By อดิศักดิ์
"นายกรัฐมนตรีหญิงของเรา" น่าจะเป็นคนดวงดีทำให้โชคดีซ้อนๆ กันหลายเรื่องแล้ว หลังจากก้าวลงสนามเลือกตั้งครั้งแรกก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วยังเผื่อแผ่ความโชคดีทำให้ชาวบ้านเสื้อแดงเสื้อเหลืองเสื้อไม่มีสีครบถ้วน ไม่แบ่งแยกสีถูกหวยรวยจากสำนักงานกองสลากฯ ออกรางวัลเลขท้าย 2-3 ตัว 2 งวดติดต่อกันแล้ว จากการซื้อหวยตามทะเบียนรถของนายกฯ
โชคสองชั้นยังเป็นการเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีในช่วงเกือบๆ 2 เดือนสุดท้ายของฤดูกาลเกษียณอายุราชการ และการโยกย้ายข้าราชการก็ย่อมทำให้ "นายกรัฐมนตรีหญิงของเรา" ได้โอกาส "กระชับกำลังพล" จัดกำลังข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในกระทรวงต่างๆ ได้ถนัดถนี่ ทำให้การแต่งตั้งโยกย้ายใครก็ตามถือได้ว่ามีเหตุผลรองรับไปได้กว่าครึ่งแล้วว่าเป็นไปตามฤดูโยกย้าย
หลังเลือกตั้งทุกครั้งหรือผลัดเปลี่ยนรัฐบาลเป็นต้องเกิดปฏิบัติการกระชับพื้นที่กระชับกำลังพลของข้าราชการในระบบ และข้าราชการทางการเมืองถือเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงได้ยาก แต่ขึ้นอยู่กับวิธีการสับเปลี่ยนแต่งตั้งโยกย้ายว่าจะกระทำอย่างราบรื่นเป็นไปตามครรลองคุณธรรมตั้งขึ้นมาแล้วได้รับการยอมรับ หรือจำต้องใช้กำลังฉุดกระชากลากถูลงจากตำแหน่งอย่างอเนจอนาถขาดคุณธรรม
บางครั้งรัฐมนตรีที่มีสายเลือดนักการเมืองแท้ๆ ที่ดูหงิมๆ หน้าตาเป็นผู้ใหญ่ใจดีก็ลงมือปฏิบัติการกระชับกำลังพลข้าราชการได้อย่างทุเรศทุรัง ยิ่งกว่านักการเมืองที่ชอบทำแผดเสียงดังโผงผางคุยโม้คุยโตใช้คำพูดข่มขู่ข้าราชการจนเป็นนิสัยสันดานที่แก้ไม่หายสักที จงอย่าเพิ่งไปตัดสินรัฐมนตรีด้วยการดูหน้าตาไม่ถูกต้องตามโหงวเฮ้งคนเหลาซิก แล้วสรุปว่าเป็นคนชั่วขาดคุณธรรม
ผมออกจะเห็นใจรองนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง ที่หน้าตาโหงวเฮ้งไม่ใช่คนเหลาซิก ทำให้พอแสยะยิ้มพูดจาโผงผางเสียงดังออกไปเมื่อไหร่ เป็นอันจะต้องถูกผู้คนจำนวนมากหมั่นไส้กันทั่วบ้านทั่วเมืองว่าจะเข้ามาใช้อำนาจบาตรใหญ่ขาดคุณธรรม
แล้วยังต้องมารับงาน "ปะ-ฉะ-ดะ" เพื่อกรุยทางจัดทัพข้าราชการตำรวจให้กับ "นายกรัฐมนตรีหญิงของเรา" ที่เจ้าตัวคงไม่ประสีประสากับวงการตำรวจที่แต่ละคนกว่าจะก้าวมาเป็นนายพลตำรวจ ย่อมจะต้องผ่านดงบาปดงกรรมมาอย่างโชกโชนเกล็ดแตกงาเขี้ยวลากดินกันทุกคน จึงยอมทนมองหน้านายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ในการประชุมคณะกรรมการตำรวจฯ เมื่อวันก่อนได้แค่ 15 นาที ขอตัวออกจากห้องประชุมมอบภารกิจให้รองนายกฯ เฉลิมเล่นงิ้ววงใหญ่กับนายพลเขี้ยวยาวโง้วต่อร่วม 3 ชั่วโมง
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเวลาผมจะแสดงความคิดเห็นผ่านคอลัมน์นี้เกี่ยวกับคำพูดคำจาของท่านรองฯ ดร.เฉลิม จำเป็นต้องทำใจก่อนอย่าเอาเรื่องโหงวเฮ้งท่าแสยะยิ้มเสียดังหน้าตาปากมันๆ ออกจากไปก่อน เพื่อจะได้ใช้เหตุผลไตร่ตรอง "เนื้อหา" หรือ "สาระ" จากคำพูดล้วนๆ ถึงขนาดเคยทดลองอ่านบทสัมภาษณ์ของท่านรองนายกฯ ดร.เฉลิมจากหน้าหนังสือพิมพ์ โดยพยายามอย่างมากลบความจำจากหน้าตาของท่านรองนายกฯ ดร.เฉลิมจากข่าวโทรทัศน์ที่มีทั้งเสียงและภาพที่ได้อรรถรสสะใจคอซาดิสต์เอามากๆ
หลายครั้งพบว่าคำพูดของท่านรองนายกฯ ดร.เฉลิมได้เนื้อหาน่าสนใจหลักการดีถูกต้องเป๊ะๆ ตามตำราหลักการบริหารรัฐกิจ โดยไม่เสียแรงอุตส่าห์ไปร่ำเรียนจนจบดอกเตอร์จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง ช่างแตกต่างจากรัฐมนตรีสารวัตรเฉลิมคนเดิมสมัยเล่นการเมืองใหม่ๆ ปี 2530 ต้นๆ ในยุครัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ที่ดุเดือดเลือดพล่านยิ่งกว่าสมัยนี้หลายเท่า จนได้รับฉายา "เหลิมดาวเทียม" เอารถโอบีช่อง 9 ไปสอดแนมใกล้ๆ ค่ายทหารจนกลายเป็นชนวนปฏิวัติ ร.ส.ช.ของ "บิ๊กจ๊อด" พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์
จึงพอจะเข้าใจได้ว่ากับปฏิบัติการเที่ยวล่าสุดของ "นิวเหลิมดาวเทียม" ยุคน้องสาวทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีมือใหม่หัดขับที่ยังหันรีหันขวางไม่คล่องแคล่ว พอได้มือระดับนี้มาเป็นรองนายกฯ คู่กายย่อมแจกรอยยิ้มได้สบายใจ ที่ไม่ต้องกรีดกรายย่างเยื้องเข้าไปข้องแวะกับวงการสีกากีที่อยู่ในสภาพสีตกเปรอะเปื้อนให้เลอะเทอะชุดสวยๆ
แต่น่าเสียดายปฏิบัติการเลือดเดือดวงการสีกากีในช่วงสัปดาห์ผ่านมาของ "นิวเหลิมดาวเทียม" อาจจะทำให้ผู้บริหารมหาวิทยาลัยรามคำแหงต้องร้องขอดอกเตอร์คืนเพื่อป้องกันไม่ให้เสียชื่อสถาบันไปมากกว่านี้
ไม่รู้เป็นยังไง รัฐมนตรีพรรคเพื่อไทยของ "นายกรัฐมนตรีหญิงของเรา" ที่ร่ำเรียนสูงในระดับดอกเตอร์ที่มีอยู่แค่ 2 คน (อีกคนคือ ดร.สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล) แต่บุคลิกภาพกลับไม่ได้ใส่แว่นตาหนาเตอะดูทรงภูมิเหมือนกับดอกเตอร์ส่วนใหญ่ในประเทศนี้ที่อย่างน้อยที่สุดก็มีแก่นแกนเหมือนกัน ด้วยอาการพูดจาคงแก่เรียนเอื้อนเอ่ยออกมาแต่ละครั้งสังคมต้องฟังย่อมน่าเชื่อถือมากกว่าพวกจบปริญญาตรี-ปริญญาโทที่เกลื่อนบ้านเกลื่อนเมือง
ผมจึงเกิดอาการห่วงใยท่านรองนายกฯ ดร.เฉลิมของผมเป็นพิเศษว่าหากยังไม่รู้ตัวว่าอาภัพโหงวเฮ้งไม่ให้ แล้วยังแสดงท่าทีกระโชกโฮกฮากแสยะยิ้มพูดเหยียดหยามคนอื่นไม่สมฐานะกับความทรงภูมิ "ดอกเตอร์" นำหน้า อาจจะทำให้ต้องเสีย "งานใหญ่กว่า" ในอนาคตได้ ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 และงานหลักขออภัยโทษที่สังคมจะยิ่งไม่ไว้วางใจนักว่ากำลังจะช่วยเหลือนายใหญ่มากกว่าหวังดีกับประเทศชาติให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น
เพราะปฏิบัติการยืมดาบเกลอเก่า "ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์" มาขย่มตำรวจด้วยการคุยโม้คุยโวว่ารู้จักบ่อนทั่วกรุงเทพฯ ว่าเปิดที่ไหนบ้าง แล้วเอ่ยชื่อเสียงเรียงนามได้ฉะฉานเกินความจำเป็น ย่อมทำให้สังคมเกิดความแคลงใจสงสัยตั้งคำถามกันตามสภากาแฟ เช่น บอกชื่อบ่อนเป้าหมายเพื่อเคาะกะลาให้มาศิโรราบ บอกชื่อบ่อนเป้าหมายเพื่อรู้กันให้นายบ่อนรู้ตัวปิดบ่อนไปก่อน ฯลฯ
แล้วยังออกปากชื่นชมพี่ภรรยานายใหญ่ รองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ กันเสียยกใหญ่ว่าเก่งกาจปราบปรามยาเสพติด จนเจ้าตัวอาจจะออกอาการเขินอายกับสาธารณชนได้เมื่อได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติจริงๆ
ตีกระทบชิ่งผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ที่ไม่เคยงานปราบปราม แต่เก่งวิชาการหาข่าวบริหารจัดการ สมควรจะไปอยู่ตำแหน่งใหม่เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ
โดยไม่ได้บอกกล่าวกับเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติคนปัจจุบัน "ถวิล เปลี่ยนศรี" ให้ลุกออกไปจากเก้าอี้ดนตรีรอบนี้ก่อนที่ยังไม่ยินยอมพร้อมใจ อาจจะทำให้ปฏิบัติการกระชับพื้นที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติยังไม่ได้ดั่งใจในเร็ววัน
อยากให้ลองนึกถึงหัวจิตหัวใจของท่านรองนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ได้รับมอบหมายงานจาก "นายกรัฐมนตรีหญิงของเรา" ให้ดูแลงานสภาความมั่นคงฯ แต่ผู้ใต้บังคับบัญชาโดยตรงกลับถูกกดดันจากรองนายกฯ อีกคน
แกอาจจะถูกสังคมมองได้ว่ากลับมาเป็นรองนายกฯ รอบนี้แค่ "แก้บน" เป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลจากครั้งก่อนในสมัยนายกฯ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่ยังไม่ทันไรก็ไปแล้ว ทำให้ต้องยอมถึงขนาดทำตัวไม่ต่างจาก "หัวหลักหัวตอ" ให้ท่านรองนายกฯ ดร.เฉลิมยศแค่ ร.ต.อ. ถ่มน้ำลายใส่-ปัสสาวะรดเล่นได้โดยไม่หลงเหลืออดีตผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่มียศ พล.ต.อ.
อย่าลืมว่า พล.ต.อ.โกวิทเองก็เคยอยู่ในสภาพนรกๆ แบบเดียวกับ พล.ต.อ.วิเชียรตอนนี้ โดยเมื่อเดือน ก.พ.2550 นายกรัฐมนตรี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ออกคำสั่งย้ายออกจากการปฏิบัติหน้าที่ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติมานั่งช่วยตบยุงในทำเนียบรัฐบาล แต่นายตำรวจอย่าง พล.ต.อ.โกวิทเป็นคนจำพวก "ยอมหัก" ไม่ยอมงอได้ไปฟ้องศาลปกครอง จนศาลปกครองมีคำพิพากษาว่าคำสั่งของนายกฯ สุรยุทธ์มิชอบ ทำให้ พล.ต.อ.โกวิทได้รับความเป็นธรรมเกษียณอายุเมื่อ 30 ก.ย.2550 ในตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติตามใจปรารถนาของชีวิตข้าราชการทุกคน
"คนของใคร" เป็นสัจธรรมของข้าราชการไทยยอมรับกันโดยดุษณีอยู่แล้วว่าเมื่อรัฐบาลเปลี่ยน ย่อมจะมีความเสี่ยงในการถูกโยกย้ายไปแขวนต่องแต่งหลังห้องเก็บของกระทรวงได้ ถ้าหากไม่มีเส้นสายกับพรรคการเมืองแกนนำรัฐบาลใหม่ และถ้าหากหน้าไม่ด้านพอจะแสดงอาการเชลียร์ออกนอกหน้าโดยไม่กลัวสูญเสียศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มนา ก็ต้องทำใจว่าจะต้องโดนย้ายไปอย่างแน่นอนที่สุด จึงกำลังเกิดปรากฏการณ์แก้ผ้า "รับงาน" จนแทบจะไม่หลงเหลือศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์กันอยู่หลายกระทรวงอย่างที่เห็นๆ กันในช่วงเดือน ก.ย.ที่เป็นช่วยโยกย้ายตำแหน่งของข้าราชการพอดี
ด้วยรักและห่วงใยจริงๆ นะครับกับ "วิธีการโฉ่งฉ่างตามสไตล์" ของท่านรองนายกฯ ดร.เฉลิมที่รังจะเสียการใหญ่ไปเปล่าๆ แม้ว่าผมจะเห็นด้วยกับหลักการ Put the Right Man on the Right Job ในกรณีขอให้ พล.ต.อ.วิเชียรสมัครใจลุกจากผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติไปเป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อจะเปิดทางให้รองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ที่มีอาวุโสสูงสุดมานานแล้วก่อน พล.ต.อ.วิเชียรด้วยซ้ำ ได้มาเป็น "ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ" เพื่อจะได้แสดงฝีมือนายตำรวจสายปราบปรามยาเสพติด-บ่อนสมคำร่ำลือเสียที และยังเป็นเกียรติเป็นศรีแก่วงศ์ตระกูลดามาพงศ์ที่เป็นครอบครัวตำรวจมาตั้งแต่รุ่นพ่อ พล.ต.ท.เสมอ ดามาพงศ์ ที่สูงสุดแค่ผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ
อย่าให้การโยกย้ายข้าราชการระดับซี 10-11 ทุกครั้งจะต้องใช้วิธี "หมาป่ากับลูกแกะ" ทำให้เจ้าตัว "สกปรกเลอะเทอะ" ไปด้วยข้อหาอันไม่พึงประสงค์ต่างๆ ก่อน ดังเช่นกรณีนี้ที่ พล.ต.อ.วิเชียรออกมาฟ้องสังคมว่ากำลังถูกกดดันอย่างไม่ธรรมจากฝ่ายการเมืองกรณีบ่อนทั่วกรุงเทพฯ
อยากให้คุยกันดีๆ กับข้าราชการระดับสูงว่าระบบการเมืองไทยเป็นไฟต์บังคับแทบจะไม่มีทางเลือกเพราะกลไกรัฐมีความสำคัญกับการขับเคลื่อนภาคปฏิบัติเพื่อให้เกิดผลจากนโยบาย จึงจำเป็นจะต้องโยกย้ายข้าราชการกระชับกำลังพลเลือกใช้คนของตัวเองที่ไว้วางใจได้คล่องมือคล่องเท้าทำงานให้เป็นไปตามนโยบายที่เป็นสัญญาประชาคมในช่วงเลือกตั้ง
"นายกรัฐมนตรีหญิงของเรา" อาจจะยังไม่รู้ว่าข้าราชการไทยยังมีปราการด่านสุดท้าย ช่องทางร้องทุกข์กับ "คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม" ที่มีการออกแบบไว้ดีพอสมควรให้เป็นช่องทางของข้าราชการที่คิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากระบบราชการ หรือถูกนักการเมืองกลั่นแกล้งโยกย้ายตำแหน่ง ยังไม่อยากให้ในยุค "นายกรัฐมนตรีหญิงของเรา" ที่เชื่อว่ายังมีคุณธรรมหลงเหลืออยู่เต็มๆ แต่กลับกลายเป็นต้องมีคดีความกับข้าราชการที่เป็นผลมาจากการโยกย้ายจัดกำลังพลที่พอจะเห็นๆ กันแล้วว่า เริ่มผิดจากคำพูด "แก้ไขไม่แก้แค้น" แต่กลายเป็น "แก้แค้นไม่แก้ไข" เสียแล้ว
วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2554
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
รีโมท
ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน