บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ส.ค.ส.พระราชทานจากในหลวง ตั้งแต่ปี 2530 จนถึงปัจจุบัน


ส.ค.ส.พระราชทานจากในหลวง ตั้งแต่ปี 2530 จนถึงปัจจุบัน




ในทุก ๆ เทศกาลปีใหม่ เราทุกคนมักจะมอบความสุข ของขวัญ รวมไปถึงคำอวยพรดี ๆ ให้กับคนที่เรารัก แต่สำหรับชาวไทยทุกคน คงไม่มีของขวัญ หรือคำอวยพรใดที่ยิ่งใหญ่กว่า “พรที่ได้รับจากในหลวง” หรือ ส.ค.ส.พระราชทาน จากในหลวง
และถือว่า ปวงชนชาวไทยนั้นโชคดีเป็นอย่างมาก ที่พระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่ง ได้มอบบัตรส่งความสุข หรือ ส.ค.ส. พระราชทานให้เป็นของขวัญปีใหม่แก่คนไทยทุกปีมาโดยตลอด
ขอพาเพื่อน ๆ ย้อนเวลาไปชมภาพ ส.ค.ส.  ที่ในหลวงของเราได้พระราชทานมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530 จนถึงปัจจุบัน มานำเสนอให้ได้ชมกันค่ะ








** หมายเหตุในปี พ.ศ. 2548 ไม่มี ส.ส.ค.  เนื่องด้วยเหตุ ธรณีพิบัติภัยคลื่นสึนามิเข้าชายฝั่งทะเลอันดามัน จากแผ่นดินไหวในมหาสมุทรอินเดีย





ข่าวโดย : ข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม





กระทรวงการต่างประเทศตกต่ำที่สุด : สัมภาษณ์พิเศษ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ


'ประสงค์ สุ่นศิริ'ลั่นกต.ตกต่ำที่สุด

กระทรวงการต่างประเทศตกต่ำที่สุด : สัมภาษณ์พิเศษ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โดยสมถวิล เทพสวัสดิ์

                ไม่ใช่เฉพาะ "ดร.ปึ้ง" สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เท่านั้นที่แสดงความแปลกใจหลังทราบข่าวว่าตัวเองได้รับการเสนอชื่อให้เข้ามา ทำหน้าที่เป็น "รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ" แม้กระทั่งประชาชนเองหลายคนก็งงและกังขา โดยมองว่าการจัดวางคนไม่ถูกกับงานและความสามารถ

                จนกระทั่ง "ดร.ปึ้ง" ได้เข้าปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ "รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ" ผ่านไปได้ระยะหนึ่งเสียงครหาก็ตามมาหลายเรื่อง

                แต่เรื่องที่สังคมให้ความสนใจมากที่สุดคือเรื่องการออกพาสปอร์ตให้แก่ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" แม้ว่าท่าทีของ "ดร.ปึ้ง" เกี่ยวกับเรื่องการออกพาสปอร์ตให้แก่ "ทักษิณ" มีจุดยืนและแสดงความชัดเจนมาตั้งแต่ต้นแต่ไม่มีใครคิดว่าจะดำเนินการอย่าง "เงียบและรวดเร็ว" แค่เข้ามาดำรงตำแหน่งเพียง 2 เดือนเท่านั้น

                รวมทั้งท่าทีไม่ทำหนังสือประท้วงรัฐบาลกัมพูชาต่อกรณีทหารกัมพูชายิง เฮลิคอปเตอร์ของไทย โดย "ดร.ปึ้ง" มองว่า "เป็นเรื่องเข้าใจผิดที่สามารถพูดคุยกันได้ ซึ่งกัมพูชาก็ได้แสดงความเสียใจผ่านทาง พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม มาแล้วว่า เป็นเรื่องความผิดพลาดของการสื่อสาร ไม่ควรเอาเรื่องจนก่อให้เกิดความบาดหมางใจกันอีก"

                สังคมจึงตั้งข้อสงสัยถึงเรื่องการบริหาร "อำนาจ" ในฐานะเป็น "รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ" ได้กระทำสิ่งที่เหมาะที่ควรหรือไม่อย่างไร

                "น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ" อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ให้ความเห็นต่อการแสดงบทบาทของ "ดร.ปึ้ง" ในฐานะเป็นผู้บริหารสูงสุดในกระทรวงการต่างประเทศว่า เป็นการปฏิบัติหน้าที่ที่ใช้ไม่ได้มากที่สุด การกล่าวอ้างเรื่องความสัมพันธ์สามารถพูดคุยกันได้ภายหลัง เมื่อกัมพูชาทำผิดแล้วไม่ขอโทษเป็นกิจจะลักษณะ หรือแม้ว่าจะขอโทษแล้วก็ต้องชดใช้ค่าเสียหายที่ทหารกัมพูชายิงเฮลิคอปเตอร์ ของไทยด้วย ดังนั้นจึงต้องประท้วง เมื่อทำผิดก็ต้องชดใช้ด้วย

                "ผมรู้สึกสงสารกระทรวงการต่างประเทศและประเทศไทย ที่มีผู้บริหารสูงสุดของกระทรวงที่มีพื้นฐานความรู้ความเข้าใจ ทำงาน 3-4 เดือน ทำให้กระทรวงการต่างประเทศตกต่ำที่สุด และขอเตือนข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศให้ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ตามกฎระเบียบของกระทรวงอย่างตรงไปตรงมา คำสั่งที่ขัดต่อกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ วัฒนธรรมการทำงาน ไม่จำเป็นต้องทำตาม" อดีต รมว.ต่างประเทศ กล่าว

                ส่วนเรื่องการออกพาสปอร์ตให้แก่ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" น.ต.ประสงค์กล่าวว่า การออกหนังสือเดินทางหรือพาสปอร์ตให้บุคคลทั่วไป หรือคนอื่นๆ มีกฎเกณฑ์กระทรวงการต่างประเทศกำหนดไว้แล้ว โดยเฉพาะคุณสมบัติต้องห้าม ได้กำหนดไว้ ข้อ 21 ที่ระบุที่ไม่ให้ผู้ต้องคดีจำคุก หรือได้รับคำสั่งศาลไม่ให้ออกนอกประเทศ มีหมายจับ เป็นข้อห้ามชัดเจน

                หนังสือเดินทางไทย มี 4 ประเภท ได้แก่ หนังสือเดินทางทูต หนังสือเดินทางราชการ หนังสือเดินทางบุคคลทั่วไปและหนังสือเดินทางชั่วคราว ซึ่งทั้ง 4 ประเภท มีข้อกำหนดปฏิบัติมานานแล้ว การออกหนังสือเดินทางให้พ.ต.ท.ทักษิณ จึงผิดกฎเกณฑ์ของกระทรวงชัดเจน

                "การออกพาสปอร์ตให้คุณทักษิณ ถือว่าผิดทั้งระเบียบ ข้อกำหนด กระทรวงการต่างประเทศใครสั่งการ รวมทั้งผู้ที่ร่วมอยู่ในขั้นตอนการออกพาสปอร์ตให้ถือว่ามีความผิดด้วยทั้ง นั้น เพราะคุณทักษิณมีหมายจับอยู่หลายคดี การที่รัฐมนตรีต่างประเทศออกพาสปอร์ตให้คุณทักษิณ ผมจึงเห็นว่าเป็นการทำผิดกฎกระทรวงการต่างประเทศ และยังทำผิดกฎหมายอาญามาตรา 157 ข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เพราะคุณทักษิณมีหมายจับ แต่คุณสุรพงษ์ยังไปออกหนังสือเดินทางให้อีก" น.ต.ประสงค์กล่าว

                อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า นายสุรพงษ์ต้องรับผิดชอบเพราะเป็นคนสั่งการ เพราะนายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงชัดเจนทำตามนโยบายรัฐบาลที่ต้องการคืนสิทธิการทำหนังสือเดินทางให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ แสดงว่ามีการสั่งการ แต่เรื่องนี้เจ้าหน้าที่ที่ร่วมดำเนินการก็ต้องรับผิดชอบด้วย

                ส่วนที่นายสุรพงษ์อ้างว่าที่ออกหนังสือให้พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เป็นภัยต่อประเทศ น.ต.ประสงค์ เห็นว่า คำกล่าวอ้างของนายสุรพงษ์ เป็นการเอาสีข้างเข้าถู โดยไม่ดูข้อกำหนดบุคคลต้องห้ามออกพาสปอร์ตให้กรณีใดบ้าง ถือเป็นการกระทำที่ไม่รอบคอบ ไม่ดูหลักเกณฑ์

                กรณีที่ นพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ แถลงว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางโดยใช้พาสปอร์ตของมอนเตเนโกร ไม่ใช้พาสปอร์ตไทย อดีต รมว.การต่างประเทศ กล่าวว่า แสดงให้เห็นว่านายนพดล ก็ยอมรับสถานะของพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่สัญชาติไทย แต่ใช้สัญชาติมอนเตเนโกร ก็แสดงว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่คนไทยแล้ว

                "คุณทักษิณได้ยื่นหนังสือขอทำพาสปอร์ตที่สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2554 ในวันที่ 26 ตุลาคม ก็ส่งหนังสือเดินทางไปให้คุณทักษิณทันที เหมือนได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว"

                ส่วนที่หลายฝ่ายมองว่าไม่มีหนังสือเดินทางของไทยพ.ต.ท.ทักษิณ ก็เดินทางโดยพาสปอร์ตมอนเตเนโกรได้ น.ต.ประสงค์ กล่าวว่า การที่พ.ต.ท.ทักษิณขอพาสปอร์ตไทยมีความมุ่งหมายเพื่อต้องการแสดงให้บาง ประเทศเห็นว่าตนเองมีหนังสือเดินทางที่ออกให้โดยรัฐบาลไทย ซึ่งแสดงว่า ไม่มีคดีติดตัว แม้ไม่ใช่ แต่ถ้าเดินทางเข้าประเทศอังกฤษ สหรัฐ ก็สามารถใช้พาสปอร์ตอ้างกับประเทศเหล่านี้ได้

                น.ต.ประสงค์ กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า การคืนพาสปอร์ตให้แก่พ.ต.ท.ทักษิณ รัฐบาล และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะดูแลกระทรวงทุกกระทรวงต้องรับผิดชอบ โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีเมื่อรู้เรื่องแล้วไม่ยกเลิกพาสปอร์ต เพื่อทำให้ถูกต้อง ก็ถือว่าต้องรับผิดชอบด้วย



คมชัดลึก

จะปกป้องสถาบันกษัตริย์ต้องรู้ทันพวกล้มเจ้า!!

บทความของ ใหม่ เมืองเอก เมื่อ ข้อมูลดี for ใหม่เมืองเอก 



พวกไม่จงรักภักดีต่อสถาบันฯ เหตุคอมมิวนิสต์แพ้  



ผมได้มีโอกาสอ่านแนวคิดของเว็บที่หมิ่นสถานบันฯที่เราคนไทยรักและจงรักภักดี ตอนแรกผมรู้สึกอึ้งและเสียใจกับความคิดของผู้คนที่แสดงความคิดเห็นในเว็บหมิ่นฯนี้ 
.
แต่ต่อมา ผมก็พยายามตรึกตรองหาเหตุผลและเข้าใจว่า ทำไมคนพวกนี้ถึงได้มีแนวคิดเช่นนี้ ผมกลับรู้สึกสงสารพวกเขาที่จมอยู่กับความคิดที่มีแต่ทุกข์แบบนี้ พวกเขาคงไม่มีความสุขแบบที่เราคนไทยส่วนใหญ่รู้สึก
.. 
หลายๆคนในเว็บหมิ่นฯนี้ ผมต้องยอมรับว่า พวกเขาฉลาดและเก่งมากๆทีเดียว เป็นนักวิเคราะห์ชั้นเลิศหลายคน เป็นนักคิดอีกหลายๆคน เป็นนักตรรกกะที่มีความแหลมคมมาก แต่ละคนต่างบรรจงสร้างสรรค์เชิงทำลายสถาบันฯด้วยการผูกเรื่องได้ซับซ้อนซ่อนเงื่อนปะติปะต่อเหตุการณ์ต่างๆราวกับนักเขียนนวนิยายเชิงสืบสวนสอบสวน (เช่นนวนิยายผจญภัยเชิงสืบสวนลึกลับคล้ายเรื่อง"รหัสลับดาวินชี"ที่ดูน่าเชื่อถือในสายตาคนดูที่รู้น้อยในเรื่องคริสต์ศาสนา แต่สุดท้ายก็แค่นิยายสนุกๆล้อเลียนเสียดสีคริสต์จักรเท่านั้น) แต่ทั้งหลายทั้งปวงของคนพวกนี้ต่างก็อยู่บนพื้นฐานของอคติต่อสถาบันฯทั้งหมด
หมิ่นพระบรมเดชานุภาพผมคิดว่าพวกเขาทั้งหลายนั้น หลายๆคนน่าจะไม่ได้เติบโตมาในยุคของภัยคอมมิวนิสต์ที่คุกคามประเทศในอาเซียน
หลายคนก็อาจเป็นคอมมิวนิสต์ที่เคยพ่ายแพ้ในยุคนั้น
หลายคนน่าจะเติบโตมาในยุคที่เสรีภาพไร้พรมแดนจนไม่รู้ถึงความสำคัญของสถาบันฯที่มีต่อความมั่นคงและรักษาระบอบประชาธิปไตยไว้จนถึงวันนี้(แม้จะล้มลุกคลุกคลานอยู่ก็ตาม)หลายคนเป็นนักนิยมสิทธิมนุษยชนแบบอุดมคติ หรือแค่อ้างสิทธิมนุษยชนเพื่อล้มล้าง
และหลายๆคนก็น่าจะอยู่ในต่างประเทศที่หลงใหลไปกับแนวคิดทุนนิยมเต็มรูปแบบตะวันตก ฯลฯ
.พวกเขาเหล่านี้โทษทุกสิ่งทุกอย่างที่ประเทศไทยยังไม่เจริญเท่ากับสิงคโปร์หรือญี่ปุ่นไปที่สถาบันฯ โดยไม่ได้มองว่าปัญหาจะมาจากอย่างอื่นเลย พวกเขาคิดว่าปัญหาทั้งหมดต้นเหตุเกิดขึ้นจากสถาบันฯมาก่อนเท่านั้น โดยไม่ได้ดูหรือศึกษาอุปนิสัยคนไทยว่าแตกต่างจากชาติที่เจริญแล้วยังไง และไม่เคยคิดเลยว่า ที่ไทยเรายังเป็นประเทศที่เป็นประชาธิปไตยได้ทุกวันนี้ที่จริงแล้วสถาบันฯมีส่วนรักษาไว้เพียงใด
.akecityในบทความตอนนี้ผมจะขอเขียนเฉพาะแก่นสำคัญก่อนเท่านั้น ส่วนการโจมตีสถาบันในส่วนที่เป็นกระพี้จะยังไม่ให้ความสำคัญ
.ตอนที่ระบอบคอมมิวนิสต์คุกคามประเทศไทยนั้น จุดที่พวกเขาใช้เป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่จะล้มล้างระบอบประชาธิปไตยก็คือ ปัญหาความยากจน ปัญหาความแตกแต่งทางเศรษฐกิจที่คนรวยก็รวยล้นฟ้าและเอาเปรียบคนจน ส่วนคนจนก็จนลงๆไม่มีโอกาสลืมตาอ้าปากและถูกกดขี่ขูดรีดซ้ำเติมจากคนรวย และการที่ข้าราชการแทนที่จะรับใช้ประชาชน กลับทำตัวเป็นเจ้านายประชาชนเสียเอง
.ที่สำคัญที่สุด ระบอบประชาธิปไตยของเรากลับถูกเผด็จการครอบงำอย่างยาวนานจนได้มีกระแสต่อต้านคัดค้านจากนักศึกษาและประชาชน ซึ่งพวกคอมมิวนิสต์ก็ถือโอกาสนี้เขาแทรกกลางระหว่างความขัดแย้งโดยให้การสนับสนุนฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเผด็จการ ทั้งๆที่นักศึกษาและประชาชนที่ต่อต้านรัฐบาลส่วนใหญ่ไม่ได้ชื่นชอบระบอบคอมมิวนิสต์ที่เข้ามาเท่าไหร่นัก แต่เหมือนถูกสังคมและรัฐบาลเผด็จการขณะนั้นผลักดันและชวนเชื่อให้ประชาชนทั่วไปเชื่อว่า กลุ่มนักศึกษาและประชาชนที่ต่อต้านรัฐบาลเหล่านั้นกลายเป็นพวกคอมมิวนิสต์ไปโดยปริยาย
.การต่อสู้ระหว่างแนวคิดมาร์กซิสต์หรือคอมมิวนิสต์ในไทยนั้นได้รับการสนับสนุนจากเวียตนามโดยโซเวียตรัสเซียหนุนอยู่ ซึ่งไม่ใช่แนวคิดคอมมิวนิสต์แบบจีนแดงของเหมาเจ๋อตุง โซเวียตต้องการให้ประเทศในอาเซียนทุกประเทศกลายเป็นคอมมิวนิสต์ให้หมด แต่มาติดอยู่ตรงที่ไทย ที่ยากที่สุดและลำบากที่สุดในยุทธการล้มโดมิโนของพวกเขา
.จีนเองก็อยากให้อาเซียนเป็นคอมมิวนิสต์เช่นกัน แต่ต้องไม่ใช่วิธีแบบโซเวียต เมื่อจีนไม่ถูกกับโซเวียตก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ไทยเราได้รับการสนับสนุนแบบลับๆจากจีนเพื่อใช้ไทยต่อต้านและคานอำนาจของอิทธิพลคอมมิวนิสต์แบบโซเวียตฯที่เข้ามาในภูมิภาคนี้
.แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดที่ คอมมิวนิสต์ไทยพ่ายแพ้นั้น ก็คือสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย เพราะหากไม่มีสถาบันฯนี้ คนไทยที่ยากจนส่วนใหญ่ก็อาจจะยอมรับระบอบคอมมิวนิสต์ไปแล้ว แต่เพราะคนไทยส่วนใหญ่เคารพรักและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ พวกเขาไม่ยอมรับที่ระบอบคอมมิวนิสต์จะไม่มีพระมหากษัตริย์ในไทย พวกเขาเลยพลอยไม่ยอมรับแนวคิดของคอมมิวนิสต์ไปด้วย
.และที่ประชาชนส่วนใหญ่ที่ยากจน พวกเขาเองแม้จะถูกกดขี่จากนายทุนหรือพ่อค้าคนกลาง แต่พวกเขาไม่ได้โง่ ที่จะถูกหลอกว่ามันเป็นเพราะระบอบประชาธิปไตย
.ฉะนั้น การที่จะให้พวกเขาทิ้งสถาบันฯอันเป็นที่รัก เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นหรือเปล่าก็ไม่รู้(จากคำโฆษณาชวนเชื่อของคอมมิวนิสต์ และอาจโดนหลอกซ้ำซากก็ได้)
เพราะไม่ว่าระบอบไหนๆที่เราเห็นกันในตอนนี้ต่างก็มีความดีความด้อยต่างกันไปก็ยังเกิดความเหลื่อมล้ำกันทางสังคมอย่างค่อนข้างชัดเจนระหว่างคนจนกับคนรวย และยังคงมีชนชั้นปกครองซึ่งก็คือตัวของพรรคคอมมิวนิสต์นั้นเอง

และเพราะสถาบันพระมหากษัตริย์คือศูนย์รวมใจของคนไทย ภัยคอมมิวนิสต์จึงต้องพ่ายแพ้ในตอนนั้น แต่ไม่ใช่ว่าพวกคอมมิวนิสต์จะหยุด แต่เพราะพวกเขารู้ว่าสาเหตุสำคัญของความพ่ายแพ้คืออะไร?
.
พวกเขาก็เลยเริ่มยุทธการใหม่แต่เปลี่ยนรูปแบบไป บ่อนทำลายอย่างช้าๆ ทั้งการปล่อยข่าวลือต่างๆ หรือตั้งเว็บเพื่อหมิ่นสถาบันฯ โดยนำเรื่องราวต่างๆมาปะติดปะต่อกันแบบตรรกะ และชั้นเชิงการเปรียบเทียบต่างๆเพื่อหวังล้มสถาบันให้ได้ ไม่ใช่หวังผลสำเร็จในระยะสั้นๆแบบคอมมิวนิสต์ยุคโบราณโซเวียต
.
แต่จะเป็นคอมมิวนิสต์แนวใหม่ยุคดิจิตอล ซึ่งได้รับการดัดแปลงพันธุกรรมและมาในร่างใหม่ที่น่ากลัวกว่าเดิม 





