บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ใครจะชนะสงครามแย่งประชาชน : ระบอบทักษิณหรือประชาธิปไตยอันมีมหากษัตริย์เป็นประมุข

โดย ปราโมทย์ นาครทรรพ






       ผู้เขียนขอนำบทความเก่าตั้งแต่ 17 ตุลาคม 2549 มาลงซ้ำ เพิ่มข้อความเฉพาะวรรคแรกนี้เท่านั้นว่า แม้กระทั่งการต่อสู้ในต่างประเทศและจากต่างประเทศเข้ามาไม่ว่าจะโดยสื่อ โดยรัฐบาลประเทศต่างๆ โดยล็อบบี้ยิสต์ ระบอบทักษิณล้วนแต่ขีดเส้นทึบมาสู่จัดตั้งและประชาชนทั้งสิ้น ในขณะที่ทุกรัฐบาล กระทรวงการต่างประเทศ นักวิชาการของไทยมีแต่ส่งจุดไข่ปลาที่คลุมเครือและไร้ความหมายออกไปโดยตลอด ผลจึงปรากฏในวันที่ 3 กรกฎาคม
      
       เข้าใจระบอบทักษิณ
      
       การยึดอำนาจในวันที่ 19 กันยายน 2549 มิใช่อวสานของระบอบทักษิณเป็นแต่เพียงความสำเร็จในการปลดทักษิณออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
      
       ระบอบทักษิณ มิได้ประกอบด้วยตัวตนของทักษิณเท่านั้น ยังประกอบด้วยระบบย่อยต่างๆ ทั้งที่เป็นระบบความคิด ระบบพฤติกรรม ตลอดจนโครงสร้าง องค์ประกอบหรือกลไกของระบบต่างๆ มีอยู่ในปัจจุบัน เช่น ระบบราชการ ระบบเศรษฐกิจประชานิยม ระบบการปกครองท้องถิ่น และระบบจัดตั้งของอดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ในรูปแบบต่างๆ เช่น สมัชชาเกษตรกรรายย่อยภาคอีสาน สโมสรหนึ่งเก้า ชมรมและสหกรณ์ต่างๆ ฯลฯ รวมทั้งมวลชนหรือกลไกคู่ขนานของระบบนั้นๆ
      
       เครือข่ายหรือระบบย่อยของระบอบทักษิณนี้ยังเข้มแข็งเหนียวแน่นอยู่ ถึงแม้พรรคไทยรักไทยจะถูกยุบ หรือผู้แทนของพรรคไทยรักไทยแตกพรรคหนีไป หรือถูกห้ามมิให้เล่นการเมืองเป็นเวลา 5 ปี ระบบต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น ก็ยังเหลืออยู่ และยังมีโอกาสเติบโตต่อไป
      
       ระบบเหล่านี้ต่างหากคือความเข้มแข็งและกำลังของระบอบทักษิณ และมีความสำคัญยิ่งกว่า ส.ส.ซึ่งเป็นเพียงนักเลือกตั้ง ที่เปลี่ยนไปมาตามแก๊งเลือกตั้ง ต่างๆ แบบ “ชนะไหนเข้าด้วยช่วยกระพือ” แล้วแต่กฎเกณฑ์และสถานการณ์การเมืองในขณะหนึ่งๆ ในกรณีรุนแรงที่สุด ซึ่งเกิดขึ้นได้ยาก คือ ส.ส.เก่าทั้ง หมดไปเพราะต้องห้าม ไม่เป็นการยากที่จะเลือกผู้สมัครใหม่ล้วนๆ เอาไว้สมทบกับอดีต ส.ส.เก่าที่แยกย้ายเพื่อรวมกลุ่มกันทีหลังเมื่อถึงยุค “มหาประชาชัย”
      
       พรรคไทยรักไทยมีสโลแกนว่า “ไทยรักไทยหัวใจคือประชาชน” คำขวัญนี้มิใช่ political rhetoric ธรรมดา หากมีการตอกย้ำตามทฤษฎีเรียนรู้ Pavlovian Learning Theory ด้วยคำถามที่เป็นรูปธรรมว่า (ในอดีตและปัจจุบัน) ใครคือผู้ให้แก่ประชาชนมากกว่ากัน เพื่อที่จะให้ได้คำตอบที่เป็นหลักคิดว่าประชาชนได้รับจากใครมากที่สุด ประชาชนก็ต้องจงรักและตอบแทนผู้นั้นมากที่สุด
      
       ความสำเร็จของประชานิยมนั้นขึ้นอยู่กับมาตรการระยะสั้นที่ให้ความติด ใจทันที (immediate gratification) บวกกับลัทธิบูชาผู้นำ (cult of personality) ถ้าสองสิ่งนี้ถูกทอนอายุให้สั้นลง ก่อนที่ประชาชนจะมองเห็นความล้มเหลวและเสื่อมศรัทธาลงเองในระยะยาว ประชานิยมมักจะตีโต้เอาชัยชนะกลับคืนมาได้เสมอ และใช้เวลาไม่นาน
      
       โอกาสที่ประชานิยมจะกลับมาไม่สำเร็จมีน้อยมาก เพราะในระยะข้ามผ่านหรือจุดเปลี่ยน รัฐบาลที่ตกอยู่ใต้อำนาจของชนชั้นสูงมักจะมีลักษณะอืดอาด อึดอัดและถือตัว เข้าไม่ถึงและไม่สามารถให้ความติดใจทันที (immediate gratification)และความเป็นธรรมแก่ประชาชนพร้อมๆ กันได้ ซ้ำจะมีเหตุให้เกิดความแปลกแยก (alienation) กับปัญญาชนและชนชั้นกลางได้สูง
      
       โฉมหน้าของสงครามแย่งชิงประชาชนระหว่างระบอบทักษิณกับระบอบ ประชาธิปไตยจะเป็นอย่างไรย่อมขึ้นกับยุทธศาสตร์ยุทธวิธีและการจัดตั้งของคู่ ต่อสู้ทั้ง 2 ฝ่าย คือฝ่ายรัฐ (บาล) กับฝ่ายทักษิณ
      
       การจัดตั้งของทั้ง 2 ฝ่ายมีจุดอ่อนและจุดแข็งที่เป็นหลักๆ อะไรบ้าง เพราะชัยชนะในสงครามประชาชนขึ้นกับความสามารถในการใช้จุดแข็งของตนไปสยบจุด แข็งของฝ่ายตรงกันข้าม และใช้จุดอ่อนของฝ่ายตรงกันข้ามให้ทำลายตนเอง
      
       - ขณะนี้จุดแข็งของฝ่ายรัฐมีอะไรบ้างที่เป็นหลัก ตอบได้ว่าคืออำนาจรัฐ
      
       - จุดแข็งของฝ่ายทักษิณเล่าคืออะไร ตอบได้ว่าคือหลักคิดและมวลชนจัดตั้ง และองค์กรอำพราง
      
       - ส่วนจุดอ่อนของรัฐบาลนั้นคือการขาดหลักคิด และไม่สามารถจัดการกับมวลชนของทักษิณ ซึ่งยังแฝงตัวอยู่ในกลไกของระบบต่างๆ อย่างเป็นปกติสุขได้
      
       - สำหรับจุดอ่อนของทักษิณ คือวิบากกรรมของทักษิณเอง การขาดอำนาจรัฐ และข้อจำกัดในการเคลื่อนไหว (ชั่วคราว)
      
       ในการต่อสู้ระหว่าง 2 ฝ่ายนี้ยังมีปัจจัยที่ 3 คือแรงบีบและแรงดึงจากต่างประเทศอีกด้วย เราจะไม่พูดถึงเรื่องนี้ นอกจากจะสรุปว่าฝ่ายที่ได้เปรียบคือฝ่ายทักษิณ
      
       สรุป : จุดจบของรัฐบาลมิใช่จุดจบของระบอบทักษิณ
        
      
       เข้าใจการยึดอำนาจ
      
       การยึดอำนาจครั้งนี้ไม่มีคำเรียกอยู่ในปทานุกรมการเมือง เพราะเป็นการยึดที่ต่างจาก การยึดอำนาจ การรัฐประหาร การปฏิวัติ หรือ coup d' etat หรือ power seizure ในอดีต แต่อาจจะสงเคราะห์เรียกได้ว่า coup de grace คือการทำให้ตายโดยเฉียบพลันเพื่อให้พ้นความทรมาน หรือการปลดรัฐบาลอย่างฉับพลัน โดยปราศจาก violence แต่ถึงกระนั้นภาพหลอนของ military junta ก็จะตามมาทำลายประสาทฝ่ายรัฐและประชาชนผู้รักประชาธิปไตยอยู่ไม่วาย
      
       บรรดาชนผิวขาวชาวต่างประเทศที่หยิ่งในความเหนือกว่าของวัฒนธรรมตนเอง ไม่ว่าจะเป็นสื่อ ปัญญาชน หรือผู้นำรัฐบาล รวมทั้งนักวิชาการบริสุทธิ์หรือปัญญาชนหอคอยงาช้างเมืองไทย ก็จะมองเห็นเหมือนกันว่านี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ทหารทำลายประชาธิปไตยไทย โดยมองไม่เห็นว่า ภาคประชาชนและพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ต่อสู้ขับไล่เผด็จการของ ระบอบทักษิณอย่างไม่ลดละมาเป็นเวลาปีเศษแล้ว ในที่สุดก็ได้พึ่งบารมีของในหลวง และกำลังใจจากพลเอกเปรม ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กองทัพบกตัดสินใจในวินาทีสุดท้ายก่อนที่ ทักษิณจะทำการยึดอำนาจและปราบประชาชนด้วยกำลัง
      
       ทักษิณได้ทำลายประชาธิปไตย บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ พระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญ สถาบันนิติบัญญัติ สิทธิมนุษยชน ระบบราชการและกลไกในการถ่วงดุลตรวจสอบในระบอบประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่องมาก ว่า 5 ปี จนเกือบจะไม่มีอะไรเหลือแล้ว นอกจากสัญลักษณ์อย่างเดียวคือการเลือกตั้ง
      
       การโค่นล้มระบอบทักษิณโดยการสำแดงกำลัง (implied force) ครั้งนี้มิใช่การใช้กำลัง (violent overthrow of government by military force) ไม่ต้องเสียเลือดเนื้อแม้แต่หยดเดียว ที่กระทำได้และประสบความสำเร็จเพราะสมการดังต่อไปนี้
      
       P+K+S+A ได้แก่ อำนาจของประชาชน P+บารมีของในหลวง K+กำลังใจจากรัฐบุรุษเปรม S+ กองทัพบก A ทั้งนี้ แสดงให้เห็นว่าเป็นขบวนการที่มีส่วนร่วมและองค์ประกอบหลายฝ่าย มิใช่ ปรากฏการณ์ อัศวินม้าขาวของฝ่ายทหารแบบข้ามาคนเดียว พลเอกสนธิเป็น ผู้ที่เข้ามาในวินาทีสุดท้ายเพื่อลงมีดผ่าตัด ในห้องที่เตรียมไว้พร้อมสรรพทั้งระบบไฟ หมอดมยา ยาดม คณะแพทย์ พยาบาล และมีดผ่าตัดเป็นชุด คนเดียวจะมีความหมายอะไร ถ้าไม่มีการต่อสู้มาเป็นปี
      
       อย่างไรก็ตาม ปฏิบัติการ 19 กันยายนนี้ เกือบจะเหมือนกับ 24 มิถุนายน 2475 ในเรื่ององค์ประกอบ และการฉวยจังหวะปฏิบัติการ ต่างกันแต่ว่าผู้ที่มีส่วนร่วมกันทุกฝ่ายขาดความเป็นเอกภาพ และมองไม่เห็นว่า นี่คือโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งที่ 2 ซึ่งมีโอกาสดีกว่าครั้งแรก ที่จะพัฒนาไปสู่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างแท้ จริง ภายใต้ร่มพระบารมี เพราะภาคประชาชนมีวุฒิภาวะทางประชาธิปไตยสูงขึ้นมาก กลุ่มขุนนางกับชนชั้นนำ (นอกจากบริวารทักษิณ) ไม่มีความขัดแย้งกับพระมหากษัตริย์ อุปสรรคมีอยู่เพียง 2 อย่าง คือ ระบอบทักษิณยังไม่ตาย และกรอบความคิดเก่า(old paradigm)ของหุ้นส่วนระหว่างชนชั้นนำกับขุนนางทหาร ที่ยังไม่ยอมปรับตัวไปสู่กรอบความคิดใหม่ (New Paradigm)
      
       สรุป : กรอบคิดเก่าหลงว่า 19 กันยายน 2549 เป็นการยึดอำนาจ ประพฤติตนเป็นแบบนักยึดอำนาจ (old style military junta) ความเสี่ยงที่จะถูกกวาดล้างยึดอำนาจคืนมีสูง เพราะจะขาดภูมิคุ้มกันจากมวลชนและพลังประชาธิปไตยก้าวหน้า
       
       เข้าใจการจัดตั้งรัฐบาล
      
       รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปัจจุบันคือกรอบคิดเก่าขนานแท้และดั้งเดิม ซึ่งมี 39 มาตราเช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับแรก 2475 แต่ล้าหลังกว่ามาก และเป็นเผด็จการมากกว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้จะตรึงรัฐบาลไว้กับกรอบความคิดเก่า แวดล้อมด้วยบุคคลเก่าๆ และไม่สามารถเอาชนะธรรมชาติของความขัดแย้ง (contradiction) ในระบบการเมืองไทยได้ เว้นเสียแต่ว่านายกรัฐมนตรีเฉพาะกาลจะใช้มาตรการทางบริหารและการเมืองตาม กรอบความคิดใหม่เข้ามาแก้ โดยจัดตั้งรัฐบาล สภานิติบัญญัติ และสมัชชาแห่งชาติ ให้สอดคล้องและรับใช้ความเป็นจริงทางการเมือง
      
       ความเป็นจริงทางการเมืองนั้นก็คือ การต่อสู้ระหว่างฝ่ายรัฐกับฝ่ายทักษิณกำลังดำเนินอยู่ในรูปแบบของสงครามแย่งชิงประชาชน
      
       ซึ่งถ้าหากยังดำเนินไปตามแนวโน้มที่มองเห็นอยู่ขณะนี้ ทำนายว่าระบอบทักษิณจะเป็นฝ่ายชนะ และใช้เวลาไม่นาน
      
       รัฐบาลหมายรวมถึง ครม. สภานิติบัญญัติ และองค์กรจัดตั้งตามรัฐธรรมนูญ
      
       สูตรและองค์ประกอบของการจัดตั้งรัฐบาลที่จะล้มเหลว ได้แก่สูตร EKG
      
       EKG มิใช่วิธีตรวจหัวใจ แต่เป็นสมการอำนาจระบบเก่า ประกอบด้วย
      
       E = Elite หรือ Establishment K= King หรือ Monarchy
      
       G = Government
      
       ต่างฝ่ายต่างก็กำนัลกันด้วยคำหวานว่ามีความผูกพันกันลึกซึ้ง และพูดจาเข้าใจกันดี ความจริงมิใช่ เพราะสายสัมพันธ์และการสื่อสารกันเป็นแบบเข้าๆ ออกๆ เหมือนจุดลูกน้ำ..........มีช่องว่างและช่องโหว่ให้สอดแทรกเข้าไปได้ แอบอ้าง และหลอกลวงกันได้ มิใช่ความสัมพันธ์เป็นเส้นทึบที่แนบแน่น และทำนายได้ predictable
      
       เราจะต้องเปลี่ยนสมการจาก E+K = G มา เป็น P+E+K= G จึงจะสู้ระบอบทักษิณได้ P = People ซึ่งบัดนี้มิใช่ประชาชนธรรมดาที่ Marx ดูถูกว่าเป็น potatoes in the sack of potatoes แต่เป็น informed citizen coalition ประกอบด้วยประชาชน+NGO+ปัญญาชนผู้ประกอบวิชาชีพ+สื่อเสรี
      
       อย่าลืมข้อเท็จจริงว่า E คือ ตัวอุปสรรคทำให้บารมีที่แท้จริงของ K ไปไม่ถึงประชาชน K เพียงถูกแอบอ้าง และจะถูกตำหนิในความผิดพลาดของ E ทั้งๆ ที่ K ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลย เพราะอะไร
      
       เพราะวัฒนธรรมการเมืองไทย ไม่เปิดโอกาสให้ สายสัมพันธ์หรือการบังคับบัญชา command line กับการสื่อสาร communication ระหว่าง K กับ E หรือ K กับ G หรือแม้แต่ K กับ C (Privy Council) ลื่นไหลเป็นกิจวัตร จนกลายเป็นเส้นทึบ คงเป็นเพียงเส้นแบบจุดไข่ปลาแบบนี้ K......E, K.......G, K......C จึงถูกแทรกแซงทะลุออกทางช่องว่างและรูโหว่ระหว่างจุดต่างๆ มาโดยตลอด นั่นก็คือ การแอบอ้าง บิดเบือน หลอกลวง ขู่เข็ญ ในนาม K โดย K ไม่มีส่วนรู้เห็นหรือแก้ตัวใดๆ ได้เลย แม้พระบรมราชวินิจฉัยและพระราชอำนาจตามจารีตประเพณีที่แท้จริงก็ถูกนำมาบิด เบือนและครอบงำ หากไม่สามารถเปลี่ยนจุดไข่ปลาเป็นเส้นทึบได้ ก็จะเกิดการตัดสินใจที่ผิดพลาด อึมครึม ขาดความโปร่งใสและผิดพลาดบ่อยๆ
      
       เส้นทึบได้แก่ สายสัมพันธ์ที่ดีต่อเนื่องถูกต้องและเป็นทางการ Command Line และระบบสื่อสาร Communication ที่ Clear, Legitimate และ Predictable เส้นทึบนี้ รัฐบาลไม่มี แต่ทักษิณมีเต็มไปหมด โดยใช้ผลประโยชน์และหลักคิดร่วมเป็นเครื่องมือ
      
       สรุป : การจัดตั้งรัฐบาลถ้าหากใช้สูตร EKG จะขาดพลังและพ่ายแพ้ทักษิณ ต้องใช้สูตร PEKG และในตัว P ควรมีเทพบุตรมารที่รู้เกมทักษิณอย่างแจ้งจบด้วยชาติและราชบัลลังก์จึงจะ ปลอดภัย
       
       เข้าใจการต่อสู้
      
       การต่อสู้ครั้งนี้ พลเอก สายหยุด เกิดผล วิเคราะห์ว่า เป็นการต่อสู้ระหว่างประชาธิปไตยที่แท้จริงกับประชาธิปไตยรวมศูนย์
      
       ถ้าเป็นเช่นนั้น เราเสียเปรียบ 2 ต่อ เพราะประชาธิปไตยที่แท้จริงเรายังไม่มี แต่ประชาธิปไตยรวมศูนย์มีแล้ว คือระบอบทักษิณ
      
       รัฐบาลต้องแบกน้ำหนัก 2 เท่า คือต้องสู้กับระบอบทักษิณ และต้องสร้างประชาธิปไตย แถมยังมีตัวถ่วงเดิม คือระบบราชการที่ผุพัง
      
       สงครามที่สู้กันคือสงครามแย่งชิงประชาชน มียุทธศาสตร์หลัก ขึ้นอยู่กับกุญแจ 2 คำ คือ Information กับ Mobilization
      
       แต่สงครามแย่งชิงประชาชนครั้งนี้แปลกกว่าทุกครั้ง และเป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์โลก คือ ฝ่ายที่โค่นล้างรัฐบาลได้เปรียบมี legitimacy ภายนอกมากกว่า มีฐานที่มั่นในประเทศมากกว่า มีเครื่องมือในการทำสงครามข่าวสารมากกว่าและดีกว่า มีฐานมวลชน (mass base) ที่จะระดม (mobilize) ได้กว้างกว่า สิ่งที่ทักษิณเสียเปรียบคือไม่มีอำนาจรัฐ แต่ถ้าหากรัฐบาลไม่สามารถใช้อำนาจรัฐทำลายความได้เปรียบของทักษิณ อีกไม่นานทักษิณก็จะได้อำนาจรัฐ
      
       อนึ่ง การต่อสู้ระหว่างรัฐบาลกับผู้ต้านอำนาจรัฐ แม้เช่นกรณี 3 จังหวัดภาคใต้ รัฐบาลจะต้องถูกมัดมือชก ไม่สามารถหลีกเลี่ยง การใช้ Low Intensity Warfare
      
       โดยใช้กำลังทหารและตำรวจที่ไม่จัดเจน ทำการข่มขู่ปราบปรามฝ่ายต่อต้านเพื่อขยายฐานปกครอง และ body count ไม่ว่าจับเป็นหรือจับตาย ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่มีความขัดแย้ง (contradiction) ภายในสูง และจะผลักมวลชนไปให้ฝ่ายต่อต้าน ซ้ำต้องแบกระบบราชการที่ผุพังดังที่กล่าวมาแล้ว
      
       ในขณะที่ฝ่ายทักษิณสามารถใช้ Asymmetric warfare ซึ่งยืดหยุ่นกว่า สามารถเลือกยุทธวิธี สมรภูมิ และคู่ต่อสู้คนไหน เมื่อใดก็ได้
      
       เข้าใจการเคลื่อนไหวทางสังคม
      
       การเคลื่อนไหวสังคมเป็นขบวนการที่ไม่มีใครห้ามได้ และมีอยู่ 3 แบบคือ 1. มีระบบหรือ control 2. ตามยถากรรม หรือ open และ 3. แบบผสม
      
       ในประเทศไทยการเคลื่อนไหวมักจะเป็นแบบที่ 2 คือคนยากคนจน เมื่อลำบากที่สุดก็ร้องทุกข์ขอความเมตตา แบบที่ 3 ก็คือมีองค์ประกอบภายนอก เช่น NGO หรือ การเมืองทั้งในและนอกมาจัดตั้ง แบบที่ 1 ได้แก่โครงการพัฒนาต่างๆ ทั้งของรัฐบาล ในหลวง NGO ในและนอกประเทศ กลุ่มพลังการเมืองต่างๆ ทั้งใต้ดิน บนดิน เช่น พรรคคอมมิวนิสต์และขบวนการผู้พัฒนาชาติไทย ที่เข้ามาเป็นผู้รับประโยชน์และเป็น (กอง)กำลังให้พรรคการเมือง เป็นต้น
      
       ถ้าหากรัฐบาลต้องการสู้กับทักษิณให้ได้ผล จะต้องเข้าร่วมกับขบวนการประชาชน เพื่อขยายฐาน information กับ mobilization ในการเคลื่อนไหวสังคมทั้ง 3 แบบ ฝ่ายรัฐจะต้องใช้การจัดตั้งจากภาคประชาชน และบุคลากรของรัฐที่ก้าวหน้าอย่างเต็มที่ จึงจะรับมือกลไกของระบบและระบอบทักษิณได้
      
       การร่วมมือจะต้องมีลักษณะประจำ ต่อเนื่อง และเป็นทางการ ด้วยการมี communication และ command line แบบเส้นทึบมิใช่จุดไข่ปลา จึงจะประกันความน่าเชื่อถือ ทำนายทายทักได้
       K = King E= Elite หรือ Establishment (Military+Business+Bureaucrat)
      
       P=People (ประชาชนจัดตั้ง+ปัญญาชน+สื่อเสรี+NGO)
      
       เส้นทึบ คือสายสัมพันธ์และระบบสื่อสารที่ดีแทรกแซงและบิดเบือนยาก
      
       เส้นจุดไข่ปลา คือ สายสัมพันธ์และระบบสื่อสารที่เลวมีช่องโหว่และช่องว่างมาก
      
       เส้นผสม คือสายสัมพันธ์และระบบสื่อสารที่บกพร่องมีช่องโหว่และช่องว่างปานกลางแทรกแซงและบิดเบือนได้เป็นครั้งคราว
      
       1. ถ้าหากการจัดตั้งรัฐบาลเป็นแบบ EKG ในที่สุดจะล้มเหลว เพราะจะแพ้ยุทธศาสตร์ information กับ mobilization ของฝ่ายต้าน ซึ่งยึดฐานที่มั่นตามยุทธศาสตร์ “โลกล้อมประเทศ-ชนบทล้อมเมือง” ไว้ได้ล่วงหน้าแล้ว รัฐบาลต้องบุกยึดคืน โดยการขีดเส้นทึบเข้าหากัน (diagram 3)
      
       2. ถ้าหากตั้งรัฐบาลแบบ PEKS จะประสบความสำเร็จ และบุกเข้าไปตีฐานของทักษิณได้ ด้วยการรวมพลัง P คือประชาชนจัดตั้ง+ปัญญาชนผู้ประกอบวิชาชีพ+สื่อเสรี+NGO (diagram 2 )
      
       3. ถ้าหากตั้งสภานิติบัญญัติและรัฐบาลแบบผสม คือมี K E P ตามยถากรรมก็จะต้องเสี่ยง อย่างดีอาจจะเสมอตัว พอรักษาสถานการณ์ไปได้ 6 เดือนหรือ 1 ปี (diagram 1)
      
       สรุป : ขณะ นี้เราเลือก model 3 ซึ่งจะพ่ายแพ้ทักษิณในที่สุด เว้นเสียแต่ว่ารัฐบาลจะสามารถสร้างเส้นทึบไปให้ครบทุกฐาน 3 เหลี่ยม โดยการ mobilize การมีส่วนร่วมจากภาคประชาชนขึ้นในอัตราเร่ง ทำไมต้องเร่ง เพราะทักษิณเร็วกว่า

เยอรมันเหิมจะยึดโบอิ้งลำที่2ของพระบรมฯ


สื่อของเยอรมันรายงาน ภาพข่าวมีเครื่องบินโบอิ้งคู่แฝดโผล่ที่สนามบินมิวนิค จอดอยู่คู่กับลำที่โดนอายัด ภายหลังจากศาลเยอรมันตัดสินว่า หากอยากเอาออกไปก็ต้องจ่ายค่าเงินประกัน 20 ล้านยูโร ล่าสุดรอยเตอร์อ้างรายนงานจากสื่อท้องถิ่นว่า เยอรมันมีแผนจะอายัดเครื่องบินโบอิ้งลำที่สองด้วย




สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงาน วันนี้ โดยอ้างข่าวสื่อมวลชนในเยอรมันว่า เครื่องบินโบอิ้ง 737 ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร อีกลำซึ่งไปจอดคู่กับลำที่โดนอายัดก่อนหน้านี้ อาจโดนอายัดอีกเป็นลำที่สอง

โดยผู้บริหารหนี้ชาวเยอรมันเปิดเผยกับสื่อมวลชนแท็ปลอยด์เยอรมัน ชื่อหนังสือพิมพ์ Bild am Sonntag เมื่อวันอาทิตย์ว่า เขากำลังพิจารณาตัดสินใจจะอายัดโบอิ้งลำที่สองของสมเด็จพระบรมฯ

"เรากำลังพิจารณาเมาตรการขั้นตอนต่อไป รวมทั้งการยึดเครื่องบินลำที่สองของมกุฎราชการของไทย"หนังสือพิมพ์ดังกล่าว รายงานคำให้สัมภาษณ์ของนายเวอร์เนอร์ ชไนเดอร์ ผู้บริหารแผนหนี้ชาวเยอรมัน

เยอรมันได้ยึดเครื่องบินของสมเด็จพระบรมฯไว้เพื่อให้รัฐบาลไทยชำระหนี้ที่ ค้างไว้กับบริษัทก่อสร้างชาวเยอรมันที่ทำโครงการถนนยกระดะบในกรุงเทพฯ เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน และเมื่อสัปดาห์ที่แล้วศาลตัดสินให้ปล่อยเครื่องบินออกไปได้ โดยนำเงินมาค้ำประกัน 20 ล้าน ยูโร แต่ข้อเสนอนี้ถูกรัฐบาลไทยปฏิเสธ โดยชี้ว่าเครื่องบินดังกล่าวเป็นพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ของสมเด็จพระบรมฯ ไม่ใช่ทรัพบ์สมบัติของรัฐบาลไทย

Bild am Sonntag รายงานว่า สมเด็จพระบรมฯทรงขับเครื่องบินโบอิ้งลำทื่สอง เสด็จมายังสนามบินมิวนิก เพื่อแทนที่ลำแรกที่โดนอายัดอยู่ก่อน

ก่อนหน้านี้เวบไซต์sueddeutsche.deของเยอรมันรายงานเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม เวลา 14.52 น.ตามเวลาท้องถิ่นว่า ได้มีเครื่องบินโบอิ้ง 737 อีกลำที่เหมือนกับลำแรกที่โดนอายัดไปจอดอยู่ติดกับลำเดิมที่อายัด หลังจากศาลของเยอรมันตัดสินในวันก่อนให้นำออกจากสนามบินได้ หากวางเงินประกัน 20 ล้านยูโร

รายงานข่าวของsueddeutsche บอกว่า ศาลเมือง Landshut มีคำตัดสินในเบื้องต้นอนุญาตให้นำเครื่องบินที่ถูกอายัด​ออกไปได้โดยมี เงื่อนไขให้วางเงินประกัน 20 ล้านยูโร (ในรูปของการรับรองโดยธนาคาร หรือ แบงก์การันตี)

ซึ่งคำตัดสินเบื้องต้นดังกล​่าวเป็นผลมาจากการพิจารณาจากการรับรองของอธิบดี กรมการขนส่งทางอากาศไทยและเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์เครื่องบินปี​2550 ซึ่งแสดงว่าเครื่องบินเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์

อย่างไรก็ตาม จะมีการพิจารณาคดีเพื่อให้ได้มาซึ่งคำพิพากษาขั้นสุดท้ายอีกครั้งในเดือน สิงหาคม ซึ่งศาลอาจจะมีคำสั่งให้อธิบดีกรมขนส่งทางอากาศเข้าให้การในศาลด้วยตนเอง ด้วย

ขณะนี้ได้เกิดคำถามขึ้นว่ามกุฏราชกุมารแห่งประเทศไทยจะทรงขับเครื่องบินลำ ไหนเสด็จกลับประเทศ เมื่อตอนนี้มีเครื่องบินพระที่นั่งที่เหมือนกันอีกลำมาจอดอยู่ที่สนามบินมิ วนิค

ทางด้านนายชไนเดอร์ ผู้บริหารหนี้ที่ทำการอายัดเครื่องบินกล่าวว่า​ได้รับทราบว่ามีเครื่องบินอ​ ีกลำที่เหมือนกับลำที่อายัดไว้ มาจอดอยู่ที่สนามบิน แต่ไม่ทราบถึงกรรมสิทธิ์ ส่วนจะอายัดเครื่องบินอีกลำที่สองนี้หรือไม่ นายชไนเดอร์ไม่ได้แสดงความค​ิดเห็น

แต่ค่อนข้างชัดเจนว่านายชไนเดอร์มีความมั่นใจว่าจะได้รับเงิน 20 ล้าน ยูโร หรือประมาณครึ่งหนึ่งของมูลค่าหนี้ นายชไนเดอร์ยังกล่าวว่ามีความพึงพอใจกับคำตัดสินชั้นต้น เพราะทางบริษัทไม่ต้องอายัดเครื่องบินไว้ และสบายใจว่ามีเงินประกันอยู่ที่ศาล 20 ล้าน ยูโร ทั้งนี้เพราะการอายัดเครื่องบินไว้ต้องเสียค่าใ้ช้จ่ายเป็นจำนวนมาก ค่าบำรุงรักษาและค่าประกัน โดยลุฟท์ฮันซาคิดเป็นเงินหลายพันยูโรต่อสัปดาห์ และยังมีค่าจอดของสนามบินซึ​่งคิดตามน้ำหนักเครื่องบิน
2.70 ยูโร/ตัน/วัน ซึ่งทุกวันนี้ต้องชำระวันละ​ประมาณ 200 ยูโร

แต่อย่างไรก็ตาม เป็นไปได้ว่าชไนเดอร์อาจจะต​้องเสียเงินเพื่ออายัดเครื่องบินต่อไป นายฟรังค์ โรธ ทนายความจากสำนักงานกฏหมาย DLA Piper ซึ่งเป็นตัวแทนของมกุฏราชกุมารฯกล่าวกับ sueddeutsche ว่ายังไม่มีการตัดสินใจว่าจะจ่ายเงินประกันหรือไม่

เพราะมีคำถามว่าจะเป็นการดีกว่าหรือไม่หากทางมกุฏราชกุมารฯ จะรอคำพิพากษาของศาล ทั้งนี้นายโรธ ค่อนข้างมั่นใจว่าศาลจะมีคำพิพากษาที่เป็นประโยชน์ต่อลูกความของเขาภายใน เวลาไม่กี่สัปดาห์

จาบจ้วงสถาบัน


MusicPlaylistView Profile
Create a MySpace Music Playlist at MixPod.com

ธิดา ถาวรเศรษฐ์ "จงใจให้รู้ว่า รัฐบาลนี้ พรรคนี้ ทักษิณดูแล...ไว้ใจได้"



ประชาชาติธุรกิจสัมภาษณ์

Image

หลังการเลือกตั้ง การเมืองกลับเข้าสู่ระบบ

นักการเมือง 500 คน เข้าสู่เกมการต่อสู้ในสภาผู้แทนราษฎร

แต่แกนนำมวลชนแดงนอกสภา ที่เคยเป็นขา-แขนให้นักการเมืองฝ่าย "เพื่อไทย" กำลังสั่นสะเทือน

เมื่อฝ่ายประชาธิปไตยถูกป้ายสีเป็นเผด็จการ

เมื่อแขน-ขา-ดวงตาของเพื่อไทยสลับบทบาท

ประชาชาติธุรกิจสนทนาหาคำตอบจากปาก "ธิดา ถาวรเศรษฐ์" หลังบ้านว่าที่ ส.ส.น.พ.เหวง โตจิราการ

- นปช.เหมาะที่จะเป็นรัฐมนตรีหรือไม่

รัฐมนตรี เป็นการใช้อำนาจบริหาร ส่วน ส.ส. ก็ใช้อำนาจนิติบัญญัติ เขาก็มีสิทธิเหมือนคนอื่น ถ้าเขามีความสามารถและเหมาะสม เขาก็แยกไปทำงานให้ประชาชน แต่ถ้าใครโดนอำมาตย์หลอก ครอบงำ ก็จะบอกว่า คนเป็นรัฐมนตรี แปลว่าเป็นพวกเลว นิสัย ไม่ดี อยากได้อำนาจ แปลว่าแบ่งเค้กไม่คิดบ้างว่า ถ้า นปช.จะเป็นรัฐมนตรี เขาก็ทำงานให้ประชาชนได้

- รัฐมนตรีจาก นปช.จะเป็นสายล่อฟ้า เป็นจุดอ่อนพรรคเพื่อไทยหรือเปล่า
คุณ อาจจะบอกว่า เขาเป็นสายล่อฟ้า แต่เขามีสายดิน เขามีฐานมวลชนรองรับ พวกที่มาพูดเรื่องนิรโทษกรรม มันไม่มีสายดิน ไม่มีฐานมวลชนรองรับ

- คุณทักษิณเคยต่อสายถึงอาจารย์หรือเปล่า

ไม่ ค่อยได้คุยกัน ยกเว้นมีบางครั้ง เช่น คนอื่นเขามาอยู่ใกล้เรา แล้วเขาโทรศัพท์คุยกับคุณทักษิณ แล้วก็ยื่นโทรศัพท์บอกให้เราคุยหน่อย คุณทักษิณก็บอกว่า เหนื่อยหน่อยนะ อาจารย์บอก ก็เหนื่อยตอนแก่ แต่ถ้าได้คุยกับคุณทักษิณตอนนี้นะ จะบอกเขาว่า เหนื่อยตอนแก่ไม่พอ ยังมีคนด่าอื้อฉาวขนาดนี้

- มองบทบาท "ยิ่งลักษณ์" กับอดีตนายกฯ "ทักษิณ" อย่างไร

ชัดเจน คุณอย่าไปหลอกตัวเองกันเลย เขาให้คุณยิ่งลักษณ์มาทำ เพื่อต้องการซื้อหัวใจประชาชน ว่างานนี้คุณทักษิณดูแล พูดตรง ๆ ว่าเปิดหน้าสู้ ไม่ต้องพูดว่านอมินี หรือโคลนนิ่ง เพราะนี่เป็น strategy (ยุทธศาสตร์) ของ การเปิดหน้าสู้เลย

เพื่อให้ประชาชนไว้ใจว่าคุณ ทักษิณไม่ได้ทิ้งนะ เขายังช่วยดูแลอยู่ มัน ชัด ๆ อยู่แล้ว ไม่ต้องไปดัดจริต พูดหรอก ใครเขาจะไม่ช่วยล่ะ คราวนี้เป็นน้องสาวคุณทักษิณ จงใจให้ประชาชนรู้ว่า รัฐบาลนี้ พรรคนี้ คุณทักษิณดูแล ไว้ใจได้ และนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ได้คะแนนเสียงเยอะ ประชาชนรักคุณทักษิณ

- อำนาจอยู่กับยิ่งลักษณ์ หรือทักษิณ

คุณทักษิณอาจจะแนะนำ 50 อย่าง แต่เขาอาจจะเอามาใช้แค่ 20 ก็ได้ อีก 30 ไม่ได้เรื่อง เขาอาจจะไม่เอาก็ได้ อาจารย์ไม่ได้เห็นว่าแปลก

- ตุลาการภิวัตน์จะกลับมายับยั้งอำนาจที่มาจากการเลือกตั้งหรือไม่
ประชาชน ได้เปิดประตูก้าวแรกจากการเลือกตั้ง คน 35 ล้านมาเลือกตั้ง คุณไม่ฟังหรือ นี่เป็นกระบวนการประชาธิปไตย แล้วประตูที่ 2 ถ้าไม่เปิดต่อ แล้วคุณอย่าขวาง คุณทำเหมือนเราเป็นพวกมาจากข้างนอก ที่จริง นี่มันประเทศของประชาชนนะ ไม่ใช่ประเทศของระบอบอำมาตย์

- ยังมีระบบของ กกต. และศาล

ก็ไม่เป็นไร นี่ 5 ปีแล้ว ตอนนี้ 15 ล้านเลือกเพื่อไทย เที่ยวหน้าจะ 20 ล้าน เอาล่ะ ถ้ายึดอำนาจอีก เที่ยวต่อไปจะ 25 ล้าน คุณจะอยู่ยังไง ขณะนี้ อภิสิทธิ์ยังเดินถนนแทบไม่ได้ ตัวเจ๋ง ๆ ของระบอบอำมาตย์ ลองมาเดินถนนดูสิ

- ถ้า กกต.ไม่รับรองยิ่งลักษณ์กับ นปช. สถานการณ์จะเป็นอย่างไร
ประชาชน ก็ต้องต่อสู้ แต่ไม่ใช่จับอาวุธสู้นะ คุณใช้การทหารมาสู้การเมือง คุณกระหยิ่มยิ้มย่องดีใจว่าการทหารชนะ เพราะเราตาย ถือว่าเราแพ้ เพราะคุณ ไม่ตาย แล้วสุดท้ายในสนามการเมืองของประชาชน คุณแพ้ คุณจะใช้ตุลาการภิวัตน์อะไรก็ตาม

แต่ในชาตินี้ คุณหนีการเลือกตั้งไม่พ้นหรอก แล้วให้โลกมันเห็นชัด ถ้าไม่ตายนะ คิดว่าระบอบอำมาตย์จะอยู่ยืนยาวโดยไม่คืนอำนาจให้ประชาชน ก็แล้วแต่คุณเถอะ เราอดทนมา 5 ปี เราสันติวิธีนะ ถ้าคิดว่าปราบแล้วหาย ก็คิดผิด

ประชาชาติธุรกิจ

ใครคือตัวจริง ... ยอมทิ้งนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท เงินเดือน 15,000 บาท !!!

  by Pro.Trainer ,

        วัน อาทิตย์ว่าง ๆ นั่งคิดเรื่องค่าจ้างเงินเดือน ที่เป็นประเด็นของรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยเพราะไปให้ค่ำมั่น สัญญาไว้ตอนหาเสียง และก็ได้เสียงท่วมท้นซะด้วย ... 
       ใครหลายคนที่ลงคะแนนเสียงให้พรรคเพื่อไทย เพราะชอบนโยบายที่ว่าจะปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวัน และเงินเดือน 15,000 บาท สำหรับผู้ที่จบปริญญาตรี ....
      วันนี้ ผมไม่ได้มาวิเคราะห์วิพากษ์ ว่าควรหรือไม่ควรปรับค่าจ้างอย่างไร รัฐบาลพรรคเพื่อไทย จะทำได้ตามที่พูดหรือไม่ เพราะผมไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์ ไม่ใช่นักการเมือง
      เพียงแต่อยากชวนคิดชวนคุย โดยเฉพาะกับคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งจบปริญญาตรี แล้วรอคอยความหวังว่าจะได้เงินเดือนเริ่มต้นที่ 15,000  
       ในฐานะเคยเป็นลูกจ้างกินเงินเดือน ผมก็เคยสมัครหางาน เคยผ่านการสัมภาษณ์เข้าทำงานมาหลายครั้งทั้งกับบริษัทไทย ไทยผสมจีน ไทยผสมญี่ปุ่น แขกขาว และฝรั่งต่างชาติ 
          ผมอยากแนะนำน้อง ๆ ที่ เพิ่งเรียนจบ กำลังเข้าสู่ตลาดแรงงานว่า อย่าไปรอความหวังจากภาครัฐที่จะทำให้เราได้เงินเดือนมากเท่านั้นเท่านี้ เพราะในความเป็นจริงมันอยู่ที่ความสามารถของน้อง ๆ มากกว่า
        ถ้า น้องมีความสามารถมาก ทำงานได้ผลงานมาก มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ แก้ปัญหาเก่ง เข้าใจธุรกิจ มีใจบริการ เข้ากับเพื่อนร่วมงานได้ทุกคน น้องทำงานหาเงินได้มากอยู่แล้ว สมัยนี้มีงานให้เลือกทำมากมาย ไม่ต้องไปเป็นลูกจ้างใครเขา (ถ้าเรามีความสามารถ เป็นตัวจริงในสายอาชีพนั้น ๆ ) ...
          สมัยก่อนตอนผมจบปริญญาตรีมาเมื่อปี 2530 เริ่มงานครั้งแรกที่ธนาคารแห่งหนึ่ง ตอนนั้นได้เงินเดือนเริ่มต้นที่ 2,850 มีค่าครองชีพอีก 1,000 บาท รวมค่าจ้างทั้งหมดก็ 3,850 บาทต่อเดือน
          จาก นั้นก็ทำงานเป็นลูกจ้างมาเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กับการพัฒนาตัวเองไปด้วย เพราะรู้ตัวว่ายังมีหลายอย่างที่ผมยังทำไม่ได้ หรือไม่ก็ยังทำได้ไม่ดี เลยต้องไปเรียนไปพัฒนาตัวเองหลายอย่าง เช่น ...
          ไปเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติมทั้งพูดอ่านเขียน  เรียนการพูดต่อหน้าชุมนุมชน เนื่องจากเป็นคนพูดไม่เก่ง นำเสนอไม่เป็น
         เรียนรู้การใช้คอมพิวเตอร์โปรแกรมสำเร็จรูปด้วยตัวเองบ้าง ไปเรียนในห้องฝึกอบรมบ้าง ....
         พอ ภาษาอังกฤษเริ่มดีขึ้น ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้หลายโปรแกรมหนักเอาเบาสู้ ทำงานตามที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ ไม่เรื่องมากกับเพื่อนร่วมงาน แต่ถ้าเจอหัวหน้าเรื่องมาก พูดจาไม่ดี ไม่ให้เกียรติลูกน้อง ผมก็ลาออกไปหางานใหม่ ...
        จาก นั้นพอไปสมัครงานที่ไหนก็มักจะได้เพราะใช้ภาษาอังกฤษได้ ทำคอมพิวเตอร์เป็น มีมนุษยสัมพันธ์กับคนดี ๆ คนไม่ดีก็ไม่ไปคบค้าสมาคมด้วย .... 
        ตำแหน่งงานครั้งล่าสุดในฐานะลูกจ้าง ผมได้เงินเดือนหลักแสน มีรถประจำตำแหน่งให้  ตอนนั้นผมเรียนปริญญาโทภาคพิเศษในวันเสาร์อาทิตย์ด้วย เรียกว่าสัปดาห์หนึ่ง 7 วัน ไม่ได้หยุดพักเลย  
         รวมแล้วผมทำงานเป็นลูกจ้างมาประมาณ 20 ปี ครบตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ว่าอยากจะทำงานอิสระตอนอายุประมาณ 40 ปี มีประสบการณ์การทำงานมามากและหลากหลายพอสมควร
         เมื่อ 6 ปี ที่แล้ว จึงประกาศอิสรภาพ หันมายึดอาชีพวิทยากรอิสระ ไม่มีเจ้านายคอยสั่งการ ต้องเป็นนายตัวเอง ต้องยอมรับความเสี่ยงทางการเงิน เพราะไม่มีเงินเดือนประจำเหมือนตอนเป็นลูกจ้างเขา
        แต่ ผมก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ด้วยมั่นใจในความสามารถของตัวเอง ที่ได้สั่งสมประสบการณ์ สั่งสมพันธมิตร และขวนขวายใฝ่หาความรู้ใหม่ ๆ ใส่ตัวเองอยู่เสมอ คบคนดีเป็นเพื่อน ใครว่าอะไรดีก็ลองเรียนรู้ลองทำดู เปิดใจ เรียนรู้ทุกสิ่งอย่าง ....
        ทุกวันนี้ผมมีงานทำที่ดี มีคนจ้างไปเป็นวิทยากรฝึกอบรมเกือบทุกวัน 
        ที่ พูดมานี้ไม่ได้บอกว่าอาชีพนี้ดีที่สุด หรือได้เงินเยอะที่สุด แต่ต้องการบอกน้อง ๆ ที่กำลังจะเริ่มต้นทำงาน และอยากได้เงินเดือนค่าจ้างเยอะ ๆ ว่าขอให้ดูความพร้อมความสามารถของตัวเองก่อน ว่าเราสามารถทำงานสร้างผลงานได้มากกว่าเดือนละ 15,000 หรือเปล่า
         ถ้าทำได้ก็ไม่ต้องไปเป็นลูกจ้างใครเขา เพราะทำเองก็ได้เงินมากกว่านั้นอยู่แล้ว ...
        แต่ ประเด็นก็คือ น้อง ๆ มีความพร้อมมากน้อยแค่ไหน ปรับตัวเข้ากับบรรยากาศการทำงานที่มีข้อกำหนดกฎเกณฑ์ มีเจ้านาย มีลูกค้าที่ต้องเอาใจใส่
        ใช้ ภาษาอังกฤษได้ดีเพียงใด ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้หลากหลายไหมเคยมีผลงานที่เป็นเครื่องยืนยันความ สามารถให้ว่าที่นายจ้างดูหรือเปล่า
        ถ้าน้อง ๆ มีทุกอย่าง และการันตีได้ว่าสามารถทำงานได้เกินเงินเดือน 15,000 บาท นายจ้างที่ไหนก็อยากจ้างน้องทั้งนั้นแหละครับ ...
        แต่สำหรับน้อง ๆ เด็กรุ่นใหม่ไฟแรงแบบ Gen Y มั่น ใจ ไฮเทค หัวก้าวหน้า พี่อยากบอกว่าถ้าเราเจ๋งจริง สุโค่ยสุด ๆ อย่าไปเป็นลูกจ้างใคร สร้างงานสร้างอาชีพด้วยตัวเอง เพราะน้องจะมีรายได้มากกว่าค่าจ้างเงินเดือนขั้นต่ำแน่นอน
        เว้น เสียแต่ว่าน้องยังไม่แน่จริง ก็ต้องลองไปเป็นลูกจ้างดูก่อน หาประสบการณ์ เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ให้เยอะ ๆ อย่าเรื่องมากกับชีวิต ตราบใดที่เราเลือกไม่ได้เราก็จะเป็นฝ่ายที่ถูกเลือกเสมอ
        แต่จริง ๆ พี่อยากแนะนำให้น้อง ๆ เป็นผู้เลือกมากกว่า แต่การจะเป็นผู้เลือกได้ น้องต้องเป็นตัวจริงในงานนั้น ๆ  ซึ่งพี่มีหลักการง่าย ๆ สั้น ๆ ให้น้องเอาไปคิดและลองทำดู
        พี่เรียกหลักกการนี้ว่า iREAL หรือ ฉันคือตัวจริง ซึ่งประกอบด้วย ...

Identity คือ น้องต้องมีลักษณะเฉพาะตัว ที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร หมายถึงลักษณะตัวงานผลงานของน้อง ที่ต้องมีเอกลักษณ์เฉพาะ ใครทำออกมาก็ไม่เหมือนน้อง อย่างนะละครับที่เรียกว่ามี identity
 
Result guaranteed  น้อง ต้องมีผลงานที่รับรองได้ว่าดีจริง สามารถทำงานสร้างผลลัพธ์ทุกครั้งออกมาได้ดีตามความคาดหวังของผู้ว่าจ้าง เรียกว่าสามารถการันตีผลงานได้ทุกครั้ง ใครจ้างไปไม่ผิดหวังแน่นอน
 
Expert น้อง ต้องเชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษ เรียกว่าถ้าพูดถึงเรื่องนี้งานนี้ คนส่วนใหญ่จะต้องนึกถึงน้อง เพราะน้องมีความเชี่ยวชาญ รู้ลึก รู้จริง รู้กว้าง  
Action-oriented น้อง ต้องเป็นตัวจริง ที่เกิดจากการลงมือทำด้วยตัวเอง เรียนรู้ฝึกฝน ลงมือทำ ทำ ทำ ทำ จนคนในวงการเขารู้เลยว่าน้องเป็นตัวจริง ผ่านการปฏิบัติมาอย่างช่ำชอง ไม่ใช่รู้มาก เจ้าหลักการ แต่ทำไม่เป็น ยังงั้นคงไม่มีใครจ้างแน่ ๆ ครับ
 
Learning all the time เป็นคนใฝ่รู้ ใฝ่เรียน ปรับปรุงพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ทำตัวเป็นแก้วที่ยังขาดน้ำที่ยังเติมได้อีก  เป็นฟองน้ำที่พร้อมจะซึมซับสิ่งดี ๆ ไม่ปิดกั้นตัวเอง พร้อมจะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ทำให้ตัวเองก้าวหน้าไปได้เรื่อย ๆ

      ก็หวังว่าหลักการ "ฉันคือตัวจริง" หรือ "iREAL" คงเป็นประโยชน์กับน้อง ๆ ที่กำลังจะเริ่มงานครั้งแรกในชีวิต
      ขอให้ทุกคนได้เป็นตัวจริง ยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง สร้างงานสร้างอาชีพให้ตัวเอง เราต้องพึงตัวเอง อย่าหวังความช่วยเหลือจากใคร ๆ และอย่ายืมจมูกนักการเมืองมาหายใจเด็ดขาด !!!
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง