บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2554

มองประเทศไทยในแง่ดี (15) ส.ส. คือใคร? เราจะเลือก ส.ส.ที่ดีได้อย่างไร?

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 พฤษภาคม 2554 16:37 น.

โดย พล.อ.สายหยุด เกิดผล
       ประธานองค์กรกลาง และพีเน็ต, ประธานก่อตั้งองค์กรแอนเฟรล (ANFREL)
      
       ส.ส.หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คือใคร? ถ้ามีใครถาม หรือถ้าถามตัวเอง ก็จะต้องตอบว่า คือผู้ที่ราษฎร (ผู้มีสิทธิออกเสียง) ส่วนมากเลือกตั้งเข้าไปทำหน้าที่แทนเขาในสภาผู้แทนราษฎร ตามการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตาม พ.ร.บ.การเลือกตั้ง สำหรับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 นี้ แต่ละเขตเลือกตั้งจะเลือกผู้แทนได้ 1 คน เท่าเทียมกัน นับว่าให้ความเป็นธรรมแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งดีที่สุด เขตเลือกตั้งหนึ่งก็จะมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งประมาณ 200,000 เสียง หรือน้อยกว่านั้น ส.ส.ที่เลือกเข้าไปเพื่อทำหน้าที่แทนราษฎรที่เลือกเข้าไป มุ่งหมายที่จะให้ไปสะท้อนความต้องการของประชาชน สะท้อนความรู้สึกของประชาชน สะท้อนความคิดเห็นของประชาชนในการบริหารบ้านเมือง ว่าเห็นด้วย ไม่เห็นด้วยอย่างไร นอกจากนั้นก็จะต้องเป็นผู้แทนของประชาชนในการควบคุม ตรวจสอบ ถอดถอน ผู้บริหารประเทศ ถ้าประพฤติตนไม่ดี ทุจริต คอร์รัปชัน ไม่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อความสุข สงบของประชาชน แต่ทำไปเพื่อญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง ผู้มีบุญคุณ มากกว่าผลประโยชน์ของราษฎรที่เลือก ส.ส.ผู้นั้นเข้าไป
      
       ดังนั้น ถ้า ส.ส.ผู้นั้นไม่ดี เช่น ไม่เข้าประชุมตามกำหนด ไม่เคยอภิปรายแสดงความคิดเห็นใดๆ เลย ในสภาฯ หรือพูดอภิปรายไม่มีเหตุไม่มีผล เป็นไปตามอารมณ์ และเพื่อความสะใจของตนเอง ด้วยความคะนองปาก อภิปรายด้วยความหยาบคาย ไม่มีกิริยามารยาทที่ดี ทั้งหมดนี้ก็ย่อมสะท้อนให้เห็นถึงความประพฤติของราษฎรที่เลือกผู้แทนนั้น เข้าไป คงเป็นคนเช่นนั้นด้วย ดังนั้น ราษฎรที่เลือก ส.ส.เช่นนั้นเข้าไป ควรจะละอายหรือสำนึกได้ว่า ตนได้เลือกคนผิดเข้าไป คราวต่อไปก็ควรจะต้องเลือกแก้ตัว เพราะเป็นเรื่องที่ผิดพลาดได้ อันเป็นความดีของระบอบประชาธิปไตย ที่กล่าวว่า ประชาชนเป็นผู้เลือก เป็นผู้ตัดสิน แต่ประชาชนก็อาจจะทำผิดพลาดได้ และประชาชนก็สามารถแก้ตัวได้ ไม่มีผู้ใดสามารถผูกขาดเหนือประชาชนได้
      
       เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมจึงเห็นว่าทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งทั่วไป เป็นโอกาสที่ประชาชนจะได้ไปตัดสินใจทางการเมืองครั้งสำคัญ ผมจึงเห็นว่า ประชาชนไม่ควรจะละเลยโอกาสอันสำคัญนี้เสีย เพราะเป็นโอกาสที่ประชาชนจะได้แก้ตัวใหม่ ถ้าได้ตัดสินใจผิดพลาดมาแล้ว ถ้าประชาชนจะได้ใช้เวลาที่ล่วงเลยมาแล้ว ทำการศึกษาติดตามพฤติการณ์ผู้แทนของท่าน ว่าเขาได้มีความประพฤติปฏิบัติอย่างไร เป็นไปตามที่ท่านคาดหวังหรือไม่ บุคคลที่เสนอเข้ามาแข่งขันคราวต่อไปก็คงเป็นคนที่ท่านรู้จัก ถ้าท่านไม่รู้จัก ท่านก็ควรจะได้ศึกษาเขาซึ่งก็คงไม่ยาก เพื่อไม่ให้ท่านเลือกคนผิดซ้ำ ขณะนี้ทราบว่ามีศูนย์ข้อมูลอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ท่านสามารถสอบถามได้ หรือมิฉะนั้น สื่อมวลชน โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ก็คงจะเปิดเผยข้อมูลของบุคคลเหล่านั้น ให้สาธารณชนได้ทราบ เพราะสังคมของเราดูจะเปิดเผยยิ่งขึ้น
      
       ถ้าท่านไม่เบื่อ “ระบอบประชาธิปไตย” ที่ท่านเรียกร้องได้มานี้เสียก่อน ตามคำกล่าวที่ว่า ระบอบประชาธิปไตย แม้จะไม่ใช่ระบอบที่ดีที่สุด แต่ก็เป็นระบอบที่เลวน้อยที่สุด นอกจากนั้น ก็มีคำกล่าวต่อไปว่า ผู้ที่จะทำลายระบอบประชาธิปไตยลงนั้น ก็คือ ผู้ที่เคยเรียกร้องหาประชาธิปไตย แล้วพากันเบื่อ! นั่นเอง คำกล่าวเหล่านี้คงจะให้ข้อคิด และ เตือนสติ บางอย่างแก่ท่านได้บ้าง
      
       จากประสบการณ์ของผมที่ได้เคยไปร่วมสังเกตการณ์ ตรวจสอบการเลือกตั้งของประเทศที่กำลังเริ่มต้นพัฒนาระบอบประชาธิปไตย จากที่เคยอยู่ในระบอบคอมมิวนิสต์ และระบอบเผด็จการ (ประชาธิปไตยรวมศูนย์) มาก่อน ในฐานะประธานแอลเฟรล ANFREL-Asian Net work for Free Election ซึ่งประเทศเหล่านั้นจะได้รับการสนับสนุนจากองค์กรสหประชาชาติ และประเทศประชาธิปไตยที่พัฒนาแล้วจากยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่น ประเด็นสำคัญที่องค์กรสนับสนุนเหล่านั้น นอกจากความเป็นกลางของคณะกรรมการการเลือกตั้ง กกต.ความเป็นกลางของรัฐบาลรักษาการแล้ว ก็จะให้ความสนใจอย่างยิ่งต่อ การให้การศึกษาแก่ผู้มีสิทธิออกเสียง - Voter Education เพราะจากประสบการณ์ที่ UN สะสมมานาน ทราบดีว่า หัวใจ ของการเลือกตั้งที่จะเป็นไปโดย สุจริต และยุติธรรม (Free & Fair) นั้น ไม่ใช่อยู่ที่กฎหมายและ การบังคับใช้กฎหมายแต่อย่างเดียว เพราะยากที่จะพิสูจน์และลงโทษผู้สมัครรับเลือกตั้งได้ เพราะเขามีวิธียอกย้อน ซ่อนเงื่อนมากมาย สิ่งเดียวที่เขากลัวก็คือ การลงคะแนนเสียงของประชาชน การลงคะแนนเสียงของประชาชนที่ถูกต้อง ก็คือจากการให้การศึกษาแก่ประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียง โดยเฉพาะก็คือ เสียงที่เป็นกลาง เสียงพลังเงียบ ซึ่งเป็น เสียงตัดสิน นั่นเอง เพราะเสียงที่เป็นฝ่ายที่เรียกว่า เสียงจัดตั้ง นั้น คงยากที่จะไปให้การศึกษาได้ เพราะเขาได้รับการศึกษาจากพรรคการเมืองที่เขาสนับสนุนจะด้วยอามิสสินจ้าง หรือด้วยความอุปถัมภ์ที่เคยได้รับ มีบุญคุณต่อกันมานานแล้ว
      