พวกไม่จงรักภักดีต่อสถาบันฯ คอมมิวนิสต์กลายพันธุ์หวังใช้ทักษิณ


ก่อนอื่นผมขอบอกแนวคิดของผมก่อนว่า ผมไม่ได้ต่
อต้านระบอบการปกครองทุกระบอบในโลก(อ่านได้จากมุมมองใหม่การปกครอง) เพราะทุกระบอบต่างมีข้อดีข้อด้อยแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสภาพสังคมและวัฒนธรรมแต่ละประเทศว่าเหมาะสมกับระบอบใดมากที่สุด และผมก็ไม่ได้คิดจะเปลี่ยนแปลงแนวความคิดของพวกที่ไม่จงรักภักดีต่อสถาบันฯด้วย


เพราะผมคิดว่า ทุกคนมีสิทธิที่จะคิด แต่ที่ผมอยากเขียนบทความเรื่องนี้ เพราะอยากแสดงความคิดเห็นในส่วนของตัวเองที่จงรักภักดีสถาบันฯ แต่ผมไม่อยากเข้าไปมีส่วนร่วมในการต่อล้อต่อเถียงกับพวกไม่จงรักภักดีในเว็บดังกล่าว เพราะจะกลายเป็นว่า ผมไปร่วมหมิ่นสถาบันฯโดยไม่ตั้งใจได้ และเชื่อว่า คงไม่สามารถเปลี่ยนความคิดพวกเขาเหล่านั้นได้ เพราะอคติของคนเปลี่ยนยากที่สุด (คอมมิวนิสต์กลับใจมีมากมายแต่ต้องเกิดจากคิดได้เอง)


ผมแค่อยากเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันทางความคิดให้แก่ผู้ที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันฯให้เพิ่มมากขึ้น

จากความเดิมตอนที่แล้ว เมื่อคอมมิวนิสต์ไทยพ่ายแพ้ หลังจากนั้นรัฐบาลพลเอกเปรมก็ให้โอกาสคนไทยที่หลงผิดกลับเข้ามาร่วมพัฒนาชาติไทย แต่กระนั้นก็ตาม กระแสแนวคิดคอมมิวนิสต์ก็ยังไม่เคยจางหายไปจากสังคมไทยซะทีเดียว จนกระทั่งเมื่อคอมมิวนิสต์โซเวียตล่มสลายไปเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1991 ทำให้แนวคิดคอมมิวนิสต์ไทยก็เริ่มจางๆไปด้วย
(ในเวลาต่อมารัฐบาลไทยก็ยกเลิกกฏหมายที่เกี่ยวกับความมั่นคงที่เกี่ยวกับภัยคอมมิวนิสต์ การใส่เสื้อเหมาเจ๋อตุง ใส่หมวกดาวบนผืนแดง ใส่เสื้อผ้าสัญลักษณ์ค้อนเคียวของอดีตโซเวียตก็เลยไม่ผิดอีกต่อไป)

คนในอดีตพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย หลายๆคนก็เข้าสู่ถนนการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย หลายๆคนละทิ้งแนวทางคอมมิวนิสต์ไปแล้ว แต่ยังมีอีกหลายๆคนที่ยังฝักใฝ่ลัทธิคอมมิวนิสต์อยู่ แต่ก็ดัดแปลงแนวคิดคอมมิวนิสต์เดิมให้ผสมผสานกับยุคโลกาภิวัฒน์ที่ประชาธิปไตยทุนนิยมรุ่งเรือง ซึ่งแนวคิดคอมมิวนิสต์หลายๆอย่าง หากปรับใช้อย่างถูกต้องก็มีประโยชน์อยู่พอสมควร

แต่ที่เป็นอันตรายกับประเทศไทยก็คือ พวกคอมมิวนิสต์แนวใหม่ที่แอบอ้างประชาธิปไตยบังหน้าต่างหากทีต้องระวัง


ผมจึงขอเรียกคอมมิวนิสต์แบบใหม่ที่เป็นอันตรายต่อชาติในที่นี้ว่า "คอมมิวนิสต์กลายพันธุ์" ที่ยังคงนิยมแนวคิดคอมมิวนิสต์อยู่มาก แต่ชอบอ้างประชาธิปไตยบังหน้า เพื่อผลประโยชน์อื่นแอบแฝง และรอวันสบโอกาสเท่านั้น

ที่จริงในบรรดาพวกไม่จงรักภักดีสถาบันฯนี้ ไม่ได้มีแต่คอมมิวนิสต์กลายพันธุ์เท่านั้น ยังมีไอ้ประเภท ทุนนิยมจัดเรียกร้องประชาธิปไตยแบบประธานาธิบดี ก็มาเป็นแนวร่วมในการต่อต้านและไม่จงรักภักดีสถาบันฯด้วยเช่นกัน


พวกทุนนิยมจัดนิยมประธานาธิบดี เมื่อมีอคติต่อสถาบัน แล้วร่วมมือกับพวกคอมมิวนิสต์กลายพันธุ์ ในการต่อต้านและไม่จงรักภักดีต่อสถาบันแล้ว ทำให้การโจมตีสถาบันจึงมีหลากหลายรูปแบบ และนับวันๆก็จะก้าวร้าวไม่ให้เกียรติสถาบันฯและสิทธิความเชื่อความรักสถาบันฯของคนอื่นที่ไม่ใช่พวกเดียวกับตัวเองมากขึ้นๆ


พวกนี้ปากก็อ้างประชาธิปไตย แต่กลับด่าเสียดสีประชาชนที่จงรักภักดีสถาบันฯ ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ (ซึ่งจะขอกล่าวต่อในบทต่อไป)
ทีแรกก็ไม่น่าจะมีปัญหามากเท่าไหร่นัก แต่พอมีเรื่องทักษิณโดนปฏิวัติยึดอำนาจเข้ามาเกี่ยวนี่สิ จึงเริ่มเป็นปัญหา เพราะพวกที่ไม่จงรักภักดีทั้งสองรูปแบบได้เห็นโอกาสทองที่จะใช้ความนิยมของประชาชนคนรากหญ้าส่วนใหญ่ที่มีต่อทักษิณเป็นเครื่องมือ พวกนี้เลยถือโอกาสแฝงเข้ามาเป็นฝ่ายสนับสนุนทักษิณ หวังใช้ทักษิณเป็นเครื่องมือในการใส่ร้ายป้ายสีสถาบันฯ


ฝ่ายที่สนับสนุนทักษิณจึงไม่ได้มีแต่ประชาชนคนรากหญ้าที่ได้ประโยชน์จากนโยบายประชานิยมที่ไม่เชื่อเรื่องการล้มสถาบันเท่านั้น ยังมีกลุ่มพวกคอมมิวนิสต์กลายพันธุ์และพวกประชาธิปไตยแบบประธานาธิบดี(สาธารณรัฐ)แฝงเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งกลุ่มหลังนี่แหล่ะที่เราคนไทยส่วนใหญ่ที่จงรักภักดีต้องระวัง!


โดยเริ่มยุทธการที่ทางคอมมิวนิสต์ชอบใช้ในอดีตที่เรียกป่าล้อมเมือง หรือแปลแบบเข้าใจง่ายๆก็คือ ตีวัวกระทบคราด
เป็นกลยุทธ์ที่ตีชิ่ง ไม่ได้ตีเป้าหมายโดยตรง แต่จะตีจากจุดอื่นแต่หวังผลที่จุดหมาย ในการนี้พวกที่ไม่จงรักภักดีได้ใช้พลเอกเปรมเป็นเป้าหลอก ซึ่งเริ่มแรกเกิดจากการที่ทักษิณได้พูดต่อหน้าคนไทยในต่างประเทศว่าพลเอกเปรมน่าจะอยู่เบื้องหลังการทำรัฐประหาร19ก.ย.(เคยหาดูได้จากyoutube) ทำให้เปิดโอกาสให้กลุ่มพวกที่ไม่จงรักภักดีใช้จุดนี้ขยายผลไปถึงสถาบันฯที่เรารัก
(พวกไม่หวังดีต่อสถาบันฯของเรา นอกจากคนไทยแล้วยังมีต่างชาติร่วมมือด้วย และข่าวใส่ร้ายส่วนใหญ่ ต่างชาติก็ได้จากคนไทยชั่วๆนี่แหล่ะที่ให้ข้อมูลมัน เพื่อกลับไปเขียนวิจารณ์สถาบันฯของเรา และคนไทยที่ไม่จงรักภักดีนี่แหล่ะ ก็เอาเรื่องชั่วที่ฝรั่งเขียนกลับมาใช้โจมตีสถาบันฯอีก โดยอ้างว่า ฝรั่งเขายังรู้เลย...)

พลเอกเปรมจะเกี่ยวกับการล้มทักษิณหรือไม่? ไม่สำคัญ! หากอยากจะด่าเปรมก็ด่าไป แต่การที่ใช้เปรมเป็นเป้าหลอกเพื่อเป้าหมายอื่นที่สูงกว่าอันนี้ยอมไม่ได้ (โดยพวกไม่จงรักภักดีชอบใช้คำว่า "อมาตยาธิปไตย" ในการโจมตีเปรมเพื่อกระทบชิ่ง) จึงมีประชาชนผู้จงรักภักดีที่มีความรู้โดยเฉพาะคนในกรุงเทพฯ ซึ่งพวกเขาก็ดูแผนการชั่วของพวกไม่จงรักภักดีออก จึงทำให้พวกเขาออกมาต่อต้านทักษิณเพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่มีแค่ต้านระบอบทักษิณ ตอนหลังก็หันมาปกป้องสถาบันฯด้วย


ซึ่งประชาชนผู้จงรักภักดีสถาบันฯเขาต่อต้านกันเองโดยไม่ต้องมีใครมาเรียกให้ทำ แต่ใครจะใช้วิธีการใด ก็แล้วแต่คนๆไป เช่นผมเลือกที่จะสู้กับระบอบทักษิณด้วยการเขียนบล้อค เพราะผมไม่ใช่พันธมิตร

แต่ก็มีหลายๆคนที่เลือกที่จะไปสนับสนุนพันธมิตร และการที่พันธมิตรเข้มแข็งกว่าที่ฝ่ายพวกไม่จงรักภักดีคาดถึงนั้น ตรงจุดนี้เองจึงเป็นจุดที่พวกไม่จงรักภักดีใช้เป็นจุดโจมตีสถาบันฯ (ย้ำตรงนี้อีกครั้ง นอกจากมีคนไทยชั่วๆที่ไม่จงรักภักดี แล้วยังมีพวกต่างชาติที่ให้ความร่วมมือคนไทยชั่วๆเหล่านี้ด้วย)

ซึ่งที่จริงแล้วพันธมิตรเข้มแข็งได้นอกจากมีประชาชนทั่วไปสนุบสนุนแล้ว ยังมีประชาชนที่มีศักยภาพในสังคม ที่ประกอบด้วยกลุ่มอาชีพชั้นนำต่างๆที่มีส่วนร่วมสนับสนุนพันธมิตรด้วย (ฝ่ายนปช.เองก็เคยออกมาแถลงต่อต้านกลุ่มธุรกิจที่ฝ่ายนปช.เชื่อว่า น่าจะสนับสนุนพันธมิตรเรียกร้องให้ประชาชนที่อยู่ฝ่ายนปช.คว่ำบาตรธุรกิจต่างๆเหล่านั้น) ซึ่งผมไม่จำเป็นต้องบอกอีกว่า มีกลุ่มไหนบ้าง ก็รู้ๆกันทั่วไป

แต่ก็นั่นแหล่ะ พวกที่ไม่จงรักภักดีสถาบันฯ มันก็หาเหตุใส่ร้ายไปได้เรื่อยนั่นแหล่ะ ลองคนมันมีอคติแล้ว มันก็จ้องทำลายทุกวิถีทาง คนพวกนี้มันก็หลอกได้แต่คนที่ไม่รู้เท่านั้น แต่คนที่มีการศึกษาเขาต่างรู้เท่าทันคนพวกนี้หมด พวกไม่จงรักภักดีสถาบันฯซึ่งมักจะหลงคิดว่าตัวเองนั้นฉลาด จึงหลงตัวเองต่อไปเหมือนกบในกะลา เพราะในเว็บหมิ่นฯส่วนใหญ่ก็มีแต่พวกมันเองที่เขียนโพสในเว็บประชาชนผู้จงรักภักดีที่มีความรู้จำนวนมากเคยเข้าไปเห็นเว็บหมิ่นสถาบันฯพวกนี้ แต่เขาแค่เพียงอ่านเพื่อรู้ทันคนพวกนี้ ไม่ได้อยากเข้าไปต่อล้อต่อเถียงด้วย เพราะจะยิ่งเป็นการสนับสนุนพวกไม่จงรักภักดีทางอ้อมโดยไม่ตั้งใจ

ส่วนทักษิณเองอาจเป็นแค่เหยื่อที่ถูกพวกไม่จงรักภักดีหลอกใช้เป็นเครื่องมือหรือไม่ ผมไม่รู้ เพราะทักษิณก็เคยผ่านโรงเรียนทหาร ก็น่าจะมีความจงรักภักดีสถาบันฯ อยู่ไม่มากก็น้อย แต่ถ้าเพราะความโลภและอำนาจมันหอมหวล แล้วความภักดีเกิดเปลี่ยนไป อันนี้ก็ไม่ทราบได้ แต่ถ้าดูพฤติกรรมทักษิณหลังจากหมดอำนาจหลายๆเหตุการณ์ ก็น่าสงสัยอยู่ไม่น้อย เช่นกรณีโฟนอินเป็นต้น (อ่าน ทักษิณไม่บังควรฯ)


ฉะนั้นในบทนี้ ผมไม่ฟันธงว่าทักษิณคิดล้มสถาบันหรือไม่ แต่รู้ว่าในบรรดาคนที่สนับสนุนทักษิณนั้น มีพวกไม่จงรักภักดีแฝงตัวอยู่ด้วยแน่นอน (หากใครได้ฟังคลิปคำปราศัยของ ดา ตอปิโด บนเวทีนปก.ที่สนามหลวงก็จะรู้และ หากใครได้ฟังจักรภพ พูดเรื่อง ระบบอุปถัมป์ที่อเมริกาก็จะรู้ว่า มีแนวความคิดล้มล้างสถาบันฯอยู่จริงในกลุ่มเชียร์ทักษิณ เป็นต้น)

ทักษิณเองก็อาจใช้พวกนี้เป็นเครื่องมือเพื่อทวงอำนาจหรือทรัพย์สิน หรือไม่ก็พวกไม่จงรักภักดีก็อาจใช้ทักษิณล้มระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขก็เป็นได้ หรือต่างฝ่ายก็ต่างหลอกใช้กัน หรือต่างฝ่ายก็อาจมีแนวคิดตรงกันก็ได้ ตรงนี้ผมไม่ทราบ แต่ฝ่ายพันธมิตรเขาฟันธงไปแล้วว่า ทักษิณคิดล้มสถาบันแน่! ใครจะเชื่อหรือไม่ก็ต้องคิดกันเอาเอง


และหากถามความเห็นส่วนตัวผมแล้ว ผมว่า หากสถาบันฯจะเป็นกลาง ก็ต้องเป็นกลางในขณะที่บ้านเมืองมีประชาธิปไตยที่มีคุณธรรมปกครองอยู่ แต่หากบ้านเมืองมีประชาธิปไตยที่ไร้คุณธรรมปกครองแล้ว หากสถาบันฯยังเป็นกลางอยู่ ก็จะกลายเป็นความเป็นกลางที่ไร้ค่าครับ 

เราทุกคน ต้องไม่ปล่อยให้คนชั่วลอยนวล โดยอ้างแค่ประชาธิปไตย
บทสรุปของบทความตอนนี้ ผมขอสรุปว่า
ประชาธิปไตยสำคัญมั้ย ตอบว่า สำคัญ แต่ต้องเป็นประชาธิปไตยที่มีคุณธรรมเท่านั้น


หากประชาธิปไตยตกอยู่ในมือนักการเมืองที่มีไร้คุณธรรม อย่างนี้ก็อันตรายต่อประเทศชาติ 
ฉะนั้นประชาธิปไตย จึงไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด ตามที่มีพวกแอบอ้างบ้าประชาธิปไตยชอบอ้างเพื่อปลุกระดมมวลชนเสมอไป
อันนี้ประชาชนจึงต้องระวัง พวกประชาธิปไตยแอบแฝง 

ตราบใดคุณภาพประชาชนอย่างด้อยอยู่ ย่อมมีโอกาสสูงที่จะตกเป็นเหยื่อของประชาธิปไตยแบบมิจฉาทิฐฐิ



พวกไม่จงรักภักดีต่อสถาบันฯ  พวกฝันเฟื่อง


.
ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่าบทความเรื่องนี้ ผมไม่สามารถแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาได้ เพราะอาจเป็นการไปหมิ่นฯสถาบันฯโดยที่ผมไม่ตั้งใจได้ เพราะการที่จะลบล้างคำกล่าวหาของพวกไม่จงรักภักดีนั้น หากผมยกตัวอย่างตรงๆขึ้นมา ก็จะกลายเป็นหมิ่นสถาบันฯไปเสียเอง

จากตอนที่ผ่านมา ผมได้บอกไว้แล้วว่าพวกไม่จงรักภักดีสถาบันฯนั้น มีมาจากหลายกลุ่มคน คนพวกนี้มักชอบโยนหรือแกล้งโยน ปัญหาความไม่เจริญของประเทศไทยไปที่สถาบันฯเป็นต้นเหตุ โดยไม่ค่อยเห็นหรือสนใจปัญหาจากสาเหตุอื่นเลย ก็เพราะพวกนี้มีเจตนาไม่บริสุทธิ์เป็นหลักแต่แรกแล้ว มุ่งโจมตีใส่ร้ายสถาบันฯเป็นหลัก เหตุผลที่อ้างก็มักเกิดจากความเชื่อและคิดเองเออเองของพวกตัวเองเป็นส่วนใหญ่ พอเชื่อแล้ว ก็ร่วมกันสรรค์สร้างเหตุผลตรรกะรองรับ แต่พอเจอผู้จงรักภักดีฯที่รู้จริงกว่าเขาไปหักล้างได้ พวกนี้ก็จะไช้วิธีด่าและดูถูก คนที่มีความคิดตรงข้ามกับพวกตนแทน 


หรือบางทีพวกไม่จงรักภักดีสถาบันฯมักชอบอ้างว่า ถ้าไทยเปลี่ยนระบอบเป็นสาธารณรัฐจะดีจะเจริญแบบสิงคโปร์ แต่หากพวกไม่จงรักภักดีสถาบันฯไปเจอคนที่จงรักภักดีเก่งกว่าเข้าไปเถียงหักล้างในเว็บ พวกไม่จงรักภักดีฯพอเถียงสู้เหตุผลคนที่จงรักภักดีสถาบันฯที่เข้าไปต่อสู้ในเว็บหมิ่นฯไม่ได้ 
พวกนี้ก็จะหาทางเลี่ยงการโต้เถียงโดยอ้างว่า ไม่ได้คิดล้มล้างสถาบันฯ แต่อยากให้มีการปรับเปลี่ยนบ้าง แล้วก็จะไปเปรียบเทียบกับประเทศที่มีสถาบันฯอย่างประเทศอังกฤษบ้าง หรือญี่ปุ่นบ้าง อยากให้ไทยเราเอาอย่างประเทศเหล่านี้
(มีผู้จงรักภักดีคนนึงที่เก่งขนาดเถียงหักล้างจนพวกหมิ่นฯเงียบจ๋อยไปเลย เขาใช้นามแฝงว่าคุณBMW F1 เขาโต้ตอบแบบผู้รู้ลึกรู้จริง จนพวกนี้กลัวหนีหายจากกระทู้นั้นไปเลย แต่เขาก็ไม่ได้เข้าไปเถียงบ่อยนัก ผมอยากขอขอบคุณคุณBMW F1ไว้ณ.ที่นี้ด้วยครับ ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร แต่คุณได้ปกป้องสถาบันฯที่เรารักได้อย่างสุดยอดครับ นับถือๆ)

ผมอยากจะบอกว่า ที่ประเทศไทยไม่เจริญเท่าสิงคโปร์หรือญี่ปุ่นนั้น ที่จริงใครๆก็รู้ว่าเพราะอะไร? แต่ในเมื่อผมจะต้องหักล้างบ้าง ก็จำเป็นต้องยกตัวอย่างสักเรื่องสองเรื่อง ว่าทำไมไทยถึงเจริญสู้เขาไม่ได้? 

สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้สิงคโปร์หรือประเทศญี่ปุ่นเจริญ หรือในอีกหลายๆประเทศในโลก นั่นก็คือ คนในชาติเหล่านี้ มีระเบียบวินัยและเคารพกฏหมายมากๆ กฏระเบียบต่างๆที่รัฐบาลตราขึ้น แม้กระทั่งเรื่องที่ดูแสนจะเล็กน้อย คนของเขาก็ยังไม่ละเลยส่วนคนไทยอยากให้คนอื่นเคารพสิทธิของตัวเอง แต่ตัวเองกลับไม่เคารพสิทธิผู้อื่น คนไทยชอบใช้สิทธิ แต่ไม่รู้จักทำหน้าที่พลเมืองที่ดี

สิงคโปร์ รัฐบาลออกจะเผด็จการด้วยซ้ำ สั่งโน่นสั่งนี่ ให้ประชาชนทำตาม แต่ประชาชนเขาก็ทำตาม เพราะลองไม่ทำตามดูสิ กฏหมายลงโทษหนัก พูดง่ายๆก็คือ ประเทศไทยกฏหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ คนไทยเป็นพวกชอบละเมิดกฏ ถ้าจับไม่ได้ไล่ไม่ทันก็จะหาทางกะล่อนไปเรื่อย สันดานศรีธนญชัยในสังคมไทยนับวันยิ่งมีมากขึ้นๆ เป็นนิสัยที่เห็นแก่ตัว ชอบเอาเปรียบสังคม 

สิงคโปร์ ห้ามกระทั่ง ไม่ให้ขายหมากฝรั่งในประเทศ ทิ้งก้นบุหรี่ในที่ห้ามทิ้ง ปรับอานหลายหมื่นบาท ส่วนคนไทยน่ะเหรอ แค่ให้ข้ามถนนด้วยสะพานลอย คนไทยยังข้ามใต้สะพานลอยกันเห็นๆ 


คนไทยขนาดเรื่องง่ายๆที่ไม่ต้องใช้กฏหมายบังคับ เช่นระเบียบวินัยของการขึ้นรถเมล์ หรือรอซื้ออาหารตามฟาสฟู้ด ยังไม่เป็นระเบียบเลย จะมีคนไทยสักกี่คนที่รักษาระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด น้อยมากๆ แม้แต่พวกไม่จงรักภักดีสถาบันฯเองก็เถอะ อยากเป็นเหมือนเขา แต่ไม่ดูตัวเองซะก่อน เป็นประเภท รำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง (ยังมีตัวอย่างอีกเยอะมากมายเกี่ยวกับความไร้ระเบียบวินัยไว้โอกาสหน้าค่อยมาเขียนเรื่องนี้)

ส่วนประเทศญี่ปุ่น เรื่องระเบียบวินัยเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ โดยเฉพาะเรื่องความตรงต่อเวลา ใครก็ตามหากทำธุรกิจกับญี่ปุ่น แล้วไม่ตรงต่อเวลา อันนี้มีแต่เจ๊งลูกเดียว 

นอกจากเรื่องระเบียบวินัยที่เคร่งครัดของคนญี่ปุ่นแล้ว คนญี่ปุ่นเองก็เป็นชาติพันธุ์ที่ฉลาดมากๆ มีความคิดสร้างสรรค์เป็นเลิศ ชอบการประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ๆ ดูได้จากประวัติบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่นเช่นโตโยต้าหรือ ฮอนด้า ฯลฯ ผู้ก่อตั้งบริษัทนับเป็นอัจฉริยะบุคคลที่น่ายกย่องทั้งนั้นในการประดิษฐ์พัฒนาเทคโนโลยี 

"คนญี่ปุ่นชอบคิดสร้าง ส่วนคนไทยชอบคิดซ่อม" คำๆนี้ดูจะเป็นความจริงไม่มากก็น้อย คนไทยส่วนใหญ่ชอบทันสมัยบ้าไฮเทค แต่เป็นไฮเทคที่ต้องซื้อมาจากคนอื่น ไม่ค่อยชอบคิดค้นเอง เพราะมันยาก ขี้เกียจน่ะ

เด็กไทยส่วนใหญ่ไม่ชอบเรียนเลข ขณะที่เด็กจีน ญี่ปุ่น เวียตนามส่วนใหญ่ กลับบอกว่าชอบเรียนเลขมากที่สุด เพียงแค่นี้ก็พอจะมองออกแล้วว่า ทำไมไทยเราถึงประดิษฐ์เทคโนโลยีที่ซับซ้อนอย่างประเทศอื่นไม่ได้ 

แต่ถ้ามองเรื่องระบบของการเมือง สิ่งที่ทำให้ชาติไทยไม่เจริญมากที่สุด ก็เป็นเพราะนักการเมืองโกงกิน ข้าราชการก็คอรัปชั่นกันมากมาย ตั้งแต่ระดับผู้น้อยจนระดับใหญ่โต จริยธรรมนักการเมิองไทยแย่มากเมือเทียบกับประเทศที่เจริญแล้ว หน้าด้านหน้าทน เช่นต่างประเทศแค่รถไฟตกราง รมต.เขาก็ลาออกแสดงความรับผิดชอบทันที


พวกไม่จงรักภักดีสถาบันฯในเว็บหมิ่นฯ ไม่ค่อยเห็นปัญหา เรื่องนักการเมืองโกงกินหรือข้าราชการคอรัปชั่นนั้นเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่ขัดขวางการพัฒนาประเทศ วันๆมุ่งประเด็นโจมตีไปที่สถาบันฯเท่านั้น อย่างนี้ถ้าไม่เรียกว่า อคติแล้วจะเรียกว่ายังไง


พวกไม่จงรักภักดีสถาบันฯในเว็บ ควรรู้ไว้ว่า หากแก้ปัญหานักการเมืองไทยให้มีจริยธรรม ไม่โกงกินได้ก่อน หรือนิสัยคนไทยมีระเบียบวินัยมากขึ้นก่อน ถ้าประเทศไทยยังไม่เจริญเท่าที่ควร ค่อยมาโทษเรื่องอื่นน่าจะดูดีกว่า 


พวกไม่จงรักภักดีสถาบันฯคงฝันเฟื่องว่า ถ้าเปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นแบบประธานาธิบดีแล้วจะเจริญแบบสิงคโปร์ พวกนี้คงฝันเฟื่องไปจริงๆ เพราะนิสัยสันดานคนไทยน่ะ มันชอบทะเลาะกันเองมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว หากประเทศไทยไม่มีสถาบันฯที่เราเคารพไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวหัวใจคนไทยไว้ ผมค่อนข้างเชื่อว่า ไทยเราน่าจะมีโอกาสเป็นแบบเผด็จการพม่า หรือเป็นแบบสาธารณรัฐที่มีแต่การโกงกินแบบฟิลิปปินส์มากกว่า คนไทยน่ะบ้าอำนาจและขี้โกงมากกว่าชาติอื่น

เพราะหากไม่มีสถาบันฯยึดเหนี่ยวใจคนไทยไว้ ป่านนี้ทหารคงยึดอำนาจทั้งหมด แบบไม่ต้องเกรงใจใครอีก และไทยก็จะกลายเป็นแบบพม่าไปแล้ว ที่ผ่านมาตั้งแต่14ต.ค.16 ถ้าเผด็จการทหารปราบปรามแบบไม่เกรงใจใคร (เหมือนที่จีนปราบประชาชนที่เทียนอันเหมิน) ป่านนี้ก็นักศึกษาประชาชนคงตายกันเป็นเบือ แต่เพราะสถาบันฯที่ทหารซึ่งรักและภักดีต่อสถาบันฯ จึงได้ยอมแพ้แก่พระมหากรุณาธิคุณจากสถาบันฯอันเป็นที่รักและเคารพ

และถ้าการเป็นสาธารณรัฐนั้นดีเลิศวิเศษจริง ทำไมฟิลิปปินส์ที่ใช้ต้นแบบการปกครองจากอเมริกาถึงได้เจริญน้อยกว่าไทยในวันนี้ล่ะ ยังมีประเทศอีกมากมายในโลกนี้ที่เป็นสาธารณรัฐแต่ก็ไม่เจริญมากกว่าไทยเรา หรือแม้แต่อเมริกาเจ้าตำรับเองก็ยังต้องเจอวิกฤติเศรษฐกิจ

ฉะนั้นความเจริญหรือความล้าหลังมันไม่ได้อยู่ที่ระบอบเป็นสำคัญ แต่มันอยู่ที่คุณภาพของคนในประเทศนั้นมากกว่า โดยเฉพาะเรื่องคุณธรรมและจิตสำนึกของคนไทยเริ่มน้อยลง
พวกไม่จงรักภักดีสถาบันฯ ผมว่า หลายคนอาจจะศรัทธากับระบอบปกครองที่เขาเชื่อจริงๆ แต่ผมว่าต้องมีอีกจำนวนมาก เป็นพวกที่บางทีอาจะคล้ายกับคนมีปมด้อย ขี้อิจฉา เห็นคนอื่นเขามีความสุขกับการจงรักภักดี แล้วเกิดปมอยากแกล้งอยากทำลายความรู้สึกคนอื่น พวกนี้ไม่ได้เคารพสิทธิผู้อื่น ประกอบกับความที่ไม่ได้จงรักภักดีเป็นทุน เลยผสมโรงให้ร้ายหรือกระทั่งดูหมิ่นล่วงเกินสถาบันฯ เพื่อความสะใจกลบเกลื่อนปมด้อยของตัวเอง สิ่งใดที่เขาห้ามก็เหมือนยิ่งยุ เห็นประเทศไทยมีกฏหมายหมิ่นพระบรมฯ ก็กระสันอยากจะหมิ่นฯ อะไรทำนองนี้ 
.
ความรักความภักดีต่อสถาบันฯก็คล้ายเป็นความเชื่อความศรัทธาเฉพาะตน ถ้าเปรียบก็คล้ายๆความเชื่อทางศาสนา ที่ทุกคนที่มีจิตสำนึกย่อมจะไม่ดูถูกศาสานาของคนอื่น แต่พวกไม่จงรักภักดีฯนี้กลับไม่สนจริยธรรม ที่ต้องเคารพกฏกติกาของบ้านเมือง เช่นหากเราไปที่ประเทศไหน เขามีกฏห้ามอะไร เราก็ควรให้ความเคารพไม่ลบหลู่กฏหมายและความเชื่อของคนในประเทศเขา ด้วยเหตุนี้ผมจึงไม่ค่อยเชื่อว่า พวกไม่จงรักภักดีสถาบันฯจะเป็นนักประชาธิปไตยจริงๆ 
.
คนพวกนี้อาจมักคิดไปเองว่า ตัวเองเดือดร้อนที่ต้องอยู่ในระบอบปัจจุบัน แต่ในความจริงแล้ว ไม่ได้มีใครเดือดร้อนจริงๆ คืออยากจะหมิ่นฯด้วยความสนุกปากไปวันๆมากกว่า ซึ่งถ้าไม่ได้ระบายคงประสาทกิน
.
ผมกลับรู้สึกสมเพช และสมน้ำหน้าคนพวกนี้ ที่ทนดูเห็นคนอื่นเขามีความสุขไม่ค่อยได้ พวกเขาคงนึกว่า การดูหมิ่นสถาบันฯจะทำให้ผู้จงรักภักดีที่บังเอิญไปพบไปเห็นการหมิ่นฯในเว็บ เขาจะเกิดทุกข์ไปกับคำกล่าวหาของคนพวกนี้ที่ป้ายสีขึ้น
.
แต่คงไม่เป็นอย่างนั้นหรอก ผมคิดว่า ผู้จงรักภักดีหลายๆคนที่ไปเจอส่วนใหญ่ฉลาด รู้เท่าทันคนพวกนี้ และน่าจะรู้สึกสมเพชพวกไม่จงรักภักดีเสียมากกว่า จะเป็นทุกข์

.
พวกไม่จงรักภักดีดูถูกบรรพบุรุษตัวเอง ที่จงรักภักดีสถาบันฯ ทรยศบรรพบุรุษที่ร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับสถาบันฯเพื่อปกป้องชาติและสถาบันฯไว้ ดูถูกสิ่งที่ปู่ย่าตายายพ่อแม่ของตัวเองเคารพรัก คนพวกนี้ต้องเรียกได้ว่า "เสียชาติเกิดจริงๆ" 
.
บทความนี้ ผมยอมรับว่าคงเขียนได้ไม่ดีเท่าที่ควร ไม่สามารถเชียนได้มากเท่าที่ต้องการจะเขียน เพราะมีข้อจำกัดและเป็นเรื่องละเอียดอ่อน จะให้เขียนตรงๆเลยก็คงไม่เหมาะ จึงอยากขออภัยไว้ณ.ที่นี้ด้วย ที่เขียนมา3บท ค่อนข้างเป็นเรื่องแก่นๆที่เกี่ยวกับเรื่องระบอบเป็นสำคัญ ส่วนตอนหน้าจะขอเก็บตกเรื่องกระพี้ๆบ้าง 
.
บทสรุปของตอน3นี้ก็คือ 
.
ชาติไทยต้องประกอบด้วยสถาบันหลักทั้ง3 คือชาติ(ประชาชน) ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป ย่อมไม่ใช่ชาติไทย 
.
การเป็นคนไทยไม่ใช่แค่เพียงอาศัยเกิดในแผ่นดินไทยเท่านั้น หากใครไม่มีใจจงรักภักดีและปกปักรักษาให้ครบทั้ง3สถาบัน ย่อมไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นคนไทย คงเป็นคนไทยได้แค่ตัว แต่จิตใจมันไม่ใช่ไทย
.
.
ประเทศไทยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่เรียกง่ายๆว่า วิญญาณบรรพบุรุษที่รักและปกป้องรักษาสถาบันฯทั้ง3ไว้ เชื่อเถอะใครมันคิดร้ายต่อสถาบันฯ ต่อให้มีอำนาจแค่ไหน มีเงินมากแค่ไหน ก็จะต้องแพ้พ่ายไปในที่สุด 
.
ฝ่ายต่อต้านสถาบันฯ ที่แฝงตัวอยู่ข้างเชียร์ทักษิณ ยิ่งหมิ่นฯสถาบันฯมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งแพ้เท่านั้น เพราะประชาชนผู้จงรักภักดียอมตายเพื่อสถาบันฯได้ ส่วนพวกไม่จงรักภักดีสถาบันฯ แค่เปิดเผยตัว เปิดเผยชื่อจริง คนพวกนี้มันยังไม่กล้าเลยหากคิดจะเปลี่ยนแปลง แต่ไม่เผยตัว ไม่กล้าแลกด้วยชีวิต เพียงเท่านี้ก็เท่ากับพวกมันได้พ่ายแพ้ตั้งแต่ในมุ้งแล้ว (มีคนๆนึงที่เขาไม่จงรักภักดี แต่สู้ด้วยอุดมกาณ์อย่างกล้าหาญก็เห็นมีอยู่คนเดียวในเว็บหมิ่นฯ โดยเขากล้าโพสชื่อจริง และรูปถ่ายตัวเองจริงๆ ชื่อสมศักดิ์ เจียมธีรสกุลเป็นอาจารย์ธรรมศาสตร์ อย่างนี้แม้เห็นต่างแต่ก็น่านับถือในอุดมการณ์ความกล้า และเขาก็ไม่ได้โพสด่าไปวันๆ เหมือนส่วนใหญ่ในเว็บ )
.
ถ้าแน่จริง มันต้องกล้าออกมาแลกด้วยชีวิต ผิดกับพวกจงรักภักดีสถาบันฯ อย่างประชาชนที่เป็นพันธมิตร ที่แม้ถูกฝ่ายตรงข้ามฆ่าตายไปหลายครั้งหลายคน พวกเขาไม่เคยถอย เพราะพวกเขายอมแลกด้วยชีวิต พวกเขาจึงชนะ 
.
คนที่ไร้อุดมการณ์อาจดูถูกพวกที่ยอมตายเพื่ออุดมการณ์ว่าโง่ แต่ก็เพราะยอมโง่นี่แหล่ะ ถึงได้ปกป้องชาติไทยได้ 
.
แกนนำพันธมิตรจะดีหรือไม่ดีจริงผมไม่รู้ แต่ประชาชนที่มาออกมาสู้ ผมเชื่อว่าเขามาด้วยใจจริงๆ เพราะถ้าไม่มีใจแล้ว พอเห็นมีคนตายมากๆ ก็คงกลัวหัวหดหนีกลับบ้านไปหมดแล้ว
.
พวกไม่จงรักภักดี พอแพ้ ก็อ้างแถๆ ว่าแพ้อำนาจมืด น่าขำจริงๆ พวกนี้คงไม่เชื่อว่า ผู้จงรักภักดีทั้งหลายส่วนใหญ่เขาสามารถกล้าสละชีวิตเพื่อรักษาทั้ง3สถาบันได้ พวกเขาถึงเข้มแข็งกว่าที่คิด 
.
นี่แหล่ะคือสาเหตุสำคัญที่พวกไม่จงรักภักดีฯ จึงได้พ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะดูถูกอุดมการณ์ผู้จงรักภักดีนี่เอง เรียกได้ว่า พวกไม่จงรักภักดีเป็นพวก "ไม่รู้เขาร้อยครั้งมันก็ต้องแพ้ไปร้อยครั้งนั่นแหล่ะ" 
.
อย่างที่ผมบอกไว้ในตอนที่แล้ว มีคนสนับสนุนพันธมิตรมีมากมาย ทั้งภาคธุรกิจและเอกชน แม้แต่ทหารเองเขาก็ไม่ต้องให้ใครมาบอกว่าต้องปกป้องสถาบันฯ ทหารเขารู้หน้าที่ของเขาเอง ฝ่ายใดอยู่ข้างสถาบันฯ ทหารส่วนใหญ่ย่อมโดดเข้าไปเข้าข้างด้วยแน่นอน ไม่จำเป็นต้องมีมือที่มองไม่เห็นมาสนับสนุนหรอก เขาทำด้วยตัวเขาเอง! 


.

พวกไม่จงรักภักดีต่อสถาบันฯ เผด็จการ


. the dictaterหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองมา ประชาธิปไตยไทยล้มลุกคลุกคลานมาโดยตลอด มีการล้มรัฐธรรมนูญอยู่หลายครั้งหลายหนโดยคณะปฏิวัติยุคต่างๆ สาเหตุก็เพราะนักการเมืองกับทหารแบ่งเค้กกันไม่ลงตัว นักการเมืองก็หาผลประโยชน์เพื่อตัวเอง โกงกินโกงการเลือกตั้ง ทหารก็ยังบ้าอำนาจไม่ยอมอยู่ภายใต้คำสั่งนักการเมือง
และเมื่อนักการเมืองมีการซื้อเสียงและโกงกิน ทหารก็เลยมีเหตุผลอ้างในการปฏิวัติยึดอำนาจแทบทุกครั้ง แต่พอทหารยึดอำนาจมาบริหารเอง ทหารก็มักจะหลงในอำนาจและไม่ยอมละทิ้งอำนาจ ยึดอำนาจไว้ไม่ยอมปล่อย สุดท้ายก็เข้าอีหรอบเดิมๆแบบนักการเมืองเลวๆ ก็หาผลประโยชน์เข้าตัวเองเหมือนกัน แล้วทหารก็ปฏิวัติพวกทหารด้วยกันเองอีกที

ในสมัยจอมพลป.พิบูลย์สงคราม ครองอำนาจยาวนานจนชักจะเริ่มผูกขาดอำนาจ และที่สำคัญจอมพลป.พยายามลดบทบาทของพระมหากษัตริย์ลงและเพิ่มอำนาจตัวเองเพิ่มขึ้น ประชาชนและนักศึกษาจึงออกมาประท้วงขับไล่ แต่ก็ยังล้มจอมพลป.ไม่ได้ จนกระทั่งได้จอมพลสฤษดื ธนะรัชต์มาเข้าข้างประชาชนและนักศึกษาทำการปฏิวัติยึดอำนาจจอมพลป. ให้ลงจากอำนาจ

ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกฯและผู้บัญชาการทหารสูงสุด มีอำนาจเผด็จการเต็มรูปแบบ สามารถสั่งประหารใครก็ได้ทันทีหากคิดว่าเป็นภัยต่อชาติบ้านเมือง เมื่อถามผู้คนรุ่นปู่ย่าตายายรุ่นพ่อรุ่นแม่ ที่มีชีวิตอยู่ในยุคจอมพลสฤษดิ์ปกครอง ผมได้ยินแต่คำชื่นชมชื่นชอบจอมพลสฤษดิ์กันทั้งนั้น เพราะบ้านเมืองมีระเบียบเรียบร้อยแม้จะได้ชื่อว่าเป็นยุคเผด็จการแท้ๆก็ตาม แต่จอมพลสฤษดิ์ ก็อยู่ๆมาเสียชีวิตด้วยโรคไตวายขณะกำลังดำรงตำแหน่งนายกฯมา6ปี

ต่อมาในสมัยจอมพลถนอม กิตติขจรได้สืบทอดอำนาจต่อจากจอมพลสฤษดิ์ มาเป็นนายกฯ แต่เพียงหลังจากเป็นนายกฯไม่กี่ปี เห็นว่ารัฐธรรมนูญขัดขวางอำนาจหลายๆอย่างของตัวเอง จอมพลถนอมก็เลยการทำรัฐประหารปฏิวัติตัวเองเพื่อล้มรัฐธรรมนูญ และจอมพลถนอมก็กลายเป็นผู้นำเผด็จการโดยสมบูรณ์แบบจอมพลสฤษดิ์ และอยู่ในอำนาจนานถึง10ปี ฝ่ายนักศึกษาประชาชนออกมาประท้วงขับไล่ จนกระทั่งมีทหารเข้าปราบปรามเข่นฆ่าประชาชน สุดท้ายในหลวงต้องเข้ามายุติสงครามกลางเมือง ให้จอมพลถนอมลาออกแล้ว
.

ในสมัยพลเอกชาติชาย ชุณหวัณห์เป็นนายกฯ เริ่มมีการทุจริตคอรัปชั่น ที่เรียกกันว่า"กินแบบบุฟเฟ่ต์คาบิเนต" นักศึกษารามคำแหงก่อการประท้วงถึงขนาดมีการเผาตัวตายไป1คนประท้วงรัฐบาลชาติชาย ต่อมาคณะรสช.นำโดยพลเอกสุนทร คงสมพงษ์ ปฏิวัติยึดอำนาจ

หลังจากนั้นพลเอกสุจินดา คราประยูรเสียสัตย์เพื่อชาติเพื่อมาเป็นนายกฯ ภายหลังการเลือกตั้งครั้งแรกหลังมีปฏิวัติรสช. พลเอกสุจินดาโดนประชานประท้วงขับไล่อย่างหนัก เพื่อต้องการให้มีนายกฯที่มาจากการเลือกตั้ง จนกระทั่งเกิดการปราบปรามประชาชน มีการเผาสถานที่ราชการ มีการตายของประชาชน สุดท้ายในหลวงก็ทรงเข้ามายุติความขัดแย้งระหว่างผู้นำประชาชนคือพลตรีจำลองศรีเมืองกับพลเอกสุจินดาในฐานะนายกฯ โดยมีพระกระแสแนะนำให้พลเอกสุจินดาลาออก พร้อมกับพระราชดำรัสที่ว่า 


"ไม่มีใครแพ้ ใครชนะ แพ้ทั้งคู่ และที่แพ้ที่สุดคือประเทศชาติ อยากจะชนะบนซากปรักหักพังของประเทศหรือ" (ตรงนี้ผมนำสรุปคร่าวๆตามความหมายเท่านั้น ไม่ได้ตรงตามตัวอักษรที่ถูกต้องตามพระราชกระแสฯ)

การขัดแย้งของเผด็จการกับประชาชนในสมัยถนอม หรือจะเป็นการขัดแย้งระหว่างประชาธิปไตยที่สืบทอดต่อด้วยผู้นำปฏิวัติอย่างสุจินดา กระทั่งเกิดการจราจลของประชาชนสู้กับอำนาจรัฐ จนเกิดการกวาดล้างเข่นฆ่าประชาชนเกิดขึ้น เป็นเหตุให้สถาบันฯต้องทรงออกมายุติความขัดแย้ง

สถาบันฯจำเป็นต้องออกมาเพราะหากไม่ทรงออกมา ความเสียหายต่อชาติและประชาชนจะมีมากกว่านี้ สถาบันฯพยายามไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่การเมืองต่างหากที่พยายามมายุ่งเกี่ยวกับสถาบันฯ หากไม่มีการฆ่าประชาชนที่ไร้อาวุธ สถาบันฯก็จะพยายามปล่อยให้ประเทศไทยได้เรียนรู้ประชาธิปไตยด้วยตัวเอง (หากไม่จำเป็นจริงๆสถาบันฯจะทรงเป็นกลางให้ถึงที่สุดเท่าที่จะทำได้)
ก็อย่างที่ผมบอกตั้งแต่บทความที่แล้วว่า หากไม่มีสถาบันฯ เผด็จการทหารจะไม่เกรงกลัวพลังของประชาชน สามารถกวาดล้างประชาชนได้ และไทยก็จะกลายเป็นแบบเผด็จการทหารพม่า

แต่เพราะรากฐานวัฒนธรรมที่คนไทยจงรักภักดีต่อสถาบันฯ จึงไม่มีเผด็จการคนไหนกล้าพอที่จะเสี่ยงต่อพลังความรักความเคารพของประชาชนรวมถึงทหารในกองทัพที่มีต่อสถาบันฯได้ เพราะประชาชนไทยที่จงรักภักดีส่วนใหญ่ พร้อมที่จะสละชีวิตเพื่อรักษาสถาบันฯ ผิดกับประชาชนพม่าที่ไม่สู้ให้ถึงที่สุด ที่สำคัญทหารพม่าไม่มีสถาบันฯยึดเหนี่ยวจิตใจให้จงรักภักดีเหมือนคนไทย

เมื่อสถาบันฯทรงแนะนำให้นายกฯทั้งสองคนคือถนอมกับสุจินดาลาออก ก็หมายถึงนายกฯเผด็จการทั้งสองนั้นก็รู้ตัวเองว่า ไม่ควรฝืนพระกระแสรับสั่ง ไม่ใช่เพราะกลัวเกรงอำนาจสถาบันฯ แต่เพราะกลัวเกรงในอำนาจพลังความรักของประชาชนและทหารทุกคนในกองทัพที่มีต่อสถาบันฯมากกว่า
พวกไม่จงรักภักดีสถาบันฯ กล่าวหาป้ายสีสถาบันฯราวกับว่า สถาบันฯมีอำนาจวิเศษเหลือล้นจนใครๆก็ต้องเกรงกลัว แต่ที่จริงแล้วฝ่ายจงรักภักดีสถาบันฯอย่างผมกลับคิดว่า สถาบันฯเอาชนะใจทหารและประชาชนได้เพราะความรักและหวังดีอย่างจริงใจที่สถาบันฯมีต่อคนไทยทุกคนมากกว่า (ทหารก็คนไทย)

"ใช้พระเดชย่อมไม่ยั่งยืน แต่พระมหากรุณาธิคุณนั้นยั่งยืนแน่ ! "

แน่นอน ความคิดของผม ถ้าไปถามพวกไม่จงรักภักดีฯย่อมไม่ได้รับการยอมรับอย่างแน่นอน และอาจโดนพวกนี้ด่าอย่างเสียหายได้ แต่อย่างที่ผมบอกไว้ในบทความตอนก่อนๆว่า ผมไม่ได้ต้องการเปลี่ยนความคิดของพวกไม่จงรักภักดีฯ แต่ผมต้องการเพิ่มภูมิต้านทานทางความคิดแก่คนไทยที่จงรักภักดีฯมากกว่า

เช่นเดียวกัน ทักษิณไม่ได้แพ้เพราะอำนาจที่มองไม่เห็นใดๆ แต่ทักษิณแพ้ความโลภและความไม่รู้จักพอของทักษิณเองมากกว่า หากทักษิณไม่โลภ ทักษิณก็คงเป็นนายกฯที่เก่งฯและดีที่สุดเท่าที่ไทยเคยมี

ทักษิณเคยครองใจคนกรุงเทพฯได้เกือบทั้งหมด แต่พอทักษิณโกง คนกรุงเทพฯก็ไม่เอาทักษิณเหมือนกัน ไม่ใช่เหตุผลคนกรุงเทพฯขี้เบื่อตามที่พวกไม่จงรักภักดีฯบางคนกล่าวหาหรอก เพราะไทยรักไทยเองก็ครองกรุงเทพฯมาครบ4ปีแล้ว ก็ยังได้รับความนิยมต่อเนื่องในการเลือกตั้งสมัยที่2 หากไม่มีการโกงเกิดขึ้น คงอยู่ต่อจนครบวาระ

เราต้องยอมรับอย่างนึงว่า คนกรุงเทพฯเข้าถึงข้อมูลข่าวสารมากกว่า และมีโอกาสเข้าถึงการศึกษามากกว่าคนต่างจังหวัด เช่นคนกรุงเทพฯรู้เรื่องหุ้นมากกว่า และเข้าใจถึงภัยแห่งการครอบงำทางเศรษฐกิจจากอำนาจนักการเมืองที่เอื้อประโยชน์ธุรกิจตัวเองและพวกพ้อง

การปฏิวัติยึดอำนาจทักษิณโดยคมช.นั้น คนกรุงเทพฯส่วนใหญ่ให้การยอมรับ และให้การสนับสนุน เพราะคนกรุงเทพฯเข้าใจว่า ประชาธิปไตยที่อยู่ในมือคนเลว ย่อมทำลายล้างประเทศได้ (ฮิตเลอร์เอง ก็มีอำนาจขึ้นมาจากการชนะการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยแบบท่วมท้นเช่นกัน) 


ทักษิณจะต่อสู้กับเผด็จการก็ไม่มีใครว่า ผมเองก็ไม่ว่า แต่จะอ้างถูกใส่ร้ายทางคดีโดยพวกเผด็จการ อันนี้ผมขอเถียง เพราะคดีที่ทักษิณก่อขึ้นนั้น คนกรุงเทพฯและคนมีความรู้ต่างก็เห็นว่ามีมูลที่จะดำเนินคดีได้ ก่อนที่จะมีการปฏิวัติด้วยซ้ำ แต่จะเอาผิดได้หรือไม่นั้น ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ผมเชื่อว่าทักษิณผิดแน่ แต่กฏหมายจะตามไปเอาผิดได้หรือไม่? ถ้าหากทักษิณยังคงอยู่ในอำนาจ? อันนี้ตอบยาก

แต่ทักษิณผิดแล้ว กลับไม่ยอมรับผิด กลับถลำลึกลงสู่ความชั่วร้ายที่ยากจะถอนตัว เมื่อแพ้เพราะความโลภแต่กลับแก้ตัวง่ายๆเพื่อหวังเอาตัวรอด โดยอ้างว่ามีอำนาจนอกรัฐธรรมนูญมาเล่นงาน ทำให้บ้านเมืองต้องวุ่นวายและแตกแยกแถมพวกไม่จงรักภักดีสถาบันฯเลยพลอยได้โอกาสนำประเด็นนี้มาใช้โจมตีใส่ร้ายสถาบันฯ เป็นการสมทบ
พวกแพ้แล้วชอบ แถ อ้างเหตุผลชั่วๆมาใส่ร้ายสถาบันฯ อย่างนี้เรียกได้ว่า พวกแพ้แล้วโวย หมาจนตรอกกัดไม่เลือกหน้า
ผมได้อ่านบทความในเว็บหนังสือพิมพ์ต่างประเทศหลายๆเว็บ ที่มีบทความที่ฝรั่งที่ไม่หวังดีต่อชาติไทย(ที่ผมว่าไม่หวีงดี ก็เพราะบทความนี้มีแต่สร้างความแตกแยกและให้ร้ายสถาบันฯ) ได้เขียนกล่าวหาว่า สถาบันฯอยู่เบื้องหลังปัญหาทางการเมืองที่ผ่านมาทุกครั้ง กล่าวหาว่าสถาบันฯเกี่ยวข้องการเมืองมาตั้งแต่สมัยจอมพลป.จอมพลสฤษดิ์ โน่นเลย ซึ่งมันไม่จริง แต่พวกไม่จงรักภักดีฯพวกนี้ไม่เชื่อหรอก

ตามที่ผมเคยอ่านข้อเขียนของพวกไม่จงรักภักดีสถาบันฯ ที่ผ่านๆมา ผมว่า ฝรั่งมันก็ได้ข้อมูลเลวๆแบบนี้ มาจากคนไทยที่มันไม่จงรักภักดีฯมากกว่า เพราะบทความที่ฝรั่งมันเขียนนั้น ก็เขียนออกมาช้ากว่าความคิดของพวกไม่จงรักภักดีฯเคยเขียนหรือเคยกล่าวหาไว้ทั้งนั้น พูดง่ายๆคือ ฝรั่งเขียนช้ากว่าพวกไม่จงรักภักดีเขียนเสียอีก บทความที่ฝรั่งเขียนมีเนื้อหาไม่ต่างจากคนไทยที่ไม่จงรักภักดีเขียนเท่าไหร่เลย

ในเว็บของหนังสือพิมพ์ฝรั่ง เขาก็มีนักเขียนจากมุมมองต่างๆหลายๆด้าน มีทั้งเขียนเทิดทูนสถาบันฯของเราก็มีมาก และมีเขียนแบบหมิ่นฯสถาบันฯของเราก็มี แต่ไม่มากเท่าฝรั่งที่เขียนชื่นชมและเทิดทูนฯสถาบันฯของเราหรอก

พวกไม่จงรักภักดีฯ เรื่องดีๆของสถาบันฯ พวกนี้ไม่สนใจและไม่นำพาอยู่แล้ว พวกฝรั่งที่เขียนวิพากษ์เรื่องในทางร้ายๆต่อสถาบันฯ(ซึ่งเป็นข้อเขียนเชิงความคิดเห็นส่วนตัว) ก็เพราะเรื่องพวกนี้สามารถดึงดูดคนอ่านได้มาก ฝรั่งเขาได้ทั้งเงินและชื่อเสียง ส่วนคนไทยเลวๆกลับนำมาใช้เพื่อโจมตีสถาบันฯ เพื่อสร้างความแตกแยก!

.
องค์การสหประชาชาติก็ร่วมเทิดทูนสถาบันฯของเรา แต่พวกไม่จงรักภักดีฯก็ไม่สนหรอก ก็เพราะพวกนี้มีเจตนาอย่างเดียวคือต้องการล้มล้างสถาบันฯ
.
ผมเชื่อว่า คนรักทักษิณจำนวนมากและส่วนใหญ่ รักและจงรักภักดีต่อสถาบันฯ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่า ตราบใดที่เขายังไม่เลิกละชอบทักษิณ ไม่ปล่อยทักษิณไปซะ พวกเขาอาจโดนหลอกใช้ให้ทำร้ายสถาบันฯทางอ้อมได้ จากกลุมผู้ไม่หวังดีต่อชาติและสถาบันฯ
.
มีอยู่เรื่องนึงที่อยากขอเสริม พอดีอ่านความคิดของพวกไม่จงรักภักดีฯเกี่ยวกับเรื่องการส่งทหารที่ไปรบ พวกไม่จงรักภักดีนี่นะ สุดท้ายก็เป็นพวกดีแต่พูดจริงๆ แต่ละคนด่าว่าเรื่องการที่ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของทหาร ที่ไม่ออกไปแนวหน้าเอง ปล่อยให้ทหารผู้น้อยไป ผมว่า พวกนี้ช่างชั่วได้ใจจริงๆ พวกนี้บอกว่า ไม่โง่ออกไปตายแทนพวกผู้บังคับบัญชาหรอก คุณผู้อ่านลองคิดดูสิว่า คนพวกนี้เป็นคนเสียสละเพื่อชาติหรือไม่
.
คนพวกนี้ เป็นได้แค่พวกด่าอย่างเดียว แต่พอถึงคราวตัวเอง ก็รักตัวกลัวตายทั้งนั้นพวกไม่จงรักภักดีฯเกลียดทหาร แต่อยากอยู่อย่างสุขสบายอยู่ในประเทศ อยากให้ทหารปกป้องประเทศ แต่พวกนี้ไม่ยอมให้เกียรติ์และเคารพสถาบันฯที่ทหารรัก (อ่านการตอบแทนผู้เสียสละฯ)
.
ขออภัยประเด็นเรื่องทหารที่เสริมตรงนี้ ผมคงไม่จำเป็นต้องอธิบายนะ ว่าพวกนี้คิดผิดยังไง ผมมั่นใจว่า ผู้จงรักภักดีสถาบันฯย่อมรู้อยู่แล้วว่า การเกี่ยงกันในการรบเพื่อปกป้องชาติ ผลที่ตามจะเป็นยังไง
.
ข้อสรุปในบทความตอนนี้คือ
.
สถาบันฯอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญได้กำหนดพระราชอำนาจไว้ แต่สถาบันฯอยู่เหนือการเมือง จึงมีพระราชอำนาจแต่งตั้งทั้ง3สถาบันฯ ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้
.
สถาบันฯเป็นกลางทางการเมือง แต่ที่ผ่านมาทุกครั้งสถาบันฯทรงออกมาเกี่ยวข้องกับสถานการณ์การเมืองเมื่อถึงคราวจำเป็นจริงๆ เช่นมีการเข่นฆ่าประชาชนเกิดขึ้น
.
ประชาชนที่จงรักภักดีสถาบันฯ ล้วนคิดว่าสถาบันฯคือที่พึ่งสุดท้ายยามบ้านเมืองเกิดภาวะวิกฤติที่รุนแรง หาทางออกไม่ได้ ซึ่งประชาชนมีสิทธิที่จะรู้สึก มีสิทธิที่จะคิดเช่นนั้น
.
เพราะสถาบันฯคือชาติไทย(ชาติไทยประกอบด้วย3สถาบัน) แต่ประชาธิปไตยไม่ใช่ชาติ มันเป็นแค่ระบอบเท่านั้น!

.long live the king


พวกไม่จงรักภักดีต่อสถาบันฯ นิตยสารfobes




สิ่งหนึ่งที่พวกไม่จงรักภักดีใช้โจมตีสถาบันฯมาก ก็คือเรื่องทรัพย์สินของสถาบันฯ ซึ่งพวกไม่จงรักภักดีฯมักชอบอ้างหลักฐานข้อมูลจากนิตยสารFOBES ซึ่ง
นิตยสารFOBES คือนิตยสารทางธุรกิจชื่อดังของโลกที่ชอบจัดอันดับความรวยของมหาเศรษฐีของโลก แต่นอกจากจะจัดอันดับเศรษฐีที่เป็นสามัญชนทั่วไปแล้ว FOBES ยังได้จัดอันดับความร่ำรวยของราชวงศ์ต่างๆของโลกไว้ด้วยเสมอ
หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โทษโบราณประหาร7ชั่วโคตรเลยแต่บทความตอนนี้ ที่ผมต้องเขียนเรื่องนี้ก็เพราะ ปีนี้FOBESได้จัดอันดับว่าราชวงศ์ของไทยรวยที่สุดในโลก ในรายงานระบุว่า ราชวงศ์ไทยมีทรัพย์สินสุทธิที่ประมาณการได้ล่าสุดประมาณ 35 พันล้านเหรียญฯ (หรือ 1.19 ล้านล้านบาท ตามอัตราแลกเปลี่ยน 1 บาท: 34 ดอลลาร์)

ซึ่งหากเราไม่รู้ข้อมูลโดยละเอียดก็คงเชื่อไปตามนั้นแล้ว แต่ที่จริงข้อมูลของFOBESนั้น ยังมีความคลาดเคลื่อนอยู่มาก

ต่อมากระทรวงการต่างประเทศก็ได้ชี้แจงข้อมูลที่ถูกต้องแก่FOBESแล้ว ซึ่งมีเนื้อหาที่กระทรวงต่างประเทศชี้แจงผ่านเว็บไซด์ให้คนไทยได้รับรู้มีข้อความดังนี้

(ที่มาข้อมูลเว็บกระทรวงการต่างประเทศ)


บทความพิเศษของนิตยสาร Forbes เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุด
ตามที่ เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2551 นิตยสาร Forbes ได้เผยแพร่บทความพิเศษเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ประจำปี พ.ศ. 2551 และได้จัดให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอยู่ในลำดับแรก ของพระมหากษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุด นั้น


สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ได้ชี้แจงว่า บทความดังกล่าวมีความคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง เนื่องจากว่า ทรัพย์สินที่บทความนำมาประเมินนั้น ในความเป็นจริง มิใช่ทรัพย์สินส่วนพระองค์ แต่เป็นของแผ่นดินซึ่งเป็นไปในทำนองเดียวกันกับพระมหากษัตริย์ในประเทศอื่น


ที่บทความเดียวกันนี้ไม่ได้จัดอันดับฐานะความร่ำรวย เพราะทรัพย์สินต่างๆ ไม่ใช่ของกษัตริย์ หากแต่เป็นของคนทั้งชาติ สำนักงานทรัพย์สินฯ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “ที่ดิน” ในความดูแลของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ส่วนใหญ่หน่วยงานราชการ องค์กรสาธารณะกุศลเป็นผู้ใช้ประโยชน์ และจัดให้ประชาชน ที่ไม่ได้มีฐานะร่ำรวย รวมทั้งชุมชนอีกกว่าหนึ่งร้อยแห่ง เช่าในอัตราที่ต่ำ มีเพียงส่วนน้อยประมาณร้อยละ 7 ของที่ดิน ที่จัดให้เอกชนเช่าและจัดเก็บในอัตราเชิงพาณิชย์


กระทรวงการต่างประเทศขอเรียนเพิ่มเติมว่า บทความพิเศษดังกล่าวยังได้พาดพิงถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่าทรงเกี่ยวข้องกับการปฏิวัติ เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2549 ซึ่งไม่ถูกต้อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงไม่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับการปฏิวัติดังกล่าวแต่อย่างใด
.
การที่ทรงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งประธานคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นเพียงหน้าที่ขององค์พระมหากษัตริย์ ในฐานะที่ทรงเป็นพระประมุขของประเทศ ตามที่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย


ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงไปยังนิตยสาร Forbes ด้วยแล้ว


***********************************


ก่อนอื่นเราต้องแยกระหว่างคำว่า "ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" กับ"ทรัพย์สินราชวงศ์จักรี" กับ "ทรัพย์สินส่วนพระองค์" ให้เข้าใจเสียก่อน จึงจะได้ไม่สับสน


1.ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ คือ ทรัพย์สินของสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งหมายถึงสถาบันฯ ที่ไม่ใช่ตัวบุคคลที่ดำรงพระยศเป็นพระมหากษัตริย์ เป็นทรัพย์สินที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ต้นราชวงศ์จักรี พูดง่ายๆก็คือเป็นสมบัติของชาติชนิดหนึ่ง หมายถึงเป็นสมบัติของสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่มีมาตั้งแต่เริ่มตั้งราชวงศ์จักรีสืบทอดเรื่อยมา


ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทรัพย์สินส่วนนี้จึงตกเป็นของแผ่นดิน แต่เพื่อเป็นการให้เกียรติ์ราชวงศ์จักรีซึ่งเป็นเจ้าของเดิม จึงตั้งชื่อเป็นสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ขึ้น ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงการคลังอีกที


ส่วนพระมหากษัตริย์ ก็ได้รับพระเกียรติ์ให้ทรงสามารถแต่งตั้งคณะกรรมไปช่วยดูแลการทำงานได้4คน โดยมีรมต.กระทรวงการคลังเป็นประธาน และมีผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นผู้บริหาร แต่ทั้งหมดนี้ต้องนำไปใช้เพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนเท่านั้น


สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไม่ได้นำทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไปใช้ในเรื่องส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์เลย แต่นำไปใช้เพื่อช่วยเหลือประชาชนและสังคมทั้งหมด
"
และตามกฏหมายทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นทรัพย์สินของแผ่นดินจึงไม่ต้องเสียภาษี แต่ส่วนเงินปันผลที่ได้จากการถือหุ้นบริษัทต่างๆก็มีการหักภาษีณ.ที่จ่ายตามปกติ
(ข้อมูลทั้งหมดจากเว็บสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และสามารถติดตามการทำงานต่างๆของสำนักงานฯได้เช่นกัน)


ส่วนรายได้ของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ก็จะนำไปลงทุนในกิจการต่างๆเพื่อออกดอกผล แต่ทั้งหมดเมื่อได้มาก็เพื่อนำไปส่งเสริมกิจกรรมที่เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมต่อไป
.
แต่จะมีเงินส่วนหนึ่งที่จะถวายให้ในหลวงในแต่ละปี เพื่อไปใช้ตามพระราชอัธยาศัยบ้างตามสมควร (ก็อาจถือว่าเป็นเงินเดือนโดยตำแหน่งก็ได้ เราต้องไม่ลืมนะครับว่า เดิมทรัพย์สินตรงนี้เดิมเป็นของราชวงศ์จักรีมาก่อน พอเปลี่ยนแปลงการปกครองก็ไปขอของท่านมาเป็นสมบัติชาติ )
.
2.ทรัพยสินส่วนพระองค์ อันนี้แปลง่ายๆ ก็คือทรัพย์สินส่วนตัวของในหลวง ซึ่งต้องเสียภาษีอากรให้แก่รัฐ และมูลนิธิตางๆที่ในหลวงทรงริเริ่มตั้งก็จะนำมาจากทรัพย์สินส่วนพระองค์ก่อตั้งทั้งสิ้นครับ เช่น
.
มุลนิธิอานันทมหิดล จุดประสงค์เพื่อมอบทุนให้แก่นักเรียนเรียนดีไปศึกษาต่อต่างประเทศในสาขาวิชาสำคัญๆที่ขาดแคลนในประเทศ (ดูข้อมูลจากเว็บมูลนิธิอานันทมหิดล และสามารถติดตามชมรายการของมูลนิธิได้ทางโมเดริ์น9ทีวี ทุกวันเสาร์เวลา 20.30น)
.
มูลนิธิชัยพัฒนา เป้าหมายที่สำคัญคือ เพื่อสงเคราะห์ช่วยเหลือประชาชนให้มีความร่มเย็นเป็นสุข และอยู่ดีกินดี อันจะนำไปสู่ความมั่นคงของประเทศ คือ “ชัยชนะแห่งการพัฒนา (ดูรายละเอียดได้ที่เว็บมูลนิธิชัยพัฒนา) และยังมีอีกหลายๆมูลนิธิเช่น มูลนิธิราชประชาสมาสัย เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเรื้อนและญาติ เป็นต้น
.
3. ทรัพย์สินของราชวงศ์จักรี อันนี้เป็นทรัพย์สมบัติที่อยู่ภายใต้การดูแลจากรมธนารักษ์ เช่นสิ่งของมีค่าทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ของในหลวงรัชกาลต่างๆที่ผ่านมา เช่นเหรียญกษาปณ์ เครื่องราชอิสริยยศ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ หรือจะเป็น
.
สำนักพระราชวัง รัฐบาลให้งบประมาณปีละประมาณ2,000ล้านบาทแก่สำนักพระราชวังซึ่งอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรีโดยตรง และมีเลขาธิการพระราชวังบริหาร ส่วนหน้าที่ดูแลทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับพระบรมวงศานุวงศ์ รวมทั้งจัดการงานคลังหรืองานอื่นๆอีกมากมาย (ไปดูได้ที่เว็บสำนักพระราชวัง)
.
ฉะนั้นใครที่กล่าวหาว่า ในหลวงทรงได้เงินงบประมาณมาก จงรู้ไว้ด้วยว่า งบประมาณที่ได้จากรัฐบาลไม่ใช่จะใช้ส่วนพระองค์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นเงินที่จะต้องถวายให้พระบรมวงศานุวงศ์ด้วย รวมทั้งเป็นงบใช้จ่ายเกี่ยวกับเงินเดือนข้าราชการ ค่าน้ำมัน ค่านำ ค่าไฟค่าซ่อมแซมของพระราชวังที่ยังใช้งานอยู่ทั้งหมดด้วย
.
ถ้าจำไม่ผิดเงินที่ถวายส่วนตัวที่รัฐถวายให้ในหลวงเป็นส่วนพระองค์จริงๆเดียวน่าจะอยู่ประมาณ100ล้านบาทต่อปีเท่านั้น ส่วนพระบรมวงศานุวงศ์แต่ละพระองค์ได้น้อยกว่านี้มาก (ข้อมูลตรงนี้เคยได้อ่านจากนิตยสารสกุลไทย)
ซึ่งเงินส่วนนี้ที่ได้รับก็จะถูกแยกนำไปเข้าสู่ทรัพย์สินส่วนพระองค์อีกทีหนึ่งครับ และรายได้ที่ประชาชนทูลเกล้าถวายก็จัดอยู่รวมในทรัพย์สินส่วนพระองค์เช่นเดียวกันซึ่งทั้งหมดนั้นต้องเสียภาษีด้วย
(มีนักกีฬาเหรียญโอลิมปิคหรือนักกีฬาเทนนิสชื่อดังอย่างภราดร ก็ยังเคยได้รับการงดเว้นภาษีรายได้จากเงินรางวัลครับ)
****************************************
.
ถามว่า ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์สามารถตรวจสอบได้มั้ย?
ตอบว่า ได้ครับ เพราะเป็นทรัพย์สินของรัฐประเภทหนึ่งตามที่ได้อธิบายไปแล้ว จึงสามารถตรวจสอบได้ตามกฏหมายครับ ซึ่งเรื่องนี้ในเว็บของสำนักพระราชวังก็มีบอกไว้ ดูได้จากเว็บสำนักพระราชวัง เรื่อง สิทธิของประชาชน คลิกได้ที่นี่ครับ
หรือหากใครคิดว่าสงสัยเรื่องความโปร่งใสเรื่องใดที่เกี่ยวกับทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ก็ทำเรื่องร้องเรียนได้ที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ได้เลยครับ
.
แต่ถ้าถามว่า สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ทีหน้าที่ต้องเปิดเผยการใช้เงินมั้ย?
.
ต้องตอบว่าไม่มีหน้าที่ แต่ถึงไม่มีหน้าที่ต้องเปิดเผย แต่ในทางปฏิบัติก็มีการเปิดเผยอยู่เพื่อทำเป็นบัญชี แต่ไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศทั่วไป แต่ถ้าใครอยากรู้เรื่องไหนก็ไปขอดูได้ แต่ต้องทำให้ถูกต้องตามระเบียบ อย่าลืมว่า ทรัพย์สินส่วนนี้แม้ยกให้แผ่นดินก็จริง แต่ถือว่าเดิมเป็นทรัพย์สินส่วนที่ได้มาจากราชวงศ์จักรี ไม่ได้เกิดจากการเก็บภาษีจากประชาชนตามระบอบประชาธิปไตยและไม่ใช่จากงบประมาณแผ่นดินนะครับ
.
ถามว่า ทรัพย์สินส่วนพระองค์สามารถตรวจสอบได้มั้ย?
ตอบว่า ไม่ได้ครับ ก็เพราะมันเป็นทรัพย์สินส่วนตัว
.
ชาติ (ประกอบด้วย3สถาบัน) คนไทยทกคนต้องจ่ายภาษีให้สถาบันฯชาติทุกคน ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม
แล้วทำไม แค่เงินงบประมาณที่รัฐบาลให้แก่สถาบันพระมหากษัตริย์เพียงปีละประมาณ2,000ล้านบาท ซึ่งรวมค่าใช้จ่ายทุกอย่างตามข้างต้น กลับมีคนจ้องโจมตี ก็เพราะคนที่จ้องโจมตีมันไม่ต้องการให้มีสถาบันฯอยู่แล้ว ทุกอย่างจึงล้วนผิดหมด
.
เงินส่วนพระองค์จริงๆปีละประมาณแค่100ล้าน ซึ่งพระองค์ก็นำไปช่วยเหลือประชาชนอีกต่อหนึ่ง กลับโดนพวกไม่จงรักภักดีสถาบันฯจ้องโจมตี แต่ผู้บริหารปตท.มีเงินเดือนๆละ13ล้านบาทยังไม่รวมโบนัส กลับไม่มีใครสนใจ ทั้งๆที่ปตท.ก็เป็นของประชาชนแท้ๆ แต่ถูกนักการเมืองนำไปแปรรูปฯ
.I love guitar
ฉะนั้นการที่FOBESนำเสนอว่า ในหลวงเรารวยที่สุดในโลกจึงไม่เป็นความจริง แต่ถ้านำเสนอว่า ในหลวงคือกษัตริย์ที่มีจำนวนประชาชนร่วมถวายทรัพย์แด่พระองค์ เพื่อให้พระองค์นำไปพัฒนาช่วยเหลือความเป็นอยู่ให้ประชาชนดีขึ้นมากที่สุดในโลกอย่างนี้ ถึงจะเป็นข้อมูลที่ถูกต้องที่สุดครับ
.
พวกที่ไม่จงรักภักดียังโจมตีเรื่องรถพระที่นั่งยี่ห้อมายบัค(maybach) ขอตอบว่า เป็นรถที่บริษัทเดมเลอร์ไครสเลอร์ ได้ทูลเกล้าถวายให้เนื่องในวโรกาสเฉลิมฉลองการครองราชย์ครบ60ปีเป็นจำนวน2คัน ฉะนั้นใครไม่เชื่อก็ไปถามบริษัทเบนซ์ได้เลย
.
สมัยรัฐบาลทักษิณก็ได้ซื้อถวายเพิ่มอีก2คันเพื่อใช้ทดแทนรถพระที่นั่งชุดเก่าที่ทรงใช้มากว่า30ปี ส่วนรถยี่ห้ออื่นไม่ว่าจะเป็นบีเอ็มหรือโตโยต้าและเบ๊นซ์ล้วนแต่เป็นรถที่ทูลเกล้าถวายฯจากบริษัทรถเป็นส่วนใหญ่ (บริษัทเดมเลอร์มีแผนจะยุบผลิตภัณฑ์maybachอีกภายใน2ปีข้างหน้า)
.
(แต่พวกชั่วคิดล้มเจ้ายังจะโทษเรื่องการใช้รถราคาแพง ก็น่าจะไปโทษทักษิณมากกว่า เพราะในหลวงท่านไม่เคยรับสั่งว่าต้องซื้อให้ท่าน)
.
และเราต้องเข้าใจคำว่า ร.ย.ล. หรือ ราชยานหลวง เสียก่อนว่า เป็นรถสำหรับใช้ในราชการของสถาบันฯ ไม่ใช่รถส่วนพระองค์
.
ร.ย.ล. อาจเป็นได้ตั้งแต่รถกระบะที่ใช้งานในวังไปจนถึงรถพระที่นั่งของพระราชวงศ์ ส่วนรถมายบัคที่เป็นรถพระที่นั่งก็เปรียบเสมือนรถประจำตำแหน่งของพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่รถส่วนพระองค์ของในหลวงนะครับ โปรดทำความเข้าใจด้วยครับ

.
ส่วนเรื่องพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพพระพี่นาง ที่โดนโจมตีจากพวกไม่จงรักภักดีฯ ข้อนี้ผมไม่อยากเถียง เพราะคนที่รักก็มองอีกมุมหนึ่ง คนที่ไม่รักไม่ภักดีย่อมต้องมองอีกมุมหนึ่ง เถียงไปก็ไร้ประโยชน์ รังแต่จะสร้างความระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทไปเปล่าๆ และจะเป็นการเข้าทางพวกไม่จงรักภักดีได้ฯ เพราะพวกนี้เป็นฝ่ายอยู่ในที่มืด พวกนี้ไม่มีอะไรต้องเสียอยู่แล้ว แต่เราผู้จงรักภักดีฯอาจกลายเป็นเหยื่อเอง
.
ผมบอกได้แค่เพียง งบประมาณที่ซื้อโน้ตบุ้คใหม่ๆเจ๋งสุดๆให้พวกบรรดาสส.และสว.รวมถึงคณะรัฐมนตรีทั้งสภา รวมกับงบซื้อรถหรูๆประจำตำแหน่งรัฐมนตรีที่เปลี่ยนก็ออกบ่อยๆ เป็นเงินมากมายก็ยังไม่เห็นมีใครโวยกันเลย ฉะนั้นการเถียงกันเรื่องแบบนี้จึงยากที่จะจบ มันขึ้นอยู่กับมุมมองและความรู้สึกด้วย
.
(แต่ถ้าเรามองโลกในแง่ดี ก็จะรู้ว่า ช่างฝีมือทุกแขนงอยากมีที่ที่ได้แสดงฝีมือเพื่อเป็นการฝึกฝนและเป็นการเรียนรู้เพื่อสืบสานงานศิลปะชั้นสูง ที่ยากนักจะได้มีโอกาสได้ฝึกฝนอย่างเห็นเป็นรูปธรรมและใช้งานได้จริงๆ ศิลปจากงานสร้างพระเมรุบางอย่างกำลังจะสูญหายไป เหลือแต่ในพิพิธภัณฑ์ ซึ่งนั่นหมายถึงศิลปะที่ตายแล้ว และศิลปกรรมในการสร้างพระเมรุนั้น ไม่ใช่มีเฉพาะสิ่งที่เก่าๆที่สืบทอดมาเท่านั้น แต่ได้มีการประยุกต์และคิดค้นใหม่เพิ่มเติมเข้าไปด้วยหลายอย่าง ศิลปะกรรมบางอย่างไม่อาจพบเห็นได้จากงานทั่วไป จะมีให้ได้เห็นเฉพาะงานพระราชพิธีเท่านั้น "ศิลปะบางครั้งวัดกันไม่ได้ที่ราคา แต่มันอยู่ที่คุณค่ามากกว่า" หากผมอยากจะมองในแง่ร้ายก็สามารถคิดได้สามารถหาเหตุผลมาโจมตีได้เหมือนกัน แต่ผมเลือกที่จะอยู่ฝั่งเข้าใจเหตุผลในแง่มองโลกในแง่ดีมากกว่า และในฐานะคนไทยคนนึง ผมยินดีที่ถวายให้พระองค์อย่างสมพระเกียรติ)


.
อย่าลืมนะครับว่า ในหลวงร.9คือบุคคล ไม่ใช่สถาบันฯ แต่ในหลวงร.9คือส่วนหนึ่งของสถาบันพระมหากษัตริย์ การที่FOBESจัดอันดับเป็นเรื่องของทรัพย์สินที่รวมส่วนของสถาบันฯเข้าไปคิดด้วย และไม่ใช่เงินสดทั้งหมด เป็นเพียงค่าประมาณการว่าถ้ามีการขายจะมีมูลค่าประมาณนี้ แต่ในความเป็นจริง แทบไม่มีการขายทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เลยน้อยมาก เช่นที่ดินก็มีแต่ให้เช่าเป็นส่วนใหญ่ และให้เช่าในราคาถูกกว่าราคาตลาดหลายเท่ามาก
.
แต่ทั้งหมดที่เขียนมา พวกไม่จงรักภักดีเขาไม่เชื่อผมหรอก พวกนี้ก็ยังคิดโทษอยู่อย่างเดียวว่า คนไทยจน คนไทยไม่เจริญเท่าญี่ปุ่นเพราะสถาบันฯเป็นต้นเหตุทั้งหมด เหตุผลอื่นๆเป็นเรื่องรองๆและไม่สำคัญไปหมด (ตามที่เคยอธิบายในบทความตอนที่3แล้ว)
.
(**หากผมจะถามเล่นๆว่า จะมีใครกล้าเอาหัวและตระกูล7ชั่วโคตรของตัวเองเป็นประกันได้บ้างว่า หากไม่มีสถาบันฯแล้ว ไทยเราจะเจริญแบบญี่ปุ่นกับสิงคโปร์ จะไม่เป็นแบบพม่าหรือฟิลิปปินส์ จะมีนักการเมืองที่โกงกินกันน้อยลงจากการจัดอันดับของต่างประเทศ และคนไทยจะรักกันไม่แตกแยกไม่ฆ่ากันเพื่อชิงอำนาจ?)
.
ขอย้ำจุดประสงค์ของผมอีกครั้ง ผมไม่ได้ต้องการเปลี่ยนแปลงความคิดของพวกไม่จงรักภักดีสถาบันฯเลยแม้แต่คนเดียว แต่ผมอยากเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเป็นภูมิต้านทานทางความคิดให้แก่คนที่จงรักภักดีสถาบันฯ และให้คนไทยได้รับรู้ว่า ประเทศไทยมีผู้คิดล้มล้างระบบสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่จริง
.
"การจ้องด่าและจับผิดนั้นทำง่าย แต่การพยายามทำดีโดยไม่มีที่ตินั้นทำยากที่สุด แม้องค์ศาสดาของทุกๆศาสนาเองก็ยังไม่พ้นคนนินทาเลย ธรรมดาของโลกครับ"


พวกไม่จงรักภักดีต่อสถาบันฯ รู้ให้จริงเรื่องโครงการในหลวง


.
ในการเขียนบทความเรื่องพวกไม่จงรักภักดีต่อสถาบันฯมา5ตอนที่ผ่านมาของผม ผมจะเน้นไปที่สถาบันฯมากกว่าตัวบุคคลเป็นส่วนใหญ่ เพราะผมต้องการเน้นให้เห็นถึงความสำคัญของสถาบันฯที่มีต่อประเทศไทย แต่ในบทความตอนนี้จำเป็นต้องเน้นไปที่ตัวบุคคลหรือองค์บุคคลที่ดำรงพระยศเป็นพระมหากษัตริย์ในปัจจุบัน ซึ่งหมายถึงในหลวงรัชกาลที่9 เป็นหลัก

เพราะพวกไม่จงรักภักดีสถาบันฯในเว็บหมิ่นฯได้โจมตีไปที่พระราชกรณียกิจที่ในหลวงทรงพระราชทานความช่วยเหลือแก่ประชาชนชาวไทยตลอดระยะเวลาที่ทรงครองราชย์กว่า60ปีหลายครั้ง ซึ่งดูจากเจตนาที่ใช้โจมตีแล้ว กลับปราศจากเหตุผลที่น่ารับฟังและน่าเชื่อถือ
.
(ในพวกเสื้อแดงกลุ่มล้มเจ้าไม่ต้องการให้ในหลวงทรงงาน แต่กลุ่มเสื้อแดงที่่รักเจ้า กลับไม่ชอบสมเด็จพระบรมฯโดยหาว่าพระองค์ทรงงานน้อยกว่าสมเด็จพระเทพฯ)
พวกไม่จงรักภักดีฯไม่ต้องการให้ในหลวงเสด็จช่วยราษฎรผู้ทุกข์ยาก โดยชอบอ้างว่าจักรพรรดิ์ญี่ปุ่นหรือพระราชินีแห่งอังกฤษไม่เห็นต้องต้องทรงงานหนักช่วยเหลือราษฎรเหมือนในหลวงของไทย แต่ประเทศเขากลับเจริญกว่าไทยเสียอีก พวกนี้ใช้ตรรกะกันง่ายๆแบบนี้แหล่ะครับ 

แต่พอมีคนเข้าไปเถียงอธิบายเกี่ยวกับประโยชน์ที่ราษฎรได้รับมากมายจากโครงการของในหลวง พวกไม่จงรักภักดีฯก็จะบอกไปอีกทางว่า ไม่ใช่เงินของในหลวง แต่เป็นเงินภาษีของประชาชน ฉะนั้นประชาชนไม่ต้องมาซาบซึ้งมากก็ได้ 

หรือบางครั้งก็เถียงว่าโครงการในหลวงที่ล้มเหลวก็มี แต่ก็ไม่เห็นจะบอกว่าโครงการที่ล้มเหลวที่อ้างนั้นคืออะไร ก็อย่างที่ผมเคยเขียนไว้ในบทความที่แล้วว่า คนไม่ทำอะไรเลยเอาแต่ตินั้นทำง่าย คือคิดจะติก็ติ แต่ไม่เอาเหตุผลหลักฐานมายืนยัน การบอกว่าโครงการในหลวงเป็นเงินภาษีของประชาชน ไม่ต้องมาซาบซึ้ง แล้วพวกนี้เคยทำประโยชน์อะไรให้ประเทศชาติสักเท่าไหร่กันถึงได้พูดชุ่ยๆง่ายๆแค่นั้น ไม่ได้รู้ไม่ได้ศึกษาเลยว่า จริงๆแล้วโครงการต่างๆเกิดประโยชน์แก่ชาติและประชาชนมากแค่ไหน คนมีอคติก็เป็นเช่นนี้แล

หากเรามองเหตุผลพวกไม่จงรักภักดีฯแล้ว พิจารณาให้ดี จะรู้ได้ว่า คนพวกนี้นอกจากจะเห็นแก่ตัวแล้ว ก็น่าจะเป็นคนจำพวก "มือไม่พายแต่เอาเท้าราน้ำ" ด้วย 


ทีนี้ผมจะอธิบายให้ผู้จงรักภักดีฯทุกท่านที่อาจไม่ค่อยรู้ได้เข้าใจ ส่วนใครที่รู้และเข้าใจเกี่ยวกับโครงการในหลวงดีกว่าผมได้มาอ่านบทความนี้ ผมก็ขออภัยด้วยครับ เพราะผมอาจเขียนได้ไม่ดีนักเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจที่ทรงช่วยเหลือราษฎรได้ดีเท่ากับผู้รู้จริงๆได้ ส่วนพวกไม่จงรักภักดีฯพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นบัวใต้น้ำไปแล้ว ยากที่จะสั่งสอนแล้ว

ก่อนอื่นเราต้องแยกระหว่าง "โครงการตามแนวพระราชดำริ" กับ "โครงการส่วนพระองค์" ให้เข้าใจเสียก่อนครับ

1.โครงการตามแนวพระราชดำริ ก็คือโครงการที่ในหลวงมีพระราชดำริให้ข้าราชการหรือรัฐบาลได้ช่วยเหลือราษฎรให้ถูกจุด ซึ่งเริ่มมาจากที่ในหลวงเสด็จทรงเยี่ยมราษฎรในภูมิภาคต่างๆ แต่เมื่อในหลวงเสด็จไปแล้วก็จะทรงพบเห็นปัญหาเดือดร้อนต่างๆที่ราษฎรต้องประสบพบเจอ ในหลวงเมื่อทรงเห็นปัญหาแล้ว จะให้ทรงนิ่งเฉยไปโดยไม่รู้ไม่เห็น หรือเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ก็คงจะไม่ได้ 


ในหลวงเลยทรงมีพระราชดำริให้ข้าราชการที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ได้ให้ความช่วยเหลือแต่ถ้าจะแค่ตรัสเฉยๆแล้วเสด็จจากไปง่ายๆ ก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น เพราะอย่างที่รู้ว่าๆ ปัญหาระบบราชการในอดีตที่ยังล้าหลัง ตลอดจนความรู้ความเข้าใจในการแก้ปัญหาเรื่องต่างๆของข้าราชการที่รับผิดชอบหรือประชาชนในพื้นที ส่วนใหญ่ยังขาดความรู้และขาดเทคโนโลยีที่ดีที่จะช่วยเหลือหรือแก้ไขให้ราษฎรได้ดีเท่าที่ควร 


ในหลวงเลยต้องทรงชี้แนะแนวทางแก้ไขให้ และเมื่อในหลวงมีพระราชดำริที่จะแก้ไข หน่วยงานรัฐต่างๆก็จะให้ความสนใจที่จะร่วมมือช่วยเหลือทั้งด้านงบประมาณและบุคคลากรเข้ามาช่วยให้งานช่วยเหลือราษฎรได้บรรลุความสำเร็จโดยเร่งด่วนทันที และโครงการตามแนวพระราชดำริในแต่ละโครงการ จริงๆแล้วก็ในหลวงทรงอยากให้เป็นโครงการต้นแบบมากกว่า เพื่อให้ประชาชนหรือข้าราชการได้ศึกษาเพื่อนำไปใช้แก้ปัญหาในพื้นที่อื่นที่มีปัญหาใกล้เคียงกันอีกต่อไป

ถามว่า ในหลวงทรงคิดงานเองพระองค์เดียวหรือ ?

ตอบว่า ไม่ใช่ เพราะในหลวงต้องลงพื้นที่เสียก่อน แล้วสอบถามถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจากทั้งเจ้าหน้าที่และราษฎร ในพื้นที่ และก็จะช่วยกันคิดกันหาทางแก้ไขกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และทรงช่วยหาหนทางที่ดีกว่าในการช่วยเหลือ ซึ่งเจ้าหน้าที่และราษฎรที่ร่วมปรึกษาต่างต้องทึ่งในพระอัจฉริยะภาพของพระองค์ที่ทรงรู้จริงและเข้าใจปัญหาได้ลึกอย่างถ่องแท้ จนสามารถแนะแนวทางที่ดีเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆให้ราษฎรได้สำเร็จในที่สุด

ในระยะแรกๆในหลวงเองก็ไม่ได้ทรงคิดวิธีได้ในทันทีทันใด ก็เหมือนคนทั่วๆไปนั่นแหล่ะครับ(ไม่มีใครรู้มาแต่เกิด) แต่เพราะความที่พระองค์ได้ทรงไต่ถามพูดคุยกับคนในพื้นที่ ทุ่มเทค้นหาสาเหตุของปัญหาอย่างจริงจัง จนเห็นปัญหาแล้วนำมาวิเคราะห์และตรึกตรองในปัญหาต่างๆบ่อยครั้ง เพราะปัญหาในชนบทก็มักจะมีปัญหาที่คล้ายๆกันในหลายพื้นที่ จึงทำให้ในหลวงจึงเกิดความชำนาญในปัญหาต่างๆเพิ่มขึ้น และก็สามารถหาวิธีแก้ไขได้ง่ายขึ้นตามลำดับครับ

ในระยะแรกที่ในหลวงเสด็จทรงเยี่ยมราษฎรในพื้นที่ต่างๆ พระองค์ก็ทรงเน้นในแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ในระยะต่อมา ในหลวงทรงเห็นว่าการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไม่ได้ช่วยให้ราษฎรได้พ้นจากความยากลำบากอย่างแท้จริง ต่อมาแนวทางพระราชดำริจึงมีแนวทางไปเพื่อการยั่งยืนและพึ่งตนเองได้ของราษฎร
.
[เพิ่มเติมส่วนสำคัญ -โครงการตามแนวพระราชดำริสามารถตรวจสอบได้ และที่เห็นล่าสุดคือ 'โครงการฝายแม้ว' ซึ่งมีการทุจริตในการจัดสร้าง ไม่ได้เป็นไปตามที่งบประมาณที่ให้ไว้ ฝายแม้วไร้คุณภาพถึงขั้นใช้ไม่ได้เลย (คลิกดูข่าวฝายแม้ว)
.
อย่างที่อธิบายในตอนต้นว่า โครงการพระราชดำริ เป็นโครงการที่ในหลวงมีพระดำริแนะนำว่า ดีมีประโยชน์ เห็นว่าน่าจะช่วยประชาชนได้ ส่วนจะทำหรือไม่ทำ ก็ต้องเป็นหน้าที่ของภาครัฐพิจารณาว่าสมควรทำหรือไม่ เพราะเป็นหน้าที่ของรัฐบาลไม่ใช่ของในหลวง ซึ่งจะทำก็ได้ไม่ทำก็ได้
.
มีหลายๆโครงการที่ในหลวงมีพระราชดำริ แต่รัฐและประชาชนในท้องที่ยังไม่สามารถทำได้ เพราะยังมีข้อโต้แย้งในพื้นที่ เช่น 'โครงการเขื่อนแก่งเสือเต้น' เป็นต้น ]
.
2.โครงการส่วนพระองค์ อันนี้คงไม่ต้องแปล แต่การที่ในหลวงได้พบเจอปัญหาต่างๆของราษฎรทั่วประเทศมากมาย ก็อย่างที่บอกในข้อที่แล้วว่า ในหลวงไม่ใช่จะคิดหาทางแก้ได้ในทันทีทุกปัญหา บางปัญหาก็ทรงต้องนำเก็บมาคิดวิเคราะห์ต่อ บางวิธีการต้องอาศัยการทดลองให้รู้จริงให้ลึกซึ้งเสียก่อน
.
ในหลวงจึงต้องทรงมีการตั้งโครงการส่วนพระองค์เพื่อทำการศึกษาวิจัยปัญหา ทดลองแก้ไขปัญหา จนได้วิธีการที่ถูกต้องเหมาะสมที่สุดแล้วจึงจะนำไปใช้แนะนำเจ้าหน้าที่และราษฎรในพื้นที่ได้แก้ไขได้อย่างถูกจุดถูกวิธี (อ่านรายละเอียดได้ที่เว็บโครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา)
.
รายละเอียดของโครงการต่างๆผมไม่อยากลงรายละเอียดมาก เพราะถ้าใครสนใจก็สามารถหาได้ในเว็บต่างๆมากมาย แต่ในบทความผมอยากจะกล่าวถึงก็คือประเด็นที่พวกไม่จงรักภักดีฯชอบใช้โจมตี
.
ถามว่า โครงการในหลวงเป็นเงินภาษีจริงหรือไม่?
.
ตอบว่า จริง แต่ก็ไม่ทั้งหมด เพราะที่จะใช้เงินของรัฐบาลนั้น ก็เป็นโครงการตามแนวทางพระราชดำริเท่านั้น แต่เมื่อในหลวงมีพระราชดำริแล้ว พระองค์ก็มักจะทรงบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อเป็นทุนเริ่มต้นโครงการอยู่เสมอ เราคงต้องยอมรับกันว่า ราษฎรที่ตกทุกข์ได้ยากในอดีตห่างไกลความเจริญ การติดต่อสื่อสารกับหน่วยราชการก็ยาก หรือเมื่อติดต่อขอความช่วยเหลือจากราชการแล้ว ก็ยากที่จะได้งบประมาณมาช่วยเหลือทันท่วงที.
ยกตัวอย่างเช่นที่ผมเห็นเมื่อไม่นานมานี้เอง ในรายการโทรทัศน์ที่เกี่ยวกับการให้ประชาชนร้องเรียนรายการหนึ่ง ก็คือ ในจังหวัดนครราชสีมา ประชาชนเดือดร้อนเกี่ยวกับถนนดินลูกรังมา30กว่าปี ที่เวลาหน้าฝน ถนนลูกรังจะเป็นโคลนเป็นหล่ม ยากแก่การสัญจร รถเล็กวิ่งแทบไม่ได้เลยในหน้าฝน ของบสร้างถนนลาดยางหรือเทปูนมากว่า20ปีจากทางราชการ ก็ยังไม่เคยได้รับการเหลียวแล สส.ก็เคยมาหาเสียงและรับปากครังแล้วครั้งเล่าว่าจะช่วยดูให้ แต่ก็เงียบหายไปหมด
.
นี่คือตัวอย่างที่ยังเกิดขึ้นอยู่ทุกวันนี้ การที่ในหลวงเสด็จเยี่ยมราษฎรในพื้นที่ต่างๆ ก็เท่ากับว่าพระองค์ได้แบ่งเบาภาระของรัฐบาลที่อาจจะดูแลไม่ทั่วถึงหรืออย่างน้อยก็อาจจะเป็นการกระตุ้นข้าราชการในพื้นที่ให้ตระหนักถึงหน้าที่ๆควรปฏิบัติมากขึ้นก็ได้
.
ในหลวงไม่ใช่ผู้วิเศษที่จะเสกสรรอะไรได้ดั่งใจคิด(แต่พระองค์ทรงมีพระอัจฉริยภาพที่ทุกคนที่มีโอกาสร่วมทำงานกับพระองค์ต่างก็ยอมรับ) พระองค์ต้องทรงงานหนักมาตลอดชั่วชีวิตในการช่วยแบ่งเบาภาระของรัฐบาลในการช่วยเหลือราษฎร เท่าที่พระองค์จะทรงทำได้ พระองค์ทรงเป็นตัวอย่างให้คนไทยได้ปฏิบัติตาม เพราะ
.
ไม่จำเป็นต้องเป็นใครที่มีหน้าที่เท่านั้นที่จะช่วยเหลือชาติ เราคนไทยทุกคนหากมีกำลังมีความสามารถพอ ก็สามารถมีส่วนช่วยเหลือพี่น้องคนไทยด้วยกันได้ พวกไม่จงรักภักดีฯชอบเกี่ยงกันว่า ต้องเป็นคนนั้นคนนี้เท่านั้นที่ต้องทำเพื่อชาติ หรือต้องไม่ใช่คนนี้คนนั้นที่ไม่ต้องทำเพื่อชาติก็ตาม หากมีคนเช่นนี้อยู่มากๆในชาติ ชาตินั้นย่อมไม่มีทางจะเจริญได้เท่าที่ควร จะเงินใครก็แล้วแต่ ขอให้ประชาชนได้ประโยชน์จริง ผู้ที่คิดโครงการหรือริเริ่มโครงการย่อมได้รับคำยกย่องสรรเสริญทั้งนั้น
.
อย่างเช่นโครงการ30บาท รักษาทุกโรค ก็ไม่ใช่เงินของอดีตนายกฯทักษิณสักหน่อย และก็ไม่ใช่โครงการที่ทักษิณเป็นคนคิดขึ้นมาเองด้วยซ้ำ แต่เป็นโครงการที่คุณหมอสงวน นิตยารัมภ์พงศ์ อดีตเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) เป็นผู้คิดและได้ไปเสนอโครงการนี้แก่ทักษิณและทักษิณก็เห็นประโยชน์จึงนำมาบรรจุไว้ในนโยบายของพรรคไทยรักไทย แต่ทุกคนก็ยอมรับและยกย่องว่า เป็นผลงานชิ้นสำคัญที่สุดของทักษิณ ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้ว คนที่ทำให้โครงการสำเร็จจริงๆและหาวิธีการให้โครงการเป็นผลสำเร็จในที่สุด ก็ไม่ใช่ทักษิณ แต่เป็นบุคคลากรทางการแพทย์ต่างหาก ที่พยายามทำให้นโยบายสำเร็จได้ แต่ก็ให้เกียรติทักษิณว่า เป็นคนคิดริเริ่ม เป็นต้น (ในสมัยรัฐบาลสุรยุทธ ได้มียกเลิกการเก็บค่าธรรมเนียม30บาท)
.
หรือจะเป็นโรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักดิ์ หลวงพ่อทวีศักดิ์ ท่านก็ไม่ได้มีเงินของท่านเอง ก็เป็นเงินจากญาติโยมที่ร่วมบริจาคจัดสร้างทั้งนั้น แต่ทุกคนก็ให้เกียรติตั้งชื่อหลวงพ่อทวีศักดิ์ ให้เป็นชื่อของโรงพยาบาล เพื่อเป็นมงคลนาม ก็ไม่เห็นมีใครเขามาคิดเล็กคิดน้อยกัน หรือจะอย่างสนามศุภชลาศัย ก็ตั้งชื่อให้เกียรติหลวงศุภชลาศัยที่เป็นต้นคิดในการสร้าง เป็นต้น ซึ่งหากจะยกตัวอย่างทั้งโลกก็คงไม่หมดหรอก
.
คนที่มีอคติย่อมคิดแบบเห็นแก่ตัว ไม่อยากเห็นคนอื่นได้รับการยกย่อง ขอยกตัวอย่างอีกกรณีแล้วกัน หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ ก็ได้บริจาคเงินสร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาล มากมาย แต่ถามหน่อยเถอะว่า ที่จริงลำพังหลวงพ่อคูณจะมีเงินทองได้มากมายขนาดนั้นหรือไม่ แน่นอนต้องไม่มีทาง แต่ที่หลวงพ่อคูณมีเงินมาบริจาคสร้างโรงเรียนหรือสร้างโรงพยาบาล หรือถวายเงินให้ในหลวงเพื่อสร้างอ่างเก็บน้ำนั้น ที่จริงก็คือเงินชาวบ้านที่ศรัทธาหลวงพ่อคูณ ถวายให้ทั้งนั้น แต่เราก็ให้เกียรติว่าเป็นเงินของหลวงพ่อคูณ แม้ที่จริงแล้วพระไม่ได้มีสิทธิที่จะมีเงินทองตามพระวินัยก็ตาม
.
ประเพณีการตั้งชื่อเพื่อให้เกียรติผู้ริเริ่มโครงการหรือสร้างสถานที่สำคัญต่างๆเป็นเรื่องธรรมดามาก ทั่วโลกเขาก็ปฏิบัติกันแบบนี้มากมาย แต่การที่รัฐบาลถวายชื่อโครงการของในหลวงว่า โครงการตามแนวพระราชดำรินั้น ก็เพราะเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อโครงการมากกว่า เพราะจะทำให้ประชาชนจะรักและช่วยกันดูแลโครงการของในหลวงมากกว่าโครงการธรรมดาทั่วไปที่รัฐบาลทำ และก็จะสามารถทำให้มีคนที่กำลังทรัพย์ที่อยากจะมีส่วนร่วมกับงานของในหลวงก็จะได้มีโอกาสร่วมบริจาคเงินเข้าช่วยโครงการด้วย
.
นิสัยแย่อีกอย่างของคนไทยที่มักจะพบเห็นอยู่เสมอในทุกสังคม ก็คือ การที่อิจฉาริษยากัน การไม่อยากให้คนอื่นได้ดีกว่าตน โดยอาจหาทางกลั่นแกล้งผู้ที่ทำดีกว่า ฉะนั้นการที่ตั้งชื่อโครงการต่างๆให้เป็นกลาง เช่นการใช้ชื่โครงการแนวพระราชดำริ ก็จะทำให้ผู้ปฏิบัติงานก็จะลดอาการอิจฉาริษยากันได้ไม่มากก็น้อย และก็จะทุ่มเทให้โครงการมากขึ้น เพราะทุกคนรักในหลวง
.
เราต้องยอมรับว่า คนไทยส่วนใหญ่จะรู้สึกว่ารักในหลวงมากกว่ารักชาติ ซึ่งแม้ดูจะไม่ค่อยถูกต้องนักก็ตามแต่ก็ต้องยอมรับวาเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะอะไรผมถึงว่าเช่นนี้ ก็เพราะสมบัติของชาติต่างๆที่คนไทยควรรักษา แต่กลับไม่ค่อยช่วยกันรักษา เช่นป่าไม้ หรือของสาธารณประโยชน์ทั้งหลายของชาติ คนไทยกลับไม่มีจิตสำนึกที่จะรักและหวงแหน แต่ถ้าเป็นของในหลวงหรือเป็นโครงการที่ในหลวงสร้าง ทุกคนกลับดูจะรักษาและหวงแหนมากกว่าสมบัติของชาติ?
.
การที่จะทำให้คนไทยรักชาติมากขึ้น ไม่ใช่ทำด้วยการทำให้คนไทยรักในหลวงน้อยลง แต่ควรทำให้คนไทยรักชาติเหมือนที่รักในหลวง คนไทยหลายคนมักชอบคิดว่า เรื่องของชาตืไม่ใช่เรื่องของตนคนเดียว หรือคนไทยหลายคนไม่เคยคิดและตระหนักว่า การรักษาสมบัติของชาติก็คือการรักษาสมบัติของตัวเอง คนไทยอีกหลายคนก็กลับคิดเห็นแก่ตัวว่า สมบัติของชาติจะใช้ยังไงก็ได้ ไม่ต้องระวังรักษา
.
หรือจะเป็นโครงการต่างๆเช่นการสร้างโรงพยาบาลรัฐหลายๆแห่ง รัฐบาลไม่ค่อยมีเงินงบประมาณจัดสร้าง ก็ได้พระบรมวงศานุวงศ์หลายๆพระองค์ต่างก็เข้ามาเป็นประธานจัดสร้างช่วยระดมหาเงินบริจาคจากภาคเอกชนและประชาชนมาช่วยจัดสร้าง ถ้าจะมัวแต่รอเงินงบประมาณจากรัฐบาลก็รอไปเถอะยาก จะให้รัฐบาลขอเงินบริจาคก็คงไม่ได้ เพราะไม่ใช่หน้าที่ของรัฐ
.
แต่ถ้าหน่วยงานต่างๆของรัฐหากต้องการระดมทุนเพื่อก่อสร้างสิ่งสาธารณะประโยชน์ใดๆ และได้ทูลเชิญพระบรมวงศานุวงศ์เป็นองคประธานจัดสร้าง ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นได้ในเวลาไม่นาน เพราะประชาชนต่างก็จะยินดีมาร่วมบริจาคทำบุญร่วมกับพระบรมวงศานุวงศ์แต่ละพระองค์ในทันที ซึ่งผมไม่จำเป็นต้องยกตัวอย่าง เพราะมีมากมายเหลือเกิน และพวกไม่จงรักภักดีฯเองก็คงได้เคยใช้ประโยชน์จากโครงการต่างๆไม่มากก็น้อย โดยที่ไม่รู้ตัวเลยมากมาย
.
งานช่วยเหลือประชาชนคืองานหลักของรัฐบาลก็จริง แต่ทุกคนก็มีสิทธิที่จะช่วยเหลือพี่น้องประชาชนคนอื่นได้เช่นกัน แต่ถ้าได้คนที่มีบารมีที่เป็นที่รักที่ศรัทธาของประชาชนเป็นผู้นำในการช่วยเหลือ โอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็ย่อมมีมากขึ้น หากทุกคนร่วมไม้ร่วมมือกัน ไม่เกี่ยงกัน ประเทศชาติก็จะเจริญได้มากกว่านี้
.
ถามว่าโครงการตามแนวพระราชดำริมีล้มเหลวมั้ย ผมตอบตามตรงว่า ก็มี แต่ที่มี ไม่ใช่เพราะแนวทางพระราชดำริไม่ถูกต้อง แต่ที่ล้มเหลวเพราะยังมีคนที่โกงกินเงินงบประมาณที่รัฐส่งลงไปสร้างมากกว่า เช่น โครงการฝายแม้วที่มีการคอรัปชั่นที่เป็นข่าวเมื่อไม่นานมานี้ แต่นั่นก็เป็นเพียงส่วนน้อยมากที่ไม่สำเร็จ ทุกคนยอมรับว่าโครงการนี้เป็นโครงการที่ดีและมีประโยชน์ แต่ระบบจัดการของหน่วยงานราชการไม่รัดกุมจึงเป็นช่องทางให้เกิดการทุจริต ฉะนั้นความผิดจึงเกิดที่คน ไม่ใช่ที่โครงการครับ ต้องแยกแยะให้ดี
.
ส่วนโครงการส่วนพระองค์ก็เกิดจากเงินของในหลวงเอง(ซึ่งรวมทั้งเงินที่ประชาชนถวายร่วมสมทบด้วย)อันนี้ ผมจึงไม่ต้องอธิบาย
.
********************************************
.
ส่วนประเด็นที่พวกไม่จงรักภักดีฯอ้างแบบชุ่ยๆง่ายๆว่า หากในหลวงทรงไม่ช่วยราษฎร ให้ทรงอยู่แต่ในวัง แบบกษัตริย์ประเทศอื่นแล้วไทยจะเจริญ คุณผู้อ่านว่า มันเป็นตรรกะที่เฮงซวยเห่ยๆมั้ยครับ ผมไม่อยากอธิบายตรงจุดนี้อีก เพราะเคยอธิบายไว้ในตอนที่3แล้ว
.
แต่ถ้าจะตอบอีก ไม่ขอตอบแบบเดิมดีกว่า เพราะตอบไปคนที่มีอคติก็ต้องหาเหตุประเด็นอื่นให้ปวดหัวตามคิดหาคำอธิบายอีก แต่ผมว่า คนพวกนี้ควรโดนถามกลับในตรรกะแบบเห่ยๆจากผมบ้างเช่น
.
ถ้าขอสันนิษฐานของพวกไม่จงรักภักดีเป็นสิ่งถูกต้องที่ว่า ประเทศญี่ปุ่นจักรพรรดิ์เขาไม่มายุ่งเกี่ยวกับการช่วยเหลือประชาชน ทำให้ประเทศญี่ปุ่นเจริญกว่าไทยและก็เจริญที่สุดในเอเซีย ถ้าเป็นเช่นนี้จริง
.
ผมต้องถามกลับว่า อย่างนี้เรามารณรงค์ให้ทุกประเทศในเอเซีย มาเปลี่ยนแปลงการปกครองให้เป็นแบบประเทศญี่ปุ่นเลยดีมั้ย จะได้เจริญแบบญี่ปุ่น?
.
และถ้าเปลี่ยนแปลงการปกครองให้เป็นแบบญี่ปุ่นเปี๊ยบๆเป็นสิ่งที่ดี ที่เจริญ ก็แสดงว่า การมีจักรพรรดิ์ในระบอบประชาธิปไตยก็เป็นสิ่งที่ดีกว่าประชาธิปไตยล้วนๆแบบมีประธานาธิบดีใช่หรือไม่?
.
หรือถ้าการมีกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยไม่ดีเลย ทำให้ประเทศไม่เจริญ แล้วทำไม ประเทศอย่างฟิลิปปินส์หรืออินโดนีเซียหรือศรีลังกา หรืออีกหลายๆประเทศที่ไม่มีระบอบกษัตริย์ก็ไม่เห็นจะเจริญกว่าประเทศไทยเลย? ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
.
หรือถ้าจะเปรียบเทียบแบบเห่ยสุดๆ อีกอย่างก็คือ ทำไมฟุตบอลทีมชาติไทย ที่เมื่อก่อนเก่งกว่าญี่ปุ่น แต่เดี๋ยวนี้แพ้ญี่ปุ่นเป็นเพราะอะไร เป็นเพราะสถาบันฯเราไม่เหมือนสถาบันฯของญี่ปุ่นอีกใช่มั้ย?
.
ถ้าเป็นเช่นนั้น แล้วทำไม บราซิลก็ไม่มีสถาบัน หรือ อาเจนติน่าที่ไม่เจริญเท่าญี่ปุ่น จึงได้เตะบอลเก่งกว่าญี่ปุ่นล่ะครับ?
.
ที่ผมยกตัวอย่างมา ก็เป็นตรรกะที่ผมกำลังจะบอกว่า ตรรกะของพวกไม่จงรักภักดีฯที่ตั้งขึ้นมาตามที่ผมบอกข้างต้นบทความ ก็เพื่อเปรียบเทียบตรรกะของพวกนั้นว่า ก็เป็นตรรกะเฮงซวยชนิดเดียวกันแบบที่ผมตั้งเหมือนกันไงครับ
.
แต่ที่ถูกต้องก็คือ ความเจริญของประเทศไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ระบอบเป็นสำคัญ แต่เป็นเพราะคนที่อยู่ในระบอบ ที่ใช้ระบอบมากกว่า ที่ทำให้ประเทศชาติไม่เจริญ
.
แต่ถ้าผมบอกว่า ที่ประเทศไทยไม่เจริญ ก็เพราะประเทศไทยมีนักการเมืองโกงกิน พวกไม่จงรักภักดีฯก็จะอ้างอีกว่า ประเทศญี่ปุ่นก็มีคอรัปชั่น แต่ประเทศเขาก็เจริญ ซึ่งมันเถียงแบบแถๆง่ายๆ ผมก็ต้องตอบแถๆตอกกลับว่า
.
หากนักการเมืองหรือข้าราชการมีจริยธรรมมาก โกงกินน้อย สถาบันฯก็จะช่วยเหลือประชาชนน้อยลง
หากนักการเมืองหรือข้าราชการมีจริยธรรมน้อย โกงกินมาก สถาบันฯก็ต้องช่วยเหลือประชาชนมากขึ้น
และหากนักการเมืองหรือข้าราชการมีจริยธรรมคุณธรรมเต็มเปี่ยม สถาบันฯก็ไปต้องช่วยเหลือประชาชนเลยครับ

.
ที่จริงแล้วทั้งพระราชินีอังกฤษ หรือจักรพรรดิ์ญี่ปุ่น ไม่ใช่ว่าพระองค์จะไม่ได้ช่วยเหลือประชาชนเลยนะครับ ทั้งสองพระองค์ก็มีการช่วยเหลือองค์กรการกุศลต่างๆในประเทศอยู่เสมอ แต่จะเป็นในรูปบริจาคทรัพย์มากกว่า
.
ที่ทั้งสองพระองค์ไม่ต้องลงไปคลุกคลีกับปัญหาของประชาชนมาก ก็เพราะคนในประเทศรวมทั้งนักการเมืองของเขาเห็นแก่ตัวน้อยกว่านักการเมืองไทยไงครับ




พวกไม่จงรักภักดีต่อสถาบันฯ เศรษฐกิจพอเพียง







.
ประเด็นนึงที่พวกไม่จงรักภักดีสถาบันฯ ยังอุตส่าห์เอามาโจมตีแถมการโจมตีกลับกลายเป็นการแสดงถึงความเขลาของตัวเองก็คือ เรื่องทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง 

เพราะพวกไม่จงรักภักดีฯ ได้แปลทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงว่า เป็นการให้อยู่อย่างยากจน ไม่จำเป็นต้องมีโทรทัศน์ดู ไม่จำเป็นต้องมีอินเตอร์เนตใช้ ปฏิเสธเทคโนโลยี ให้อยู่กันแบบจนๆไม่แสวงหาความสุขสบายทางด้านวัตถุ ดำเนินชีวิตแบบปู่เย็นแห่งลุ่มน้ำเพชรบุรี อะไรประมาณนี้


ที่จริงคนที่อยู่ในเว็บหมิ่นพระบรมฯ หลายๆคนก็ฉลาดอยู่ไม่น้อย แต่ก็ยังมีพวกเบาปัญญาปะปนอยู่ในพวกนี้เป็นจำนวนมากพอควร เพราะพอมีคนตั้งกระทู้โจมตีเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง แบบที่ผมยกตัวอย่างตามข้างต้นนั้น ก็มีพวกไม่จงรักภักดีฯอีกหลายคน เข้ามาชื่นชมเห็นด้วยกับเจ้าของความคิดที่โจมตีเรื่องนี้


ที่จริงแล้ว เรื่องความพอเพียงไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร เป็นเรื่องที่มีสั่งสอนกันอยู่ในทุกประเทศ เช่นประเทศจีนก็คือ "วิถีแห่งเต๋า" ถ้าญี่ปุ่นก็คือ "วิถีแห่งเซ็น" แต่สำหรับประเทศไทยที่เป็นเมืองพุทธ ก็ได้รากฐานความคิดเรื่องความพอเพียงนี้มาจาก เรื่อง "ทางสายกลาง" ของพระพุทธเจ้า คือไม่ตึงเกินไป และไม่หย่อนเกินไป เป็นไปอย่างพอดี พอเหมาะ พอประมาณ ตามกำลังของแต่ละคนไม่ตายตัว
ทุกคนมีสิทธิที่จะฟุ้งเฟ้อได้ แต่ก็ต้องฟุ้งเฟ้อแบบพอเพียง มีลิมิตที่ต่างกันไปในแต่ละคน ขอเพียงในชิวิตของแต่ละคน อย่างน้อย ใน100ส่วน จะฟุ้งเฟ้อสัก49ส่วน เหลืออีก51ส่วน ก็ให้มีความพอเพียงอยู่ด้วย เพียงเท่านี้ ก็นับว่าดีแล้ว

การตีความว่า ความพอเพียง คือทุกคนต้องอยู่อย่างยากจน เป็นการตีความของคนโง่เขลาเบาปัญญา เพราะคนเรามีศักยภาพไม่เท่ากัน แต่ละคนจึงมีลิมิตของความพอเพียงก็ย่อมไม่เท่ากันเป็นเรื่องธรรมดา การตีความว่า ต้องเป็นเหมือนกัน ต้องเท่ากัน มันไม่ใช่แนวคิดความพอเพียง แต่มันเป็นแนวคิดแบบคอมมิวนิสต์ยุคตกโลกไปแล้ว

การที่คนเรามุ่งแต่กอบโกยจนเกินไป ก็เป็นต้นเหตุหนึ่งของ ภาวะโลกร้อน เพราะภาวะโลกร้อน ก็เกิดจากการบริโภคเกินความจำเป็น เป็นสาเหตุของการสูญพันธุ์ของสัตว์ต่างๆและพันธุ์พืชในโลกมากมาย

หรือแม้แต่วิกฤติเศรษฐกิจของไทยในปี40 หรือวิกฤติเศรษฐกิจของโลกในวันนี้ ก็ล้วนแต่มีสาเหตุมาจาก ลัทธิบริโภคนิยมฟุ้งเฟ้อเกินความจำเป็นทั้งสิ้น ซึ่งผมเองก็เคยเขียนเรื่องนี้ไว้แล้วตั้งแต่เมื่อเดือนต.ค.ที่ผ่านมา (อ่านอเมริกาจ๋อยตอน1) (อ่านเศรษฐกิจโลกตก-ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงแก้ไขได้)

เศรษฐกิจพอเพียง ไม่ใช่การปฏิเสธเรื่องอุตสาหกรรมแล้วกลับไปใช้ชีวิตแบบเกษตรกรรมเท่านั้น แต่เศรษฐกิจพอเพียงใช้ได้กับกลุ่มคนทุกสาขาอาชีพ แต่บังเอิญประเทศไทยคนส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร ในหลวงจึงทรงเน้นการเกษตรแนววิถีพอเพียงเป็นหลัก เพื่อจะลดต้นทุน ลดการพึ่งพาสารเคมี จะได้ทำให้เกษตรกรลดภาระการเป็นหนี้จากการกู้ยืมเงินมาซื้อทั้งปุ๋ยและยาฆ่าแมลง และจะได้มีวิถีอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไปด้วยในตัว
.
หากจะยกตัวอย่างเรื่องใกล้ตัวสักเรื่องก็คือ เรื่องเด็กไทยชอบเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือบ่อย ตรงนี้ก็จะแสดงให้เห็นถึงความฟุ้งเฟ้อเกินความจำเป็น ยิ่งเทคโนโลยีมือถือนั้นเป็นสิ่งที่ซื้อหามาจากต่างชาติ ทำให้เงินทองของประเทศต้องรั่วไหล ขาดดุลการค้าโดยใช่เหตุ หากเป็นลูกคนรวย ก็ยังพอว่า แต่หากเป็นลูกคนจน แล้วยังดิ้นรนให้พ่อแม่หรือตัวเองต้องเดือดร้อนเพื่อจะได้มีซึ่งมือถือราคาแพงๆ อย่างนี้ก็เรียกได้ว่าไม่พอเพียง เป็นต้น
.
-------
"
คนฉลาดเมื่อได้ฟังได้ศึกษาเรื่องความพอเพียงแล้วนำไปปฏิบัติใช้จนประสบความสำเร็จมีอยู่มากมาย
แต่คนที่ปฏิเสธทฤษฎีความพอเพียง เพราะไม่เชื่อว่าจะทำให้ชีวิตมีความสุขได้จริง จึงไม่ลองนำไปปฏิบิตดู ก็ควรจะหันมามองที่ตัวเองดูสิว่า โง่หรือเปล่า เพราะใครๆเขาก็นำทฤษฎีควาพอเพียงไปใช้จนเกิดประโยชน์กันทั้งนั้น
.
-------------------
.
เรื่องความพอเพียง ผมคงไม่ต้องอธิบายมากหาอ่านได้ในเว็บเยอะแยะ (เช่น ที่วิกิพีเดีย ก็ได้อธิบายเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงไว้ดีมากครับ) แต่อยากจะเน้นให้รู้อีกครั้งว่าคนรวยก็พอเพียงได้ในระดับคนรวย คนจนก็พอเพียงได้ในระดับคนจน ไม่ใช่ต้องเหมือนกัน ที่สำคัญต้องเป็นไปตามหลักสมดุลของแต่ละคน และต้องยั่งยืน บนหลักแห่งความไม่ประมาทครับ
.
ก่อนจะจบในวันนี้ พวกไม่จงรักภักดีฯชอบนำเรื่องรถพระที่นั่งยี่ห้อmaybach มาโจมตีความพอเพียงของในหลวง ผมจึงอยากยกตัวอย่าง เรื่องที่ พวกสันติอโศก ชอบใช้ประเด็นพระต้องอยู่อย่างสมถะ ไม่ฟุ้งเฟ้อ โดยเฉพาะสันติอโศกชอบโจมตี พระเถระผู้ใหญ่รูปต่างๆว่า นอนห้องแอร์บ้างล่ะ หรือนั่งรถราคาแพงบ้างล่ะ หรือใส่จีวรประณีตสวยงามบ้างล่ะ ไม่เหมาะกับการเป็นพระที่ต้องกินน้อยใช้น้อย(แนวสันติอโศก)
.
โดยเฉพาะหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ ท่านโดนโจมตีหนักเลยจากพวกสุดโต่ง ทั้งการรับเงินจากญาติโยมโดยตรง หรือจะเป็นการปลุกเสกพระเครื่อง หรือจะเรื่องติดสูบบุหรี่ แต่ผมว่า หากเราตัดสินหลวงพ่อคูณ เพียงแค่เปลือกนอกเท่านี้ ก็คล้ายๆ นิยายของจีนเรื่องพระอรหันต์จี้กง ที่พระจี้กง ทั้งกินเนื้อสัตว์ แถมดื่มเหล้า เมามายอีกต่างหาก ทำให้ผู้คนที่พบเห็นต่างรังเกียจพระจี้กง แต่ถ้าเราศึกษาเรื่องนี้ให้ดี เราจะรู้ได้ว่า พระจี้กง ก็คือพระอรหันต์รูปหนึ่งที่น่านับถือทีเดียว (ไปลองหาอ่าน หาศึกษาเรื่องพระจี้กงดูนะครับ ดีมากๆ ให้แง่คิดมากมายอย่างลึกซึ้ง)
.
หากเรามองผิวเผินก็อาจคล้อยตามพวกลัทธินอกรีตสุดโต่งสไตล์เทวทัตได้โดยง่าย แต่หากเราดูมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลการถวายสิ่งใดๆให้แก่พระพุทธเจ้า หรือพระสงฆ์ ผู้ถวายก็จะถวายสิ่งที่ดีที่สุดประณีตที่สุดเท่าที่ตัวเองจะหาได้ให้แก่พระพุทธเจ้าหรือพระสงฆก็ตาม แล้วพระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ทรงปฏิเสิธการรับ เพราะพระองค์ดำรงฐานะการอยู่ได้ด้วยการรับจากบรรดาพุทธบริษัท ซึ่งพระองค์ก็ไม่เคยเรียกร้องขอแต่ประการใด (ภิกขุหรือภิกษุ แปลว่า ผู้ขอ แต่ไม่ใช่แปลว่าขอทานนะครับ) 
.
แต่ถามว่า พระพุทธเจ้าท่านทรงเกิดกิเลสในการรับสิ่งประณีตเหล่านั้นมั้ย? ตอบว่า แน่นอนไม่เลย
.
การที่เราจะบริจาคสิ่งของแก่ผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นบริจาคทานแก่ขอทาน หรือ ทำบุญกับพระอรหันต์ การที่เราให้ด้วยใจบริสุทธิ์และให้สิ่งที่ประณีตยิ่งกว่าที่เรามี หากใครทำได้ อย่างนี้เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐสุด ว่าด้วยการบริจาคทั้งปวง
.
ส่วนผู้รับจะยึดติดหรือไม่ ก็สุดแล้วแต่สภาวะจิตของแต่ละคน หากพระได้รับสิ่งของฟุ่มเฟือยจากญาติโยม แล้วจิตยึดติดไม่ปล่อยวาง หลงในทรัพย์นั้น อย่างนี้ก็เป็นเรื่องสภาวะกรรมของพระรูปนั้นๆไป ผิดหรือถูก เราคนให้ไม่มีสิทธิตัดสินครับ ว่าพระดีหรือไม่ดีเพียงแค่สิ่งที่เราเห็นครับ เพราะเราไม่สามารถรู้สภาวะจิตของใครได้
.
ผมเคยไปงานพระราชทานเพลิงศพพระเกจิอาจารย์ชั้นผู้ใหญ่รูปหนึ่ง คือหลวงปู่หลุยส์ จันทสาโร วันนั้นผมได้เห็นรถพระที่นั่งของสมเด็จพระสังฆราชพระญาณสังวร เป็นรถเบนซ์สีเหลือง และพอพระสังฆราชเสด็จลงจากรถ ผมก็ได้เห็นว่า พระสังฆราช พระองค์ทรงพระดำเนินลงจากรถด้วยเท้าเปล่า! 
.
บทความตอน7นี้ ผมขอจบง่ายๆเพียงเท่านี้ครับ อ้อ! ก่อนจบมีโฆษณาเศรษฐกิจพอเพียง ให้ดู โดยฝีมือสร้างของครีเอทีฟมือหนึ่งของไทย และอันดับ1ของโลกด้วย(จากการจัดอันดับของ The Gunn Report 2005 ) ที่ชื่อ ธนญชัย ศรศรีวิชัย หรือต่อ ฟิโนมิน่า แห่งบริษัทphenomena ได้สร้างไว้ ซึ่งผมชอบมากครับ (คนฉลาดอย่าง คุณต่อ ฟิโนมิน่า ยังเข้าใจเศรษฐกิจพอเพียงได้อย่างลึกซึ้งและเรียบง่ายจริงๆครับ นับถือๆ)
.phenomena
news vcd spor









พวกไม่จงรักภักดีต่อสถาบันฯ ตอน จบที่ไร้บทสรุป



 บทความเรื่องพวกไม่จงรักภักดีสถาบันฯนี้ ผมคิดว่าเขียนมาหลายตอนแล้ว ก็คงไม่อยากให้ยืดเยื้อไปอีก แม้จะมีประเด็นมากมายที่ยังเหลือ แต่ผมเห็นว่า คงไม่จำเป็นต้องเขียนมากไปกว่านี้ เพราะเรื่องบางเรื่องมันก็เป็นนานาจิตตัง ไร้บทสรุป ผมไม่อยากลงความเห็นว่า ผู้จงรักภีกดีฯเป็นฝ่ายถูก เพราะในกลุ่มผู้จงรักภักดีฯ ก็ไม่ใช่ไม่มีคนชั่ว มีแน่นอน เพราะหากคนไทยทุกคนรักในหลวงจริง ปฏิบัติตามแนวพระราชดำรัสเสมอมา บ้านเมืองคงจะพัฒนาและมีความสุขมากกว่านี้แน่นอน


แต่ทุกวันนี้ คนไทยที่ปากก็บอกรักในหลวง แต่แค่เพียงช่วยกันรักษากฏหมายของบ้านเมืองเล็กๆน้อยๆ เช่นการข้ามถนนด้วยสะพานลอย หรือการทิ้งขยะในที่สาธารณะ คนไทยจำนวนมากยังทำไม่ได้เลย หรือตัวอย่างที่เห็นง่ายๆเช่น


ทุกเทศกาลที่มีวันหยุดยาว มีคนไทยเสียชีวิตมากมายบนท้องถนนมากที่สุดในโลก สาเหตุอันดับหนึ่งก็คือ เมาแล้วขับ


บ้านพักอาศัยของคนไทย นับวันๆยิ่งมีรั้วรอบขอบชิดมากขึ้นๆ มีเหล็กดัดที่หน้าต่าง ที่กำแพงรั้วมีเหล็กแหลมไว้กันขโมย?


จากที่ยกตัวอย่างมา2ตัวอย่างนี้ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า คนไทยเราล้าหลังเพราะตัวเราเอง ไม่ต้องไปโทษใครเลย

สำหรับพวกที่ไม่จงรักภีกดีฯที่ใช้เหตุผลเพื่อสนับสนุนแนวคิดระบอบการปกครองที่ตัวเองอยากให้มี อันนี้ผมก็คิดว่า พอรับฟังได้ เพราะทุกคนย่อมมีสิทธิจะคิดต่าง 


แต่พวกไม่จงรักภักดีฯ ที่ได้แต่อาศัยเพียงแค่ความเชื่อส่วนตัวที่ยากที่จะหาหลักฐานข้อพิสูจน์ เพื่อจะกล่าวหาสถาบันอันนี้ผมไม่คิดว่าจะมีน้ำหนักพอที่จะเปลี่ยนแปลงระบอบได้ แถมดูยิ่งจะทำให้แนวคิดล้มล้างระบอบของตัวเองกลับดูไร้นำหนัก และดูเป็นเรื่องของพวกปากเสียที่สนุกปากไปวันๆ มากกว่า


แม้ในสมัยพุทธกาล ก็ยังมีกลุ่มที่ต่อต้านพระพุทธเจ้ามากมาย และพระพุทธเจ้าก็ไม่อาจปราบมิจฉาทิฐิของกลุ่มคนพวกนี้ได้หมด และแม้แต่ในพระเทวทัตที่มีโอกาสได้ใกล้ชิดพระพุทธเจ้าก็ตามที แต่กลับยังมีอภิมหามิจฉาทิฐฐิอยู่เลย แล้วนับประสาอะไร....


ในยุคล่าอาณานิคม ประเทศในเอเซีย มีเพียง2ประเทศเท่านั้นที่ไม่ถูกยึดครองโดยชาติตะวันตก คือ ไทยและญี่ปุ่น


ในสมัยร.5 ประเทศไทยได้รับการยอมรับว่า เป็นประเทศพัฒนาได้รวดเร็วที่สุดในเอเซีย และคนไทยก็ดูมีความสุขมากชาติหนึ่งในสายตาชาวต่างชาติ และก็อยู่ในระดับแนวหน้าของเอเซียมาตลอดจนกระทั่งมีเปลี่ยนแปลงการปกครองพ.ศ.2475เราก็เริ่มพัฒนาช้าลงๆ จนขณะนี้เราก็ยังเป็นประเทศกำลังพัฒนาอยู่เลย ? ในขณะหลายๆประเทศที่เริมช้ากว่าเรา แต่แซงเราไปแล้ว!


ที่ว่ามา ผมไม่ได้บอกว่า ระบอบสมบูรณาญาฯ ดีนะ แต่ผมกำลังจะบอกว่า คนไทยน่ะ เริ่มเห็นแก่ตัวมากขึ้น หลังมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และความเห็นแก่ตัวนี่แหล่ะ คือต้นเหตุหลักของปัญหาทั้งหมดของประเทศไทย


ความเห็นแก่ตัวของคนไทยที่มากขึ้น ทำให้เราพัฒนาช้ากว่าอีกหลายๆประเทศ ที่สำคัญเรื่องระบบการศึกษาของไทยกลับล้มเหลวไม่เป็นท่า เด็กไทยเรียนหนักว่าทุกชาติ ตอนเด็กเก่งไม่แพ้ชาติไหนๆ แต่พอโตขึ้นกลับยิ่งโง่กว่าชาติอื่น มันเพราะอะไร?

เด็กไทยไม่ชอบเรียนเลข หรือวิทยาศาสตร์ มากเท่าเด็กชาติอื่นๆ แต่กลับชอบเรียนการแสดง ร้องรำทำเพลงมากขึ้นๆ ทุกวัน 


เด็กไทย เข้าอินเตอร์เนตเพื่อความบันเทิงกว่าร้อยละ90 แต่เพื่อความรู้ไม่ถึงร้อยละ10 


วิกฤติเศรษฐกิจโลก ที่กระทบถึงไทย มีคนงานตกงานมากมาย ล้วนแต่เป็นแรงงานภาคอุตสาหกรรมแทบทั้งสิ้น ไม่มีเงินไม่มีงาน แล้วจะเอาอะไรกิน แต่แรงงานในภาคเกษตรพอเพียงแทบไม่ได้รับผลกระทบเท่าไหร่เลย


พวกไม่จงรักภักดีสถาบันฯ ส่วนใหญ่มีความนิยมระบบทุนนิยมที่ต้องแก่งแย่งแข่งขัน และเก็งกำไร ความสุขความสำเร็จของพวกเขามักวัดกันที่ความร่ำรวย ความไฮเทค ความหรูหรา ฟุ่มเฟือย และดูถูกทฤษฎีพอเพียง


อเมริกา ชาติที่เจริญที่สุดในโลก แต่ก็ทำร้ายสิ่งแวดล้อมโลกมากที่สุดเช่นกัน และทุกวันนี้ ก็ยังไม่ยอมลงนามในสนธิสัญญาลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเลย


จอร์ช w บุช สั่งเข้ายึดอิรัก เพียงเพื่อล้มซัดดัม ฮุชเซน แต่คนอิรักกลับต้องบ้านแตก อดอยาก และจอร์ช บุช เองก็ยอมรับแล้วว่า เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดในการบุกยึดอิรัก แต่ก็ยังแก้ตัวว่า อย่างน้อยภายหลังบุกอิรักแล้ว อเมริกา ก็ไม่ได้ถูกโจมตีจากผู้ก่อการร้ายอีก ที่แท้ก็เพื่อตัวเองรอด แต่ใครจะตายชั่งมัน


กรณีอิรัก ก็คือตัวอย่างที่อเมริกา ตัดสินคนอื่นจากมุมมองของตัวเองเท่านั้นแต่ไม่เคยรู้เลยว่า จริงๆแล้ว คนอิรักส่วนใหญ่ต้องการอะไรกันแน่?

ประเทศอิหร่าน ถูกอเมริกา มองว่า คือประเทศที่เลวร้าย ทั้งๆที่ล้มราชวงศ์เพื่อมีระบอบประธานาธิบดีที่ถูกเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนไว้บริหารประเทศ สถาปนาผู้นำทางศาสนาแทนที่ระบอบกษัตริย์ และประธานาธิบดีก็สามารถถูกถอดถอนได้จากผู้นำสูงสุดทางศาสนา?
อิหร่านถูกอเมริกาและสหประชาชาติคว่ำบาตรทางการค้า แต่คนอิหร่านก็ไม่ยอมแพ้แก่กระแสอเมริกา พวกเขาสามารถประดิษฐ์เครื่องบินได้ ประดิษฐ์โค้กแบบอิหร่านได้ ประดิษฐ์รถยนต์ใช้เองได้ หรือแม้แต่ยางรถยนต์ก็ผลิตเอง ผลิตด้วยเทคโนโลยีของตัวเอง และอิหร่านก็เป็นประเทศที่เจริญมากที่สุดในกลุ่มอาหรับ โดยไม่ต้องพึ่งพาอเมริกาเลย? (แถมเก่งฟุตซอลที่สุดในเอเซียและฟุตบอลก็อยู่ในระดับแนวหน้าของเอเซียด้วยเช่นกัน) 
(จากที่ยกตัวอย่างมา คุณผู้อ่านพอจะเข้าใจมั้ยครับ ว่าผมกำลังสื่อถึงอะไร) 
.
**************************************
สถาบันฯ หากได้พระมหากษัตริย์ที่ทรงรักและห่วงใยราษฎรและมีทศพิธราชธรรม ก็ไม่น่าแปลกที่จะได้รับการเคารพยกย่องศรัทธาจากราษฎรส่วนใหญ่ แต่หากวันใดไร้ซึ่งทศพิธราชธรรมแล้ว ประชาชนก็จะปฎิเสธสถาบันเอง
แต่ทุกวันนี้ ผมเห็นว่า ประชาชนยังรักสถาบันฯและในหลวง ไม่ใช่เพราะการถูกโฆษณาชวนเชื่อตามที่พวกไม่จงรักภักดีฯพยายามจะใช้โจมตี ซึ่งการโฆษณาชวนเชื่อนี้ ทีจริงการโฆษณษชวนเชื่อนี้ก็คือกลยุทธหนึ่งที่พวกคอมมิวนืสต์ในอดีตเคยทำมาแล้ว แต่ทำไม่สำเร็จ และรู้ว่าไม่สำเร็จเพราะการนี้ จึงพยายามใช้เรื่องการโฆษณาชวนเชื่อย้อนกลับมาใส่ร้ายไปที่ผู้จงรักภักดีสถาบันฯแทน ว่าได้ทำการโฆษณาชวนเชื่อให้คนไทยรักสถาบันฯ

ทั้งที่ๆ คนไทยก็จงรักภักดีสถาบันฯมาตั้งแต่โบราณ และไม่ได้มีทีวี วิทยุ หรือสื่อเหมือนในปัจจุบัน แต่นี่คือวัฒนธรรมที่ดีงามที่สืบทอดกันมาต่างหาก

พระราชกรณียกิจหรือผลงานของในหลวงล้วนเป็นที่ประจักษ์ ตามหลักวิทยาศาสตร์ และพุทธศาสตร์ ที่ทั่วโลกต่างยอมรับ คนไทยเองก็เชื่อกันมากขึ้นกับแนวคิดทฤษฎีใหม่ที่ปฏิบัติแล้วเห็นผลจริงๆ

ที่จริงเกษตรทฤษฎีใหม่ ก็คือทฤษฎีเก่าที่ปู่ย่าตายายและบรรพบุรุษต่างใช้กันมาแล้วทั้งสิ้น รุ่นปู่ย่าตายาย มีลูกมากมาย มีที่นานิดหน่อย แต่สามารถเลี้ยงดูลูกหลานให้ไม่ต้องอดอยากได้ หลายๆคนได้ส่งลูกเรียนจบสูงๆ โดยไม่มีหนี้สิน เพียงแต่ยุคนี้ผสมผสานเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพิ่มด้วย

แต่ทำไม พอยุคหลังพ.ศ.2500กว่าๆ เป็นต้นมา เกษตรกรกลับยากจนลงๆ ทั้งๆที่ ปลูกได้ผลผลิตต่อพื้นที่มากกว่าในยุคอดีตมาก แต่กลับจนลงๆ ที่ดินก็ต้องขายใช้หนี้ จนต้องไปเช่าแทน ลูกหลานก็ต้องอพยพเข้าทำงานในเมือง ก่อเกิดแหล่งเสื่อมโทรมในเมือง? (อ่านความล้มเหลวของชาวนาไทยจากแผนพัฒนาฯ)

แต่ตอนนี้ ทฤษฎีใหม่ของในหลวง กำลังเอาชนะความยากจนได้มากขึ้น เกษตรกรมีรายได้ทุกวัน มีเงินเหลือเก็บ และเริ่มหมดหนี้สิน และเริ่มร่ำรวย ซึ่งเราสามารถหาดูได้แทบทุกวันจากรายการทางโทรทัศน์ในหลายๆช่อง ที่ไปดูงานไปสัมภาษณ์เกษตรกรที่ประสบความสำเร็จมากมาย แน่นอนพวกไม่จงรักภักดีฯย่อมต้องเถียงไปว่าเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งไม่แปลกที่พวกนี้ต้องใช้วิธีนี้โต้แย้งครับ

ไทยเราเลิกทาสและระบบศักดินาไปนานแล้ว แต่พวกไม่จงรักภักดีฯกลับใช้คำว่า ทาส ไพร่ หรือศักดินา มาใช้ด่าว่าผู้จงรักภักดีฯ ทั้งๆที่ ผู้จงรักภักดีฯทุกคน เราไม่ได้รู้สึกอย่างที่พวกไม่จงรักภักดีฯว่าร้ายกล่าวหาเลย พวกเราต่างรู้สึกว่า เราเป็นพสกนิกรในพระองค์มากกว่า

พวกไม่จงรักภักดีฯต่างหาก ที่ยังมีจิตใจหลงคิดว่า ยังเป็นทาสอยู่ จึงรู้สึกเดือดร้อน เลยระบายด้วยการให้ร้ายคนอื่นแทน เพื่อหวังลบความเป็นทาสในใจตน

บทความนี้ ขอจบลงเพียงเท่านี้ครับ อาจดูสับสนไปบ้าง แต่ไม่มีอะไรต้องสรุป เพราะเรื่องจิตใจคนมันบังคับกันไม่ได้

ผมรู้แต่ว่า พ่อผมรักในหลวง แม่ผมรักในหลวง ผมรักในหลวงและมีความสุขที่รักในหลวง เพียงแค่นี้ก็พอ 
ใครไม่รัก ผมก็ไม่เดือดร้อนครับ เพราะผมเชื่อหลักพระพุทธศาสนา ว่าด้วยเรื่องกฏแห่งกรรม
.
"แผ่นดินนี้ สร้างจากเลือดเนื้อของบูรพกษัตริย์และบรรพชนผู้จงรักภักดี มันผู้ใดคิดทำลาย มันผู้นั้นได้ชื่อว่าเนรคุณ"
.
(ผมไม่ยึดติด เพราะโลกนี้ล้วนอนิจจัง สถาบันฯจะอยู่ได้ ก็ต้องเพราะคนไทยยังช่วยกันรักษา ฉะนั้นทุกอย่างขึ้นอยู่ที่คนไทยเท่านั้น ).
อ่านบทความ ตอนที่1

ภาพข้างล่าง ให้ดูที่จุด4จุดตรงกลาง ประมาณ30วินาที แล้วหันไปมองที่ผนังห้อง แล้วกระพริบตาไวๆ หลายครั้ง 
.

.
.
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง