กรณีนี้ “ธรรมสถิตย์ ผลแก้ว”เขียน บทวิเคราะห์ไว้ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2555 เรื่องพลิกคดี”คืนพื้นที่”ลืมได้อย่างไร โดยระบุว่า “ในเมื่อผลความคืบหน้าคดี กลับระบุ อยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวน นั่นจะหมายความว่า ให้ยุติคดีจบๆกันไปซะเพื่อความปรองดองอย่างนั้นหรือ”
ธรรมสถิตย์เขียนไว้ว่าเหตุการณ์ขอคืนพื้นที่การชุมนุมบริเวณสี่แยกคอกวัว เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 นำมาซึ่งความสูญเสีย มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต บางคนอาจลืมแต่มีอีกจำนวนหนึ่งไม่อยากลืม
ด้านหนึ่งเป็นความไม่อยากลืมของเหล่าแกนนำเคลื่อนไหวด้วยการพยายามใช้วัน ที่ 10 เม.ย.ของทุกปีมาร่วมจัดกิจกรรมรำลึก แสดงพลังของมวลชนที่เกาะกลุ่มอย่างเหนียวแน่น
แต่อีกด้าน ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์โดยตรงลืมไม่ได้ อันเป็นผลจากการทำงานเจ้าหน้าที่คลี่คลายคดีอย่างล่าช้า ทำให้ต้องติดตามทวงถามกันต่อไป
ขณะที่กลุ่มผู้ที่สร้างเงื่อนให้เกิดเหตุปะทะ ด้วยการพามวลชนไปยึดสถานีไทคม ยั่วยุกองทัพภาคที่ 1 จนเป็นเหตุให้รัฐบาลสั่งการให้ทหารออกมาขอคืนพื้นที่ เป็นเหตุบานปลายให้มีผู้บาดเจ็บ เสียชีวิต วีรกรรมคณะแกนนำเหล่านี้ดูจะไม่ทำให้ประชาชนลืมไปได้เช่นกัน เพราะในที่สุดแล้วได้รับการประกันตัว ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งทางบริหาร นิติบัญญัติ เป็นที่ปรึกษา เลขานุการรมว. ฯลฯ
ฝ่ายผู้กุมอำนาจรัฐพยายามที่จะสร้างบรรยากาศความปรองดองด้วยการ ให้ทุกฝ่ายลืมๆกันไป ด้วยการใช้วิธีจ่ายค่าชดเชย เยียวยาค่าความตาย 7.75 ล้านบาท ขยับไกลไปถึงเตรียมการออกกฎหมายนิรโทษกรรม โละคดีความผิดทั้งหมดให้เริ่มนับหนึ่งกันใหม่ อ้างทุกฝ่ายได้ประโยชน์แต่ก็ตามมาด้วยข้อกังขาเป้าหมายหลักเพียงเพื่อรล้าง โทษทั้งหลายให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
การเดินหน้าปรองดองด้วยวิธีนี้สามารถทำให้ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ลืมได้จริงหรือ
กรณีการเสียชีวิตของพล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม เป็นตัวอย่างหนึ่งที่คนในครอบครัว เจ้าหน้าที่ทหาร ประชาชน ลืมไม่ได้ แต่ยังถูกตั้งคำถามคดีบิดเบือนหรือไม่
นิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม ภรรยาพล.อ.ร่มเกล้า เคยเปิดใจโพสต์ทูเดย์ เมื่อครั้งเหตุการณ์เผาเมืองสงบถึงคดีพล.อ.ร่มเกล้ามีความคืบหน้าไปมาก กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอสามารถจับตัวผู้ต้องสงสัยมาได้และยังนำมาตั้ง โต๊ะแถลงข่าวถูกตีข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ กระทั่งนำไปคุมขังแต่ต่อมาพล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ อดีตรองนายกฯ ผู้ต้องการสร้างบรรยากาศปรองดอง ก็ได้ใช้ตำแหน่งประกันตัวกลุ่มผู้ต้องสงสัยเหล่านี้ออกไป
เมื่อเปลี่ยนรัฐบาล คดีพล.อ.ร่มเกล้า พลิก!
จากที่มีความคืบหน้าของคดีแต่ผ่านมาสองปี 10 เม.ย.คดีไม่ไปถึงไหน สร้างความแปลกใจให้นิชา เธอจึงไปตามความคืบหน้าจากพล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ผลปรากฎว่า ได้เอกสารมาแผ่นเดียวด้วยการสรุปความคืบหน้าว่า “ คดีอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวน ขณะนี้ยังไม่มีพยานหลักฐานใดที่จะทราบตัวคนร้ายในคดีนี้ “ เธองงมาก
ทั้งที่ดีเอสไอเคยสรุปสำนวนการเสียชีวิตของพล.อ.ร่มเกล้าเป็นฝีมือของนปช. แต่จู่ๆกลับไม่ทราบตัวคนร้ายซะแล้ว
โพสต์ทูเดย์ได้ตรวจสอบเอกสารดีเอสไอที่นำเสนอ รมว.ยุติธรรม ยิ่งทำให้เห็นการทำงานหน่วยงานรัฐสร้างเงื่อนปมปริศนาคาใจ
ตามดูกันตั้งแต่บรรทัดนี้ … คดีพล.อ.ร่มเกล้าเดิมถูกจัดเป็นคดีพิเศษที่ 61/2553 มีการรายงานพฤติการณ์คดีดังนี้ จากการสอบปากคำพยานและรวบรวมพยานหลักฐาน พอสรุปสาระสำคัญได้ว่า ในวันที่ 10 เม.ย. 53 เวลาประมาณ 20.30 น. ก่อนเกิดเหตุ ขณะที่ผบ.พล.2 รอ.และพ.อ.ร่มเกล้าฯพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ทหารกำลังปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ อยู่หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ถนนดินสอ แขวงวัดบวรนิเวศน์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ทหารที่รับผิดชอบในการขอคืนพื้นที่บริเวณแยกคอก วัว ถนนตะนาว แขวงบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ ว่าได้ถูกกองกำลังไม่ทราบฝ่ายติดอาวุธ ใช้อาวุธปืนสงคราม ระเบิดขว้างและเครื่องยิงระเบิด เอ็ม 79 ยิงเข้าใส่ทหารและประชาชน จนเสียชีวิตเป็นจำนวนมากไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ จึงได้ขออนุญาตถอนกำลังทหารกลับที่ตั้ง
ผบ.พล.2รอ.ได้เรียกพ.อ.ร่มเกล้าฯ (ยศขณะนั้น) และผู้บังคับหน่วยประชุมที่บริเวณหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ขณะที่กำลังวางแผนในการถอนกำลังกลับที่ตั้ง เวลาประมาณ 20.40 น. ปรากฎว่ามีระเบิด 2 ลูกตกเข้าใส่กลุ่มนายทหารที่ร่วมประชุมกันอยู่ เป็นเหตุให้ ผบ.พล.2 รอ.ได้รับบาดเจ็บสาหัส พ.อ.ร่มเกล้าฯกับพวกเสียชีวิต จากการสอบปากคำเจ้าหน้าที่ทหารที่อยู่ในเหตุการณ์ไม่มีทหารนายใดให้การว่า เห็นใครเป็นคนร้ายที่ก่อเหตุในครั้งนี้
กองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ไปตรวจสถานที่เกิดเหตุแล้ว มีรายงานผลการตรวจยืนยันว่า หลุมระเบิดตรงที่เกิดเหตุ 2 จุด เกิดจากระเบิดชนิดขว้างเอ็ม 67 และจากการตรวจศพของแพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าระบุว่าสาเหตุการตายของ พล.อ.ร่มเกล้าฯบาดแผลจากแรงระเบิดที่บริเวณท้ายทอยชิ้นส่วนโลหะทำลายเนื้อ สมองไม่มีบาดแผลใดของศพระบุว่าถูกกระสุนปืนแต่อย่างใด
ความคืบหน้า - คดีอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวน ขณะนี้ยังไม่มีพยานหลักฐานใดที่จะทราบตัวคนร้ายในคดีนี้
นี่คือความคืบหน้าที่ส่งถึงรัฐบาลชุดปัจจุบัน
นำมาซึ่งข้อสังเกต 1.ผลความคืบหน้าคดีเหตุใดถึงพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ 2. เมื่อปี 2554 ดีเอสไอสรุปว่าคดีพล.อ.ร่มเกล้าเสียชีวิตจากการกระทำนปช. มีการจับผู้ต้องสงสัยตัวเป็นๆ พร้อมหลักฐาน อาวุธสงครามมาแถลงข่าว สื่อตีข่าวโดยทั่วกัน แต่ปี 55 กลับระบุไม่มีพยานหลักฐาน 3.ขณะที่คนในรัฐบาลกำลังบอกให้ลืมๆกันไปซะ แต่ในเมื่อผลความคืบหน้าคดี กลับระบุ อยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวน นั่นจะหมายความว่า ให้ยุติคดีจบๆกันไปซะเพื่อความปรองดองอย่างนั้นหรือ
เป็นตัวอย่างหนึ่งในอีกหลายคดีรวมถึงการเสียชีวิตพี่น้องเสื้อแดง การเสียชีวิตของน.ส.กมนเกด อัคฮาด หรือ น้องเกด และ 5 ศพ ที่วัดปทุมวนาราม การเสียชีวิตสื่อต่างประเทศ แต่รัฐบาลกำลังใช้เวลา 2 ปีก้าวข้ามเหตุการณ์เหล่านี้ปิดฉากความเจ็บปวด ด้วยการนิรโทษกรรม
ย้อนดูผลสอบ บทสรุปแยกคอกวัว
หลังเหตุการณ์เผาเมืองสงบลง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) ได้ทำการตรวจสอบเหตุการณ์นำเสนอรายงานออกมาเมื่อวันที่ 6 ก.ค.54 สรุปได้ดังนี้
ผู้ชุมนุม การชุมนุมของกลุ่ม นปช. ซึ่งชุมนุมอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมี.ค.-10 เม.ย. 53 ได้ปิดกั้นการจราจร ทั้งที่ถนนราชดำเนินและสี่แยกราชประสงค์ทำให้ประชาชนเดือดร้อนเกินสมควร และกระทบต่อสิทธิ์ของคนอื่นในการใช้ชีวิตโดยปกติ และถือเป็นการกระทำที่เกินไปกว่าการใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ
แม้ในเบื้องต้นการชุมนุมเป็นไปโดยสงบ แต่วันที่ 10 เม.ย. การที่รัฐบาลขอคืนพื้นที่ ปรากฎข้อเท็จจริงว่ากลุ่ม นปช. ได้มีการต่อต้านและขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐ ทั้งมีกลุ่มชายชุดดำติดอาวุธปะปนอยู่กับผู้ชุมนุม อัน ถือว่าเป็นกลุ่มผู้สนับสนุนที่มีอาวุธและมีลักษณะเป็นกระบวนการที่พร้อมใช้ อาวุธและความรุนแรงได้ตลอดเวลา ดังนั้นการชุมนุมดังกล่าวจึงไม่ใช่การชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ
รัฐบาล การขอคืนพื้นที่เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 53 เป็นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อคุ้มครองสิทธิ์ประชาชนทั่วไป ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินการตามมาตรการที่ประกาศไว้ก่อนจริง กระทำจากเบาไปหาหนัก จึงเป็นการกระทำภายใต้กฎหมายที่ให้อำนาจไว้ แม้มีการกระทำที่ก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บต่อผู้ชุมนุม ทั้งการใช้กระบอง แก๊สน้ำตา กระสุนยาง แต่เมื่อพิจารณาย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำที่ไม่เกินกว่าเหตุโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับฝ่ายผู้ชุมนุมที่มีอาวุธและผู้สนับสนุนที่มีอาวุธสงคราม
การขอคืนพื้นที่ของรัฐบาลในครั้งนี้ ยังขาดการวางแผนที่ดีทั้งเชิงรุกและรับ การข่าวที่ไร้ประสิทธิภาพและการใช้วิธีการที่ไม่เหมาะสม ไม่ได้สัดส่วนกับการกระทำของฝ่ายผู้ชุมนุมที่ใช้ความรุนแรงและมีอาวุธร้าย แรง ทำให้เกิดความเสียหายต่อเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานจำนวนมาก ซึ่งการที่รัฐบาลไม่สามารถวางแผนหรือบริหารจัดการควบคุมสถานการณ์อย่างมี ประสิทธิภาพเพื่อปกป้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ เป็นเหตุให้ประชาชนและผู้ชุมนุมเสียชีวิตรัฐบาลต้องรับผิดชอบในการชดใช้ เยียวยาค่าเสียหาย
นอกจากนี้เหตุระเบิดในที่ประชุมนายทหารโดยการเข้าเป้าด้วยแสงเลเซอร์ แสดงให้เห็นว่ามีการวางแผนเพื่อฆาตกรรมนายทหาร ได้แก่ พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม และ ส.ท.ภูริรัตน์ ประพันธ์ อันเป็นการกระทำที่แฝงอยู่ในเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างทหารกับกลุ่มชายฉกรรจ์ จึงเป็นการกระทำผิดกฎหมายอาญา ซึ่งรัฐบาลต้องสืบสวนหาผู้กระทำผิดมาลงโทษ
อีกด้านหนึ่งเราได้รับ”ผังภูมิ”การจับกุมและดำเนินคดีกลุ่มบุคคลที่ใช้ อาวุธและความรุนแรงพร้อมทั้งระบุว่าคนเหล่านี้คือ”ชายชุดดำ”ที่ติดอาวุธโดย มีแผนภูมิต่างๆดังนี้
“นิวยอร์คไทม์”แพร่ภาพชายปริศนาใส่ชุดดำถือปืนระหว่างเหตุปะทะ
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1271059714&grpid=&catid=
“อัลจาซีรา”แพร่ภาพชายลึกลับถือ “อาก้า”ปะปนกับผู้ชุมนุมเสื้อแดง
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1270999463&grpid=10&catid=02
ฟังชัดๆ เสธ.แดง หลุดปาก “นักรบพระเจ้าตาก” ฆ่าพันธมิตรฯ
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9520000150248