ข้อมูลอาจจะน้อย อาจจะไม่ต่อเนื่อง เพราะผมไม่ได้เป็นนักเขียน ไม่มีประสบการณ์ทางด้านสื่อสารเท่าไรนัก แต่ขอเป็นส่วนหนึ่งเล็กๆที่อาจจะมีส่วนทำให้คนไทยอีกหลายๆคน ตาสว่าง แล้วหันมา รักกันเองมากๆ ครับ
ความเดือดร้อนใหญ่หลวงที่เข้ามาถาโถม คนไทยอย่างทั่วถึง
เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุการณ์น้ำท่วมที่ร้ายแรงที่สุดของประเทศ ซึ่งได้ทำลายพืชผลทางการเกษตร และโรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่ง อีกทั้งทำประชาชนกว่า 8.2ล้านคนเดือดร้อนหนัก
แล้วพวกท่านคิดอะไรกันอยู่ จะช่วยประชาชนที่เดือดร้อน หรือ ต้องการแบ่งแยก
“วันนี้ได้กี่ห่อ ที่ไหนหนักกว่า”
“อยุธยาน้ำท่วมทั้งเมือง ลพบุรีท่วมบ้านสูงกว่า 2 เมตรแล้ว”
“สิงห์บุรีน้ำขังมาเป็นเดือน ชาวบ้านไม่มีจะกิน ไปที่นี่ดีกว่า”
“แต่ที่ชัยภูมิก็ท่วมหนัก ยังไม่มีใครไปแจกของเลย”
สียงพูดคุยถกเถียงของเจ้าหน้าที่รับผิดชอบเรื่องการแจกจ่ายถุงยังชีพดังขึ้น แต่เช้าตรู่…ภายในสนามบินดอนเมือง บริเวณชั้น 1 ส่วนแจกจ่ายของบริจาค ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ขณะที่อาสาสมัครนักเรียนกลุ่มหนึ่งช่วยกันต่อแถวลำเลียงถุงยังชีพไปยังรถ บรรทุกทหาร ที่จอดเรียงกันอยู่ด้านหน้าถนนกว่า 10 คัน
สุดท้ายมีคำสั่งให้รถทั้งหมดมุ่งหน้าไปยัง จ.พระนครศรีอยุธยา เพราะเป็นจุดวิกฤติน้ำทะลักเข้าเมืองฉับพลันทำให้ชาวบ้านไร้ที่อยู่อาศัย ทันทีหลายพันครัวเรือน โชคดีมีถุงยังชีพเหลืออีกกว่า 200 ถุง กลุ่มที่อยากไปช่วยชาวบ้านที่สิงห์บุรีจึงตัดสินใจขอความช่วยเหลือไปยังอาสา สมัครที่มีรถบรรทุกขนาดเล็ก ให้มาช่วยขนไปแจกจ่าย เพิ่มเติมด้วยข้าวเหนียวไก่ย่างและข้าวเหนียวหมูทอดอีก 200 ห่อ พร้อมน้ำดื่มจำนวนหนึ่ง
10 โมงเช้า วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม รถบรรทุกคันเก่าที่อัดแน่นไปด้วยน้ำใจพร้อมอาสาสมัคร 9 คน มุ่งหน้าออกถนนวิภาวดีรังสิต สู่เส้นทางปทุมธานี เพื่อเบี่ยงออกทางหลวงไปยังพื้นที่เป้าหมาย แต่ผ่านไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง รถติดอยู่บนทางแยกบางบัวทอง แดดเที่ยงเริ่มร้อนแรงขึ้น ข้าวห่อกับแกงกะทิและอาหารถุงจำนวนหนึ่งที่เตรียมไปบริจาคเริ่มส่งสัญญาณไม่ ดี 2 ชั่วโมงแล้วรถยังเคลื่อนที่ไม่ได้
บ่ายโมงกว่า…ทีมงานตัดสินใจเปิดไฟฉุกเฉินขอทางรถบรรทุกถอยหลังลงจากสะพาน ข้ามแยก ก่อนหาทางลัดไปตามถนนเส้นเล็ก ระหว่างทางที่ขับรถผ่านสุพรรณบุรีนั้น ฝนตกลงมาอย่างหนัก ขณะเดียวกัน เสียงโทรศัพท์มือถือจากชาวบ้านที่นัดหมายไว้ก็เริ่มถี่ขึ้น พวกเขาพายเรือออกมารอรับของตั้งแต่เที่ยง !!
4 โมงเย็นกว่า…ถึงที่หมายบริเวณถนนด้านหน้าหมู่บ้านถอนสมอ อ.ท่าช้าง จ.สิงห์บุรี เมื่อเห็นรถบรรทุกถุงยังชีพหยุดตรงหน้าชาวบ้านกว่า 20 คนขยับเข้ามายืนเรียงแถวเป็นระเบียบ ขณะที่อาสาสมัครแจกถุงให้ตามลำดับนั้น ก็มีชาวบ้านอีกกลุ่มหนึ่งตะโกนว่า “พวกนี้น้ำไม่ท่วมจริง มีที่ท่วมมากกว่านี้แต่ออกมาเอาของแจกไม่ได้” การทะเลาะเบาะแว้งเริ่มรุนแรงขึ้น กลุ่มอาสาสมัครจึงตัดสินใจขับรถเข้าไปวนดูพื้นที่ว่าบริเวณไหนน้ำท่วมจริง
“ยง โพธิ์ศรี” หนุ่มใหญ่ผู้ยืนสังเกตการณ์อยู่ด้านนอก ตัดสินใจเดินเข้ามากระซิบเบาๆ ว่า มีเหยื่อน้ำท่วมหมู่บ้านพิกุลทองจำนวนหลายร้อยคนรวมกลุ่มอยู่แถวถนนที่ห่าง ไปประมาณ 1 กม. ทีมงานตัดสินใจบึ่งรถไปถนนเลียบแม่น้ำด้านหลังแทน
ปรากฏว่าตลอดแนวถนนมีชาวบ้านนำเตียงนอนและแคร่ไม้ไผ่มาวางเรียงใต้หลังคาผ้า ใบที่สร้างแบบฉุกเฉิน บางซุ้มก็ใช้ผ้าใบผืนใหญ่ขึงไว้ 3 ด้านเสมือนกั้นริมถนนให้เป็นห้องนอนส่วนตัวชั่วคราว มีข้าวของเครื่องใช้จำเป็นบางชิ้นเท่านั้นที่ขนหนีน้ำออกมาทัน
“แถวนี้ทำนาข้าว กับทำสวนส้ม ตอนนี้น้ำท่วมขังมาเกือบเดือนแล้ว สิงห์บุรีเป็นจุดแรกที่น้ำท่วมตั้งแต่เดือนกันยายน ถึงวันนี้ยังไม่มีหน่วยงานไหนมาช่วย มีแต่มาแจกถุงมาม่ากับข้าวกล่อง แล้วก็จดชื่อไป พวกเราต้องช่วยเหลือกันเอง ส่วนใหญ่มีอาชีพเสริมคือทำดอกไม้พลาสติก แต่น้ำท่วมก็ทำไม่ได้ ต้องมานอนข้างถนนแทน” ยงเล่าถึงที่มาของพวกเขา
ซุ้มฉุกเฉินที่ชาวบ้านสร้างริมถนนนั้น ตั้งห่างกันประมาณ 100-200 เมตร ทำให้รถต้องแวะไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่จอดจะมีเด็กเล็กและผู้หญิงและคนแก่เดินออกมาต่อแถวรับถุงยังชีพ แต่ของบริจาคมีไม่พอให้ทุกคน จึงต้องมีการขอร้องให้รับบางส่วนแล้วไปแกะถุงแบ่งกัน
พี่ชาญ คนขับรถตัดสินใจว่า จะหยุดรถเฉพาะซุ้มที่ไม่มีเหล้าหรือเครื่องดื่มมึนเมาวางอยู่ เขาทำใจไม่ได้ที่เห็นผู้ชายนั่งจับกลุ่มกินเหล้ากัน แล้วปล่อยให้เด็กๆ กับผู้หญิงมายืนต่อแถวรับบริจาคข้าวห่อ ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง รถบรรทุกก็ว่างเปล่าเหลือเพียงเศษมาม่าหลุดออกมาไม่กี่ห่อกับน้ำเปล่า 3-4 ขวด ชาวบ้านในซุ้มฉุกเฉินที่เหลือเป็นระยะทางกว่า 2 กม. ต่างชะเง้อคอมองว่าทำไม่รถถึงขับผ่านไปโดยไม่จอด!!
หลังเสร็จภารกิจ…เอ็นจีโอที่ช่วยเหลือภัยพิบัติตั้งแต่สึนามิภาคใต้ โคลนถล่มอุตรดิตถ์ น้ำท่วมเมืองนคร จนถึงอยุธยาจมบาดาล สรุปบทเรียนการบริจาคถุงยังชีพให้ฟังว่า ศิลปะในการแจกของนั้น ต้องคำนึงถึงปัจจัย 3 ค. คือ 1.ต้องเป็นข้าวของเครื่องใช้ที่ “คนอยากได้” เช่น เทียน ยากันยุง ไฟแช็ก น้ำเปล่า ยารักษาโรค น้ำปลา น้ำมันพืช สำหรับเหยื่อน้ำท่วมนั้น เสื้อผ้าไม่จำเป็นมากนักเพราะยังว่ายน้ำเข้าไปเอาได้ หากจะให้ข้าวสารต้องดูว่ามีที่หุงข้าวหรือไม่
2.”คงทน” เช่น การบริจาคข้าวกับแกงกะทิ อาจเน่าเสียหรือบูดกลางทางระหว่างขนส่งได้ ส่วนขนมปังก็ไม่เหมาะสม ควรเป็นข้าวเหนียวใส่มาพร้อมหมูเค็มหรือไก่ทอดแห้งๆ เนื้อแห้งๆ จะกินง่ายกว่า 3.”คุ้มค่า” เช่น ชัยภูมิขาดน้ำดื่มแต่ถ้าขนจากกรุงเทพฯ ขับรถไป 4 ชั่วโมงอาจไม่คุ้มค่าน้ำมัน
“ถุงยังชีพขนมาเท่าไรก็ไม่พอแจกหรอก แย่งกันทุกครั้ง ตะโกนขอร้องให้อย่าเวียนเทียน คนที่น้ำท่วมอยากได้เพราะหิว คนที่น้ำกำลังท่วมก็กลัวว่าจะไม่มีกักตุน ที่เจอบ่อยๆ คือ เอาของบริจาคไปโยนให้หน้าอำเภอ หรือหน้า อบต. เสร็จแล้วพวกหัวคะแนนขนไปแจกเฉพาะพวกพ้องตัวเอง ชาวบ้านเดือดร้อนจริงๆ ไม่ได้ เพราะน้ำท่วมอยู่ด้านในไม่มีใครสนใจ แต่ถ้าจะให้พวกเราขนเข้าไปแจกก็ไม่มีเรือ เรื่องแบบนี้ต้องหัดทำใจนะ” ผู้มีประสบการณ์กล่าวปลอบใจกลุ่มอาสาสมัครหน้าใหม่
ข้อมูลล่าสุด วันที่ 12 ตุลาคม ระบุว่า เหยื่อน้ำท่วมพุ่งถึง 8.3 ล้านคนจาก 61 จังหวัด ดังนั้นถุงยังชีพที่ได้รับมาไม่กี่แสนถุงนั้น ต้องถูกแจกจ่ายออกไปอย่างมีศิลปะ เพื่อไม่ให้เกิด “ศึกชิงของบริจาค” ?!?
ที่ปรึกษากฎหมาย "ทักษิณ" ยัน ไม่มีคำสั่งให้ติดป้ายที่รถรับบริจาคของ ศปภ. เพื่อเอาหน้า คาดอาจมีคนที่รักทำให้ วอนอย่านำมาติด เหตุจะถูกโจมตีทางการเมืองได้
แล้วท่านไม่เคยเห็นกันเลยเหรอ ว่ามีคนเค้าติดกันมานานแล้ว
| |
หัวหน้าพรรคเพื่อไทย แจงกรณี ส.ส.ของพรรค โวยแกนนำเสื้อแดงกั๊กของบริจาคช่วยน้ำท่วม เป็นแค่ความเห็นส่วนตัวของ ส.ส.บางคนที่ได้รับของน้อยกว่าที่ขอ เลยไม่พอ ยันทำความเข้าใจกันแล้ว
ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 11.15 น.วันที่ 26 ต.ค.นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย บางส่วนออกมาโวยวายไม่พอใจ ศปภ.ที่มอบสิ่งของบริจาคให้แกนนำคนเสื้อแดงเป็นคนจัดการ จนการแจกจ่ายไม่ทั่วถึง ว่า ได้มีการทำความเข้าใจกันแล้ว อาจเป็นความเห็นของ ส.ส.ท่านหนึ่ง แต่ไม่ใช่ความเห็นของ ส.ส.ทั้งหมด ก็อาจจะเป็นปัญหาจาว่าท่านมาขอสิ่งของบริจาคแล้วไม่ได้เท่าที่ท่านต้องการ ก็อาจจะมีความรู้สึก และอารมณ์ฉุนเฉียว เพราะเป็นห่วงประชาชน จึงต้องแก้ไขปัญหาเป็นจุดๆ ไปเรื่อย เพราะยังไม่มีประสบการณ์
“แต่ไอ้เรื่องที่ว่าจะมากลั่นแกล้ง หรือว่าจะมาทำให้พี่น้องประชาชนเดือดร้อน ไม่มีแน่ มีแต่เจตนาที่จะช่วยเหลือประชาชนจริงๆ เพียงแต่ว่าเขาอาจจะได้รับของที่ขอไป แต่ยังไม่พอ เช่น ขอมา 2,000 ชุด แต่ได้ไปแค่ 500 ชุด เขาก็อาจจะเสียใจ เพราะพี่น้องประชาชนอาจจะคอยอยู่” นายยงยุทธ กล่าวและว่า ตนเข้าใจทุกฝ่ายและพยายามจะแก้ไข และจะไม่ตำหนิใคร เมื่อวันที่ 25 ต.ค.ที่ผ่านมา ก็ได้คุยกับแกนนำคนเสื้อแดงด้วย ทั้งนี้ คนเสื้อแดงเขาก็อยากจะช่วยเหลือผู้เดือดร้อนเหมือนกัน |
|
|
แล้วนี่อะไรประชาชนอีกแค่ไหนที่ทุกข์อย่างสาหัสอยู่
วันพุธ ที่ 26 ตุลาคม 2554
ณัฐวุฒิพล่าม ของบริจาค ศปภ.เป็นของคนเสื้อแดงหามาทั้งนั้น...สวยซีครับ...ใครไม่ใช่เสื้อแดงส่งไปทางกาชาดหรือองค์กรอื่นเถอะครับ
Posted by Canไทเมือง , ผู้อ่าน : 3825 , 19:06:53 น.
หมวด : การเมือง
'ณัฐวุฒิ'โต้ศปภ.กั๊กของให้เฉพาะเสื้อแดง ยันไม่เป็นความจริง
แกน นำแดง ลั่น ศปภ.ไม่กั๊กของบริจาค ระบุ กลุ่มคนเสื้อแดงมาช่วยงานตั้งแต่ต้น โต้กรณี'ฉลอง'บอกไม่ได้มาร่วมงานแต่ต้น ไม่เข้าใจเรื่องจิตวิญญาณ อ้างรถขนของติดชื่อส.ส.เป็นของที่รอไปแจกจ่าย ไม่ได้นำมาเป็นของตัวเอง...
เมื่อ วันที่ 26 ต.ค. ที่ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึงกรณีมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ ศปภ. ที่มีการตั้งข้อสังเกตถึงการแจกจ่ายของบริจาคว่า การช่วยงานใน ศปภ.ของคนเสื้อแดงนั้นมีมาตั้งแต่เริ่มต้น โดยทุกคนมีส่วนร่วมในการทำงานกันทุกคน และทุกคนมีความเต็มใจมาช่วยงานกันทั้งนั้น และในข้อเท็จจริงเรื่องการที่ ศปภ.แจกของบริจาคแต่คนที่เป็นเสื้อแดงนั้น ตนขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง ไม่มีใครจะสามารถมาใช้อภิสิทธิ์ได้
ของที่ได้มา นั้นก็ล้วนแต่เป็นของที่กลุ่มคนเสื้อแดงรวมของกันมาบริจาคทั้งนั้น และใครที่ไม่ใช่คนเสื้อแดงก็สามารถมารับได้ทุกคนเหมือนกัน
ส่วน กรณีของนายฉลอง เรี่ยวแรง ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย ที่ออกมาระบุว่าหากใครไม่ใช่คนเสื้อแดงก็จะขอของบริจาคได้ช้านั้น นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า นายฉลองเพิ่งจะกลับเข้ามามีส่วนร่วมกับการทำงานพรรคเพื่อไทย อาจจะไม่ได้เข้ามาตอนที่กลุ่มคนเสื้อแดงมีการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย ไม่เชื่อในเรื่องจิตวิญญาณ ดังนั้นขอให้คนเสื้อแดงที่มีความตั้งใจดีในการช่วยเหลือ ขออย่าให้หวั่นไหวในการทำงานเพื่อประชาชน
สำหรับกรณีที่มีรถ ขนของบริจาคแล้วมีรถติดชื่อของคนที่เป็น ส.ส. นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ได้ตรวจสอบในเรื่องดังกล่าวแล้ว เป็นการเขียนเพื่อแสดงว่าของสิ่งนี้ได้ขอจาก ศปภ.แล้ว เพื่อเตรียมไปแจกจ่าย เป็นเพียงการเขียนเพื่อแสดงว่าสิ่งของเหล่านี้กำลังจะทำการขนย้ายเท่านั้น เอง และในกรณีเดียวกันกับนายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ก็เป็นเพียงกลุ่มคนเสื้อแดงที่อยากจะบริจาคผ่านคนที่เป็นแกนนำ ยืนยันว่าแกนนำทุกคนไม่ได้เจตนาเลยที่จะเอาของดังกล่าวมาเก็บไว้แล้วไปแจก จ่ายว่าเป็นของตนเองแต่อย่างใด คนที่คิดเห็นแบบนั้นไม่ควรจะมาเป็นนักการเมืองเลย.
โดย: ไทยรัฐออนไลน์
26 ตุลาคม 2554, 15:00 น.
เลวจนไม่อยากวิจารณ์ครับพี่น้อง
ทีนี้รู้หรือยังทำไมกลุ่มฮอนด้าจึงบริจาค 100 ล้าน ผ่านสภากาชาดไทย
แน่ใจเหรอว่าเป็นของคนเสื้อแดงหามาทั้งนั้น?
ไอเดียหน่วยงานที่จะดูแลประชาชนเหรอ? เอาหน่วยงานบ้าๆอะไรแบบนี้ มาดูแลประชาชนอย่างเราเหรอ!
อดีต ส.ส.ชลบุรี เผย ชาวบ้านร้องเรียน น้ำท่วมการเกษตรเสียหาย แต่ จนท.ร้องหารูปถ่ายแลกเงินชดเชย ลั่นจะกินยังไม่มี จะเอาเงินไหนไปซื้อกล้อง แนะเจ้าหน้าที่ควรลงไปสำรวจแล้วถ่ายรูปเป็นหลักฐาน พร้อมยืดหยุ่นเงื่อนไขช่วยเหลือเกษตรกร
วันที่ 26 ต.ค.นายประมวล เอมเปีย อดีต ส.ส.ชลบุรี พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงสถานการณ์น้ำท่วมหนักใน อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี ว่า หลังจากที่ จ.ชลบุรี ประสบปัญหาน้ำท่วมมาร่วม 1 เดือน จนถึงขณะนี้แม้บางพื้นที่น้ำเริ่มลดลงเกือบเข้าสู่ภาวะปกติ แต่อีกหลายพื้นที่ยังคงแช่น้ำอย่างหนัก อาทิ ในพื้นที่ อ.พนัสนิคม หลายตำบล เช่น คลองหลวง โคกเพาะ ท่าข้าม วัดโบสถ์ ซึ่งจากที่ตนได้ลงไปให้ความช่วยเหลือประชาชน โดยนำรถไถ และเรือบรรทุกอาหาร ของใช้ที่จำเป็นไปแจกจ่ายให้ประชาชน พบว่า ยังมีหลายครัวเรือนที่ถูกตัดขาดจากการช่วยเหลือของเจ้าหน้าที่ เพราะอยู่ในเขตห่างไกล ไม่สามารถหารถยนต์ เรือ มารับของบริจาคได้นอกจากต้องว่ายน้ำมา
นอกจากนี้ ตนยังได้รับการร้องเรียนถึงปัญหาการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับความ เสียหายจากภาครัฐ โดยเฉพาะการจ่ายค่าชดเชยความเสียหายจากผลผลิต ซึ่งใน อ.พนัสนิคม มีการปลูกข้าว มันสำปะหลัง เลี้ยงปลา กุ้ง ไก่ หมู ต่างได้รับความเสียหายทั้งหมด แต่เมื่อไปแจ้งกับเจ้าหน้าที่กลับบอกให้ถ่ายรูปมาเพื่อเป็นหลักฐานการขอค่า ชดเชย แต่ในความเป็นจริงเกษตรกรต่างก็ได้รับความเดือดร้อนจากการไม่มีที่อยู่อาศัย อยู่แล้ว เพราะปีนี้น้ำท่วมหนักกว่าทุกปี ไม่มีเงินที่จะซื้ออาหารอยู่แล้ว จะเอาเงินที่ไหนไปซื้อกล้องถ่ายรูป ดังนั้น ควรมีการส่งเจ้าหน้าที่กรมประมง หรือ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต.ลงไปดูความเสียหายในพื้นที่ด้วยตนเอง พร้อมกับถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน หรือ หากไม่สะดวกก็ควรจะมีการยืดหยุ่นเงื่อนไข หลักเกณฑ์บางอย่าง เพราะมีข้อมูลอยู่แล้วว่าเกษตรกรในพื้นที่ทำมาหากินกันอย่างไร
รักพวกเราจริงๆหรือรักอำนาจ รักช่องทางโกงกิน
Thaifloodถอนตัวศปภ.ชี้กั๊กข้อมูล
'Thaiflood' ถอนตัว จวก 'ศปภ.' กั๊กข้อมูล ยันจุดยืนช่วยเหลือประชาชน ไม่เลือกขั้วการเมือง
นายปรเมศ มินศิริ ผู้ก่อตั้งเวปไซด์
www.thaiflood.com เป็นการทำงานของภาคประชาชนที่ร่วมกับศูนย์
ศปภ. มา ตั้งแต่แรก เปิดเผยเหตุผลขอถอนตัวจากศูนย์ ศปภ.ที่ดอนเมือง ว่า คงไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ต่อ เพราะถูกกีดกั้นด้านข้อมูล และ ศปภ.ไม่ยอมรับการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ถึงขนาดมีการโทรศัพท์มาขอเซ็นเซ่อร์ข้อมูลก่อนที่จะแถลงข่าว
นอกจากนี้ ยังเห็นว่า การบริหารจัดการที่ไม่เป็นเอกภาพ ไม่มีการแจ้งข้อมูลต่อประชาขนอย่างเป็น ระบบ เพื่อรับมือกับสถานการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ ทำให้กลุ่ม
Thaiflood ต้องขอแยกตัวจาก
ศปภ. ไปยังตึกสำนักงาน “ไซเบอร์เวิร์ล” ที่รัชดา พร้อมเตือนว่า ภัยธรรมชาติเมื่อบวกกับการบริหารจัดการที่ไม่เป็นระบบก็จะกลายเป็นภัยพิบัติ
"เหตุการณ์ที่
Thaiflood ได้ตัดสินใจ ไม่รวมงานกับ
ศปภ. คือการที่
Thaiflood ออก แถลงการเตือนสถานการณ์น้ำท่วม กทม. ออกไป กลับมีการโทรศัพท์จากภาครัฐบาลเข้ามาแสดงความไม่พอใจ อยากให้ปรับเปลี่ยนท่าทีในการออกแถลงการณ์ เช่นข้อมูลบางอันก็ขอให้ส่งผ่าน
ศปภ. ก่อน ที่จะมีการนำเสนอ ซึ่งผมบอกว่า ทำไม่ได้ เพราะยามวิกฤติประชาชนกำลังรอข้อมูลเพื่อความอยู่รอด แต่ศปภ. จะเอาข้อมูลไปกรองก่อน ผมเกรงว่า ข้อมูลอาจถูกบิดเบือนได้ เพราะมีความพยายามจะขอเซ็นเซ่อร์ข้อมูลของ Thaiflood"
อย่างไรก็ตาม เราพยายามเตือนประชาชนด้วยข้อเท็จจริง ไม่ใช้คำที่ก่อให้เกิดความตื่น ตระหนก แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของการให้ข้อมูลจริงที่นำไปสู่การตัดสินใจได้
เขา บอกว่า สิ่งที่ประชาชนไม่เคยได้รับคือมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐในการรองรับปัญหา เช่นมีการประกาศแผนอพยพ แต่ไร้แผนรองรับ ทั้งที่ ควรจะบอกชัดเจนก่อนว่า ให้อพยพไปไหน ไม่ใช่อยู่ ๆ น้ำเข้ามาแล้ว ผู้คนแตกตื่นแต่ไม่รู้ว่าจะต้องอพยพไปไหน
“วันที่ 21 ต.ค.54 นายกฯ แถลงว่าจะปล่อยน้ำให้ระบายผ่าน กทม. เราก็อยากฟังแผนการระบายน้ำเพื่อที่จะได้ช่วยคิดช่วยทำ แต่ ศปภ.กลับแถลงแค่ขอเครื่องสูบน้ำจากภาคเอกชน ผมเองยังเคยเสนอแผนการระบายน้ำ อย่างเป็นระบบที่คลองเปรม ฯ มาแล้ว ก็เห็นว่า ที่ประชุม
ศปภ. เอา ไปพิจารณาและเอาไปทำ ผมก็อยากจะเห็นแผนในลักษณะเดียวกันออกมาจากรัฐบาล ผม ไม่อยากเห็นเพียงว่า พอแก้ปัญหาไม่ได้เพราะไม่เป็นระบบ สุดท้ายก็มาพูดแค่ว่าเราได้ทำเต็มความ สามารถแล้วเท่านั้น” ผู้ก่อตั้งไทยฝลัดกล่าว
ต่อข้อถามว่าคาดการณ์ว่า คน กทม. จะพบกับอะไรในอนาคต ภายใต้การบริหารจัดการของรัฐแบบนี้ นายปรเมศกล่าวว่า ภัยธรรมชาติขนาดใหญ่ที่ยังมาไม่ถึง เมื่อบวกกับการบริหารจัดการที่แย่มันก็จะกลายเป็นภัยพิบัติ
ศปภ.ยึดอำนาจหวังฮุบงบกทม.
เผยเบื้องหลัง ประกาศใช้ พรบ.บรรเทาสาธารณภัย หวังใช้งบ กทม. แก้น้ำท่วม ชี้กรมชลฯบริหารน้ำ กทม.ไม่เป็น สั่งเปิดประตูระบายน้ำช่วงเย็น ส่งผลน้ำทะลัก อ้าง ผู้ว่าฯกทม. เตือนแล้วแต่ไม่ฟัง
แหล่งข่าวที่เป็นหนึ่งในคณะทำงานของ ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) เปิดเผยว่า การใช้อำนาจตามพรบ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มาตรา 31 ที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศใช้นั้น สามารถใช้ในสถานการณ์ภัยที่ไม่ร้ายแรง ไม่ใช่ภัยพิบัติสาธารณะ เพราะผู้ว่าราชการจังหวัดหรือนายกฯอบต. นายกเทศมนตรี ถือว่า เป็นผู้ประสบภัยไปแล้ว จึงไม่สามารถใช้เครื่องมือทางด้านกฎหมายนี้แก้ไขหรือบรรเทาสาธารณภัยได้แล้ว แต่ต้องใช้พรก.การบริหารในสถานการณ์ฉุกเฉิน
แหล่งข่าว ระบุว่า การที่รัฐบาลประกาศ มาตรา 31 ตามพรบ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และตั้ง ศปภ .ส่วนหน้า โดยให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รับประสานงานสั่งการ ของนายกฯ ร่วมกับผู้ว่าฯ
กทม. โด ยศปภ.จะเป็นผู้สนับสนุน และเสนอแนะการทำงานของกทม.นั้น การประสานสั่งการใด ๆ ต่อปลัดกระทรวงมหาดไทย จะมีเฉพาะคำสั่งจากศปภ.เท่านั้น และตามมติครม.ระบุว่า หากจังหวัดใดมีการประกาศจังหวัดที่ประสบภัยพิบัติ อำนาจตรงจุดนี้ เมื่อเป็นจังหวัดที่ประสบภัยพิบัติ ผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถเบิกจ่าย
งบประมาณฉุกเฉินได้ 50 ล้านบาท ยกเว้นบางจังหวัดได้ถึง 100 ล้านบาทต่อเดือน โดยไม่ต้องมีการตรวจสอบ
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ครั้งนี้ เมื่อน้ำมาปะทะที่หัวเมืองกรุงเทพฯ ปรากฎว่า รัฐบาลมาใช้อำนาจเพิ่มเติม โดยการใช้อำนาจตามมาตรา 31 เพื่อที่จะควบคุมส่วนราชการทุกส่วนได้ รวมทั้งกองทัพและท้องถิ่น ซึ่งการใช้อำนาจตามมาตรา 31 นายกฯ จะต้องประกาศว่า “อุทกภัยครั้งนี้เป็นสาธารณภัย ร้ายแรงอย่างยิ่ง” ก่อน นายกฯ จึงจะมีอำนาจตามมาตรา 31 ได้ แต่ปรากฎว่า นายกฯ กลับใช้อำนาจตามมาตรานี้เลย จึงทำให้ 1.ความเสียหายที่เกิดขึ้นกลายเป็นว่า รัฐบาลต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวโดยที่กทม.ไม่เกี่ยว 2.การที่รัฐบาลใช้อำนาจตามมาตรา 31 นั้น เป้าหมายก็คือต้องการเอา
งบประมาณของท้องถิ่นของกทม. มาแก้ไขปัญหาน้ำท่วม
แหล่งข่าว ระบุว่า การเปิด-ปิดประตูระบายน้ำนั้น นักการเมืองไม่มีประสบการณ์ และกรมชลประทานก็ไม่มีประสบการณ์ในพื้นที่กทม.ด้วย เช่น เมื่อวันที่ 21 ต.ค.ที่ผ่านมา กทม.ได้เปิดประตูระบายน้ำรังสิต ประตูน้ำพระอินทร์ บริเวณคลองหกในเวลา 05.00 น. ทำให้น้ำไหลเข้ากรุงเทพฯ ผ่านลงลงทะเล และเมื่อถึงเวลา 12.00 น. ก็ปิดประตูระบายน้ำ จึงทำให้น้ำไม่ท่วม แต่ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน รัฐบาลต้องการใช้อำนาจอย่างเต็มที่ จึงสั่งใหเปิดประตูระบายน้ำ จึงทำให้น้ำท่วมทะลักในทันที ซึ่งแท้จริงแล้วไม่สามารถเปิดประตูระบายน้ำในตอนเย็นได้ เนื่องจากน้ำทะเลหนุน
"ตรงจุดนี้ ทางสำนักการระบายน้ำ กทม.และผู้ว่าฯ กทม.มีประสบการณ์ จึงใช้วิธีการโรยน้ำตามกระแสน้ำทะเล เนื่องจากในช่วงเช้าน้ำทะเลลด ก็จะเปิดประตูระบายน้ำที่รังสิต น้ำก็จะไหลผ่านคลองเปรมประชากรไปยังคลองสามเสนและคลองประปา ทำให้ระบายน้ำลงสู่ทะเลได้เร็ว แต่ไม่ถูกใจรัฐบาลและนักการเมืองซึ่งไม่มีประสบการณ์ รัฐบาลต้องการให้เปิดตลอดเวลา แต่พอรัฐบาลใช้อำนาจสั่งการให้เปิดประตูระบายน้ำก็ทำให้น้ำเอ่อล้นเพราะเปิด ผิดจังหวะ ทั้งที่ผู้ว่าฯ กทม.ได้ท้วงติงแล้ว แต่รัฐบาลไม่ยอมฟังกลับมองว่าผู้ว่าฯ กทม.ไม่ให้ความร่วมมือ"
แหล่งข่าวระบุว่า ถ้ารัฐบาลกลัวว่า ใช้พรก.ฉุกเฉินฯ แล้ว ทหารจะปฏิวัติ รัฐบาลก็ไม่ต้องให้ทหารช่วยก็ได้ รัฐบาลก็ทำเอง แต่รัฐบาลกลับใช้อำนาจตามกฎหมาย ที่ไม่ได้ผลให้รุนแรงขึ้น ทั้ง ๆ ที่รัฐบาลรู้ว่า กฎหมายนี้แก้ปัญหาไม่ได้ แต่ที่จำเป็นต้องใช้เพราะเป็นประเด็นทางการเมือง โดยจะบีบบังคับให้กทม. นำ
งบประมาณออกมาช่วยเหลือตรงจุดนี้ และถ้าไม่ช่วยก็จะด่าพรรคประชาธิปัตย์ เพราะผู้ว่าฯ กทม.เป็นคนประชาธิปัตย์
ทั้งนี้ การที่รัฐบาลต้องการ
งบประมาณของ กทม. เพราะแผนในการที่จะหาเงินเข้าพรรคเพื่อไทย เสียหายไปแล้ว เดิมคิดว่า ทำโครงการรับจำนำข้าวแล้วเอาข้าวเปลือกสวมสิทธิจากเขมร มันผิดพลาด วันนี้ ก็เลยต้องมาหากินกับน้ำ ซึ่งปรากฏว่า หากินกับต่างจังหวัด มันไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะเงินก้อนใหญ่อยู่ที่กทม. ทำให้รัฐบาลต้องใช้อำนาจตามมาตรานี้
แหล่งข่าวระบุด้วยว่า ผู้ว่าฯ กทม.ได้ขอให้นายปราโมทย์ ไม้กลัด อดีตอธิบกรมชลประทาน ออกมาชี้แจง แต่รัฐบาลก็ไม่ฟัง เนื่องจากนายปราโมทย์ เป็นผู้ที่ทำงานใต้เบื้องพระยุคลบาท และรัฐบาลก็คิดว่า ดำเนินการเองได้
อย่างไรก็ตาม การที่น้ำทะลักออกมายังประตูระบายน้ำทั้งหมดนี้ ส่งผลให้ กทม.ฝั่งธนบุรี มีแนวโน้มที่น้ำจะท่วมด้วย
“ปรเมศวร์” แฉ ศปภ.ต่อ ที่ไหนไร้ธงแดงอดได้ของบริจาค เชื่อมีคนฉวยโอกาสน้ำท่วมสร้างความแข็งแกร่งตำบลแดง
จะว่าน้ำท่วมจนขาดการติดต่อสื่อสารกันไปเลยก็ไม่ใช่
มัน จึงเป็นอะไรที่ฟ้องประจานกันโดยปรากฏการณ์กับมุกของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. ที่แถลงข่าวใหญ่เลยว่า พื้นที่น่าห่วงที่สุดคือด้านเหนือของกรุงเทพฯบริเวณเขตสายไหม เขตดอนเมือง เนื่องจากประตูน้ำคลอง 1 ยังคงเปิดอยู่ โดยจะมีผลต่อการระบายน้ำของคลอง 6 วา เพราะหากยังเปิดอยู่เรื่อยๆ ระดับน้ำในคลองจะเพิ่มสูงขึ้น
สุดท้ายจะส่งผลกระทบเขตสายไหม ดอนเมือง รวมถึงพื้นที่ฝั่งตะวันออกของ กทม.ด้วย
“เรา ขอร้องกรมชลประทานทุกวัน แต่กลับไม่มีผล ซึ่งหากไม่ปิดก็ไม่เป็นไร แต่จะส่งผลกระทบต่อคน กทม.แน่ๆ ดังนั้น เราจึงต้องพึ่งตัวเอง โดยได้ขอความร่วมมือกับกองทัพบก ได้ส่งทหาร 50 นายมาช่วยทำคันกั้นน้ำบริเวณคลอง 6 วา ยาว 6 กิโลเมตร สูง 1 เมตร เพื่อป้องกันแล้ว โดยจะทำให้เสร็จเร็วที่สุด เพื่อพี่น้องชาวสายไหม ดอนเมือง รวมทั้งพื้นที่ตะวันออกด้วย”
ต้องใช้วิธีตีปี๊บ สื่อสาร ประจานกันออกอากาศ
ตอก ย้ำอาการบริโภค “เกาเหลา” ระหว่างทีมผู้ว่าฯ กทม. พะยี่ห้อประชาธิปัตย์ กับศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
ลุยน้ำกันไปคนละทิศคนละทาง
และ ก็อย่างที่เห็น มันขัดอารมณ์กันอย่างสิ้นเชิงกับข้อมูลที่นายธีระ วงศ์สมุทร รมว. เกษตรฯ นายชลิต ดำรงศักดิ์ อธิบดีกรมชลประทาน และ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รอง ผบ.ตร. ในฐานะโฆษก ศปภ. ตั้งโต๊ะแถลงข่าวดี
ขอให้ประชาชนมั่นใจน้ำไม่ท่วม กทม.แน่
เพราะ น้ำเหนือมวลใหญ่จากนครสวรรค์ไหลลงทะเลไปแล้วในวันที่ 15 ตุลาคม สถานการณ์น้ำในเขื่อนต่างๆค่อนข้างดีขึ้น เขื่อนภูมิพลปล่อยน้ำวันละ 50 ล้านลูกบาศก์-เมตร เขื่อนสิริกิติ์ปล่อยน้ำวันละ 20 ล้านลูกบาศก์เมตร เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ปล่อยน้ำวันละ 30 ล้านลูกบาศก์เมตร
ยืนยันได้ว่า ปริมาณน้ำสูงสุดในรอบนี้ผ่านไปแล้ว และน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาจะไม่สามารถท่วมคันกั้นน้ำของ กทม.ที่สร้างไว้อย่างแน่นอน
ศปภ.ก็อารมณ์หนึ่ง กทม.ไปอีกอารมณ์หนึ่ง
ข่าวร้าย ข่าวดี ประชาชนตาดำๆที่กำลังขนของหนีน้ำตาลีตาเหลือก ไม่รู้จะเชื่อใคร
มัน ก็เป็นอะไรที่เข้าใจได้ ในมุมของการเมืองที่ต่างฝ่ายก็ต้องช่วงชิงกระแสการนำ พื้นที่เมืองหลวงเป็นฐานเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ครองแชมป์อยู่ทั้งในส่วน ของเก้าอี้ผู้ว่าฯ และการเลือกตั้ง ส.ส.รอบที่ผ่านมา ยังไงก็ต้องกั๊กแต้มไว้ไม่ให้ไหลไปกับสายน้ำ ขณะเดียวกัน รัฐบาลพรรคเพื่อไทยก็ต้องโชว์ฟอร์มให้เข้าตากรรมการในการกู้วิกฤติอุทกภัย พลิกจังหวะกลับมาครองใจคนเมืองกรุง
โดยวิสัยนักเลือกตั้งไม่มีใครอยากให้คู่แข่งได้คะแนนมากกว่า
ทั้งที่ ณ ห้วงนี้ การเมืองต้อง “พักรบยาว” วาระแห่งชาติอยู่ที่การสู้กับน้ำ
ตาม วิกฤติที่จ่ออยู่ตรงหน้า ล่าสุด พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการ ศปภ. ได้สั่งการให้นิคมอุตสาหกรรมนวนคร ปิดเครื่องจักร ขนของขึ้นที่สูง และอพยพประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงไปยังศูนย์อพยพที่รัฐบาลเตรียมไว้หลังน้ำ ไหลบ่าเข้าท่วมนิคมฯ
ส่อจมบาดาล สกัดกั้นไม่ไหว
แนวโน้มด่าน ต่อไปมวลน้ำก้อนใหญ่ที่ขังอยู่ในพื้นที่ลุ่มรับน้ำอยุธยา ปทุมธานี ก็จะไหลมาจ่อกรุงเทพฯด้านเหนือทั้งเขตดอนเมือง เขตสายไหม
ที่แน่ๆ บรรดา “กูรู” ด้านน้ำ ให้เฝ้าระวังสถานการณ์ในพื้นที่ กทม.ไปอีก 1 เดือน โดยเฉพาะช่วง 7-8 วันนับจากนี้ ที่ตามธรรมชาติทุกปีช่วงเทศกาลลอยกระทง “น้ำจะนองเต็มตลิ่ง” ตามข้อมูลจากกรมอุทกศาสตร์ฯ น้ำทะเลจะหนุนอีกรอบช่วงสิ้นเดือนตุลาคม
วิกฤติยังอยู่ในห้วงลูกผีลูกคน ยังนิ่งนอนใจไม่ได้
ถ้า ศปภ.กับ กทม.ยังปล่อยให้ปมการเมืองเรื่องแทรก “แนวคันกั้นน้ำ”
ก็มีหวังได้เห็นกรุงเทพฯจมบาดาล.
แล้วในที่สุด ทุกอย่างก็จบลงเพียง
"รม ว.มหาดไทย"ยอมรับ"รัฐบาล-ศปภ.ไร้ประสบการณ์รับมือน้ำท่วม ขอโทษประชาชนทำให้เดือดร้อนแสนสาหัส อ้อนขอถือเป็นบทเรียน ไม่ให้ผิดพลาดอีกในอนาคต อ้ำอึ้งพรรคเพื่อไทยเล็งดึงกระทรวงเกษตรฯมาคุมเอง หลังกรมชลประทานถูกวิจารณ์เละบริหารจัดการน้ำผิดพลาด
ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 26 ต.ค.54 นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย กล่าวถึง เสียงวิจารณ์การจัดระบบแก้ปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาล และศปภ.ที่มีแต่ความวุ่นวายสับสน ไม่เป็นระบบ โดยเฉพาะระบบการอพยพผู้ประสบภัย ว่า ต้องขอให้เห็นใจเพราะเราไม่เคยเจอปรากฎการณ์อบย่างนี้มาก่อน เป็นครั้งแรกจริงๆ ในอดีตตนเคยเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดมาก็ไม่เคยรุนแรงอย่างนี้ หรือน้ำท่วมหาดใหญ่ที่คนว่ากันว่าสุดโหดน้ำท่วมถึงหลังคาบ้านหรือหน้าอก แต่ก็ท่วมเพียวแค่ 3 วันก็หาย ทำให้ฟื้นฟูง่าย แต่ตอนนี้ต้องแช่ขังถึง 2-3 เดือน
เมื่อถามว่า กรณีชาวบ้านไม่อยากอพยพเพราะห่วงทรัพย์สิน ทำไมกระทรวงมหาดไทยจึงไม่จัดให้มีอาสาสมัคร รปภ.เอาเรือตรวจคนเข้าออกป้องกันโจรผู้ร้ายลักขโมย นายยงยุทธ กล่าวว่า เป็นความคิดที่ดี ตนจะเอาไปพิจารณา แต่บังเอิญคนที่จะทำงานบ้านเขาก็ถูกน้ำท่วมด้วย จึงอาจจะมีปัญหาบ้าง เมื่อถามว่า มีบางฝ่ายมองว่าการแจกอาหารช่วยผู้ประสบภัยอาจไม่ต้องให้ครบสามมื้อ แต่ประชาชนต้องช่วยตัวเองเพื่อลดปัญหาไม่มีคนส่งอาหารและลดขยะมูลฝอย นายยงยุทธ กล่าวว่า เป็นข้อเสนอที่ดี ถ้าลดจาก 3 มื้อลงมาบ้างก็คงไม่เดือดร้อนมากนัก ส่วนที่นายกฯมอบหมายให้ระดมเครื่องสูบน้ำจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมา ช่วยสูบน้ำนั้นก็ได้มากว่าร้อยเครื่องแล้ว
เมื่อถามว่า ในวันที่ 29-31 ต.ค. ที่น้ำขึ้นสูง ศปภ.จะเตรียมรับมืออย่างไร นายยงยุทธ ถอนหายใจดังเฮ้อ.. ก่อนกล่าวว่า อยากจะกราบเรียนว่ามันทำนายยากทั้งทิศทางที่น้ำจะไป และปริมาณน้ำที่จะลงมา กะไว้อีกอย่างน้ำก็มาอีกอย่าง น้ำไม่เหมือนคน จะไปทางไหนอย่างไรตามแก้ยาก ตนไม่อยากไปวิจารณ์แต่ถือว่าเป็นประสบการณ์แรกในชีวิตของคน ที่เราไม่เคยเจอมาก่อน ต่างประเทศก็ไม่เป็นถึงขนาดนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตด้วยกันทั้งนั้น ตนอายุ 70 ปีแล้ว ก็เพิ่งจะเคยเห็นเหมือนกัน ส่วนหนึ่งต้องเห็นอกเห็นใจกัน ครั้งนี้คงต้องขอโทษขอโพยพี่น้องประชาชนที่ทำให้เดือดร้อนอย่างแสนสาหัส ก็จะจำประสบการณ์และบทเรียนนี้ไปแก้ไขว่าอย่าให้มีแบบนี้อีกต่อไป ส่วนปัญหาสิ่งของและเงินบริจาคที่ยังไปไม่ทั่วถึงนั้น ในฐานะได้รับมอบหมายให้เป็นประธานการรับบริจาคและแจกจ่าย ยอมรับว่ามีข้อบกพร่องอยู่จริง ไม่ทราบจะแก้ตัวอย่างไร ได้แต่ขอความเห็นใจอย่างเดียว
รองนายกฯ กล่าวว่า ส่วนการทำงานร่วมระหว่าง ศปภ. กับผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ต้องหันหน้าเข้าคุยกัน เมื่อเช้ามีคนเสนออยากจะเห็นนายกฯกับผู้ว่าฯกทม.นั่งคุยกันสองคน ไม่ต้องมีคนอื่น โดยต่างฝ่ายเอาข้อมูลมานั่งคุยกัน
เมื่อถามว่า หลายฝ่ายมองว่าปัญหาที่บานปลายครั้งนี้มาจากรมชลประทานและการไฟฟ้าฝ่ายผลิต แห่งประเทศไทย นายยงยุทธ กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าทุกส่วนก็มีส่วนที่จะต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ แม้กระทั่งตัวตนเอง แต่สำคัญคือหากเกิดน้ำท่วมอีกจะต้องไม่เป็นอย่างนี้ ถ้ายังเป็นอีกก็ต้องแสดงความรับผิดชอบกัน ต้องมีการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ โดยใช้คณะกรรมการบูรณาการจัดการแก้ไขปัญหาอุทกภัย ดินดคลนถล่มและภัยแล้ง ก็เหมือนกับเป็นกระทรวงน้ำ แต่ไม่ต้องไปตั้งกระทรวงน้ำ ซึ่งผมได้รับมอบหมายให้ดูแลแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอย่างถาวรจริงๆ และต้องมีระบบเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ
เมื่อถามว่า ถึงเวลาที่พรรคเพื่อไทยต้องดึงกระทรวงเกษตรฯมาคุมเอง โดยต้องแลกกระทรวงกันหรือไม่ นายยงยุทธ กล่าวว่า คงให้ทำงานไปสักพักหนึ่งก่อนค่อยมาว่ากัน เอาเรื่องนี้ให้จบก่อน ส่วนการปรับย้ายข้าราชการใน มท. หลังจากย้ายผู้ว่าฯปทุมธานีไปแล้ว เมื่อเรื่องน้ำดีขึ้นก็จะพิจารณาเป็นวาระปกติไป สำหรับกรณีผูู้ว่านปทุมธานีเป็นวาระพิเศษ เพราะคนที่ต้องมาดูแลประสานระหว่างศปภ.กับกระทรวงและผู้ตรวจราชการกระทรวงจะ หายไป 2ท่านจึงต้องเอามาเสริมแค่นั้นจริง ๆ ไม่ได้มีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะผวจ. ฝ่ายปกครอง ตำรวจ ทหารทุกคนก็เหนื่อยกันหมด ทำงานกันเต็มที่
ไม่มีประสบการณ์ นี่คือคำตอบของพวกท่านในวันที่ทุกอย่างสายเกินจะแก้ไข
ถ้าจะให้ยอมรับความเสียหายใหญ่หลวงที่เกิดกับประชาชน เกิดกับ ธุรกิจ เป็นหมื่นเป็นแสนล้าน ด้วยความที่ท่านและรัฐบาลไร้ประสบการณ์ มันก็ยากจะยอมรับไปซะหน่อย ทั้งประเทศมีแค่พวกท่านเท่านั้นที่จะต้องรับหน้าที่อันใหญ่หลวงนี้เหรอ?? ก็ป่าว! ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการที่ได้คลุกคลีติดตามเรื่องแบบนี้ มีอยู่ไม่น้อยเลยนะครับ ทำไมท่านไม่มอบหมายให้คนที่มีประสบการณ์ทำ คิดแบบขี้เหร่ในหัวเลยนะครับ ท่านอาจจะบอกว่า ท่านไม่รู้ว่าใครมีประสบการณ์แค่ไหนหรือไม่ ?? ( เหตุผลแบบทุเรศๆสุดๆไปเลย) ท่านก็อาจจะอ้างได้ แต่ ท่านต้องรู้ตัวเอง และผู้มีหน้าที่รับผิดชอบแต่แรกๆก่อนที่จะทำแน่นอนครับ ว่าท่านมีประสบการณ์กันแค่ไหน แล้วที่ท่านจะอ้างไม่ได้เลย คือ ไอ้ความไร้ประสบการณ์แล้วจะให้ประชาชนเห็นใจนี่ มันจะน่าเห็นใจก็ต่อเมื่อ เราเจอสถานการณ์แบบนี้ครั้งแรกจริงๆครับ ท่านจึงสมควรอ้างเพราะไม่เคย แต่นี่ ประเทศเราเจอปัญหาแบบนี้มาตลอด องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงมีแนวทาง มีแนวพระราชดำริ เป็นแนวทางที่แก้ปัญหาได้จริง ทำไมท่านไม่น้อมนำมาเป็นแนวทางในการแก้ปัญหา หรือเชิญผู้ใกล้ชิดพระองค์มาเป็นที่ปรึกษาก็ยังดี แต่นี่มันเหมือนกับ ท่านกล้าๆที่จะเอาปัญหาระดับชาติ มาทดลอง มาทดสอบความสามารถอย่างงั้นเหรอครับ ทำไมท่านกล้าเอาเรื่องแบบนี้มาเสี่ยงมาเดิมพัน มันคุ้มกันเหรอครับ
ตอนนี้ไม่มีอะไรทันแล้วครับ ให้ ศปภ. กับ กทม. คุยกันตอนนี้ ไม่ทันแล้วครับ น้ำมาถึงแล้ว กทม.ท่วมแล้วครับ นวนคร เสียหายกันอย่างมหาศาลแล้วครับ ผลกระทบเกิดไปทุกๆที่แล้วครับ ชาวบ้านเดือดร้อนกันไปหลายจังหวัดแล้วครับ ไม่มีอะไรที่เสียหายเพราะความไร้ประสบการณ์ของพวกท่านกลับมาเป็นเหมือนเดิม ได้แล้วครับ
ผมไม่รู้นะครับเหตุผลจริงๆ เหตุผลลึกๆ ปัญหาการเมืองต่างๆคืออะไร ที่ทำให้เกิดเรื่องอะไรแบบนี้ แต่ เหตุผลที่ท่านยกมาว่า ด้วยความไร้ประสบการณ์นี่ มันเกินกว่าจะรับได้จริงๆครับ มันไม่ได้ทำให้รู้สึกเห็นใจพวกท่านขึ้นมาเลยซักนิด
เจ็บปวดมั้ยครับ กับสิ่งที่เราได้รับ
เจ็บแล้วจำเป็นคน เจ็บแล้วทนเป็นควาย
พี่น้องครับ ถึงเวลา ตาสว่าง แล้วรักกันเองมากๆได้แล้วครับ อย่าเจ็บซ้ำเจ็บซาก ไปอีกเลย
ขอบคุณเจ้าของภาพทุกๆภาพ เจ้าของเนื้อหาทุกๆท่าน และ เจ้าของที่มาทุกๆคนครับ
ช. ช้าง