       แล้วใครควรจะเป็นผู้ให้การศึกษา เจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งถูกควบคุม รับใช้ พรรคการเมืองฝ่ายมีอำนาจอยู่ ประชาชนก็คงเชื่อว่าจะพูดได้ ก็เฉพาะตามคำชี้นำของพรรคการเมืองที่มีอำนาจนั้น พรรคการเมืองทั้งสองฝ่ายเขาก็ได้ให้การศึกษาแก่สมาชิก และผู้สนับสนุนเขาอยู่แล้ว เจ้าหน้าที่ กกต.ซึ่งต้องวางตัวเป็นกลางอย่างเคร่งครัด และดูแล้ว กกต.ดูเหมือนจะทำหน้าที่ในฐานะเป็นองค์กรของรัฐมากขึ้น แทนที่จะทำตนเป็นองค์กรอิสระ ประชาชนก็ไม่เชื่อว่า ทาง กกต.จะพูดชี้แจงได้มากเพียงใด หากกระทบกับพรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาล ดังนั้น ทาง UN จึงสนับสนุนให้ประชาชนที่เป็นกลางทางการเมืองของประเทศนั้น รวมตัวกันขึ้นเป็นองค์กร ซึ่งส่วนใหญ่ในเอเชียจะเป็นองค์กรสมาชิกของ ANFREL ซึ่งจะได้รับการสนับสนุนจาก ANFREL และองค์กรเอกชนจากอียู EU และอเมริกา เพื่อทำหน้าที่ให้การศึกษาแก่ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง และเข้าร่วมในการสังเกตการณ์ตรวจสอบการเลือกตั้งตามที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.เลือกตั้งของประเทศนั้นๆ โดย กกต.ให้ความสำคัญ และสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพราะลำพัง กกต.องค์กรเดียว ไม่สามารถทำให้การเลือกตั้งสุจริตและยุติธรรมได้ และ กกต.ถือว่าองค์กรเอกชนที่ว่านี้ได้อาสาสมัครมาทำงานช่วย กกต. มากกว่าที่จะเข้าใจผิดว่ามาคอยตรวจสอบ กกต.
      
       แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ประเทศไทยเรา ได้มีองค์กรที่เป็นกลางชนิดนี้มาทำการตรวจสอบการเลือกตั้ง ตั้งแต่ปี 2535 ได้ทำหน้าที่ให้การศึกษาแก่ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง และเข้าร่วมสังเกตการณ์ตรวจสอบการเลือกตั้ง เป็นผลดีมาลำดับ ตามที่กล่าวไว้ในบทความที่แล้ว (มองประเทศไทยในแง่ดี 14) แต่ต่อมาไม่ได้รับการสนับสนุนจาก กกต. โดย กกต.ได้ใช้งบประมาณที่ทางสำนักงบประมาณจัดสรรให้ ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ให้รัฐจัดสรรงบประมาณจำนวนหนึ่ง เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วม ตามที่ผมทราบ และได้ทำหนังสือถึง กกต. เพื่อขอให้แก้ไขมาแล้ว ว่าการที่ กกต.ใช้งบประมาณนั้นจำนวนประมาณ 200 ล้านบาท ไปในการจ้างให้ประชาชนมาทำงานให้กับ กกต. มากกว่าที่จะส่งเสริมเอกชนที่เป็นกลางทางการเมือง เข้าทำหน้าที่ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และประสบการณ์ของนานาชาติ และ UN อาจมีผู้สงสัยว่า จะเชื่อมั่นได้อย่างไรว่า องค์กรกลาง หรือองค์กรเอกชนอื่นๆ นั้น จะเป็นกลางเพียงใด ทั้งนี้ ประชาชนคงจะทราบได้จากผลงานที่แล้วมาขององค์กรเหล่านั้น ทางหนึ่ง หรือถ้าเห็นว่ามีข้อสงสัยใดๆ ก็สามารถซักถามได้ เพราะเป็นเอกชนด้วยกัน แต่กับเจ้าหน้าที่ของรัฐแล้ว ประชาชนคงไม่กล้าซักถามถึงความเป็นกลาง
      
       เมื่อพูดโดยรวมแล้ว ความเป็นกลางขององค์กรเอกชน ก็จะได้รับการตรวจสอบจากประชาชนด้วยกันนั่นเอง จะรู้ว่าเป็นกลางมากน้อยเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับความนิยมของประชาชนที่เป็นกลาง อย่างที่องค์กรกลางฯ ได้ทำหน้าที่นี้มาแล้ว อย่างน้อยก็เป็นการทำให้ประชาชนตื่นตัวเข้าร่วมในขบวนการเลือกตั้ง อันเป็นขบวนการเรียนรู้ประชาธิปไตย และเป็นการพัฒนาประชาธิปไตยที่สำคัญ ขอให้คิดดูว่า หน่วยเลือกตั้งทั่วประเทศมีมากกว่า 80,000 หน่วย ถ้ามีอาสาสมัครประชาชนเข้าร่วมตรวจสอบสังเกตการณ์การเลือกตั้งหน่วยละ 2 คน ก็เป็นคนเข้าร่วมในขบวนการถึงเกือบ 200,000 คน มีผู้ทำงานในเครือข่ายอีกไม่น้อยกว่าหมื่นคน ที่สำคัญก็คือประชาชนสามารถได้ทำในสิ่งที่ตนคิดเอง เชื่อเอง ไม่ใช่ทำตามคำสั่งของใคร นี่คือ หัวใจ ของประชาธิปไตย ไม่ใช่หรือ?
      
       ผมขอรับรองว่า ถ้าท่านได้ไปเห็นอาสาสมัครประชาชนที่มาร่วมทำกิจกรรมในการสัมมนา ในชนบท ทุกคนห่อข้าวมาทานกันเอง หรือทางองค์กรเอกชนจัดการสัมมนาตามสภาพความเป็นอยู่ของท้องถิ่น จะเสียงบประมาณน้อยมาก และทุกคนก็ยินดีเสียสละเพื่อส่วนรวม ในการจัดการหาเงินเพื่อเป็นกองทุนดำเนินการ ผมเชื่อว่า เมื่อเขาได้ทำในสิ่งที่เขาชอบ และยินดีเสียสละเข้าร่วมด้วยความเต็มใจ จะเป็นผลงานที่เขาประทับใจ และจะจดจำไปอีกนาน ไม่ใช่ทำเพื่อเงิน เพื่อเบี้ยเลี้ยง
      
       เราเรียกร้องเรื่องประชาชนให้มีส่วนร่วม บทบัญญัติรัฐธรรมนูญก็กำหนดไว้แล้ว งบประมาณก็จัดสรรให้แล้ว น่าที่จะใช้งบประมาณนั้นให้ถูก และให้ได้ผลตามเจตนารมณ์คงไม่ยาก และคงไม่เหลือความสามารถของท่านผู้รู้ ผู้มีอำนาจใน กกต.อย่างแน่นอน
      
       เรื่องที่จะให้การศึกษาแก่ประชาชน ตามที่ผมเข้าใจซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ ประชาชนกำลังสับสนอยู่ในขณะนี้ ประชาชนมีสิทธิซักถามผู้มาปราศรัยหาเสียงได้ ก็คือ
      
       1. ประชาธิปไตย ที่ประชาชนบางกลุ่มกำลังเรียกร้องอยู่ในขณะนี้ คือ ประชาธิปไตยแบบไหน? มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หรือไม่, ประชาธิปไตยแบบประชาชนมีส่วนร่วม มีฝ่ายค้านคอยถ่วงดุลหรือแบบรวมศูนย์ และจะได้ประชาธิปไตยเหล่านั้นมาได้อย่างไร? ถ้าไม่ผ่านการพัฒนา ผลักดัน ตามขบวนการประชาธิปไตย? ประชาธิปไตยไม่มีใครสร้างให้ได้ นอกจากประชาชนจะช่วยกันสร้างเอง ตามวัฒนธรรมของแต่ละชาติ ผมฟังดูแล้ว ดู จะเป็นหนังเรื่องเดิม ในสมัยต่อสู้กับการก่อการร้ายคอมมิวนิสต์นั่นเอง เป็นเพียงเรื่องเรียกร้องบังหน้า โดยมีเจตนาที่แท้จริงซ่อนอยู่
      
       2. ศัตรูของระบอบประชาธิปไตยทั่วโลก โดยเฉพาะที่เกิดขึ้นในสมัยสงครามเย็น และขณะนี้กำลังเกิดขึ้นในโลกประเทศอาหรับ ก็คือ เผด็จการ และคอร์รัปชัน เช่น เดียวกับที่เกิดขึ้นในประเทศไทย สมัยเมื่อมีการปกครองโดยระบบเผด็จการทหาร เพราะความจริงที่กำลังพิสูจน์อยู่ในโลกประเทศอาหรับก็คือ “เผด็จการจะอยู่ไม่ได้ ด้วยการพัฒนาประเทศแต่อย่างเดียว มุ่งหาเงินให้แก่ตนเองและพวกพ้อง โดยแบ่งให้ประชาชนบ้างเพียงเล็กน้อย” แม้ว่าผู้นำประเทศเหล่านั้น จะเป็นคนดี ได้รับความนิยมจากประชาชนมาแต่ต้น ในการต่อสู้กับอำนาจมหาประเทศอาณานิคม ประดุจเป็น “บิดา” ของประเทศเหล่านั้นมาแล้วก็ตาม แต่เขาไม่ยอมรับความคิดเห็นของคนรุ่นใหม่ มุ่งที่จะรักษาอำนาจและคงอำนาจไว้ต่อไป ด้วยการสร้างระบบราชวงศ์ - Dynasty หมายถึง การถ่ายโอนอำนาจให้แก่ทายาท (ลูกหลานพี่น้อง) ขึ้นแทน ประชาชนรุ่นใหม่ไม่สามารถยอมรับได้ จึงเกิดเหตุการณ์รุนแรงอยู่ทั่วไป ตั้งแต่ตูนิเซีย อียิปต์ ลิเบีย โอมาน เยเมน ซีเรีย อยู่ในปัจจุบัน ผมได้ไปเห็นประเทศเหล่านั้นมาแล้ว ไม่ใช่ผู้นำเหล่านั้นจะไม่พัฒนาประเทศ และลึกๆ กว่านั้นที่คนอื่นอย่างเราไม่ทราบ คงทราบแต่คนในประเทศนั้น ก็คือ คอร์รัปชัน (กินตามน้ำ) กับการสร้างราชวงศ์ขึ้นแทน
      
       3. การปราบปรามยาเสพติด กับปัญหาคอร์รัปชัน เป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกันโดยใกล้ชิด ที่จะปราบปรามยาเสพติดให้สำเร็จ โดยไม่ปราบปรามคอร์รัปชันด้วยนั้นไม่มี ก็จะเห็นแล้วว่า บางประเทศ “ยิ่งปราบยาเสพติด ยิ่งเพิ่มคอร์รัปชัน” เพราะเงินที่พวกยาเสพติดได้มานั้น มากมายมหาศาล บางประเทศ จนสามารถมีอำนาจเหนือเจ้าหน้าที่ของรัฐได้ แล้วยาเสพติดจะหมดไปได้อย่างไร? ถ้ารัฐบาลใดจะปราบปรามยาเสพติด ด้วยการเพิ่มอำนาจให้กับเจ้าหน้าที่ ด้วยการลงโทษอย่างรุนแรงแต่ทางเดียว โดยไม่เพิ่มอำนาจ และลงโทษ การคอร์รัปชันอย่างรุนแรงด้วยนั้น คงไม่ใช่หนทางปราบยาเสพติด ด้วยความจริงใจแน่ แต่อาจใช้การปราบยาเสพติดเพื่อผลประโยชน์ทางอื่นควบคู่กันไปด้วย อย่างที่เป็นอยู่ในประเทศอื่น และดูเหมือนในประเทศไทยเราก็พอจะมองเห็นอยู่บ้าง
      
       4. การแก้ปัญหาการก่อการร้ายในชายแดนภาคใต้ ก็เช่นเดียวกัน แม้ว่าจะมีหลักฐานว่ามีการสนับสนุนจากองค์กรก่อการร้ายนอกประเทศ แต่ถ้าไม่มีการก่อการร้ายในประเทศ เขาก็ไม่สามารถสนับสนุนใครได้ ดังนั้น น้ำหนักควรอยู่ที่เหตุภายในประเทศมากกว่า ต้นเหตุที่ก่อให้เกิดการก่อการร้ายภายในประเทศ ก็คือ ความไม่เป็นธรรมในสังคม จึงมีส่วนเกี่ยวเนื่องการคอร์รัปชันด้วย เพราะตามชายแดนมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องมาก ถ้าไม่ปราบคอร์รัปชันจริงจัง คงยากที่การก่อการร้ายจะหมดไปได้ ควรถามตัวเองว่าเหตุการณ์รุนแรงนี้ได้ยุติลงเป็นปกติสุขมาชั่วระยะหนึ่ง หลังจากที่สิ้นสุดการก่อการร้ายคอมมิวนิสต์แล้ว ทำไมจึงเริ่มเกิดขึ้นมาอีก!
      
       ผมคิดว่าเรื่องใหญ่ๆ 4 เรื่องนี้ ผู้รู้มีอยู่มาก ตัวอย่างบทเรียนก็มีอยู่มาก ทั้งนอกประเทศและในประเทศ ถ้า กกต.จะส่งเสริมให้องค์กรเอกชน เป็นผู้ให้การศึกษาแก่ประชาชน ผมเชื่อว่าประชาชนจะเข้าใจดีขึ้น จะเลือกคนมาเป็นผู้แทนเขาได้ดีขึ้น หรือมิฉะนั้นก็ควรส่งเสริมให้สถาบันการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยช่วยสอนการ เมืองภาคพลเมือง (Non-Partisan) ให้ประชาชนได้เข้าใจและเห็นความสำคัญ จะได้ไม่เบื่อการเมืองประชาธิปไตย ที่เราเรียกร้องหามาได้เสียก่อน แต่เราจะต้องช่วยกันพัฒนาต่อไปให้เป็นประชาธิปไตยเพื่อประชาชนให้จงได้ ขณะนี้ยังไปไม่ถึง
      
       ผมเชื่อว่าระบอบประชาธิปไตยของเราได้พ้นจาก “อมาตยาธิปไตย” มาแล้ว แม้จะไม่พ้นมาเสียทีเดียว ยังมีสีเปื้อนอยู่บ้างก็ตาม แต่ยังติดอยู่ที่ “ธนาธิปไตย” ยังอยู่ในมือของพ่อค้า หรือผู้มีธุรกิจ โดยใช้อำนาจเงินเป็นใหญ่ ใครมีเงิน คนนั้นเสียงดัง ใครมีเงิน ก็นึกว่าจะซื้อ “อำนาจรัฐ” ได้
      
       ผมเชื่อว่า “คนไทย” ทั้งประเทศ ไม่มีใครจะซื้อได้หรอกครับ จะซื้อได้ก็แต่บางคนเท่านั้น! ผมขอเตือนว่า แม้ว่าเงินจะซื้ออำนาจรัฐได้ แต่เงินก็สามารถทำลายอำนาจนั้นได้เช่นกัน
      
       เมื่อท่านได้ทบทวนประเด็นสำคัญ 4 ประการ ที่ผมกล่าวมาโดยย่อ และได้ฟังข้อมูลจากผู้รู้ทั้งโดยทางตรง โดยสื่อ โดยคำพิพากษาของศาล โดยละเอียดแล้ว ผมเชื่อว่า ทุกคนคงคิดได้ว่า ตนควรจะเลือกใคร คนซื่อสัตย์จริงใจ หรือ คนซื่อสัตย์แกมโกง ดี ถ้ามีคนมาถามผม ผมก็จะตอบว่า ให้เลือกคนดี คนดีในที่นี้หมายถึง คนดีของท่าน ไม่ใช่คนดีของผม หรือคนดีของคนอื่น เมื่อเลือกแล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องบอกใคร เพราะรัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ให้เป็นความลับเฉพาะตัวท่าน แม้แต่ญาติพี่น้อง หรือผู้บังคับบัญชาก็ไม่ควรบอก และท่านเหล่านั้นก็ไม่ควรถาม แล้วท่านจะสบายใจ และอยากไปเลือกตั้ง จำหมายเลขที่ท่านเห็นว่าเป็นคนดี ท่านต้องการเลือก หรือเขียนลงในฝ่ามือไว้กันลืม รวมทั้งหน่วยเลือกตั้งและที่ตั้งของหน่วยเลือกตั้ง ลำดับที่หมายเลข ในบัญชีผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ตามที่ทาง กกต.จะได้ส่งไปให้ท่านทราบล่วงหน้า
      
       อย่าลืมนะครับ! ว่าการเลือกตั้งเป็นเรื่องสำคัญ ยิ่งในระบอบประชาธิปไตย ไม่ควรทำเป็นเล่น ควรเป็นเรื่องจริงจัง คะแนนหนึ่งเสียงของท่านมีความหมายช่วยแก้ปัญหาบ้านเมืองได้ รัฐธรรมนูญกำหนดให้เป็นความลับส่วนตัวของท่าน ถ้าทุกคนทำตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด จะทำให้การเลือกตั้งมีความหมายยิ่งขึ้น จะทำให้ผู้สมัครทำตัวดีขึ้น เพราะไม่รู้ว่าตนได้รับเลือกตั้ง หรือไม่ได้รับเลือกตั้งเพราะใคร!

จดหมายเปิดผนึกถึง เจิมศักดิ์

1 มิถุนายน 2554
       เรียน รองศาสตราจารย์ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง

      
        ผมเป็นคนหนึ่งที่ติดตามผลงานของอาจารย์มาโดยตลอดด้วยความชื่นชม ผมดูรายการมองต่างมุมตั้งแต่สมัยผมเป็นนักเรียน ผมยอมรับว่าอาจารย์เป็นต้นแบบ ของผมคนหนึ่งที่ทำให้ผมอยากเป็นนักเศรษฐศาสตร์ อยากเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย และอยากทำวิจัยเรื่องเกี่ยวกับปากท้องของชาวบ้านคนไทย ผมชื่นชมที่อาจารย์ออกหนังสือรู้ทันทักษิณ และร่วมต่อสู้เพื่อต่อต้านทรราช ถึงทุกวันนี้ผลก็ยังติดตามรายการโทรทัศน์และวิทยุของอาจารย์อย่างต่อเนื่อง แต่ระยะหลังโดยเฉพาะวันนี้ผมรู้สึกผิดหวังในการทำงานของอาจารย์ในฐานะสื่อ เป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าก่อนนี้จะเคยรู้สึกรำคาญผู้จัดรายการร่วมของอาจารย์บางท่าน เช่นในรายการมุมมองของเจิมศักดิ์ ที่คุณจิตรกรเน้นเพียงชงเรื่อง และเออออห่อหมกไปกับอาจารย์ในทุกประเด็น จนทำให้เสน่ห์ของอาจารย์ในรายการเช่น มองต่างมุม หรือ เหรียญสองด้านหายไป แต่นั่นแหล่ะ เมื่อชื่อรายการชื่อ “มุมมองของเจิมศักดิ์” ผมก็เข้าใจรูปแบบของรายการและยอมรับได้
      
        แต่ประเด็นที่ผมรู้สึกผิดหวังกับการทำงานของอาจารย์ในฐานะสื่อสารมวลชนใน วันนี้คือ ประเด็นเรื่อง “Vote NO” ที่ทุกวันนี้อาจารย์กำลังเล่นเป็นประเด็นหลัก โดยการนำบทความจากสื่อต่างๆ โดยเฉพาะจากหนังสือพิมพ์แนวหน้าซึ่งอาจารย์ก็ทราบดีว่าจุดยืนของฉบับนี้เข้า ข้างพรรคการเมืองใด และการแสดงทัศนคติของอาจารย์ในทำนองที่ว่า เมื่อมีคนเลว กับคนเลวกว่า ทางเลือกที่ดีที่สุดคือเลือกคนที่เลวน้อยที่สุด เพื่อให้เดินหน้าต่อไปได้ ดังนั้น Vote No จึงดูจะเป็นทางเลือกซึ่งใช้ไม่ได้ และเมื่อร่วมกับผู้จัดรายการคู่กับอาจารย์แสดงความคิดเห็น Vote No จึงกลายเป็นแนวคิดที่ดูจะโง่เขลาเบาปัญญาอย่างยิ่ง ผมเข้าใจดีว่านี่คือกระบวนทรรศน์แบบเศรษฐศาสตร์ Classical แต่สำหรับอาจารย์ซึ่งมีความสนใจในเรื่องของพุทธศาสนา และได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับพระอาจารย์ที่เป็นอริยสงฆ์มาแล้วเป็นจำนวนมาก ทำไมอาจารย์ไม่พิจารณาตามหลักการของเศรษฐศาสตร์แนวพุทธบ้างครับ
      
        อุปมาการทำหน้าที่สื่อของอาจารย์ ณ ขณะนี้เหมือน ถ้ามีเหล้าอยู่ 2 ขวด ขวดหนึ่งเป็นเหล้าเถื่อน ชาวบ้านแอบต้มกันเอง ไม่แน่ใจว่าจะอันตรายจากแอลกอฮอล์ที่ไม่สามารถรับประทานได้หรือไม่ กับอีกขวดหนึ่งเป็นเหล้าวิสกี้ชั้นดี นำเข้าจากต่างประเทศ ราคาขวดละหลายพันบาท สิ่งที่อาจารย์กำลังพยายามบอกกับทุกคนตอนนี้คือ กินเหล้าวิสกี้จากต่างประเทศเถอะ
      
       ทำไมอาจารย์ไม่ใช้รายการของอาจารย์ซึ่งมีอิทธิพลต่อความคิดของนิสิต นักศึกษาและปัญญาชนของประเทศนี้ แสดงให้พวกเขาเห็นล่ะครับว่า จะเหล้าขวดไหนมันก็ผิดศีลเหมือนกัน มันเป็นอบายมุขเหมือนกัน เป็นสิ่งเสพติดเหมือนกัน และดื่มเข้าไปก็เป็นผลเสียต่อสุขภาพร่างกายเหมือนกัน ดังนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดคือ ไม่ควรดื่ม หรือไม่เลือกที่จะดื่ม
      
       เรื่องพรรคการเมืองก็เช่นเดียวกัน ถ้าประชาชนบางกลุ่ม บางคนเชื่อว่าพรรคการเมืองที่เป็นตัวเลือกในขณะนี้มันไม่มีพรรคไหนที่ดี ถ้าพรรคไหนเข้ามาเป็นรัฐบาลก็จะเกิดผลเสียต่อประเทศเช่นเดียวกัน การรณรงค์ให้ไม่เลือกใคร แต่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งหรือการ Vote No ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขามิใช่หรือ?
      
       อาจารย์กำลังวิตกกังวลเรื่อง ล้มหล่อเพื่อช่วยเหลี่ยม มากเกินไปหรือไม่ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ การ Vote No ซึ่งเป็นการไม่เลือกทั้งหล่อ และทั้งเหลี่ยมนั้น โดยทางอ้อมอาจจะทำให้คะแนนของหล่อหายไป แต่คะแนนของเหลี่ยมยังอยู่ครบ แต่มันก็ได้เป็นการแสดงให้คนทั้งโลกได้เห็น ทำให้ประวัติศาสตร์ต้องบันทึก และเป็นจุดเปลี่ยนทางสังคมมิใช่หรือว่าประชาชนชาวไทยกลุ่มหนึ่งเริ่มตื่นตัว ทางการเมือง เริ่มคิดเป็นว่าถ้าตัวเลือกไม่ดี คนไทยก็มีสิทธิที่จะไม่เลือก ถ้าคนที่เสนอตัวเข้ามาให้เลือกไม่มีคุณธรรม ก็อย่าไปเลือก อย่างน้อยที่สุดระบบคุณธรรม จิตสำนึกที่ดีทางการเมืองในระบบประชาธิปไตยก็เกิดขึ้น
      
       หน้าที่ของสื่อมวลชน ซึ่งอาจารย์ก็เป็นหนึ่งในนั้น คือการต้องเอาความจริงมาเผยแพร่ ทำไมอาจารย์ไม่ใช้โอกาสนี้นำเสนอให้ประชาชนได้รู้ทัน ทั้ง “รู้ทันหล่อ” และ “รู้ทันเหลี่ยม” ล่ะครับ นายกรัฐมนตรีบางคนหน้าตาดี ภาพพจน์ดี การศึกษาดี เป็นคนดี แต่กำลังพายเรือให้โจรนั่ง ในขณะที่อีกตัวเลือกก็เป็นร่างทรงของอดีตนายกฯ ที่อาจารย์ได้ทำการรู้ทันไปแล้ว ผมเชื่อว่าอาจารย์เองก็มีประเด็นในเรื่องเหล่านี้มาตีแผ่ นำประเด็นเหล่านี้มาเปรียบเทียบ มาวิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่สิ่งที่ผมเห็นและได้ยินจากรายการของอาจารย์ไม่ได้เป็นอย่างนั้นครับ
      
       ผมเห็นอาจารย์น้ำตาซึมในรายการเมื่อมีภาพข่าวขององค์พระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว อย่างไรก็ตาม อาจารย์อย่าลืมพระบรมราโชวาทของในหลวงที่ว่า “ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุข เรียบร้อยจึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมความดี ให้คนดีปกครองบ้านเมือง และคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้”
      
       ในทัศนคติหรือในมุมมองของผม VOTE NO คือการทำหน้าที่นี้ครับ!
      
       จึงเรียนมาเพื่อทราบ และโปรดพิจารณาปรับปรุงแนวทางการจัดรายการของอาจารย์ให้เป็นแบบที่น่าศรัทธา น่าเชื่อถือ และเป็นพุทธะแบบ อาจารย์คนเดิมที่เป็นบุคคลตัวอย่างของผมด้วยครับ
      
       ด้วยความเคารพ
       อาจารย์ ดร.ปิติ ศรีแสงนาม
       คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ความจริงเรื่องฟอร์เวิร์ดเมล์จบคดีแพรวา8ศพอวสานคนจน สะท้อนคนไทยสิ้นหวังกระบวนการยุติธรรม


สังคมที่โหยหาความยุติธรรม-ภาพ ข่าวฝันร้ายส่งท้ายปีเก่าที่ชนชั้นกลางชาวกรุงเทพฯตกตะลึงว่า นี่อาจจะเกิดกับตัวเองหรือคนในครอบครัวเมื่อไหร่ก็ได้ และเมื่อคู่กรณีมีนามสกุลใหญ่มีเส้นสาย ก็อาจถูกเป่าคดีทิ้งง่ายๆ นี่อาจเป็นเหตุที่ทำให้คนเชื่อและแพร่ข่าวต่อทันทีเมื่อมี"ฟอร์เวิร์ด เมล์"แพร่ออกไปว่า คดีนี้ปิดลงแล้วด้วยการที่ผู้ต้องหามีเส้นสายนางมารร้ายลอยนวล..แต่ความจริง นั้น หากจะสืบเสาะซักนิด ความจริงอาจเป็นคนละเรื่อง อาจจะเป็นเพียงอคติบนฐานคติที่ว่า สังคมไทยไม่มีความยุติธรรมหลงเหลืออยู่แล้วนั่นเอง


1 มิถุนายน 2554

หมายเหตุ ช่วงตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคมมานี้ มีการส่งต่อฟอร์เวิร์ดเมล์เรื่อง"น้องแพรวา 9 ศพ"แพร่หลาย สรุปไปในทำนองว่า คดีปิดแล้ว แพรวาไม่ผิด โดยผู้ส่งอีเมล์อ้างว่า ดูข่าวจากช่อง3 อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบของเราพบว่าข่าวช่วงเวลาเดียวกันกับที่มีการเผย แพร่อีเมล์นี้ ความจริงอาจจะเป็นอีกเรื่อง

ก่อนจะอ่านฟอร์เวิร์ดเมล์ ลองไปตรวจสอบข่าวเรื่องแพรวา ในสื่อเกี่ยวกับเรื่องนี้กันดูหน่อย

อัยการสั่งตร.แจ้งข้อหาเพิ่มสาวซีวิค"โทร.ขณะขับ",มติชนออนไลน์ ,วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 เวลา 13:54:33 น.

เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พนักงานอัยการฝ่ายคดีเยาวชนและครอบครัว 1 มีคำสั่งให้พนักงานสอบสวน สน.วิภาวดี แจ้งข้อหาเพิ่มเติมกับ น.ส.เอ (นามสมมุติ) อายุ 17 ปี ที่ขับรถยนต์ฮอนด้า ซีวิค เฉี่ยวชนท้ายรถตู้โดยสารบนทางด่วนโทลล์เวย์ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 9 ราย และบาดเจ็บจำนวนมาก อีก 1 ข้อหา คือ ใช้โทรศัพท์ขณะขับรถยนต์ นอกเหนือจากข้อหาขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส และถึงแก่ความตาย เหตุเกิดเมื่อค่ำวันที่ 27 ธันวาคม 2553

อัยการพิจารณาพยานหลักฐานของพนักงานสอบสวนแล้วปรากฏหลักฐานชัดเจนว่า น.ส.เอใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถยนต์ แต่จะเป็นเหตุให้ขับรถยนต์ไปเฉี่ยวชนรถตู้หรือไม่ ต้องพิจารณาอีกครั้ง จึงให้พนักงานสอบสวนไปแจ้งข้อหาใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถยนต์เพิ่มเติม ความ ผิดฐานนี้พนักงานสอบสวนสามารถเปรียบเทียบปรับได้ทันที หาก น.ส.เอรับสารภาพ เช่นเดียวกับข้อหาขับรถยนต์โดยไม่มีใบอนุญาต แต่หาก น.ส.เอให้การปฏิเสธ พนักงานสอบสวนจะต้องทำสำนวนมาให้อัยการพิจารณาสั่งฟ้องเพิ่มอีก 1 ข้อหา

มติชนออนไลน์อาจจะไม่เสนอข่าวตรงๆถึงชื่อแพรวา งั้นไปดูอีกสำนักข่าว...

-แจ้งข้อหาเพิ่ม “แพรวา” ใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ
,โดย ทีมข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการ Online 30 พฤษภาคม 2554 12:51 น.

อัยการฝ่ายคดีเยาวชนและครอบครัว สั่งพนักงานสอบสวน สน.วิภาวดี แจ้งข้อหาเพิ่ม “แพรวา” ใช้โทรศัพท์ขณะขับรถยนต์อีก 1 ข้อหา หลังพิจารณาหลักฐานชัดพบ “แพรวา” ใช้มือถือขณะขับรถ แต่เป็นเหตุให้เกิดรถเฉี่ยวชนหรือไม่ต้องพิจารณาอีกครั้ง โดยอัยการนัดฟังคำสั่งคดีอีกครั้งวันที่ 23 มิ.ย.นี้

วันนี้ (30 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พนักงานอัยการฝ่ายคดีเยาวชนและครอบครัว 1 มีคำสั่งให้พนักงานสอบ สน.วิภาวดี แจ้งขอหาเพิ่มเติมต่อ น.ส.อรชร หรือแพรวา เทพหัสดิน ณ อยุธยา อายุ 17 ปี ที่ขับรถยนต์ยี่ห้อฮอนด้า ซีวิค เชี่ยวชนท้ายรถตู้โดยสาร บนทางด่วนโทลล์เวย์ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 9 ราย และบาดเจ็บจำนวนมาก อีก 1 ข้อหา คือ ใช้โทรศัพท์ขณะขับรถยนต์ นอกเหนือจากข้อหาขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส และถึงแก่ความตาย เหตุเกิดเมื่อค่ำวันที่ 27 ธันวาคม 2553

โดยอัยการพิจารณาพยานหลักฐานของพนักงานสอบสวนแล้ว ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่า น.ส.แพรวาใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถยนต์ แต่จะเป็นเหตุให้ขับรถยนต์ไปเฉี่ยวชนรถตู้หรือไม่ต้องพิจารณาอีกครั้ง จึงได้ให้พนักงานสอบสวนไปแจ้งข้อหาใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถยนต์เพิ่มเติม ซึ่งความผิดฐานนี้พนักงานสอบสวนสามารถเปรียบเทียบปรับได้ทันทีหาก น.ส.แพรวารับสารภาพ เช่นเดียวกับข้อหาขับรถยนต์โดยไม่มีใบอนุญาต แต่หาก น.ส.แพรวาให้การปฏิเสธ พนักงานสอบสวนก็จะต้องทำสำสวนมาให้อัยการพิจารณาสั่งฟ้องเพิ่มอีก 1 ข้อหา โดยขณะนี้ยังไม่ทราบว่าพนักงานสอบสวนได้เรียกผู้ต้องหามารับทราบข้อกล่าวหา และผู้ต้องหาให้การอย่างไร จึงต้องรอผลการสอบสวนเพิ่มเติมจากพนักงานสอบสวนในส่วนนี้ก่อน โดยอัยการนัดผู้ต้องหามาฟังคำสั่งคดีอีกครั้งเช้าวันที่ 23 มิถุนายนนี้ แต่หากได้รับผลสอบเพิ่มเติมก็สามารถสั่งคดีได้ก่อน


********
คราวนี้ก็ไปดูฟอร์เวิร์ดเมล์กัน...

โดยก่อนจะกลายมาเป็นfwmยอดฮิตในเวลานี้ เคยเป็นกระทู้ชื่อ เมื่อกี้ดูข่าวช่อง3 เรื่องน้องแพรวา เทพหัสดิน ณ อยุธยาแล้วของขึ้นเลยอ่ะ ทางเว็บบอร์ด http://bbznet.pukpik.com โดยกระทู้นี้ถูกตั้งขึ้นเมื่อ 24/05/2011 , 17:08:16 (วันที่ 24 พฤษภาคม 2554)

จากนั้นก็กระจายไปตามเว็บบอร์ดต่างๆ และกลายมาเป็นfwmยอดฮิต ดังที่นำมาลงให้อ่านรายละเอียดดังต่อไปนี้

เมื่อกี้ดูข่าวช่อง3 เรื่องน้องแพรวา เทพหัสดิน ณ อยุธยาแล้วของขึ้นเลยอ่ะ

เค้าสรุปแถลงการณ์ว่าแพรวาไม่ผิดอะไร ไม่ได้ชนรถตู้ รถตู้เสียหลักชนกำแพงเอง แล้วแพรวาก็ชนกำแพงเองไม่เกี่ยวข้องกัน แถมจะฟ้องกลับคนขับรถตู้ว่าทำไมขับรถเลนขวา และคล่อมเลน และขอความเห็นใจให้น้องแพรวาที่โดนสังคมประนามจากข่าวผิดๆ และขอร้องสื่อมวลชนให้ๆข่าวที่ถูกต้องด้วย

เค้าว่าถ้าแพรวาชนท้ายจริงสภาพน้องต้องบาดเจ็บมากกว่านี้ เพราะขับแค่ซีวิค รวมถึงยังไม่มีกองพิสูจน์หลักฐานไหนสรุปว่าแพรวาชนจริง ส่วนญาติฝ่ายผู้เสียหายหลายชีวิตบอกว่า เห็นๆอยู่จากกล้องวงจรปิดว่า ชนท้ายถึง 2 ครั้ง ทำไมสรุปแถลงการณ์อย่างนี้

แล้วถ้าไม่ชนตอนแรกแพรวายอมรับว่าชนทำไม ฟังแล้วเซ็ง ทำอย่างนี้สังคมยิ่งรังเกียจของอย่างนี้รู้ๆกันอยู่ ญาติผู้ตาย1รายเอาเงินค่าทำศพคืนแม่แพรวาเป็นเงิน 40,000บาท รวมถึงรานอื่นๆก็บอกว่าไม่เคยไปเรียกร้องอะไร

ทำไมข่าวออกมาว่าทางแพรวาบอกว่าญาติผู้เสียหายเรียกร้องมากเกินเหตุ เค้าแค่อยากให้ออกมาแสดงความเสียใจ ใครจะกล้าเรียกอะไรใหญ่คับฟ้าขนาดนั้น ช่วยส่งต่อด้วยนะคับ ข่าวไม่ดังเลยเพราะสื่อไม่กล้าลง "ถ้าเป็นอย่างนี้ จะหาความยุติธรรมจากที่ไหน ครับพี่น้อง นี่ขนาดเป็นคดีดังออกสื่อรู้กันอยู่กับพลิกได้ แล้วถ้าเกิดกับพวกเราคนธรรมดา ไม่ได้เด่นดัง จะได้อะไรบ้าง สมแล้วกับการ ที่เค้า ว่า 2มาตรฐาน จริงๆ ...

ย้อนอดีตกันสักนิด เผื่อบางคนจะลืมเรื่องนี้ไปแล้ว

ทุกคนกะลังช่วยเหลือคนเจ็บ...แต่ดูเธอทำ...?



สิวขึ้นหน้าผากเม็ดใหญ่เลย!!!!!!

อีกหนึ่งเหยื่อของเหตุการณ์นี้
นุ่น สุดาวดี นิลวรรณ นักศึกษานิติศาสตร์ ปี 3 ม.ธรรมศาสตร์


นุ่น เปนคนอัธยาศัยดี ช่วยเหลือคนอื่น เธอคือคนที่เพื่อนรัก
นุ่น มีเวลาชอบไปออกค่ายช่วยเหลือชุมชนกับเพื่อนๆ
นุ่น กำลังจะเรียนจบนิติ และอยากจะสอบเป็นผู้พิพากษาให้พ่อ
นุ่น เรียนเก่ง จบมาต้องได้เป็นผู้พิพากษาอย่างที่หวังไว้แน่ๆ
นุ่น แม้จะอยู่ไกลเพื่อน แต่นุ่นก็โทรมาร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ทเดย์ให้เพื่อนถึงขอนแก่น

เพื่อนบอกว่าเวลานุ่นไปดูดวง มีคนบอกว่านุ่นเปนคนมีบุญ ทำบุญมาเยอะ
เพราะว่านุ่นเปนคนมีบุญ เลยจากพวกเราไปเรว เพราะกรรมนุ่นหมดแล้ว
นุ่นชอบบอกว่้าตัวเองเปนนางฟ้าตกมาจากสวรรค์
ถึงตอนนี้นุ่นต้องกลับไปที่ที่นุ่นจากมา...
...นุ่นไม่ได้ไปไหน นุ่นก็แค่กลับสวรรค์...

ชีวิตของคนที่ส่งตัวเองเรียนจนจบ ดร. กับชีวิตของคนที่บ้านมีฐานะพ่อแม่ซื้อรถให้ขับ มันต่างกันยิ่งนัก ...
ผลงานวิจัยไบโอเทคได้รับรางวัล Excellent Paper Award for Overseas Researchers 2010
นี่คือหนึ่งในผู้เสียชีวิต( ผู้ชายสูง) เป็นรุ่นพี่ Biotechnology ม.เทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก
เป็นบุคลากรคนหนึ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ แต่ต้องมาจบชีวิตเพราะขยะสังคม
นี่แหล่ะ Dr.
ประวัติดร.ศาสตรา เช้าเที่ยง

ดร.ศาสตรา เช้าเที่ยง หรือ "เป็ด" เกิดเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2521 ที่จังหวัดราชบุรี และได้รับทุนกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เมื่อปี 2538 เพื่อไปศึกษาในระดับปริญญาตรี-โท-เอก ที่ประเทศอังกฤษเมื่อสำเร็จระดับปริญญาเอกสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพจาก University of Bermingham ในเดือนมกราคม 2549 "ดร.เป็ด" ได้กลับมาเริ่มงานที่ห้องปฏิบัติการวิศวกรรมโปรตีนลิแกนด์และชีววิทยา โมเลกุล หน่วยวิจัยชีววิทยา
น.ส.ตรอง สุดธนกิจ หรือพี่ซีตรอง สิงห์แดงรุ่น57 จบรัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ปีการศึกษา2551 อดีตนักเรียนมาแตร์เดอีวิทยา ขอแสดงความเสียใจด้วยคะ credit : pantip

เหยื่ออีกราย เธอคือพนักงานขับรถตู้โดยสาร ชื่อ นางนฤมล(ติ๊ก) ปิดตาทะนัง อายุ 38 ปี
เป็นคนอารมณ์ดี สดใสร่าเริง ใฝ่รู้ รักเพื่อนฝูง และรักในอาชีพของตนเอง ถึงแม้เธอจะมีวุฒิไม่สูงเหมือนใครๆ แต่เธอก็เป็นคนดีของสังคมที่น่ายกย่องเชิดชู ในฐานะรากหญ้าที่ทำมาหากินสุจริต ขอให้คุณติ๊กไปสู่สุขติครับ


เหยื่ออีกรายหนึ่ง



นายภิญโญ จินันทุยา อายุ 34 ปี ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายบริหารจัดการเทคโนโลยีและสารสนเทศ
เป็นคนเก่งคนหนึ่งหลังจากเรียนจบ ม.ปลายที่ จ.นครสวรรค์ ก็ได้ทุนไปศึกษาต่อที่ประเทศญี่ปุ่นจนจบปริญญาโทด้านสถาปัตยกรรม ก็กลับมาใช้ทุนที่คณะสถาปัตยกรรม ม.ธรรมศาสตร์ และเตรียมที่จะขอทุนไปศึกษาต่อปริญญาเอกที่ประเทศอังกฤษ

ขอให้ไปสู่สุขติครับ

เหยื่ออีก 1 ราย คือนักศึกษาจากเมืองเชียงใหม่

นายปรัชญา(ต้น) คันธา อายุ 21 ปี ศึกษาอยู่ชั้นปีที่3 คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อยู่บ้านเลขที่105/29 หมู่ 1 ต.ช้างเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม่
ต้องจบชีวิตลงเพราะความประมาทเลินเล่อของคนบางคน
ขอให้น้องต้นไปสู่สุขติครับ

เจอใน pantip ขออนุญาต share ค่ะ
"เนื่อง จากดิฉัน ในฐานะนักศึกษาคนหนึงในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เพราะเพื่อนดิฉันเสียชีวิตในเหตุการณ์ (นุ่น สุดาวดี นิลวรรณ ) ในวันเกิดเหตุทันทีที่ทราบข่าวรถตู้ประสบอุบัติเหตุ ประมาณ สามทุ่มกว่าๆ เพื่อนดิฉันจำนวนหนึ่งได้รีบเดินทางไปที่ ร พ วิภาวดี เพื่อดูอาการเพื่อน ซึ่งในห้องฉุกเฉินของ ร พ นั้น เต็มไปด้วยเตียงคนเจ็บจำนวนมาก แพทย์และพยาบาลก็วุ่นวาย ในการช่วยเหลือคนเจ็บอย่างเต็มที่ ในขณะที่เพื่อนดิฉันก็ วุ่นวายอยู่กับการหาเพื่อนที่บาดเจ็บ ว่าเป็นอย่างไร คนไหน แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็น รถเข็นเตียงผู้ป่วย เข็นออกจากห้อง Red Zone ซึ่งบนเตียง มีร่างหญิงสาว ใส่ชุดสีดำ ตามตัวมีบาดแผลถลอกนิดหน่อย แต่ในมือ เธอกำลังกดบีบี ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ ในขณะนั้น เพื่อนของดิฉัน ไม่ทราบว่า เธอคือ แพรวา คนที่ ขับรถชนรถตู้ เป็นเหตุให้เราสูญเสีย ทรัพยาการบุคคลไปถึง 8 คน

ที่ตั้งกระทู้นี้ ไม่ได้ต้องการอะไร แค่อยากบอกให้คนบางคนที่มองในมุมว่า แพรวา คือเยาวชนและยังเด็ก กระทำไปโดยประมาท ไม่ได้ตั้งใจ คือประเด็นมันน่าจะอยู่ที่จิตสำนึกมากกว่า อุบัติเหตุเป็นสิ่งที่เกิดกันได้ทุกคน ทุกเวลาก็จริง แต่หากผู้กระทำมีส่วนสำนึกในสิ่งที่ตนได้กระทำลงไป กระแสสังคมคงไม่ประณาม เธอถึงขนาดนี้

(ดิฉันไม่ได้อคติ กับแพรวา เพียงเพราะเธอนามสกุล เทพหัสดิน ณ อยุธยา แต่อยากให้คนที่ทำผิด สำนึกผิดและเป็นไปตามขั้นตอนตามกฏหมาย )

ใคร??? ช่างกล้า

แหม่..ทำเข้าไปได้!เอาหญ้ายัดปากป้ายอภิสิทธิ์ 

 



โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
ที่มา เฟซบุ๊คMkrab Wansri


เฟซบุ๊คของผู้ใช้ชื่อMkrab Wansriได้ลงภาพมีการทำลายป้ายหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์หลายแบบ ทั้งกรีดแผ่นป้ายนำภาพถ่ายส่วนหัวของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ออก ขณะที่บางป้ายเจาะช่องตรงปากแล้วนำหญ้ามายัดใส่ปาก

เป็นห่วงพื้นฐานทางจริยธรรมคนไทยบางกลุ่ม ค่อนข้างต่ำ ซึ่งจะทำให้บ้านเมืองมีปัญหาไม่จบสิ้นครับ การเคารพกติกา การรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง การมีน้ำใจนักกีฬาคือรู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย ยังต้องรณรงค์ปลูกฝังกันต่อไป

พร้อมกันนั้นได้เปิดเผยที่มาของภาพว่า ภาพที่เห็นปรากฎอยู่ที่อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยมีเพื่อนส่งมาให้

ก่อนหน้านี้รายการเรื่องเล่าเช้านี้ทางช่อง 3 ของสรยุทธ์ สุทัศนะจินดา นำเสนอข่าวว่าที่กาฬสินธุ์มีการนำหญ้ายัดปากป้ายนายอภิสิทธิ์ ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฏหมาย


ป้ายหาเสียง ปชป. ที่ จ.น่าน ถูกทุบ กรีดเละ















ไทยรัฐออนไลน์ รายงานว่า สนามเลือกตั้งน่านดุ ป้ายหาเสียงพรรคประชาธิปัตย์ โดนมือดี ทุบ-กรีด พ่นสีข้อความทับแผ่นป้ายผลงานและนโยบาย พังเละ

หลังการมีการ สมัคร ส.ส.จังหวัดน่าน เสร็จสิ้นแล้ว ส่งผลให้บรรยากาศการหาเสียงเลือกตั้ง เริ่มกลับมาคึกคัก และมีสีสันขึ้นอย่างชัดเจน ป้ายหาเสียงของพรรคการเมืองต่างๆ เริ่มทยอยขึ้นในถนนสายต่างๆ ทั้งสายหลักและตามหมู่บ้านชุมชนต่างๆ

อย่างไรก็ตาม แผ่นป้ายผลงานและนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีรูปนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ซึ่งติดตั้งไว้ตั้งแต่สะพานพัฒนาภาคเหนือ เริ่มจากบ้านแสงดาว หมู่ 2 ต.ฝายแก้ว อ.ภูเพียง จ.น่าน ยาวตลอดเส้นทางสายน่าน-แม่จริม ไปจนถึงบริเวณบ้านน้ำใส หมู่ 5 ต.ฝายแก้ว อ.ภูเพียง จ.น่าน จำนวนกว่า 25 แผ่นป้าย ได้ถูกทำลายเสียหาย โดยใช้มีดกรีดบริเวณรูปนายอภิสิทธิ์ จนเป็นรู บางป้ายก็ถูกกรีดขาดจนเหลือครึ่งเดียว

นอกจากนี้บางป้ายยังถูกพังล้มระเนระนาด ที่หนักคือ สีพ่นข้อความ ทับแผ่นป้ายผลงานและนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคม 54 ที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ไม่มีผู้แทน หรือว่าที่ผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ จ.น่าน เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่อย่างใด

โดยขณะนี้ทาง พล.ต.ต.ฉลองชัย บุรีรัตน์ ผบก.ภ.จ.น่าน ได้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.ภูเพียง เร่งเก็บข้อมูล สืบสวน เพื่อทำบันทึกหลักฐาน แต่ยังไม่สามารถหาตัวผู้กระทำผิดได้

ด้านนายคำรณ ลำพูน ผู้สมัครเลือกตั้ง สส. ในระบบบัญชีรายชื่อ และในฐานะที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ สาขาน่าน เปิดเผยว่าขณะนี้ ได้รับรายงานว่าป้ายหาเสียงพรรคถูกทำลาย แล้ว โดยป้ายหาเสียง ดังกล่าวนี้ เป็นป้ายนโยบายพรรคจากส่วนกลางซึ่งส่งให้กับทีมงานดำเนินการติดตั้งจึงไม่ ทราบในเรื่องจำนวนป้าย และการติดตั้งทั่วทั้งจังหวัดน่าน

โดยตนเอง จะได้มอบหมายให้ทางศูนย์ประสานงานพรรคประชาธิปัตย์สาขาน่าน เข้าแจ้งความร้องทุกข์เพิ่มอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากเป็นคดีเกี่ยวกับการทำลายทรัพย์สิน

แบบนี้มั้ง ถึงจะปรองดอง!



 โดย ดร.ไก่ Tanond เมื่อ 2 มิถุนายน 2011 เวลา 8:27 น.

หากจะดูกันตามเนื้อผ้า ในบริบทที่สำคัญและเด่นชัดของสังคมไทยในวันนี้ ก็คงแยกได้ตามหลักใหญ่ใจความ ออกเป็น 2 บริบทหลัก ดังนี้-

1. บริบทของฝ่ายการเมือง - ที่ีซ้อนกันอยู่จาก2ฝัก2ฝ่าย ที่กำลังทำกันทุกวิถีทางเพื่อ รักษาอำนาจทางการเมือง ของพวกตนเอาไว้ โดยมีฝ่ายหนึ่งที่ถูกทำให้พลัดหลงจากอำนาจไปเมื่อเกือบ 3 ปีก่อน กำลังนำเรื่องฟอกตัว ฟอกความความผิดของทั้งตัวผู้นำทัพเอง รวมถึงเหล่าสมุนเสื้อแดงที่ถูกติดป้ายว่า เป็นพวกก่อการร้าย เป็นกบฏ และเป็นพวกล้มเจ้า ให้สูญหายมลายไปสิ้นด้วยการประกาศจะ นิรโทษกรรม หากได้เข้าสู่อำนาจทางการเมือง

ส่วนอีกฝ่ายหนึ่ง อยู่ในอำนาจมาเกือบ 3 ปี ปรากฏชัดว่า ใช้อำนาจหน้าที่ไปในทางที่ก่อเสียหายอย่างรุนแรงต่อประเทศชาติ ในเรื่องอาณาเขตและดินแดนของประเทศ ฝ่ายนี้ก็เล็งหาทางออกให้กับตนเอง เล็งไกลเสียด้วยกะจะฟอกตัวทั้งจากอดีต ช่วงก่อนปี2543 ยาวมาจนถึงปัจจุบัน ถ้าศาลโลกพิพากษา ให้ไทยเราเป็นฝ่ายแพ้เขมร เช่นนี้แล้วมองยังไงๆฝ่ายการเมืองจึงมีแต่ปัญหาใหญ่หนักอก อย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อนก็ว่าได้

2. บริบทของภาคประชาชน - การเคลื่อนไหวของภาคประชาชน ที่ขับเคลื่อนโดยพันธมิตรที่ผ่านมา5-6นี้ ได้ให้ความรู้ความเข้าใจแก่ผู้คนมาอย่างมากมายแบบต่อเนื่อง จนเมื่อบริบทของฝ่ายการเมือง เลวร้ายตกต่ำจนสุดที่จะทนกันต่อไป การนำมาตรการ โหวตโน มานำใช้เพื่อปฏิเสธระบบการเมืองที่ตกต่ำที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยมีมา จึงได้กำเนิดขึ้น โดยมีหลายฝ่าย หลายกลุ่ม ที่เรียกตนเองภาคประชาชนได้ร่วมกันออกมารณรงค์อย่างที่เราทราบกันอยู่

เช่น นี้แล้ว หากดูบริบทของทั้ง 2 ฝ่ายแล้ว แนวคิด กระทั่งข้อเสนอในการ "ปรองดอง" ที่ปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน ดูแล้วไม่สามารถจะบรรลุสู่เป้าหมายได้ตามข้อเสนอฝ่ายที่1. บนพื้นฐานของความชอบด้วยกฎหมาย และความชอบธรรมทางการเมืองของภาคประชาชน

ทว่า มาตรการการปรองดอง ที่สมควรนำใช้ ที่จะชอบด้วยกฎหมาย เป็นธรรมและอิงหลักนิติรัฐโดยแท้จริง ควรจะอยู่ที่
1.แยก 2 ส่วนข้างต้นนี้ให้ขาดออกจากกันโดยสิ้นเชิง อย่านำปัญหาของฝ่ายการเมือง มายุ่งเกี่ยวกับความต้องการของภาคประชาชน ที่จะแอบแฝงไปด้วยพฤติกรรมอำพลาง และนัยซ่อนแร้น ด้วยการนำ "การเลือกตั้ง" มาบังหน้าอย่างที่กำลังกระทำกันอยู่

2.แยกกันเดิน แยกกันแก้ ส่วนใครส่วนมัน โดย
2.1 ภาคประชาชน กดดันด้วยมาตรการ โหวตโน ให้เกิดการเว้นวรรคทางการเมือง เพื่อให้ประชาชนร่วมกันตั้งกฏ ตั้งกติกาทางการเมืองกันใหม่ ภายในระยะเวลาสัก 2 ปี

2.2 ในช่วงระยะเวลา 2 ปีนี้ ฝ่ายการเมืองเองก็แก้ปัญหาของตนไป ผ่านกระบวนการยุติธรรมที่พึงมี ยอมรับในผลตามกระบวนการนี้ ปรับสถานะของพวกตน ให้อยู่ในวิสัยที่จะเป็น หรือ กลับมาเป็นชนชั้นปกครอง ที่ประชาชนจะพอรับด้วยความสมัครใจ แล้วเริ่มต้นเข้าสู่กระบวนการเข้าสู่อำนาจทางการเมืองกันใหม่ ตามกฏ กติกา ตามความต้องการของประชาชน ที่ได้กำหนดขึ้นมาใหม่

2.3 ผมเข้าใจดี ว่าโอกาสที่จะเป็นเช่นนี้ได้ ไม่มีอยู่เลย จึงเพียงอยากจะให้ฝ่ายการเมือง ที่คิดว่าตนเองมีศักดิ์ มีสิทธิ์ และมีสถานะที่เหนือกว่าประชาชน มีภาษีที่จะทำตามอำเภอใจตนได้มากกว่า อย่างที่เคยเป็นมาในอดีต ได้ตระหนักกันให้จงหนักว่า วันนี้ความคิดความอ่าน ความแหลมคม และความจำเริญในทางการเมืองของภาคประชาชนนั้น ได้ผ่านเลยพัฒนาการของฝ่ายการเมืองมาไกลแล้ว พวกเราจึงจะไม่ยอมกันอีกต่อไป และมาตรการโหวตโน นี้แหละที่จะทำให้ฝ่ายการเมือง "ต้องหยุดฟัง" เสียงจากประชาชน และหันกลับมาปรองดองกันเช่นว่าข้างต้นนี้

เพราะ ในท้ายสุด การปรองดอง นั้นมิใช่หรือ! คือ การถอยกันคนละก้าว ต่างฝ่ายต่างฟังข้อเรียกร้องจากฝ่ายตรงข้ามกัน แล้วนำมาปฏิบัติตาม ให้ได้มากพอที่จะทำให้ทั้ง 2 ฝ่าย(การเมืองและประชาชน) สามารถหวนกลับมาเป็นหนึ่งเดียวกันและเดินหน้ากันต่อไป

บังเอิญ ตัวเลือกอื่น ก็ไม่มีเสียด้วยนะในคราวนี้ เช่นนี้แล้วหากฝ่ายการเมืองไม่ยอมรับ กับการปรองดองที่ว่ามานี้ ก็อย่าได้หวังว่าจะเอาผลจากการเลือกตั้ง มาข่มขืนใจประชาชนอีก เพราะคะแนนโหวตโนจะมีมาก จริงอยู่ว่าอาจไม่เกินครึ่ง แต่ก็จะมากกว่าคะแนนของบัญชีรายชื่อจากทุกพรรคการเมือง อย่างแน่นอน แล้ววันนั้นฝ่ายการเมืองจะเอาอะไรมาอ้าง? ว่าพวกตนเข้าสู่อำนาจทางการเมือง แบบชอบด้วยกฎหมาย และมาด้วยความชอบธรรมทางการเมือง?
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง