by Pro.Trainer ,
วัน อาทิตย์ว่าง ๆ นั่งคิดเรื่องค่าจ้างเงินเดือน ที่เป็นประเด็นของรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยเพราะไปให้ค่ำมั่น สัญญาไว้ตอนหาเสียง และก็ได้เสียงท่วมท้นซะด้วย ...
ใครหลายคนที่ลงคะแนนเสียงให้พรรคเพื่อไทย เพราะชอบนโยบายที่ว่าจะปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวัน และเงินเดือน 15,000 บาท สำหรับผู้ที่จบปริญญาตรี ....
วันนี้ ผมไม่ได้มาวิเคราะห์วิพากษ์ ว่าควรหรือไม่ควรปรับค่าจ้างอย่างไร รัฐบาลพรรคเพื่อไทย จะทำได้ตามที่พูดหรือไม่ เพราะผมไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์ ไม่ใช่นักการเมือง
เพียงแต่อยากชวนคิดชวนคุย โดยเฉพาะกับคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งจบปริญญาตรี แล้วรอคอยความหวังว่าจะได้เงินเดือนเริ่มต้นที่ 15,000
ในฐานะเคยเป็นลูกจ้างกินเงินเดือน ผมก็เคยสมัครหางาน เคยผ่านการสัมภาษณ์เข้าทำงานมาหลายครั้งทั้งกับบริษัทไทย ไทยผสมจีน ไทยผสมญี่ปุ่น แขกขาว และฝรั่งต่างชาติ
ผมอยากแนะนำน้อง ๆ ที่ เพิ่งเรียนจบ กำลังเข้าสู่ตลาดแรงงานว่า อย่าไปรอความหวังจากภาครัฐที่จะทำให้เราได้เงินเดือนมากเท่านั้นเท่านี้ เพราะในความเป็นจริงมันอยู่ที่ความสามารถของน้อง ๆ มากกว่า
ถ้า น้องมีความสามารถมาก ทำงานได้ผลงานมาก มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ แก้ปัญหาเก่ง เข้าใจธุรกิจ มีใจบริการ เข้ากับเพื่อนร่วมงานได้ทุกคน น้องทำงานหาเงินได้มากอยู่แล้ว สมัยนี้มีงานให้เลือกทำมากมาย ไม่ต้องไปเป็นลูกจ้างใครเขา (ถ้าเรามีความสามารถ เป็นตัวจริงในสายอาชีพนั้น ๆ ) ...
สมัยก่อนตอนผมจบปริญญาตรีมาเมื่อปี 2530 เริ่มงานครั้งแรกที่ธนาคารแห่งหนึ่ง ตอนนั้นได้เงินเดือนเริ่มต้นที่ 2,850 มีค่าครองชีพอีก 1,000 บาท รวมค่าจ้างทั้งหมดก็ 3,850 บาทต่อเดือน
จาก นั้นก็ทำงานเป็นลูกจ้างมาเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กับการพัฒนาตัวเองไปด้วย เพราะรู้ตัวว่ายังมีหลายอย่างที่ผมยังทำไม่ได้ หรือไม่ก็ยังทำได้ไม่ดี เลยต้องไปเรียนไปพัฒนาตัวเองหลายอย่าง เช่น ...
ไปเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติมทั้งพูดอ่านเขียน เรียนการพูดต่อหน้าชุมนุมชน เนื่องจากเป็นคนพูดไม่เก่ง นำเสนอไม่เป็น
เรียนรู้การใช้คอมพิวเตอร์โปรแกรมสำเร็จรูปด้วยตัวเองบ้าง ไปเรียนในห้องฝึกอบรมบ้าง ....
พอ ภาษาอังกฤษเริ่มดีขึ้น ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้หลายโปรแกรมหนักเอาเบาสู้ ทำงานตามที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ ไม่เรื่องมากกับเพื่อนร่วมงาน แต่ถ้าเจอหัวหน้าเรื่องมาก พูดจาไม่ดี ไม่ให้เกียรติลูกน้อง ผมก็ลาออกไปหางานใหม่ ...
จาก นั้นพอไปสมัครงานที่ไหนก็มักจะได้เพราะใช้ภาษาอังกฤษได้ ทำคอมพิวเตอร์เป็น มีมนุษยสัมพันธ์กับคนดี ๆ คนไม่ดีก็ไม่ไปคบค้าสมาคมด้วย ....
ตำแหน่งงานครั้งล่าสุดในฐานะลูกจ้าง ผมได้เงินเดือนหลักแสน มีรถประจำตำแหน่งให้ ตอนนั้นผมเรียนปริญญาโทภาคพิเศษในวันเสาร์อาทิตย์ด้วย เรียกว่าสัปดาห์หนึ่ง 7 วัน ไม่ได้หยุดพักเลย
รวมแล้วผมทำงานเป็นลูกจ้างมาประมาณ 20 ปี ครบตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ว่าอยากจะทำงานอิสระตอนอายุประมาณ 40 ปี มีประสบการณ์การทำงานมามากและหลากหลายพอสมควร
เมื่อ 6 ปี ที่แล้ว จึงประกาศอิสรภาพ หันมายึดอาชีพวิทยากรอิสระ ไม่มีเจ้านายคอยสั่งการ ต้องเป็นนายตัวเอง ต้องยอมรับความเสี่ยงทางการเงิน เพราะไม่มีเงินเดือนประจำเหมือนตอนเป็นลูกจ้างเขา
แต่ ผมก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ด้วยมั่นใจในความสามารถของตัวเอง ที่ได้สั่งสมประสบการณ์ สั่งสมพันธมิตร และขวนขวายใฝ่หาความรู้ใหม่ ๆ ใส่ตัวเองอยู่เสมอ คบคนดีเป็นเพื่อน ใครว่าอะไรดีก็ลองเรียนรู้ลองทำดู เปิดใจ เรียนรู้ทุกสิ่งอย่าง ....
ทุกวันนี้ผมมีงานทำที่ดี มีคนจ้างไปเป็นวิทยากรฝึกอบรมเกือบทุกวัน
ที่ พูดมานี้ไม่ได้บอกว่าอาชีพนี้ดีที่สุด หรือได้เงินเยอะที่สุด แต่ต้องการบอกน้อง ๆ ที่กำลังจะเริ่มต้นทำงาน และอยากได้เงินเดือนค่าจ้างเยอะ ๆ ว่าขอให้ดูความพร้อมความสามารถของตัวเองก่อน ว่าเราสามารถทำงานสร้างผลงานได้มากกว่าเดือนละ 15,000 หรือเปล่า
ถ้าทำได้ก็ไม่ต้องไปเป็นลูกจ้างใครเขา เพราะทำเองก็ได้เงินมากกว่านั้นอยู่แล้ว ...
แต่ ประเด็นก็คือ น้อง ๆ มีความพร้อมมากน้อยแค่ไหน ปรับตัวเข้ากับบรรยากาศการทำงานที่มีข้อกำหนดกฎเกณฑ์ มีเจ้านาย มีลูกค้าที่ต้องเอาใจใส่
ใช้ ภาษาอังกฤษได้ดีเพียงใด ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้หลากหลายไหมเคยมีผลงานที่เป็นเครื่องยืนยันความ สามารถให้ว่าที่นายจ้างดูหรือเปล่า
ถ้าน้อง ๆ มีทุกอย่าง และการันตีได้ว่าสามารถทำงานได้เกินเงินเดือน 15,000 บาท นายจ้างที่ไหนก็อยากจ้างน้องทั้งนั้นแหละครับ ...
แต่สำหรับน้อง ๆ เด็กรุ่นใหม่ไฟแรงแบบ Gen Y มั่น ใจ ไฮเทค หัวก้าวหน้า พี่อยากบอกว่าถ้าเราเจ๋งจริง สุโค่ยสุด ๆ อย่าไปเป็นลูกจ้างใคร สร้างงานสร้างอาชีพด้วยตัวเอง เพราะน้องจะมีรายได้มากกว่าค่าจ้างเงินเดือนขั้นต่ำแน่นอน
เว้น เสียแต่ว่าน้องยังไม่แน่จริง ก็ต้องลองไปเป็นลูกจ้างดูก่อน หาประสบการณ์ เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ให้เยอะ ๆ อย่าเรื่องมากกับชีวิต ตราบใดที่เราเลือกไม่ได้เราก็จะเป็นฝ่ายที่ถูกเลือกเสมอ
แต่จริง ๆ พี่อยากแนะนำให้น้อง ๆ เป็นผู้เลือกมากกว่า แต่การจะเป็นผู้เลือกได้ น้องต้องเป็นตัวจริงในงานนั้น ๆ ซึ่งพี่มีหลักการง่าย ๆ สั้น ๆ ให้น้องเอาไปคิดและลองทำดู
พี่เรียกหลักกการนี้ว่า iREAL หรือ ฉันคือตัวจริง ซึ่งประกอบด้วย ...
Identity คือ น้องต้องมีลักษณะเฉพาะตัว ที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร หมายถึงลักษณะตัวงานผลงานของน้อง ที่ต้องมีเอกลักษณ์เฉพาะ ใครทำออกมาก็ไม่เหมือนน้อง อย่างนะละครับที่เรียกว่ามี identity
Result guaranteed น้อง ต้องมีผลงานที่รับรองได้ว่าดีจริง สามารถทำงานสร้างผลลัพธ์ทุกครั้งออกมาได้ดีตามความคาดหวังของผู้ว่าจ้าง เรียกว่าสามารถการันตีผลงานได้ทุกครั้ง ใครจ้างไปไม่ผิดหวังแน่นอน
Expert น้อง ต้องเชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษ เรียกว่าถ้าพูดถึงเรื่องนี้งานนี้ คนส่วนใหญ่จะต้องนึกถึงน้อง เพราะน้องมีความเชี่ยวชาญ รู้ลึก รู้จริง รู้กว้าง
Action-oriented น้อง ต้องเป็นตัวจริง ที่เกิดจากการลงมือทำด้วยตัวเอง เรียนรู้ฝึกฝน ลงมือทำ ทำ ทำ ทำ จนคนในวงการเขารู้เลยว่าน้องเป็นตัวจริง ผ่านการปฏิบัติมาอย่างช่ำชอง ไม่ใช่รู้มาก เจ้าหลักการ แต่ทำไม่เป็น ยังงั้นคงไม่มีใครจ้างแน่ ๆ ครับ
Learning all the time เป็นคนใฝ่รู้ ใฝ่เรียน ปรับปรุงพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ทำตัวเป็นแก้วที่ยังขาดน้ำที่ยังเติมได้อีก เป็นฟองน้ำที่พร้อมจะซึมซับสิ่งดี ๆ ไม่ปิดกั้นตัวเอง พร้อมจะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ทำให้ตัวเองก้าวหน้าไปได้เรื่อย ๆ
ก็หวังว่าหลักการ "ฉันคือตัวจริง" หรือ "iREAL" คงเป็นประโยชน์กับน้อง ๆ ที่กำลังจะเริ่มงานครั้งแรกในชีวิต
ขอให้ทุกคนได้เป็นตัวจริง ยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง สร้างงานสร้างอาชีพให้ตัวเอง เราต้องพึงตัวเอง อย่าหวังความช่วยเหลือจากใคร ๆ และอย่ายืมจมูกนักการเมืองมาหายใจเด็ดขาด !!!