บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2554

โหวตโนสำคัญเทียบเท่าปฏิวัติรัฐประหาร





ประเทศไทยจะมาโดยการเลือกตั้ง หรือโดยการปฏิวัติรัฐประหาร ก็ไม่มีความแตกต่างกัน
ฝ่าย ปฏิวัติรัฐประหารพบว่า รัฐบาลที่มาโดยการเลือกตั้ง ล้มเหลวในการบริหารจัดการประเทศคอร์รัปชั่นท่วมประเทศ เงินเฟ้อสูง ชาวบ้านทั่วประเทศเดือดร้อน
ฝ่ายที่มาจากการเลือกตั้ง ก็กล่าวหาฝ่ายที่ทำปฏิวัติรัฐประหารในประโยคเดียวกัน
อยู่ที่ฝ่ายใดจะประดิษฐ์ ประดอยโวหาร หาความนิยมให้ฝ่ายตนเอง ได้เด่นกว่ากัน
การ ปฏิวัติเป็นเรื่องที่น่าจะนำความเจริญมั่นคงมาให้ระบบได้ แต่ทำไปแล้วสรุปไม่ลงว่าเป็นการปฏิวัติ กลายเป็นเรื่องของรัฐประหาร ได้อำนาจเป็นของฝ่ายตนไป
การเลือกตั้งที่มาตามครรลองของกฎหมาย ทำให้ได้อำนาจของกลุ่มบุคคล ก็ไม่ได้ทำให้เกิดความเจริญแก่ประเทศเช่นกัน นำความเสื่อม ความล่มจม ความเดือดร้อนมาสู่ประเทศชาติประชาชนเช่นกัน
ประชาธิปไตยหลังระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ 79 ปี มีรัฐธรรมนูญมาแล้ว 18 ฉบับ สรุปได้ว่าไม่มีอะไรดีขึ้น  

ประเทศไทยไม่มีทางออก ไม่มีตัวเลือก ไม่รู้จะไปเลือกใคร หรือเลือกอะไร

อะไรคือปัญหา จะหาทางออกได้อย่างไร






MusicPlaylistView Profile
Create a playlist at MixPod.com


ปัญหาคือ รัฐบาลเป็นของนายทุน เป็นของกลุ่มผลประโยชน์ “เป็นเรื่องจริง” ตามที่ พระรักเกียรติ รักขิตะธัมโม เทศน์
ประเทศ ไทยังไม่มีรัฐบาลที่เป็นของประชาชน เมื่อรัฐบาลเป็นของนายทุน เป็นของกลุ่มผลประโยชน์ ก็จะจัดสรรผลประโยชน์ให้นายทุนและกลุ่มผลประโยชน์ แม้พระรักเกียรติไม่เทศน์ ก็เป็นที่รู้กันว่ารูปแบบทาง การเมือง เป็นของนายห้างของนายทุนและของกลุ่มผลประโยชน์ การเมืองจึงเป็นอาชีพที่ใฝ่ฝันของคนที่จะมาหาประโยชน์ส่วนตนอย่างมีนัยสำคัญ เป็นนักการเมืองแล้ว มั่งคั่ง มีอำนาจ แม้ทำผิดก็ยังได้รับความคุ้มครอง ผู้เขียนเข้าใจว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาหลักทางการเมืองของประเทศ ก็ต้องหาทางแก้ปัญหาในเรื่องนี้ 

คน ไทยลืมง่าย เวลาช่วงข้ามคืนก็ลืม ว่าผู้บริหารก่อเรื่องอะไรไว้บ้าง การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ก็จะซ้ำรอยการเมืองน้ำเน่าที่เป็นมาโดยตลอด นักการเมืองเป็นซีเลบ (Celebrities) เหมือนดาราภาพยนตร์ ดารากีฬา ซึ่งเป็นอาชีพอบาย ความชอบ-ไม่ชอบ ขึ้นอยู่กับความรู้สึก มากกว่าชอบและและไม่ชอบตามเหตุและผล ใครชอบฝ่ายไหนก็สร้างวาทกรรมมาสนับสนุนฝ่ายนั้น
ที่ผู้เขียนนำเสนอมา แต่ต้น ไม่ได้ให้ความสำคัญ ว่าเป็นเรื่องตามกฎหมาย หรือไม่เป็นไปตามกฎหมาย 'กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์' พระบิดากฎหมายไทยกล่าวไว้ “กฎหมายนั้นชั่วและอยุติธรรมได้ ความคิดว่าอะไรดี อะไรชั่ว อะไรยุติธรรม อะไรไม่ยุติธรรม มีบ่อที่เกิดขึ้นหลายแห่ง เช่น ศาสนาต่างๆ”
ซึ่งเป็นที่มาของการออกแบบการเมืองทางเลือก http://t.co/IkrWL4m 
ผู้เขียน จำแนกระบอบประชาธิปไตยออกเป็น 2 รูปแบบ
1) ระบอบประชาธิปไตยวิถีทุน คือระบอบอุดมกิเลส มีการแข่งขันชิงดี เอารัดเอาเปรียบ อำมหิต โหดร้าย ทารุณ แม้กระทั่งเอาชาติไปขายก็ไม่เว้น เพื่อความมั่งแห่งตน อบายมุขในรูปแบบต่างๆเพิ่มขึ้น นำความเสื่อมและความแตกแยกมาสู่ประเทศชาติประชาชนตลอดเวลา ทำให้ทรัพยากรของระบบเสียหาย ทำให้ระบบยากจนลง
2) ระบอบประชาธิปไตยวิถีพุทธ คือระบอบที่พยายามลดละกิเลส ไม่คิดเอารัดเอาเปรียบกัน คิดแต่จะให้ ทำให้เกิดความเจริญร่มเย็น ไม่ทำให้คนในระบบแตกกัน ทรัพยากรของระบบไม่เสียหาย มีแต่เพิ่มพูนขึ้น ทำให้ระบบมั่งคั่งขึ้น


การรณรงค์โหวตโน ทั้งใน เฟซบุค และ เวทีพันธมิตร ได้ใช้เวลาในการเรียกร้องการโหวตโนมาก แต่ไม่ได้ใช้เวลานำเสนอถึงรูปแบบการปฏิรูปประชาธิปไตย ที่ดี ที่เจริญ ที่ต้องการ

ยังไม่เห็นประชาชน คิดล่วงหน้าได้ว่า "รูปแบบปฏิรูปการเมืองที่เจริญ เป็นแบบใด"

คิดเองไม่เป็น หรือไม่ก็ติดอยู่กับกิเลสของตัว กลายเป็นหลอกตน

สมมุติ โหวตโนได้รับคะแนนเด่น และมีโอกาสที่จะปฏิรูปทางการเมืองได้ ก็คงจะออกมาในรูปแบบหลังปฏิวัติรัฐประหารในหลายครั้งที่ผ่านมา จะมีคนกลุ่มเดิมๆ วิสัยทัศน์เดิม มาร่างรัฐธรรมนูญ ก็จะทำให้ได้ "ประชาธิปไตยวิถีทุน" มีนายทุนเป็นเจ้าของรัฐบาลเหมือนเดิม อย่างที่พระรักเกียรติเทศน์บอก ตีงูให้กากิน ปัญหาความเลวร้ายของประเทศไทยก็ยังคงมีอยู่เหมือนเดิม

การรณรงค์โหวตโนเป็นเรื่องดี อาจจะได้แค่โหวตโน แต่ไม่สามารถนำพาถึงเป้าหมายของการปฏิรูปได้ ไม่ต่างอะไรกับกบเลือกนาย ได้แต่นกกระสามาเป็นนายทุกรอบ เสียเวลาอีก เสียความรู้สึกอีก เสียของอีก

manageronline 

ตร.นครสวรรค์ ออกสติกเกอร์เตือนสติหัวคะแนน

ตร.นครสวรรค์ ออกสติกเกอร์เตือนสติหัวคะแนน
ตร.นครสวรรค์ ออกสติกเกอร์เตือนสติหัวคะแนน
พล.ต.ต.ชฎิล พรหมไพบูลย์ ผบก.ภ.จว. นครสวรรค์ เปิดเผยถึง การวางมาตรการคุมเข้มรับมือการเลือกตั้ง ส.ส. ของจังหวัดนครสวรรค์ ที่มี 6 เขตการเลือกตั้ง ที่มีผู้สมัครมากถึง 36 คน จากหลากหลายพรรค และมีการแข่งขันกันสูง ซึ่งต่างฝ่ายต่างมีหัวคะแนนให้การสนับสนุน ที่ล้วนเป็นผู้นำชุมชนระดับหมู่บ้าน ซึ่งอาจมีการทำบัญชีรายชื่อ ซื้อสิทธิ์ขายเสียง ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย อีกทั้งก่อให้เกิดการแบ่งขั้ว อีกทั้งการนับคะแนนคราวนี้ ทั้งแบบบัญชีรายชื่อ และแบบแบ่งเขตก็จะนับคะแนนที่หน่วยเลือกตั้ง ในหมู่บ้านนั้นๆ ซึ่งผลคะแนนก็จะปรากฏชัดว่า ผู้สมัครคนไหนได้เท่าไหร่ และหัวคะแนนทำได้ตามเป้าหรือไม่ ซึ่งถ้ามีการผิดสัจจะที่รับงานมา ก็จะมีผลให้เกิดการแก้แค้นตามมาภายหลัง ดังนั้นตำรวจนครสวรรค์จึงได้ออกสติกเกอร์ ที่มีข้อความว่า หัวคะแนน ระวังตัวด้วย นับหน้าหน่วยระวังนะ...จะบอกให้ 
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเตือนสติบรรดาหัวคะแนนทั้งหลายว่า อย่าได้คิดซื้อสิทธิ์ขายเสียง ซึ่งหลังจากแจกจ่ายสติกเกอร์ดังกล่าว ทำให้หัวคะแนนทั้งหลาย ต่างไม่กล้ารับงานซื้อสิทธิ์ขายเสียง เพราะกลัวโรคไข้โป้ง ด้วยเหตุดังกล่าว ผบก.ภ.จว.นครสวรรค์ไอเดียเจ๋ง ออกสติกเกอร์เตือนหัวคะแนนศึกนี้ นับที่หน่วยขายเสียงมีสิทธิ์ตาย

“ยิ่งทำงบยิ่งเพิ่มบานตะไท!”

ยิ่งทำงบยิ่งเพิ่มบานตะไท!”
นี้ หรือรถไฟฟ้า?
ยุครบ.คุณหนูมาร์ค

ปัจจุบันโครงข่ายรถไฟฟ้าในบ้านเราได้เปิดให้บริการแล้ว 3 เส้นทาง ประกอบด้วย รถไฟฟ้าบีทีเอส รถไฟฟ้าใต้ดิน หรือ MRT และล่าสุดคือ รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต ลิงค์ ที่วิ่งเข้า-ออกระหว่างเมืองกับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

       

แน่นอนว่า
เป็นที่ยอมรับกันว่าการเดินทางด้วยระบบรถไฟฟ้านั้นเป็นทางเลือกที่สะดวก สบายและรวดเร็วที่สุด โดยเฉพาะท่ามกลางมหานครที่รถติดอย่างวินาศสันตะโรเช่นทุกวันนี้ 
ระบบรถไฟฟ้าจึงเป็นการคมนาคมที่เป็นที่นิยมของคนกรุงไปแล้ว
แต่กว่าจะเป็นระบบคมนาคมที่ยอดนิยมในขณะนี้ ประเทศชาติ ประชาชนต้องสูญเสียงบประมาณในการก่อสร้างไปแล้วมากมายเช่นเดียวกัน 
ยิ่งไปกว่านั้นก็เป็นระบบการคมนาคมที่มีข่าวฉาวในเรื่องความไม่โปร่งใสอยู่บ่อยครั้ง สิ่งนี้นั้นเปรียบเสมือนเป็นหอกอันแหลมคมที่คอยทิ่มแทงหัวใจคนไทยที่ร่วมกันเสียภาษีเป็นที่สุด 
แต่คนไทยก็ลืมง่าย เชื่อว่าขณะนี้คงแทบจะไม่มีใครนึกถึงแล้ว!!! 
กองบรรณาธิการสำนักข่าวเอ็นซีเอ็น เห็นว่า ควรค่าต่อการติดตาม จึงนำเรื่องราวทั้งหมดมานำเสนอเป็นตอนๆ


พลิกแผนแม่บทรถไฟฟ้าไทย
อย่างไรก็ตาม จากแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ประเทศไทยจะมีโครงข่ายรถไฟฟ้าเพิ่มอีก 9 สายทาง รวมเป็น 12 สาย โดยจะมีการให้บริการที่หลากหลาย ทั้งบนเดิน ใต้ดิน  รวมไปถึงลอยฟ้า ยิ่งเป็นสิ่งที่คนทุกคนจะต้องช่วยกันจับตาดูเป็นพิเศษมากยิ่งขึ้น เพราะโครงการขนาดใหญ่ก็จะใช้งบประมาณก่อสร้างมหาศาลเช่นกัน ที่สำคัญก็เป็นแหล่งแสวงหาผลประโยชน์ด้วย

สิ่งที่อยากให้ท่านผู้อ่านและประชาชนคนไทยร่วมจับตา ร่วมตรวจสอบ คือ โครงการรถไฟฟ้าที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างในขณะนี้ 4 สายทาง ได้แก่ 1.โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ มูลค่า 1.31 หมื่นล้านบาท (อยู่ระหว่างการก่อสร้าง) 2.โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ มูลค่า 5 หมื่นล้านบาท (จะเซ็นสัญญาในเดือน .. 2553 นี้) 3.โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง (บางซื่อ-รังสิต) มูลค่า 6.5 หมื่นล้านบาท (จะประมูลในวันที่ 1 ธันวาคม 2553) และ4.โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อน (แบริ่ง-สมุทรปราการ) มูลค่า 1.7 หมื่นล้านบาท (จะประมูลในปี 54)

.การช่าง-อิตาเลียนไทย
รวมหัวงาบงบรัฐบาลคุณหนู

ในจำนวน 4 สายทางดังกล่าว มี 3 สายที่เริ่มมีความไม่ชอบมาพากลออกมาแล้ว นั่นคือ

1.สายสีน้ำเงิน ซึ่งขณะนี้คณะกรรมการกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปช.) ได้ตรวจสอบเอกสารทั้งหมด 64 กล่อง พบความพิรุธหลายประการ อาทิ การกำหนดวงเงิน และการประกวดราคา โดยกรอบวงเงินค่าก่อสร้าง ที่ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ขอเปลี่ยนแปลงตัวเลขจาก 48,821 ล้านบาท เป็น 52,460 ล้านบาท เพื่อเพิ่มเติมในส่วนค่าใช้จ่ายการรื้อย้ายสาธารณูปโภค และอื่นๆ ที่เสนอต่อ ครม. เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2552 แต่สำนักงบประมาณ อนุมัติให้ปรับเพิ่ม เป็นเพียง 50,353 ล้านบาท 

ชาญชัย อิสระเสนารักษ์

ซึ่งเรื่องนี้ ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ประธานคณะอนุกรรมาธิการตรวจสอบโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน บอกว่า  
คณะอนุกรรมการฯ ได้ตั้งข้อสังเกตถึงกระบวนการกำหนดราคากลางที่รฟม.ไม่สามารถพิจารณาเอกสาร และถอดแบบก่อสร้างได้ทัน จึงใช้แบบ และราคาตามที่บริษัทที่ปรึกษาเป็นผู้ออกแบบ อาจขัดต่อระเบียบพัสดุว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้าง สำนักนายกรัฐมนตรี ที่ระบุว่าคณะกรรมการกำหนดราคากลางต้องกำหนดราจากแบบโดยละเอียด ทำให้การตั้งราคากลางโครงการนี้อาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย นอกจากนี้พบว่าการกำหนดราคากลางอาจสูงกว่าปกติ ซึ่งเป็นเรื่องน่าประหลาดที่งบการก่อสร้างเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ ครม.ไม่ได้มีการท้วงติง!”

อย่างไรก็ตาม ในฟากของกระทรวงคมนาคมเอง ได้มีการเผยผลการตรวจสอบของคณะกรรมการประกวดราคาโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสาย สีน้ำเงิน  โดยนาย สุพจน์ ทรัพย์ล้อมปลัดกระทรวงคมนาคม ระบุว่า  กระทรวงคมนาคมไดเพิจารณาผลการตรวจสอบแล้วยืนยันว่า รฟม. ดำเนินการถูกต้องทุกขั้นตอนตามระเบียบการประกวดราคา และเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี ดังนั้นกระทรวงคมนาคมจะสรุปผลการตรวจสอบทั้งหมด ส่งให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง หากไม่มีข้อท้วงติงอื่นๆเพิ่มเติม คาดว่า รฟม.จะสามารถลงนามกับผู้รับงานทั้ง 5 สัญญาได้ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้


รุมกินโต๊ะรถไฟฟ้าสีม่วง
ถลุงงบความปลอดภัยเพิ่ม 45 ล้าน

มาที่ สายสีม่วง บ้าง ล่าสุดสัญญา 3 ซึ่งเป็นงานอาคารจอดรถและศูนย์ซ่อมบำรุง มีปัญหาผู้รับเหมาไม่ยอมตอกเสาเข็ม เพราะเกิดความผิดพลาดในการออกแบบ หากต้องตอกเข็มจะทำให้ผู้รับงานต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก 45 ล้านบาท ดังนั้นเพื่อเป็นการประหยัดจึงไม่ตอดเสียเลย

พิโธ่ถัง! นี่คือความชุ่ยของผู้รับเหมา โดยไม่คิดถึงเรื่องความปลอดภัยแม้แต่น้อย” 

เออ...คิดได้ยังไง มีปัญหาทำไมไม่แจ้ง ไม่เร่งหาทางออก ไม่นึกถึงเรื่องความปลอดภัยของประชาชนที่จะมาใช้บริการในอนาคตเลยหรือ เกิดวันหน้าเปิดใช้แล้ววันดีคืนดีพังลงมา ใครจะรับผิดชอบ ดีนะที่เรื่องแดงเสียก่อน 
ประเด็นนี้วงในบอกมาว่าหากต้องการให้ผู้รับเหมาตอกเสาเข็ม เอกชนก็เรียกร้องให้รัฐบาลเพิ่มงบให้ก่อสร้างอีก 45 ล้านบาท ซึ่งสุดท้ายแล้วกระทรวงคมนาคมและรัฐบาลก็ต้องให้อยู่แล้ว เพราะเป็นเรื่องของความปลอดภัย 

จะต้องเพิ่มทำไม เมื่อแบบผิดผู้ออกแบบก็ต้องออกแบบใหม่ให้ถูกต้อง และก็ต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ผู้รับเหมาด้วย เว้นเสียแต่มีคนใน รฟม.หรือในกระทรวงคมนาคมเซ็นยอมรับแบบห่วยๆ นี้แล้วให้ผ่าน จึงปิดปากเงียบไม่สามารถเอาผิดกับผู้ออกแบบได้”


                                                    ทุบเสาต้นละ 8 แสน

ส่วน สายสีแดง (ช่วงบางซื่อ-รังสิตสายนี้ก็แปลกๆ เส้นทางก็มีแล้วไม่ต้องเสียเงินค่าเวนคืน ตอม่อก็มีอยู่แล้ว ก็เสาต่อม่ออัปยศ โฮปเวลล์นั่นไง ฐานรากแน่นหนาใช้ต่อได้อย่างสบายๆ ที่สำคัญเป็นทั้งโครงการลอยฟ้าช่วงในเมือง และระดับดินช่วงนอกเมือง แต่มูลค่าโครงการกลับสูงลิบลิ่วถึง 6.5 หมื่นล้าน นี่คือ คำถามที่คาใจคนไทยทั่วประเทศ

ล่าสุดมีวงในออกมาแฉแล้วว่า เรื่องนี้ไม่ธรรมดา แม้จะมีเสาต่อม่อของโครงการโฮปเวลล์อยู่แล้ว แต่จะมีการทุบทิ้งบางส่วน ตรงนี้ไม่เป็นประเด็น แต่ที่เป็นประเด็น คือ การทุบทิ้งดังกล่าวต้องจ้างเอกชนทุบ ค่าจ้างสูงถึงต้นละ 500,000 บาท มันก็เลยทำให้มูลค่าโครงการสูงลิบลิ่ว 
จำได้ว่า ในสมัยรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตรเคยมีความคิดที่จะทุบเสาตอม่อโฮปเวลล์เช่นกัน ตอนนั้นพอมีคนรู้ข่าวก็เสนอตัวขอทุบให้ฟรี โดยจะขอเอาเหล็กเส้นและเศษปูนไปขายเป็นค่าตอบแทนเท่านั้น 
ฉะนั้นเที่ยวนี้ก็เหมือนกัน เมื่อทุบแล้วผู้ทุบสามารถที่เอาเหล็กเส้นในเสาแต่ละต้นไปขายเป็นรายได้เข้ากระเป๋าด้วย ซึ่งวงการก่อสร้างมีการประเมินว่า เฉพาะเหล็กเส้นในเสาแต่ละต้นน่าจะขายได้ไม่น้อยกว่าต้นละ 300,000 บาท ไม่นับถึงเศษปูนที่สามารถขายเป็นอิฐถมที่ได้อีกอย่างน้อยต้นละ 20,000 -30,000 บาท เท่ากับว่างานนี้ บริษัทรับจ้างทุบได้ไปเหนาะๆ 820,000 - 830,000 บาทต่อเสา 1 ต้นเลยทีเดียว 
ซึ่งขณะนี้ รมว.คมนาคมโสภณ ซารัมย์ ได้ไฟเขียวให้ยุทธนา ทัพเจริญ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย หน่วยงานเจ้าของโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงไปหาผู้มาทุบทิ้งเสาตอม่อโฮปเวลล์แล้ว 
วงในยังกระซิบต่ออีกว่า งานนี้บริษัทคู่สัญญาการรถไฟฯ คือ บริษัท .การช่าง และบริษัทอิตัลไทย เตรียมจ้างบริษัทซับคอนแทรกซ์มาทุบเสาตอม่ออีกต่อหนึ่งด้วย แสดงว่าไม่ธรรมดา ถ้า 2 บริษัทดังกล่าวไม่ได้มากกว่าต้นละ 500,000 บาท จะซับต่อในราคาสูงลิ่วเช่นนี้ได้อย่างไร

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ ความไม่โปร่งใส ที่ซุกอยู่ใต้โครงการไฟฟ้าหลากสี ซึ่งเราคนไทยต้องร่วมกันตรวจสอบ เพื่อให้การใช้เงินภาษีของประชาชนมีความโปร่งใส หยุดบรรดาเหลือบที่คิดจะกินบ้านโกงเมืองอย่าได้คิดทำเช่นนั้น!

          
เรื่องราวทั้งหมดที่กล่าวมานี้หรือ คือสิ่งที่ภูมิใจกันหนักหนาว่า   ประเทศไทยไสสะอาด    
เวลานี้ ปปช. นำศรีษะไปซุกพรม  ที่แห่งใด ไม่เข้าไปตรวจสอบ 
หรือเห็นเป็นเพียงว่า นี้ คือผลงานรัฐบาลที่เทพประทานมา จึงไม่กล้าแตะ!!!


''อภิสิทธิ์'' แบะท่า!!! เปิดทางร่วมรัฐบาลกับ ''พรรคเพื่อไทย''

''อภิสิทธิ์'' แบะท่า!!! เปิดทางร่วมรัฐบาลกับ ''พรรคเพื่อไทย''
Posted by chronomist , ผู้อ่าน : 1093 , 21:11:16 น.  
หมวด : นักข่าวอาสา
พิมพ์หน้านี้ โหวต 1 คน

บ่ายวันที่ 10 มิถุนายน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี 
และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายกรณ์ จาติกวณิช รองเลขาธิการพรรคฯ และรมว.คลัง 
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ น.พ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ 
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์กับสื่อเครือเนชั่น ถึงนโยบายของพรรคสำหรับการเลือกตั้ง 
 


เหตุใดต้องพูดคุยกับคนเสื้อแดง ทั้งๆ ที่เลี่ยงได้
นายอภิสิทธิ์ เห็นว่าเมื่อเขามา เขาก็เดินเข้าหาสื่ออยู่แล้ว และหลายคนเมื่อมาก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะมาหาคำตอบ แต่มาเพื่อต้องการให้เป็นข่าว  เหมือนกับช่วงสองปีที่ผ่านมาที่เป็นมาตรการ "ดิบ ถ่อย เถื่อน" ซึ่งเราทราบล่วงหน้าอยู่แล้วว่ามีพฤติการณ์เช่นนี้ เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะมาคุยแต่ตั้งใจมาเพื่อจุดประเด็น เพื่อดึงความสนใจเพื่อไม่ให้เรามีโอกาสชี้แจงเรื่องที่จะหาเสียง และก็มีสื่อบางสื่อมักจะรับลูกไปขยายผล เขามีการวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน

บรรยากาศการเลือกตั้งแบบนี้มีทั้งเป็นปกติและไม่ปกติ ทุกครั้งที่ผมหาเสียงเลือกตั้งก็มีคนมาด่า ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ความไม่ปกติอยู่ที่มีมวลชนมีชุดความคิด และพูดตามที่กำหนด

ผลคะแนนยังตาม พท. แต่ไม่แลนด์สไลด์
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ ยอมรับว่าสถานการณ์การเลือกตั้งเราตามอยู่ แต่ก็ไม่มีตัวเลขไหนที่จะชี้ว่าจะเกิดแลนด์สไลด์ เหมือนที่พรรคเพื่อไทยอ้าง เพราะหากเขาจะได้ ส.ส. เกินกึ่งหนึ่งจริงก็ไม่จำเป็นที่จะจ้องกังวลว่าพรรคอันดับหนึ่งจะได้ตั้งรัฐบาล ส่วน กทม.นั้นคะแนนยังสูสีเพราะต่างฝ่ายต่างก็มีฐานเสียงที่ใกล้เคียงกัน และคน กทม. สำรวจความเห็นยากเพราะบางครั้งก็จะเก็บไว้ก่อน หรือตัดสินใจแล้วไม่บอกก็มี  ขณะที่ภาคอีสานเรามั่นใจว่าได้ตัวเลข 2 หลัก ดังนั้น ภาพรวมวันนี้เรามั่นใจว่ายังสูสี และเชื่อสองพรรคน่าจะห่างกันไม่เกิน 3-4%

เหตุการณ์เดือน เม.ย. และ พ.ค. 2553 มีผลต่อการแพ้ชนะหรือไม่
เท่าที่ลงพื้นที่พบว่าประชาชนห่วงเรื่องเศรษฐกิจมากกว่าและสิ่งที่เขาหงุดหงิด และเรายอมรับว่าเป็นจุดอ่อน คือ เรื่องของแพง ซึ่งเมื่อเราได้ชี้แจงเขาก็เข้าใจมากขึ้น แต่เราต้องอธิบายว่าเวลาพูดมันง่าย แต่เวลาแก้มันยาก และวันนี้ก็ยังไม่เคยเห็นพรรคไหนมีนโยบายที่จะแก้ไขเรื่องนี้เลย ส่วนอีกเรื่องที่ถูกตั้งคำถามคือเรื่องไข่ชั่งกิโล แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นประเด็น เพราะการซื้อขายแบบนี้เป็นทางเลือกเท่านั้น ไม่มีใครถูกบังคับ และคนที่ตามมาด่าตน ก็ไม่เคยซื้อไข่แบบชั่งกิโลเลยสักคน

ชูนิรโทษกรรมหาเสียง แต่อย่าเอาค่าแรงไปล่อ
เมื่อถามว่าหลังการเลือกตั้งจะทำอย่างไรให้บ้านเมืองสงบ 
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ทุกคนก็ต้องการให้บ้านเมืองสงบ  แต่วิธีของแต่ละพรรคจะเป็นวิธีไหนตนไม่แน่ใจ แต่เรื่องการนิรโทษกรรมหรือเพื่อล้างความผิดนั้น ก็ยังมีคนบางกลุ่มที่ยังไม่ยอมแล้วอย่างนี้จะสงบได้อย่างไร คนจำนวนมากที่เขาไม่ส่งเสียงเขาอยากให้กฎหมายเป็นกฎหมาย คนต้องกลัวกฎหมายมากกว่าคนกลุ่มใหญ่เสียงดัง หากเรากลัวคนเสียงดัง ก็ทำให้บ้านเมืองไม่สงบ ดังนั้น ขอให้เลือกพรรคประชาธิปัตย์เป็นเสียงข้างมาก เพื่อทำให้บ้านเมืองสงบ

"วันนี้บอกจะทำประชามติ ทั้งเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือเรื่องนิรโทษกรรม  
ทำไมประเทศต้องมาติดกับเรื่องแบบนี้ตลอดเวลา 
ถ้าเรายอมกับอำนาจที่เสียงดังไม่เคารพกติกาอย่างนี้ 
เราก็ยกบ้านยกเมืองให้เขาไปเลยดีกว่าไม่ต้องเลือกตั้ง" นายอภิสิทธิ์กล่าว

"ถ้ามั่นใจก็ขอให้พรรคเพื่อไทยหาเสียงว่าจะทำนิรโทษกรรมอย่างเดียว 
อย่าเอาเรื่องค่าแรง 300 บาทไปล่อ หรืออย่างที่อีสานก็ให้แข่งเลย 
ระหว่างประกันราคาข้าว กับจำนำข้าว" นายอภิสิทธิ์กล่าว  

ยันเฟซบุ๊คพูดตามความจริง
ต่อเรื่องความไม่พอใจของนายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา 
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ที่ตนเขียนในเฟซบุ๊คนั้นเขียนตามความเป็นจริงไม่มีอะไรที่กระทบ แต่หลายเรื่องที่ทำนั้นพรรคร่วมรัฐบาลเขาไม่คุ้นเคยอย่างเรื่องกฎเหล็กที่ให้ลาออก ส่วนนายชุมพลนั้นเขาไม่ได้อ่านเลยออกมาวิจารณ์แบบนี้ สำหรับเรื่องที่กล่าวหาว่าผิดสัญญานั้นตนก็ไม่ได้ผิดสัญญาอะไร นอกจากเรื่องที่ไม่ได้ไปบึงฉวาง และไม่มีสัญญาเรื่องการแก้มาตรา 237 ด้วย พรรคภูมิใจไทยเองก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้  และขณะนั้น พรรคประชาธิปัตย์ก็มีเรื่องยุบพรรคอยู่ในศาลรัฐธรรมนูญดังนั้นจะไปแก้ได้อย่างไร

ปัดไม่มีอำนาจลึกลับบีบร่วมรัฐบาล  
"ส่วนเรื่องอำนาจลึกลับที่นายชุมพลระบุนั้นก็ต้องไปถามท่านเพราะท่านเป็นคนพูด ผมก็เห็นว่าการลงคะแนนในสภาก็เป็นไปโดยเปิดเผย ที่ผมเห็นคือความจริงที่ผมรับรู้ หากมีอำนาจลึกลับนั้น ทำไมไม่ถาม พล.ต.อ.ประชา (พรหมนอก) เพราะก่อนนั้นท่านยังเปิดบ้านเลี้ยงข้าวพวกผม แต่อีกสองวันก็มาเสนอแข่ง ทำไมไม่มองว่าตรงนั้นมีอำนาจลึกลับบ้าง ตามระบบรัฐสภาคนที่รวบรวมเสียงข้างมากได้ คือ คนที่จะจัดตั้งรัฐบาล  และตอนนั้นผมตั้งรัฐบาลมาได้หนึ่งปีถึงจะมีการจุดประเด็นขึ้นมา"

เมื่อถามถึงเรื่องทหารที่อาจจะเป็นอำนาจลึกลับ 
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนเห็นแต่ทหารตั้งด่านตรวจยาเสพติดแล้วมีคนเข้าไปขัดขวาง เรื่องนี้ใครจะพูดอย่างไรก็แล้วแต่เขา  แต่หากพูดไม่ระวัง ก็อาจจะเข้าข้อหาใส่ร้ายให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยม และอาจจะถูกยุบพรรค แล้วก็จะบอกว่ามีอำนาจลึกลับอีก ถามว่าถ้าไม่ทำผิดกฎหมายจะถูกยุบพรรคหรือไม่ 

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในช่วงสุดท้ายจะมีอะไรที่ทำให้พลิกกลับมาชนะใน กทม.หรือไม่ 
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คน กทม.เป็นคนที่ดู และรู้ข้อมูลเยอะ เราต้องชี้ให้เห็นว่าเลือกแต่ละพรรคแล้วจะเกิดอะไรขึ้น

300 เสียงไม่ได้ตั้งรัฐบาล จึงเรียกอำนาจลึกลับ
เมื่อถามถึงกระแสที่พรรคเพื่อไทย จะได้ 270 เสียง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวสวนทันทีว่าเอาตัวเลขมาจากไหน เท่าที่ดูจากสวนดุสิตโพล เอแบคโพลล์ หรือนิด้าโพลล์  ตัวเลขก็ไม่มีอะไรบ่งชี้ว่าเป็นอย่างนั้น  ต้องเอาตัวเลขมาให้ตนดูถึงจะเชื่อ และถ้าเขาได้ 250 เสียงขึ้นจะกลัวอะไรกับการไม่ได้จัดตั้งรัฐบาล หรือถ้าได้ 300 เสียงแล้วไม่ได้จัดตั้งอย่างนั้นแหละถึงเป็นอำนาจลึกลับ และไม่ลึกลับเท่านั้น ต้องมหัศจรรย์ด้วย

เหน็บ ไม่เอาภาษีไปซื้อคอมพ์แจกนักเรียน
ต่อเรื่องนโยบายพรรคเพื่อไทยที่จะเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาทนั้น 
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า หากเป็นอย่างนั้นต่างจังหวัดจะเสียหาย เพราะ การจ้างงานจะไม่กระจายไปอยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัด แต่จะกระจุกอยู่ในพื้นที่ที่เจริญกว่า ดังนั้น การขึ้นต้องขึ้นเป็นสัดส่วน นอกจากนี้ การขึ้นค่าแรงเราต้องช่วยผู้ประกอบการด้วยไม่ว่าจะเป็นการลดต้นทุนเรื่องเครื่องจักรหรือโครงสร้างทางภาษี ทั้งนี้ ยอมรับว่าอาจจะกระทบต่อนายจ้างบ้าง แต่เราต้องทำเพื่อปรับโครงสร้างแรงงาน  หากเป็นการขยายตัวทางเศรษฐกิจด้วยการกดค่าแรงเราไม่เห็นด้วย

นอกจากนี้ พรรคประชาธิปัตย์จะไม่เอาภาษีไปซื้อคอมพิวเตอร์แจกนักเรียนหรือเอาภาษีไปแจกคนที่จะซื้อรถ แต่จะนำเงินส่วนนี้ไปยกระดับการศึกษาน่าจะดีกว่า  

คนเลือก ปชป. ภท. แปลว่าไม่เอา พท. หรือไม่
เมื่อถามว่าหลังการเลือกตั้งมั่นใจอย่างไรว่าจะไม่เกิดปัญหาตามมา 
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เมื่อเลือกตั้งเสร็จและทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการ เขาก็ไม่มีความชอบธรรมที่จะสร้างเงื่อนไขในการก่อความวุ่นวาย แต่วันนี้ พรรคเพื่อไทยขอตัดพรรคภูมิใจไทยออก แล้วจะรวบรวมเสียงข้างมากได้อย่างไร หากเราคิดอย่างนี้ได้ไหมว่า หากประกาศไม่เอาภูมิใจไทย ดังนั้น คนที่เลือกประชาธิปัตย์และภูมิใจไทย เป็นเสียงข้างมาก ที่ไม่เอาพรรคเพื่อไทยได้ไหม

เมื่อถามว่าเหตุใดพรรคเล็กจึงจุดประเด็นเรื่องการที่พรรคใหญ่จะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี 
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เราต้องให้ความเป็นธรรมว่าเขาไม่มีพื้นที่ที่จะพูด ทุกคนก็สนใจไปที่พรรคใหญ่ พรรคเล็กเขาก็ต้องจุดประเด็นเพราะเขาก็ต้องการหาเสียง ต้องยอมรับว่าพื้นที่ข่าวเขาถูกบีบมาก

ผู้สื่อข่าวถามถึงแนวคิดตั้งโต๊ะคุยระหว่างทุกพรรคการเมืองของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ 
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนเห็นด้วยที่จะเชิญทุกพรรคมาคุย จะให้ตนเชิญในฐานะนายกรัฐมนตรีหรือถูกเชิญไปในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ก็ได้

เปิดทางร่วมเพื่อไทย แต่...
สุดท้ายนายอภิสิทธิ์ พูดตอบคำถาม
ถึงโอกาสร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
ว่าเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน 
เขาเห็นว่าก็เป็นไปได้ที่จะมาคุยกัน 
แต่การคุยกันจะเกิดขึ้นได้ 
พรรคเพื่อไทยต้องยกเลิกนโยบายสองเรื่องก่อน 
สิ่งแรกต้องยืนยันว่าไม่เอานิรโทษกรรม 
และต้องบอกด้วยว่าจะไม่เอานโยบายจำนำข้าว 
หากยกเลิกสองนโยบายนี้ก่อน 
ถึงจะมาหารือร่วมงานกันได้


ขอขอบคุณภาพข่าวจากเนชั่น 

ครองแผ่นดินโดยธรรม

               หนึ่งคำที่ทำให้คิดดี คือมีในหลวงองค์เดียวกัน คำประทับใจในเพลง ครองแผ่นดินโดยธรรม 

               คุณประภาส  ชลศรานนท์  เป็นผู้ประพันธ์คำร้อง โดยมีเนื้อเพลงที่มีคำประทับใจผู้เขียน ว่า

เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม
 เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม

ทุกบ้านทุกถิ่น ภูเขาทุกดอยทุกดง
หุบเหวทุ่งนาไพรพง  ทุกเขื่อนคลองที่ทุกข์ทน
หากแผ่นดินนั้นเป็นไทย เสด็จไปถึงทุกชั้นชน
ดังสายฝนโปรยปรายให้คลายทุกข์เข็ญ
น้ำพระทัยกว้างใหญ่มหาศาล  ทรงงานมิเคยว่างเว้น
พระราชทานความร่มเย็น  ด้วยแนวคิดอันยั่งยืน
พระองค์ทรงเป็น ตาน้ำของแรงบันดาลใจ
ยามทุกข์ยามท้อเมื่อใด พระราชนิพนธ์สอนสั่ง
เมื่อตกลงไปในน้ำ อย่ามัวถามเมื่อไรจะถึงฝั่ง
จงว่ายไปด้วยพลัง ว่ายด้วยธรรมของความเพียร
แม้นยามใดบ้านเมืองจะมืดมน เหลือแต่หนทางเดินที่วนเวียน
พระราชดำรัสดังแสงเทียน ส่องให้เห็นถึงปลายทาง

เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม
เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม

ทุกย่านทุกหย่อมย่อมมีบ้างความแตกต่าง
ศาสนาพูดจาท่าทาง วัฒนธรรมท้องถิ่น
หลากหลายในชาติเชื้อพันธุ์ มารวมกันบนแผ่นผืนดิน
จงรักต่อพระภูมินทร์และแผ่นดินนี้
แม้ว่าความแตกต่างจะมากมาย แต่ในใจยังรักและสามัคคี
หนึ่งคำที่ทำให้คิดดี คือมีในหลวงองค์เดียวกัน

เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม
เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม

ครองแล้วทรงครองแผ่นดิน ครองหัวใจไทยทั้งแผ่นดิน
ธ ทรงเป็นศูนย์รวมใจไทยทุกดวง
เราผองคนไทยจึงมารวมกัน เปล่งเสียงจากใจถวายพระพร
ทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน
ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ
ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ
ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ

เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม
เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม

ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ
ทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน


       ผู้ร่วมขับร้องจำนวน 999 คนและหนึ่งวาทยกร คุณบัณฑิต อึ้งรังษี สะกดให้ผู้เขียน ยืนนิ่งชมภาพและติดตามเนื้อหาแห่งบทเพลงอย่างซาบซึ้ง  คนไทยอย่างไรก็มีพ่อหลวงองค์เดียวกัน และพระองค์ทรงเป็นศูนย์รวมของดวงใจไทยทุกดวง

       เป็นความปลาบปลื้มและเป็นมงคลแก่ชีวิตยิ่งแล้ว ที่ได้มีโอกาสเขียนความรู้สึกต่อสิ่งที่ได้เห็นและฟังในวันนี้
 

       ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน

หน้าฉากหลักการ หลังฉากฮั้ว


Pic_178357 ครึ่งทางหาเสียงผ่าเกมพรรคเล็ก“ตัดแต้ม”พรรคใหญ่
เหลือเวลาอีก 20 วัน

ก็จะถึงวันที่ประชาชนหย่อนบัตรเลือกตั้ง ตัดสินกันว่าจะเลือกใคร พรรคไหน เข้าไปเป็นตัวแทนทำหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎร

เพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี จัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ

ยิ่งใกล้วันเลือกตั้ง ใกล้ถึงกำหนดชี้เป็นชี้ตาย การหาเสียงก็ยิ่งมีความเข้มข้น

เพราะ ทุกพรรคการเมืองต่างก็รู้ดีว่า หาเสียงอย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องทำเสียงให้เป็นคะแนนด้วย ถ้าเสียงดีอยู่แล้วก็ต้องประคองสถานการณ์เอาไว้ ไม่ให้พร่องลงไป

สถานการณ์การหาเสียงผ่านมาถึงครึ่งทาง ทุกพรรคการเมืองต่างก็ตะลุยเดินสายปราศรัยหาเสียงกันเต็มที่

โดยเฉพาะบรรดาหัวหน้าพรรค แกนนำพรรคต่างก็ลงพื้นที่เดินสายหาเสียงช่วยลูกพรรค ออกเดินตลาดพบปะประชาชน

เคาะประตูบ้านกันตั้งแต่เช้ายันค่ำ ออดอ้อนขอเสียง ขอคะแนนกันอย่างคึกคัก

แถม ยังออกแอ็กช่ันโชว์ชาวบ้านสร้างความเป็นกันเอง ทั้งดำนา ลวกก๋วยเตี๋ยว ชงกาแฟ ชงโอเลี้ยง แคะขนมครก ทอดไข่เจียว ฉีกทุเรียน ปั่นจักรยาน ขี่สามล้อ ไปยันขี่ควาย

สร้างสีสันบรรยากาศ กระตุ้นให้ผู้คนตื่นตัวในการออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งตามแนวทางระบอบประชาธิปไตย

อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ในการหาเสียงเมื่อมาถึง

ครึ่งทาง ต้องยอมรับว่า พรรคการเมือง 2 ขั้วใหญ่ ต่างได้รับความสนใจและเป็นที่จับตาของสังคมเป็นพิเศษ

เบอร์ 1 ชูนิ้วชี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ลำดับหนึ่ง พรรคเพื่อไทย ที่ถูกวางตัวจากพรรคให้เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีหญิง

เบอร์ 10 สิบนิ้วพนมไหว้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับหนึ่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่ ประกาศขอเป็นนายกฯเพื่อสานงานต่ออีกสมัย

ต่างฝ่ายต่างเปิดเกมสู้ ขับเคี่ยวแข่งขัน ช่วงชิงความนิยมกันอย่างเต็มที่ ไม่มีใครยอมใคร

แม้ผลสำรวจจากโพลสำนักต่างๆทั้งโพลแท้ โพลเทียม ที่ออกมาชี้ว่า ใครได้รับความนิยมด้านนั้นด้านนี้มากน้อยกว่ากันแค่ไหน ก็ไม่สน

เพราะโพลไม่ใช่คะแนน ที่จะตัดสินผลการเลือกตั้ง

แต่ละคน แต่ละพรรค ยังคงเดินหน้าหาเสียงแบบไม่หยุดหย่อน เพราะยังไม่หมดเวลา ยังไม่ถึงวันเลือกตั้ง ทุกนาทีมีค่าต่อการหาคะแนน

ที่ สำคัญ ต้องยอมรับว่า เมื่อสถานการณ์การหาเสียงเดินมาถึงครึ่งทาง น.ส.ยิ่งลักษณ์ และพรรคเพื่อไทย ได้รับเสียงเชียร์จากบรรดาพ่อยกแม่ยกกลุ่มเสื้อแดงอย่างหนาแน่น

ถึงขนาดที่แกนนำพรรคบางคนออกมาระบุว่า พรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้งได้ ส.ส.เข้ามาถึง 270 เสียง สามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้

แต่ก็ไม่วายห้อยติ่งไว้ พร้อมจะดึงพรรคอื่นเข้ามาร่วมเป็นรัฐบาล

ขณะเดียวกัน ก็ประกาศชัดจะไม่ร่วมสังฆกรรมกับพรรคภูมิใจไทยที่ถือเป็นฝ่ายตรงข้ามในการช่วงชิง ส.ส.ในพื้นที่ภาคอีสาน

อย่างไรก็ตาม ในห้วงที่พรรคเพื่อไทยพยายามปั่นกระแสตัวเลข ส.ส.270 เสียง ชู น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯหญิงคนแรกของประเทศไทย

ปรากฏ ว่าเครือข่ายพลเมืองคัดค้านนิรโทษกรรมคอรัปชันทักษิณ (คนท.) นำโดย นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำกลุ่มเสื้อหลากสี และนายแก้วสรร อติโพธิ อดีตกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)

ได้ออกมาเคลื่อนไหวรวบรวมรายชื่อประชาชน เพื่อยื่นเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ดำเนินการสอบสวน น.ส.ยิ่งลักษณ์

กรณี ให้การเท็จต่อศาลอาญาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และมีพฤติการณ์ซุกหุ้นในคดียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ

โดย นพ.ตุลย์และนายแก้วสรรอ้างว่าต้องดำเนินการเรื่องนี้ เพราะไม่ต้องการให้มีการนิรโทษกรรมคดีคอรัปชันของ พ.ต.ท.ทักษิณ

แต่ ทางพรรคเพื่อไทยมองว่าเป็นการสกัดทางการเมือง ทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยได้รับความเสียหายในช่วงที่กำลังมีการหาเสียง เลือกตั้ง

ฟ้องร้องดำเนินคดีกันนัวเนียไปหมด

ทางฟากของนาย อภิสิทธิ์ที่พยายามเดินหน้าหาเสียงลุยไปทุกพื้นที่ ก็ต้องเจอกับคนเสื้อแดงที่มาตะโกนด่า ต่อว่าต่อขานเรื่องการสลายการชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิต 91 ศพ

เขาก็พยายามเดินเข้าหาเพื่ออธิบายชี้แจงข้อเท็จจริงต่างๆ ขณะที่บางรายก็รับฟัง แต่บางรายก็ไม่สนใจ

นอกจากนี้ “อภิสิทธิ์” ก็ยังใช้โซเชียลมีเดีย เขียนบันทึกข้อความลงในเฟซบุ๊กชี้แจงในสิ่งที่สังคมสงสัย โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่

เพื่อให้รับทราบข้อเท็จจริงทางการเมืองในห้วงที่ผ่านมา ทั้งเรื่องการพลิกขั้วการเมือง การจับมือกับพรรคร่วมรัฐบาล

แก้ข้อกล่าวหาพายเรือให้โจรนั่ง นั่งเรือที่โจรพาย

ส่วนพรรคการเมืองอื่นๆทั้งพรรคขนาดกลางและพรรคขนาดเล็ก แม้จะไม่ค่อยอยู่ในโฟกัสของบรรดาสื่อและสังคมมากนัก

แต่ทุกพรรคก็ยังเดินหน้าหาเสียงกันอย่างขะมักเขม้น โดยเน้นชูนโยบายเรื่องความปรองดองสมานฉันท์มาเป็นจุดขาย

เดินยุทธศาสตร์เจาะพื้นที่สู้กับพรรคการเมือง 2 ขั้วใหญ่

จาก สถานการณ์ในช่วงผ่านครึ่งแรกของการหาเสียงเลือกตั้ง ชัดเจนว่า การต่อสู้เพื่อชิงคะแนนนิยมของแต่ละพรรคการเมืองในแต่ละพื้นที่มีความเข้ม ข้นมากขึ้น

มีการงัดกลยุทธ์ทุกรูปแบบออกมาใช้ เพื่อกรุยทางไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้ง

ทั้ง นี้ นายสมชัย จึงประเสริฐ กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย ได้ออกมาเปิดเผยว่า จนถึงขณะนี้มีประชาชนแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับการทุจริตเข้ามายังฝ่ายสืบสวน สอบสวนและวินิจฉัยของ กกต.แล้ว 138 เรื่อง อาทิ เรื่องการวางตัวไม่เป็นกลางของเจ้าหน้าที่ การแจกเงินซื้อเสียง

นอก จาก นี้มีเรื่องร้องคัดค้านเข้ามา 21 เรื่อง เกี่ยวกับการใส่ร้ายป้ายสี และแจกเงิน โดยเฉพาะพื้นที่อีสานที่มีหลักฐานการทำผิดของผู้สมัครค่อนข้างชัดเจน

ใน ขณะที่ทางฝ่ายตำรวจก็ออกมายอมรับว่า มีหลายพื้นที่ที่ผู้สมัครมีการแข่งขันกันสูง และมีการร้องขอให้ตำรวจไปดูแลความปลอดภัยให้แก่ผู้สมัคร

ปรากฏการณ์ เหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า ยิ่งใกล้วันเลือกตั้งเข้ามาเท่าไหร่ การแข่งขันก็ยิ่งเข้มข้น เพราะเป็นช่วงที่ต้องเปลี่ยน “เสียง” เป็น “คะแนน” สารพัดวิชามารจะถูกงัดออกมาใช้ เพื่อชัยชนะในการเลือกตั้ง

ฉะนั้น กกต.ในฐานะที่เป็นผู้คุมกฎในการเลือกตั้ง ต้องรู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมวิชามารของนักการเมือง

ที่ สำคัญ กกต.ต้องมีความกล้าหาญ เด็ดขาด และตรงไปตรงมา ในการทำหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเพื่อควบคุมการเลือกตั้งให้เป็นไปด้วยความ สุจริตและเที่ยงธรรม

หากพบการกระทำผิดกฎหมาย ต้องจัดการแบบไม่ไว้หน้า โดยไม่ต้องสนใจว่าเป็นใคร พรรคไหน ถ้ามีความผิดถึงขั้นจะต้องให้ใบเหลืองใบแดงก็ต้องให้ เพื่อทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นที่ยอมรับของสังคม

ถ้าผู้คนยอมรับการเลือกตั้งว่าเป็นไปด้วยความสุจริตและเที่ยงธรรม เมื่อผลการเลือกตั้งออกมา ชนวนที่จะทำให้เกิดวิกฤติก็จะไม่มี

แต่ถ้าผู้คนรู้สึกเคลือบแคลงว่า กกต.ทำงาน 2 มาตรฐาน ก็อาจจะนำไปสู่วิกฤติที่ยืดเยื้อต่อไปอีก

ขณะ เดียวกัน เมื่อย้อนกลับมาที่การต่อสู้ของพรรคการเมืองในการช่วงชิงคะแนนเสียงเลือก ตั้งครั้งนี้ แม้ทุกพรรคต่างก็ประกาศชูหลักการว่าจะต่อสู้แข่งขันกันภายใต้กติกาในระบอบ ประชาธิปไตย

แต่จากสภาพความเป็นจริง ในขณะที่พรรคการเมืองมีการแข่งขันหาเสียงกันในสนามเลือกตั้งอย่างเข้มข้นดุ เดือด งัดทุกกลยุทธ์มาใช้ เพื่อเอาชนะคู่แข่ง

อีกทางหนึ่ง ในทางลับก็มีการแตะมือกันเกิดขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มของพรรคการเมืองขนาดกลางและพรรคขนาดเล็ก

เพราะบรรดาเซียนเลือกตั้งพรรคขนาดกลางและพรรคขนาดเล็ก ประเมินสถานการณ์แล้วมองว่า

ใน การเลือกตั้งครั้งนี้ ถ้าพรรคการเมือง 2 ขั้วใหญ่ ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเพื่อไทย ที่พยายามช่วงชิงเสียง เพื่อจะเป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ไม่สามารถได้ ส.ส.พรรคเดียวเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเกินครึ่งสภาฯ

ก็จำเป็นที่จะต้องพึ่ง บริการพรรคขาดกลางและพรรคขนาดเล็ก เพื่อรวบรวมเสียงให้ได้เกินครึ่งสภาฯ และได้เสียงมากพอที่จะอยู่ในโซนที่ปลอดภัย ไม่ปริ่มน้ำ

พรรคขนาดกลาง และขนาดเล็ก จึงต้องเดินเกมอย่างเต็มที่ในการหาเสียงหาคะแนน เพื่อสร้างแต้มต่อทางการเมือง นำไปใช้ในการต่อรองกับพรรคการเมืองใหญ่ทั้ง 2 ขั้ว

อย่างที่เห็นๆ พรรคภูมิใจไทยที่ต้องชนกับพรรคเพื่อไทยในภาคอีสาน ต้องสู้กันเต็มที่ เพราะถ้าพรรคหนึ่งเป็นรัฐบาล อีกพรรคก็ต้องไปเป็นฝ่ายค้าน

ทางพรรคภูมิใจไทยจึงอยู่ในสถานะเป็นพรรคที่จะคอยตัดแต้มพรรคเพื่อไทย ทั้งในพื้นที่ภาคอีสานและภาคเหนือตอนล่าง

ในขณะที่พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน ก็จะตัดแต้มพรรคเพื่อไทยในภาคอีสาน และตัดแต้มพรรคประชาธิปัตย์ในภาคกลาง

พรรค ชาติไทยพัฒนาที่มีฐานอยู่ในภาคกลาง ก็จะตัดแต้มของพรรคประชาธิปัตย์ในพื้นที่ภาคกลาง ขณะที่พรรคเล็กอย่างพรรคพลังชล ก็จะตัดแต้มพรรคประชาธิปัตย์ในภาคตะวันออก

พรรค มาตุภูมิ ตัดแต้มพรรคประชาธิปัตย์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนพรรครักษ์สันติ พรรครักประเทศไทย ก็มีส่วนในการตัดคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคประชาธิปัตย์ใน กทม.

ในการ ต่อสู้ที่ดูเหมือนว่าไม่มีใครยอมใคร แต่สุดท้ายการเมืองก็คือการเมือง เมื่อยังไม่ชัดว่า 2 ขั้วใหญ่ พรรคไหนจะเป็นแกนหลักในการจัดตั้งรัฐบาล

ก็ เป็นธรรมดาที่พรรคขนาดกลางและพรรคขนาดเล็กต้องมีการเจรจา แตะมือกันไว้หลวมๆกับทั้ง 2 ขั้ว เพื่อความชัวร์ในการได้เข้าร่วมรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง

ด้วยเหตุ ระหว่างการต่อสู้ทำศึก หลังฉากจึงมีการเจรจา ขอกัน ฮั้วกัน เขตไหนชนกันหนักๆก็มีการเจรจาถอยให้กัน หรือมีการขอแบ่งแต้มระหว่าง ส.ส.ระบบเขต กับ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ เพื่อไมตรีในวันข้างหน้า ถือเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเป็นระบบนิเวศน์ของการเมืองไทย

ทั้งนี้ไม่ว่าขั้วไหนจะฮั้วกับพรรคใด หวังสมประโยชน์กันอย่างไรในวันข้างหน้า

แต่สุดท้ายคนที่ต้องตัดสินจริงๆ ก็คือประชาชนที่ลงคะแนนในวันเลือกตั้ง 3 ก.ค.

“ทีมการเมือง”
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง