บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554

บีบธปท.แก้หนี้กองทุนฟื้นฟู1ล้านล. จี้โอนทรัพย์สินให้คลัง ณรงค์ชัยห่วงจำนำข้าว

สวค.เสนอ 4 แนวทาง แก้ไขหนี้กองทุนฟื้นฟู คาด 6 ปีลดหนี้ได้ 3.38 แสนล้านบาท และประหยัดดอกเบี้ยได้ 1.69 หมื่นล้านบาท  "ณรงค์ชัย" ชี้ป้องกันทุจริตจำนำข้าวทำได้ยาก ห่วงงบบาน
 นายคณิศ แสงสุพรรณ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง (สวค.) กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) จำนวน 1.14 ล้านล้านบาท เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการ เพราะเป็นภาระงบประมาณจ่ายดอกเบี้ยปีละ 6.6 หมื่นล้านบาท  เนื่องธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไม่มีกำไรจากการดำเนินงานมาจ่ายเงินต้น
 ทั้ง นี้ สวค.ได้ศึกษาแนวทางการแก้ไข โดยเห็นว่ารัฐบาลควรเร่งดำเนินการใน 4 เรื่อง เพื่อแก้ไขเรื่องดังกล่าว ได้แก่ 1.ทำให้ ธปท.บริหารสินทรัพย์ต่างประเทศให้มีผลตอบแทนมากขึ้น โดยให้ทั้ง ธปท.บริหารเอง หรือมีการจัดตั้งกองทุนมั่งคั่งแห่งชาติขึ้นมาบริหารช่วย ธปท.ก็ได้ 2.แก้ปัญการลงบัญชีของ  ธปท.ที่มีปัญหาขาดทุนทางบัญชี ให้มีผลกำไรมีเงินมาใช้หนี้ 3.ให้ ธปท.โอนสินทรัพย์ของกองทุนฟื้นฟูที่มีทั้งเงินสดและหุ้นของธนาคารกรุงไทยมา ให้คลังบริหารต่อ และ 4.โอนสินทรัพย์ที่อยู่กับ บสท.เข้าคลัง
 นายคณิศก ล่าวว่า ทั้ง 4 แนวทางหากดำเนินการทั้งหมด จะทำให้มีรายได้เพิ่มปีละประมาณ 4 หมื่นล้านบาท มาชำระหนี้เงินต้นให้ลดลง ลดภาระดอกเบี้ยได้มาก ทั้งนี้ จากการประเมินของ สศค. หากดำเนินการทั้งหมดได้ตั้งแต่ปี  2554-2559 จะทำให้ยอดหนี้ของกองทุนฟื้นฟูลดลง 3.38 แสนล้านบาท และภาระหนี้ดอกเบี้ยจ่ายที่มาจากเงินงบประมาณลดลง 1.69 หมื่นล้านบาท
 นาย คณิศกล่าวว่า แนวทางดังกล่าว นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลัง ได้ยกขึ้นมาหารือกับนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธปท. ก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งหลายเรื่อง ธปท.เห็นด้วย และคงเอาเรื่องเหล่านี้เสนอต่อกระทรวงการคลังอีกครั้ง
 ด้านนายณรงค์ชัย อัครเศรณี ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ มูลนิธิสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง (สวค.) อดีต รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ในฐานะที่เคยทำงานอยู่กระทรวงพาณิชย์มาก่อน รู้สึกเป็นห่วงโครงการรับจำนำข้าวที่รัฐบาลชุดนี้ประกาศรับจำนำทุกเม็ด ซึ่งก็ไม่รู้ว่าภาระจากการรับจำนำครั้งนี้จะไปสิ้นสุดที่เท่าไหร่ และเงินที่รัฐบาลประกาศไว้ว่าจะใช้ถึง 4.3 แสนล้านบาทนั้น จะเพียงพอหรือไม่และนำเงินตรงนี้มาจากไหน นอกจากนี้ยังเป็นห่วงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากโครงการครั้งนี้ว่าจะมีมาก แค่ไหน
 ทั้งนี้ สิ่งที่เป็นห่วงมากที่สุดคือการควบคุมเรื่องทุจริตในการรับจำนำนั้นจะทำได้ มากน้อยแค่ไหน แม้ว่ารัฐบาลชุดนี้จะมีการตั้งคณะทำงานเพื่อดูแลการรับจำนำ และตั้งคณะกรรมการเพื่อมาดูแลการทุจริตในโครงการ พร้อมทั้งได้ดึงกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มาช่วยดูแลการทุจริต แต่เชื่อว่าการควบคุมไม่ให้เกิดทุจริตขึ้นมาในโครงการเป็นการยาก สิ่งที่จะควบคุมได้คือคนในสังคมต้องช่วยกันสอดส่องดูแลและใช้สื่อโซเชีย ลเน็ตเวิร์กอย่างเฟสบุ๊ก ทวิตเตอร์ในการช่วยตรวจสอบโครงการนี้
 “เชื่อ ว่าผู้จะทุจริตในโครงการนี้จะต้องกลัวเฟสบุ๊กมากกว่าดีเอสไอ  เพราะถ้าเจอข้อมูลทุจริต ผู้ที่เจอโพสต์ข้อมูลแฉได้ทันที ยอมรับว่าโครงการนี้สามารถโกงง่าย แต่การควบคุมทำได้ยาก” นายณรงค์ชัยกล่าว.
 


Thaipost

"นิติราษฎร์" แนวร่วมที่ล่อแหลม !

จากแถลงการณ์ ของกลุ่มคณาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  ในนามกลุ่มนิติราษฎร์ เรียกร้องให้ลบล้างผลพวงของรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 ทั้งหมด รวมทั้งยังให้เดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนั้นได้กลายเป็นข้อวิพากษ์ ทางการเมืองที่มีความร้อนแรงและอาจส่อเค้าว่าอาจกลายเป็น "หัวเชื้อ" แห่งความขัดแย้งรอบใหม่ขึ้นหรือไม่ ?
     ยิ่งมีเสียงขานรับและปฏิกริยาที่ออกมาในทางที่เห็นด้วยกับ "ประเด็น"ที่ถูกโยนเข้ามาสู่กลางเวทีการเมืองครั้งล่าสุด ออกมาจากพรรคเพื่อไทยและคนในรัฐบาลมากเท่าใด
     ยิ่งคล้ายเป็น "ชนวน" ที่ปลุกเร้าให้ทุกขั้วอำนาจที่อยู่ในฝ่ายตรงข้ามกับ "ระบอบทักษิณ" ออกมาตอบโต้และรุมเขย่า "กลุ่มนิติราษฎร์" อย่างหนัก
     ข้อเรียกร้องและแนวคิดที่ได้ถูกนำเสนอผ่านแถลงการณ์ของกลุ่มคณาจารย์กลุ่ม ดังกล่าวนั้นบอกชัดเจนอย่างตรงไปตรงมาว่าพวกเขาไม่เพียงแต่จะปฏิเสธแนวทาง การใช้อำนาจทหารล้มล้างอำนาจฝ่ายบริหาร โดยชูเหตุการณ์ 19 ก.ย.2549 ขึ้นมาเท่านั้น หากแต่ยังต้องการให้มีการ "รื้อ-โละ" ทุกกลไก ทุกเงื่อนไขที่ผุดขึ้นมาหลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเมื่อ 5 ปีที่แล้วทั้งหมด

     แน่นอนว่า "ข้อเสนอ" ที่ของกลุ่มนิติราษฎร์ ได้กลายเป็นข้อถกเถียงทั้งในเชิงวิชาการและในทางการเมืองอย่างไม่อาจหลีก เลี่ยงได้  เพราะแนวคิดดังกล่าวย่อมส่งผล "บวก" ต่อฝ่ายขั้วอำนาจเก่าของพ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะ "ผู้ถูกยึดอำนาจ" ในปี2549 ขณะเดียวกันย่อมเกิดแรงสั่นสะเทือนต่อฝ่ายที่ลงมือ "ปฏิบัติการยึด" อำนาจฝ่ายบริหารในครั้งนั้นกันโดยถ้วนหน้าเช่นกัน
     โดย เฉพาะต่อพรรคประชาธิปัตย์และบรรดาอดีตผู้ที่มีชื่อที่เคยอยู่ในคณะความมั่น คงแห่งชาติ (คมช.) ดังนั้นเมื่อความเคลื่อนไหวจากฟากฝั่งนักวิชาการกลุ่มนิติราษฎร์ ได้ออกมาเคลื่อนไหวจุดประเด็นร้อนขึ้นมาอีกครั้ง
     ผลที่ตามมาคือการออกมาตอบโต้จากคนในพรรคประชาธิปัตย์และพล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม อดีตหน.สำนักงานคมช. ด้วยการตั้งข้อสังเกตว่า งานนี้จะมีรายการ "รับงาน" จากรัฐบาลชุดนี้ จากพรรคเพื่อไทย และที่สำคัญเป็นการรับสัญญาณจาก "นายใหญ่" ด้วยหรือไม่
     อย่างไรก็ "แอคชั่น" จาก กลุ่มนิติราษฎร์ใน ครั้งนี้นั้น แม้นักวิชาการในกลุ่มจะออกมาปฏิเสธอย่างชัดเจนว่าพวกเขาไม่ได้ "รับงาน" จากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมาก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าเวลานี้ จะด้วยความตั้งใจหรือพลาดพลั้งหรือไม่ก็ตาม ทว่ากลุ่มนิติราษฎร์ กำลังจะกลายเป็น "จุดอ่อน"
     ที่ "เปิดช่อง" เปิดหน้าให้ฝ่ายตรงข้าม ลงมือ "โจมตี" พรรคเพื่อไทย - รัฐบาล และลุกลามบานปลายไปจนถึงตัว พ.ต.ท.ทักษิณ หาก "วิวาทะ"ในทางการเมืองระหว่างกลุ่มนิติราษฎร์-พรรคเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ยังคงยันกันต่อไปในลักษณะ 3เส้ายืดเยื้อต่อไป !
     ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่าก่อนหน้านี้กลุ่มนิติราษฎร์เอง ใช่ว่าจะเพิ่งเปิดตัว หรือเป็น "ของใหม่" ในสังคมไทยที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งทางการเมือง หากแต่การเคลื่อนไหว นำเสนอแนวคิดของกลุ่มดังกล่าวนั้นได้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง
     ด้วยเหตุนี้จึงเท่ากับว่า "สถานภาพ"ของนักวิชาการกลุ่มนี้จึงคล้ายกับเป็น "แนวร่วม" กับระบอบทักษิณ และในทุกเครือข่ายอำนาจของพ.ต.ท.ทักษิณ ไปโดยปริยาย ยิ่งมีความชัดเจนว่า สิ่งที่ กลุ่มนิติราษฎร์นำเสนอต่อสังคมนั้น ยิ่งทำให้พรรคเพื่อไทย และพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นฝ่ายได้ประโยชน์
     และการดำรงอยู่ในลักษณะที่ถือเป็น "แนวร่วม" ของกลุ่มดังกล่าวนี่เอง อาจทำให้ทั้งพ.ต.ท.ทักษิณ , นายกฯยิ่งลักษณ์ และเพื่อไทย ตลอดจนบรรดาเครือข่ายคนเสื้อแดง กำลังตกเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบมากยิ่งขึ้นหรือไม่
     เพราะอาจเป็นความสอดคล้องกับสิ่งที่ "ธิดา ถาวรเศรษฐ" รักษาการประธานนปช. มักออกมาระบุอยู่บ่อยครั้งว่า บรรยากาศการต่อสู้ทางการเมืองเวลานี้ กำลังอยู่ในสภาพที่เรียกได้ว่า "กระแสสูง" นั่นคือกระแสของภาคประชาชน โดยเฉพาะคนเสื้อแดง กำลังเดินไปด้วยความแข็งแกร่งมากกว่าที่ผ่านมา
     แต่ นาทีนี้หากถามใจของพ.ต.ท.ทักษิณ ลึกๆแล้ว เมื่อในมือยังภารกิจหลายๆต่อเรื่องที่ต้องเร่งดำเนินการ ทั้งในฝ่ายบริหาร และเกมบนกระดานการเมือง ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่ต้องการ "พลาด" ซ้ำรอย "19 กันยา 49"
     ขณะเดียวกันสิ่งที่อดีตนายกฯทักษิณ น่าที่จะต้องการมากที่สุด คือ "ความนิ่ง" ในสังคมให้มากพอ เพื่อที่จะเป็นโอกาสได้ขับเคลื่อน "วาระสำคัญ" อย่างจริงจังและเบ็ดเสร็จ
    

     เช่นนี้แล้ว ในใจของพ.ต.ท.ทักษิณ จะยังคงต้องการ "เสียงอึกทึก" ที่ถูกจุดขึ้นมาจาก "แนวร่วม" โดยใช่เหตุ เช่นนี้หรือไม่ ? !


                                                                                                                                             ทีมข่าวคิดลึก.สยามรัฐ

สับ ปู เละ ทำเพื่อ แม้ว

วงเสวนาม.รามสับเละ'ปู'ทำเพื่อ'แม้ว'
วงเสวนาม.รามสับนโยบายตปท.รัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" เละ ชี้ทำเพื่อทักษิณให้ได้กลับประเทศ แถมจวก "ฮุนเซน" ชอบใช้นิสัยเกเร เพราะ "อภิสิทธิ์" ไม่ยอมก้มหัวให้ “สุขุม” ชี้หากนโยบายรัฐบาลล้มเหลวก็จะลดศรัทธาประชาชนเอง
          21ก.ย.2554 ที่ห้องศิลปาชีพ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ศูนย์ศึกษาเอเชียอาคเนย์ จัดสัมมนาสารัตถะครั้งที่ 8 ประจำปี 2554 รัฐบาลยิ่งลักษณ์:วิจารณ์และวิพากษ์ โดยในช่วงบ่ายอภิปรายเรื่อง เศรษฐกิจและการต่างประเทศ มีวิทยากร ประกอบด้วย ดร.สุรชัย ศิริไกร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รศ.ดร.ถวิล นิลใบ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง รศ.ดร.ธนาสฤษฎิ์ สตะเวทิน อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และ นายเกียรติชัย พงษ์พานิชย์ สื่อมวลชนอาวุโส อดีตคอลัมน์นิสต์หนังสือพิมพ์ข่าวสด


           นายเกียรติชัย กล่าวว่านโยบายในระหว่างที่มีช่วงการหาเสียงมีการพูดถึงนโยบายด้านการต่างประเทศน้อยมาก  โดยจะพูดถึงแค่กรณีไทยกัมพูชา ซึ่งให้ความสำคัญน้อยมาก ซึ่งควรตั้งเป็นข้อสังเกตุตั้งแต่แรกว่ารัฐบาลจะทำอย่างไรกับนโยบายด้านต่างประเทศ และจะมองออกก็หลังการเลือกตั้ง ขณะที่การตอบรับในตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ไม่ค่อยมีประชาชนเห็นด้วยนั้น เนื่องจากไม่เคยเกี่ยวข้องด้านต่างประเทศ ซึ่งนโยบายด้านการต่างประเทศในข้อแรก ที่จะส่งเสริมความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน มองว่าเป็นนโยบายเก่าของทุกรัฐบาล
           แต่ขณะนี้ในอาเซียนมีประเด็นความขัดแย้งจำนวนมาก โดยเฉพาะประเด็นของปราสาทพระวิหาร จึงไม่เชื่อว่านายสุรพงษ์ โตวิจักชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะมีความเข้าใจเรื่องเหล่านี้ ขณะเดียวกันในด้านการต่างประเทศก็แสดงให้เห็นว่ามีความพยายามจะคืนพาสพอร์ตให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และการนำพ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศไทย จึงควรดูต่อไปว่ารัฐบาลจะมีแนวทางหรือทิศทางที่ชัดเจนในด้านระหว่างประเทศอย่างไร 
 
           ด้านรศ.ดร.สุรชัย เห็นว่านโยบายด้านการต่างประเทศของรัฐบาลเป็นของเดิมไม่มีอะไรใหม่ และเมื่อดูตัวรัฐมนตรีก็มีความน่าเป็นห่วง ซึ่งแปลกใจเหตุใดรัฐบาลเลือกนายสุรพงษ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพราะมีคนที่มีความรู้ความสามารถให้เลือกเป็นรัฐมนตรีมาก ทำให้รัฐบาลชุดนี้ไม่มีจุดเด่น และจากวิเคราะห์ตั้งข้อสังเกตต้องมีสิ่งใดอยู่เบื้องหลังหรือไม่ โดยพบว่านายสุรพงษ์จงรักภักดีต่อพรรค ซึ่งหากมีเรื่องลับก็จะเก็บไว้ได้ และในปี 2555 ที่สมาชิกบ้านเลขที่ 111 จะพ้นจากการถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ทำให้มองได้ว่ารัฐบาลชุดนี้แค่ “ขัดตาทัพ” ไว้ และนโยบายประชานิยมที่มีมากกว่า 31 นโยบายนั้น หากทำได้จริงจะทำให้ประเทศปั่นปั่วนและเศรษฐกิจยับเยินได้
           “รัฐบาลชุดนี้คิดอยู่อย่างเดียวคือ ทำอย่างไรจะให้คนนอกประเทศกลับมาประเทศไทยได้ โดยการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ ที่เห็นได้ในขณะนี้ ทั้งนี้มองว่าเรื่องระหว่างประเทศของไทย ที่ขณะนี้อินโดนีเซีย แย่งบทบาทความเป็นผู้นำในอาเซียนของไทยแล้ว เนื่องจากไทยมีปัญหาภายในประเทศ ขณะเดียวกันรัฐบาลควรใช้นโยบายด้านการต่างประเทศทำให้ประเทศเชิดหน้าชูตา มีศักดิ์ศรี และเป็นเครื่องมือพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม” รศ.ดร.สุรชัย กล่าว
           ส่วนการแก้ไขปัญหาชายแดนไทยกัมพูชานั้น มีความน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะพื้นที่ทางทะเล ที่เป็นพื้นที่ทับซ้อน อีกทั้งหลังการกลับจากเยือนกัมพูชา ของนายกรัฐมนตรี ก็เห็นเพียงฝ่ายกัมพูชาอยากแก้ไขปัญหาเพียงฝ่ายเดียว ขณะที่ฝ่ายไทยเงียบเฉย รวมทั้งการที่มีกระแสข่าวว่ารัฐบาลจะนำเอ็มโอยูปี 2544 กลับมาใช้อีกครั้งหลังรัฐบาลชุดที่แล้วยกเลิกไปแล้ว ซึ่งต้องมีการดีเบตเรื่องนี้กันอีกครั้ง ทั้งนี้นโยบายต่างประเทศของทุกรัฐบาลไม่เคยโปร่งใส
             "ไทยกับกัมพูชาทะเลาะเรื่องเปอร์เซ็นว่าจะได้เท่าไหร่ ทั้งนี้ควรมีการดีเบต ไม่ควรทำอยู่แค่เพียงในสภา เพราะเป็นเรื่องของประเทศ และต้องอยู่บนพื้นฐานของชาติเป็นหลัก และคนไปเจรจาก็ควรไปเป็นกลุ่มใหญ่ ไม่ใช่แค่เพียงหัวหน้ากับรองหัวหน้าพรรคเท่านั้น” รศ.ดร.สุรชัย กล่าว
           ทั้งนี้การแก้ไขปัญหาปราสาทพระวิหารนั้น หากนายกรัฐมนตรีคิดว่าพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของกัมพูชา จะเป็นเรื่องอันตรายมาก แสดงให้เห็นว่าไม่มีความรู้จริงๆ และเหตุใดนายกรัฐมนตรีไม่จ้างทีมงานที่ปรึกษาที่มีความรู้ความสามารร่วมทำงาน
           ขณะที่รศ.ดร.ธนาสฤษฎิ์ กล่าวว่ารัฐบาลทั่วไปเมื่อตั้งรัฐมนตรีต่างประเทศ จะเป็นผู้ที่มีหน้าเป็นตาของประเทศ เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ ซึ่งในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่มีนายกษิต ภิรมย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และกล่าวหาว่าสร้างความขัดแย้งกับเพื่อบ้านนั้น มองว่าก็แค่เป็นการขัดแย้งกับกัมพูชาเพียงประเทศเดียว ซึ่งสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรี เป็นคนเกเร มีความเป็นเผด็จการ ขณะที่อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย 3 คน คือพ.ต.ท.ทักษิณนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ได้ไปซูฮกกับสมเด็จฮุนเซน แต่รัฐบาลในชุดอภิสิทธิ์กลับไปยอมไปซูฮกจึงหันกลับมาโจมตีรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์
           “ซึ่งการประนีประนอมระหว่างไทยกับกัมพูชา เกิดขึ้นหลังน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางไปเยือนกัมพูชา หมายถึงการที่ไทยยอมแพ้กัมพูชาแล้วใช่หรือไม่ และความสัมพันธ์ของไทยกับกัมพูชาที่มีแนวโน้วจะดีขึ้น ก็ต้องยึดประโยชน์ของชาติเป็นหลักในการแก้ไขปัญหา ” รศ.ดร.ธนาสฤษฎิ์ กล่าว
 

“สุขุม”ชี้หากนโยบายรัฐบาลล้มเหลวก็จะลดศรัทธาประชาชนเอง
           อย่างไรก็ตามในในช่วงเช้าเป็นการอภิปรายเรื่อง รัฐบาลยิ่งลักษณ์:บูรณภาพทางการเมืองและจริยธรรม มีวิทยากร ประกอบด้วย  รศ.ดรสุขุม  นวลสกุล อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง นายเกียรติชัย และรศ.ดร.ชัยชนะ
           โดยรศ.ดร.สุขุม กล่าวว่าเมื่อผลการเลือกตั้งที่รัฐบาลมีเสียงกว่า 265 เสียง อีกทั้งประชาชนมาลงคะแนนกว่า 74 % ก็ต้องให้โอกาสรัฐบาล ซึ่งการบูรณาภาพนั้น รัฐบาลต้องยืนยันความชอบธรรมที่มาของรัฐบาล 2.บูรณภาพรัฐบาลชุดนี้มีเสียงกว่า 300 เสียง 3.ต้องยอมรับความบูรณาภาพของรัฐบาลชุดนี้คือการที่รัฐบาลเก่าเจอคำว่า“ดีแต่พูด”ทำให้ประชานต้องการของใหม่ ซึ่งการเลือกตั้งทั้งปี 2550 กับ 2554 ทั้งที่พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาลก็ไม่ได้ดีขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับเครดิตของพ.ต.ท.ทักษิณ ที่เมื่อเสนอสินค้าอะไร ก็จะได้รับการยอมรับ และ นโยบายประชานิยม เป็นการบูรณภาพที่ก่อให้เกิดรัฐบาล เพราะสามารถเข้าใจได้ง่าย ฟังง่าย และรวมกับพลังของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ทำให้กลไกที่เคยผลักดันให้รับรัฐธรรมนูญ ฉบับ2550 กับการเลือกตั้ง 2550 ต้องเป็นฝ่ายล่าถอย
           “หากนโยบายล้มเหลว ก็จะลดความศรัทธาของประชาชนลง ซึ่งการคอร์รัปชั่นจะทำให้รัฐบาลอยู่ไม่ได้ โดยตุลาการภิวัฒน์และหากรัฐบาลไม่ระมัดระวัง ทั้งปปช.และปปท.ชี้มูลก็ต้องหยุดทำหน้าที่ ขณะที่การเตรียมนำพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับประเทศไทย ถือเป็นการเคลื่อนไหวที่มีลักษณะดาบสองคม ส่วนจุดเสื่อมของรัฐบาล คือความเหิมเกริมของคนที่มีอำนาจ เช่นการรังแกข้าราชการ รัฐบาลจึงควรระมัดระวัง เพราะมีคนคอยจับผิดอยู่” รศ.ดร.สุขุม กล่าว
  
          ส่วนที่รัฐบาลแต่งตั้งนายอุกฤษ มงคลนาวิน ได้รับการแต่งตั้งดำรงตำแหน่ง ประธานคณะกรรมการองค์กรอิสระว่าด้วยหลักนิติธรรมแห่งชาติ ส่วนตัวมองว่านายอุกฤษไม่ได้เป็นนักปฏิรูปที่น่าประทับใจ แต่เป็นแค่เนติบริกรเท่านั้น
           ด้านนายเกียรติชัย  กล่าวว่าสิ่งที่กำลังจะลดความชอบธรรมของรัฐบาล โดยเฉพาะคำมั่นสัญญาที่ใช้ในการเลือกตั้ง โดยนโยบายลดความยากจน หรือเรียกว่านโยบายประชานิยม ที่สร้างความชอบธรรมให้ได้เป็นรัฐบาล แต่หากการไม่ดำเนินนโยบายตามที่หาเสียง ความชื่นชอบก็จะลดลง ซึ่งขณะนี้รัฐบาลก็ทำจริงตามที่ได้หาเสียงไว้ แต่หากทำแล้วมีผลลบ ความชอบธรรมก็จะลดลงด้วย 
          ส่วนความแตกแยกของสังคมก็เป็นสิ่งที่มีความคาดหวังว่ากระบวนการสร้างความปรองดอง ที่ขณะนี้ก็ยังไม่เกิดขึ้น โดยการจัดการกระบวนการปรองดองก็ต้องเป็นเพื่อประเทศและประชาชน หรือทำเพื่อใครคนใดคนหนึ่งหรือไม่ แต่ตอนนี้เห็นการเริ่มดึงพ.ต.ท.ทักษิณ กลับประเทศไทย ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้บอกประชาชนว่าทำเพื่อใคร ก็จะเป็นลดความชอบธรรม
           “ความพยายามที่จะเอาพ.ต.ท.ทักษิณ กลับก็น่าสนใจ คือการใช้โอกาสของนิรโทษกรรม ซึ่งเข้ามาก่อนในนิรโทษกรรมจะมีผล ก็อาจจะไปกักขังอยู่ที่โรงแรมใดประมาณ 2 ชั่วโมงแล้วนิรโทษกรรม และปัจจัยต่างๆ ก็นำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ” นายเกียรติชัย กล่าว
          ส่วนการปราบปรามคอร์รัปชั่น มองว่าไม่มีพรรคใด ที่ประกาศอย่างจริงจังจะปราบคอร์รัปชั่น ขณะที่การถูกโยงใยหรือชักใยในอำนาจการบริหาร และมีคนไม่กี่คนอยู่เบื้องหลังการบริหารงานของรัฐบาล ก็จะทำให้เสียความรู้สึกและเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ซึ่งหากรัฐบาลชุดนี้ไม่แสดงความชัดเจน ก็จะลดความชอบธรรมในการได้คะแนนเสียงเข้ามา  ทั้งนี้รูปแบบโครงสร้างทางการเมืองทำให้กลุ่มอำนาจเก่าเข้ากลับมาครองลดอำนาจ โครงสร้างทางการเมืองก็จะลดความชอบธรรมของรัฐบาล  ซึ่งทั้งหมดหากไม่มีความชัดเจนรัฐบาลอยู่ได้ 2 ปีก็นานเกินไปแล้ว ทั้งนี้ความคาดหวังในสังคมไทย ว่าใครจะเข้ามาด้วยความชอบธรรม หรือจะสร้างความปรองดองได้หรือไม่ ซึ่งการใช้กลุ่มมวลชนเสื้อแดงเป็นตัวขับเคลื่อนและแต่งตั้งแกนนำเสื้อแดงมีตำแหน่งต่าง ๆ ก็ถือเป็นการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ ขณะเดียวกันมองว่านโยบายประชานิยมก็เหมือนเศษเนื้อติดกระดูก 
          ด้านรศ.ดร.ชัยชนะ  เห็นว่า คะแนนเสียงไม่ได้เป็นตัวตั้งในด้านความมั่นคงของรัฐบาล และประชานิยมไม่เคยทำให้ประเทศใดประสบความสำเร็จ แต่มีเวเนซุเอาลาประเทศเดียวที่เอาน้ำมัน ทรัพยากร มาเป็นประชานิยมให้ประชาชน ซึ่งในอนาคตก็ไม่ทราบจะแปลเป็นรัฐสวัสดิการหรือไม่ ซึ่งในประเทศไทยหากรัฐบาลจะทำเป็นรัฐสวัสดิการก็ควรเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ
          ทั้งนี้ปัจจุบันความเป็นเสื้อแดงหรือกลุ่มที่สนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่เฉพาะรากหญ้าเท่านั้น เพราะมีกลุ่มทุนนิยม ขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นเหยื่อของระบบ และแต่มองว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ อยู่ภายใต้โครงสร้างทางการเมือง ที่ประชาชนลอยคออยู่ในน้ำและกำลังหาที่เกาะ ก็ไม่ได้มีสติสัมปะชัญญะเท่าไหร่  ทั้งนี้เปรียบเทียบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถือหมดอนาคตทางการเมืองแล้ว กับอดีตประธานาธิบดีบราซิล ที่เป็นเด็กขัดรองเท้ามาก่อน แต่ได้ทำให้คน 29 ล้านคนปลดหนี้ได้ ซึ่งไม่ต้องการนายกรัฐมนตรีที่จบออกฟอร์ด แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าไม่ได้สนใจแมวสีอะไร แต่ขอให้จับหนูให้ได้
           “อย่าไปนั่งนึกถึงอัศวินเก่ง ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ เคยบอกว่านายลีกวนยู อดีตประธานาธิบดีสิงคโปร์เป็นรัฐบุรุษในโมเดลของตัวเอง ที่สร้างบริษัทเทมาเส็ก แต่บริษัทนี้ได้ให้หุ้นกับประชาชน ซึ่งหากพ.ต.ท.ทักษิณยึดประโยชน์ประเทศเป็นที่ตั้ง มากกว่ายึดประโยชน์ครอบครัว ก็จะไม่มีปัญหาและอยู่ต่อไปได้” รศ.ดร.ชัยชนะ กล่าวและว่า 
   
          ส่วนนโยบายกองทุนมั่งคั่งของรัฐบาลนั้นเห็นว่า เงินที่จ่ายให้กับนโยบายประชาชนิยมไม่นานก็หมด และคนไทยก็อย่ายึดติดกับการเมืองเกินไป เพราะทุกวันนี้คนไทยเก่งไปไกลมากแล้ว แต่การเมืองยังล้าหลังอยู่มาก ซึ่งอยากให้คนไทยมีปัญญามากกว่าศรัทธา


คม ชัด ลึก

ปลวกแผ่นดิน


Tags: พญาไม้ทูเดย์ พญาไม้
เพราะ...มันคือ ทีดีอาร์ไอ...ต่างหาก...เสียงเพรียกคำเตือน ถึงกลายเป็นเรื่องขบขัน

เพราะ...หน้าที่ของ ทีดีอาร์ไอ...คือ...สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย...แต่...นอกจากงบประมาณจำนวนมากแล้ว...ไม่มีอะไร...นอกจากคนกลุ่มหนึ่ง..

เมื่อประชาธิปไตยมีปัญหา...ฝูงชนรวมตัวกันออกมาล้มตายให้กับการต่อสู้...ไม่มี ทีดีอาร์ไอ...บนท้องถนน...ปราศจากเงาแม้ในจอทีวี

เมื่อเผด็จการครอบงำประเทศ...นั่นหรือการพัฒนาประเทศของ ทีดีอาร์ไอ..

นักวิชาการเกียรติคุณ...อัมมาร สยามวาลา...ของ ทีดีอาร์ไอ...ออกมาวิพากษ์ว่า..."รัฐบาลชุดนี้มีนโยบายพรั่งพรูออกมาโดยไม่ได้คิด ซึ่งต่างจากรัฐบาลทักษิณยุคแรก เวลานี้ผมจึงเห็นว่า นักการเมืองกำลังหันซ้ายหันขวา แก้ปัญหาไปวันต่อวัน โม้ไปวันต่อวัน"

มีหรือ...นโยบายพรั่งพรูออกมาโดยไม่คิด..

ใช่หรือ...รัฐบาลนี้ไม่ใช่ทักษิณ

รัฐบาลที่มีฐานทางสภา...มากมายแน่นหนา...และมีพรรคฝ่ายค้านที่มีประสิทธิภาพอย่างประชาธิปัตย์...ต้องระมัดระวังอย่างหนักในเกือบทุกองคพยพที่ประกอบกันเป็นประเทศ...จะมัวแต่หันซ้ายหันขวา หรือโม้ไปวันๆ..

โม้ไปวันๆ หรือ...ราคาน้ำมันที่ขูดรีดขูดเนื้อประชาชนมาเป็นสิบๆ ปี...ถึงถูกปัดเป่าออกไป...ประชาชนเคยได้รับของขวัญในระดับนี้จากรัฐบาลไหน..

ทำไม...ประเทศถึงต้องขูดรีดประชาชน...บนความจำเป็นของการใช้ชีวิต...

ทำไม...ประชาชนต้องเสียภาษีทั้งทางอ้อมทางตรง...โดยที่ไม่เคยได้รับอะไรตอบแทน...แม้แต่เตียงนอนของคนไข้อนาถาในโรงพยาบาล...

พวกคุณทำอะไรอยู่...ทีดีอาร์ไอ งานพัฒนาประเทศไทยภาษีที่ประชาชนหยิบยื่นให้...เพื่อมาก่นด่ารัฐบาลที่ประชาชนส่วนใหญ่เลือกเข้ามากระนั้นหรือ...

ใครกันแน่ที่โม้ไปวันๆ...ใครกันที่เป็นปลิงเป็นผีกระสือ...อิ่มหมีและสืบพันธ์ุอยู่บนงบประมาณของประชาชน

สภาของประชาชน...หยิบยกกันขึ้นมาดูทีไม่ดีกว่าหรือ...ค่าใช้จ่ายเพื่อปลิงเพื่อหมัดเหล่านี้ ควรจะมีอยู่หรือไม่...

ทำลายมันซะ...ปลวกงบประมาณ...เหล่านี้

San-ti- ka

คำเตือน - เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นแต่เพียงเรื่องตลก มิได้มีส่วนหนึ่งส่วนใดเลยที่เป็นความจริง เพราะฉนั้นผู้ที่คิดว่าอาจถูกพาดพิง..ห้ามมายั้ว!เป็นอันขาด ...เรื่องมีอยู่ว่า..
 
งานเผา SAN TI KA ครั้งนี้! ที่ดังไปทั่วโลก ใครจะรู้ว่า..แท้ที่จริงแล้ว มันเป็นงานสั่งจากคนไทยผู้ยิ่งใหญ่ในต่างแดน ที่เครียด แค้น อาฆาตรต่อการตัดสินของศาล ที่ได้ตัดสินให้ตนได้รับโทษจำคุกถึง 2 ปี ...และนี่คือบทสนทนาระหว่างผู้ที่ว่าจ้าง กับ ผู้รับงานจากต่างแดน ..
 
ผู้จ้าง ..ไอ้ปี๊ด (Pete) เอ้านี่ชื่อสถานที่ ที่ทำกูเจ็บยิ่งนัก มรึงจำให้ดี แล้วไปจัดการเผามันให้วอด อย่าให้เหลือซาก!
ไอ้ปื๊ด.. ได้ครับนาย เดี๋ยวผมบินไปจัดหนักให้อย่างที่นายต้องการ อย่าได้กังวล..
ผู้จ้าง.. เอ้าเงินมัดจำของมึง เอาไป20 ล้านบาทไทยก่อน กูหาเงินดอลไม่ได้ ใส่กระเป๋าเต็มลำมาแต่เงินไทย
 
รุ่งขึ้นไอ้ปื๊ดไม่รอช้า เดินทางเข้าสู่กรุงเทพฯ หาทำเลที่พักในซอยเอกมัยทันที และไม่รอช้าที่จะจัดหาอุปกรณ์จำเป็นเพื่อ "เผา" ในคืนวันปีใหม่นั่นเลย ..และคืนนั้น งานของมันก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี SAN TI KA ไม่เหลือซาก ข่าวออกดังไปทั่วโลกในวันปีใหม่ไปด้วย ไอ้ป์๊ดกลับเข้าห้องพักอย่างสบายใจ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ต่อสายหานายในทันที ...
 
ไอ้ปื๊ด.. เป็นไงนาย!!! งานเรียบร้อย ดังไปทั่วโลกเลย ..ซะใจนายยังครับ?
ผู้จ้าง.. งานเหี้ยอะไรของมึงเสร็จว่ะ? กูไม่เห็นจะได้ยินข่าวส้นตีนอะไรของมึงเลย?
ไอ้ปื๊ด.. อะไรกันนาย แมร่งดังไปถึงไหนต่อไหน CNN ABC หร่าอะไรก็ออกข่าวกันทุกช่องว่า.. ผับดังในกรุงเทพฯ ไฟไหม้วอดทั้งหลังในคืนวันปีใหม่ ..นายจะไม่ได้ยินได้ไงว่ะ?
ผู้จ้าง.. ผับเหี้ยอะไรของมึง? แล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับงานที่กูจ้างมึงไป!
ไอ้ปื๊ด..เอ้า..ก็ ซานติก้า SAN TI KA SAN TI KA ผับไง นายเขียนมาในกระดาษให้ผมเองเมื่อวาน
ผู้จ้าง.. โธ่ ไอ้เหี้ยเอ้ยๆๆๆเอาแล้วไง! ไอ้สัตว์กูเขียน กูบอกมึงว่า.. SAN DI KA ..SAN DI KA ศาลฎีกา ศาลฎีกา มึึงจะไปเผาทำเหี้ยอะไร ที่ซานติก้า ฉิบหายอีกแล้วกู....    


โดย ดร.ไก่ Tanond

'ปรองดอง'สวนทางเมื่อ'บริวาร'เป็นพิษ

: ขยายปมร้อน โดย สมถวิล เทพสวัสดิ์





         มติคณะรัฐมนตรีที่เห็นชอบมาตรการของคณะกรรมการรอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มี "คณิต ณ นคร" เป็นประธาน พร้อมกับมอบหมายให้ "ยงยุทธ วิชัยดิษฐ" รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ตั้งคณะกรรมการแสวงหาข้อเท็จจริง และคณะกรรมการให้ความเป็นธรรมตามกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งเยียวยาผู้ที่รับผลกระทบ


          ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของความปรองดองและสมานฉันท์ในสถานการณ์ที่บ้านเมืองมีความเห็นแตกต่างกัน
          เพราะอย่างน้อยก็ทำให้เห็นว่ารัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ยังให้ความสำคัญต่อ "คอป." แม้จะไม่ได้เป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการชุดนี้ขึ้นก็ตาม
          เพราะการยอมรับข้อเสนอ 7 ประเด็นของ "คอป." นอกจากให้เกียรติคณะทำงานแล้ว ยังถือว่าไม่ "หักหน้า" รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ตั้งคณะกรรมการชุดนี้ขึ้นมาอีกด้วย
          จากนั้นไปต้องจับตาคณะกรรมการสองชุดที่ "ยงยุทธ" จะตั้งขึ้นมา เพื่อเดินหน้าทำตามข้อเสนอของ "คอป." ว่าจะมีความเป็นจริงได้มากน้อยแค่ไหน
          สำหรับข้อเสนอ 7 ประเด็น ได้แก่
          1.รัฐบาลต้องลดความขัดแย้งด้วยการให้ความเป็นธรรมในการดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนของประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐอย่างเท่าเทียม โดยในส่วนของประชาชนต้องให้มีสิทธิเข้าถึงกระบวนการพิสูจน์ตามกฎหมาย ขณะที่ต้องมีการผลักดันให้ผู้ที่ต้องรับผิดชอบทุกฝ่ายที่มีส่วนให้เกิดความรุนแรงรวมถึงเจ้าหน้าที่ต้องเข้าสู่การวินิจฉัยตามกระบวนการยุติธรรมด้วย
          2.ขอให้รัฐบาลควบคุมการใช้อำนาจของพรรคการเมือง กลุ่มการเมือง กลุ่มบุคคล และองค์กรต่างๆ ไม่ให้กระทบกับบรรยากาศของความปรองดอง
          3.เห็นควรพิจารณาดำเนินคดีความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คดีที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงทางการเมืองทั้งก่อนและหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 คดีหมิ่นเบื้องสูง คดีกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ต้องมีการตรวจสอบการแจ้งข้อหาให้ชัดเจน รวมถึงการทบทวนการตั้งข้อหาที่รุนแรงเกินควร และควรสนับสนุนให้มีการปล่อยตัวชั่วคราวตามสิทธิของผู้ต้องหาและจำเลย
          4.เห็นควรให้มีการชดเชยเยียวยาและฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบทุกฝ่ายอย่างรวดเร็วและจริงจัง โดยต้องมีมาตรการพิเศษที่ไม่ยึดติดกับสิทธิที่มีอยู่ตามกรอบกฎหมายและแนวปฏิบัติของหน่วยงานปกติ กลุ่มเป้าหมายที่ต้องเยียวยาไม่ควรจำกัดแค่ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในช่วงเมษายน-พฤษภาคม 2553 แต่ควรครอบคลุมถึงบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรง ที่สืบเนื่องมาจากความขัดแย้งทางการเมืองในช่วงตั้งแต่ก่อนการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 โดยให้รวมถึงประชาชน เจ้าหน้าที่ของรัฐ สื่อมวลชน ภาคเอกชน โดยการเยียวยาไม่ควรมีเฉพาะตัวเงินแต่รวมถึงการให้โอกาสในการดำเนินชีวิตและการประกอบอาชีพ
          5.ควรเยียวยากลุ่มผู้ที่ถูกดำเนินคดีโดยไม่เป็นธรรมจากการชุมนุม ด้วยการเร่งรัดการประกันสิทธิขั้นพื้นฐานในกระบวนการยุติธรรมผู้ที่เกี่ยวข้องที่ถูกควบคุมอยู่ในเรือนจำทั่วประเทศ โดยตรวจสอบว่าไม่มีการตั้งข้อกล่าวหาที่รุนแรงเกินควร ปรับบัญชีรายชื่อผู้ต้องขังและจำเลย เพื่อเยียวยากลุ่มที่ตกสำรวจ จ่ายค่าทดแทนแก่จำเลยที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้องแล้ว โดยไม่ต้องพิจารณาว่าศาลได้มีคำพิพากษาว่าจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์หรือไม่ ให้ความช่วยเหลือแก่ครอบครัวจำเลยที่ถูกตัดสินลงโทษแล้ว
          6.คอป.มีความกังวลต่อสถานการณ์กระทำผิดคดีหมิ่นเบื้องสูงและการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ที่มีเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะคดีหมิ่นเบื้องสูงต้องคำนึงถึงความละเอียดอ่อนของคดี ทุกฝ่ายต้องยุติการกล่าวอ้างสถาบันเพื่อประโยชน์ทางการเมือง อัยการซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการใช้ดุลพินิจว่าจะดำเนินคดีหรือไม่ ควรใช้ดุลพินิจสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้องคดี โดยยึดประโยชน์สูงสุดในการปกป้องสถาบัน
          7.รัฐบาลควรส่งเสริมให้มีการจัดเวทีแลกเปลี่ยนเพื่อให้ทุกฝ่ายได้เข้าใจถึงสาเหตุของปัญหาความขัดแย้งซึ่งเป็นปรากฏการณ์ของทุกสังคมในห้วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ ผลักดันให้มีการเผยแพร่ความรู้ผ่านสื่อต่างๆ อย่างเต็มที่
          โดยเฉพาะข้อเสนอ 2 ประเด็นอาจสร้างความหนักใจให้การขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดความปรองดองสมานฉันท์ต้องสะดุด เพราะมีมวลชนคนเสื้อแดงบางกลุ่มเข้ามาเกี่ยวข้องกับบางประเด็นที่ "คอป." เสนอ
          ข้อเสนอที่ 2 และข้อเสนอที่ 6 เพราะมีมวลชนบางกลุ่มที่ทำกิจกรรมคู่ขนานกับ "พรรคเพื่อไทย" อาจไม่พอใจการตัดสินใจของรัฐบาล และรู้สึกว่ารัฐบาลตัดสินใจเอาใจคู่กรณี เพราะไม่อยากให้เกิดแรงปะทะทางการเมือง
          ขณะเดียวกันถ้ารัฐบาลไม่กล้าตัดสินใจบางเรื่องที่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มมวลชนที่สนับสนุนรัฐบาลก็อาจถูกมองได้ว่าไม่กล้าตัดสินใจ เพราะมีเรื่องผลประโยชน์ทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง อาจทำให้ความตั้งใจของรัฐบาลต้องสะดุด
          จะเห็นว่าวิธีการขับเคลื่อนของมวลชนที่สนับสนุนรัฐบาลบางกลุ่มเริ่มไร้ทิศทาง ไม่มีใครสั่งการได้ แม้กระทั่ง "นายกฯ ยิ่งลักษณ์" เองก็ยอมรับว่า "สั่งคนเสื้อแดงไม่ได้"
          ระหว่างที่รัฐบาลเดินหน้านโยบายสนับสนุนการปรองดอง ต้องวางตัวเป็นกลางในสายตาของทุกฝ่าย แต่ฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาลกลับทำกิจกรรมเคลื่อนไหวสวนทางโจมตีฝ่ายที่เห็นต่าง ดูถูกเหยียดหยามคู่แข่ง ผู้นำกองทัพ และสถาบันเบื้องสูง การเดินหน้าปรองดองของรัฐบาลก็จะล้มเหลว
          ในภาวะบ้านเมืองปกติ คนในบ้านเมืองมีความเป็นหนึ่งเดียว "ผู้นำ" ที่จะมาปกครองประเทศไม่ต้องเก่งเลิศเลอกว่าผู้นำประเทศอื่นมากนัก
          แต่ในภาวะบ้านเมืองไม่ปกติมีความขัดแย้งแตกแยก "ผู้นำ" นอกจากเป็นคดี มีความสามารถ เด็ดขาดแล้ว "บริวาร" ข้างกายก็ต้องเก่ง มีความสามารถ ไม่ใช่แค่ทำหน้าที่เคลียร์พื้นที่และรักษาผลประโยชน์ให้เจ้านายเท่านั้น !

3 บ.ยักษ์รวบเค้กกล้อง CCTV กทม. 2.4 พันล้าน


เจาะละเอียดยิบข้อมูลจัดซื้อกล้อง CCTV กทม.มูลค่า 2.4 พันล้าน เผยเอกชนรายใหญ่หน้าเดิมคว้าเรียบ 1 ใน 3 โยง บ. ดังขุมข่ายทุนพรรคการเมือง
            ในห้วงเวลา 1 ปี 6 เดือนกรุงเทพมหานครใช้เม็ดเงินถึง 2,463ล้านบาทในการจัดซื้อและติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV)เพื่อประโยชน์ในการดูแลรักษาความปลอดภัยและการจราจรทั่วทั้งกทม.
           ทั้งนี้ ศูนย์ข้อมูล & ข่าวสืบสวนฯ  (TCIJ)   ตรวจสอบพบว่า ในปีงบประมาณ 2553-เดือนมีนาคม 2554  กรุงเทพมหานครได้จัดซื้อกล้องโทรทัศน์วงจรปิดผ่านหน่วยงานต่างๆถึง 27 ครั้ง รวมวงเงิน 2,463,362,956 บาท  เฉพาะช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2554 (ต.ค.2553-มี.ค.2554)  จำนวน  5 ครั้ง วงเงิน 1,802.9 ล้านบาท ปีงบประมาณ  2553 จำนวน  22 ครั้ง วงเงิน 660,445,956 บาท  ในจำนวนนี้เป็นการจัดซื้อจากเอกชนรายใหญ่ 3-4 ราย  จำแนกรายละเอียดดังนี้
           16 ก.พ. 2554   จ้างเหมาพร้อมติดตั้ง กล้องโทรทัศน์วงจรปิด(CCTV) บริเวณชุมชน ตลาด จุดเปลี่ยนถ่ายในการเดินทาง และจุดเสี่ยงภัยภายในกรุงเทพมหานคร  โดย บริษัท เอเอ็มอาร์ เอเซีย จำกัด(บริษัท เจแอนด์ แอสโซซิเอทส์ จำกัด ถือหุ้นของนายสุชาติ อารีกุล ถือหุ้นใหญ่)  วงเงิน 327.6 ล้านบาท
         22 ก.พ.  2554  จ้างเหมาพร้อมติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด(CCTV) พร้อมเชื่อมโยงสัญญาณภาพไปที่ 11 สำนักงานเขต   โดยบริษัท สามารถคอมเทค จำกัด  วงเงิน  11.4 ล้านบาท 
        22 ก.พ. 2554  จ้างเหมาพร้อมติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด(CCTV) บริเวณสถานศึกษาในพื้นที่กรุงเทพมหานคร  โดย กลุ่มกิจการค้าร่วมยูเทล ซีคอม  วงเงิน 775.8 ล้านบาท
       22 ก.พ. 2554  จ้างเหมาเชื่อมโยงสัญญาณภาพจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิด(CCTV)ไปที่สถานีตำรวจในพื้นที่กรุงเทพมหานคร  โดย กิจการร่วมค้า จีเนียส   วงเงิน 402 ล้านบาท
      15 มี.ค. 2554   จ้างเหมาพร้อมติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด(CCTV) บริเวณโรงพยาบาลศูนย์บริการสาธารณสุขและสถานที่ราชการในพื้นที่กรุงเทพมหา นคร  โดย บริษัทไทยซีคอมพิทักษ์กิจ จำกัดวงเงิน 286 ล้านบาท
      ปี 2553  จำนวน22 ครั้ง
       30 ต.ค. 2552จ้างเหมาติดตั้งบริเวณ รอบบริเวณทำเนียบรัฐบาล  โดย บริษัท โคนิค เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด  วงเงิน 6.6  ล้านบาท
        16 พ.ย. 2552 จัดซื้อกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) พร้อมติดตั้ง (สำนักงานเขตหนองแขม) บริษัท เอส.จี.ดี.อินเตอร์ เทรดดิ้ง จำกัด (นายสิทธิชัย ศรีสงวนสกุลเป็นกรรมการ)   วงเงิน  1.2 ล้านบาท
      16 พ.ย. 2552  จ้างเหมาติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV)พร้อมอุปกรณ์ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 676 กล้อง  โดย กิจการค้าร่วม TNB  วงเงิน 94 ล้านบาท
     18 พ.ย. 2552   จ้างเหมาติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV)โรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตบางขุนเทียน โดย บริษัท เอส จี ดี อินเตอร์ เทรดดิ้ง จำกัด  วงเงิน 4.1 ล้านบาท
     3 ธ.ค. 2552  ซื้ออุปกรณ์กล้องโทรทัศน์วงจรปิด(CCTV) ภายในโรงเรียนเขตคลองสาน โดย บริษัท เอส.จี.ดี.อินเตอร์
เทรดดิ้งจำกัด  วงเงิน 1.2 ล้านบาท
     18 ธ.ค. 2552ซื้อชุดกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) พร้อมติดตั้ง   สำนักงานเขตทุ่งครุ วงเงิน 1.2 ล้านบาท
     14 ม.ค. 2553 ชุดกล้องวงจรปิด (CCTV) พร้อมติดตั้งจำนวน 10 จุด จำนวน 3 ชุด  โดย บริษัท เอส.จี.ดี.อินเตอร์เทรดดิ้ง จำกัด  1.1  ล้านบาท
     20 ม.ค. 255  จ้างเหมาซ่อมอุปกรณ์ระบบ CCTV เพื่อความปลอดภัยและเพื่อการจราจรที่เสียหายอันเกิดจากการชุมนุมประท้วง   โดย บริษัท เอเอ็มอาร์ เอเซีย จำกัดวงเงิน 1.1  ล้านบาท
   1 ก.พ. 2553 จ้างเหมาบำรุงรักษากล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) พร้อมอุปกรณ์ประกอบและการเชื่อมโยงสัญญาณไปยังกองรักษาการณ์ประจำพระราชฐาน หรือสถานีตำรวจนครบาลโดยรอบเขตพระราชฐาน 5 แห่ง โดยบริษัท แซมคอน จำกัด  วงเงิน 2.1 ล้านบาท 
     25 ก.พ. 2553  จ้างเหมาเชื่อมโยงสัญญาณภาพกล้องโทรทัศน์วงจรปิด(CCTV) รอบทำเนียบรัฐบาลและสัญญาณภาพกล้องวงจรปิด พื้นที่สำนักงานเขตพระนครและดุสิตส่งไปยังสำนักนายกรัฐมนตรีทำเนียบรัฐบาล  โดยบริษัท จีเนียส ทราฟฟิค ซีสเต็ม จำกัด  วงเงิน 5.4 ล้านบาท
     26 ก.พ. 2553 จ้างเหมาติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) พร้อมอุปกรณ์การทำงานบริเวณโดยรอบวัดไตรมิตรวิทยาราม  โดย บริษัท โคนิค เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด  วงเงิน 2.1 ล้านบาท
      12 มี.ค. 2553จ้างเหมาติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV)พร้อมอุปกรณ์ประกอบ บริเวณสำนักจราจรและขนส่ง สำนักผังเมืองและสำนักเทศกิจ โดยบริษัท เอเอ็มอาร์ เอเซีย จำกัด  วงเงิน 3.5 ล้านบาท
    12 มี.ค. 2553  จ้างเหมาติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) พร้อมอุปกรณ์ประกอบ โดย  บริษัท จีเนียส ทราฟฟิค ซีสเต็ม จำกัด  วงเงิน 6.7 ล้านบาท
   12 มี.ค. 2553 จ้างเหมาติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) พร้อมอุปกรณ์ประกอบบริเวณอาคารจอดรถยนต์ลานคนเมือง และรอบศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร  โดย บริษัท โคนิค เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด วงเงิน 7.4 ล้านบาท
   25 มี.ค. 2553  จ้างเหมาติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) พร้อมอุปกรณ์ประกอบบริเวณโรงพยาบาลศิริราช จำนวน 7 กล้องและเชื่อมโยงสัญญาณภาพไปยังศูนย์ปฏิบัติการกองทัพเรือ กองทัพเรือ  โดย บริษัท เอเอ็มอาร์ เอเซีย จำกัด วงเงิน 2.7 ล้านบาท  
   30 เม.ย. 2553 ซื้อกล้องโทรทัศน์วงจรปิด CCTVพร้อมติดตั้งตามโครงการรักษาความปลอดภัยภายในโรงเรียน จำนวน 4 โรงเรียน  โดย  บริษัท  เอส.จี.ดี.อินเตอร์เทรดดิ้ง จำกัด  วงเงิน 1.2 ล้านบาท
    30 มิ.ย. 2553 จ้างเหมาติดตั้งระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) เพื่อตรวจวัดและรายงานสภาพการจราจร โดย บริษัท เอ เอ็ม อาร์ เอเซีย จำกัด วงเงิน 126.8 ล้านบาท
      30 มิ.ย. 2553จ้างเหมาติดตั้งระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) เพื่อการตรวจสอบและสั่งการแก้ไขปัญหาการจราจร โดยบริษัท จีเนียส ทราฟฟิค ซีสเต็ม จำกัด  วงเงิน 168.1 ล้านบาท
      30 มิ.ย. 2553  จ้างเหมาติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) เพิ่มประสิทธิภาพความมั่นคงบนถนนสายหลักและส่งเสริมการท่องเที่ยว  โดย บริษัท จีเนียส ทราฟฟิค ซีสเต็ม จำกัด  วงเงิน 188 ล้านบาท
      28 ก.ค. 2553  ซื้อกล้องวงจรปิด (CCTV)พร้อมค่าติดตั้ง 4 ชุดโดย หจก.ชัยพิทักษ์วงเงิน 1.9 ล้านบาท
   4 ส.ค. 2553จ้างเหมาติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด(CCTV) พร้อมอุปกรณ์ภายในสวนหลวง ร.9  โดยบริษัท โคนิค เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด  วงเงิน 9.8 ล้านบาท
   9 ส.ค. 2553จ้างเหมาอนุรักษ์และพัฒนาแหล่งท่อง เที่ยว(การปรับภูมิทัศน์เมืองบริเวณรอบอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสิน) กิจกรรมติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด(CCTV)  โดยบริษัท โคนิค เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด  วงเงิน 23.3 ล้านบาท
      จากการตรวจสอบข้อมูลกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์พบว่า บริษัท ไทยซีคอมพิทักษ์กิจ จำกัด จดทะเบียนวันที่ 9 กันยายน 2530 ทุน  378.8 ล้านบาท  บริษัท ซีคอม จำกัด และกลุ่มสหพัฒน์ถือหุ้นใหญ่  นายสุกษม ช่วงโชติเป็นกรรมการ
    บริษัท เอเอ็มอาร์ เอเซีย จำกัดจดทะเบียนวัน ที่  13 กันยายน 2542  ทุน 50 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่ 469 ซอยประวิทย์และเพื่อน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ  บริษัท เจแอนด์ แอสโซซิเอทส์ จำกัด ถือหุ้นของนายสุชาติ อารีกุล ถือหุ้นใหญ่
   บริษัท จีเนียส ทราฟฟิค ซีสเต็ม จำกัด  จดทะเบียนวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2545 ที่ตั้งเลขที่  77 หมู่ที่ 11 ถนนพุทธมณฑลสาย 5 ตำบลไร่ขิง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม  บมจ.ฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น  ถือหุ้นใหญ่
     ทั้งนี้ บริษัทในกลุ่มสหพัฒน์เป็นผู้บริจาคเงินรายหนึ่งให้พรรคประชาธิปัตย์ 

การจัดซื้อกล้อง CCTV ของ กทม.  

ชื่อ
วงเงิน (บาท)
กลุ่มกิจการค้าร่วมยูเทล ซีคอม     1 ครั้ง
775.8   ล้าน
บริษัท จีเนียส ทราฟฟิค ซีสเต็ม จำกัด5 ครั้ง
770.2   ล้าน
บริษัท เอเอ็มอาร์ เอเซีย จำกัด  จำนวน 4 ครั้ง
461.7   ล้าน
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง (TCIJ) รวบรวม
………………



รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง