากทั้งจำนวน แต่จะคุ้มครองเงินฝากประชาชนไม่เกินบัญชีละ 1 ล้านบาท
วิสัย ทัศน์สถาบันคุ้มครองเงินฝาก เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุคล้ายกองทุนเพื่อการฟื้นฟู ประวัติศาสตร์บอกว่าวิสัยทัศน์กองทุนเพื่อการฟื้นฟูล้มเหลวและก่อหนี้ก้อนโต ให้ระบบ สถาบันคุ้มครองเงินฝาก ก็มีโอกาสจะล้มเหลวและเกิดหนี้ก้อนโตให้ระบบเช่นเดียวกัน
นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการศึกษาความ เป็นไปได้ในการจัดตั้ง กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Wealth Funds)
พบว่าประเทศต่างๆที่ตั้งกองทุนมั่งคั่ง เพราะมีรายได้เหลือล้น ไม่มีหนี้ เช่นประเทศที่มีบ่อน้ำมันในตะวันออกกลางเป็นต้น แต่มีหลายประเทศที่ตั้งกองทุนมั่งคั่ง โดยไม่สนใจฐานะเศรษฐกิจของประเทศ
ประเทศ ไทย กำลังคิดจะออกพรบ.ดึงเงิน 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 300,000 ล้านบาท จากทุนสำรองการเงินระหว่างประเทศ มาตั้งเป็นกองทุนมั่งคั่ง (Sovereign Wealth Funds)

ทุนสำรองการเงินระหว่างประเทศ
การ เปลี่ยนแปลงของทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ ในอดีตจะเกี่ยวข้องกับดุลบัญชีเดินสะพัด เช่นผลต่างของมูลค่าการส่งออกและนำเข้า ผลต่างจากมูลค่าการท่องเที่ยว ที่ต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในไทยและคนไทยเดินทางออกไปท่องเที่ยวต่างประเทศ รวมทั้งคนไทยไปขายแรงงานที่ต่างประเทศ และต่างชาติมาขายแรงงานในไทย
ทุกวันนี้ทุนสำรองเงินตราของทุกประเทศ เป็นเรื่องไม่มั่นคง และอาจจะผิดปกติได้ง่าย ที่เป็นผลมาจากการไหลเข้าออกของทุนโดยตรง โดยเฉพาะการไหลเข้าของการลงทุนทางอ้อม เช่นการลงทุนในตลาดทุนและตลาดพันธบัตร ทำให้เงินทุนไหลเข้าก็ง่าย ไหลออกก็ง่าย ที่ส่งผลให้ทุนสำรองเพิ่ม-ลดได้ง่าย
ทุนสำรองของประเทศไทยเคยเสียหายมาแล้วถึง 2 ครั้ง ที่เป็นผลให้ประเทศไทยต้องเข้าโครงการไอเอ็มเอฟมาแล้วถึง 2 ครั้ง วงกลมใหญ่ในแผนภูมิทุนสำรองเงินตราต่างประเทศสุทธิ แสดงให้เห็นว่าทุนสำรองของประเทศตกลงต่ำมาก ที่ทำให้ประเทศต้องเข้าโครงการไอเอ็มเอฟครั้งที่ 2 นั่นเอง
แม้แต่ประเทศสหรัฐอเมริกา หลังปี 2000 เงินทุนไหลออก เงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่า จนเกิดปัญหาการล้มลงของภาคการผลิตจริง และภาคการเงิน ทำให้มีหนี้ท่วมประเทศ ที่ระยะหลังนี้ต้องเพิ่มเพดานหนี้ทุกปี 
ประเทศเวียดนาม เงินทุนไหลออก เงินดองอ่อนค่า ตั้งแต่ปี 2008 ถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ดีขึ้น
การจะนำเงินจากทุนสำรองมาใช้ จึงควรระมัดระวัง
การตั้งกองทุนมั่งคั่ง  ควรนำมาจากเงินคงคลัง แต่เงินคงคลังของไทยก็ 2 ปีดี 3 ปีไข้ ยกตัวอย่างเช่นปี 2551 ปีเดียว เงินคงคลังติดลบกว่า 4 แสนล้านบาท
ผู้ เขียนไม่อยากจะโทษนักการเมืองทั้งหมด เรื่องเลวร้ายส่วนใหญ่มาจากการ “ชงเรื่อง” ของข้าราชการและนักวิชาการระดับสูง แล้วนำเสนอต่อฝ่ายการเมือง
ประเทศไทย มีทุนสำรองประมาณ 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 6 ล้านล้านบาท
ประเทศไทย มีหนี้สาธารณะสูงถึง 4.5 ล้านล้านบาท
ประเทศไทย มีหนี้ที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 1 ล้านล้านบาท
ทำไมจึงมองเห็นแต่ตัวเลขทุนสำรองที่มาก และคิดว่าจะเอามาตั้งเป็นกองทุนมั่งคั่ง ทำไมจึงมองไม่เห็นว่าหนี้สาธารณะ และหนี้ที่กองทุนฟื้นฟูก็สูงมาก ไม่คิดจะหาวิธีเอามาชำระหนี้เหล่านี้บ้าง 
 
วิสัยทัศน์ระดับสูงของกระทรวงการคลัง “น่ากลัว” ประเทศไทยทุกวันนี้ไม่ได้ยืนอยู่บนขา(ทุน)ของตัวเอง แต่ยืนอยู่บนขา(ทุน)ของต่างชาติ จากตารางผู้ถือหุ้นรายใหญ่(ธนาคารเอกชนไทย) จะเห็นว่า ทุกวันนี้ไม่เหลือธนาคารเอกชนใดเป็นของคนไทยแล้ว
ยิ่ง ออกวิสัยทัศน์มาเท่าใด ประเทศชาติยิ่งหมดตัวมากเท่านั้น มักโยนอุจจาระมาให้ประชาชน เช่นเรื่องหนี้เพื่อการฟื้นฟูที่ต้องใช้ภาษีประชาชนชำระดอกเบี้ยแล้ว 604,473 ล้านบาท หวั่นใจว่า หนี้ที่เหลืออาจจะโยนมาให้ประชาชนเป็นผู้ชำระแทนอีก อุจจาระกองใหม่อย่างสถาบันคุ้มครองเงินฝากก็เพิ่มมาอีก
กระทรวงการคลัง “มักชง” เรื่องที่เป็นอันตรายแก่ประเทศชาติเป็นประจำ ช่วงรัฐบาลทักษิณ ก็ชงการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ทำให้สินทรัพย์ของประเทศตกไปเป็นของต่างชาติมากขึ้น ใครจะช่วยประเทศได้บ้าง ตัวเลขหนี้สาธารณะก็สูง ทำไมไม่ชงเรื่องการลดหนี้สาธารณะบ้าง
เป็นไปได้ ที่จะเอาเงินจากทุนสำรองออกมาทำประโยชน์ โดยต้องเข้าใจ และระมัดระวัง เรื่องการเคลื่อนย้ายเงินทุนให้ดี สิ่งใดควรทำ สิ่งใดควรแก้ไข อาจจะเอาทุนสำรองออกมามาทำประโยชน์สัก 10-15 เปอร์เซ็นต์
.
ผู้ เขียนเห็นด้วย หากจะนำทุนสำรองออกมาช่วยชำระหนี้สาธารณะบ้าง และชำระหนี้ให้กับกองทุนเพื่อการฟื้นฟู จะได้ช่วยลดงบประมาณในการชำระดอกเบี้ยแต่ละปีลง
แต่ไม่ใช่เอาไปตั้งกองทุนมั่งคั่ง 
.

คลิปรายการ"เจาะข่าวร้อน ล้วงข่าวลึก"ชื่อตอนว่า"แก้ไข ไม่แก้แค้น"ทำได้จริงหรือลวงหลอก

by ทนายเบิ้ม



เพ้อเจ้อปรองดอง!!เหตุทักษิณยังคลุมเครือเรื่องควมภักดี

      แม้จะประกาศย้ำแล้วย้ำอีกว่าแก้ไขไม่แก้แค้น  เพื่อความปรองดองแต่ดูเหมือนว่าแค่ความคิดของ น.ส.ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร   นายกรัฐมนตรี  ก็คงเป็นได้แค่ความคิดจริง ๆ    เพราะถึงเวลาจะปฏิบัติจริงคงทำไม่ได้อย่างที่คิด  ...
      เหตุผลรองรับของความจริงว่าแนวทางปรองดองไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้   เพราะต้องยอมรับว่า   ทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ และ  น.ส.ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร  ไม่อาจทำให้คนเสื้อแดงคิดเหมือนกันทั้งหมด  ซึ่งก็ปรากฏแล้วว่าพฤติกรรมของคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่ง มีลักษณะก้าวร้าวต่อฝ่ายตรงข้ามในระดับใด
      อีกทั้งภายหลังจากที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์  ปฏิเสธให้แกนนำแดงเข้ามาทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งในคณะรัฐมนตรี ก็ปรากฏว่า   มีการแต่งตั้งเครือข่ายแดงพาเหรดเข้าไปทำงานการเมืองกันอย่างเอิกเกริก
      โดยเฉพาะอย่างน้อยก็  2-3 คน  ที่ทำงานใกล้ชิดกับ นางธิดา  ถาวรเศรษฐ์   อย่าง  นายวรวุฒิ  วิชัยดิษฐ์ , นางสาวไพจิตร  อักษรณรงค์ ไม่นับรวมแนวร่วมแดงอีกอย่างน้อย  4-5 คน  ซึ่งมีบทบาทเคลื่อนไหวอย่างเป็นที่ประจักษ์ ในการชุมนุมคนเสื้อแดงเดือนเมษายน 52 และ เมษายน-พฤษภาคม 53
     ส่วนงานการเมืองที่ได้รับมอบหมายเป็นการเปิดเผย ก็คือ ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี มีเงินเดือนประจำตำแหน่งคนละ 24,200 บาท ( 24,200 x 13 คน = 314,600 บาท /เดือน) แต่ภารกิจจริง ๆ  ของแต่ละคนคืออะไร   อีกไม่นานก็คงได้รู้ได้เห็น    เพราะนางธิดาเคยวางเป้าหมายไว้แล้วว่า  ภารกิจของนปช.ต้องทำทุกอย่างเพื่อเปลี่ยนเหลืองเป็นแดงให้ได้ ??? 
     เหตุผลอีกประการหนึ่งก็มาจาก  พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร  ในฐานะประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีตัวจริง   ซึ่งให้สัมภาษณ์สื่อไทมส์ ลอนดอน   ระบุชัดเจนว่าพร้อมจะกลับมานายกรัฐมนตรีอีกครั้ง  ภายใต้ข้อแม้ว่าเมื่อประชาชนเรียกร้อง …
     “ผมเป็นหนี้พวกเขา เป็นหนี้จำนวนมาก เพราะว่าเขาไม่เคยลืมผม และยังลงคะแนนให้ผม  ..ถ้ามันเป็นคำร้องขอจากประชาชน ผมต้องแสดงออกมาซึ่งความกตัญญูด้วยการรับมันไว้”
     พ.ต.ท.ทักษิณตอบคำถามผู้สื่อข่าว อย่างนายริชาร์ด ลอยด์ แพรี่  อย่างมีความสุขเมื่อถูกซักย้ำ ๆ ว่า  ถ้าประชาชนขอร้องให้กลับเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง
    ขณะที่ประเด็นร้อนซึ่งประเมินได้ว่าน่าจะมีผลเกี่ยวเนื่องกับความปรองดอง ว่าไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้จริง ก็คือ  สิ่งที่พ.ต.ท.ทักษิณ  พูดถึง รัฐบาล  นายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ    และ  พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา  ผู้บัญชาการทหารบก
     โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์  ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ   กล่าวหาว่า  ถูกเสี้ยมสอนให้ใช้อาวุธปราบปรามประชาชน ในเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 53   และต้องรับผิดชอบต่อผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าว   ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ  ใช้คำพูดว่า  “ ไม่ใช่แค่พล.อ.ประยุทธ์เท่านั้น  บรรพบุรุษของท่านด้วย”
    และเหตุผลสุดท้ายที่เชื่อว่าความปรองดองจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้   (จริง ๆ ) ก็มาจากมุมคิดของพ.ต.ท.ทักษิณ  ในช่วงท้าย ๆ การสัมภาษณ์  เมื่อ นายริชาร์ด ลอยด์ แพรี่   โยงประเด็นความวุ่นวายทางการเมือง  ไปผูกกับข้อคำถามอันเกี่ยวเนื่อง กับการดำรงสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์
     โดยเมื่อนายริชาร์ด ถามว่า  สถานการณ์ความวุ่นวายของประเทศ  พระเจ้าอยู่หัวจะทรงลงมาคลี่คลายสถานการณ์ได้หรือไม่   และ พ.ต.ท.ทักษิณ  ตอบว่า  อยู่ที่การตัดสินพระทัยของพระองค์ท่าน  เพราะพระองค์ทรงผ่านเรื่องยาก ๆ และปัญหาทางการเมืองมามากมาย  ... ดังนั้นพระองค์ทรงเข้าใจว่าจะใช้พระบารมีอย่างไร
 ประเด็นน่าฉุกคิดก็คือ  เกือบ 5 ปีแล้ว   ทำไม พ.ต.ท.ทักษิณ   จึงยังทำให้ผู้คนไขว้เขวในพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์  และ   ไม่เคลียร์คัทในประเด็นว่าสถาบันเบื้องสูง  ทรงดำรงสถานะอยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมือง (ไม่ยุ่งเกี่ยวความข้ดแย้งการเมือง)
    แต่ในมุมตรงข้ามเป็นพ.ต.ท.ทักษิณ  และเครือข่ายแดง  ซึ่งประกาศตัวว่าเป็นผู้จงรักภักดีต่างหากที่แสดงเจตนาบีบคั้นให้พระองค์ท่าน    ต้องทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยในหลายเรื่อง   อันเป็นประเด็นต่อเนื่องจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง  โดยเฉพาะการขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ
    หรือ  แปลเพื่อความเข้าใจโดยทั่วไปก็คือ   มีความพยายามดึงสถาบันให้ลงมายุ่งเกี่ยวกับปัญหาทางการเมืองมาโดยตลอด  นับเนื่องจากเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549      ซึ่ง  ณ   ปัจจุบันการกระทำในลักษณะดังกล่าว  ได้ทำให้พระมหากษัตริย์  ตกอยู่ในภาวะของความสุ่มเสี่ยงของการถูกคุกคามอย่างไม่จบไม่สิ้น
    เช่นเมื่อไม่กี่วันนี้เวปไซด์แดง  ก็เผยแพร่กิจกรรมของ ” สหภาพเพื่อประชาธิปไตยประชาชน ของกลุ่มคนไทยในยุโรป 6 + 3 ประเทศ”   หรือ  Union for people  Democracy ซึ่งออกแถลงการณ์   คำประกาศก่อตั้ง สหภาพเพื่อประชาธิปไตยประชาชน 2011  โดยมีใจความหลายบทหลายตอน มีลักษณะเข้าข่ายดูหมิ่นพระมหากษัตริย์   ให้เกิดความรู้สึกเกลียดชัง 
    ไม่เท่านั้นกลุ่มมวลชนดังกล่าวยังประกาศเป้าหมายสหภาพฯ  ใน 7 ข้อสำคัญ ซึ่งรวมถึง การเรียกร้องให้มีการยกเลิกกฎหมายอาญามาตรา 112 และการปลดล็อคกฎหมายปิดกั้นเสรีภาพการแสดงความเห็นทั้งหลาย 
   รวมถึงให้มีการปล่อยตัวนักโทษคดีหมิ่นฯและนักโทษการเมืองทุกคน และยังประกาศรณรงค์ให้เกิดการตื่นรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมของสถาบันทหารและสถาบันพระมหากษัตริย์  (  อ้างว่าเข้าไปแทรกแซงกระบวนการบริหารจัดการบ้านเมือง และขบวนการภาคประชาชนเพื่อประชาธิปไตยประชาชน)
   ถึงตรงนี้ก็น่าพิจารณาว่าใช่หรือไม่ ว่า การที่สถาบันเบื้องสูงถูกมองว่าลงยุ่งเกี่ยวการเมือง เพราะใคร ???และใครที่ทำให้สถาบันเบื้องสูง กลายเป็นเป้าหมายในการคุกคาม ล่วงละเมิดอย่างไม่จบไม่สิ้น
   ในขณะมีอีก 3 คำถาม  3 คำตอบระหว่าง  นายริชาร์ด ลอยด์ แพรี่  กับ พ.ต.ท.ทักษิณ  ที่เกี่ยวโยงกับองค์รัชทายาท  และ  1 ใน 3  คำถามและคำตอบ  พ.ต.ท.ทักษิณ   ให้ความเห็นเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลง ???  ที่สำนักข่าวทีนิวส์ไม่อาจนำเสนอข้อความ และขออนุญาตไม่ตีความในคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ต่อความจงรักภักดีอย่างแท้จริงกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
   แต่ เชื่อโดยสุจริตใจว่า พสกนิกรทั่วหล้าคงไม่สบายใจกับความคิดอ่านของพ.ต.ท.ทักษิณอย่างแน่นอน  ถ้ามีโอกาสได้อ่านบทสัมภาษณ์ดังกล่าว และเชื่อว่าถ้าแนวทางปฏิบัติของรัฐบาลเพื่อไทย ผ่านคนเสื้อแดงนปช.  และ ความคิดแค้นของ พ.ต.ท.ทักษิณ     ยังคงเป็นเช่นนี้ ความปรองดองในความตั้งใจของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี   ไม่มีทางเกิดขึ้นจริงแน่ ๆ ...  


ทีนิวส์

ม.เปิดผนึกถึง 22แกนนำ นปช. และ มวลชนคนเสื้อแดง


บทความที่ควรอ่านก่อน
“แถลงการณ์ ปรองดองสร้างประชาธิปไตยให้เต็มใบด้วย SMShttp://tortitan.blogspot.com/2011/08/sms.html
จม.เปิดผนึกถึง 22แกนนำ นปช. และ มวลชนคนเสื้อแดง
            สวัสดีฮ้าบบบ... สหาย 22 แกนนำ นปช. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “สหายเข้ม” นพ. เหวง โตจิราการ พักผ่อน หายเหนื่อยกันหรือยังฮับ???  เห็น พวกท่านต้องออกมา “นอนกลางดิน กินกลางถนน” มาตั้งแต่ ช่วงเรียกร้อง การ”ยุบสภา” แล้ว กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ คงลำบากและเหนื่อยยากกันน่าดู แต่ประเทศชาติยังต้องก้าวไปข้างหน้า เมื่อพวกท่านได้เข้าสภา กันได้แล้ว พักนานเกินไป คงไม่ดีเป็นแน่แท้  ถ้าหายเหนื่อยกันแล้ว ก็ขอรบกวนให้ทำงาน เพื่อ “ปฏิรูป ประชาธิปไตย” กันต่อได้แล้ว
                สหาย 22 แกนนำ นปช. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “สหายเข้ม” พวกท่านจงได้เร่งนำอำนาจ “อธิปไตย” อีกครึ่งหนึ่ง ที่เหลืออยู่ มาสู่ มวลมหาชนชาวสยาม ณ.บัดเดี๋ยวนี้
                สหาย 22 แกนนำ นปช. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “สหายเข้ม” พวกท่านจงได้เร่งนำอำนาจ “ยุบสภา” และ/หรือ “ไล่ออก” (ถ้าให้ดีต้องใช้อำนาจนี้ผ่านระบบ SMS ได้ด้วย สะดวกดี) มาสู่ มวลมหาชนชาวสยาม ณ.บัดเดี๋ยวนี้
                สหาย 22 แกนนำ นปช. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “สหายเข้ม” พวกท่านจงได้เร่ง ปฏิรูป ปรับเปลี่ยน“ประชาธิปไตย แบบ อำมาตย์” ให้มาเป็น “ประชาธิปไตย เพื่อ มหาชน” ณ.บัดเดี๋ยวนี้
                เมื่อ ได้เป็น ส.ส. กันแล้ว ขอให้พวกท่านอย่าได้ หลงระเริง กับ ตำแหน่งนั้น จนลืมเลือน “เจตนารมณ์” ที่ออกมาปลุกระดม “มวลชน” เพื่อ เรียกร้องประชาธิปไตย  อย่าได้หลงลืม วาทกรรม “อำมาตย์” และ “ไพร่” (ใช้คำได้เบากว่าความเป็นจริงนะ เพราะความจริง สถานะของประชาชน อยู่ต่ำกว่า “ไพร่” เสียอีก เป็นเพียงแค่ “ทาส” ของนักการเมือง)
                หากท่าน หลงระเริง จนกระทั่ง ลืมเลือน “เจตนารมณ์” แล้วไซร้ ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่ ประวัติศาสตร์ จำต้องจารึก ชื่อของพวกท่าน ไว้ว่า “เป็นเพียงแค่...นักรับจ้าง ปลุกระดม มวลชน” มิได้เป็น “กลุ่มวีรบุรุษ ผู้ปลดโซ่ตรวน นำพา ปวงขน สู่ อิสรภาพ และ เสรีภาพ”
                พวก ท่านต้องกล้า ที่จะเผชิญหน้า กับเหล่านายทุนที่ไม่เห็นด้วย, เหล่านายทุนที่ต้องการให้ประชาชนเป็น ทาสของ กลุ่มทุนการเมือง ในพรรคเพื่อไทย, เหล่านายทุน ผู้นอน กอดเมีย(หลวง หรือ น้อย ก็มิอาจทราบเนอะ คริ คริ)อยู่ในห้องแอร์ ในขณะที่ พวกท่านต้องต่อสู้ เสี่ยงเป็น เสี่ยงตาย นอนกลางดิน กินกลางถนน (เสียวกลัวสิบล้อจะวิ่งบี้ พวกท่าน จริงๆเลยยยย....คราวหน้าส่ง SMS กันดีกว่าเนอะ....กลางถนนมันอันตราย....ชาวบ้านแถวนั้นก็ต้องเดือดร้อนด้วย) อย่ายอมให้ “เศษเงิน” ของ “กลุ่มทุนการเมือง” มาเหยียบย่ำ “อุดมการณ์” และ “เจตนารมณ์” ของพวกท่านเลย
ล้มมันลงซะ ประชาธิปไตยแบบ “อำมาตย์” นำมหาชน ให้หลุดพ้นจากความเป็น “ทาส” (ไพร่ มันเบาไป)
                สำหรับ เรื่อง “เสถียรภาพ” ของรัฐบาล พรรคเพื่อไทย นั้นคงไม่ใช่เรื่องที่ท่านต้องเป็นกังวล เนื่องจาก การใช้อำนาจ “ยุบสภา” และ/หรือ “ไล่ออก” โดยประชาชนนั้น จะต้องเป็นไปตามหลัก ประชาธิปไตย นั้นคือ “เสียงข้างมาก” ดังนั้นไม่ว่า กลุ่มเสื้อเหลือง และ กลุ่มแม่ยก จะโหวต “ยุบสภา” กันทุกคน ก็มิอาจล้ม รัฐบาลได้ ถ้า มวลชนเสื้อแดงไม่เข้ามาช่วยโหวต .... และ สภาพเยี่ยงนี้ จะทำให้ “อำนาจ การต่อรอง” ของมวลชนเสื้อแดง สูงขึ้น ,สภาพเยี่ยงนี้ จะเป็นหลักประกัน มิให้ “ตระกูล ชินวัตร” หลงระเริง เหลิง จน ลืมเลือน มวลชนเสื้อแดง คนรากหญ้า เพราะถ้าลืมกัน ก็โดนโหวต “ไล่” นะสิ
                ถึง แม้ว่า มวลคนเสื้อแดง จะเชื่ออย่างหมดหัวใจ ว่า “ตระกูล ชินวัตร” จะไม่มีวันลืม, ไม่มีวันทรยศ ต่อพวกเขา แต่ คำพระท่านว่าไว้ “ความประมาท เป็นหนทาง สู่ความตาย” มีอยู่ในมือไว้ก่อน ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย “อำนาจ” นั้นน่ะ จะใช้หรือไม่ มันก็อีกเรื่องหนึ่ง, ที่สำคัญ ถ้ามีอำนาจที่มองไม่เห็น มาแต่งตั้ง “รัฐบาล” ที่มวลชนเสื้อแดง ไม่อาจยอมรับได้แล้ว มวลชนเสื้อแดง ก็สามารถ ใช้ “อำนาจ” นี้ โหวต “ไล่ออก” ต่อ รัฐบาล ชุดนั้นได้โดยที่ไม่ต้องออกมา “นอนกลางดิน กินกลางถนน” ให้เหน็ดเหนื่อย และ เสี่ยงกับ ความรุนแรง จากมือที่สาม จนต้องบาดเจ็บ ล้มตาย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้า....... แทนที่จะเป็นอย่างนั้น แก้รัฐธรรมนูญ ครานี้ ต้องระบุให้ชัด
นายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจ “ยุบสภา” และ “ลาออก”
อำนาจ “ยุบสภา” และ/หรือ “ไล่ออก” เป็นของประชาชน
รัฐต้องอำนวยความสะดวกให้ ประชาชนใช้ อำนาจนี้ผ่านระบบ SMS ได้อย่างเป็นประชาธิปไตย
                แล้ว ประชาชนทุกหมู่เหล่าจะได้ “นอนกอดเมีย กินหอยยยยย...ทอด อยู่กะบ้าน แล้ว ส่ง SMS มาไล่รัฐบาล” แทน “นอนกลางดิน กินกลางถนน ยึดตรงนั้น เผาตรงนี้....ให้วุ่นวาย เสี่ยงตาย ชาวบ้านเดือดร้อน ประเทศชาติเสียหาย
                อีกทั้ง แนวคิดนี้ ยังจะทำให้ก่อเกิดความ ปรองดองในสังคม ได้โดยง่ายอีกด้วย เพราะ กลุ่มเสื้อเหลือง และ กลุ่มแม่ยก จะได้สามารถ แสดงออกอย่างสงบ ด้วยการ โหวตSMS “ไล่ออก” .... เสื้อแดง ก็ไม่คัดค้าน “โหวตSMSกัน เถอะจ๊ะ....เสื้อเหลืองจ๋า....แม่ยกจ๋า.....เป็นสิทธิตาม ระบอบ “ประชาธิปไตย เพื่อ มหาชน” นะจ๊ะ....” (รัฐบาลจะได้ ไม่กล้า เบี้ยว ไม่กล้า ลืมฉัน อิอิ ลืมกันเมื่อไหร่ ก็ล่มเมื่อนั้นล่ะ รัฐบาลเอ๋ย)
                สหาย 22 แกนนำ นปช. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “สหายเข้ม” พวกท่าน ทำงานเพื่อใคร??? เพื่อ “กลุ่มทุนการเมือง” หรือ “เพื่อมวลชนเสื้อแดง”??? หากท่านทำงานเพื่อ “มวลชนเสื้อแดง” แล้วไซร้  “อำนาจการต่อรองในพรรค” ของ กลุ่ม 22แกนนำฯ ย่อมสูงส่งล้ำค่า เพราะ พรรคการเมือง ไม่อาจดำรงอยู่ได้ หากปราศจาก การสนับสนุนของ มวลชน
                และไม่ต้องห่วงเรื่องแรงต้านทานให้มากนัก “แม่หญิงนายก ยิ่งลักษณ์” จะสนับสนุนพวกท่านแน่ เพราะ แม่หญิงนายกฯ จบรัฐศาสตร์ มานะอย่าลืม!! ประเทศไทยจะได้เป็น “ผู้นำ” ด้านประชาธิปไตย ก็คราวนี้แหละ แซงต้นตำรับ อย่าง อเมริกา กันเลยนะ เราชาวไทยจะได้ตะโกนข้ามทวีป ไปประเทศฝรั่งเศส ซึ่งมีชื่อเสียงเรื่อง รัฐบาล ที่เกรงใจ ประชาชน มากที่สุดในโลก
                “บร็องชู ส์ มาดมัวแซล แล เมอร์ซิเออร์ พวกท่านยังต้องออกมาเดินถนนเพื่อ เรียกร้องรัฐบาล กันอยู่อีกหรือ อันไทยแลนด์ แดนสยาม บ้านเฮา เรานอนกอดเมีย กินหอยยยยย...ทอด อยู่กะบ้าน แล้วส่ง SMS กันจ้า..ไม่ต้องลากสังขารมาเดินถนนกันหร๊อกกกกก.....นี่ยุคดิจิตอล กันแล้วนะจ๊ะ มาดมัวแซล แล เมอร์ซิเออร์ ทั้งหลาย เหอ เหอ เหอ”
                และ อีกหนึ่งเหตุผล ที่ “แม่หญิงนายก ยิ่งลักษณ์” จะสนับสนุนพวกท่าน นั้นก็เพราะ แนวคิด การมอบอำนาจ “ยุบสภา” และ/หรือ “ไล่ออก” ให้กับประชาชนนั้น มันก็เหมือน “การรับประกันสินค้าและบริการ” นั้นแหละ “ไม่พอใจ เรายินดีคืนเงิน” “แม่หญิงนายก ยิ่งลักษณ์” และ พี่ชาย คุณภาพคับแก้ว อยู่แล้ว ทำไมจะไม่กล้ารับประกัน???  สหาย 22 แกนนำฯ ลองคิดดูเถิดว่า ถ้าสมมุติว่า แม่หญิงนายก มีแถลงการณ์ออกมาว่า “วันใด ที่พี่น้องประชาชนเห็นว่า ดิฉัน ไม่สมควรแก่ตำแหน่ง หรือ
ดิฉัน ดูแลพี่น้องได้ไม่ดี ไม่เป็นที่พอใจของพี่น้อง ส่ง SMS  มา ไล่ ดิฉัน ออกได้ทุกเมื่อเลย นะค่ะ......ดิฉัน ขอมอบ “อำนาจอธิปไตย” ที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งนี้ ให้กับ พี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน นะค่ะ....” จะเกิดอะไรขึ้น??? พวกท่านคิดได้หรือป่าวเอ่ย??  “แม่หญิงนายก ยิ่งลักษณ์” ก็ขึ้นแท่นตำแหน่ง “ว่าที่ รัฐสตรี คนแรกของ ประเทศไทย” นะสิถามได้ ด้วยเหตุที่ท่านได้มอบ สิ่งที่ไม่เคยมี อดีตนายก คนใดนับตั้งแต่ พ.ศ. 2475 คนใด ยอมที่จะมอบ “อำนาจ” นี้ให้กับ ประชาชน  ด้วยเหตุที่ท่านทำการ ปฏิรูป ประชาธิปไตย จาก “ประชาธิปไตย แบบ อำมาตย์ เพื่อ นายทาส” มาสู่ “ประชาธิปไตย แบบเต็มใบ เพื่อ ไพร่ฟ้ามหาชน
                กะอีแค่ตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” น่ะยังไม่ใช่ จุดสูงสุดของ ผู้มี “วาสนาบารมี”ที่แสนสูงส่งเช่น“แม่หญิงนายกฯ” หรอก ต้อง “รัฐสตรี” สิ ถึงจะคู่ควร อัน “วาสนาบารมี” ของแม่หญิงฯ นั้น เป็นที่ประจักษ์ชัดไปทั่วโลกอยู่แล้ว ลงมือทำงานการเมือง แป๊บเดียว ก็ได้ ดำรงตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี”แล้ว   “วาสนา บารมี”ของท่านสูงส่งอย่างไม่ธรรมดา (สูงกว่าพี่ชายเธอ มากมายนัก) ฉะนั้นแล้ว “ลุยเต็มสูบ” ไปเลย สหาย 22แกนนำฯ ยื่นเสนอเรื่องนี้ให้ “สภาร่างรัฐธรรมนูญ” แล้ว รณรงค์ ให้พี่น้อง ประชาชน เห็นประโยชน์จากการมอบ “อำนาจ” นี้ให้ประชาชน นี่จะเป็นย่างก้าวสำคัญ ในประวัติศาสตร์ การเมือง การปกครอง ของประเทศไทย และ การก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง “รัฐสตรี” ของ แม่หญิงนายกฯ นั้นจะเป็นเสมือนการ ตอกเสาเอก สร้างความมั่นคงให้ พรรคเพื่อไทย พัฒนาขึ้นเป็น “สถาบันการเมือง” ที่สำคัญของประเทศไทย เช่นเดียวกับ พรรคประชาธิปัตย์ และจากนั้น พรรคเพื่อไทย จะอยู่คู่ประเทศไทยเป็นที่พึ่งของ “คนรากหญ้า” ไปอีกนานแสนนาน
                แต่การจะก้าวขึ้นสู่ ตำแหน่ง “รัฐสตรี” นั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ในระหว่าง ปฏิบัติหน้าที่ “นายกฯ” ต้องสร้างประโยชน์ให้ประเทศชาติมากๆ และ ต้องไม่มีริ้วรอย มลทินใดๆให้ด่างพร้อย ฉะนั้นแล้ว พวกท่านทั้ง 22 จึงจำเป็นต้องสวมบท “อัศวิน” คอยพิทักษ์ “แม่หญิงนายกฯ” ด้วยการคอยดูแล ความประพฤติ ของสมาชิก พรรคเพื่อไทย ไม่ให้ทำตัวนอกรีต นอกรอย จนสร้างความเสื่อมเสีย มาถึง “แม่หญิงนายกฯ” และ พรรคเพื่อไทย ,มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ เมื่อมีการรวมตัวของคนจำนวนเยอะๆเข้าด้วยกัน มันย่อมจะมี “คนไม่ดี” ปะปนเข้ามาอยู่บ้าง และ ต้องมีหน่วยงานที่คอยดูแล และ กำจัด “คนไม่ดี” เหล่านั้น ยกตัวอย่าง ก็เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังต้องมี “จเร ตำรวจ” เลย แต่พอมาเป็นพรรคการเมือง คงต้องเรียกว่า “จเร พรรค” ซะล่ะมั๊งนี่.... แม้น รมต. คนไหนที่ประพฤติตัว หรือ ปฏิบัติงานได้ไม่ดี ไม่สมกับที่ได้รับความไว้ใจ, พวกท่านทั้ง 22 ก็ควรที่จะเคลื่อนไหวเพื่อ “เขี่ย” รมต. คนนั้นทิ้งไปซะ พรรคเพื่อไทย มีคนคุณภาพ ให้เลือกใช้ อยู่มากมายอยู่แล้ว “เขี่ย”ๆ ทิ้งไปบ้าง ก็ไม่เป็นหรอกจริงมั๊ย??? ถ้าหาคนเป็น รมต. ไม่ได้จริงๆ พวกท่านทั้ง 22 เป็นกันเองก็ได้ ไม่เกินความรู้ ความสามารถของพวกท่านหรอก...จริงมั๊ยจ๊ะ??? (เรื่องนอกพรรค ปล่อย เฮียเหลิม แกไปเถอะ กระดูกอยู่แล้วรายนั้น พวกท่านทั้ง 22 ดูแลในพรรคดีกว่า)
แล้วไม่ต้องกังวลว่า “พี่ชาย” ของ แม่หญิงนายกฯ จะไม่เห็นด้วย, จะขัดขวาง การก้าวสู่ตำแหน่ง “รัฐสตรี” ในอนาคต ของ แม่หญิงนายกฯ ดอก เพราะเค้าคนนั้นเป็น ลูกผู้ชายเต็มตัว ไม่ใช่ “กะเทย” ที่จะคอย อิจฉาริษยา น้องสาว ของตัวเอง ไม่ให้มีผลงานได้ดิบ ได้ดี เกินหน้า เกินตาของตัวเอง ถ้าไม่เชื่อลองไปถามดูก่อนก็ได้ เรื่องของ “วาสนา” มันแข่งกันไม่ได้หรอก
เรื่อง “นิรโทษกรรม” ไม่ต้องห่วง เดี๋ยว ผมร่าง จดหมายเปิดผนึก ชี้แจง คอป. ให้เอง “ผู้ผิด ที่เป็นสาเหตุ” คือ “ความล้าสมัย” ของระบบสื่อสารการเมือง เพราะฉะนั้น เราต้อง “แก้ไข ไม่แก้แค้น” เพราะไม่รู้จะแก้แค้นกะ “ความล้าสมัย” มันยังไงดี จะจับมันมาเฆี่ยน มาตี มันก็ดันไม่ชีวิตไม่มีความรู้สึก ตีไปก็เหนื่อย เสียแรงเปล่า มีแต่ต้อง แก้ไข ให้มันทันสมัยขึ้น ตอบสนองต่อ สภาวะโลกที่เปลี่ยนไปได้มากขึ้น เฮ้ออออ....ก็นะ SMS เอามาใช้โหวต “นางงาม” โหวต “เกมโชว์” กันได้ ทำไมจะเอามาโหวต “ยุบสภา”, “ไล่ออก” นายกฯ,รัฐมนตรี,รัฐบาล กันบ้างไม่ได้หรือไร ดีกว่าปล่อยให้ประชาชนต้องลำบาก ลำบน ลากสังขารออกมาประท้วงกันตามท้องถนน  ข้อ เสียของการประท้วงแบบเดิม ก็คือ ไม่สามารถระบุ จำนวนผู้สนับสนุนได้อย่างชัดเจน เลยอ้างว่า เป็น ประชาธิปไตยได้ไม่เต็มปาก แก้ไขซะให้มันดีก็สิ้นเรื่อง แต่ ต้องเว้น “ทักษิณ ชินวัตร” ไว้ก่อนนะนิรโทษกรรมน่ะ....ประเด็นอ่อนไหว....ใจเย็นๆหน่อยเถอะ....อีกอย่าง อยู่ “ดูไบ” ก็ไม่ได้ลำบาก ลำบน อะไรเลยนี่....บ้านช่อง ออกจะใหญ่โต....ช้าๆหน่อยก็ได้...ใจร้อนไปทำไม....เรามี “แม่หญิงนายก” อยู่ทั้งคน สบายอยู่แล้ว
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง